At bagon.is you can Buy webshells, phpmailer, Combo list
วิชา อริยสัจ 4 เป็นหัวใจสำคัญของความพ้นทุกข์ในชีวิต | สถาบันวิชชาราม
Skip to content

วิชา อริยสัจ 4 เป็นหัวใจสำคัญของความพ้นทุกข์ในชีวิต

วิชา อริยสัจ 4 เป็นหัวใจสำคัญของความพ้นทุกข์ในชีวิต

อาจารย์หมอเขียว กล่าวในวิชา อริยสัจ 4 ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564


อาจารย์ว่าพวกเราก็ฝึกฝนกันไป ก็ตามที่พวกเราพี่น้องเราทำมากันเป็นลำดับ ๆ รายการอริยสัจ 4 นี่ก็เป็นหัวใจสำคัญของชีวิต อริยสัจ 4 เป็นหัวใจสำคัญของความพ้นทุกข์ ของความอยู่รอดปลอดภัยอยู่เย็นเป็นสุขที่แท้จริง มันก็คือความพ้นทุกข์ความผาสุกที่แท้จริงนั่นแหละ เพราะฉะนั้นนี่ อันนี้แหละเป็นแก่นเป็นหัวใจหลักเลย ก็ฝึกฝนไปเราจะเชี่ยวชาญไปเรื่อยๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันยากที่สุดในโลกนะ แค่เรียนรู้ทุกขอริยสัจนี่ก็ยากที่สุดในโลกแล้ว อาจารย์ก็เห็นพี่น้องได้พากเพียรเรียนรู้ตั้งแต่ทุกขอริยสัจ ซึ่งก็เป็นทุกข์ที่เห็นได้ยาก เข้าใจได้ยาก รู้ได้ยาก เมื่อเรารู้เราเข้าใจได้นี่มันดีแล้วตั้งแต่เขาได้ไปเลย คนส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจทุกขอริยสัจว่า เป็นทุกข์กาย เป็นเรื่องร้ายต่าง ๆ เป็นปัญหาต่าง ๆ และเขาก็ไม่รู้ค่าไม่รู้ความสำคัญในทุกข์อันนี้ ในทุกขอริยสัจเขาไม่คิดว่ามันเป็นทุกข์ที่ทุกข์ที่สุดในโลก แล้วเขาก็ไม่คิดว่านอกจากเป็นทุกข์ที่ทุกข์ที่สุดในโลกแล้วมันยังเป็นทุกข์ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลด้วย เขาไม่รู้จัก

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ค่อยสนใจที่จะมาแก้ทุกขอริยสัจหรอก เขาก็จะไปแก้ทุกข์กายกับเรื่องร้ายกันเป็นหลัก มุ่งหมายที่จะแก้สิ่งนั้นอยากที่จะแก้สิ่งนั้นได้ ซึ่งมันก็เป็นต้นเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ซ้อนเข้าไปอีกทีหนึ่ง ไม่รู้จบไม่รู้แล้ว เราก็มาเรียนรู้ทุกข์อริยสัจนี่แหละให้มันชัด อย่างน้อยนักศึกษาเราจะทุกขอริยสัจได้นี่ อาจารย์ก็พอใจแล้วล่ะนะ ล้างได้บ้างล้างไม่ได้บ้างก็ยังไม่เป็นไร ยังเริ่มต้นที่จะจับทุกข์ได้

เมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์แล้วเราไม่เก็บมันไว้หรอก เมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์ที่ทุกข์ที่สุด และเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลแล้วนี่ไม่มีใครเก็บมันไว้หรอก เมื่อเรารู้เราก็จะพากเพียรหาวิธีกำจัดมัน โดยการหาวิธีกำจัดมันที่ต้นเหตุ จนถึงสภาพพ้นทุกข์นั่นแหละ เราจะพากเพียรเรียนรู้เองก็ตามเรียนรู้กับหมู่มิตรดีก็ตาม มันก็จะเกิดการพากเพียรเรียนรู้กับสัตบุรุษหมู่มิตรดี แล้วก็พากเพียรปฏิบัติที่ตัวเอง ก็จะเกิดความเจริญขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ

ในเบื้องต้นนี่รู้ทุกขอริยสัจให้ได้ จากนั้นก็แม่นประเด็นถึงเหตุแห่งทุกข์ ว่ามันเกิดจากอยากได้ดั่งใจหมายอันมีรากเง่ามาจากสุขลวง โลกียสุข สุขขัลลิกะ ที่ได้ดั่งใจหมายนี่แหละ สุขลวงนี่แหละ สุขเวทนาอทุกขมสุขเวทนานี่แหละมันอยู่ในกลุ่มสุขลวงที่เป็นเคหะสิตะ มันทำให้เกิดทุกข์จริงขึ้นมา เรารู้ด้วยญาณปัญญาแล้วชัดว่ามันจะทำให้เกิดทุกข์ใจทุกข์กายเรื่องร้ายขึ้นมานี่ โอ้โห!! รู้ด้วยญาณปัญญาอย่างนี้นี่มันจะสลายทุกข์เลย มันเห็นแล้วมันไม่ใช่สุข มันเป็นทุกข์นี่ เห็นความไม่เที่ยงของมันเห็นความเป็นทุกข์ของมันนี่ ชัดเจนปุ๊บมันเห็นว่ามันเป็นทุกข์ปุ๊บมันจะหมดความอยากเลย พอเราหมดความอยากมันก็พ้นทุกข์เลยเข้าสู่สภาพนิโรธเลย มันก็เข้าสู่สภาพนิโรธเลย ตัญหานั่นแลดับโดยไม่เหลือ ก็จะเห็นด้วยมรรคคือวิราคะ ก็คลายสุขลวงทุกข์สิ่งนี่แหละออกไป คลายสุขลวงออกไปทุกข์จริงก็จะคลายออก ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์นี่แหละ สละ ๆ คืน ปล่อยไปไม่พัวพัน ก็จะเห็นสภาพพ้นทุกข์เข้าไปสู่อุเบกขา ด้วยการปฏิบัติมรรคที่ถูกตรงนี้แหละ เมื่อได้ปฏิบัติมรรคที่ถูกตรง พิจารณาโทษของมีกิเลส พิจารณาประโยชน์ของการไม่มีกิเลส มันก็จะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนแท้ของกิเลสจนกิเลสสลายไปได้

ก็เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งจิตใจร่างกายเหตุการณ์ ชัดเจน โอ้โห!! เราก็หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นแล้วที่เหลือจะยึดก็ได้จะวางก็ได้แล้ว จะยึดก็ยึดจะวางก็วาง อะไรควรยึดอาศัยก็ยึดอะไรควรวางก็วาง อย่างนี้เป็นต้น ก็เอาประโยชน์ได้ทุกเรื่อง สุดท้ายก็เข้าสู่อุเบกขาได้ นี่แหละเป็นหัวใจของการปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ เป็นหัวใจหลักของการดำรงชีวิตของแต่ละชีวิต ผู้ใดเข้าถึงอันนี้แล้วอย่างถูกตรงแล้วก็ไม่เอาอย่างอื่นแล้ว เพราะอันนี้แหละผาสุขที่สุดเป็นประโยชน์ที่สุด ต่อตนเองต่อผู้อื่น

สิ่งที่อาศัยอยู่ก็จะเป็นอนุสัย อนุสัยยะ อนุสัย เป็นอนุสัยะเท่านั้นเอง ถ้าล้างกิเลสหมดแล้วก็เป็นสัยะ สะยาง ของตัวเอง อนุ ก็แปลว่าเล็ก เล็กนี่คือมันเล็กละเอียด สภาพนามธรรมที่เราได้อาศัยนั่นแหละ สภาพ้นทุกข์สภาพกุศล สภาพความสามารถที่เราได้อาศัยอยู่นั่นแหละ คือความละเอียดในจิตวิญญาณ เป็นความเล็กละเอียดในจิตวิญญาณที่เรายึดอาศัยอยู่ เพื่อจะทำประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ เรียกว่าอนุ อนุสัยของพุทธะ เป็นอนุสัยะ เป็นความละเอียดเล็ก เล็กยิ่งกว่าอรูปภพอีก อรูปภพนี่ยังมองเห็นได้ง่าย โอ้โห!! อนุสัย ที่เป็นอนุสัยะนี่มองไม่เห็นเลยเป็นพลังที่มองไม่เห็น แต่สร้างผลตลอดเวลาในชีวิต สร้างผลออกมาเป็นทั้งนามธรรมเป็นทั้งรูปประธรรม ตลอดเวลาในชีวิต สร้างผลทั้งให้จิตใจผาสุขผ่องใส ให้ร่างกายแข็งแรง ให้เกิดเรื่องดี ผลักดันโรค เรื่องร้ายออกไป สร้างผลให้มีปฏิภาณในการช่วยเหลือผู้อื่น ในการทำกิจกรรมการงานต่าง ๆ อย่างนี้เป็นต้น

สร้างผลดีในแง่เชิงต่าง ๆ ก็เป็นอนุสัยะ เป็นอนุสัยที่เรายึดอาศัยอยู่ เป็นพลังที่ละเอียดประณีตที่สุดเลย ก็อาศัยสิ่งนี้อยู่ เรายังไม่ปรินิพพานก็อาศัยอนุสัยของพุทธะนี่แหละอยู่ ซึ่งเราสามารถที่จะยึดก็ได้วางก็ได้ จะยึดอาศัยยาวนานเท่าไหร่ตามความต้องการของเราเราก็ยึดอาศัยไป เราจะไม่ยึดอาศัยเราจะวาง จะปล่อยก็วางได้ทันที เรียกว่ายึดได้วางได้ทันที สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ มีวะสาวะตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ นี่แหละคือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ที่มนุษย์ควรได้ควรเป็นควรมี เราก็ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ใึกฝนไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็จะชัดเจนมีประสบการณ์มีความสามารถ รู้ทางหนีทีไล่ในการกำจัดกิเลส แรก ๆ มันก็จะยากหน่อย เพราะกิเลสมันโตมันหลอกได้เก่ง มันสู้เราได้เก่งมันหลอกได้เก่ง พอเราชนะมันได้มากขึ้น ๆ ในเรื่องนั้น กิเลสมันเบาบางลงไปปัญญาเราจะมากขึ้น ความสามารถมากขึ้นปัญญามากขึ้นก็จะสู้มันได้ง่ายขึ้น ๆ สู้ได้ง่ายขึ้น ๆ ๆ ๆ จนสุดท้ายก็ชนะเด็ดขาด อ้าวก็ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องให้ชนะกิเลสมาร อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกันทุกท่าน!!! สาธุ

โดย อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)
วิชชาธิการบดี สถาบันวิชชาราม
ห้องเรียน วิชา อริยสัจ 4 ครั้งที่ 18
วันที่ 2 พฤษภาคม 2564
ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ ต.ป่าแป๋
อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *