รายการ “สายด่วน สุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย”
ช่วง ถามตอบ ปัญหาสุขภาพ
ตามหลักการแพทย์วิถีธรรม
โดย กลุ่มแพทยแผนไทยวิถีธรรม ค้ำจุนโลก
วันพุธ ที่ 3 พฤศจิกายน 2564
เวลา 15.00 – 17.30 น.
ประเด็นเด่นจากรายการ
-
- มะเร็งลำไส้ส่วนปลายกับการปวดน่อง ขาดโปรตีนหรือไม่? กินผลไม้หวานได้หรือไม่?
- ปวดท้องเหนือสะดือ ปวดหลัง อาเจียน เป็นลม หนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะอะไร?
- ตนเองไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ทุกข์ใจที่ต้องทำอาหารเนื้อสัตว์
- มะเร็งรังไข่หาย มะเร็งลำไส้มาต่อ ท้องโต กินไม่ได้ อ่อนแรง ทำอย่างไรดี?
- พึ่งเป็นตับแข็ง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ทำอย่างไรดี?
- หายมะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งปอด ตับ กระดูกต่อ ปวดมากเลย
- กินพืช ผัก ลูกเดือย ถั่วลูกไก่ซ้ำ ๆ เสียสุขภาพหรือไม่?
- คุณพ่อจะผ่าตา ตาพร่ามัว มีอาการฟ้าแลบ ดูแลตนเองอย่างไร?
- แม่เป็นมะเร็งลำไส้ ลามไปที่ตับ ท้องบวมใหญ่ แก้อย่างไรดี?
[คลิกเพื่อชมคลิปวีดีโอฉบับเต็ม]
วันนี้มีพี่น้องทั้งจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วโลก และชาวค่ายเข้าร่วมรายการทั้งหมด 133 ท่าน ดำเนินรายการ โดย คุณกิ่งแก้ว ฉัตรมณีวัฒนา (เม) และคุณกมลชนก ทุมวงษ์ (แหม่ม)
รายการสายด่วนสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย เริ่มต้นรายการด้วยธรรมะเพื่อความผาสุก คือ การอ่านบททบทวนธรรมยาเม็ดที่ 8 ข้อ 23 – 30 [คลิกเพื่ออ่านบททบทวนธรรม]
“ช่วงแบ่งปันความประทับใจในบททบทวนธรรม ที่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อดับทุกข์ใจ”
ผู้แบ่งปันท่านที่ 1:
บททบทวนธรรม ข้อที่ 24 “การกระทำทางกายวาจาใจที่ดีงาม คือ กำแพงความดีคุ้มครองชีวิตเราทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่น ๆ สืบไป”
ตนเองได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 และได้ปฏิบัติตามยา 9 เม็ด แล้วร่างกายก็ยังปกติดี รู้สึกเป็นปาฏิหาริย์ เพราะปกตินั้น จะเป็นคนแพ้ง่าย แต่พอผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ตนเองรู้สึกว่ามีความผิดปกติ คือ เห็นอะไร ก็จะหิว เจออะไร ก็อยากรับประทานไปหมด ทีนี้เมื่อวานไปเจอแม่ค้าขายแตงโม ก็เลยซื้อแตงโมมา และตรงร้านใกล้ ๆ ก็จะมีร้านขายขนมหวาน ซึ่งเป็นขนมถาดหน้าสังขยา ตนเองรู้สึกว่า กิเลสเกิดแล้ว กิเลสเรียกร้องว่า ไม่ได้รับประทานตั้งนานแล้ว เอาซะหน่อย จังหวะนั้น ตนเองรู้สึกว่าตนเองหิว ก็เลยซื้อมา 2 ห่อ ตนเองมีความโลภ พอถึงบ้าน ก็ผ่าแตงโมไปซีกหนึ่ง และตาก็เหลิบไปเห็นขนมข้าวเหนียวหน้าสังขยา ในขณะที่เปิดรับประทาน จิตก็คิดว่า ขนมอันนี้คือ สังขยา มันก็น่าจะต้องมีส่วนผสมของไข่ ซึ่งตนเองก็ลด ละ เลิก ที่ไม่ทานแล้ว ก็ถามตนเองว่า เหตุไฉนถึงอยากทานมากเลย ในขณะที่เอาใส่ปาก จังหวะนั้นก็คิดได้ว่ามีส่วนผสมของไข่ แต่ก็เอาเข้าปากแล้ว พอรับประทานไปได้ 2 คำ ตนเองรู้สึกผิด เหมือนผิดศีลแล้ว ก็เลยมาขอสารภาพผิด จิตขึ้นได้ว่า ตนเองไม่ควรรับประทานเลย เพราะมันมีส่วนผสมของไข่ ทำไมตนเองถึงละหลวมอย่างนี้ ตนเองก็เลยให้สุนัขที่บ้านทานไป
หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ อาการเริ่มมาแล้ว มีอาการปวดท้องมาก รู้สึกอึดอัด ใจก็คิดว่า แตงโมน่าฉีดยาหรือเปล่า ก็เลยถามมาในแชทห้องสายด่วนผ่านโปรแกรมซูมว่า “อาการนี้ ควรจะสวนล้างลำไส้หรือไม่?” แต่อีกจิตนึง ก็คิดได้ว่า เป็นเพราะว่าตนเองทำผิดไปเนี่ย ก็เกิดผลตอนนั้นเลย เพราะตนเองไปรับประทานขนมที่มีส่วนผสมของไข่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่มาเตือน พอเราได้อ่านบททบทวนธรรมบทนี้ ก็เลยรู้สึกโดนใจ และมีความรู้สึกว่า มีสิ่งที่คุ้มครองเรา และมาเตือนว่า อย่าทำอีก
ผู้แบ่งปันท่านที่ 2:
บททบทวนธรรม ข้อที่ 25 “เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก”
ตนเอง เป็นคนจังหวัดหนองบัวลำภู ส่วนแฟนเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี ตนเองเป็นคนภาคเดียวกันกับท่านอาจารย์ อาจารย์ท่านสุดยอด เหมือนมาโปรดคน เหมือนพระพุทธเจ้าอีกองค์ ตนเองรู้สึกดีใจ คนภาคเดียวกันเก่งขนาดนี้ ตนเองอยากมาแชร์ ข้อที่ได้อ่านไป ตอนนั้นตนเองนอนอยู่ และฟังอาจารย์ไปด้วย อาจารย์บอกว่า อย่าคิดแต่เรื่องทุกข์ ทำไมเรื่องไม่ทุกข์ ไม่คิดเลยคิดว่า ที่เราคิดแต่เรื่องทุกข์ เพราะสุขภาพร่างกายเราไม่ดี คนเรามีความทุกข์ จากความเจ็บป่วยร่างกายของเรา ตนเองก็สำนึกว่า ที่เราทำมา มันสมควรหยุดได้แล้ว เพราะเทพมาตลีมาเตือนแล้ว เราควรเลิกได้แล้ว เมื่อก่อน ตนเองหาปูหาปลา เพื่อเลี้ยงชีพทำมาเยอะพอสมควร ตั้งแต่ไม่สบาย เลยหยุดทำมาหลายปี ตนเองเรียนรู้จากจิตอาสา ดูแลตนเอง พึ่งตนเอง ทำกับข้าวเอง แล้วก็ช่วยแม่บ้านทำกับข้าว พอรู้จักแพทย์วิถีธรรม ก็หยุดรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ นม เพราะตนเองสำนึก ถ้าไม่สำนึก เทพมาตาลี จะพาเราไปนรก ผมจะได้หมดวิบาก ได้ใช้วิบากที่เราทำมา พยายามพากเพียรต่อไป เวลาร่างกายเจ็บปวด ใจผมเบาขึ้น เพราะได้ฟังธรรมะอาจารย์ ถึงเราทุกข์กาย แต่มีความสุขใจ นี่กำลังพากเพียร ฟังอาจารย์ทุกเช้า ทุกคืน ที่อาจารย์บอก เรื่องทุกข์คิดทำไม ทำไมไม่คิดเรื่องไม่ทุกข์ ผมปัญญาน้อย สุขใจที่ได้เข้ามา ความรู้เราน้อย ผมขอพิงเชือกไปเรื่อย ๆ ครับ
ผู้แบ่งปันท่านที่ 3:
บททบทวนธรรม ข้อที่ 25 “เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อ…ให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก”
บททบทวนธรรม ข้อที่ 26 “การพิจารณาเพื่อปราบมาร คือ ความกลัว เวลาเจ็บป่วย หรือ พบเรื่องร้าย จะทำให้ดับทุกข์ใจ ทุกข์กาย และเรื่องร้าย ได้ดีที่สุด คือ ทำใจว่า โชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดอีกแล้ว รับเต็ม ๆ หมดเต็ม ๆ เจ็บ…ก็ให้มันเจ็บ ปวด…ก็ให้มันปวด ทรมาน…ก็ให้มันทรมาน ตาย…ก็ให้มันตาย เป็นไงเป็นกัน รับเท่าไหร่ หมดเท่านั้น เรา…แสบ…สุด ๆ มัน…ก็ต้องรับ…สุด ๆ มัน…จะได้หมดไปสุด ๆ เรา…จะได้เป็นสุข…สุด ๆ เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นของใคร จะทุกข์ใจไปทำไม ไม่มีอะไรต้องทุกข์ใจ
“เบิกบาน แจ่มใส ดีกว่า” “
ตนเองได้รับวิบาก ได้ใช้วิบาก เพราะเจ็บป่วยอยู่ และเป็นผื่นคันได้ใช้ยา 9 เม็ด ลองไปเรื่อย ๆ และเพิ่มอาริยศีลไปเรื่อย ๆ พอเกิดอาการพุพองมา ตนเองก็มาดูว่าเกิดจากอะไร
เพราะว่าเมื่อก่อนตนเองรับประทานเนื้อสัตว์มามากมาย ตนเองได้มารับประทานมังสวิรัติตั้งแต่ปี 49 เป็นมังสวิรัติแบบปรุง วิบากที่เราทำตั้งแต่ภพไหนชาติไหน ชาตินี้ กุ้งเผา นกทอด ไก่ทอด
เราทำให้เขาเจ็บปวด พุพอง ไปทอดเขา ทำไม่ดีกับเขา ตนเองก็คิดว่า เห็นหรือไม่? ว่าชอบรับประทานกุ้งเผา ก็เลยเป็นผื่นพุพอง เราก็ใช้ยา 9 เม็ดนี่แหละ และก็ทำใจเหมือนในบททบทวนธรรมว่า “โชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดไปอีกแล้ว รับเต็ม ๆ หมดเต็ม ๆ เจ็บก็ให้มันเจ็บ ปวดก็ให้มันปวด” คันก็ให้มันคัน คันก็อดทน ดูเวทนาของตนเองไป ตนเองได้ไปปรึกษาจิตอาสา ท่านก็แนะนำวิธี และได้ใช้ปัสสาวะมังคุดที่ได้หมักไว้ปีกว่า บางครั้งเติมถ่านก้อนเข้าไปแช่ในอ่าง และใช้มะนาวสด ก็บีบเอาน้ำมาใช้ ตอนนี้แผลของเราเริ่มลอกแล้ว ระหว่างที่แห้ง ๆ ก็ใช้สเปรย์พลังศีล ฉีดตามอาการที่ขึ้นตามแขน 2 ข้าง และก็พยายามมาบำเพ็ญตลอดทุกวัน และทำจิตใจให้สบาย เพราะเราได้ใช้วิบากแล้ว สิ่งที่เราได้รับคือ สิ่งที่เราทำมา เราต้องยอมรับ ยินดีที่จะรับ ยินดที่จะให้หมดไป เหมือนที่อาจารย์สอน
ผู้แบ่งปันท่านที่ 3:
บททบทวนธรรม ข้อที่ 29 “วิธีการ 5 ข้อ ในการแก้ปัญหาทุกปัญหาในโลก คือ 1) คบและเคารพมิตรดี 2) มีอริยศีล 3) ทำสมดุลร้อนเย็น 4) พึ่งตน 5) แบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์”
ข้อ 1 เป็นบุญวาสนา ได้มาเจอ อาจารย์ คุรุ แพทย์วิถีธรรมทุกท่าน ทุกท่านมีศีล มีใจบริสุทธิ์
ข้อ 2 ทุกข์ สมุหัย นิโรธ มรรค ของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นสุดยอดของศีล และอาจาย์หมอเขียวได้แปลมาให้พวกเราฝึกปฏิบัติ ให้มีอาริยศีลมาก ๆ ก็คือ เราก็สัญญากับตัวเราเองว่า จะเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์
ข้อ 3 ร่างกายของเรา ถ้าร้อนเย็นมากไป ก็ไม่สบาย ก็เจ็บป่วย พระพุทธเจ้าให้เดินทางสายกลาง อาจารย์หมอเขียวก็สอน และบอกทั้งเช้าและเย็น การรับประทานอาหารก็เป็นที่สุดในโลก เราก็ต้องกินให้พอดีกับตัวเรา เราเจ็บป่วยเพราะตัวเราเองทั้งนั้นเลย
ข้อ 4 ข้อนี้ก็เป็นข้อที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เราต้องพึ่งตนเองให้ได้ก่อน เวลาอาจารย์และหมู่มิตรมาบอกกล่าวมาเล่ามาแชประสบการณ์เนี่ย เราก็ได้ความรู้ เราไดประสบการณ์ไปด้วย แต่ถ้าเราไม่เอามาปฏิบัติ เราไม่เอามาทดลอง เราไม่เอามาใช้กับตนเอง เราก็ไม่รู้ซึ้งถึงที่ได้ความรู้มา เราต้องเจอกับตัวเรา เราถึงจะรู้ว่าความรู้สึกและอารมณ์มันเป็นอย่างไร อันนี้พึ่งตนชัดเจนมากเลย
ข้อ 5 ในกลุ่มนี้ ตนเองเชื่อว่าใจบริสุทธิ์ 1000% ใจบริสุทธิ์จริง ๆ คนอื่นเขาจะเข้ามาในอารมณ์ไหน แต่จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทุกท่านก็ยิ้มแย้ม มีความสุข เป็นแบบนี้ทุกเวลาเลย ตั้งแต่เช้าตีสี่ครึ่งถึงสองทุ่ม ท่านเป็นกระแสบุญ กระแสความดีที่เหนี่ยวนำให้พวกเราใาอยู่ด้วยกัน ตนเองก็ดีใจว่า ตนเองมีบุญนะ ตนเองโชคดี รู้สึกมีความสุข ใจมันอิ่มเอิบ แล้วโรคมันจะมาหาเราได้อย่างไร ก็สาธุ ขอบคุณทุกท่าน
ผู้แบ่งปันท่านที่ 5:
บททบทวนธรรม ข้อที่ 87
“แต่ละชีวิตจะมีสภาพ
ทุกข์เท่าที่โง่ โง่เท่าที่ทุกข์
โกรธเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โกรธ
โลภเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โลภ
หลงเท่าที่โง่ โง่เท่าที่หลง
ยึดเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ยึด
กลัวเท่าที่โง่ โง่เท่าที่กลัว
ชั่วเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ชั่ว
ไม่ทุกข์เท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ทุกข์
ไม่โกรธเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โกรธ
ไม่โลภเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โลภ
ไม่หลงเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่หลง
ไม่ยึดเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ยึด
ไม่กลัวเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่กลัว
ไม่ชั่วเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ชั่ว”
ตนเองอยากเล่าว่า เมื่อเช้านี้มันมีความโกรธ ความโลภ และก็ความทุกข์ ตนเองเลยใช้บททบทวนธรรมนี้มาแก้ปัญหา ตนเองได้ไปเก็บผักที่สวน ซึ่งในสวนก็จะมีการปลูกต้นใบหม่อนเป็นรั้วยาวเลย เมื่อเช้าก็เอะใจว่า ทำไมใบหม่อนถึงได้เกลี้ยงต้นเลย แล้วก็ต้นก็ถูกฟันลง และถูกตัดลง และถูกเอาไปล้อมเป็นรั้ว ตนเองก็คิดว่าพ่อกับแม่มาทำไว้ เพราะท่านเคยขายใบหม่อนและเลี้ยงไหม ก็เลยเข้าใจว่าท่านได้มาเก็บใบหม่อน พอกลับมาที่บ้าน หลังรับประทานอาหารเสร็จ ก็ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน ตนเองจึงได้ถามพ่อกับแม่ แต่ท่านแจ้งว่าท่านไม่ได้ไปเก็บใบหม่อน ท่านเองก็เข้าใจว่าตัวเราเองกับสามีไปเก็บและตัดต้นใบหม่อนเช่นกัน ต่างคนต่างไม่ทราบว่า ใครเป็นคนทำกับต้นใบหม่อน หลังจากนั้นคุฯพ่อก็นึกขึ้นได้ว่า มีคนจากบ้่านนึงมาถามว่า “มีใบหม่อนหรือไม่?” คุณพ่อจึงแจ้งไปว่า “มีอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามีเยอะหรือไม่ให้ไปดูที่สวน” พอบุคคลนั้นไปดูแล้ว ก็ไม่คิดว่าเขาจะเก็บไปเลยแบบนี้ เขาเก็บจนเกลี้ยงเลย พอคุณพ่อพูดจบ กิเลสของตนเองขึ้นมาทันที รู้สึกไม่ชอบใจ รู้สึกโกรธแล้ว ได้แต่คิดว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นล่ะ? เขายังไม่ได้บอกเราเลยนะ เขาถือวิสาสะไปตัดไปเอาและทำเหมือนตนเองเป็นเจ้าของ เรามีความรู้สึกเสียดาย มีความโลภเข้ามาร่วมด้วย มีความทุกข์แล้วเพราะโกรธ เท่านี้เองเลยคือ ก็ทุกข์เท่าที่โง่ โง่เท่าที่ทุกข์ โง่ฉับพลันเลย ตอนนั้นคนเองอ่านเวทนาเห็นร่างกายว่าเริ่มไม่ปกติแล้ว มันเสียสมดุลแล้ว มันทุกข์แล้ว มันหนักตัวแล้ว มันไม่สบายใจแล้ว ก็เลยมาจับได้ว่า นั้นไง กิเลสมันเล่นงานแล้ว ก็เลยอ่านที่ใจของตนเองและบอกว่า แสดงว่าเราต้องไปเคยทำแบบนี้กับใครมา แล้วของของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลก อะไรก็ไม่ใช่ของเราที่แท้จริง เราก็แค่แบ่งปันหรือให้เขาไป เพราะว่าเราเคยไปเอาของเขามา เราทำอะไรมา เราก็ต้องได้รับสิ่งนั้น พอคิดเช่นนั้นได้ ก็หัวเราะกับตนเองว่า หลงโง่ หลงทุกข์ตั้งนาน ที่แท้ตนเองได้เสียรู้กิเลสนั้นเอง
พอตนเองเบาใจขึ้น ก็ได้บอกสามีกับคุณพ่อว่า ‘ก็ไม่เป็นไรหรอก ก็ถือว่าเราไปเอาของเขามา เราได้ชดใช้ โชคดีอีกแล้ว วิบากเราหมดแล้ว”
การแบ่งปันประสบการณ์อื่น ๆ
ตนเองมีอาการปวดหน่วงท้องน้อยจะมีอาการปวดหลังด้วยทุกครั้ง คุณหมอบอกว่าเป็นพังผืดหลังมดลูก ร่างกายมีความร้อนเกิน พอปรับสมดุลร้อนเย็น ด้วยยา 9 เม็ด ใช้การปรับอาการปวดหายไปหมดแล้ว ไม่ต้องรับประทานยาเลย
“ช่วงถาม-ตอบปัญหาสดในรายการ”
คำถามที่ 1 : ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ส่วนปลาย ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีอาการปวดน่อง คิดว่าขาดโปรตีน จะมีวิธีการเแก้ไขอย่างไร? และหากเป็นมะเร็ง สามารถรับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น รสหวานได้ทุกมื้อหรือไม่ ควรจะรับประทานต่อวัน เท่าไหร่?
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– รับประทานผลไม้หวานเยอะ ๆ จะเสียพลังในการขับออก ร่างกายเราต้องการแค่พอประมาณ
– ส่วนอาการปวดน่อง ร่างกายยังไม่สมดุล ให้ใจเย็น ขอเวลาหน่อย วันสองวันไม่เห็นผล ให้ใช้ไม้กัวซา กัวซาบริเวณรอบ ๆ หรือฝั่งตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกว่าน่องไม่ดี เอาเท้ายืดไปยืดมาก็ได้ หรือต้มน้ำสมุนไพรเอาไปแช่ อุณหภูมิสบาย ๆ
– โปรตีนใหม่ที่เราให้กับร่างกายปรับได้ตัวใหม่ คือ ถั่ว แค่ท่านมั่นใจ ถั่วจะแสดงฤทธิ์เดชของเขาได้ มั่นใจเถอะ เขามีโปรตีนที่ดียิ่งกว่าเนื้อสัตว์ ถ้าฆ่าสัตว์ ให้รู้ว่ามันคือบาปชนิดหนึ่งที่เราต้องได้รับ
– ส่วนเรื่องการสวนล้างลำไส้ที่ได้ปฏิบัติอยู่แล้ว ให้เราทำเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ทำด้วยใจที่ไม่กลัว ไม่กังวล
“ทั้งหมดอยู่ที่ใจ เดี๋ยวก็หาย แป๊บเดียวก็จะดีขึ้น วันนี้หาย พรุ่งนี้คิดอีก ก็จะเป็นอีก ให้เวลากับร่างกายหน่อย”
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– มะเร็ง เกิดจากภาวะร้อนเกิน หรือเย็นเกินก็ได้ ใจกลัวกังวล กล้ามเนื้อไปเกร็งตัว บีบเอาความทุกข์ ความกังวลออก พอร่างกายของเราเกิดกล้ามเนื้อเกร็งตัวเมื่อไหร่ อาหารและพลังงานจะสร้างผลเข้าไปไม่ได้ จะร้อนเย็นสลับกันตลอด ความกลัวกังวล จะส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วย ถึงร่างกายเป็นมะเร็ง แต่เรามีกำลัง ก็ถือว่าใช้ได้
– อาหารฤทธิ์หวานมากเกินไป เป็นอาหารมะเร็งได้ ตอนนี้ร่างกายเราขับได้ไม่ดี สังเกตดี ๆ จิตของเรา เหมือนนาฬิกา เดินไม่หยุด การไหลเวียนของเลือดต้องเคลื่อนเสมอ กล้ามเนื้อเกร็งตัว เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกมากขึ้น เราต้องกล้าทดลอง ปรับสมดุลร้อนเย็น ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ทุกข์ที่ใจเท่ากับดินทั้งแผ่นดิน ถ้าเรากล้า 70% บวกเกินร้อย ทุกข์จากเหตุการณ์ หรือทุกข์จากร่างกาย ให้เราสำนึกผิด
– ส่วนเรื่องอาหารที่เราปรับสมดุลเข้าไป ให้รับประทานพืช จืด สบายกล้ามเนื้อจะคลายตัว จะทำให้กล้ามเนื้อไหลเวียนสะดวก และจะดูดพลังงานไปใช้ เอาส่วนไม่ดีออกไปได้ ถ้าเรารับประทานผิด อย่างน้อยร่างกายของเราก็มีทุนอยู่ 40% ถ้าเราเข้าใจสมดุลร่างกาย เราปรับที่ใจ ตัวชี้วัด กล้ามเนื้อคลายตัว เบาสบาย เราจะไม่กังวลสมดุลร้อนเย็น เพราะเรามีทุน 70% ส่วนยาเสริม ให้ทำเท่าที่ทำได้ 10-20% ใส่ลงไป หากสิ่งดี ๆ เข้าได้ เรามีแต่จะแข็งแรงขึ้น จิตใจ ร่างกาย และเหตุการณ์ มีแต่สิ่งดี ๆ หากใจเรามีความทุกข์ตลอดเวลา ไปกระตุ้นร่างกายเราก็ไม่ดี การสั่งสมความชอบชัง ทำให้เราก่อโรคได้ทุกโรค ถ้าเรามีความกล้า จะทำให้เราหายโรคได้เหมือนกัน สมดุลร้อนเย็น แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เราจะรักษาง่าย เพราะร่างกายเราเข้าใจ สำคัญที่สุด คือ ศีล
– เมื่อก่อนรับประทานเนื้อสัตว์ และเห็นโทษภัย เหมือนกรณีรับประทานสังขยา อกุศลที่ทำในอดีต ก็คือเราสามารถหยุดทำความชั่วทุกอย่างได้
– ถ้าเรามีศีล มีความกล้า จิตจะเป็นใหญ่ เป็นประธานของสิ่งทั้งหมด ถ้าเรากล้าทดลองสมดุลร้อนเย็น เป็นอันดับ 2 ของร่างกาย
– ให้จับกิเลสความไม่ได้ดั่งใจหมาย ให้เรากล้าที่จะไม่ได้ดั่งใจหมาย ถ้าเราทำได้ จะทำให้เราหายได้ทุกโรค และจะทำให้เป็นวิบากดีที่สั่งสมไป
คำถามที่ 2 : มีอาการปวดท้องเหนือสะดือ และปวดหลังร่วมด้วย มีอาการอาเจียน เหมือนจะเป็นลม หนาว ๆ ร้อน ๆ เป็นหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ปวดท้อง จะมีอาการปวดหลัง แพทย์แจ้งว่า เป็นโรคกระเพาะ แต่ตนเองคิดว่า น่าจะไม่ใช่
คำแนะนำจากจิตอาสา:
– เนื่องจากคำถามนี้ ท่านไม่ได้เข้ามาถาม ทางเราจึงไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม เราจึงไม่ทราบว่าท่านได้ติดตามเรื่องการปฏิบัติยา 9 เม็ดหรือไม่ จึงแนะนำให้แก้ที่อาการร้อนเกินก่อน และให้เรียนรู้ยา 9 เม็ดและทดลองปฏิบัติดูก่อน หากได้ลองปฏิบัติแล้ว เห็นผลอย่างไร ขอให้ท่านได้แจ้งเข้ามา ทางเราจะช่วยประเมินอาการต่อไป
คำถามที่ 3 : ตนเองไม่รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว แต่ยังต้องมาทำให้แฟนและลูกรับประทานอีก ทำให้ลำบากใจ แต่มันเป็นหน้าที่ ไม่รู้ควรทำอย่างไร?
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– คิดว่าเป็น “หน้าที่” ต้องแยกว่า หน้าที่เราทำตรงนี้ เจตนาเรา “ไม่ตั้งใจ” เป็นวิบากที่เราต้องทำ ไม่คิดด้วยใจเป็นทุกข์ ถ้าเราทุกข์ ใจเราเป็นทุกข์เอง เราจะเรียนรู้ เป็น “กรรมของเรา” ที่ต้องมาทำหน้าที่นี้ เราทำด้วย “ใจที่ไม่ทุกข์”
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– ได้ยินคำถามนี้บ่อย “หากไม่รู้ความจริง จึงทำให้ทุกข์ใจ” พอเราวางใจตรงที่ “ไม่ยึดมั่นถือมั่น และไม่ชอบไม่ชัง” หน้าที่เราคืออะไร หน้าที่ “ที่เลี่ยงไม่ได้” เพราะเคยทำมา “ส่งเสริมมา” พอเราออกมาจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เราวางใจ “ยินดีที่ได้ใช้วิบาก ยินดีที่วิบากหมดไป แต่ไม่ยินดีที่ทำเนื้อสัตว์ให้ครอบครัวรับประทาน” ในสิ่งที่พลาดทำมาเราก็ “ขอโทษขออโหสิกรรม” ระหว่างยินดีกับไม่ยินดี ลองเปรียบเทียบดู ฝืนไม่ได้ก็ยินดี ด้วยสัจจะเมื่อเรามีความสุข ยินดี จะเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตาม จิตวิญญาณจะบันทึกร่วมกัน พอเข้าใจเรื่องกรรม เราจะสบายใจขึ้น
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– เมื่อเรารู้จัก “พุทธะ” ตอนนี้ก็มา “ล้างชัง” ที่จะทำแบบนั้น ระหว่างนี้เรามาเข้าหมู่ ฟังธรรม เป็นขั้นตอนการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องอาหารอย่างเดียว เรื่องอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน “กล้าทำสิ่งดี และวางใจกล้าให้สิ่งดีไม่เกิดได้ ถ้าวิบากร้ายมาขวาง”
คำถามที่ 4 : ขอสอบถามว่า การรักษาในทางแพทย์วิถีธรรมกับมะเร็งระยะสุดท้าย ต้องทำอย่างไรบ้าง? อาการของผู้ป่วยคือเริ่มแรกของมะเร็งรังไข่ระยะที่ 3 ได้ผ่าตัดและทำคีโมหายแล้ว แต่มะเร็งมาเกิดขึ้นใหม่ที่ลำไส้ ทางแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้แล้ว ให้มาดูแลที่บ้าน ตอนนี้มีอาการก้อนเนื้อที่ท้องโตมาก จนรับประทานอะไรแทบไม่ได้เลย หากรับประทานได้ ก็อาเจียนออกหมด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยตลอดเวลา ลุกเดินไม่ไหว เลยอยากทราบว่าทำอย่างไรได้บ้าง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ให้ทดลองใช้ยา 9 เม็ด ให้เขามีใจต่อสู้กับเรา ที่เร็วที่สุด คือ ดื่มพุทธโอสถ ถ้าไม่อยากดื่ม ก็ดื่มน้ำสมุนไพรแทน
– ให้พอกสมุนไพร แล้วคอยเช็คว่าเขาสบายหรือไม่สบาย เป็นระยะ สมมติให้น้ำฤทธิ์เย็น ถ้าหนาวให้ใส่น้ำอุ่น หรือนำสมุนไพรลูบที่ตัว ให้ดูว่าสมุนไพรเย็นหรือสมุนไพรร้อนอย่างไหนสบายกว่า แล้วให้ใช้สมุนไพรนั้น
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– ถ้าถามแทนผู้ป่วย ต้องเรียนรู้ว่าเราสามารถทำอะไรให้ท่านได้บ้าง ถ้าสามารถทำได้ ให้มาเรียนรู้ยาเม็ดเลิศ เม็ดหลัก เม็ดเสริม ดูว่าผู้ที่เราจะช่วย ท่านรับอะไรได้บ้าง ยาเม็ดเลิศ ท่านรับได้หรือไม่? ทางนี้มีผู้ที่รักษาหายได้ทุกโรค แต่ไม่ใช่ทุกคน
– ให้อ่านดูว่า ท่านมีความกลัวอะไรอยู่ ถ้าท่านได้ฟังธรรมะ เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก ได้เท่าไหนก็ทำ
– ร่างกายที่ไม่สมดุล เกิดจากกรรมวิบาก ให้พากเพียรปรับสมดุลกายใจ ถ้าทำได้ ให้ลด ละ อะไรที่เบียดเบียนตนเอง คนอื่น สัตว์อื่น ลดเนื้อสัตว์ได้หรือไม่? เพราะเป็นพิษร้อน ย่อยยาก
– ให้เรียนรู้เรื่องอาหาร มีอะไรแทนเนื้อสัตว์ได้บ้าง ลองศึกษาใน Facebook หากตรงไหนไม่เข้าใจ เข้ามาถาม ใน Facebook หรือ ไลน์สายด่วนได้ ถ้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเราได้ยิ่งดี แม้ทางอื่นไม่มีทางรักษาแล้ว แต่ทางแพทย์วิถีธรรมของเรา ได้ให้ความรู้ในการประยุกต์หลาย ๆ ศาสตร์ให้เรามารักษาดูแลตนเอง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– โรคที่เป็นระยะสุดท้าย พอได้ยินคำนี้ ใคร ๆ ก็กลัว สิ่งสำคัญต้องทำใจให้สบาย ทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วย ถ้าผู้ดูแลกลัว จะเหนี่ยวนำผู้ป่วย ต้องกล้ารับสภาพเจ็บป่วยที่เราทำมา ถ้าเรากล้า ใจเราจะคลายออกจากความทุกข์ ความกล้า คือ ไม่เบียดเบียนตนเอง พอใจของเรามีพลัง เราสามารถมีปัญญา ปัญญาจะเกิด ถ้าเรากลัว เราจะคิดไม่ออก เราเบียดเบียนตนเอง ทำให้มีวิบาก และยังเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นเป็นตาม เมื่อไหร่เรามีความกล้า เราจะออกจากทุกข์ใจตรงนั้นได้
– สำหรับอาการเหนื่อยและท้องโต “ความกลัว” ทำให้เราเป็นโรคได้ทุกโรค เราหวั่นไหว โรคก็จะตามมา เมื่อทุกข์ใจ ก็ทำให้เกิดความไม่สมดุลในร่างกาย และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราสามารถออกมาจากตรงนี้ได้ โดยเราต้องกล้ารับสภาพตรงนี้ให้ได้ก่อน รับแล้ว ก็หมดไป ถ้าคลายทุกข์ใจไม่ได้ รักษาอย่างไร ด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ไม่ได้ผล เพราะเรายังกลัวอยู่ ต้องคลายใจ วิธีการต่าง ๆ จึงได้ผล
คำถามที่ 5 : พึ่งตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ไม่ได้ดื่มเหล้า เป็นจากสาเหตุ โรคตับอักเสบ ไวรัส B และ C แต่ปัจจุบันไวรัสหายแล้ว
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– กรณีศึกษาผู้ป่วยตับแข็ง เราให้ปรับสมดุลยา 9 เม็ด และลดความเครียด เมื่อเราเครียด กล้ามเนื้อจะเกร็งตัว
– ให้เราย้อนกลับไปเรื่องวิบากกรรม เราคงทำอะไรมา อาจเป็นชาติก่อน ๆ ให้ขออโหสิกรรม ทำใจยอมรับว่าเป็นวิบากของเราที่พลาดทำมา นับแต่นี้ เราจะสร้างวิบากใหม่ และทำยา 9 เม็ดไป ผู้ป่วยท่านนั้นได้ปฏิบัติตาม พอกลับไปตรวจอีกครั้ง ก็ไม่เจออาการแล้ว มีอาการดีขึ้น หมอยังสงสัยว่าท่านหายได้อย่างไร
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– โชคดี ที่เป็นไวรัสตับอักเสบมาก่อน ไวรัส B ไวรัส C หาย ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสย้อนกลับมา สองตัวนี้มา คือ อาจจะเป็นมะเร็งตับต่อ ตอนนี้ท่านเพิ่งจะเป็นตับแข็ง ถือว่าโชคดีที่เพิ่งจะเป็น จึงแนะนำให้ท่านหันมาดูแลตนเองทางนี้ อย่าเพิ่งไปทำอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นจะรักษายาก “ไม่ต้องกลัว”
– งดการรับประทานเนื้อสัตว์ เนื้อ นม ไข่ น้ำมัน น้ำตาล ในครั้งแรก อาจไม่ต้องตัดทั้งหมด ค่อย ๆ ลดไปเรื่อย ๆ เหลือให้น้อยที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ ขับรถแข่งกับเวลา เพิ่งเป็น ก็ไม่ใช่ว่าเดินถอยหลัง เดินหน้า ท่านต้องแซง แซงเขาให้ทัน ไปดูในยา 9 เม็ด เรียนรู้วิธีการรับประทาน พืช จืด สบาย รับประทานถั่วแทนเนื้อสัตว์ ทำกุศล การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เป็นมหากุศล
– อะไรที่เครียด อย่าเอามาใส่ ทำจิตใจให้สบาย โรคภัยขอมาอยู่ในบ้านนี้ เจ้าของบ้านมีความขี้กังวล โรคภัยก็ขออยู่บ้านนี้แหละ มันต้องใช้เวลา อย่านิ่งนอนใจ ถือว่าท่านโชคดี
– ท่านรู้แนวแพทย์วิถีธรรมแล้ว ท่านเป็นพระสงฆ์ ไม่มีสิทธิทำอาหารเองได้ ให้ลองดู ก่อนฉันอาหาร หาถ้วยใบโต ใส่น้ำร้อน แล้วเลือกผักมาล้างน้ำทุกชนิด น้ำจะช่วยล้างรสชาติอาหาร ความมัน แล้วมารับประทานกับข้าว ท่านจะไม่เบียดเบียนคนอื่น เช่น แม่ครัว ให้รับประทานด้วยใจที่สบาย
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– ท่านเป็นพระสงฆ์เป็นโอกาสดีที่ท่านได้มาเรียนรู้กับพระพุทธเจ้า ปฏิบัติให้ได้ดีที่สุด เป็นโอกาสดีจะได้ช่วยญาติโยม เรื่องของศีล อะไรมากมาย ได้นำองค์ความรู้ไปช่วยคนได้
ไวรัส B ไวรัส C หายไป ตอนนี้เหลืออาการตับแข็ง เราแนะนำยาเม็ดเลิศ ยาเม็ดหลัก ยาเม็ดเสริม ปรับสมดุล ล้างความทุกข์ใจ
– เดาว่าท่านมีพื้นฐานตรงนี้อยู่แล้ว หากไปทดลองแล้ว สามารถนำมาเล่าสู่กันฟังได้ หากท่านสะดวก ว่าได้ใช้วิธีการอะไรบ้างแล้ว ทำแล้วได้ผลดีขึ้น ก็ทำต่อ เรื่องใจเป็นประเด็นสำคัญ ล้างความกลัว กังวล ภิกษุทำได้เท่าที่เป็นไป สำหรับยาเม็ดเสริม ให้ทำเท่าที่ทำได้
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 4:
– วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับตับแข็ง “ตับ” เป็นหน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในร่างกาย ขจัดสารพิษ พยายามตั้งศีลรับประทานให้น้อยที่สุด รับประทานมื้อเดียว ลดการทำงานของตับ ตับผลิตน้ำดี ถ้าท้องอืด ให้พยายามลดการรับประทานอาหารลง
– ถ้าเครียด ตับจะมีไมโทคอนเดรีย จะทำให้เราเพลีย อย่าเพิ่มความเครียด การเครียดแต่ละครั้ง ตับจะทำงานหนักมาก
– นักวิทยาศาสตร์เอาหนูมาใช้เข็มจิ้มให้ทรมาน ผลคือที่ตับมีเลือดออก ความเครียดส่งผลต่อตับ ความไม่สบาย จะเกร็งบีบตัว ของดีเข้าไม่ได้ ของร้ายออกไม่ได้ เกิดพิษเยอะ มันจะคั่ง จำเป็นต้องคลายความกังวล
– กิเลสหลอกว่าเป็นเรา เราคิดแล้วทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้น เราทำมา ทำให้เจอ วิบากดึงเข้ามา ดูที่ศีล กล้ารับตรงนี้และกล้าปรับสมดุล ร่างกายของเรามีประสิทธิภาพ สามารถปรับได้ ถ้าไม่ผิดศีล เช่น รับประทานเนื้อสัตว์ เราทำไม่ดี จะดึงสิ่งไม่ดีเข้าร่างกาย จิตวิญญาณของเราคือ คลื่นชีวิตของเรา พาไปข้ามภพข้ามชาติ คิดออกจากทุกข์ให้ได้ อะไรเกิดขึ้น เราทำมา มาสร้างความคิดให้เป็นพุทธะ แก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ ฟังธรรมเพิ่มขึ้น จะพบสัจจะชีวิต ความคิดที่ทุกข์ เกิดจากกิเลส
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 5:
– แนะนำข้อมูล นายแพทย์ชัยพร ที่เป็นไวรัส C [คลิกเพื่อชมคลิป]
คำถามที่ 6 : เป็นมะเร็งปอด ตับ กระดูก ที่เกิดจากการการลุกลามของมะเร็งเต้านมที่เคยผ่าตัดและคีโมหายแล้ว แต่กลับมาเป็นอีก ปวดมาก ๆ เลย ต้องดูแลรักษาอย่างไร?
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– เริ่มที่งดเนื้อสัตว์อันดับแรก ลดละเลิกไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องใจ ผ่าตัดหายแล้วหายข้างนอก ข้างในไม่หาย ทำอย่างไรก็ได้ให้เซลล์เม็ดเลือดขาวแข็งแรง และระลึกถึงวิบากที่เราทำมา จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่วิบากและใจที่ไม่กลัว
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– อาการปวด ให้ใช้พอกทาสมุนไพรฝั่งตรงข้ามในจุดที่ปวด ถ้าปวดตรงไหน ให้พอกฝั่งตรงข้ามกับที่ปวดค่ะ
คำถามที่ 7 : อยากเรียนรู้เรื่องการรับประทานผักพืชจืด หากรับประทานผักซ้ำ ๆ ไปมาทุกสัปดาห์เท่าที่หาได้ และลดเนื้อสัตว์ แต่ใส่ลูกเดือย กับถั่วลูกไก่ เป็นประจำ จะส่งผลดีหรือเสียต่อสุขภาพหรือไม่?
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– ผลดีหรือผลเสีย มันอยู่ที่ว่าท่านรับประทานแล้วสบายหรือไม่สบาย ถ้าสบาย ก็รับประทานต่อ ถ้าเราสามารถหาถั่วอื่น ๆ มาเสริมได้มาเวียนกัน เพราะถั่วแต่ละชนิดจะมีธาตุร้อนเย็นของโปรตีน ให้ลองดูเวทนา ความรู้สึก
– ลูกเดือยจะมีคาร์โบไฮเดรตเยอะ มากกว่าโปรตีน เท่าที่ได้ลองรับประทานดู โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าลูกเดือย รับประทานแล้ว จะไม่อิ่มนาน และไม่ให้พลังงานเท่าถั่วเขียว ถั่วขาว ถั่วลูกไก่ ที่เป็นฤทธิ์เย็น หรือถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสงที่เป็นฤทธิ์ร้อน ซึ่งเราจะมาปรับสมดุล สำหรับการรับประทานโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ถั่วจะย่อยง่ายกว่า และไม่เบียดเบียนชีวิตใด ๆ เลย
– ต้องประเมินว่าอาหารที่เรารับประทานนั้น รับประทานแล้วรู้สึกสบายหรือไม่สบาย และประเด็นสำคัญคือ การที่เราจะมีความสามารถรู้ว่าอาหารใดที่เรารับประทานแล้ว รู้สึกสบายหรือไม่สบาย เราต้องมีญาณที่จะเพิ่มศีล ที่จะอ่านการกระทบ ถ้าเรามีความชอบมาก เราจะนำเข้ามามาก อันนี้มันจะสร้างความไม่สบาย แต่ถ้าเรารับประทานเข้าไปพอดี ถ้าเราไม่มีความชอบมาก เรามาอ่านใจ รู้ถึงประโยชน์ และพบถึงความสบายและไม่สบาย เราจะกำจัดส่วนเกินได้
– ให้ลดอาหารที่ชอบและลองรับประทานตัวที่ชังอยู่ อันนี้เป็นทฤษฎีนะ แต่การปฏิบัติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องลองฝึกกันเอาเองว่า อันไหนที่รับประทานแล้ว ถูกกันกับเรา รับประทานแล้วรู้สึกสบาย บางคนแค่ได้กลิ่น ก็พอแล้ว ไม่ต้องรับประทานก็ได้ บางคนทานเข้าไป สัก 2-3 วันจึงจะรู้ว่าสบายหรือไม่ ดังนั้นเราจึงต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– ถ้ามีของเดิม ๆ คำว่าซ้ำ เช่น ต้นกล้วยจะมีลูกกล้วย ใบกล้วย กาบกล้วย รากกล้วย ลองคิดดูว่ามันจะซ้ำหรือไม่? วันนี้รับประทานกล้วยสุก พรุ่งนี้ก็นำกล้วยดิบมาต้มหรือมาทำแกงเลียงก็ได้ วันมะรืนก็นำกาบกล้วยมาผัดกับน้ำ สามวันนี้ตนเองคิดว่าน่าจะไม่ซ้ำกัน ถึงจะมาจากกล้วยต้นเดียวกัน เช่น ผักบุ้ง วันนี้เอาใบมายำผักบุ้ง แต่วันนี้เบื่อแล้ว พรุ่งนี้ก็นำก้านผักบุ้งมาทำแกงส้ม พอเบื่อ เราก็เปลี่ยน พอเราเปลี่ยนอยู่แบบนี้ เราจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ซ้ำนะ
– ยกตัวอย่างคือ วันนี้เรารับประทานถั่วโชเล่อย่างเดียว พรุ่งนี้รับประทานลูกเดือยอย่างเดียว อีกวันก็นำลูกเดือยไปปั่นกับถั่วโชเล่ หรือบางวันก็นำเอาลูกเดือยมาต้มกับกะทิก็ได้ ก็สลับ ๆ กันไป แล้วก็ไม่ซ้ำกัน มันอยู่ที่ใจเรา เราเบื่อใช่มั้ย เราคิดว่ามันซ้ำ เราต้องดูใจของเราให้ดี ๆ ถ้ามันจำเป็นต้องซ้ำ ก็ไม่เป็นไร ก็แค่ช่วงระยะนึง ไม่มีใครรู้อนาคตของเราว่าจะเป็นอย่างไร ณ วันนี้ เรามีแค่นี้ เราก็ใช้แค่นี้ ทำด้วยใจที่เบิกบาน มันไม่ซ้ำหรอก
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– ท่านกลัวไม่มีอะไรรับประทาน เราชินกับการรับประทานหลากหลาย พอรับประทานแบบนี้ มีความรู้สึกว่าเมนูมันแคบไป ให้เรากล้าที่จะทำ เพราะสิ่งที่เรายึดมั่นว่าดี เพราะเราเข้าใจว่ารับประทานแล้วสุขภาพดี เมื่อรับประทานไปซักระยะ ท่านจะรู้สึกว่าขาด ท่านจะพยายามสรรหา สิ่งที่ท่านกำลังทำ หากท่านมั่นใจถึงประโยชน์ว่ามันดีต่อสุขภาพ ท่านจะความยินดี พอใจที่จะทาน พืช จืด สบาย ให้ท่านฝึกก้าวข้ามความกลัวที่จะขาด เป็นกำลังใจให้นะ ตอนนี้พวกเราพิสูจน์กันแล้วว่า พวกเรารู้สึกว่าไม่ขาดนะ อย่างถั่วเขียว เราก็สามารถรับประทานได้หลากหลายแบบ
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 4:
– การที่สุขภาพจะดีหรือเสีย ไม่ได้มาจากการรับประทานซ้ำ ๆ นะ แต่มาจากการกลัวซ้ำ ๆ ต่างหาก เพราะกิเลสหลอกให้เรากลัวว่า มันทำให้เราสุขภาพเสียได้ เมื่อไหร่เรามีความกล้า ทุกอย่างก็ดีหมด แม้จะรับประทานซ้ำ ๆ ถ้ากลัวการรับประทานซ้ำ ๆ ความกลัวก็จะนำโรคมาให้ เป็นไปตามที่ใจหวั่นไหว เราต้องกล้ารับประทานซ้ำ ๆ เท่ากับเราทำสิ่งที่ดีให้กับร่างกายด้วยความกล้า เพราะเมื่อไหร่ที่กล้า จะออกจากกลัวได้ “กลัว” เป็นบาป เบียดเบียนตนเอง “กล้า” เป็นการปฏิบัติศีลในตัว การกล้ารับประทานซ้ำ ๆ ร่างกายจะแข็งแรง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 5:
– นึกถึงสมัยรับประทานเนื้อสัตว์ เราก็รับประทานซ้ำ เมนูไหนชอบ ก็รับประทานวนไม่รู้กี่รอบ แต่ไม่เคยถาม พอมารับประทาน พืช จืด สบาย เราถามว่ามันมีปัญหาหรือไม่? ไม่มีอะไรเสีย เราเสียตั้งแต่รับประทานเนื้อสัตว์ ของอร่อย ซ้ำ ๆ การรับประทานพืช จืด สบาย ได้ ต้องมีความชอบ เราต้องยินดีรับประทานพืช จืด ซ้ำ พอเราไม่กลัว เราจะรู้เร็วขึ้น ยินดีกับการรับประทานซ้ำ ๆ รับประทานพืช ผัก ถั่ว วิบากน้อยกว่าเนื้อสัตว์ ความสบายจะบอกเร็ว เราสามารถปรับ โยกได้เร็ว ส่วนตัวตนเองก็รับประทานวนซ้ำไปไม่รู้กี่ปี ก็ยังสบายดี ก็มีเจ็บป่วยบางครั้ง เราก็โยกได้ ก็ยินดีที่จะทำ ก็ให้กำลังใจที่จะกล้าที่จะรับประทานซ้ำ กล้ารับประทานพืช จืด สบาย
คำถามที่ 8 : พาคุณพ่อไปหาหมอตรวจตา โรคคนสูงอายุ ใกล้เป็นต้อหิน มีแสงแวบ ๆ มีเส้นผ่าน ตามัว ๆ คุณหมอนัดผ่าตัด เลยลองถามว่าท่านอยากลองทางอื่น ๆ หรือไม่? ที่ไม่ต้องผ่าตัด
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– จากการที่ตัวเองเป็นผู้ป่วยสายตาโดยตรง เป็นเรื่องม่านตาอักเสบ อาการภาวะเหมือนตาของเราเป็นกระจก มองภาพผ่านกระจกที่สกปรก มากน้อยขึ้นอยู่กับความอักเสบ บางครั้งมีจุดดำ ๆ วิ่งไปมาในตา บางทีเป็นเส้น เป็นฝ้ามากขึ้น ตามการอักเสบของดวงตาเรา เวลาอักเสบสิ่งที่มาด้วย คือความดันลูกตาของเราสูง เมื่อตาของเราอักเสบ ให้ใช้วิธีการพอกหน้า และประคบตา เว้นรอบดวงตาไว้ แล้วลดความดันและอักเสบลูกตาด้วยน้ำคลอโรฟิลล์สด นำสำลีแช่ไว้ มาโปะไว้ 10-15 นาที ผ่านเวลาไปครึ่งทาง ให้ลองแตะสำลี ถ้าสำลีร้อน ให้เปลี่ยนมา แล้วโปะใหม่ เพื่อลดความดันและความร้อนในตา ตาของเราก็จะเบาสบายขึ้น
-หลังจากนั้น ให้หยอดหู ตา จมูก ปาก เรามีปัญหาเรื่องดวงตา แต่เราต้องรักษาทั้งหน้า แล้วจะหายไปด้วยกัน บางท่านมีปัญญหาที่ตา จะมุ่งเป้าไปที่ตาอย่างเดียว ไม่สนใจบริเวณอื่น เราต้องระบายความร้อนทุกทิศทุกทาง จะช่วยได้มาก ที่สำคัญสุด คือ ใจที่ไม่กลัว พอเป็นปัญหาที่ตา เราวางใจไม่ได้ กลัวตาบอด วางความกลัว แล้วทำให้สุด ไม่ต้องไปฉีดยาเข้าตา บางท่านฉีดมาหลายเข็ม ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– คุณแม่อายุ 73 ปี ตอนเราเป็นจิตอาสาแรก ๆ หมอบอกเป็นต้อกระจก คุณแม่ไม่มั่นใจ เวลาเราคุยเรื่องน้ำสมุนไพรในตัว คุณแม่ไม่ยินดี เราพาคุณแม่มาเข้าค่าย คุณแม่ปรับสมดุล และลดการรับประทานเนื้อสัตว์ คุณแม่ทำอะไรได้ ก็ทำ คุณแม่ได้กดจุด ทานสมุนไพร พอกหน้า กัวซา เวลาคุณแม่มีอาการบ้านหมุน ใจสั่น ปวดเมื่อย คุณแม่ก็ใช้ยา 9 เม็ด ช่วงโควิด คุณแม่มีอาการตาฝ้าฟาง คุณแม่จะไปหาหมอ ต้นปีที่แล้วเราลงจากภูผา พาคุณแม่ทำกสิกรรม คุณแม่หายจากตาฝ้าฝาง พอเวลาคุณแม่เกิดความเครียด อาการกลับมา อาการของคุณแม่เป็น ๆ หาย ๆ พอยังไม่ปรับสมดุล แม้ท่านจะผ่าตัดแล้ว และใช้เทคนิค 9 ข้อผสมด้วย
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– ตนเองมีปัญหาเป็นหยากไย่ในตามาหลายปี คุณหมอบอกว่าหากเป็นเยอะ ๆ และเป็นฟ้าแลบ มีโอกาสจะตาบอดได้ ก่อนขึ้นภูผา มีอาการฟ้าแลบทั้งวัน วันนึงเป็นหลายครั้ง คุณหมอตรวจแลัว ก็ตกใจ หยากไย่เยอะมาก อีกสัปดาห์หนึ่ง พอกลับมาบ้าน คุณหมอให้น้ำตาเทียมมาหยอดก่อน เแต่ราไม่ใช้น้ำยาของหมอ แต่ใช้น้ำในตัวและน้ำสกัดสลับไปมา เราเน้นสมุนไพรในตัว ทำไปเรื่อย ๆ ท่านบอกมันดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เราปรับสมดุลอย่างอื่น สวนล้างลำไส้ รับประทานอาหาร ไม่ใช่หยอดตาอย่างเดียว ใช้ยา 9 เม็ด
– ทำใจว่า ถึงตาจะบอด ก็ให้มันบอด ตอนนี้อาการหายไปแล้ว ไม่มีอาการฟ้าแลบ ไม่ต้องไปหาหมอ การปรับสมดุลช่วยได้ ไม่ต้องไปหาหมอตา ถ้าไม่สมดุล ก็จะมีอาการอยู่บ้าง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 4:
– หากคุณพ่อไม่ยินดีจะปรับสมดุล ให้ลองแจ้งท่านว่า ตอนนี้ที่โรงพยาบาลมีแต่โควิด ไม่น่าไป ถ้าไป ก็จะได้โควิดกลับมา ลองให้ข้อมูลกับคุณพ่อตามความเป็นจริง ส่วนตัวเคยเป็นมีอาการทางตาเช่นกัน เกิดจากอาหารที่เราใส่เข้าไป ตัวที่สั่งคือ กิเลส ตาจะเป็นช่องทางระบายพิษที่ใหญ่ จะเป็นทั้งตับและไต หากเป็นมาก ๆ จะผลักออก ให้คุณพ่อดูที่วัตถุและดูปัจจัยที่ใส่ลงไป แม้เราถอนพิษ ระบายพิษ ถ้าใส่พิษใหม่ ก็เป็นกระบวนการเดิม จะดันพิษออก นอกจากการปรับอาหารแล้ว ถ้าท่านยอมปฏิบัติ ก็มีการดื่มน้ำถ่านสี่พลัง อันนี้ก็จะดูดซับพลังงานพิาออกทางอุจจาระและปัสสาวะได้
– ให้หยอดน้ำสกัด น้ำกลั่นสมุนไพรในตัว แล้วนำไปสวนล้างลำไส้ ลองนวดกดจุด ใช้น้ำมันเขียว น้ำสกัด นวด ๆ ศีรษะ เราไม่ต้องบอกว่าคุณพ่อว่าเรากำลังรักษาท่าน ให้ทำไป หรือจะทำกัวซาที่แผ่นหลัง ก็จะเร็ว พิษจะออกไปตามเส้นเลือดฟอย จะออกทางผิวหนัง ระบายพิษได้ทุกทาง ให้คุณลูกลองใช้ศิลปะในการช่วยคุณพ่อดู
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 5:
– ผู้ดูแลอย่าเอาพลังงานกังวลไปให้ท่าน กล้าจะให้อะไรเกิดกับท่านก็ได้ ถ้าวิบากร้ายออกฤทธิ์ ดูกุศลของท่าน ของเราได้แค่ไหน ถ้าเราทำความดีมากขึ้น ให้ลดกิเลสให้มากขึ้นเท่าที่เป็นไปได้ ดูว่าใจเรากังวลหวั่นไหวหรือไม่ เราจะได้ปฏิบัติธรรม เราจะล้างใจได้ มันจะเป็นพลังงานเหนี่ยวนำ เป็นกำลังใจให้ ถ้าคุณพ่อมาปฏิบัติทางนี้ไม่ได้ ให้ท่านมีความสุขกับการปฏิบัติกับแพทย์แผนปัจจุบัน หากใจเราห่วง ให้เราสลายห่วง เราจะชัดเจนในการช่วยคน ให้ดูกุศลของเราและท่านมีเท่าไหร่ ช่วยไปแล้ว เรากลัวกังวลมั้ย หากล้างใจได้ จะเป็นมหากุศล จะเหนี่ยวนำให้ท่านเป็นตาม
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 6:
– ทุกอย่างเกิดที่กุศล อกุศล วิบากดีร้าย ที่ช่วยท่านได้ ให้เรามีศีล มีความกตัญญู ทุกครั้งที่ท่านกลัว เรามีความปรารถนาดีให้ ความกลัวของท่านจะคลาย สิ่งที่ดีที่สุดคือ การเชื่อมร้อย ทำให้ท่านหมดห่วง หมดกังวล ความกังวล แม้เล็กแม้น้อย มันเป็นพลังเหนี่ยวนำ หากท่านสบายใจ ท่านจะหายโรคง่าย เราต้องรอเวลา ตอนนี้อกุศลมา ให้ประมาณให้พอเหมาะ ว่าสิ่งที่เราทำ ที่เรามีความปรารถนาดีกับท่านนั้น ท่านได้แค่ไหน เราทำให้ท่านสบายใจ ทำให้เลือดลมคลายตัวได้นะ มันคือ 70% บวกเกินร้อย
– ส่วนเรื่องอาหาร ท่านจะรับอะไรได้ ต้องประมาณ สมดุลร้อนเย็น เราต้องประมาณการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มันก็อาจมีวิบาก เราก็ต้องกล้ารับ อย่ายึดมั่นถือมั่น เรามีความกตัญญูเท่าไหร่ กล้ามเนื้อก็คลายตัวเท่านั้น และนี่คือ ความจริง และในวันนึงคุณพ่อก็จะรับได้ เมื่อกุศลมาถึงพร้อม
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 7:
– ลองเอาสมุนไพรรางจืด มาทำน้ำสกัดให้ท่าน ใส่ถ้วยแล้วกลิ้งลูกตาได้ในถ้วย ก่อนลืมตา ให้ท่านกลิ้งตา ทำเป็นลักษณะสัญลักษณ์ตัวคูณ หรือรูปดอกจันทน์ เหลือบทางซ้ายขวา ขึ้นบนลงล่าง ทำซัก 10 ครั้ง ก่อนที่จะกลอกตา เพื่อให้สะเก็ดที่อยู่ตามันหลุดออกมาบ้างจากการเคลื่อนไหว
– ถ้าคุณพ่อจะไปหาหมอปัจจุบันก็ได้ ให้ใช้คู่กับน้ำตาเทียมก็ได้ แต่ต้องบริหารตาก่อน แต่ถ้าคุณพ่อปฏิเสธ ก็ไม่เป็นไร
คำถามที่ 9 : ลูกสาวเพื่อนไลน์มาถามว่า คุณแม่เป็นมะเร็งลำไส้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังผ่าตัด ก็ปฏิเสธการรักษาทำเคมีบำบัด แล้วมาศึกษาแนวทางของแพทย์วิถีธรรม แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้เท่าที่ควร ได้เลิกเนื้อสัตว์อื่นแล้ว แต่ยังรับประทานปลาและไข่ ในขณะนี้มะเร็งลามไปที่ตับ ตอนนี้คุณแม่มีอาการท้องบวมใหญ่ จะแก้อย่างไรดี?
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 1:
– มีอาการบวม แสดงว่าร่างกายมีความร้อน สร้างน้ำขึ้นมาดับร้อน ให้พอกสมุนไพรบริเวณที่บวม หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำย่านางวางบนท้องที่บวม
– ส่วนเรื่องอาหาร ก็ให้รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็น
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 2:
– กรณีนี้ หากเขาต้องการให้แม่เลิกเนื้อสัตว์ เขาต้องทำก่อน และพิสูจน์ว่า การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ มีผลต่อร่างกายอย่างไร ถ้าเขาไม่ทำ จะไม่มีบารมีมากพอที่จะบอกคุณแม่
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 3:
– เราเป็นผู้ชี้ทาง ส่วนการเดินทางเป็นสิ่งที่ท่านต้องทำเอง
คำแนะนำจากจิตอาสาท่านที่ 4:
– ภาพรวมส่วนใหญ่ อาการของท่านน่าจะร้อนเกิน สำหรับยา 9 เม็ด ท่านรู้จักเม็ดไหนบ้าง
– สำหรับการระบายพิษได้ ก็ระบายไป หลักแพทย์วิถีธรรมร่างกายสมดุลร้อนเย็น ก็ช่วยได้เป็นวัตถุ 30% และ 10% คือการระบายพิษ มะเร็งลามได้เร็ว ถ้ามีจิตเร่งผล จะลามได้มากกว่านี้ ใจมีผล 70% บวกเกินร้อย เวลามีอาการความเจ็บเกิดขึ้น มันคืออกุศลที่เราต้องกล้ารับ อย่าไปยึดว่า ไม่เจ็บป่วยจะสุขใจ ให้เรียนรู้กุศล อกุศลในปัจจุบัน
– สำหรับเรื่องการตั้งศีล เพื่อให้เห็นความลวงของกิเลส ความกลัวทุกอย่าง กล้ามเนื้อจะเกร็งตัว
– ส่วนเรื่องอาหารเป็นเรื่องเล็ก หากปฏิบัติผิด ก็ยังเหลือผล 40%
สรุปเนื้อหาสาระในวันนี้ คือ อาการป่วยในโรค หากดูแลตนเองจนหายโรคแล้ว แต่ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาในอนาคต หลงกลับไปทำร้ายตนเองซ้ำ ๆ ย่อมจะทำให้ร่างกายกลับมาป่วยเป็นโรคเดิมได้ทุกวินาที
รายงานข่าวโดย :
ศิรินภา คำวงษ์ศรี (เพียรสุขศีล) / สวนป่านาบุญ ๙ สังกัดภาคกลาง