สรุปข่าว Content Admin 2 ครั้งที่ 11

ข่าว ห้องเรียน วิชา Content Admin 2 ครั้งที่ 11

วันที่อังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 18:00 – 20:00 น. โดยประมาณ
โดย มีคุรุดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ เป็นผู้สอนหลักในวิชานี้ และมี คุรุตรงพุทธ ทองไพบูลย์ คุรุวรางคณา ไตรยสุทธิ์ มาร่วมเป็นพลังและสังเกตการณ์ มีพี่น้องมาร่วมทั้งหมด 16 ท่าน

เมื่อพูดถึงห้องเรียน วิชา Content Admin ของสถาบันวิชชาราม ความโดดเด่นของห้องเรียนนี้คือการทำงานกันอย่างเป็นทีมเวิร์คทั้งงานนอกและงานในควบคู่กันไปด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห้องเรียนนี้สามารถขับเคลื่อนไปทั้งงานนอกงานในได้อย่างโดดเด่นก็คือ การนำหลักอปริหานิยธรรม 7 ข้อที่ 1-2 มาใช้อย่างควบแน่น คือการหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก พร้อมเพรียงกันช่วยทำกิจ ทั้งกลุ่มหลักและกลุ่มย่อยนั่นเอง นอกจากคุรุจะสอนวิชาแอดมินด้านเทคนิคต่าง ๆ แล้ว ก็ยังเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนสภาวธรรมกันสนทนาธรรมกัน จึงทำให้คุรุและนักศึกษาเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกัน มีความระลึกถึงกัน รักเคารพศรัทธากันซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทะกัน สมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งตรงตามหลักพุทธพจน์ 7 นั่นเอง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลังจากพี่น้องได้หารือกันเรื่องการงานผ่านไปแล้ว ก็ยังมีช่วงสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนสภาวะธรรมกันตามประสาพี่น้องที่ระลึกถึงกัน จะมีกิจกรรมหรือประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้างตามไปดูกัน

ประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้…

คุรุสาธิตการทำงานให้ดู

คุรุดิณห์ สาธิตการทำงาน โดยการนำงานใน Google form ที่พี่น้องนักศึกษาวิชชารามส่งเข้ามาไปเผยแพร่ตั้งแต่ต้นจนจบขั้นตอน โดยใช้เวลาไป 10 นาที

กลุ่มตะวันสาธิตการทำงานให้เพื่อนดู

จากที่แอดมินแต่ละกลุ่มก็ได้ลงสนามจริงและทำงานกันมาจนใกล้ครบเทอมแล้ว ในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาคนี้ คุรุก็จัดให้แอดมินแต่ละกลุ่ม ได้ลองมาสาธิตการทำงานให้กลุ่มอื่น ๆ ดู เพื่อจะได้เรียนรู้การทำงานของพี่น้องต่างกลุ่มด้วย ซึ่งในสัปดาห์นี้ แอดมินกลุ่มตะวัน จะสาธิตการทำงานให้เพื่อนดูเป็นกลุ่มแรก โดย กลุ่มตะวันนำเสนอ 2 งาน คือ 1.นำข้อมูลจากทางไลน์ที่พี่น้องนักศึกษาส่งเข้ามาทำ 2.จะเป็นส่วนที่ส่งมาทาง Google form โดยระหว่างที่กลุ่มตะวันกำลังทำงานอยู่ก็มีพี่น้องต่างกลุ่มที่นั่งดูอยู่ก็ร่วมแสดงความคิดเห็นเสนอดีของตัวเองเข้าไปร่วมด้วย มีการเสนอกันไปมาพอให้ได้เกิดผัสสะพอให้ได้กิเลสกันพอหอมปากหอมคอ  ต่อด้วยคุรุเปิดโอกาสให้ Admin ต่างกลุ่มวิจารณ์การทำงานของกลุ่มตะวัน ต่อด้วยให้กลุ่มตะวันสรุปใจ ซึ่งก็มีสมาชิกในกลุ่มตะวันออกมาเปิดเผยว่า จากการที่ได้มาสาธิตการทำงานให้พี่น้องต่างกลุ่มดูในวันนี้ แล้วมีพี่น้องมาแสดงความคิดเห็นซึ่งผิดจากที่คิดเอาไว้ จึงทำให้เกิดผัสสะและได้เห็นกิเลสตัวเอง แต่ก็สามารถล้างได้ อีกท่านบอกมีผัสสะเหมือนกันแต่เบามากเมื่อเทียบกับผัสสะที่เพิ่งเจอกับคนที่ทำงานทางโลกก่อนหน้านี้ ดีกรีความแรงของการกระทบกันมันช่างแรงต่างกันมากจริง ๆ จนต้องใช้พลังสมถะ (เจโต) กดข่มช่วยถึงจะทำให้อาการกิเลสที่เกิดขึ้นในใจลงได้

แรงกระทบต่างกัน

และช่วงสุดท้ายจะเป็นช่วงของการสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนสภาวธรรมกันของพี่น้องทั้งกลุ่มใหญ่ ต่อจากที่พี่น้องกลุ่มตะวันได้เล่าไว้ข้างต้นว่าผัสสะจากการกระทบกับคนข้างนอกที่เขายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับคนที่ปฏิบัติธรรมนี่ แรงกระทบมันช่างต่างกันอย่างเห็นได้ชัดมากจริง ๆ นั้น คุรุดิณห์เสริมว่า เรื่องนี้จริง และขยายต่อว่า ทำไมแรงของการทบจึงต่างกันระหว่างคนที่ปฏิบัติธรรมกับไม่ปฏิบัติธรรม แรงกระทบของคนปฏิบัติธรรมจะไม่ยึดเยื้อ เพราะบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง ดังนั้นต่างฝ่ายจึงต่างก็พยายามสังวรตัวเองอยู่ประมาณหนึ่งเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่กับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมจะแรงและยึดเยื้อ ยิ่งเจอคนอาฆาตพยาบาทแรงจะยิ่งหนักเลย เพราะคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลังซึ่งตรงตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า แต่ถึงแม้จะอยู่ในสังคมนักปฏิบัติธรรมแล้ว ก็อย่าปักมั่นปักใจเชื่อว่าจะไม่เจอคนพาล ไม่เช่นนั้นเวลาไม่เป็นไปอย่างที่คิดจะอกหักจะทุกข์

พลังเจโตช่วยให้รอดจากการกระทบ

มีพี่น้องถามว่า แสดงว่าพลังเจโตนี่ก็มีส่วนช่วยได้มากและจำเป็นต้องมีเหมือนกันเวลาที่กระทบผัสสะ คุรุดิณห์ว่า มีส่วนและควรฝึกให้มีด้วย เพราะคนที่มีพลังเจโตสูง จะมีเกราะป้องกันที่หนาช่วยให้ไม่กระทบกับผัสสะได้ จึงทำให้ไม่ต้องมีวิบากจากส่วนที่ต้องกระทบผัสสะ แต่ก็จะไม่ได้กำไรจากการได้ล้างกิเลสในตอนท้าย ต่างจากสายปัญญา สายปัญญาเวลากระทบผัสสะแล้วปัญญาเอาไม่อยู่จะพลาดในช่วงต้นแล้วก็จะมีวิบาก แต่จะได้กำไรในช่วงท้ายเพราะสามารถใช้ปัญญาพิจารณาล้างกิเลสได้ ดังนั้นจึงควรพัฒนาควบคู่กันไปทั้งพลังเจโตและปัญญา

การทำใจในใจให้ถึงอริยสัจ 4 ล้างกิเลสได้จริง

มีพี่น้องเล่าว่า เหลือเชื่อมาก การเขียนการบ้าน อริยสัจ 4 สามารถล้างกิเลสที่กำลังดิ้นดุ๊ก ๆ อยู่ได้จริง ๆ เพราะกว่าจะเขียนเสร็จต้องผ่านการใคร่ครวญไตร่ตรองก่อนค่อยเขียน ระหว่างเขียนก็ต้องทบทวนอ่านซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายรอบกว่าจะเขียนเสร็จ จากนั้นก็ยังตามไปอ่านอีกตั้ง 2-3 รอบหลังจากที่ส่งการบ้านไปแล้ว จึงทำให้อาการกิเลสที่มันดิ้นอยู่สลายไปได้จริง ซึ่งคุรุตรงพุทธเสริมว่า สิ่งที่พี่น้องว่ามานี้เรียกว่า การทำใจในใจให้แยบคาย เป็นการทบทวนธรรม ใคร่ครวญธรรมให้ลงลึกถึงจิตนั่นเอง

แบ่งสมบัติกันกลับไปบำเพ็ญต่อ (งานกลุ่ม)

ช่วงสุดท้ายก่อนแยกย้ายแอดมินแต่ละกลุ่มก็แบ่งการบ้านของพี่น้องนักศึกษาที่ส่งกันเข้ามาทาง Google form ติดไม้ติดมือกลับไปบำเพ็ญกันต่อ แต่เนื่องจากช่วงหลัง ๆ มานี้คลาสเรียนของสถาบันวิชชารามเยอะและเวลาติด ๆ กัน จนทำให้พี่น้องไม่ค่อยได้สนทนาธรรมกันแบบยาว ๆ บ่อยนัก เนื่องจากต้องเข้าห้องเรียนวิชาอื่น ๆ ต่อด้วย แต่วันนี้ธรรมะจัดสรรไม่มีคลาสเรียนวิชาอื่นต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสให้พี่น้องแอดมินได้สนทนาธรรมกันยาว ๆ แบบพอให้หายคิดถึงกัน แต่กระนั้นเวลา 2:30 ชม. ก็ดูเหมือนจะไม่พอสำหรับพี่น้องแอดมินในการสนทนาธรรมกันอยู่ดี ที่ยิ่งดูก็เหมือนจะมีเรื่องคุยกันต่อเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย ๆ จนคุรุเองต้องขอตัดรอบปิดห้องเรียนกันเลยทีเดียว

สรุป บรรยากาศคลาสเรียนวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เข้มข้นมาก ๆ ทั้งช่วงสาธิตการทำงานและช่วงสนทนาธรรมกัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่น้องทีมแอดมินจึงสามารถรวมพลังกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มขับเคลื่อนทั้งงานนอกและงานในควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นั่นก็เพราะว่าห้องเรียนนี้ใช้หลักอปริหานิยธรรมกันอย่างควบแน่นนั่นเอง ท้ายนี้ขออนุโมทนาทีมท่านคุรุและพี่น้องแอดมินหมู่มิตรดีทุกท่านที่ต่างสานพลังกันมาทำสิ่งดีร่วมกันด้วยใจที่บริสุทธิ์ สาธุ

เจริญธรรมสำนึกดี มีใจไร้ทุกข์
ปิ่น คำเพียงเพชร แอดมิน กลุ่มทุ่งนา รายงาน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *