“สายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย” – 2 มี.ค. 65

รายการ “สายด่วน สุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย”
ช่วง ถามตอบ ปัญหาสุขภาพ
ตามหลักการแพทย์วิถีธรรม
โดย กลุ่มแพทย์แผนไทยวิถีธรรม ค้ำจุนโลก
วันพุธ ที่ 2 มีนาคม 2565
เวลา 15.00 – 17.15 น.

ประเด็นเด่นจากรายการ

      • เถียงสวน “กิเลส” แต่ไม่เถียงสวน “พ่อแม่”
      • “แผล” เป็นวง คือ โดนแมลงกัด ใช่หรือไม่?
      • “ติดเชื้อในกระแสเลือด” สามารถหายได้หรือไม่?
      • “ชา” จนเกือบครึ่งฝ่าเท้า จะแก้ไขอย่างไร?
      • เป็น “ผื่น” แบบนี้ มา 2 – 3 วันแล้ว มักเป็นช่วงกลางคืน คันมาก เกิดมาจากสาเหตุอะไร?
      • “ประจำเดือน” มาถึง 16 วัน อันตรายหรือไม่?
      • “กระตุก” บริเวณลิ้นปี่ จะเสี่ยงเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่?
      • “เกิดลม” ดันปากตลอดเวลา อยากหาย
      • “ติดโควิด” ทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ แต่น้ำไม่เข้า และย้อนกลับออกมา
      • “ติดโควิด” ตรวจเจอ 2 ขีด แต่จะดูแลตนเองที่บ้าน
      • “หม้อข้าวต้ม” หกใส่หลาน ลูบหน้าอกจนถลอก

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอฉบับเต็ม]

วันนี้มีพี่น้องทั้งจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วโลก และชาวค่ายเข้าร่วมรายการทั้งหมด 72  ท่าน ดำเนินรายการ โดย คุณกมลชนก ทุมวงษ์ (แหม่ม) อรุณรัตน์ ไกรลาศศิริ (หม่วย) และคุณวิจิตร ตันเดชานุรักษ์

รายการสายด่วนสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย เริ่มต้นรายการด้วยยาเม็ดที่ 6 คือ มาร์ชชิ่ง [คลิกเพื่อชมคลิปวีดีโอ] และธรรมะเพื่อความผาสุก คือ การอ่านบททบทวนธรรมยาเม็ดที่ 8 ข้อ 49-50 [คลิกเพื่ออ่านบททบทวนธรรม] และข้อ 51 – 58 [คลิกเพื่ออ่านบททบทวนธรรม


“ช่วงแบ่งปันความประทับใจในบททบทวนธรรม”

“ที่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อดับทุกข์ใจ”

บททบทวนธรรม ข้อที่ 1 “เรื่องการเข้าใจผิดของเรากับผู้อื่น เราต้องระลึกรู้ว่า มันคือวิบากกรรมเขา วิบากกรรมเรา แก้ไขได้ด้วยการทำดี ไม่มีถือสาไปเรื่อย ๆ แล้ววันใดวันหนึ่งข้างหน้า ในชาตินี้ หรือชาติหน้า หรือชาติอื่น ๆ สืบไป ความเข้าใจผิดนั้นก็จะหมดไปเอง”

คุณโนอาร์ทาน เลาเวอร์ : “คุณพ่อคุณแม่ คือ ผัสสะ” จึงต้องคอยล้างใจ และคอยสวนกิเลสตลอดเวลา ไม่สวนคุณพ่อคุณแม่ แต่ “สวนกิเลสให้ตาย”


“ช่วงถาม-ตอบปัญหาสดในรายการ”

คำถามที่ 1 : ตื่นขึ้นมาก็เป็น “แผล” วง ๆ ไม่แน่ใจว่า โดนแมลงกัดหรือไม่?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :
เนื่องจากได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถวิเคราะห์ตามที่ผู้ถามส่งเข้ามา ดังนี้

      • วิเคราะห์ในเบื้องต้น ลักษณะคล้าย “เริม” หรือ “งูสวัด” ลักษณะเป็นเหมือนตุ่มใส ๆ แต่ไม่ค่อยชัดเจน และ “ดูยากว่าเกิดจากอะไร?” อาจจะเป็น “การโดนแมลงหรือแพ้ก็ได้”  ลักษณะทั่วไป คือ เป็นอาการที่เกิดจากมี “พิษร้อน” และร่างกายพยายามดันพิษออก
      • สอบถามเพิ่มเติมจากผู้ถามว่า “มีอาการคัน หรือมีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่?”
      • ถ้าเป็นอาการของ “งูสวัด” ผื่นจะมีหลายเม็ด “ลักษณะเป็นกลุ่ม ๆ” และค่อนข้าง “คัน”
      • แพทย์ผิวหนังทั่วไป กล่าวว่า “โรคผิวหนังบางอย่างจะดูยากมาก” บางครั้งอาจต้อง “ส่องกล้อง” จึง “ไม่ต้องทุกข์ใจ” ว่า สิ่งนี้ คืออะไร เพียงดูแลรักษาไปตามอาการ และใช้ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม
      • ใช้เทคนิคยา 9 เม็ด โดยเฉพาะยาเม็ดที่ 5 คือ “พอก ประคบ ทา” ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คำถามที่ 2 : “ติดเชื้อในกระแสเลือด” สามารถหายได้หรือไม่?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :
เนื่องจากได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถวิเคราะห์ตามที่ผู้ถามส่งเข้ามา ดังนี้

      • หลักการ คือ “ร่างกายไม่สมดุล” จึงแสดงอาการออกมาเป็นลักษณะนี้ สามารถดูแลตนเองด้วยศาสตร์แพทย์วิถีธรรม ซึ่ง “รักษาหายได้ทุกโรค แต่ไม่หายทุกคน” เนื่องจากขึ้นอยู่กับ “พฤติกรรม” ของแต่ละท่านที่จะพึงปฏิบัติ และ “วิบากดีร้าย”
      • ต้องตรวจสอบว่าอาการเกิดจาก “ภาวะร้อนเกิน หรือ ภาวะเย็นเกิน หรือภาวะร้อนเย็นพันกัน” จึงจะสามารถแก้ไขตามอาการได้
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คำถามที่ 3 : เริ่มชาที่นิ้วเท้าด้านขวา จาก 1 นิ้ว เป็น 2 – 3 นิ้วแล้ว และเริ่มลามมายังพื้นเท้าเรื่อย ๆ จะถึงครึ่งฝ่าเท้าแล้ว มีอาการมาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน รู้สึกวิตกมาก จะแก้ไขอย่างไร?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :
เนื่องจากได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถวิเคราะห์ตามที่ผู้ถามส่งเข้ามา ดังนี้

      • “อาการชา” ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่มีภาวะเป็น “เบาหวาน” ทำให้ระบบประสาทหรือลมปราณไม่สามารถไปถึงได้
      • เมื่อมีอาการชา คนทั่วไปมักคิดว่าตนเอง “ขาดวิตามิน” จึงไปหาซื้อวิตามินรวมมารับประทาน ซึ่งเป็นเพียงความเชื่อช่วงที่เรียนในวัยเด็ก และไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป เภสัชกรได้กล่าวว่า คือ “ไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารเสริมหรือวิตามินมารับประทาน”
      • หากอาการชานี้ เกิดจากภาวะที่ “ขาดวิตามินบี” ท่านสามารถ “รับประทานวิตามินบีธรรมชาติ” ได้จากเมนู “รำปิ้งกล้วย” โดยใช้ งาคั่ว 1 ช้อนชา, รำ 1 ช้อนโต๊ะ และกล้วยพอห่าม 1 หวี นำขยี้รวมกัน หากใช้เตาถ่าน ให้ห่อด้วยใบตอง ก่อนนำมาปิ้ง แต่ถ้าไม่มีใบตอง สามารถนำมานาบกับกระทะได้ กินวันละ 1 ลูก หลังอาการ จะช่วยลดอาการเหน็บชา แต่หากอาการดีขึ้นแล้ว ควรงดรับประทาน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน ลักษณะจะคล้าย “ข้าวเหนียวปิ้ง” [คลิกเพื่อชมวิธีทำรำปิ้งกล้วย]
      • ประสบการณ์จากจิตอาสา เคยได้ “ซื้อยา” มารับประทานเอง “อาการดีขึ้น แต่มีอาการข้างเคียง คือ ปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก” จึงหยุดใช้ และกลับมาเคร่งครัดในยาเม็ดที่ 7 คือ “การรับประทานอาหารพืช จืด สบาย” ให้มากขึ้น และเพิ่ม “ถั่วเขียว” หรือ “งา” เล็กน้อย หรือรับประทานอาหารปั่น รับประทานอาหารตามลำดับ และเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เพราะหากเบียดเบียนสัตว์ ก็จะยังบาปอยู่ ก็จะทำให้ยังทุกข์อยู่ เน้นยาเม็ดนี้ เพราะสำคัญที่สุด ในการปรับสมดุล เพราะจะทำให้ “สร้างเซลล์ของร่างกายให้ดีขึ้น” ลดอาการชาที่ปลายมือปลายเท้า
      • หากใช้ยาเม็ดที่ 4 คือ “แช่มือแช่เท้า” ด้วยสมุนไพร ต้องให้ “คนรอบข้างช่วยเช็คว่า น้ำร้อนเกินไป” สำหรับผู้ป่วยหรือไม่
      • ระบายพิษด้วยยาเม็ดอื่น ๆ เช่น ยาเม็ดที่ 3 คือ “การสวนล้างลำไส้ใหญ่” และยาเม็ดที่ 2 คือ “กัวซา”
      • ใช้ยาเม็ดที่ 1 คือ “ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น”
      • ใช้ยาเม็ดที่ 6 คือ “ฝึกลมหายใจปรับสมดุล” จะช่วยทำให้เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้น หรือ “บริหารนิ้ว” แบบจับปูดำ ขยำปูนา ดึงนิ้ว “กดจุดโยคะ” และจัดกระดูกเองด้วยกายบริหารที่อาจารย์หมอเขียวได้สอน พร้อม “เขี่ยลมปราณ” ทำไปเรื่อย ๆ อาการก็จะหายเอง
      • ดำรงตนตามหลักการแพทย์วิถีธรรม คือ “ยา 9 เม็ด” ไปเรื่อยๆ และเคร่งครัดในการปฏิบัติศีล คือ “ไม่ถือสา ไม่เอาเป็นเอาตายกับทุกเรื่อง” ค่อย ๆ ทำ ใจให้ไร้ทุกข์ ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คำถามที่ 4 : เป็น “ผื่น” แบบนี้ มา 2 – 3 วันแล้ว มักเป็นช่วงกลางคืน คันมาก เกิดมาจากสาเหตุอะไร?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :

      • อาการผื่น จะเกิดมาจากการมี “พิษร้อน” สามารถฟังคำแนะนำเพิ่มเติมได้ จากคลิปคำแนะนำเกี่ยวกับ “โรคผิวหนัง” ที่ได้ตอบไว้แล้ว [คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ “โรคผิวหนัง”]
      • บางท่านใน “ช่วงวัยรุ่น” ช่วงเย็นจะมีผดขึ้น พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็จะหายไป
      • ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แสดงว่าร่างกาย “มีประสิทธิภาพ” ในการดันพิษร้อนออกมาได้ เพราะหากสะสมไว้นาน ๆ และไม่มีอาการ อาจก่อตัวทำให้กลายเป็น “มะเร็ง” ได้
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คำถามที่ 5 : “ประจำเดือน” มา 16 วัน อยากทราบว่าจะมีอันตรายหรือไม่?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :
เนื่องจากได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถวิเคราะห์ตามที่ผู้ถามส่งเข้ามา ดังนี้

      • ประจำเดือนมา “มากเกินไป” เพราะปกติประจำเดือนจะมาเพียง 3 – 7 วัน ต่อเดือน ร่างกายไม่สมดุล บางท่านอาจมีอาการปวด และบางท่านอาจไม่ปวดก็ได้ แต่ก็ยังมีประจำเดือนออกมา
      • “พิษสะสมมานาน” และผิดปกติ อาจเกิดจากการขับพิษออกมาทางประจำเดือน หรืออาจเป็นโรคร้ายแรงก็ได้
      • ความผิดปกติ คือ บางท่านอาจมี “ซีสต์” หรือ “เนื้องอกในรังไข่” หรือบางท่านอาจเกิดจาก “ภาวะวัยทอง” ซึ่งบางครั้งจะมีประจำเดือนมามากผิดปกติ บางท่านมานานเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถึงครึ่งเดือน จึงทำให้เสียเลือดอย่างมาก จนร่างกาย “ซีด” เมื่อไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน ก็จะให้ใช้ “ยา” ก่อน หลังจากไม่หาย ก็จะรักษาด้วย “การขูดมดลูก” หลังจากขูดมดลูกมา แล้วไม่ได้ผล ก็จะให้ “ตัดมดลูก” ออกไป ซึ่งยัง “ไม่ตรงจุด” เพราะแก้ปัญหาจากปลายเหตุ ทำให้ไม่จบ แพทย์บางท่านอาจจะให้ “รับฮอร์โมน” ไม่เกิน 5 ปี เพื่อไม่ให้เสี่ยงเป็นมะเร็ง
      • ไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการในลักษณะนี้ไปนาน ๆ เพราะจะเป็น “การเสียเลือดมากเกินไป”
      • ข้อสังเกตของผู้ที่มี “ซีสต์” หรือ “มะเร็ง” มักเกิดจากอาการประจำเดือนมา “ผิดปกติ” ซึ่งเป็นสิ่งที่มาเตือนว่า อาจจะเป็น “โรคร้ายแรง” ได้ในอนาคต โดยในปัจจุบันนี้มี “วัยรุ่น” เริ่มป่วยด้วยโรคร้ายด้วยอายุที่น้อยลง และเร็วมากขึ้นกว่าในอดีต เช่น ในอดีตส่วนใหญ่วัยรุ่นจะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปีเป็นต้นไป แต่วัยรุ่นในปัจจุบันจะเริ่มมีประจำเดือนในเกณฑ์อายุที่น้อยลง เพราะมี “พฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ และปรุงแต่ง” ซึ่งมี “สารตกค้าง” อยู่มาก จากสารเร่งโตและฮอร์โมนที่ “ฉีดในเนื้อเยื่อในสัตว์” จึงสะสมในร่างกายจนเป็นพิษ
      • ผลเสียอีกประการ คือ การมักนำอาหารไปอุ่นใน “ไมโครเวฟ” ส่งผลให้อาหารกลายรูปไปอยู่ใน “โครงสร้างที่ย่อยยาก” ร่างกายจึงดูดซึมไปใช้ไม่ได้เต็มที่ “เซลล์ที่สร้างใหม่ก็จะเพี้ยน” ทำให้มีผลข้างเคียงทางร่างกายมาก การเจริญเติบโตก็จะผิดปกติ “ควรหลีกเลี่ยง” เนื่องจากมีงานวิจัยว่า น้ำที่อุ่นจากไมโครเวฟ และปล่อยให้น้ำเย็น จากนั้นนำน้ำไปรดต้นไม้ทุกวัน ผลออกมา คือ “ต้นไม้ตาย” เปรียบเทียบกับน้ำที่ไม่ได้อุ่นไมโครเวฟ รดน้ำต้นไม้ทุกวัน ผลออกมา คือ “ต้นไม้เจริญเติบโตปกติ” จึงแนะนำให้วิธีทำอาหารปรุงร้อนที่ดีที่สุด คือ “เตาฟืน” รองลงมา คือ “เตาถ่าน” แต่ถ้าเป็นวิถีคนเมือง ก็สามารถใช้วิธี “เตาแก๊ส” ได้ และควร “ตั้งไฟกลาง” ในการปรุงอาหาร
      • แต่หากเรียนรู้ “เทคนิคยา 9 ข้อ” เพื่อปรับสมดุลร่างกายอย่างได้ปลอดภัย ก็ “ไม่จำเป็น” ต้องรักษาตามแพทย์แผนทั่วไป แต่ “ต้องปฏิบัติจริง จึงจะได้ผลจริง”
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คำถามที่ 6 : มีอาการ “กระตุก” บริเวณลิ้นปี่ ระหว่างหน้าอก มีอาการมา 2 วันแล้ว ในวันแรกมีอาการ “ไม่ถี่” ในช่วงกลางคืน แต่ในวันต่อมา “เริ่มมีอาการถี่ ทุก ๆ 1 – 4 นาที ต่อครั้ง” จะเสี่ยงเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่?

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :
เนื่องจากได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถวิเคราะห์ตามที่ผู้ถามส่งเข้ามา ดังนี้

      • แนะนำให้ผู้ถามตรวจสอบว่า “มีอาการเจ็บปวด ร่วมด้วยหรือไม่?” และอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมในอาการกระตุกของผู้ถาม เพื่อการวิเคราะห์ได้ชัดเจนมากขึ้น
      • กระตุก เป็น “อาการเกร็ง” เกิดจากเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ เป็นระบบประสาทส่วนหนึ่ง อาจมีส่วนที่ทำให้ “สะอึก” ได้หรือไม่ เนื่องจากอาจมี “ลมค้างอยู่ที่ปอด” ร่างกายจึงพยายามเอาลมออกมา เพื่อทำให้ร่างกายและลมหมุนเวียนในปอด
      • ใช้ยาเม็ดที่ 6 คือ “กดจุดลมปราณ” เพื่อทำให้ร่างกายหมุนเวียน และปรับสมดุลร่างกายด้วยยา 9 เม็ด ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง
      • น้อมรับ “วิบาก” ที่อาจเกิดขึ้นทางร่างกาย ในรูปแบบอาการต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึก “รำคาญ” บ้าง เมื่อ “วิบากหมด อาการก็จะลดลง” เช่นกัน
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คุณดวงใจ นวลดี 

คำถามที่ 7 : “เกิดลม” ในร่างกาย ดันมาที่ปากตลอดเวลา เหมือนน้ำพุที่พุ่งตลอด ถ้าเครียดน้อย จะพุ่งน้อย เครียดมาก ก็จะพุ่งมาก ไม่ค่อยขับถ่ายเพิ่งได้กลับมาดูแลตนเองด้วยศาสตร์แพทย์วิถีธรรมอีกครั้งอย่างจริงจัง มาได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว ตระหนักรู้ว่าตนเองต้องระวังเรื่องอารมณ์อย่างมาก โดยภาพรวมอาการดีขึ้น ลมลดลง จากก่อนหน้านี้จะมีอาการแย่มาก เจ็บปวดตามเนื้อตัว จิตใจแย่ รู้สึกซ่านพิษ

ก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้แพทย์วิถีธรรมจากค่ายออนไลน์มา 6 ค่าย ดูแลตนเองดังนี้

    • ยาเม็ดที่ 1 คือ “ปรับเปลี่ยนการดื่มน้ำสมุนไพรตามภาวะร่างกาย” โดยจะใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น 70% และสมุนไพรฤทธิ์ร้อน 30%
    • ยาเม็ดที่ 3 คือ “สวนล้างลำไส้ใหญ่” ด้วยน้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) หรือบางครั้งจะผสมน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น
    • ยาเม็ดที่ 5 คือ “พอก” สมุนไพรบริเวณท้องและหน้า แช่สะโพกในกะละมัง เพื่อช่วยเรื่องขับถ่าย
    • ยาเม็ดที่ 7 คือ “รับประทานอาหารพืช จืด สบาย และรับประทานอาหารตามลำดับ” โดยเรียงจากผลไม้ ผักสด ผักลวก ผักต้ม ข้าวพร้อมกับ และถั่วต้ม

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :

      • อาการโดยรวมดีขึ้นตามลำดับแล้ว เพียงแค่ยังไม่หายขาดเท่านั้น ผู้ถามเป็น “หมอดูแลตนเอง” ได้แล้ว เพราะสามารถ “อ่านร่างกายและใจ” ของตนเองอย่างดี แนะนำให้ปฏิบัติทำสมดุลร้อนเย็น ใช้ “ยา 9 ข้อ” เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ “ลดความใจร้อน” และ “ไม่เร่งผล” ที่จะอยากให้หายจากอาการเร็ว ๆ ปล่อยวาง 
      • ป่วยมาหลายปี ตอนนี้ที่ “ดีขึ้นได้เท่านี้ ก็ดีมาก” ให้ “เบิกบานที่จะยอมรับ”  ส่วนเหลือในอาการของโรคที่ยังมีอยู่ หากวางใจได้ “อยู่ดี ๆ อาการอาจจะหายไปเอง แบบไม่รู้ตัว”
      • ศึกษา “ยาเม็ดที่ 7 อย่างละเอียด” ตรวจสอบว่าในขณะที่รับประทานอาหารตามลำดับแล้ว ผู้ถามได้ “เคี้ยวอาหารละเอียดหรือไม่?” และเรียนรู้ “ฤทธิ์อาหารร้อนเย็น” เพิ่มเติม ตรวจสอบว่าตนเอง “เลือกอาหารถูกตรงกับภาวะที่ร่างกายต้องการหรือไม่?”
      • ใช้ยาเม็ดที่ 1 คือ “ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ผสมน้ำร้อน” ดื่มแบบพออุ่น หรืออาจผสม “น้ำตะไคร้” เพื่อไล่ลม
      • ใช้ยาเม็ดที่ 8 คือ “หากใจเบา อาการก็อาจจะดีขึ้น” และหากวันไหน “ไม่สามารถเอาความเครียดลงได้ ให้เข้ามาปรึกษาหมู่กลุ่มได้เสมอ”
      • ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จะเน้นใช้พุทธศาสตร์เป็นหลัก แนะนำให้ “ศึกษาความรู้ของยา 9 เม็ด” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คุณทัศนีย์​ จันทา
คำถามที่ 8 : ติดโควิด”สวนล้างลำไส้ใหญ่” แต่น้ำไม่เข้า และย้อนกลับออกมา ควรทำอย่างไร?
– ตอนนี้ในครอบครัวติดโควิด ทั้งหมด 3 ท่าน คือ พ่อบ้าน ตนเองและลูก จึงรักษาตามอาการ มีเพียงตนเองเท่าทั้นที่มาเรียนรู้ “ยา 9 เม็ด” จึงได้ทำ “น้ำ 4 พลัง” ให้สมาชิกในครอบครัวทุกท่านดื่ม สวมหน้ากากอนามัย และวางแผนว่าจะ “กัวซา” เนื่องจากต้องการ “แยกการใช้ห้องน้ำ” กับคุณพ่อคุณแม่ จึงต้องไปใช้ห้องน้ำข้างบ้าน “แต่พื้นที่ไม่กว้าง” ทำให้ไม่สามารถใช้ “ท่านอน” ในการสวนล้างลำไส้ใหญ่ได้ จึงใช้ “ท่ายืน” แต่หลังจาก “ใส่น้ำเข้าไปแล้ว น้ำไม่เข้า” และวันก่อนใส่น้ำปัสสาวะเข้าไป 2 ขวด เพื่อสวนล้างลำไส้ใหญ่ แต่มี “น้ำออกมาเพียงนิดเดียว” การที่น้ำไม่ออกมา ประเมินตนเองว่า มีภาวะ “ร้อนเกิน” โดยปกติตนเองจะสวนล้างลำไส้ใหญ่ “เป็นประจำ”อยู่แล้ว และจะวางขวดระดับต่ำกว่าไหล่
มีคำถามดังนี้
– อยากทราบคำแนะนำ “ท่าที่เหมาะสมสำหรับการสวนล้างลำไส้ใหญ่” เพื่อหลังจากที่ใส่น้ำเข้าไปในทวารแล้ว น้ำไม่ไหลย้อนกลับออกมา
– ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :

      • ตรวจสอบว่า “ลืมเปิดวาล์วน้ำหรือไม่?” และตรวจสอบว่า “น้ำสมุนไพรที่ใช้ในการทำสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) นั้น ถูกกับร่างกายในเวลานั้นหรือไม่?”
      • “หากน้ำไหลออกจากทวารเร็วเกินไป” ลองเปลี่ยนไป “ใช้น้ำสมุนไพรเป็นชนิดอื่น” เช่น น้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) น้ำอุ่น น้ำอุณหภูมิปกติ โดยต้องปรับเปลี่ยน ไปตามภาวะของร่างกาย ซึ่งแต่ละท่านจะ “แตกต่างกัน”
      • แขวนขวดที่ใส่น้ำสำหรับสวนล้างลำไส้ ให้อยู่ใน “ระดับสูงเหนือบ่า” ขึ้นไปประมาณ 70 เซนติเมตร หรือ 2 ศอก “ไม่ควรแขวนสูงเกินไป เพราะน้ำจะไหลเร็ว” แต่ “หากแขวนต่ำเกินไป น้ำก็จะตีออก จะทำให้น้ำไม่เข้าไปในทวาร”
      • หากใช้ “ท่ายืน” ในการสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) แนะนำให้ชูขวด เหมือน “เทพีเสรีภาพ” โดยขวดจะต้องสูงกว่าระดับไหล่ หรือ ใช้วิธี “แอ่นตัว และก้มโค้ง” เพื่อช่วยให้ “ศีรษะขนานกับสะโพก” จึงทำให้ “น้ำเข้าไปในทวารได้ง่ายขึ้น”
      • ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำครั้งเดียวหมดทั้งขวด “โดย 1 ขวด สามารถค่อยทยอยใส่ได้ 2-3 ครั้ง”
      • ก่อนการทำสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) แนะนำให้ “ไล่อากาศออกจากสายยาง ด้วยการปล่อยน้ำออกมาก่อน” แล้วจึงล็อกสายยางไว้ เมื่อพร้อมสวนแล้ว แนะนำให้ใส่สายยางเข้าไปในทวาร “ประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ” แล้วจึงปลดล็อก และค่อยปล่อยน้ำเข้าไปในทวาร
      • “ไม่ต้องกังวลใจ” ในเรื่องของ “เนื้ออุจจาระ” จะออกเยอะหรือน้อยก็ได้
      • “หากวางใจสบาย จะทำให้ขับถ่ายออกมาได้ดี” ของเสียจะออกมาเยอะมาก
      • “เปิดฟังบททบทวนธรรม” ในขณะสวนล้างลำไส้ใหญ่ จะยิ่งช่วยในการวางใจขณะการทำสวน ได้ดีมาก
      • การทำสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) ในเวลาที่ “พร้อม สงบ และไม่เร่งรีบ” แนะนำให้ทำในวันที่ว่าง เพราะถ้าไม่พร้อม ใจจะกังวล ทำให้มีประสิทธิผล “ได้น้อย”

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คุณสุภัค
คำถามที่ 9 : “ติดโควิด” ตรวจเจอ 2 ขีด ต้องการจะดูแลตนเองที่บ้าน ขอคำแนะนำ

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :

      • “หากไม่มีอาการ” ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข สามารถให้ดูแลตนเองที่บ้านได้ แนะนำว่า “ไม่ควรไปโรงพยาบาล” เพราะอาจนำเชื้อกลับมาที่บ้านได้
      • การกลับมาดูแลตนเองที่ “บ้าน” นั้นดีกว่า แพทย์แผนปัจจุบันบางท่านยังไม่กล้าตรวจในโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลมีผู้คนจำนวนมาก จึงยิ่งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ “จากที่ไม่ติดเชื้อ ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้”
      • ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ “การรับประทานอาหารปรับสมดุล” เช่น ข้าวต้มโรยดอกเกลือ หรือ ข้าวต้ม และผักลวก และรับประทานอาหารตามลำดับ
      • แนะนำให้ใช้สมุนไพร โดย “การต้มสมุนไพรชนิดใดก็ได้ 1 หม้อ (สมุนไพรฤทธิ์เย็น 7 ส่วน ผสม ฤทธิ์ร้อน 3 ส่วน) โดยสามารถนำมาต่อยอดใช้ได้อีกหลายวิธี” คือ ต้ม ดม ดื่ม แช่มือแช่เท้า สวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์)
      • หากมีอาการ “เจ็บคอ” แนะนำให้ใช้วิธีการ “กลั้วคอด้วยน้ำปัสสาวะ” และยาใช้เม็ดที่ 3 คือ “สวนล้างลำไส้ใหญ่” (ดีท็อกซ์)
      • หากมี “ไข้” แนะนำให้ใช้ยาเม็ดที่ 1 คือ “ดื่มน้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) ผสมผงถ่าน” เพื่อลดไข้
      • หากมี “ปัญหาระบบทางเดินหายใจ” แนะนำให้ใช้ยาเม็ดที่ 5 คือ “ดม” ด้วยน้ำสมุนไพรที่ต้ม และล้างจมูก คอ และ ตา ด้วยน้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) และใช้ยาเม็ดที่ 1 คือ “ดื่มน้ำ 3 พลัง” คือ สมุนไพรฤทธิ์เย็น ผสมน้ำมันเขียว 1-3 หยด และน้ำธรรมดา 1/2 แก้ว เขย่าขวด โดยดื่ม 3-4 ครั้ง ต่อวัน หรือ จะเป็น “ดื่มน้ำ 4 พลัง” โดยใช้สูตร “น้ำ 3 พลัง” และเพิ่มน้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) 1 แก้ว หรือ น้ำ 1-3 ช้อนชา ผสมและดื่ม ซึ่งวิธีเหล่านี้ยังช่วยบรรเทาให้อาการ “long covid” ให้ดีขึ้นอีกด้วย เพื่อทำให้หายใจโล่งขึ้น ลดอาการเจ็บคอ ล้างเสมหะในลำคอ และลดอาการอ่อนเพลีย
      • อาจใช้ยาเม็ดที่ 5 คือ “ประคบ” ด้วยสมุนไพรชนิดใดก็ได้ (สมุนไพรฤทธิ์เย็น 7 ส่วน ผสม ฤทธิ์ร้อน 3 ส่วน) นำมา “ตำหรือปั่น” ก็ได้ และนำมา “ห่อ” ด้วยผ้า โดยสามารถประคบได้เลย “แบบประคบเย็น” แต่หากมีส่วนใดอาจ “ไม่สบายตัว” ให้ลอง “นึ่ง” ห่อผ้าสมุนไพรสำหรับประคบ เพื่อนำมาลดอาการ “แบบประคบร้อน” พร้อมด้วยการใช้ยาเม็ดที่ 2 คือ “กัวซา” เพื่อทำให้กล้ามเนื้อคล้ายตัว และช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว
      • ผู้ป่วยบางท่านใช้แนวทางการรักษาผสมกันทั้ง 2 ศาสตร์ คือ “แพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือก”
      • เมื่อได้ปรับสมดุลร่างกายด้วย “ยา 9 เม็ด” จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าโรคใด ๆ ก็ไม่ต้องกลัว “เชื้อโควิดไม่ได้น่ากลัว”
      • แนะนำให้ศึกษา “คู่มือสุขภาพพึ่งตน” เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]


คุณบ้านไร่ ริมธาร
คำถามที่ 10 : คุณยายทำ “หม้อข้าวต้มหก” ใส่หลานอายุ 5 ขวบ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง หลานตกใจเอามือลูบหน้าอกจน “ถลอก” ไม่กล้าไปพบแพทย์ เพราะ “กลัวถากหน้าอก” ของหลาน เพิ่งเกิดเหตุได้ 3 วันแล้ว ขอรับคำแนะนำ

คำแนะนำจากจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม :

      • เนื่องจากเป็นแผลที่ผ่านมาได้ 3 วันแล้ว อาจต้อง “รักษาตามอาการ” ลองตรวจสอบว่าเป็นบาดแผลเปิดหรือไม่? แผลมีอาการบวมแดง หรือพุพอง แผลช้ำเปียกหรือแห้ง แผลอักเสบหรือไม่? หรือมีถุงน้ำหรือไม่? แต่กรณีหากมี “ถุงน้ำพอง” บางส่วนจะไหลออกมา หรืออาจแตกเอง แนะนำว่า “ไม่ควรเจาะ”
      • บางกรณีก็เป็น “แผลมีน้ำแห้ง เหมือนติดเป็นรอยไหม้” มีสีแดงคล้ำ จนออกสีม่วง อาจเป็นแบบนี้ประมาณ 3 วัน
      • กรณีได้รับอุบัติเหตุ “น้ำร้อนลวก” หากเพิ่งลวกใหม่ ๆ จะรักษาง่าย ด้วยการใช้ “น้ำสมุนไพรสกัดย่านาง” หรือ “น้ำสมุนไพรในตัว” (ปัสสาวะ) นำมาประคบหรือพอก เพราะมีฤทธิ์เย็น จะทำให้หายเร็ว
      • ปรับอาหารและอารมณ์ ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ รับประทานอาหารปรับสมดุล “พืช จืด สบาย” งดเนื้อสัตว์ หากรับประทานอาหารสุขภาพ จะทำให้น้ำปัสสาวะออกมา “ใส” เวลาทาที่แผลจะไม่แสบ และแผลจะหายไวมาก
      • ใช้ยาเม็ดที่ 8 คือ “ใจ” ปลอบเด็ก “ไม่ให้เกิดความกลัว”
      • กรณีศึกษา “รักษาแผลไฟไหม้” โดย คุณภัคธร คุ้มกิตติพร (ป้อม สู่ร่มบุญ) จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม เพิ่มเติม [คลิกเพื่อชมรายละเอียด]

[คลิกเพื่อชมคลิปวิดีโอ]

สรุปเนื้อหาสาระในวันนี้ คือ ไม่ว่าจะเป็นโรคหรืออาการอะไรก็ได้ เมื่อท่านตัดสินใจเลือกที่จะใช้แพทย์ทางเลือก “แพทย์วิถีธรรม” ซึ่งเป็นการไม่พึ่งแพทย์ แต่ “พึ่งตนเอง” เป็นหลัก ท่านก็จะไม่ต้องใช้ยาเคมีในการรักษาอีกต่อไป ซึ่งท่านสามารถศึกษาเรียนรู้หลักสูตรแพทย์วิถีธรรมค้ำจุนโลกได้ทุกค่ายต่อไป และลองพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเอง

รายงานข่าวโดย :

ศิริพร คำวงษ์ศรี (มั่นผ่องพุทธ) / สวนป่านาบุญ ๙ สังกัดภาคกลาง

Tags:

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *