At bagon.is you can Buy webshells, phpmailer, Combo list
“สายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย” - 22 ก.ย. 64 | สถาบันวิชชาราม
Skip to content

“สายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย” – 22 ก.ย. 64

รายการ “สายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย” 
ค่ายพระไตรปิฎก ครั้งที่ 32
หลักสูตรแพทย์แผนไทยวิถีธรรมค้ำจุนโลกรุ่นที่ 1
โดย กลุ่มแพทยแผนไทยช่วยไทย
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2564 (ค่ายวันที่ 5)
เวลา 17.00 – 20.15 น.

ประเด็นเด่นจากรายการ

(คลิกหัวข้อด้านล่าง เพื่ออ่านเนื้อหา)

[คลิกเพื่อชมคลิปวีดีโอฉบับเต็ม]

วันนี้มีพี่น้องทั้งจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วโลก และผู้เข้ารับการอบรมได้ร่วมในรายการทั้งหมด 234 ท่าน ดำเนินรายการ โดย คุณปัทมา ลีฬหาวงศ์ (หมู) และคุณศิรินภา คำวงษ์ศรี (จิ๊บ) โดยได้รับเกียรติจากแขกคนพิเศษ ได้แก่ ดร.ใจเพชร กล้าจน (อาจารย์หมอเขียว) ที่ได้เข้ามาร่วมรับฟังคำถามและตอบปัญหาให้กับพี่น้องผู้เข้ารับการอบรม พร้อมทั้งส่งกำลังใจให้กับทุกท่าน

รายการสายด่วนสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย เริ่มต้นรายการด้วยยาเม็ดที่ 6 มาร์ชชิ่ง [คลิกเพื่อชมคลิปวีดีโอ] ต่อด้วยการอ่านบททบทวนธรรมยาเม็ดที่ 8 ข้อ 151 – 165 [คลิกเพื่ออ่านบททบทวนธรรม] ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจารย์หมอเขียวได้กลั่นกรองความรู้ในพระไตรปิฎก และนำมาสรุปให้พวกเราได้เข้าใจง่าย


“ช่วงแบ่งปันความประทับใจในบททบทวนธรรม ที่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อดับทุกข์ใจ”

บททบทวนธรรมหน้าที่ 158 “ศูนย์บาทรักษาทุกโรค” 

คุณซินดี้ :  “ศูนย์บาท” รักษาทุกโรค โรคหาย ครอบคลุมทุกอย่างทั้งหมด ได้พ้นทุกข์ ร่างกายแข็งแรง รู้จักกิเลสมากขึ้น รู้จักลด ละ กิเลส และไม่โลภ


บททบทวนธรรมหน้าที่ 161 “ชีวิต…ต้องฝึกให้อยู่อย่างประหยัด เรียบง่ายให้ได้ ประหยัดคือกินน้อยใช้น้อย ในขีดที่แข็งแรงที่สุด ไม่ทรมานตน ไม่เสียหาย จำเป็นจึงใช้ ไม่จำเป็นไม่ใช้ เป็นประโยชน์จึงใช้ เป็นโทษไม่ใช้ เพื่อก้าวไปสู่… ชีวิตที่พอเพียงเรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสุข

คุณทัศนีย์​ จันทา :ไม่เคยได้ปลูกอะไรรับประทานเอง ได้เข้าใจซาบซึ้ง แต่ในตอนนี้ไม่สามารถไปหาเงินเองได้ จึงไม่มีเงิน ไม่มีผักอะไรรับประทาน จึงตั้งใจว่าจะต้องพึ่งตนเอง และช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด


บททบทวนธรรมข้อที่ 162 “การดำรงชีวิต มันไม่ได้มีอะไรมากมาย อย่าเสียเวลาไปไขว่คว้า หาสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิต สิ่งจำเป็นในชีวิต คือ ปัจจัย 4 (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) มิตรดี ความดี คือสมบัติที่แท้จริง สิ่งจำเป็นในชีวิตมีเพียงเท่านี้!!!”

ทพญ.สิริรัตน์ ธนพรไพศาล : ในอดีตมัวแต่ทำงาน เก็บเงินเพื่อไปเที่ยว เมื่อได้มาเรียนรู้ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จึงได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ อาหารอร่อยเพียงใด วันต่อไปก็ต้องมาขับถ่ายทิ้ง ตอนนี้เสื้อผ้ามีไม่กี่ชุด ส่วนใหญ่ใส่แต่เสื้อแพทย์วิถีธรรม และไม่ต้องรีด ที่อยู่อาศัยก็มีมากมาย และใหญ่โตมาก คือ “ทุกศูนย์ของแพทย์วิถีธรรม สวนป่านาบุญ 1-9” จึงไม่ต้องไปซื้อที่ดินหรือบ้าน และสุดท้ายยารักษาโรค ก็มีน้ำพระพุทธเจ้า คือ “ยาในตัวของเรา” เชิญชวนมาเป็นจิตอาสากันเถอะ


บททบทวนธรรมหน้าที่ 161 “ชีวิต…ต้องฝึกให้อยู่อย่างประหยัด เรียบง่ายให้ได้ ประหยัดคือกินน้อยใช้น้อย ในขีดที่แข็งแรงที่สุด ไม่ทรมานตน ไม่เสียหาย จำเป็นจึงใช้ ไม่จำเป็นไม่ใช้ เป็นประโยชน์จึงใช้ เป็นโทษไม่ใช้ เพื่อก้าวไปสู่… ชีวิตที่พอเพียงเรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสุข
และบททบทวนธรรมข้อที่ 165 “คุณค่าและความผาสุกของชีวิต คือ ชีวิตที่พอเพียงเรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสุข”

คุณสนทยา กันทะมูล : เป็นจิตอาสามาเป็นเวลา 10 ปี ได้ทำกสิกรรมไร้สารพิษไว้มาเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย ธุรกิจต้องปิดกิจการ มีหนี้สินที่ต้องรับภาระ “แต่สามารถอยู่รอดมาได้” เพราะได้ใช้ชีวิตวรรณะ 9 รับประทานผักที่ปลูกเอง จึงใช้เงินน้อยมาก ด้วยคำสอนของอาจารย์หมอเขียว ปัจจุบันสมาชิกในครอบครัวมีความสุขและเห็นด้วยกับทางที่อาจารย์หมอเขียวได้สอน ทั้งยังได้แบ่งปันให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย

คุณปัทมา ลีฬหาวงศ์ : “หมอเขียวไม่ได้จ่ายยา แต่จ่ายปัญญา” หลายท่านแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้นได้จากยา 9 เม็ด และส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นต่อไป


บททบทวนธรรมข้อที่ 10 “เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เพราะเราเคยทำเช่นนั้น มามากกว่านั้น เมื่อได้รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น”

ทุกข์ที่แรงที่สุด จะดับความกลัวได้ หากวิตกกังวลอะไร เมื่อได้ใช้บททบทวนธรรม จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ถึงชีวิตจะไม่ราบเรียบด้วยเหตุจากวิบาก 11 ประการ มาหลอกทำให้ใจทุกข์ แต่หากใช้ปัญญาแห่งธรรมะมาดับทุกข์ใจได้ และใช้อย่างลึกซึ้ง ก็จะทำให้ชีวิตมีความผาสุก ในอดีตช่วงแรกเคยกลัวอาจารย์หมอเขียวมาก ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว เพราะได้เริ่มทำความดีให้มากขึ้น โดยสานพลังกับหมู่มิตรดี เชื่อชัดในกรรมอย่างแจ่มแจ้ง

การใช้ปัญญาทางธรรมดับทุกข์ เหมือนการใช้ “ดาบของซามูไร” และหากได้ตั้งศีลเพิ่มด้วย โดยเฉพาะการเริ่มต้นตั้งศีลข้อ 1 คือ การลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ ก็จะยิ่งทำให้สามารถเห็นกิเลสได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การทบทวนธรรรมต้องทำบ่อย ๆ เราจะไม่หลับตาเพื่อพ้นทุกข์ แต่ใช้ปัญญาวิปัสสนาจนพ้นทุกข์

ธรรมะของพระพุทธเจ้ารักษาโรคได้ดี ทั้งทางใจและทางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ “การรักษาความกลัว” เพราะได้รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาริยสัจ 4 ทำให้ลดความกลัว เนื่องจากเข้าใจสัจธรรมของชีวิตอย่างแจ่มแจ้งด้วยจิตวิญญาณ


“ช่วงถาม-ตอบปัญหาสดในรายการ”

คำถาม : ป่วยเป็นโรคไต ตับอักเสบ มีไขมันสูง ตอนนี้มีประจำเดือน สีเลือดออกมาซีด มีอาการปวดแขน ขา และกระเบนเหน็บ ไม่ได้กังวลใจใด ๆ วันนี้รับประทานผัดบวบ ข้าวสวยโรยเกลือผสมน้ำ มะเขือพวง และยอดฟักทอง หลังจากรับประทานแล้ว ไม่ค่อยมีแรง แต่บอกจิตตนเองว่า เป็นอาหารสุขภาพ ท้อใจเพราะปลูกผักเอง แต่เหี่ยวเร็ว จึงรับประทานได้เท่าที่มี ไม่แน่ใจว่าตนเองขาดสารอาหารหรือไม่?

คำแนะนำด้านจิตวิญญาณ : ยาเม็ดที่ 8

    1. ผู้ป่วยยังดูเบิกบานดี แต่ยังเป็น “โรคทำทุกข์ให้ตนเอง” ด้วย “ความกังวล” ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคทางร่างกาย
    2. มนุษย์เราทุกคนก็ต้องค่อย ๆ ทำดีแก่ตนเองและผู้อื่นไปเรื่อย ๆ อาจมีหลงทางบ้างเป็นครั้งคราว เพราะหากมีวิบาก 11 ประการเข้ามา จะทำให้ไปไม่เป็น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ต้องมี “สัตบุรุษ” และ “หมู่มิตรดี” มาคอยช่วยให้ปัญญา ย้ำปัญญาเรื่องเก่า เล่าเรื่องใหม่ไปเรื่อย ๆ ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ แก้ทั้งใจและวัตถุ

คำแนะนำด้านวัตถุ : ตอนนี้มาถูกทางแล้ว การได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนั้น ต้องวางใจให้กล้า ทำตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทดลองเติมอาหารไปเรื่อย ๆ ทีละอย่าง ค่อย ๆ ปรับว่ามีพลังเพิ่มขึ้นใหม่หรือไม่? อาการนี้เป็นเพียงภาวะของการขับพิษออก พลังขับของเสียยังมีน้อย จึงทำให้ปวดเมื่อยเป็นเรื่องธรรมดา หากประจำเดือนยังไม่มีกลิ่นเหม็นหรือคาว ก็ยังเป็นปกติอยู่

    1. ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ การรับประทานอาหารให้สมดุล อาหารที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่นั้น ยังไม่สมดุล เพราะมะเขือพวงเป็นฤทธิ์ร้อน แนะนำลดการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน และรับประทานผักสด ก่อนรับประทานอาหารอื่น ๆ สังเกตอาการของร่างกายว่า หากขาดสารอาหาร ร่างกายจะเบาเกินไป ไม่มีแรง โดยทดลองเพิ่มถั่วโปรตีนเข้าไป เพราะอาจยังขาดอยู่ ทำสมดุลในสิ่งที่ถูกกัน แต่หากอาหารที่รับประทานเกินต่อร่างกาย จะมีอาการท้องอืด หนักตัว ให้ลดอาหารประเภทนั้นลง
    2. หากอาหารบางอย่างยังปลูกไม่ได้ ก็ควรซื้อไปก่อน บางครั้งอาจารย์หมอเขียวเองก็ปลูกผักไม่ขึ้นเช่นกัน ให้วางใจเย็น ๆ ทำไปเรื่อย ๆ วิบากหมดแล้ว ก็จะสามารถปลูกได้

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ]


คำถาม : ฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 ไม่มีอาการใด ๆ แต่กำลังจะไปรับวิคซีนเข็มที่ 2 มีใจกังวลนิดหน่อย เพราะมีเพื่อนเล่าให้ฟัง การฉีดวัคซีนนั้นจะมีผลไม่ดีต่อไต ขอคำแนะนำเพิ่มเติม

คำแนะนำด้านจิตวิญญาณ :

    1. มีหลายเหตุปัจจัยที่อาจมีผลไม่ดีต่อไต เช่น “ความเครียด” เพราะเป็นพิษทางใจอย่างแท้จริง ฯลฯ หากนำใจที่มีความเครียดไปฉีดวัคซีนก็จะทำให้มีผลข้างเคียงได้ แต่ถ้าหากวางใจกล้าหาญที่ถูกศีล คือ “ใจไม่กังวล” การไปรับวัคซีนที่เป็นวัตถุ ก็จะสามารถมีภูมิคุ้มกันได้ เพราะผลของใจมีความสุขเรียบร้อยแล้ว ใจสบายแล้ว ประสิทธิภาพของ “วัคซีน” บวก “วัคศีล” จึงยิ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง
    2. ให้ประมาณทุกอย่างด้วยใจและกายของตนเอง อย่าใช้ค่าประมาณการจากคำพูดของผู้อื่น เพราะร่างกายของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีด้วยตนเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราเท่านั้น

คำแนะนำด้านวัตถุ :

    1. ใช้ยาเม็ดที่ 1 คือ ปรุงยาให้ตนเอง โดยชงผงถ่าน น้ำสกัดย่านาง ผสมน้ำต้ม 2 แก้ว ดื่มตั้งแต่ที่บ้าน และช่วงเวลารอคิว วิธีนี้จะช่วยดูดพิษ
    2. ใช้ยาเม็ดที่ 2 คือ กัวซา ขูดพิษ หากมีไข้ ก็จะไข้ลดลง

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ


คำถาม : ปกติเดินอย่างน้อย 5-10 กิโลเมตร เป็นประจำ มีคนใกล้ตัวเป็นห่วงว่า อาจมากเกินไปสำหรับตนเอง อยากขอคำแนะนำเพิ่มเติม

คำแนะนำ : ไม่ว่าจะเดิน 1 ชั่วโมงหรือจะวิ่ง หรือจะเท่าไรก็ตาม ให้พิจารณาด้วยตนเองว่า ใช้วิธีใดแล้วสบายกว่ากัน จึงควรเลือกใช้วิธีนั้น ตรวจสอบด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร ทำในสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองเท่านั้น

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ


คำถาม : จากที่อาจารย์หมอเขียวได้นำคำตรัสของพระพุทธเจ้า คือ “ใจเป็นประธาน ๑ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ใจเป็นใหญ่ ใจประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ” และบททบทวนธรรม ข้อที่ 87 “แต่ละชีวิตจะมีสภาพ ทุกข์เท่าที่โง่ โง่เท่าที่ทุกข์ โกรธเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โกรธ โลภเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โลภ ยึดเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ยึด กลัวเท่าที่โง่ โง่เท่าที่กลัว ชั่วเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ชั่ว ไม่ทุกข์เท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ทุกข์ ไม่โกรธเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โกรธ ไม่โลภเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โลภ ไม่ยึดเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ยึด ไม่กลัวเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่กลัว ไม่ชั่วเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ชั่ว”
ปัจจุบันลดการรับประทานเนื้อสัตว์อื่น ๆ แล้ว เหลือเพียง “ไข่” ตอนนี้เป็นมะเร็งเต้านมระยะ 4 ผ่าตัดไปข้างหนึ่งแล้ว และกำลังรู้สึกว่า อีกข้างเริ่มมีอาการเจ็บปวดขึ้นมา เวลามีอาการกำเริบ จะนอนตัวงอทั้งวัน ช่วงนี้ปวดถี่มากขึ้น รู้สึกทุกข์ทุกครั้งที่มีอาการเจ็บปวดมากระทบใจ บอกตนเองทุกวันว่า “อย่าหวั่นไหว” แต่เมื่อเจออาการเจ็บป่วย ก็ยังวางใจไม่ได้ทุกครั้ง ขอให้ช่วยขยายความให้ธรรมะในเรื่องนี้ อยากเข้าใจมากขึ้น และเราจะชนะโรคได้อย่างไร?

คำแนะนำด้านจิตวิญญาณ : ยาเม็ดที่ 8

    1. ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ต้องวางใจไม่ทุกข์ “มะเร็งหายไม่ยาก แต่ต้องทำใจกล้า” ความกลัว กังวล หวั่นไหวเป็นความคิดที่ผิด ให้วางใจไม่กลัวตาย ไม่กลัวเป็น เพราะถ้าเอาแต่วัตถุอย่างเดียว จะไม่สามารถแก้ทันกับใจที่ทุกข์ได้ เหตุในการสร้างโรค
    2. อยู่กับปัจจุบัน ดูแลร่างกายก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล และเราจะผ่านไปได้ด้วยดี
    3. “ใจ” สั่งให้ทุกข์ หรือให้สุขทั้งนั้น ใจเป็นประธานของความคิด ความอ่าน และความพูด จึงต้องแก้ที่ใจด้วยปัญญาทั้ง 5 โดยพิจารณาโทษของความเครียด ยิ่งไม่เบิกบาน ร่างกายยิ่งพังยิ่งแย่ลง พิจารณข้อดีของการไม่เครียด และดีกว่าอย่าง เราทุกคนผิดศีลกันมามาก จะให้มาเข้าใจธรรมะทั้งหมดที่ยากในตอนนี้เวลานี้ นั้นเป็นไปไม่ได้ ให้ค่อย ๆ ศึกษา
    4. ยินดีกับวิบากกรรมของตนเอง การป่วยทำให้ตนเองได้โชคดี จนได้มาพบหมู่มิตรดี และให้ยินดีที่ได้มีโอกาสได้มาฟังอาจารย์ แม้แต่จิตอาสาทุกท่านก็ยังต้องเรียนรู้ไปตลอด เพราะเราจะสามารถช่วยผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องช่วยตนเองให้ได้ก่อน
    5. ในแต่ละวัน “ทำความยินดี ให้มีพลัง” หัวเราะเบิกบานได้ทุกวัน สู้ต่อไปด้วยกับหมู่มิตรดี
    6. ถอดความทุกข์ของตนเองก่อน ว่าเราทุกข์เรื่องอะไร เมื่อทราบสาเหตุ จึงจะสามารถใช้สัมมาทิฏฐิแก้ไขในเรื่องนั้นได้
    7. เราทุกคนนั้น หากมีอาการป่วยอยู่ จะมีทุกข์ใจเยอะมากมาย เช่น เจ็บปวดทรมานทางกาย เงินที่ต้องใช้เยอะกับการเจ็บป่วย ความกังวลห่วงในเรื่องลูก เพราะหาเงินทองไม่ได้ในช่วงเจ็บป่วย ฯลฯ จึงต้องค่อย ๆ แกะทุกข์ทีละเรื่อง บางครั้งหากเราไม่อยู่แล้ว ลูกของเราอาจได้พบโอกาสในชีวิตที่ดีตามวิบากดีของลูกก็ได้
    8. ลองจินตนาการว่า หากตัวเรานั้นมีมนต์วิเศษที่ทำให้ตนเองไม่ต้องตาย เราอยู่ชีวิตถาวรไม่เจ็บป่วย แต่ต้องทนเห็น “คนรอบข้างของเราตายไปทีละท่าน” เราจะยังมีความสุขหรือไม่? ความตายเป็นสมบัติของเราทุกคนอยู่แล้ว จะกลัวตายไปเพื่ออะไร? ลองถามตนเองว่าเชื่อชัดเรื่องกรรมหรือไม่? เราทุกคนต่างมีทั้งกุศลและอกุศลกรรมของตนเอง ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมของแต่ละท่าน ชีวิตจึงไม่ต้องห่วงหรือกังวลใด ๆ เลย “ความกังวลไม่ใช่กิจของเรา” เมื่อเราเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตได้ ความทุกข์ก็จะค่อย ๆ หายไป ไม่ต้องทุกข์เรื่องหาเงินทอง ให้เสียดายเวลาชีวิตเลย
    9. เราทุกคนย่อมมีอาการป่วยกันทั้งนั้น มีทั้งสุขและทุกข์กันทั้งนั้น หากถามตนเองว่า “ทำไม ๆ” ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร ให้ตั้งสติใหม่ ค่อย ๆ ฝึก อย่าใจร้อน เราเคยได้ทำร้ายคนอื่นมากมาย จะให้ได้ดั่งใจ หรืออยากให้หายป่วยได้เร็วทันทีเลยนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เหมือนเราเอาแต่ใจตนเอง “การอยากได้ดั่งใจ และไม่ได้สมดั่งใจนั้น ก็จะทุกข์ เพราะไม่อยากมีอาการเจ็บปวด” และก็จะทำให้ยิ่งไม่หายและยิ่งปวด
    10. ตั้งศีลล้างความยึดมั่นถือมั่น คิดให้สุด ว่าหากเราไม่หาย เราก็จะอยู่กับอาการเจ็บป่วยด้วยใจที่เป็นสุข ไม่หลงเชื่อกิเลสที่พาใจเราไปให้ทุกข์ เมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้ จะก้าวข้ามความกลัวไปได้
    11. “ความกลัว คือ การทำผิดศีล” ให้ลองตั้งศีลที่ง่าย ๆ ไปก่อน ยอมรับในโรคมะเร็งของตนเอง และเชื่อศรัทธาในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ดูแลตนเองให้ดี ไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน
    12. เมื่อเราทำได้ดีที่สุดแล้ว อย่าลืมวางใจอุเบกขา ให้ร่างกายปวด ก็ปวดไป อาการที่แย่ จะทุเลาลง
    13. เริ่มต้นที่ใจใหม่ บอกตนเอง “เจ็บก็ให้มันเจ็บ ปวดก็ให้มันปวด” ยอมใช้หนี้ในครั้งนี้ ยินดีใช้วิบาก ทำความเข้าใจอาการป่วย
    14. สำนึกผิดที่เคยได้เบียดเบียนสัตว์อื่นไว้ จากที่เราได้รับประทานเข้าไป ได้เรียนรู้ว่าสัตว์เหล่านั้นต้องทรมานเจ็บปวดเพียงใด เมื่อเราเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดนั้น จึงจะทำให้ได้เข้าใจสัตว์เหล่านั้นมากขึ้น ว่าพวกเขาทุกข์ทรมานขนาดไหน
    15. เพราะยังสงสัยในเรื่องกรรม ความเจ็บป่วยทางกายจึงทำให้ได้ต้องเชื่อชัดในเรื่องของกรรมทั้งดีร้ายของตนเอง ดังนั้นให้เราเชื่อมั่นในกรรมดีของตนเองที่ได้เคยทำไว้ วางใจให้สุขเต็มที่ทุกวัน
    16. ถึงเราจะมี “เซลล์มะเร็งร้าย” ในร่างกายที่ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยก็จริง แต่เราลืมไปว่า เรายังมี “เซลล์ดี” อยู่ในร่างกายเช่นกัน อย่าปล่อยเซลล์ร้าย คือ “มะเร็ง” มากัดกินใจและกายของเราเอง ทำกำลังใจให้ตนเองสู้ต่อไป มิฉะนั้นถ้าแพ้ มะเร็งจะชนะเราแทน
    17. เห็นไตรลักษณ์ของกิเลส ว่าไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ยิ่งอยากได้ ยิ่งทุกข์
    18. แยกความคิดและความรู้สึกออกจากก่อน เช่น ฟังอาจารย์หมอเขียวแล้วเป็นสุข ความรู้สึกเป็นเจตนา เราทุกคนสามารถเปลี่ยนใจให้เป็นสุขหรือทุกข์ก็ได้ เราเป็นผู้เลือกเอง
    19. ทุกครั้งที่ปวดทางร่างกาย ให้เปิดธรรมะของอาจารย์ฟังทันที เพราะใจจะได้ไม่จดจ่อกับอาการปวดของตนเอง ซึ่งจะทำให้ยิ่งแย่ ต้องนำใจไปจดจ่อในกับการฟังธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับจิตวิญญาณตนเอง ให้เก็บเตรียมคลิปไว้ และพร้อมเปิดทันที
    20. ลองฟังเพลง “มันอยู่ที่ใจ” [คลิกเพื่อรับฟังเพลง]  เป็นประจำ จะเข้าใจธรรมะในเรื่องนี้มากขึ้น วันนี้ส่งผู้ป่วยเข้านอนด้วยความสบายใจ

คำแนะนำด้านวัตถุ : เป็นมะเร็งจะต้องเข้มแข็งในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง

    1. ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ การรับประทานอาหารให้ดี งดเนื้อสัตว์ นม ไข่ งดน้ำมันและน้ำตาล ซึ่งเป็นอาหารที่ก่อมะเร็ง
    2. ใช้ยาเม็ดที่ 6 คือ ออกกำลังกาย ทำกายบริหาร กดจุดลมปราณ เท่าที่ทำได้ ตื่นเช้าขึ้นมา ก็วางใจให้สดชื่น แล้วหายใจลึก ๆ เพิ่มออกซิเจนในร่างกาย
    3. ใช้ยาเม็ดที่ 9 คือ พักผ่อนให้เพียงพอ
    4. ใช้ยาเม็ดที่ 5 คือ ใช้ยาสมุนไพรในตัว (น้ำปัสสาวะ) นำมาอาบราดจุดบริเวณที่เจ็บปวด
    5. ใช้วิธีอื่น ๆ คือ หากเจ็บปวดมากจนเกินทน แนะนำว่าอาจทำการ “ผ่าตัด” มะเร็งออกก่อน เพื่อไม่ให้ทรมานจนมากเกินไป และจึงค่อยมาใช้วิธีการของทางแพทย์วิถีธรรม ในการสร้างเซลล์ดีขึ้นมาใหม่

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ


คำถาม: แพทย์ที่ผู้ป่วยรักษาอยู่ แจ้งว่าต้องรับประทานยาลดไขมัน หลังจากใช้แล้ว เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกว่าแขนขาอ่อนแรง บางครั้งลุกนั่งจะมีอาการมึนงง เมื่อใช้สายตามองออกไปที่ต่าง ๆ เหมือนแผ่นดินไหว จะเป็นทุก 2 เดือน มีความรู้สึกกังวล รำคาญใจ เพราะพึ่งไปเจาะเลือดมา และมีความหนืด เลือดไม่มาทางแขนขวา แต่ข้างซ้ายเลือดเลือดพุ่ง แต่รู้สึกดี เมื่อได้ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น อยากขอคำแนะนำและวิธีแก้ไข

คำแนะนำด้านจิตวิญญาณ : ยาเม็ดที่ 8

    1. “ความรำคาญ” เป็นการทำให้ “ผิดศีล” ทำให้ใจไม่เบิกบาน นี่เป็นการผิดศีลตลอดเวลา จึงทำให้เป็นโรคมั่วไปหมด เพราะตนเองเป็นคนทำเหตุแห่งโรค หากจะใช้วัตถุไปแก้โรค จึงแก้ไม่ทันใจที่หวั่นไหว ที่ทำให้ก่อโรคมากที่สุด วิธีต่าง ๆ จึงถูกตีทิ้ง เพราะใจที่รำคาญ
    2. อยากทราบว่าควรใช้วิธีแก้โรคใดที่ตรงกับอาการที่เกิดขึ้นมากที่สุด ต้องให้เอาศีลมาแลก จึงจะได้คำตอบที่ชัดเจน
    3. เราทุกคนเคยได้รับประทานเนื้อสัตว์มาเยอะ ทำให้สัตว์อื่นมึนศีรษะมาก็เยอะ ดีแล้วที่ได้รับวิบากเพียงเท่านั้น
    4. การยินดีในการได้ชดใช้วิบากกรรม จะค่อย ๆ ทำให้เห็นทางออก ฝึกไปทีละเรื่อง อาจฟังจากคลิปย้อนหลังใน Youtube
    5. ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ยุติธรรมเสมอ ตามบททวนธรรมของอาจารย์หมอเขียว

คำแนะนำด้านวัตถุ :

    1. มาถูกทางแล้ว ที่รู้จักสังเกตอาการของตนเอง หากรับประทานสิ่งใดแล้ว รู้สึกว่าถูกกับร่างกายของเรา จะทำให้มีพลัง แต่หากรับประทานแล้ว ไม่มีแรง แสดงว่าไม่ดีกับตนเอง ให้ใช้วิธีประมาณด้วยตนเอง อย่าดื้อรับประทานในสิ่งที่ทำร้ายตนเอง เพียงเพราะแพทย์ปัจจุบันบอกว่า “ต้องกิน” ให้เชื่อร่างกายตนเอง ให้ใช้ชีวิตตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทดลองด้วยตนเอง
    2. การได้ใช้สมุนไพรมารับประทานปรับสมดุล นั้นดีมากแล้ว เพียงต้องมีเทคนิคให้ตอบแพทย์ว่าได้รับประทาน
      ยาปรับลดไขมันอยู่ คือ “น้ำสมุนไพร” จึงถือว่าไม่ได้โกหก เราไม่ได้เจตนาผิดศีล

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ


“โรคซีมเศร้า” หายได้จากการเชื่อชัดเรื่อง “กรรม”

การใช้ทบทวนธรรมเพื่อดับทุกข์ใจในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีหลายข้อที่สามารถนำมาช่วยในการดำเนินชีวิตได้อย่างดี ในการรักษา “โรคซีมเศร้า” ด้วยการตั้งศีล ลด ละ เลิกกิเลสตามลำดับ จึงได้มีพลังศีลที่สูงสุด ถึงจะป่วย แต่สู้เต็มที่ “ตั้งใจทำจริง ได้จริง ทำเล่น” ได้ผลเล่น ๆ จากที่เคยมีจิตเกรงกลัวอาจารย์หมอเขียว เพราะยังมีกิเลสหนาอยู่ แต่หลังจากฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไม่มีความกลัวอีกแล้ว พร้อมทั้งยังได้อยู่ในองค์ประกอบของ “หมู่มิตรดี”

การติดใน “อวิชชา (ความไม่รู้)” มาอย่างเป็นเวลายาวนาน นั้นไม่สามารถทำให้เลิกติดได้ง่าย บางสายปฏิบัติธรรมจึงให้ “สมาธิ” หลับตาเพื่อตัดทุกอย่าง คล้ายหนีโลกออกไป และ “กดข่ม” เอาไว้ แต่การปฏิบัติธรรมแบบ “วิปัสสานา” คือ การล้างกิเลส ด้วยการค่อย ๆ ล้างไปตามลำดับ เพราะกิเลสของมนุษย์นั้นมีความหนามาก ซึ่งการใช้วิธี “อยู่เหนือโลก แต่ไม่ใช่หนีโลก” โดยสามารถใช้ลด ละ เลิกกิเลสได้ทุกตัว เช่น การลดรับประทานเนื้อสัตว์ การลดของทอด

“ฟังธรรม” จากอาจารย์หมอเขียวอย่างต่อเนื่อง และสนทนาธรรมกับหมู่มิตรดีบ่อยครั้ง จะทำให้มีปัญญาพ้นทุกข์ได้ เมื่อตั้งศีลแล้วจะเห็นความอยาก การเสพกิเลสจะเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นทำตาม การเห็นกิเลสแล้วก็จะทำให้กิเลสค่อย ๆ สลายไป ธรรมะของพระพุทธองค์สามาระรักษาโรคซีมเศร้าได้อย่างดี เพราะอาการหลัก คือ ความกลัวกังวลสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นทุกอย่าง จากจินตนาการ แต่หากเรียนรู้ “อาริยสัจ 4” จึงทำให้จิตวิญญาณเปลี่ยน เพียงเรียนรู้ธรรมะไปเรื่อย ๆ และยังต้องเรียนรู้กันต่อไป การแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อื่นเป็น “การเสริมพลัง” ให้แก่กันและกันได้อย่างดีเยี่ยม

[คลิกเพื่อรับชมคลิปวิดีโอ


สรุปเนื้อหาสาระในวันนี้ คือ การได้ฟังคำถาม คำตอบ และตัวอย่างที่ดีจากพี่น้องท่านอื่น ผู้รับฟังบางท่านที่มีคำถามในใจ กลับได้คำตอบทันที โดยที่ไม่ต้องถามเอง นี่เป็นการเชื่อมร้อยจิตวิญญญาณของหมู่มิตรดีเข้าด้วยกัน ทุกท่านต่างได้รับกำลังใจจากการร่วมพูดคุยสนทนากัน การเริ่มต้นดับทุกข์นั้น เป็นธรรมดาที่ในช่วงแรกจะทำไม่ได้ง่าย หากไม่ล้างกิเลสชาตินี้ ย่อมจะทุกข์อยู่ทุกชาติไป แต่หากได้เพียรทำไปเรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ สามารถทำได้ในวันหนึ่ง ความกลัวกังวลก็จะลดลง เพราะได้สู้ด้วยการตั้งศีลอย่างต่อเนื่อง และเราทุกคนไม่ได้สู้ไปคนเดียว แต่สู้ไปกับหมู่มิตรดีด้วยพลังศีล ทุกอย่างทำจริง ได้จริง แต่ถ้าทำเล่น ก็ได้เล่น เชิญชวนพี่น้องชาวค่ายได้เข้ามารับฟังทุกวันไปเรื่อย ๆ สงสัยอะไร ก็เข้าถามมาถามในรายการสายด่วนฯ ได้เรื่อย ๆ

รายงานข่าวโดย :
ศิริพร คำวงษ์ศรี (มั่นผ่องพุทธ) / สวนป่านาบุญ ๙ สังกัดภาคกลาง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *