ประเมินผล และเปิดใจ ผู้เข้ารับการอบรม รุ่น 4 – 10 พ.ย. 64

รายการสายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย
ประเมินผล และเปิดใจ ผู้เข้ารับการอบรม
แพทย์แผนไทยวิถีธรรมค้ำจุนโลก รุ่น 4
ค่ายพระไตรปิฎก ครั้งที่ 35
โดย กลุ่มแพทย์แผนไทยวิถีธรรม ค้ำจุนโลก
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564
เวลา 15.00-17.30 น.

ประเด็นเด่นจากรายการ

    • เข้าใจแล้วว่า ตั้งศีล ทำให้ “พ้นภัย”
    • “โพสแทสเซียมเกิน” กังวล เลยได้นอนโรงพยาบาล
    • พึ่งตนได้ เอาชนะกิเลส ความอยากกิน “ไข่เป็ด”
    • อยากขายมาก ก็ถูกขายมาก “ยากจัง”
    • โรคระบาดมา แต่ “เรารอด”
    • “ปฏิบัติธรรม” มานาน แต่เพิ่งหายทุกข์จากค่ายนี้
    • เป็นคนง่าย ๆ แต่ไม่ได้ “มักง่าย”
    • จัดค่ายออนไลน์ เลยได้ญาติเพิ่ม “ออสเตรเลีย”
    • ไม่มีค่ายในศูนย์ แต่ก็ยังได้ใกล้หมู่มิตร “โรคระบาดย่อโลก”
    • เงินเดือน 0 บาท ทำงานยิ่งกว่าได้ “หลักแสน”
    • “ทำจริง โชว์จริง กินจริง” อาหารพืช จืด สบาย
    • เวลาพักมีเหลืออีกเยอะ เวลาลืมตา เหลืออยู่น้อย “เร่งทำดี”
    • “กล้า”ยอมให้ปัญหาไปให้สุด ทุกข์หายเลย
    • โรคระบาดยังไม่หมด “ค่ายค้ำจุนโลก”
    • “หมอแพทย์ไทย” มาเอง พิสูจน์เอง ฆ่ากิเลสเอง ท้าให้มาเรียนรู้

[คลิกเพื่อชมคลิปวีดีโอ]

วันนี้มีพี่น้องทั้งจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วโลก และชาวค่ายเข้าร่วมรายการทั้งหมด 120 ท่าน ดำเนินรายการ โดย คุณอรุณรัตน์ ไกรลาศศิริ (หม่วย) และคุณกิ่งแก้ว ฉัตรมณีวัฒนา (เม)


ประเมินผล และเปิดใจ โดย ผู้เข้ารับการอบรม

ผู้แบ่งปันท่านที่ 1: คุณสัสยา วาทยานนท์

แต่เดิมตนเองเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์มาก่อน พอเกษียณจากการทำงานมา ตนเองรู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มเห็นสัจจะธรรมมากขึ้น แต่ก่อนเคยเป็นคนเอาแต่ใจ มีคนคอยทำให้ได้ดั่งใจจากการทำงาน ตอนนี้มาอยู่คนเดียวแล้ว พอได้ฟังธรรมะอาจารย์หมอเขียว และได้สมัครเรียนในค่าย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว จากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่พอได้ฟังธรรมบ่อย ๆ มันได้ซึมซับเข้าไป และได้เข้าใจมากขึ้น และก็ไม่เคยรู้ว่ามาก่อนเลยว่า “การตั้งศีล จะช่วยให้เราพ้นภัยได้” คำนี้ไม่เคยมีใครสอน มีแต่อาจารย์หมอเขียวนั้นที่สอนแบบนี้ ตอนนี้เริ่มเชื่อแล้ว เรื่องที่เราไม่ควรฆ่าสัตว์ แม้ตัวเล็กตัวน้อย อย่างเช่น ยุง หรือ แมลง ขอบคุณในความเมตตาของทุก ๆ ท่าน โชคดีที่ได้เกิดมา แล้วเจอหมู่มิตรดี


ผู้แบ่งปันท่านที่ 2: คุณ ธีระเดช หน่อแก้ว (คำถามสุขภาพ)

ไปตรวจสุขภาพมา ผลเลือดคือโพรแทสเซียมเกิน หมอเลยให้นอนโรงพยาบาล ห้องไอซียู อยากขอคำแนะนำวิธีการลดโพรแทสเซียม และมีความกังวลใจในเรื่องนี้ รวมถึงมีคนแนะนำให้ดื่มน้ำผักปั่น ตนเองเลยใช้ผักเป็น 10 อย่าง

คำแนะนำ:

    • ทางแพทย์วิถีธรรม เราจะเน้นการดูผลแล็บของร่างกายเป็นหลักว่า เรารู้สึกสบายหรือไม่สบาย เราไม่ได้เน้นดูผลแล็บจากโรงพยาบาล ร่างกายของเราคือผลแล็บที่เที่ยงแท้แน่นอน
    • บางท่านมีผลแล็บจากโรงพยาบาลที่ดีหมดเลย แต่ร่างกายหนักเนื้อหนักตัว ไม่สบาย อ่อนเพลีย ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิต
    • ถึงผลแล็บนั้น ตัวเลขจะมากไปหน่อย น้อยไปหน่อย แต่ร่างกายของเราเบาสบาย มีกำลัง มีความเป็นอยู่ผาสุก อันนี้เราถือว่าดีกว่ายึดผลแล็บจากโรงพยาบาล
    • มีบางท่านที่มีผลความดันสูงกว่าปกตินิดหน่อย ร่างกายของท่านก็แข็งแรงดี พอคุณหมอให้ทานยาลดความดันมาทาน และค่าความดันก็ลดลงเป็นปกติด้วย แต่ท่านมีอาการปวดศีรษะทั้งวันเลย
    • ทีนี้เราต้องตัดสินใจเรื่องเองแล้วว่า เราจะเลือกมีค่าเลือดปกติ หรือร่างกายปกติ การยึดค่าผลแล็บ จะทำให้เราเครียดและกังวลได้
    • สำหรับการดื่มผักปั่น ให้เราใช้อย่างสมดุล โดยใช้หลักปรับสมดุลร้อนเย็นให้อยู่ในความพอดี ถ้าร่างกายร้อน ให้ใช้ผักฤทธิ์เย็น หากร่างกายเย็น ให้ใช้ผักฤทธิ์ร้อน
    • ให้ใช้หลักธรรมะ โดยเราดูที่เหตุ พอเราพบเหตุ เราก็แก้ได้ แล้วมันก็ดับ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้คือ เกิดดับ เกิดดับ ให้เรามาดูกันดีกว่าว่า ที่เรากินอะไรเข้าไปนั้น มันมีร้อน มีเย็นอะไรบ้าง และลองตรวจสอบว่ายา 9 เม็ดนั้น เราขาดตรงไหนบ้าง
    • พอเรารู้เหตุแล้ว ใจเราก็จะสบาย ใจก็จะคลาย ให้เราใช้ยาเม็ดที่ 8 คือธรรมะ และใช้อาริยสัจ 4 ทุกวัน
    • ตอนที่ยังไม่ได้ฟังผลแล็บ ร่างกายก็สบายดี ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่พอฟังผลแล็บจากหมอเท่านั้นแหละ ใจก็เครียด กังวล เลยต้องเข้าห้องไอซียูเลย
    • แนะนำให้ชมคลิปด้านล่าง ที่อาจารย์หมอเขียวได้อธิบายเรื่องความกังวลเรื่องผลเลือดไว้ [คลิกเพื่อรับชมวีดีโอ]

ผู้แบ่งปันท่านที่ 3: คุณ มงคลชัย วิชาธรรม

ตนเองได้เข้าค่ายอบรม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ได้ติดตามฟังผ่านมือถือ วันนี้อยากแบ่งปันเรื่องการพึ่งตน ตนเองได้มีโอกาสรับชม ตอนที่อาจารย์หมอเขียวพาไปแปลงนา สิ่งที่รับคือ ได้รู้ว่าอาหารนั้นเป็นหนึ่งในโลก ตอนนี้ตนเองก็ได้พยายามทำกสิกรรมไร้สารพิษ พอตนเองได้เข้ามาเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม ความทุกข์ของตนเองก็คลายลงเป็นลำดับ ก็ยังคงมีความทุกข์บ้าง แต่ก็สามารถกำจัดลงไปได้ ทำให้จิตใจสบาย ตนเองได้ฟังอาจารย์บรรยายธรรมะ เรื่องให้จับตัวกิเลส ก็มีเรื่องเล่าคือ ได้เห็นมะพร้าวตกลงไปในสระน้ำ 6 – 7 ลูก ตนเองคิดจะเก็บมา และนำไปทำน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อน ในขณะที่ลงไปเก็บนั้น ตาก็เหลิบไปเห็นไข่เป็ด ตนเองเลยมีความรู้สึกหิว ตอนนั้นเวลาก็เกือบเที่ยง ใจมันแว็บนึกว่าจะขอลดศีลกับอาจารย์ และจะไปทานไข่ สักพักตนเองเริ่มจับได้แล้วว่า นี่คือกิเลส มันคือกิเลสที่จะมาขี่คอเรา เลยบอกตนเองว่า “มีแต่คนอื่นเขาจะตั้งศีลให้สูงขึ้น แต่เรามาตั้งศีลให้ลดลง ทำได้ยังไง คิดได้ยังไง” กิเลสมันคอยรุกรานเราตลอดเลย พลางนึกถึงคำสอนอาจารย์ว่า ไม่ให้เราเบียดเบียนสัตว์ ตนเองเลยตัดสินใจที่จะไม่ทานไข่ และหันไปทานพืช จืด สบาย โดยปรุงรสด้วยเกลือตามที่ได้เรียนรู้จากการอบรมมา พอเราทานแล้ว ก็รู้สึกสบายกาย แต่อาจจะดูว่ารูปร่างผอมไปหน่อย มีคนรอบข้างมาทักบ้าง แต่ใจก็ไม่หวั่นไหว เพราะร่างกายของเราก็มีกำลัง ทำงานได้เกือบทั้งวัน สมัยก่อนเข้าอบรม ตนเองก็ไม่เคยได้สนใจเรื่องอาหาร แต่พอได้มาเจอหมู่มิตรดีทั่วโลกมาร่วม ตนเองก็ได้ฝึกฝนทดลองทำอาหาร และดีใจที่ได้ชนะกิเลสในเรื่องนี้ และรู้สึกว่าตนเองมีความก้าวหน้า ก่อนที่จะมาเจออาจารย์หมอเขียว ตนเองก็มีค่าเบาหวาน ค่าน้ำตาลสูง คุณหมอก็ให้ยามาทาน ตนเองก็ไม่ได้ทานยา ก็พยายามศึกษาหาข้อมูลในการดูแลตนเองหลายอย่าง จนมาเจออาจารย์หมอเขียว เลยได้ดูแล ปฏิบัติตาม ตอนนี้พอไปตรวจกับคุณหมอ คุณหมอไม่ได้ให้ยาเบาหวานมาทานแล้ว แต่ตอนนี้อาจจะยังมีอีกโรคนึงที่กำลังรักษาอยู่ ก็คือ ริดสีดวง ปัจจุบันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องใช้เวลา และโดยรวมคือ สุขภาพแข็งแรงดี รวมถึงได้มีโอกาสดูแลคุณแม่อายุ 90 ปีที่ป่วยติดเตียงอยู่ โดยให้ดื่มน้ำสมุนไพรในตัวนาโน ทำสวนล้างลำไส้ และกดจุดลมปราณให้ท่าน ท่านก็อาการดีขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น อารมณ์ดี สดชื่นขึ้น ลุกนั่งเองได้ ตอนนี้ไม่ต้องทานยาลดเบาหวานแล้ว จนคุณหมอที่รักษายังแปลกใจ ตนเองรู้สึกมีความภาคภูมิใจที่ได้มารู้จักศาสตร์นี้ เราก็ได้ใช้กับคนรอบข้างของเรา


ผู้แบ่งปันท่านที่ 4: คุณ ปาวิดา ทองธวัฒน์

ตนเองได้เข้าค่ายมา 3 รุ่นแล้ว อยากจะขอแบ่งปัน สิ่งที่ได้คือ ตนเองได้รู้แล้วว่า ที่ผ่านมานั้น ตนเองได้ใช้ชีวิตในการเพิ่มกิเลสมาโดยตลอด ตนเองทำอาชีพค้าขาย เราอยากจะขายของให้ได้เยอะ ๆ อยากทำกำไรให้ได้เยอะ ๆ แต่ก่อนก็พยายามหาคอร์สเรียนที่สอนในการปิดการขายให้ได้มาก ๆ อีกเรื่องคือ เวลาทำอาหาร ตนเองก็จะคอยคิดสูตรตลอดเวลาเลยว่า มีวิธีไหนที่จะทำให้คนมาทานอาหารของเราเยอะ ๆ ซื้อของของเราเยอะ ๆ พยายามคิดสูตรที่ทำให้มันอร่อย และไม่น่าเบื่อ ตอนนี้สิ่งที่สังเกตได้คือ ตนเองรู้สึกว่า ตนเองถูกขายของตลอดเวลาเลย แม้กระทั่งหยิบมือถือขึ้นมา ตนเองก็คอยซื้อของตลอดเวลาเลย กดซื้อ กดซื้อ เหมือนกัน เรื่องอาหารก็เช่นกันคือ ใจของตนเองก็อยากจะทานมื้อเดียว หรือจะลดของหวาน มันก็ทำได้ยากมากเลย รู้สึกทุกข์ทรมานมาก ซึ่งตนเองได้รู้แล้วว่า ที่ตนเองทำได้ยาก เพราะมาจากผลกรรมของเราในอาชีพที่เราต้องการค้าขาย และได้เห็นชัดเจนว่า ผลกรรมนั้น เราไม่ต้องรอเลย เราได้รับแล้วในชาตินี้ พอมีวิบากเข้ามา หากเป็นสมัยก่อนก็คงทุกข์กว่านี้ แต่ตอนนี้ตนเองก็ไปผ่านไปได้ ส่วนเรื่องสุขภาพและอาหารนั้น ตนเองไม่ได้มีปัญหาเรื่องสุขภาพอะไรเป็นพิเศษ แต่สนใจวิธีการดูแลสุขภาพ เมื่อก่อนอาจจะมีอาการท้องอืดบ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีอาการแล้ว รู้สึกว่าตนเองสุขภาพดีขึ้น และสามารถทำโยคะได้ พร้อมยังฝึกความมีวินัยอีกด้วย ตนเองยังได้มีโอกาสชมคลิปของอาจารย์ ในการทานอาหารแบบแยก และเรียงตามลำดับ พอได้ทำ ก็รู้สึกดี และเข้าใจเรื่องธรรมะที่อาจารย์สอนว่า ทุกเรื่องมันมีความสอดคล้องกันหมดจริง ๆ ตนเองก็ได้มีโอกาสแชร์การทำโยคะและการฝึกลมหายใจให้คนรอบข้างดู ก็มีคนสนใจสอบถามเข้ามาบ้าง ตอนนี้รู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างเลย ที่ทำให้ตนเองได้มาเจอกับท่านอาจารย์หมอเขียว ซึ่งท่านเป็นสัตบุรุษแท้ และได้มาเจอกับพี่ ๆ จิตอาสาและหมู่มิตรดีทุกท่าน


ผู้แบ่งปันท่านที่ 5: คุณ วิไลวรรณ​ ชุมทอง

ตนเองเป็นข้าราชบำนาญ อาศัยอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ปกติเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดี แต่คนในครอบครัวมีสุขภาพไม่ดี ท่านเป็นโรคเบาหวาน ตนเองก็ได้ดูแลท่านอยู่ และพยายามเตือนให้ท่านได้ใช้วิธียา 9 เม็ด แต่ก่อนท่านต้องทานยาและหาหมอตลอด ตอนนี้ท่านบอกว่า ท่านไม่ต้องไปหาหมอแล้ว ท่านจะดูแลตัวเอง เมื่อไหร่ที่มีโอกาส ตนเองจะเข้ามาฟังการอบรมตลอด ถึงแม้จะมีภาระงานเยอะมาก ทุกครั้งที่ได้มาฟัง ตนเองก็จะได้ความรู้เพิ่มเติม และได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ จากหมู่มิตรดี ตนเองได้เรียนรู้ธรรมะทุกวัน และได้มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย พอได้นำไปใช้แล้ว รู้สึกว่าตนเองมีสุขภาพที่ดีขึ้น เบากาย สบาย เบาตัวมากขึ้น และได้นำไปใช้และแบ่งปันความรู้ให้กับคนรอบข้างด้วย
จริง ๆ แล้ว ตนเองได้ติดตามหมอเขียวมาหลายปี จากยูทูปหมอเขียวทีวี แต่ครั้งนี้เพิ่งจะได้เข้ามาอบรม แต่ก่อนมีความตั้งใจว่า ถ้าได้มาที่ชะอวด ก็จะมาร่วมเข้าค่ายด้วย ตนเองสนใจเรื่องกสิกรรมไร้สารพิษมาก ตอนนี้ที่บ้านก็ได้ทำอยู่ ตนเองก็ได้เรียนรู้จากปราชญ์หลาย ๆ ท่าน สมัยก่อนไม่เคยทำนาเลย ตอนนี้ก็มาสนใจทำนา และจะทำด้วยความรัก
ตั้งแต่มีโรคระบาดมา ตนเองและครอบครัวก็ไม่เดือดร้อนเลย มีของกินทุกวัน และมีเหลือแบ่งปัน ตนเองได้มีโอกาสสั่งข้าว และน้ำพริกเจมาทาน ก็ชอบมาก และตั้งแต่เข้าค่ายอบรมมา ตนเองก็ทานอาหารเจมาโดยตลอด จะตั้งปณิธานที่จะไม่ทานเนื้อสัตว์ ตอนนี้ก็ไม่ได้ทานมาได้เดือนกว่าแล้ว ก็รู้สึกว่า อะไรที่ได้ฝึกฝนมา สั่งสมมา ก็ทำให้เรามาเจอหมู่มิตรดีมากขึ้น ๆ รู้สึกดีใจมาก ๆ


ผู้แบ่งปันท่านที่ 6: คุณ ณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง

จากการได้ทำอาชีพเป็นช่างเย็บผ้ามานาน และใช้อิริยาบถเดียวในการทำงาน ก็ทำให้มีอาการเจ็บบ่า ปวดหลัง ปวดต้นคอ พอได้เลิกอาชีพนี้ไปแล้วหลายปี อาการก็ยังไม่หาย ตนเองก็พอใช้ชีวิตได้อยู่ แต่คนอื่นก็จะไม่รู้ว่าเรามีอาการ ตนเองเคยเข้าค่ายกับอาจารย์หมอเขียวมาก่อน เคยได้ซื้อไม้กัวซามาจากค่าย แต่ไม่ได้ใช้ เพราะทำไม่เป็น แต่พอมีค่ายออนไลน์ ก็ได้มาทำกัวซาเป็น พอทำแล้ว ร่างกายของเราสบายขึ้น และตนเองก็ได้มาฝึกโยคะด้วย ถึงจะตื่นทันบ้างไม่ทันก็ตาม บางวันก็มีกิเลสความขี้เกียจอยู่ ตอนนี้รู้สึกว่าตนเองมีสภาวะจิตที่ดีขึ้น จากเมื่อก่อน พอเจออะไรมากระทบ อย่างเช่น ตอนเวลาไปวัด ยังคิดว่าทำไมคนนี้เป็นแบบนั้น ทำไมคนนั้นเป็นแบบนี้ ก็ล้างใจไม่เป็น มองไม่เห็นเลย ขนาดว่าเราเป็นคนปฏิบัติธรรมนะ เราได้ปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิ ตนเองชอบไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อน หากไม่ติดภาระอะไร พอไปปฏิบัติธรรมแล้ว กลับมาบ้าน ก็เหมือนเดิม ตนเองก็ยังเป็นคนดุเหมือนเดิม ดูกิเลสของตนเองไม่เป็น รู้อยู่แค่ว่าเรารักษาศีล 5 ของเราครบ รู้แค่นี้ แต่ตนเองไม่รู้เรื่องการปฏิบัติแบบละเอียดว่าเป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันตนเองได้รู้แล้ว จากการเข้าค่าย และได้ฟังอาจารย์หมอเขียวบรรยายทุกวัน ตนเองฟังได้แบบไม่เบื่อ ตอนนี้ตนเองก็เริ่มล้างความยึดมั่นถือมั่น ล้างกิเลส แต่ก่อนไม่รู้จักว่ามันเป็นอย่างไร รู้แค่ว่า อะไรก็ไม่ใช่ของเรา เราต้องคืนธรรมชาติไป แต่ไม่รู้วิธีการทำจิตให้มีความสุขจากการแบ่งปันอย่างไร และมีแต่คำถามว่าทำไม ๆ ๆ และก็ไปโทษคนอื่น และไม่รู้จักดูตนเองว่า เราทำมา เราทำมา พอเราได้เห็นแล้ว ใจของเราดีขึ้น ถ้าเราไม่คิดว่าเราทำมา วิบากก็ตามเราไปในชาติต่อ ๆ ไป


ผู้แบ่งปันท่านที่ 7: คุณ นิตยา คาร์โดน่า

ตนเองคิดว่าวันนี้ต้องแบ่งปันให้ได้เลย หากมีบุญกุศล รู้สึกตื่นเต้นมาก ปัจจุบันอาศัยอยู่ประเทศออสเตรเลีย อาศัยอยู่กับลูกชาย โดยกำเนิดเป็นคนอีสาน ตนเองได้เข้าอบรมครั้งนี้เป็นครั้งแรก เข้าร่วม 10 วัน ไม่เคยขาดเลย ปกติเป็นคนไหว้พระ สวดมนต์ทุกวัน และปฏิบัติศีลอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตนเอง ก่อนมาเข้าค่าย ตนเองมีอาการป่วย ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น และได้ศึกษาตามคลิปยูทูปต่าง ๆ ที่มีคนอื่นปรับเรื่องอาหาร แล้วพวกเขาดีขึ้น แต่สงสัยว่า “ทำไมเรายังไม่ดีขึ้นสักที” โดยส่วนตัวตนเองก็เป็นคนที่มีความกล้าอยู่แล้ว คิดว่า “เราจะเป็นอะไร ก็เป็น เราเป็นคนง่าย ๆ แต่ไม่ได้มักง่าย “ พอได้มาเรียนรู้ในค่าย จึงรู้ว่า ที่ตนเองป่วยนั้น เป็นเพราะว่าตนเองทานแต่อาหารฤทธิ์ร้อน พอได้ทานน้ำผักปั่น อาการก็ดีขึ้น ตนเองได้มีโอกาสได้เข้าไปชมคลิปเกี่ยวกับสมุนไพรในตัว จริง ๆ ตนเองก็เคยดื่มมาแล้ว ตั้งแต่ตอนอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ปี ช่วงนั้นตนเองเป็นโรคภูมิแพ้ โรคริดสีดวงจมูก และแพ้อาหาร ก็เลยลองดื่มดู แต่ก็ยังไม่เคยสังเกตตนเองว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ ก่อนหน้านี้ขอสารภาพเลยว่า “เกิดมา ไม่เคยรู้จักหมอเขียว และสงสัยว่า หมอเขียวคือใคร?” พอได้มาเจออาจารย์หมอเขียว ได้ฟังธรรมะมาเรื่อย ๆ ตนเองรู้สึกขนลุก แบบว่า “มีอย่างนี้ด้วยเหรอที่เมืองไทย” และรู้สึกว่าพระพุทธเจ้า ท่านมาช่วยเราแล้ว เลยตัดสินใจดื่มน้ำสมุนไพรในตัวเลย ตนเองได้เจอคลิปเกี่ยวกับการสกัดน้ำสมุนไพรในตัว ตนเองก็รีบไปหาอุปกรณ์มาทำเลย ไปหาซึ้งมาเลย และเริ่มเก็บน้ำสมุนไพรในตัวของตนเอง ที่แปลกใจที่สุดคือ เรื่องของลูกชายที่เป็นลูกครึ่งอายุ 9 ขวบ พอตอนอาบน้ำ ตนเองก็ลองถามลูกชายว่าลองดื่มไหม ลูกชายก็ลองดื่มเลย ตนเองก็เดาว่า น่าจะเป็นเพราะตนเองเป็นคนง่าย ๆ ลูกชายก็เลยทำได้ด้วย ตนเองก็ตื่นเต้นมาก เลยโทรไปเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณพ่อก็เป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน และต้องทานยาจิตเวช ด้วยความที่ตนเองรักคุณพ่อ ก็เลยตัดสินใจลองถามท่านว่า “ลองดื่มน้ำสมุนไพรในตัวดูไหม หนูดื่มแล้ว หนูดีขึ้น มันเหมือนกับว่า มีชีวิตใหม่เลย” พอตนเองได้ฟังน้ำเสียงของคุณพ่อที่ตอบกลับมา ก็คิดว่า คุณพ่อต้องไม่ลองแน่ ๆ ท่านก็ตอบ “อือ ๆ” คล้าย ๆ เหมือนไม่อยากขัดใจเรา ตนเองเลยลองคุยกับคุณแม่ ลองชวนให้ท่านลองดื่มดู พอ 1 สัปดาห์ผ่านไป คุณแม่บอกว่า ท่านเริ่มรู้สึกมีกำลังและเชื่อเรื่องนี้มาก ท่านรู้สึกว่า ทำงานแล้วไม่เหนื่อย ปกติท่านจะเป็นคนที่เหงื่อออกเยอะมาก แต่ท่านบอกว่า ตอนนี้ไม่มีเหงื่อแล้ว เหมือนกับรู้สึกเป็นสาวอีกครั้ง และได้บอกคุณแม่ว่า ถ้ามีเปลือกมังคุด และที่บ้านมีใบสาบเสือ ใบรางจืด ใบย่านาง ก็ให้เอาไปดองไว้กับน้ำสมุนไพรในตัวด้วยนะ คุณแม่ก็ลองทำ โดยให้หลาน 4 ขวบเป็นคนดองยา และนำน้ำสมุนไพรในตัวของหลานไปใช้ด้วย เพราะน้ำสมุนไพรของเด็ก ๆ นั้นจะใส ๆ แสดงว่าแข็งแรง และใช้น้ำนี้ไปนวดตัวให้คุณพ่อ เวลาปวดเมื่อย คุณแม่ได้เล่าว่า หลานอีกคนนึงอายุ 1 ขวบ ไปหาที่ทุ่งนา แล้วหลานนั้นมีอาการน้ำเหลืองไม่ดี เวลาโดนยุงกัด จะคันตลอดเวลา คุณแม่ลองบอกว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ลองเอาน้ำสมุนไพรในตัวของพวกเขาลองทาให้ลูกดู ปรากฏว่าตลอดทั้งวัน หลานไม่มีอาการคันเลย มีอีกเรื่องคือ วันนึงคุณแม่ปวดฟัน คุณพ่อก็แซวว่า “เห็นบอกว่าน้ำสมุนไพรในตัวดีนักนี่ ทำไมไม่เอาไปอมด้วยเลย” พอคุณแม่ได้ยิน ก็คิดได้ว่า จริงด้วย น่าจะลองอมดู คุณแม่จึงเรียกหลานชายให้เอาน้ำสมุนไพรในตัวของหลานมาให้ พออมเสร็จแล้ว นอนหลับไป ตื่นขึ้นมา อาการปวดฟันก็หายไปเลย
ตนเองรู้สึกดีใจมาก ยกมือสาธุเลย ปัจจุบันตนเองก็ได้ปฏิบัติตามวิธียา 9 เม็ด ได้ลองทำสวนล้างลำไส้ ทำโยคะ กดจุดลมปราณ ฝึกลมหายใจ ทานอาหารปรับสมดุลร้อนเย็น พอผ่านไป 1 เดือน ได้มีโอกาสทำอาหารสูตรหมอเขียว ให้เพื่อนที่มาเยี่ยมบ้านได้ทาน เพื่อนบอกว่า “เป็นหมอได้เลยนะเนี่ย” ขอขอบพระคุณอาจารย์หมอเขียวมากเลย ที่ได้ให้ข้อมูลแบ่งปัน โดยส่วนตัว ตนเองเป็นคนชอบช่วยเหลืออื่นอยู่แล้ว ตนเองมีผักที่ปลูกไว้ ก็จะนำไปแจกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนสอนภาษาไทยตลอด ตนเองดีใจที่รู้ว่า ที่ออสเตรเลียก็มีจิตอาสาอาศัยอยู่ด้วย จะได้ขอปรึกษา สอบถามเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรและสุขภาพ


ประเมินผล และเปิดใจ โดย จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ประเทศออสเตรเลีย

จิตอาสาท่านที่ 1: คุณ ภัทรศรี สุขวิเศษสม (หล้า)

ตนเองขอบคุณรายการสดครั้งนี้ด้วย เพราะปกติตอนทำค่ายที่ออสเตรเลียที่เป็นค่าย 1วัน ตนเองก็ต้องพยายามให้ความรู้อัดแน่นภายใน 1 วัน และด้วยที่ตนเองมีจิตอาสาที่ร่วมจัดค่ายกันเพียง 2 คน รู้สึกเหมือนอินทรีย์พละของเราไม่พอ บารมีของเรายังไม่พอในการจัดค่าย พี่น้องหลายท่านที่เข้ามาอบรม เข้ามาเรียนรู้ แล้วท่านก็หายไป ท่านก็ได้ความรู้นิดเดียว แต่พออาจารย์ได้มาจัดค่ายออนไลน์ ตนเองก็ส่งลิงก์การเข้าอบรมไปให้พี่น้องในกลุุ่มไลน์ทุกวัน
จากจุดนี้ ปรากฏว่า เราได้พี่น้องที่สนใจมาเรียนรู้เพิ่มขึ้น เหมือนกับกุศลของท่านถึงรอบ แต่ละท่านก็ไม่ได้มาเล่น ๆ หรือเพื่อลองของ เหมือนสมัยก่อนที่มาจัดค่ายที่บ้าน
ตนเองก็มีพ่อบ้านที่คอยอุปถัมภ์ในการจัดค่ายเดือนละครั้ง พ่อบ้านก็จะบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า “จำไว้เลยนะ เวลาจัดค่ายทุกครั้งในแต่ละเดือน เราได้พี่น้องเพิ่มมา 1 คนก็พอ ก็ดีมากแล้ว ที่ท่านพอจะทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเป็นเองได้ ที่เหลือค่อยว่ากันใหม่” ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์และพี่น้องทุกท่านที่ทำให้พี่น้องทางออสเตรเลียเติบโตขึ้น อนุโมทนาสาธุ


จิตอาสาท่านที่ 2: คุณ อรวิภา กริฟฟิธส์ (อร)

ตนเองพอได้มาร่วมบำเพ็ญกับพี่น้อง ก็เห็นความเจริญในธรรมและความเปลี่ยนแปลง แม้แต่ในตนเองก็คือ ตั้งแต่อาจารย์หมอเขียวได้ให้หลักความกล้า 8 ประการ ตนเองก็รู้สึกว่าตนเองกล้าขยับมากขึ้น และเพิ่มศีลของเรามากขึ้น อาจารย์บอกว่า “ถ้าตนเองไม่กล้าขยับ แล้วคนอื่นจะเข้ามาได้อย่างไร” และพอเราได้มารวมตัวกันเหมือนที่อาจารย์บอกว่า “น้ำย่อมไหลไปหาน้ำ น้ำมันย่อมไหลไปหาน้ำมัน” ตั้งแต่ปี 2563 ที่เรามีโรคระบาดมา และเราได้มีการสื่อสารกันทางออนไลน์ ตนเองรู้สึกรู้สึกว่า ถึงโรคระบาดนี้จะเป็นวิกฤตทั่วโลก แต่เราก็นำวิกฤตนี้กลายมาเป็นสิ่งที่ดี คือตนเองได้มารู้จักพี่น้อง ได้คุยกับพี่น้องมากขึ้นในไลน์ ปกติตนเองจะกลับเมืองไทยปีละ 1 – 2 ครั้ง และได้ไปเข้าร่วมค่ายที่เมืองไทย แต่ปัจจุบันนี้่ตนเองได้เข้าค่ายกับพี่น้องทุกวัน ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น และได้ประโยชน์จากตรงนี้มากเลย แต่ก่อน เวลาตนเองอยู่ที่บ้าน ตนเองก็ปฏิบัติของตนเองไป แต่คนรอบข้างเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเรา ตนเองจึงไม่ได้มีโอกาสไปแชร์สภาวธรรมสักเท่าไหร่ แต่พอมีค่ายออนไลน์แล้ว ทำให้ตนเองได้มาพูดคุยกับพี่น้อง และได้แลกเปลี่ยนสภาวธรรมกัน การได้แลกเปลี่ยนสภาวธรรมนั้น ทำให้เราเจริญขึ้น และการตั้งศีลของตนเองก็มั่นคงมากขึ้น เวลาที่ตนเองทำอะไรผิดพลาด ก็มีโอกาสได้มาแชร์สภาวธรรมให้พี่น้องฟัง ก็จะมีพี่น้องก็ได้เข้าช่วยเหลือแบ่งปัน เราอยู่ไกล อยู่คนละมุมโลกเลย แต่การที่เราได้ปฏิบัติแนวเดียวกันนี้ ทำให้มันได้พลัง พลังอันนี้มีจริงนะ ซึ่งแต่ก่อนตนเองมีพลังในเรื่องของความอยากทำตามกิเลส เราทำทุกสิ่งให้ได้มาสมใจอยาก ซึ่งพลังตรงนั้นก็ดึงให้เราไปดิ้นรนเพื่อที่จะหามาเสพ แต่พอตนเองได้มาหยุดพลังความอยากอันนั้น เรามาได้สัมมาทิฐิในทางที่ถูกต้องถูกตรง มาลด ละ เลิกความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นและสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายของเรา เราได้มาใช้สิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย พอตนเองได้มาทำแบบนี้ แทนที่ชีวิตของเราจะยุ่งยาก แต่รู้สึกว่า ตอนนี้ชีวิตสบายขึ้น ทั้ง ๆ ที่เราเอาออกได้นะ แต่เรากลับได้มา มันได้สุขที่แท้จริง สุขที่ยั่งยืน สุขที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราอยาก แต่เราสุขได้ แม้เราจะไม่ได้ตามที่เราอยาก
แต่ก่อนตนเองก็ยังไม่ได้เห็นสิ่งนี้ แต่อาจารย์หมอเขียวก็พร่ำบอกว่า ให้ตั้งศีลขึ้นมาปฏิบัติ สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นมันชัดเจนเลย และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ตอนแรกที่ได้เข้ามาแพทย์วิถีธรรม ตนเองก็ไม่ได้เป็นผู้ป่วย และตอนนั้นก็ยังปฏิบัติตนไม่ถูกเกี่ยวกับการตั้งศีล ตอนนั้นยังรู้สึกว่าตนเองก็มีความสุขดีนะ เราไม่รู้ว่า เพราะว่าเราสนองกิเลสตนเองได้ มันก็เลยสุข
แต่พอตนเองได้มาตั้งศีลปุ๊บ เลยได้เห็นว่ากิเลสมันดิ้น พอได้มาตั้งศีลลด ละ เลิกการกินหลายมื้อเนี่ย ตนเองได้เห็นกิเลสเลยว่า มันจะเอาให้ได้ มันมีความทรมาน และได้เห็นสภาวะตรงนั้นเลย อีกทั้งยังได้ฝึกการประมาณ ตนเองได้มาเห็นแล้วว่า ถ้าเราทำผิดศีล มันมีพิษภัย มีวิบากร้ายเข้ามาทันทีเลย ตนเองก็ได้ปฏิบัติมาเป็นลำดับ ๆ ถ้าเราไม่ได้มาทำ เราก็ไม่ได้เห็นตรงนี้เลย แต่ก่อนตนเองก็เคยห่วงคนนั้นคนนี้ ห่วงคนทางบ้าน ตนเองก็จะทำงานหาเงินมาก ๆ กิเลสมันหลอกว่า ตนเองนี่แหละ จะจัดการให้เกิดความสมบูรณ์ แต่นี่คือเราก็ได้เบียดเบียนตนเอง นี่คือการผิดศีล แต่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยรู้มาก่อน เราไม่คิดว่าเราทำผิดศีล เราคิดว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ก่อนตนเองไม่กล้าหยุดงานเลย แต่ตอนนี้ตนเองกล้าที่จะลาออกจากงาน ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาจะรู้สึกตกใจมากว่า เอ๊ะ! คนอื่นเขาไม่มีงานทำนะ แต่โชคดีเรามีกุศล วิบากลด ตนเองเลยได้มาทำกสิกรรมและได้มาบำเพ็ญกับหมู่มิตรดี ตนเองรู้สึกขอบคุณมากที่ได้มาร่วมบำเพ็ญกับพี่น้อง


ประเมินผล และเปิดใจ โดย จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ภาคกลาง

จิตอาสาท่านที่ 1: คุณ อรุณรัตน์ ไกรลาสศิริ (หม่วย)

สมัยก่อนจะมีโรคระบาดเข้ามา เราจะจัดค่ายในศูนย์ ซึ่งตนเองได้บำเพ็ญงานเป็นแม่ครัว ปกติในค่าย ผู้เข้าอบรมในค่ายสุขภาพจะรับประทานอาหาร 3 มื้อ ตนเองก็จะทำงานอยู่ในครัว และในครัวกับสถานที่อบรมสัมมนาก็จะอยู่ห่างกัน แต่ก็จะมีลำโพงในศูนย์ที่เราสามารถได้ฟังการอบรมได้ และฟังอาจารย์หมอเขียวได้ ระหว่างทำงาน ตนเองก็ได้ยินการอบรมบ้าง ไม่ได้ยินได้บ้าง เพราะมัวแต่บำเพ็ญงานอยู่ ก็ไม่ได้มีโอกาสมานั่งอยู่หน้าจอ ฟังการอบรมใกล้ชิดแบบปัจจุบันนี้ สิ่งที่ได้อย่างมากเลยกับการจัดอบรมออนไลน์แบบนี้ ซึ่งจัดมาแล้ว 6 เดือน ก็คือ ตนเองรู้สึกว่า เนื้อหาสาระ ไม่ว่าจะข้อธรรมะ หรือการดูแลสุขภาพยา 9 เม็ด เราได้ความรู้เยอะกว่าตอนที่ตนเองได้บำเพ็ญเป็นจิตอาสามาตั้งแต่ปี 2556 ซะอีก
ตนเองรู้สึกว่าเป็นประโยชน์อย่างมากเลย แม้ตัวเราเองที่เป็นจิตอาสาก็ได้นำมาปฏิบัติด้วยเช่นกัน และได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งมากขึ้น แล้วยิ่งมีการจัดรายการสายด่วน ตอบคำถามสดแบบนี้ จิตอาสาทั่วประเทศไทย และทั่วโลก ที่ปกตินั้น เวลาจัดค่าย ก็จัดกันคนละที่ ก็ไม่สามารถมาร่วมบำเพ็ญได้ ตอนนี้เราก็มาร่วมบำเพ็ญด้วยกัน และมีความสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น เพราะเราได้เจอกันทุกวัน ตอนนี้ตนเองคุยกับกับพี่น้องผ่านออนไลน์มากกว่าคุยกับสมาชิกภายในบ้านสักอีกนะ ตื่นเช้ามา ก็เข้ามาร่วมรายการ และได้มีปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับจิตอาสาที่อยู่ภาคอื่น ๆ พี่น้องก็ให้คำแนะนำมา


จิตอาสาท่านที่ 2: คุณ เรือนแก้ว สว่างวงษ์ (นก)

ตนเองรู้สึกว่าเป็นรอบบุญที่เราได้มามีส่วนร่วมตรงนี้ จากเดิมที่เราอยู่กันคนละภาค เวลาที่เราจัดค่าย เราก็ต่างคนต่างจัด เราก็จะมีได้พบกันบ้างในค่ายพระไตรปิฎก แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่เราได้ทำงานร่วมกันแบบนี้ พอเราได้มาจัดค่ายออนไลน์ มันก็เป็นการทำงานร่วมกันทุกภาค เวลาช่วงเช้าที่เราประชุม มันเหมือนเราอยู่ด้วยกัน มันไม่เหมือนว่าเราอยู่ในโปรแกรมซูม มันมีความสนิทสนม และก็เวลาที่เราทำงานด้วยกัน เราก็ได้มาเรียนรู้ และนำมาใช้ประโยชน์กับตัวเราได้ ตอนแรกตนเองก็รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะตนเองได้บำเพ็ญเรื่องงานข้อมูลและการรับสมัคร ตนเองรู้สึกว่ามันยุ่งอยู่ตลอดเวลา มันไม่มีเวลาทำอะไรเลย แต่ประกอบกับว่าน้ำก็ท่วมที่สวนของเรา เราก็ไม่ได้ไปสนใจที่สวน เราก็ไม่ได้ไปออกสวน เราก็มาบำเพ็ญอยู่กับค่ายออนไลน์ ช่วงแรกถึงกับเป็นออฟฟิศซินโดรม แต่มีวิบากดี ตนเองก็มีวิบากดีที่เจอวิธีแก้ ก็คือการทำโยคะท่าธนู พอทำแล้ว อาการก็หาย ตอนแรกก็มีคิดว่า ตนเองต้องอยู่ความยุ่งอย่างนี้ตลอดไปเลยหรอ รู้สึกเหนื่อย แต่พอมาถึงช่วงที่นักศึกษาได้มีการส่งการบ้าน พอตนเองได้นั่งฟังแล้ว ก็รู้สึกชื่นใจ หายเหนื่อยเลย เพราะเราได้เห็นสภาวธรรมของผู้เข้าอบรม และเราได้รวบรวมข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม เราได้เห็นความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และผลประเมิน ตนเองรู้สึกดีใจมาก ที่สิ่งที่อาจารย์และจิตอาสาทุกท่านพยายามทำ มันเห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก ตอนนี้ตนเองก็พยายามรู้เพียร รู้พักอยู่ ขนาดน้องสาวของตนเองยังแซวว่า ตนเองทำงานหนักกว่าสมัยตอนทำงานที่ธนาคารสะอีก เมื่อก่อนนี้ ที่ตนเองเป็นผู้บริหาร เงินเดือนเป็นแสนนะ แต่ทำงานแล้วมันทุกข์ ทำแล้วเครียด เป็นต้นเหตุของโรคร้าย ตอนนั้นตนเองสั่งงานให้คนอื่นทำ แต่ตอนนี้ตนเองต้องลงมือทำเอง ทำงานตั้งแต่ตี 4 ถึง 2 ทุ่ม อาจารย์ชอบถามว่า ทำงานหนักขนาดนี้ ได้เงินเดือนเท่าไหร่ คำตอบก็คือ 0 บาท แต่เราทำงาน แล้วไม่ทุกข์ เรามีความสุข และโรคร้าย (มะเร็ง) ก็หายหมดเลย ตอนนี้แข็งแรงมาก คนอื่นก็บอกว่าดูไม่เหมือนคนป่วยหนักมาก่อนเลย ไม่เหมือนกับตอนที่เข้าค่ายใหม่ ๆ เลย ตอนนั้นเหมือนคนใกล้ตาย ชีวิตเศร้ามากเลยตอนนั้น


จิตอาสาท่านที่ 3: คุณณฐมน วงค์ภักดี (ติ๋ม)

ตอนแรกก็ยังคิดไม่ออกว่า ทำค่ายออนไลน์จะเป็นอย่างไร ตนเองก็บำเพ็ญงานเป็นแม่ครัว ได้แต่คิดว่าเราจะสอนเรื่องอาหารพืช จืด สบาย ให้ผู้เข้าค่ายรู้ได้อย่างไร ปกติผู้เข้าค่ายก็จะรู้ว่าอาหารของเรามันจืดอย่างนี้นะ แต่พอมาผู้เข้าค่ายออนไลน์ต้องอยู่บ้าน ท่านไม่ชิมอาหาร และท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า อาหารมันจืดขนาดไหน ถ้าพูดถึงอาหารแบบหมอเขียวเนี่ย มันน่าเป็นอาหารที่จืดที่สุดในโลก ไม่เคยเจออาหารอะไรที่จืดขนาดนี้ แต่ตนเองก็สุขภาพดีขึ้นมาตามลำดับได้ สิ่งที่ประทับจากค่ายออนไลน์คือ ผู้เข้าอบรมสามารถทำอาหารได้ ท่านสามารถทานส้มตำโรยเกลือได้ ทานผัดผักที่ไม่มีน้ำมันก็ได้ หรืออย่างแกงส้มในสูตรของเรา ท่านก็สามารถทานได้ เพียงปรุงรสแค่เกลือ และไม่ใช่แค่ทำอาหารได้เท่านั้น แต่ท่านปลูกผักได้ นำของใกล้ ๆ ตัว มาทานได้หมดเลย ทำให้ตนเองได้เห็นว่า วิธีการอบรมแบบนี้ ในยุคที่ผู้คนมีความเดือดร้อนเรื่องอาหารมาก ท่านก็ได้มาเรียนรู้การพึ่งตนและอยู่ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและปลอดโรคได้จริง ๆ ทำให้แล้ว เห็นผลขนาดนี้ ปัจจุบันทุกครั้งที่ตนเองทำอาหาร ตนเองก็ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปไว้ มันก็ยุ่งยากหน่อย เพราะเราต้องเอามาใส่ถ้วยและมีการจัดวาง มันก็จะเสียเวลามากกว่าที่เราทำอาหารกินเองปกติ แต่สิ่งที่ตนเองทำอาหาร และได้ไปออกรายการ ก็คือสิ่งที่เราทานจริง ๆ มันไม่ใช่ว่า เราทำแล้ว เราไม่กิน เหมือนทำโชว์ แต่เราทำจริง และก็ทานเองจริง ๆ ตนเองก็ได้เห็นประโยชน์ตรงนี้แล้วว่า จริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องเปิดค่าย ตอนนี้เราก็มาทำอาหารโชว์ผ่านจอทีวีได้ การทำยา 9 เม็ดทุกอย่าง ผู้เข้าอบรมก็สามารถทำเองได้ อย่างเช่น แช่มือแช่เท้า ทำให้ท่านได้เรียนรู้การพึ่งตนอย่างแท้จริง


กล่าวปิดหลักสูตรฯ โดย ทีมแพทย์แผนไทย

ท่านที่ 1: ดร. โฆษิต สุวินิจจิต / ประธานกลุ่มแพทย์แผนไทยช่วยไทย

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่าน เวลาผ่านไปแปบ ๆ ก็ 10 วันแล้ว หลายคนบอกว่าทำไมเราทำงานกันไม่หยุด ตนเองก็บอกไปว่า “เวลาพักผ่อนยังเหลืออีกเยอะ แต่เวลาลืมตา เหลืออยู่น้อย” เพราะฉะนั้นเราก็เร่งทำความดี ตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในปัจฉิมโอวาทว่า “ทำตนให้เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
วันนี้พวกเราทุกคนก็ได้รับความรู้มากมายจากท่านอาจารย์หมอเขียวและวิทยากรทุกท่าน มีสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์มาก ๆ คือ เรื่องราวของพระไตรปิฎก ตนเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมโครงการอย่างเต็มที่เลย เพราะภาระกิจตอนนี้เยอะเหลือเกิน ก็มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ก็ยินดีกับทุกท่านที่ได้ผ่านการอบรมในโครงการแพทย์แผนไทยวีถีธรรมค้ำจุนโลก เรียกว่า “คนดี ๆ มารวมที่นี่” เป้าหมายและสิ่งที่ทั้งอาจารย์หมอเขียวและทีมงานอยากเห็นมาก ๆ คือ เราได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้นี้ ไปช่วยเหลือผู้อื่น “ก่อนที่เราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้น เราก็ต้องช่วยเหลือตนเองได้ก่อน” แปลว่า เราก็ต้องสุขภาพดี และเราก็ต้องเป็นคนดี ดีทั้งสุขภาพกายและใจ จิตใจที่มีธรรมะ เมื่อเรามีความพร้อมแล้ว เราก็ไปช่วยคนอื่น ทำให้เกิดประโยชน์ตนเองและประโยชน์คนอื่นได้ จะได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้เต็มที่ และเราก็จะเชื่อว่า “วิถีธรรมนั้น ก็จะค้ำจุนโลกได้” เมื่อเราทำได้แล้ว ตัวเราเองนั้นก็จะเป็นพรีเซนเตอร์ที่ดี และช่วยกันเผยแพร่สมุนไพรไทยและธรรมะไปสู่ครอบครัว ญาติพี่น้อง ไปสู่โลก โลกก็จะมีความสุขได้ อีกทั้งเราก็จะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ และทำให้เราเกิดพลังร่วมกัน ทำให้เกิดความสามัคคี เรียกได้ว่า “คนที่มีบุญเท่านั้น ที่จะเดินเข้ามา” สุดท้ายเมื่อจบโครงการแล้ว เรามีกลุ่มไลน์ของเรา เราก็เป็นสมาชิกกันและเป็นกัลยาณมิตรไปตลอด ไม่มีที่สิ้่นสุด และขยายผลไปเรื่อย ๆ เป็นเครือข่ายกันตลอดชีวิต เราก็ทำให้คนดีนั้นขยายตัวและรวมตัวกัน ทำให้เกิดพลังของความดีนั้นออกไป โดยไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องรัฐบาลหรือรออะไร พวกเราช่วยกันเอง ถือว่าตอนนี้ โรคระบาดที่มีอยู่ในขณะนี้ ทำให้แพทย์แผนไทย สมุนไพรไทย และแพทย์ทางเลือก (แพทย์วิถีธรรม) ได้แสดงศักยภาพในการช่วยเหลือคน ช่วยเหลือตัวเรา ครอบครัวของเรา และช่วยเหลือโลกได้ กระแสตอนนี้ ผู้คนเริ่มยอมรับสมุนไพรไทย แพทย์แผนไทย และแพทย์วิถีธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตนเองยืนยันได้เลย และเชื่อว่าคงมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพราะตนเองเชื่อมั่นในพลังของพวกเรา
ก็ขอขอบคุณอาจารย์หมอเขียว ดร.นิดหน่อย และวิทยากรทุกท่าน รวมถึงกรรมการทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม และขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเข้าโครงการนี้ด้วย ตนเองก็ขอปวารณาตัวเป็นเครือข่ายของทุกท่าน หากมีสิ่งใดที่ตนเองสามารถช่วยเหลือทุกท่านได้ ก็อย่าได้เกรงใจ ถือว่าเราเป็นญาติธรรมกัน เรามาร่วมกันช่วยทำให้แพทย์แผนไทยวิถีธรรม “ค้ำจุนโลก” ไปด้วยกันนะ
อัพเดทโครงการที่จะมาประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมคือ โครงการ “Green Temple” “เกษตรในวัด ในเมือง” เราได้ร่วมงานกันกระทรวงเกษตรฯ ในการจัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อให้วัดที่อยู่ในเมืองนั้น ได้เป็นศูนย์กลาง โดยร่วมกับชุมชนรอบวัด และโรงเรียนของวัด เราปลูกสิ่งที่เป็นยา ปลูกเป็นอาหาร ปลูกเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี และปลูกเป็นรายได้อีกด้วย เราก็จะเอาแพทย์แผนไทย และแพทย์วิถีธรรมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยในโครงการนี้ จำได้ตอนตนเองเด็ก ๆ นั้น เวลาตนเองไม่สบาย คุณพ่อก็อุ้มตนเองไปที่วัด ไปหาพระสงฆ์ที่วัด และได้ทานสมุนไพรขม ๆ แล้วอาการนั้นก็หายเลย ก็เลยคิดว่า เราจะนำสิ่งนี้กลับมา โดยให้สังคมของเรานั้น มีวัดเป็นศูนย์กลาง


ท่านที่ 2: อาจารย์ทรัพย์สิน ทองนพคุณ / ที่ปรึกษาโครงการแพทย์แผนไทยช่วยไทย

วันนี้เป็นวันดีนะ เราเรียนกันแบบสนุกสนานนะ เรามาเอาความรู้ใส่ตัวกันนะ เพราะเป็นการอบรมที่ดี ตนเองชอบมาก ๆ เลยกับการได้เป็นหมอดูแลตนเอง ได้สังเกตว่าตนเองเป็นอะไร เรียกได้ว่า เป็นการวิจัยยา วิจัยอาหาร วิจัยตัวเราเอง เรารู้จักตัวเราเอง เราย้อนกลับไปที่ตัวเราเอง เรารู้สติของเรา เรารู้ว่าเราคิดอะไร ทำอะไร แล้วมันจะเกิดอะไรหรือไม่เกิดอะไร เราได้ทดลองกับตัวเอง แล้วผลประโยชน์ต่าง ๆ ก็จะมาเกิดกับตัวเรา เราทำจิตให้บริสุทธิ์ แล้วภาพทุกอย่างมันจะชัดมากเลย
จากการอบรม 10 วันที่ผ่านมานี้ ตนเองก็ได้ฟังตลอด ฟังไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกอินไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ตนเองทานอาหาร ก็เหลือแต่น้ำแกงแล้ว ส่วนเนื้อในแกง ก็ไม่ค่อยได้ทาน
ตนเองได้ฟังอาจารย์หมอเขียว ก็ได้ใช้ธรรมะอยู่ พอมันความอยาก แล้วมีความทุกข์มากเลย พอเรามาได้ตัดความอยาก ทำใจว่า “ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้” ตนเองก็ทำทุกอย่างแบบไม่ได้อยากได้อะไร เรื่องความอยากนี้ ถ้าเราตัดได้ ถ้าเราทำได้ นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดเลย และคำว่า “กล้าที่จะเจอปัญหา และกล้าให้มันหมดไป” พอคิดได้แบบนี้ ตนเองก็ไม่มีทุกข์ในใจเลย ดีเหมือนกันนะ พอตนเองคิดว่า ให้ทุกอย่างมันสุดเลย ความทุกข์หายเลย มันเวิร์ค มันได้ผล อยากให้ทุกคนทดลองกันนะ อยากให้นำไปใช้ นำไปฝึกกันดู โดยเฉพาะเรื่องความกล้า
ส่วนเรื่องโครงการ “Green Temple” ตนเองก็ขอโอกาสเข้าไปร่วมงานด้วย ส่วนตัวคือ ตระกูลของตนเองนั้น ก็เป็นตระกูลที่อยู่กับวัดมาโดยตลอด แถว ๆ ชลบุรี คุณปู่ของตนเองก็เป็นเจ้าอาวาส ก็มีได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดกันบ้าง และสมัยก่อนเวลาใครเจ็บป่วย เขาจะพากันมารักษาที่วัด ในโลกทุกวันนี้ ใครเขาจะฆ่ากัน แต่พวกเราจะมาช่วยกันทำความดี และขอบคุณทุกท่านมากที่ให้ตนเองได้มามีส่วนร่วมในโครงการนี้


ท่านที่ 3: พลเรือเอก ชาญชัย เจริญสุวรรณ / นายกสภาแพทย์แผนไทย

รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 4 ต้องขอบคุณที่เชิญตนเองมาร่วมพูดทั้งเปิดและปิดค่ายทุกครั้งในช่วงของการเปิดใจ เราจะได้เห็นความสุข และข้อดีของโครงการนี้คือ ทุกคนก็จะได้เข้าอบรมใหม่แบบต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมตรงไหน ก็สามารถย้อนกลับไปเรียนรู้ได้

วัตถุประสงค์ของโครงการ คือ
1. สอนให้ทุกคนพึ่งตนเองได้ โดยใช้หลักของการปล่อยวาง ต้องพอใจที่จะรับสิ่งที่ไม่พอใจ ถ้าทำตรงนี้ มันก็จะดีต่อสุขภาพ
2. นำความรู้นี้ไปช่วยเหลือสังคมให้พวกเขาได้รับประโยชน์ในเรื่องของสุขภาพในเบื้องต้นได้ ก็เป็นบุญมหาศาลแล้ว

ทุกท่านที่ได้รับการอบรมก็ได้ฟังธรรมะของอาจารย์อบรมได้อย่างจุใจ ท่านจะได้ประโยชน์มากเลย สำหรับผู้ที่เป็นแพทย์แผนไทย ท่านก็สามารถความรู้แพทย์วิถีธรรมนี้ไปช่วยในอาชีพของท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตอนนี้โรคระบาดก็ยังไม่จางหายไปไหน ผู้คนมีความเครียด หลายคนก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เราเลยต้องมาช่วยกัน
ต้องขอบคุณท่านอาจารย์หมอเขียวที่ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ เราได้ใช้คำว่า “วิถีธรรมค้ำจุนโลก” ก็คิดว่าโลกของเราก็อยู่กันอย่างสงบได้


ท่านที่ 4: อาจารย์ ณัฐชานันท์ รัตนะดำรงค์ชัย / แพทย์แผนไทย

เวลาเข้าอบรมทีไร รู้สึกใจมันฟูทุกครั้ง ต้องขอบคุณจิตอาสาทุกคนเลย ทำให้ตนเองมันความมั่นคงอยู่อริยศีล ไม่ทานเนื้อสัตว์ และตนเองยังได้นำความรู้ไปใช้กับผู้ป่วย และเห็นผลชัดมากเลย ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยท่านนึงที่มีปัญหาเรื่องระบบประสาท ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ นอนติดเตียงอยู่ 4 เดือน ปกติการรักษาผู้ป่วยลักษณะนี้ ต้องใช้เวลา ตนเองได้ใช้วิธีการให้ผู้ป่วยปรับอาหาร และปรับสมดุลร้อนเย็น โดยใช้ความรู้เรื่องอาหารจากแพทย์วิถีธรรม ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้นและฟื้นฟูเร็วขึ้น ท่านรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายและมีกำลัง บางทีผู้ป่วยท่านก็มีไปสั่งอาหารแบบปกติ แบบปรุง ๆ มาทาน เพียงแค่ 4 วัน ตนเองตรวจดู ก็รู้เลยว่า เนื้อตัวของผู้ป่วยจะแข็ง กดตรงไหน ก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งตนเองก็ยังได้ใช้วิธีการกัวซา การพอก ตนเองได้ใช้น้ำมันเขียวหยด เพื่อนวดให้ผู้ป่วย จริง ๆ ก็นวดแบบนี้ ตนเองจะได้รับผลจากการนวดให้ผู้ป่วยเยอะ รับพิษเข้า ตอนนี้ตนเองก็ได้ใช้ผ้าชุบน้ำที่ใส่น้ำมันฤทธิ์เย็น และนวดไล่ตามเส้นให้ผู้ป่วย เส้นที่ตึงคลายเร็วมาก และพิษออกเร็ว ผลออกมาดีมากเลย มีหลายครั้งที่ตนเองก็มีโดนกิเลสเล่นงาน แต่เราก็หัวเราะให้พญามารว่า มันทำอะไรเราไม่ได้แล้วแหละ เรามีหมู่มิตรดีคอยบอกเรา ตอนนี้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ไม่หมดพลังไปกับความทุกข์ เพราะเรารู้ทัน เรามีใจที่เบิกบาน เวลาไปในสถานที่ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่นมา พอเราไปเก็บผักสดในสวน มาทำน้ำปั่นทาน เราก็รู้สึกสดชื่น อาการต่าง ๆ ก็หายไปเลย ขอเชิญชวนผู้ที่เข้ามาอบรมด้วยกัน ให้มาลองพิสูจน์ ไม่ลอง ไม่รู้นะ ตนเองทดลองมาแล้ว ได้ผลจริง เชิญชวนให้มาอบรมแบบต่อเนื่อง ให้เก็บกำไรให้มากที่สุด เพื่อนของเราคนไหนที่ยังไม่สามารถมาเข้าอบรมได้ ก็ให้ปล่อยเป็นตามที่เขาเลือก “ลางเนื้อ ชอบลางยา” หากท่านใดมีบุญสัมพันธ์กัน ท่านก็จะได้มาพบ พอเราแค่เปิดใจ เหมือนได้เสียบปลั๊ก สิ่งดี ๆ ก็ไหลเข้ามา ไม่เชื่อก็ลองดูนะ อย่าลืมเป็นสะพานส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น ๆ ด้วยนะ โดยไม่ต้องไปคาดหวังว่าพวกเขาจะเข้าร่วมหรือไม่

สรุปเนื้อหาสาระในวันนี้ คือ ความเบิกบานและความปิติใจของผู้เข้ารับการอบรม จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม และทีมแพทย์แผนไทย ทำให้หล่อมรวมใจเป็นหนึ่งเพื่อส่งต่อความจริงของการบำบัดโรคอันยั่งยืนผาสุก ระดับลึกถึงจิตวิญญาณ “หมอที่ดีที่สุด คือ ตัวเราเอง” เมื่อเราเรียนรู้ธรรมะลดกิเลสและศาสตร์การพึ่งตนเพื่อรักษาตนเองได้ ไม่ว่าโรคระบาดใดเข้ามา ก็หมดกังวล หมดทุกข์ใจ เพราะ “ใจที่กล้าจะเผชิญทุกปัญหา กล้าลดกิเลส กล้าพ้นทุกข์ ไปด้วยกัน”

รายงานข่าวโดย :
ศิรินภา คำวงษ์ศรี (เพียรสุขศีล) / สวนป่านาบุญ ๙ สังกัดภาคกลาง

Tags:

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *