รายการ “สายด่วน ค่ายสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรม วิถีไทย” ครั้งที่ 3
ช่วง ถามตอบ ปัญหาสุขภาพตามหลักการการแพทย์วิถีธรรม
โดย กลุ่มแพทยแผนไทยช่วยไทย
วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 (ค่ายวันที่ 3)
เวลา 18.15 – 20.25 น.
ประเด็นเด่นจากรายการ
-
- ลด “กิเลส” 1 ตัว เพิ่มพลังกายใจทันที
- รักษา “โรคแพนิก” โดยการปรับอาหาร
- วิเคราะห์อาการ “ปวดท้อง”
- ลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้อ “น้ำตาเทียม”
- ออกกำลังกายในร่ม ไม่ต้องพึ่งฟิตเนส
- วางใจกล้า ให้หาย “โรคไมเกรน
วันนี้มีพี่น้องทั้งจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วโลก และชาวค่ายเข้าร่วมรายการทั้งหมด 200 ท่าน ดำเนินรายการ โดย คุณพันธุ์ทิพา นุชทิม (กุ้ง) และคุณประภัสสร วารี (กุ้ง) และแขกรับเชิญประจำของรายการ ที่ได้ให้เกียรติมาร่วมรับฟังปัญหาสุขภาพกายใจ และร่วมตอบคำถาม โดย ดร. ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)
เริ่มต้นด้วยการใช้ยาเม็ดที่ 6 มาร์ชชิ่ง ลุกขึ้นบริหารร่างกายตามเพลง ยืดเส้นยืดสายให้ร่างกายแข็งแรง จากนั้นจิตอาสาและพี่น้องชาวค่าย 11 ท่าน ร่วมกันใช้ยาเม็ดที่ 8 คือ การอ่านบททบทวนธรรม ข้อที่ 23 – 28 [คลิกเพื่ออ่านบททบทวนธรรม]
“ช่วงแบ่งปันความประทับใจในบททบทวนธรรม ที่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อดับทุกข์ใจ”
บททบทวนธรรมหน้าที่ 27 คือ “เทคนิคทำใจให้หายโรคเร็ว คือ อย่าโกรธ อย่ากลัวเป็น อย่ากลัวตาย อย่ากลัวโรค อย่าเร่งผล อย่ากังวล”
ยิ่งเร่งผล ยิ่งหายช้า วางใจว่า จะหายเร็วหรือจะหายช้าก็ได้ หายตอนเป็นหรือตอนตายก็ได้ ไม่หายก็ได้ แต่เหตุของโรค คือ ลึก ๆ ก็ยังมีความหวัง ความกังวลอยู่ซ้ำ ๆ ว่า เมื่อไหร่จะหายเสียที ๆ นี่แหละคือ การเร่งผล หากหวังแล้ว จะยิ่งหายช้า เป็นโรคอะไรก็ช่าง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทำของหาย ก็วางใจปล่อยไปเลย หากเป็นของเรา จะกลับมาเอง
บททบทวนธรรมข้อที่ 25 คือ “เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก”
ป่วยเป็นโรคไต และต้องไปฟอกไตเรื่อย ๆ เมื่อใช้บททบทวนธรรมนี้ทำให้สามารถวางใจได้ ตรวจสอบความกลัวในใจและวิบากร้ายที่เข้ามา จึงทำให้รู้สึกมีกำลังใจมาก ๆ เพราะทราบแล้วว่า “กลัวอะไร?” และ “กล้าอะไร?”
บททบทวนธรรมข้อที่ 28 คือ “ความกลัว กังวล ระแวงหวั่นไหว ทำให้เป็นได้ทุกโรค ใจไร้ทุกข์ ใจดีงาม เป็นสิ่งที่มีฤทธิ์มากที่สุด ที่ทำให้หายหรือทุเลาจากโรค เป็นยารักษาโรคที่มีฤทธิ์เร็ว และแรงที่สุดในโลก”
บททบทวนธรรมนี้ใช้ได้ทั้งอาการป่วยทางร่างกาย และเหตุการณ์ทั่ว ๆ ไป สามารถช่วยให้ผ่อนคลายเบาใจ ทำให้ยินดีได้ทุกเรื่อง สามารถทำใจยินดีได้จริง ๆ และยังได้รับฟังคำสอนอาจารย์หมอเขียว ในเรื่องความยินดีกับทุกสถานการณ์ให้ได้ ก็ยิ่งทำให้ลดความวิตกกังวล
“ช่วงถาม-ตอบปัญหาสดในรายการ”
ผู้ป่วยอายุ 47 ปี ทุกข์เพราะป่วยเป็นโรคแพนิก มีอาการ 10 ครั้ง ในเวลา 1 ปี ไปพบแพทย์มา 3-4 ครั้ง ตรวจไม่พบว่าเป็นโรคอะไร แพทย์บอกว่าเป็น “โรคเครียด” ได้ชมใน Youtube รู้สึกว่าอาการของตนเองจะตรงกับโรคแพนิก จะมีอาการอยู่ประมาณ 30 นาที จึงจะหาย ใช้วิธีแก้โดยหายใจเข้า-ออกลึก ๆ และระลึกถึงพระพุทธเจ้า อธิษฐานมอบกายถวายพระองค์ มีความรู้สึกว่ากลัวตาย มีอาการเวียนศีรษะเหมือนจะเป็นลม หรือคุมตัวเองไม่ใด้ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะตาย ปัจจุบันถือศีล 8 ประพฤติพรหมจรรย์ รับประทานอาหาร 2 มื้อ ไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว แต่ยังดื่มนมแพะ จะมีแนวทางรักษาแบบใดให้หายได้บ้าง?
คำแนะนำ : โรคแพนิก เกิดจากความกังวล หากไปพบแพทย์มาหลายที่แล้ว แต่ยังไม่พบว่าตนเองเป็นอะไร แนะนำให้ลองมาตรวจศีลภายในของตนเองแทน ลองเริ่ม “รับประทานอาหาร 1 มื้อ ต่อ วัน” จะทำให้มีปัญญามากขึ้น ลดเสพอาหารที่เป็นโทษเป็นภัย ตอนนี้หลงกลัวหลายเรื่อง จนแยกไม่ออกว่า ตนเองกลัวเรื่องใด ปนกันมั่ว เรียกว่า “โมหะ” อย่าไปโลภว่าจะกำจัดอาการให้หมดได้ในคราวเดียว ยกตัวอย่างเช่น
– หากจับได้ว่า “กลัวตาย” ให้กำจัดประเด็นนี้ก่อน โดยให้ปัญญาว่าทุกคนจะต้องตาย เป็นธรรมดา ให้กล้าจะที่ตาย กล้าที่จะเป็น กล้าที่จะรับวิบาก หากยังกลัวตายอยู่อย่างนี้ ก็จะทุกข์ตลอดกาล ตายก็ไปเกิดใหม่ ก็จะไปทำดีต่อ ไม่ต้องกลัวอะไร “คิดให้ทุกข์ ยังกล้าคิด แต่จะคิดให้พ้นทุกข์ทรมาน ทำไมจึงไม่กล้าคิด?” หากตั้งจิตทำดี ก็จะยิ่งดีเพิ่มขึ้น
– ประเด็น “กลัวอาการวิงเวียน” กล้ารับด้วยใจเด็ดเดี่ยว ในสิ่งที่เรากลัวให้ได้ทุกเรื่อง ยอมรับอาการวิงเวียน ก็จะไม่มีอะไรทุกข์ เมื่อรับแล้ว ชีวิตก็จะโชคดีขึ้น เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว เราก็จะกล้ารับทุกสิ่งได้ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว
– พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกสิ่งเกิดจากการกระทำของเราทั้งหมด โอนให้ใครไม่ได้ เรามีกรรมเป็นทายาทของเรา ความกลัวความหวั่นไหวเป็นภัยต่อชีวิต ฝึกคิดให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ฝึกคิดให้ทุกข์ ที่ยังมีอาการอยู่ เพราะยังคิดให้ตนเองทุกข์อยู่
– กำจัดความกลัวที่จะไม่ได้เสพสิ่งที่ชอบ การเสพสิ่งที่ชอบ จะมีความสุขชั่วคราว สักพักก็จะอยากเสพอีก จึงทำให้ไม่พ้นทุกข์ และเสียพลังไปดันทุกข์ใจออก จะทำให้มีความกลัวไปเรื่อย ๆ หากรู้ชัดว่าใจทุกข์ขนาดนี้ ร่างกายก็จะแย่ไปด้วย จึงทำให้สร้างความดีได้น้อย พิจารณาแล้วจะเห็นว่า มันมีแต่ทุกข์
– กำจัดกิเลสเพียงทีละเรื่อง เพราะมีพลังมหาศาลมาก กิเลสตัวอื่น ก็จะมีสภาพเดียวกัน วางใจให้สละการเสพสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และกล้าที่จะเสพอาหารที่เป็นประโยชน์
– ตรวจด้านดีว่า “มีสิ่งดีอะไรหรือไม่ ที่อยากให้เกิด?” หรือ “มีสิ่งร้ายอะไรหรือไม่ ที่ไม่อยากให้เกิด?”
– ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ รับประทานอาหารผัก ผลไม้ ข้าว มัน ถั่ว เพื่อเพิ่มเติมธาตุอาหารให้แก่ร่างกาย รับประทานอาหารเท่าที่รู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง
รู้จักศาสตร์แพทย์วิถีธรรม มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ป่วยเป็นไตวาย ฟังธรรมะของอาจารย์หมอเขียวมาตลอด วันนี้ช่วงก่อนมื้อเที่ยง ได้ทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ รู้สึกสบายกายดี และมื้อกลางวันได้รับประทานกะเพราฟักทอง รู้สึกไม่สบายท้อง ต่อมาปวดท้อง และได้ขับถ่ายออกมาเล็กน้อย เหมือนตนเองยังถ่ายไม่หมด แต่อาการยังไม่หาย จึงดื่มน้ำสมุนไพรสูตร 3 คูณ 100 (ผงถ่าน1 ช้อนชา + น้ำสกัลสมุนไพร 3 ช้อนแกง + น้ำมันเขียว 1-3 หยด ผสมน้ำสะอาด 1/2 -1 แก้ว) [คลิกเพื่อชมคลิป] หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีแล้ว มีอาการดีขึ้น แต่ยังมีอาการหนาวมือเท้าเย็น ต้องทำอย่างไรคะ
คำแนะนำ : หากหลังจากสวนล้างลำไส้ใหญ่แล้ว รู้สึกสบายดี แสดงว่าอาการปวดท้องไม่ได้เกิดจากการสวนล้างลำไส้ใหญ่ เพราะอาการเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร แล้วมีอาการไม่สบาย
– วิบากกรรมของเราจะดลให้เราไปรับประทานอาหารที่ไม่ถูกกัน อาจมีเดาถูกเดาผิดบ้าง ฟักทอง และกะเพรามีฤทธิ์ร้อน ให้ลดอาหารฤทธิ์ร้อน แต่หากแก้ทุกอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าวิบากร้ายยังไม่ยอม ให้สร้างความยินดีในจิตใจให้มาก ๆ สมกับการที่ปวด รับเต็ม ๆ หมดเต็ม ๆ เราแสบสุด ๆ รับเท่าไหร่ หมดเท่านั้น อาการเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เข้าใจเชื่อชัดเรื่องกรรมให้อย่างแจ่มแจ้ง ต่อให้ร่างกายยังไม่ทุเลา แต่ใจจะสุขสุด ๆ ตั้งจิตจากนี้ไป ทุกชีวิตจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเราอีกต่อไป แต่ละชีวิตจะได้ประโยชน์จากเราเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้ ชีวิตของเราก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น เมื่อตั้งใจดีไปเรื่อย ๆ บางครั้งอาการอาจหายไปเอง หรือเมื่อกุศลเต็มรอบ ก็จะได้พบวิธีรักษาที่ถูกตรงเหมาะสม ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ ชีวิตไม่มีอะไร นอกจากมากำจัดความกลัว เมื่อทำได้ กล้ามเนื้อจะคลายตัว ระบบเลือดก็จะหมุนเวียนสะดวก ทำให้ร่างกายแข็งแรง เป็นวิธีรักษาโรคตาม “อาพาธสูตร” ในพระไตรปิฎก
ผู้ป่วยคาดการณ์ว่าเป็นผลข้างเคียง มาจากหลังการผ่าตัดต้อกระจกเมื่อ 3 ปีก่อน มีอาการตาแห้งมาก ๆ ต้องหยอดน้ำตาเทียม ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ในแต่ละวัน (ใช้ทั้งหมด 8 หลอด มีค่าใช้จ่าย รวม 160 บาท ต่อวัน) บางครั้งก็ยังเอาไม่อยู่ ตอนนี้ดื่มน้ำปัสสาวะมาเกือบ 2 เดือนแล้ว จากที่แพทย์บอกว่าต้องใช้ยาไปตลอด เสียเงินเยอะมากกับการรักษาที่โรงพยาบาล ตอนนี้เริ่มไม่เชื่อแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว เพราะหลังจากที่ได้หยอดปัสสาวะ ก่อนหน้านี้ต้องทำใจอยู่นาน กว่าที่จะกล้าใช้น้ำปัสสาวะหยอดตา เมื่อได้ลองหยอดตาแล้ว แพทย์ทักว่า “ตาดีขึ้น” (แต่ไม่กล้าบอกแพทย์ว่าหยอดปัสสาวะมา) ได้ศึกษาแพทย์วิถีธรรมและคำสอนของอาจารย์หมอเขียว มาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว รู้สึกมีอาการดีขึ้น ตอนนี้ลด ละ เลิกประทานเนื้อสัตว์ โดยเริ่มจากเลิกรับประทานสัตว์ใหญ่ได้แล้ว แต่ยังรับประทานปลาอยู่ ทำให้คอเลสเตอรอลลดลง และน้ำหนักลดลงถึง 10 กิโลกรัม รู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย ขอคำแนะนำเพิ่มเติม
คำแนะนำ : มาถูกทางแล้ว วางใจให้ยินดีและมีความกล้าที่ยอมปล่อยให้ตาแห้งไปเลย เมื่อยอมรับแล้ว พลังจะกลับมาเป็นของเราทันที จะทำให้อาการดีขึ้น อ่านความกลัวให้ทัน กลัวเรื่องใด ให้เข้าไปยินดีสู่สภาพนั้น
– ไม่จำเป็นต้องหยอดตาเช้าเย็น สามารถหยอดน้ำปัสสาวะได้ทุกครั้งที่อาการไม่สบายเคืองแสบตา จะมีอาการดีขึ้น
– ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ การรับประทานอาหารให้สมดุล ลดทานเนื้อสัตว์ รับประทานอาหารจากพืช มีรสจืด เห็นผลลัพธ์ว่า “ขนาดลด ละ เลิกเนื้อสัตว์บางชนิด ยังอาการดีขึ้นขนาดนี้ หากเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดได้แล้ว อาการจะดีขึ้นขนาดไหน?”
– ใช้ยาเม็ดที่ 6 คือ การกดจุดลมปราณให้พอเหมาะ
– การจะใช้น้ำตาเทียม หรือน้ำปัสสาวะนั้น ให้ลองพิสูจน์ด้วยตนเองว่าควรจะใช้ร่วมกันหรือไม่? พิจารณาตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
กรณีศึกษาของผู้ป่วยเกี่ยวกับดวงตา:
– ผู้ป่วยท่านหนึ่งที่ใช้น้ำสกัดสมุนไพรฤทธิ์เย็นหยอดตาแล้ว มีอาการดีขึ้น ผู้ป่วยยืนยันว่าดีกว่าน้ำตาเทียม
– จิตอาสามีอาการกระจกตาถลอก แพทย์บอกว่าดวงตาอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม มารักษาโรคใช้ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม คอยสังเกตอาการหากวันไหนเกเร ไปรับประทานของหวานเยอะ ตาที่ถลอกจะฝึดเหมือนมีกระดาษทรายมาขูดทันที และพอเมื่อตั้งศีล อาการดังกล่าวก็หายไปแบบไม่รู้ตัว
– จิตอาสาจากสหรัฐอเมริกา เคยใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1,500 เหรียญ ต่อ เดือน แต่ตั้งแต่เริ่มใช้น้ำปัสสาวะ และใช้แพทย์วิถีธรรมในการตรวจวัดและรักษาตนเอง จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้หายไปและประหยัดเงินมาก
ผู้ป่วยเคยเป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่หายได้ด้วยวิธีการออกกำลัง แต่ช่วงโควิด ไม่ได้ออกกำลังกาย และมีอาการกลัวเป็นโควิด 19 มาก ไปตรวจเชื้อมา 3 ครั้ง มีอาการเจ็บคอและมีเสมหะค้างนานในลำคอ และบางครั้งหูอื้อ ยังไม่กล้าหยอดหู ไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบันมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว โดยรับประทานยา และพ่นจมูกมากมาย อาการก็ยังไม่หาย ทรมานมาก ขอคำแนะนำ ว่าจะรักษาอย่างไรดี?
คำแนะนำ: จับประเด็นให้ชัดเจน แก้ปัญหาให้ตรงจุด กล้าที่จะเป็นหรือติดโควิด หากเราป้องกันเต็มที่แล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรม ตัดความกลัวให้หมด เบิกบากก็จะได้ประโยชน์ทั้งหมด
– ใช้ยาเม็ดที่ 6 คือ การออกกำลังกายด้วยมาร์ชชิ่ง ยกขาและแขนให้สูง ออกกำลังกายในร่มได้ ดีกว่าไปฟิตเนส ทำให้จบเพลง
– ใช้ยาเม็ดที่ 2 คือ การกัวซารอบหู
– ใช้ยาเม็ดที่ 5 คือ การหยอดหูด้วยน้ำปัสสาวะ 1- 3 หยด ทิ้งไว้และเทออก และพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นรอบหูเท่าที่สบาย จะดีขึ้น แต่หากยังไม่กล้าหยอดหูในตอนนี้ ก็อย่าเพิ่งทำ ให้วิบากความกลัวหมดก่อน แล้วจึงค่อยลองทำได้
– หากแก้ด้วยวัตถุแล้ว ยังไม่สบาย ให้หยุดทำก่อน แสดงว่าวิบากยังไม่ให้ทำ ไม่ต้องกลัวกังวล
ผู้ป่วยอายุ 59 ปี เวลารับประทานอาหาร จะมีอาการตึงชาบริเวณคอบ่อยมาก มีอาการปวดศีรษะและมีความกังวลเป็นพัก ๆ ปัจจุบันได้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์มาประมาณ 1 เดือนแล้ว ตอนนี้กำลังใกล้จะกลับไปทำงาน กังวลว่าร่างกายจะไม่สมบูรณ์พร้อมทำงาน จะทำอย่างไรได้บ้าง?
คำแนะนำ : ให้กล้าที่จะป่วยหรือกล้าที่จะหายป่วย ยิ่งกลัวก็จะยิ่งป่วย กล้าที่จะไปทำงานได้ และกล้าที่จะไปทำงานไม่ได้ ทำไมต้องกลัวให้มาทำร้ายตนเอง ไม่เห็นสนุกเลย ร่างกายก็จะเกร็ง กล้าคิดให้หายทุกข์ เมื่อทำดีเต็มที่แล้ว กล้าให้เกิดความแข็งแรงให้ได้ กล้าให้เกิดความไม่แข็งแรงให้ได้ กล้ารับแล้ว ก็หมดไป กล้าเป็นในสิ่งที่เรากลัวให้ได้ คนส่วนใหญ่กล้ารับในสิ่งที่เราอยากได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย และเราทุกท่านก็กล้าและเก่งกันในเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนนี้ต้องกล้าเป็นในสิ่งที่เรากลัวให้ได้ รู้เป้าหมายของตนเอง กล้าให้มาก ถึงความกล้าจะหมดลงไปเป็นลำดับ เราก็สู้ด้วยการทำใจกล้าอีก ๆ ๆ ๆ ความคิดทุกข์ก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ ความกลัวมาเมื่อไหร่ก็มาเปลี่ยนให้เป็นประโยชน์ เป็นพุทธะให้หมด เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้าให้หมด เราสะสมมาเยอะมากมาย อย่าใจร้อนว่าความกลัวจะหายไปหมดในคราวเดียว
– ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ รับประทานอาหารที่ถูกกันกับร่างกาย อะไรไม่ถูกกัน ก็ไม่ต้องใช้ หากพลาดใช้อาหารผิดไป ก็ไม่เป็นไร ให้ใช้เวรใช้กรรมไป วางใจให้เบิกบานไปตลอด เวลาวิบากเข้าอาจารย์หมอเขียว ท่านก็เลือกอาหารไม่ถูกเช่นกัน
ผู้ป่วยมีอาการหัวใจสั่นและปวดศีรษะ ทุกครั้งที่ได้อาเจียนออกมาแล้ว จะมีอาการดีขึ้น ไม่แน่ใจว่าเป็นอาการของโรคไมเกรนหรือไม่? ใน 1 ปี จะเกิดอาการลักษณะนี้ 1-2 ครั้ง ผู้ป่วยเริ่มมีกำลังใจในการใช้น้ำปัสสาวะ เพราะสามีกล้าใช้ก่อน จึงเริ่มกล้านำมาพรมใบหน้าบ้าง ขอคำแนะนำ
คำแนะนำ : ทำใจได้ตอนนี้ จะดีขึ้นวินาทีนี้เลย แสดงว่ามีความกลัวกังวลบางอย่างในใจ ทำให้พิษไปดันออกทางศีรษะ ทำใจกล้าที่จะเผชิญและรับสิ่งที่ดีและร้ายให้ได้ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น อาการจะดีขึ้น กล้าตั้งศีลลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ หรือาหารที่ตนเองชอบสักอย่างหนึ่งด้วยใจเด็ดขาดจากปัญญา อาการจะดีขึ้น ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นทันที จะได้พลังกลับมามหาศาล ทำไปเป็นลำดับ ๆ เท่าที่ไม่ตึงเครียดเกินไป และมีความผาสุกกับตนเอง
– ผู้ป่วยได้เริ่มกล้าใช้น้ำปัสสาวะ ถือว่าดีมากแล้ว หากสามารถเริ่มกล้าดื่มได้ โดยอาจลองผสมน้ำสะอาดเพื่อให้ดื่มง่ายก็ได้
– อาการอาเจียนมาจากพิษที่สะสมในลำไส้ใหญ่ ให้ใช้ยาเม็ดที่ 3 คือ การสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสมุนไพรเท่าที่สบาย จะทำให้รู้สึกโล่งสบาย
– ใช้ยาเม็ดที่ 5 คือ ค่อย ๆ ทดลองใช้น้ำเปล่า หรือ น้ำอุ่น หรือ น้ำร้อน นำมาวางทีละอย่าง ทดลองใช้น้ำอุณหภูมิที่รู้สึกสบาย นำมานวดประคบที่ศีรษะ เพื่อให้ระบายพิษ เมื่อรู้สึกสบายแล้ว หากถูกกับฤทธิ์ใด ให้ใช้สมุนไพรชนิดนั้น สำหรับรับประทาน หรือ ดื่มเท่าที่สบาย
– ใช้ยาเม็ดที่ 7 คือ การรับประทานอาหารปรับสมดุล โดยลด ละ เลิกเนื้อสัตว์เท่าที่ทำได้
– ใช้ยาเม็ดที่ 2 คือ การกัวซาที่บริเวณศีรษะ จะทำให้อาการดีขึ้น
สรุปเนื้อหาสาระในวันนี้ คือ รวมพลังหมู่สู้โรคด้วยธรรมะจากอาจารย์หมอเขียว และประสบการณ์ของจิตอาสาและพี่น้องชาวค่าย ทำให้เพิ่มพลังใจทันที ยังไม่ทันจบรายการ ผู้ป่วยทุกท่านที่ได้เข้ามาถามตอบปัญหามีผลลัพธ์เดียวกัน คือ อาการดีขึ้นทันที ตรงกับทฤษฎี “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” พร้อมทั้งวิธีการรักษาพึ่งตนที่เรียบง่ายประหยัด เพียงวางใจ “กล้า” เผชิญทุกความกลัวในใจให้ได้ ไม่มีโรคใดชนะเราได้ ความตายนั้นทุกท่านต้องเผชิญเป็นธรรมดา แต่เส้นทางการพ้นทุกข์ พ้นกลัว ทางจิตวิญญาณให้ได้นั้น ต้องใช้ปัญญาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราได้มีชีวิตที่ผาสุกอย่างเป็นปกติ แม้เจอสภาพที่ดีหรือร้าย
รายงานข่าวโดย :
ศิริพร คำวงษ์ศรี (มั่นผ่องพุทธ) / สวนป่านาบุญ ๙ สังกัดภาคกลาง