รู้ซึ้งนรกคนคู่ : นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม
เมื่อรู้ซึ้งนรกคนคู่แล้ว ก็ไม่ทำทุกข์ทับถมตน เรียนรู้วิธีพ้นนรกคนครองคู่ได้ตามครูบาอาจารย์ สัตบุรุษที่ถูกต้องถูกตรงที่เมตตาเขียนหนังสือออกมา เมื่อคิดพิจารณาและปฏิบัติตาม ก็พ้นทุกข์เป็นลำดับ ๆ ได้จริง เรียนเชิญพี่น้องที่สนใจมาพิสูจน์สัจจะข้อนี้โดยการอ่านหนังสือ “เป็นโสด หรือ มีคู่” กันค่ะสาธุ
รู้ซึ้งนรกคนคู่
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะได้เล่าบรรยายประสบการณ์จริงของชีวิตคนคู่เพื่อเป็นธรรมทานได้บ้างไม่มากก็น้อยแด่พี่น้องที่ยังหวั่นไหวและลังเลสงสัยว่าตัวเองจะ”อยู่เป็นโสดดีหรือมีคู่ดี ” ? ความจริงของชีวิต(นรก) คู่นั้นมีเนื้อหารายละเอียดมากยิ่งกว่าละครซีรีย์เลย แต่ที่จะนำมาเขียนได้ในวันนี้ขออนุญาตเขียนโดยสรุป แบ่งเป็นสามช่วงดังนี้ ช่วงแรก เรียกว่าเป็นช่วง “ ค้นหาสาระจริงของชีวิต ” คือตัวเองเป็นคนประหลาดอยู่อย่างชอบเรียนรู้และนักแสวงหาครูบาอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม อยากเป็นผู้รู้ อยากเป็นนักปราชน์ อยากเป็นนักแสดงธรรม และอยากเป็นนักเขียนธรรมะ ตอนเรียน พยาบาลปีสุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยนชื่อตัวเองด้วยการตั้งชื่อตัวเองใหม่ จากเดิมชื่อ ไข่ษร(พ่อตั้งให้) เป็น ชื่อ บัณฑิตา (คิดเองตั้งเอง) ในขณะเรียนพยาบาลเราได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตตั้ง เกิด แก่ เจ็บ และตาย วนๆเวียนๆอยู่อย่างนี้และเราก็ได้น้อมจิตน้อมใจตามคำสอนของพระพุทธองค์มาพิจารณาตาม ทำให้มีพลังสติและปัญญาระดับหนึ่งที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติตามให้ต่อเนื่องพอเรียนจบเราก็ได้ทำงานไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย คบหากัลยาณมิตรหลากหลายกลุ่มและแสวงหาครูบาอาจารย์หลากหลายสำนักและรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนดี คนมีศีล มีธรรมคนหนึ่ง และขณะเดียวกันเราก็เคยได้เรียนรู้การอยู่แบบคู่ คือเรามีแฟนคบหากัน และ ก็เลิกกันไป และเราก็ได้เรียนรู้เปรียบเทียบว่า ตอนอยู่เป็นโสด กับตอนมีแฟน ต่างกันอย่างไร คือ ความอิสระต่างกันมาก ตอนแรกหวานหอม ยินยอมตามกันโดยดี ต่อ ๆ มาเริ่มเซ็ง ไม่อยากยอม เพราะเรารู้สึกว่ามีการควบคุม มีการจำกัดเสรีภาพขาดอิสรภาพ มีความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเกิดขึ้น โดยปกตินิสัยคือเป็นคนให้อิสรภาพกับตัวเองและผู้อื่นอย่างมาก พอเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ ห้ามโน่นห้ามนี่ไม่ชอบที่เราทำอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดความอึดอัด ขัดเคืองใจเกิดขึ้น เราจึงได้ขอตัวใช้ชีวิตแบบไม่มีแฟน ความรู้สึกแรกคือ ชีวิตนี้เป็นอิสระแล้วได้ทำอะไรตามใจตัวเอง พอใจในชีวิตโสดนี้อย่างแรง และคิดวางแผนจะไปปฏิบัติธรรมสำนักใดสำนักหนึ่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือ หยุดพักร้อน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเลือกสำนักใดดี?
ช่วงที่สอง เรียกว่า “เจอของจริงมาทดสอบ” ตอนที่เราตั้งจิตอยากจะไปปฏิบัติธรรมและจินตนาการไปว่า เราจะสร้างกุฏิเล็กๆในสถานที่ปฏิบัติธรรมซักแห่งพอวันหยุดก็ไปอยู่ปฏิบัติธรรมไป พอวันทำงาน ก็กลับมาทำงาน เลี้ยงตัวเองไปจนกว่าจะแก่และจนกว่าจะตายไป พอตั้งจิตอย่างนี้ อยู่มาประมาณสามสี่วันก็มีพี่น้องท่านหนึ่งที่เราเคยช่วยเหลือไว้ติดต่อมาว่า จะให้เบอร์โทรชายหนุมชาวเยอรมันลองคบหากันไหม?เราก็ให้เบอร์โทรไปและชายหนุ่มท่านนั้นก็ได้ติดต่อเรามา ทำให้เราหวั่นไหวลังเลสงสัยว่า เอ ?..จะอยู่เป็นโสดดี หรือ จะมีคู่ดีน๊า ? ก็ได้ถามพี่น้องเพื่อนๆดู ส่วนใหญ่เชียร์ให้เราคบดู ซึ่งความจริงการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับเราอยู่แล้ว และคิดว่าลองคบดูและเลิกคบได้ ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาอะไร ปัญญาตอนนั้นคิดได้แค่นั้น จึงตัดสินใจลองคบหากันและลองใช้ชีวิตร่วมกันเป็นช่วงๆเนื่องจากอยู่คนละประเทศ และเราก็ได้ใช้หลักธรรมมาใช้ในการครองคู่ที่อ่านจากหนังสือบ้างฟังครูบาอาจารย์ที่สอนบ้าง ก็ปรับตัวปรับใจผาสุกในชีวิตคู่ได้ระดับหนึ่ง หลักธรรมที่ใช้ตอนนั้นคือ จะไม่เอาแต่ใจ และ จะเชื่อฟังคำแนะนำของแฟน และ เราก็มีความเชื่อเรื่องวิบากกรรมคนคู่อยู่ประมาณหนึ่งแต่เหมือนเป็นการกดข่ม คือยังทุกข์อยู่ในใจไม่แสดงออกมาในบางเรื่องที่เราไม่เห็นด้วย และได้ข้อสังเกต มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้ไม่เข้าใจกัน ขัดแย้งกันและ ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเตือน ว่ากำลังจะไปนรกนะถ้าแต่งงาน เพราะยังไม่ได้เจอสัตบุรุษครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องถูกตรงจึงยังแยกแยะไม่ออกว่า จะก้าวไปทางไหนดี ? เหมือนจะรู้แต่รู้ไม่จริง จึงได้ยินยอมก้าวเข้าสู่ประตูนรกที่หลงว่า ประตูสวรรค์ คือการแต่งงานมีครอบครัว เราก็ได้บอกกับพ่อบ้านว่า เราขอปฏิบัติธรรมไปด้วยนะซึ่งเป็นคุณลักษณะจริตนิสัยของเราเป็นแบบนี้ พบกันครึ่งทางนะ คุณชอบกินดื่มสรวญเสเฮฮากับเพื่อนๆพี่น้องเรายินดีให้คุณทำไป พ่อบ้านก็ตกลง ให้อิสรภาพในการทำความดีต่าง ๆ ตามที่เราต้องการส่วนใหญ่ก็ไปวัดและจัดกิจกรรมการกุศลร่วมกับพี่น้องหมู่กลุ่มที่คบคุ้นกัน ช่วงห้าปีแรกทุกอย่างดูเหมือนสวรรค์ลงตัวดี มีความสุขสบายดี ซึ่งเราเพิ่งรู้ว่านั่นคือการเสพสุขแบบโลกียธรรม ไม่ใช่โลกุตระธรรม ที่มารู้เพราะได้มาเจอ สัตบุรุษครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องถูกตรงคือ ท่านอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน ในยูทูบ เราก็ได้ตั้งจิตเป็นลูกศิษย์ทางจิตวิญญาณทันที ขอติดตามรับฟังธรรมและน้อมนำมาปฏิบัติตามและต่อมาก็ได้ไปกราบคารวะเป็นลูกศิษย์กับท่าน
ช่วงที่สาม เรียกว่า ” เจอของจริงยิ่งกว่า” เมื่อเราได้ปฏิบัติตาม เราก็มีความรู้เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย และ รู้ว่าตนเองได้พลาดแต่งงานมาแล้วจริงๆและยินดียอมรับว่าเป็นวิบากกรรมคนคู่ และการปฏิบัติธรรมมาก่อนนั้นเป็นแบบกดข่มไม่ได้ถึงจิตวิญญาณ เป็นโลกียธรรม เราจึงตั้งจิตเริ่มนับหนึ่งใหม่ ปฏิบัติใหม่ด้วยใจเคารพบูชาและศรัทธาต่อท่านอาจารย์ ดร.ใจเพชร กล้าจน สุดหัวใจในช่วงแรกๆที่ปฏิบัติตาม ใจเราซาบซึ้งเหลือเกินอยากจะสละครอบครัวออกไปเลย เนื่องจากการปฏิบัติธรรมสถานะคนคู่นั้นทำได้ยากลำบากยิ่ง เพราะจะสวนกระแสกันอย่างแรง ขัดกันทุกอย่าง ซึ่งเราก็เห็นทุกขอริยสัจเกิดขึ้นในใจ ทำให้เรารู้ซึ้งนรกคนคู่จริงๆ แต่มันก็ได้พลาดมาแล้ว ก็ปลอบใจตัวเองว่าเอาน่า ถึงอย่างไรก็ยังมีวิบากดีช่วยให้ได้พบท่านอาจารย์หมอเขียวและต่อมาก็ได้พบท่านพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้ฟังคำสอนต่างๆ ได้เรียนอริยสัจสี่ และได้อ่านหนังสือเล่มนี้จากหน้า ๘๑ ถึงหน้า๙๓ มีหัวข้อว่า “วิธีการ ที่จะออกจากนรกคู่ครอง ครอบครัว” ซึ่งประทับใจมาก ท่านอาจารย์หมอเขียวได้เขียนให้กำลังใจนักปฏิบัติธรรมที่พลาดไปมีคู่แล้วให้ยินดี เต็มใจ ยอมรับ น้อมรับวิบากรรมคนคู่ปฏิบัติให้ถึงจิต ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากนรกได้ มีรายละเอียดในหนังสือพี่น้องสามารถติดตามอ่านในหนังสือเล่มนี้ได้ และเราได้เข้าใจลึกซึ้งว่าการบำเพ็ญกับคู่ของตนนี่แหละ ก็ได้อานิสงส์เช่นเดียวกัน พ้นทุกข์ได้เช่นกัน “เน้นปฏิบัติพรหมวิหารสี่ เจริญอภัยไม่ถือสา ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ เข้าใจเรื่องกรรม“ตามที่ท่านอาจารย์เมตตาสอนไว้ ซึ่งเราก็ได้พิสูจน์ตามคำสอนเป็นระยะเวลาเจ็ดปีเต็ม เห็นว่าปฏิบัติตามครูบอาจารย์ท่านนี้แหละคือ “สาระจริงและของชีวิตยิ่งกว่าสิ่งใดในจักรวาลนี้ “ที่ได้พบเจอสัตบุรุษครูบาอาจารย์ และหมู่มิตรดีสหายดีที่ถูกต้องถูกตรง ทำให้เบิกบานและผาสุกได้จริงๆแม้จะพลาดไปมีครอบครัวแล้วก็ตาม ส่วนผู้ที่อยู่เป็นโสดแล้วก็ดียิ่งกว่า ขอน้อมนำคำกล่าวของท่านอาจารย์มาอวยพรให้ว่า” เกาะคานเพชร คานทองให้แน่นๆนะคะ” เอาใจช่วยค่ะ น้อมกราบระลึกถึงคุณงามความดีและพระคุณ ท่านพ่อครูสมณะโพธิรักษ์และท่านอาจารย์หมอเขียวดร.ใจเพชร กล้าจน พระโพธิสัตว์เจ้า ที่เมตตามาโปรดในยุคนี้ที่ข้าพเจ้ายังตามมาทันและตามหาจนเจอ สาธุ สาธุ สาธุ