ผลการเรียนรู้ วิชา อริยสัจ 4 (2/2564) เรียนอริยสัจ 4 ต่อเนื่องกันในเทอมที่ 2 มีการปรับโครงสร้างคะแนนเล็กน้อย โดยมุ่งเน้นการนำเสนอหน้าชั้นเรียน
การออกเกรดในวิชานี้ จะออกให้เฉพาะนักศึกษาที่มีคะแนนในส่วนหลัก คือการส่งการบ้านอริยสัจ 4 หน้าชั้นเรียน (60 คะแนน) โดยนักศึกษาที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่นสอบเก็บคะแนนภาคทฤษฎี ก็เป็นคะแนนการสานพลังกับหมู่มิตรดี เก็บสะสมเป็นกุศลไว้ สามารถอ้างอิงได้ แต่จะไม่มีการประเมินออกมาเป็นผลการศึกษา
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : น้ำท่วมผักตายแต่ใจฟื้น
เหตุการณ์ : ปลูกผักไว้หลังบ้าน ช่วงนี้ฝนตกหนักมาก ผักเริ่มเน่าเพราะน้ำท่วมขัง เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่ม พริกเหี่ยวเฉา มะละกอกำลังยืนต้นตาย ถั่วเขียวล้มจมดิน ฝักกำลังจะเก็บได้ก็เน่าเสียหาย กวางตุ้งเน่า แตงกวาไม่ต่อยอดโคนเริ่มเน่า ยังดีที่บวบถั่วพู ชะอม ผักหวาน ผักบุ้งยังพอได้เหลือไว้ให้เก็บกินได้บ้าง
ทุกข์ : เสียดายผักที่ปลูกไว้น้ำท่วมตาย
สมุทัย : ผักไม่ตายชอบใจ ผักตายไม่ชอบใจ
นิโรธ : ผักจะตายหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค: ภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนทุกปี จะมีฝนตกชุกมาโดยตลอด ยิ่งปีนี้มีพายุเข้ามาหลายครั้ง ยิ่งทำให้มีผลกระทบพอควร แต่ก็ยังดีกว่าภาคอื่นๆที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานานๆ ข้าวเปลือกที่กำลังจะเก็บเกี่ยวเสียหาย ผลไม้จมน้ำ ชาวสวน ชาวนาเดือดร้อนกันทั่วหน้า เราเพียงแค่ปลูกผักไว้กินในครัวเรือน เสียหายแค่นี้ไม่ต้องมาเสียดายอะไรมากมายหรอก เริ่มปลูกผักที่ขึ้นง่ายๆอย่างผักบุ้ง เพาะถั่วงอกกินไปพลางๆก่อน หรือไปซื้อผักตลาดมาบ้างก็ได้
แก้ปัญหาแค่นี้ทำง่ายนิดเดียว ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย จะรู้สึกเสียดายทำไมให้เสียเวลา สู้ลงมือแก้ปัญหาด้วยการยกร่องแปลงผักใหม่ให้สูงพ้นน้ำจะดีกว่า แล้วออกแบบแปลงใหม่ให้ดีกว่าเดิม เพราะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้แล้ว ปีต่อไปจะได้ไม่เกิดปัญหาเช่นนี้อีก โดยนำบททบทวนธรรมข้อ124ว่า”เกิดเป็นคนต้องฝึกรับสิ่งดีสิ่งร้ายด้วยใจที่เป็นาขให้ได้” ถึงแม้ผักจะถูกน้ำท่วมตายแต่ใจเราไม่รู้สึกเสียดายหรือท้อถอยในการปลูกใหม่ก็พอแล้วความเสียดายก็หายไปโดยสิ้นเชิง
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง: ศิษย์มีครูจึงมีทางแก้
เหตุการณ์ : หลายวันมาแล้วไปสวนยาง ได้เข็นปุ๋ยไปใส่รอบโคนต้นยาง ใช้จอบขุดหลุมก่อนเพื่อหยดปุ๋ยอย่าให้ไหลไปกับน้ำเมื่อเวลาฝนตก ทำอยู่ได้หลายต้นจนเกือบจะเสร็จแล้ว พอมาถึงต้นที่ทำให้เกิดวิบากเข้า พอขุดลงไปที่แรกเลยกระดูกสันหลังดังแกร๊ก ขยับตัวต่อไปไม่ได้เลยต้องทิ้งจอบลงทันที
ทุกข์ : กลัวจะบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง
สมุทัย : ชอบถ้าไม่บาดเจ็บ ชังที่บาดเจ็บ
นิโรธ : จะบาดเจ็บหรือไม่บาดเจ็บก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง วินาทีแรกที่คิดคือวิบากเข้าแล้ว หยุดนิ่งอยู่กับที่ยืนพิงต้นยาง หายใจลึกๆ นึกถึงคำสอนของอาจารย์ว่า “สิ่งใดที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา” ใจยอมรับวิบากที่จะได้รับเป็นไงเป็นกัน
ตั้งสติใหม่นึกถึงท่าโยคะแตะสลับคืนหลังที่ทำอยู่เป็นประจำ จึงเริ่มทำประมาณสักพัก อาการที่เจ็บจนเดินต่อไม่ได้ กลับเดินได้ทันที อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ก็หายทันทีเลยเหมือนกัน จึงตั้งจิตขอบพระคุณคำสอนของอาจารย์ที่ให้ศิษย์ได้นำความรู้เรื่องการโยคะมาดูแลสุขภาพของตนเอง เมื่อถึงคราวคับขันได้นำมาใช้ได้ทันท่วงที แต่ก็หยุดทำงานและกลับบ้านเพื่อมาพักผ่อน รอดูอาการที่หลังว่าจะรู้สึกเจ็บอีกหรือไม่ ปรากฎว่าพอรุ่งเช้าก็หายดีสามารถทำงานได้ตามปกติ ความกลัว ความวิตกกังวลก็หายไปโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่ได้เรียนรู้ศาสตร์ของแพทย์วิถีธรรม คงต้องไปหาหมอเอายามากิน และวินาทีนั้นคงต้องเรียกคนมาช่วยพยุงให้กลับบ้านเป็นแน่ ยิ่งเด่นชัดเพิ่มขึ้นๆในประโยชน์ของศิษย์มีครูที่ดีคอยสั่งสอน จนสามารถนำมาช่วยชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัย
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
เหตุการณ์ :เมื่อเดือนพฤศจิกายน
ที่ผ่านมาทางภาคใต้ฝนตกติดต่อกันนานนับเดือน ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายพื้นที่ สวนยางพาราของเราก็ได้รับผลกระทบทำให้ต้นยางล้มเสียหาย ที่แย่กว่านั้นถนนเข้าสวนซึ่งเป็นที่สาธารณะใช้ร่วมกันหลายเจ้าของ พังเสียหายไม่สามารถขับรถเข้าสวนได้เลย เพราะน้ำไหลเซาะจนเป็นร่องลึกมาก ต้องใช้แต่รถมอเตอร์ไซด์เท่านั้น ที่ลำบากกว่านั้นคือต้องวิ่งได้เฉพาะในร่องยางสวนของผู้อื่น คนกรีดยางแต่ละคนได้รับความลำบากพอควร เราก็มาคิดอยู่หลายวันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร พอพบเจ้าของสวนยางที่ใช้ทางร่วมกันปรึกษาว่าจะให้ช่วยกันทำถนนเข้าสวนดีไหม แต่เขาเฉยไม่ตอบอะไรเราจึงคิดใหม่ว่าคงต้องเสียสละเองแล้วงานนี้ แต่ยังดีเจ้าของสวนที่ติดกันตกลงว่าจะทำร่วมด้วย จึงได้ติดต่อให้ร้านรับถมหินและเกลี่ยให้ด้วยเพื่อทุกคนได้ใช้งาน
ทุกข์ : อึดอัดใจที่ถนนไม่สามารถใช้งานได้
สมุทัย : ถนนใช้งานได้จะชอบใจ ถนนใช้งานไม่ได้จะไม่ชอบใจ
นิโรธ : ถนนจะใช้งานได้หรือไม่ได้ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อตัดสินใจที่จะเสียสละเงินส่วนตัวส่วนหนึ่งของเราเองเพื่อทำถนนให้ทุกคนสามารถใช้งานได้เป็นปกติ ใจก็รู้สึกโล่ง สบายใจ โดยไม่สนใจว่าใครจะช่วยออกค่าหินหรือไม่ เมื่อถึงกำหนดทำถนนเจ้าของสวนใกล้เคียงกันก็ได้แสดงความจำนงที่จะช่วยออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ทำให้ถนนสามารถใช้งานได้พอประมาณ และเจ้าของสวนอีกแปลงรู้ข่าวก็ได้เพิ่มเงินมาซื้อหินถมเพิ่มอีกเพื่อให้ใช้งานได้ดีขึ้นกว่าเดิม จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เราเสียสละทำไปเพราะเรานำบททบทวนธรรมข้อที่53ว่า”ศีล คือ ไม่เบียดเบียนตนเอง คนอื่น สัตว์อื่น เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อคนอื่น ต่อสัตว์อื่น” กุศลที่บำเพ็ญจึงส่งผลให้เจ้าของสวนที่รู้จักกันได้ให้ความช่วยเหลือด้วย ปัจจุบันทุกคนสามารถใช้ถนนกันด้วยความสะดวก สบายและเราก็มีตวามสุขกาย สบายใจที่ได้เริ่มต้นและเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตาม
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง รู้จักให้ด้วยใจที่เป็นสุข
เหตุการณ์ เมื่อหลายวันก่อนไปสวนยางพาราซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 18 กิโลเมตร เพื่อไปดูการทำงานของลูกจ้างกรีดยาง แต่รถยนต์ไม่สามารถวิ่งไปถึงสวนได้ เนื่องจากถนนชำรุดเสียหายมาก จึงจอดรถแล้วเดินเข้าไป
ทุกข์ ลำบากใจในการต้องเดินด้วยเท้าเข้าสวน
สมุทัย ชอบที่ไม่ต้องเดินเข้าสวน ชังที่ต้องเดินเข้าสวน
นิโรธ จะต้องเดินเข้าสวนหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค เมื่อรถยนต์เข้าไม่ถึงสวนก็ต้องเดินด้วยเท้าเข้าไป ในตอนแรกก็นึกตำหนิผู้ใหญ่บ้าน ที่ไม่เอาใจใส่เรื่องของถนนซึ่งชำรุดมากจนไม่สามารถใช้งานได้ แต่มองย้อนอีกทีก็นึกได้ว่า ผลการเลือกตั้ง อบต. ยังไม่ผ่านสภา จึงไม่สามารถตั้งงบประมาณมาใช้ได้ จึงได้บอกกับพ่อบ้านว่า เราจำเป็นต้องใช้ถนนสายนี้ร่วมกับอีกหลายคน แต่ละคนเราก็คุ้นเคยกันทั้งนั้น อย่าไปคิดอะไรมากเลย ยอมเสียสละเงินส่วนตัวออกค่าถมดินเองจะดีกว่ารองบประมาณจากราชการ ในตอนแรกพ่อบ้านก็บ่น ว่า เสียหลายวัน แต่ในที่สุดก็ยอมจ้างเขามาถมดินให้ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย เมื่อทำแล้วรู้สึกสบายใจและมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์และเสียสละเพื่อส่วนรวม เราทำตามคำสอนของอาจารย์มาโดยตลอดว่า “ให้แล้วไม่คิดจะเอาอะไรจากใครให้ได้”
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
เหตุการณ์ : เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 ในตอนเช้าต้องไปรดน้ำที่แปลงผัก ด้วยความหวังดีกับพี่ข้างบ้าน เห็นว่าถังฉีดปุ๋ยน้ำของเขาที่ใช้อยู่น้ำพุ่งออกมาไม่แรง จึงซ่อมให้พอซ่อมเสร็จก็เรียกให้พี่ข้างบ้านออกมาทดลองใช้ดู แล้วเราก็ไปแปลงผักตามปกติ ทั้งเราและพี่ข้างบ้านต่างก็ไม่ได้สวมแมส พอช่วงเย็นพี่ข้างบ้านตะโกนบอกว่าติดโควิดเราก็ไม่คิดว่าตัวเองจะติดจากเขานะ
ระหว่างวันนั้นช่วงสายน้องข้างบ้านมาบอกอีกว่าพี่คนนั้นติดโควิด แต่ตอนที่มาบอกเราทำอาหารอยู่ในครัวไม่ได้สวมแมสอีก ซึ่งน้องเขาก็ไม่รู้ตัวว่าติดโควิดจากหลานของพี่ข้างบ้านก่อนจะมาคุยกับเราแล้ว และเขาก็ยืนยันว่าตรวจโควิดสองครั้งแล้วไม่ติด เราก็เลยไม่ได้กังวลใจ แต่สังเกตุอาการตัวเองคือเริ่มปวดศีรษะ ตัวรุมๆ ยังบอกกับพ่อบ้านว่าสงสัยติดโควิดแล้ว พ่อบ้านบอกว่าถูกแดด ถูกลมมากกว่ามั้ง แต่เพื่อความมั่นใจขึ้นเราจึงไปซื้อชุดตรวจมาตรวจตั้งแต่เย็นวันที่ 1 วันที่ 3 และเช้าวันที่ 4 ผลก็ไม่แสดงว่าติด แต่ก็เริ่มระวังตัวไม่ต้องการให้แพร่เชื้อออกไปเพราะไม่แน่ใจ
ตอนเย็นวันที่ 4 ลูกของพี่ข้างบ้านนำชุดตรวจโควิดมาอาสาตรวจให้เราและพ่อบ้านด้วย ของพ่อบ้านไม่ติดแต่เราติดโควิด เราจึงถ่ายผลการตรวจและบัตรประชาชนส่งไปให้พยาบาลของโรงพยาบาล เพื่อเข้าสู่ระบบต่อไป
ทุกข์ : กลัวจะแพร่เชื้อโควิดไปสู่ผู้อื่น
สมุทัย : ชอบใจถ้าไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ชังถ้าแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
นิโรธ: จะแพร่เชื้อโควิดหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อผลตรวจหาเชื้อโควิดออกมาเป็นที่แน่นอนแล้ว ในวันที่ 5 มี.ค. 65 ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจซ้ำอีกครั้ง และรับชุดดูแลสุขภาพกลับบ้านเพื่อมาดูแลตัวเองจนครบ 10 วัน แล้วไปพบพยาบาลใหม่
ในช่วงตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.เป็นต้นมาก็ได้ใช้เทคนิคของแพทย์วิถีธรรมดูแลตนเอง ทำให้อาการไอและเจ็บคอหายไปในเวลาเพียง 3 วันอาการไข้ก็ไม่มีเลย และคิดว่าน่าจะหายแล้ว
เหตุที่ติดโควิดเพราะเราประมาทในการดำเนินชีวิต ดีที่ยังพอจะมีวิชามาดูแลตัวเองให้ปลอดภัย ไม่เจ็บป่วยถึงกับเสียชีวิต ซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 25 ว่า”เมิ่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อ…..ให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก” การใช้ธรรรมะเป็นเครื่องมือในการดูแลตนเองในเบื้องต้น และสิ่งสำคัญก็คือความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
ดังนั้นจึงต้องปฎิบัติตามกติกาของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด ไม่ออกจากบ้านและแยกตัวเองจากคนในบ้านเพื่อไม่ให้เป็นการแพร่เชื้อออกไปอีก
ซึ่งขณะนี้ไม่ได้วิตกกังวลอะไรเลย เพราะเราสำนึกในวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่กลัวว่าจะแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นก็วางใจได้ ว่าถ้าเขาติดก็คงเป็นวิบากเขาเหมือนกัน เพราะเราก็ระวังและป้องกันตัวเองเต็มที่แล้ว