กระดานแบ่งปัน สังคมแห่งการเรียนรู้วิชชาราม (vijjaram learning society)
ประจำเดือนมิถุนายน – กันยายน ปี พ.ศ. 2565 นักศึกษาวิชชารามทุกชั้นปี ทุกหลักสูตร นักศึกษาเก่า นักศึกษาใหม่ สามารถแบ่งปันการเรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย โดยพิมพ์ ชื่อ นามสกุล (รหัสนักศึกษา หรือ (ภาคสมทบ) หรือ (นักศึกษาเก่า) หรือ ฯลฯ) หรือจะใช้นามปากกาก็ได้เช่นกัน
โดยสามารถแบ่งปันเรื่องราวได้มากมายหลากหลาย เช่นดังต่อไปนี้…
- แบ่งปันสภาวธรรม
- สรุปสาระธรรม
- เรื่องราวในชีวิต
- การดูแลสุขภาพ
- การเรียนรู้สิ่งใหม่
- การทบทวนเรื่องเก่า
- ร้องเรียน ร้องทุกข์
- บันทึกประจำวัน
- ทบทวนธรรม
- ฯลฯ
โดยจะเปิดพื้นที่นี้ใหม่ทุกสัปดาห์และจะไม่สามารถย้อนไปบันทึกหรือแบ่งปันในสัปดาห์เก่าได้
ทบทวนธรรม
เรื่อง ความพลัดพราก
เมื่อวานนี้ได้ร่วมงานรำลึกคุณงามของพ่อคึกฤทธิ์ สังคมศิลป์ ท่านเป็นจิตอาสาที่บำเพ็ญกับพี่น้องแพทย์วิถีธรรม พร้อมกับครอบครัวของท่าน เคยพบท่านตอนไปเข้าค่ายครั้งแรก และก็พบท่านทุกครั้งที่ไปเข้าค่าย ท่านมีมนุษยสัมพันธ์ดี และขยันการงาน ในกิจน้อยใหญ่ของหมู่มิตรดี เราเองก็ซาบซึ่งประทับในกิจวัตรการบำเพ็ญของท่าน และตั้งใจจะพากเพียรลดกิเลสของตัวเองและบำเพ็ญกับหมู่มิตรดีต่อไป
ตัวเองก็ได้มาคิดทบทวนว่าถ้าเราเองต้องพลัดพราก เรายังมีห่วงอะไรมั้ย ก็พบว่าไม่ได้ห่วงใครเหมือนแต่ก่อนที่จะมารู้จักกับแพทย์วิถีธรรม เพราะตอนนั้นเรายังไม่เชื่อและชัดเรื่องกรรม ยังเป็นพรหมสามหน้า ยังอยากเอาดีดังใจเราหมายอยู่ ยังอยากได้ดีจากผู้อื่นอยู่
แต่ตอนนี้ได้ฟังธรรมจากอาจารย์หมอเขียวและพ่อครูอยู่บ่อย ๆ ประกอบกับการได้ตั้งศีลขึ้นมาปฏิบัติ จนชัดแจ้งในตนเองเรื่องวิบากกรรม การผิดศีลถูกศีลมีผลเป็นกุศลอกุศล ล้วนเกิดจากการกระทำของเราเองทั้งหมด และพบว่าเราหรือใครจะได้รับอะไรก็เราทำมาทั้งนั้น ไม่มีใครทำดีหรือทำร้ายเราได้ นอกจากวิบากดีร้ายของเราเท่านั้นที่ส่งผลอยู่ตลอดเวลา เราได้รับสิ่งดีก็เพราะเราทำดีมา เราได้รับผลไม่ดีก็เพราะทำไม่ดีมา
เมื่อเราพิจารณาจนเชื่อชัดในวิบากกรรมอย่างแจ่มแจ้งแล้วก็ไม่มีอะไรคาใจ ไม่ได้ทุกข์ใจกับใครอีกต่อไป ยินดีและกล้าให้ทุกคนเป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต เรามีหน้าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุุด เท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัย ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น เพราะสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นของใคร ไม่มีอะไรต้องทุกข์ใจ เบิกบานแจ่มใสดีกว่า
สภาวธรรม
เรื่อง ยินดีเมื่อดีไม่เกิด
พ่อบ้านบอกว่าจะเอาสมุนไพรไปให้เพื่อน เราก็ถามว่าเป็นอะไรเหรอ ท่านว่าเป็นตัวดีทอกเอาพิษจากการฉีดวัคซีนออก เราก็แนะนำที่บ้านเราก็มีปืนนกไส้ หรือดาวดอย แต่พ่อบ้านส่ายหัวทำหน้าไม่เชื่อ ไม่ดี ไม่เพียงพอ ที่จะแก้ไขได้ ไม่ชอบใจที่พ่อบ้านไม่ใ้ช้สิ่งที่เรามี ประหยัดเรียบง่าย หาได้ง่ายใกล้ตัวมาใช้
เห็นใจเราไม่พอใจ เห็นกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในใจเราอยากให้เขาเอาดีอย่างที่ใจเราหมาย จึงได้พิจารณาว่า มันเป็นฐานอาศัยของเขา เขาจะทำอะไรหรือเชื่ออะไรก็เป็นไปตามวิบากดีร้ายของเขา เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา เราสอนเขาหรือบอกเขาไม่ได้ ก็ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น แต่เราต้องล้างใจของเราที่มีกิเลส ใจที่ไม่ยินดี เมื่อดีที่เรามุ่งหมายให้เกิดไม่เกิด เราต้องเข้าใจวิบากกรรมของเราและคนที่เกี่ยวข้อง
ยินดีที่เห็นกิเลสที่อยู่ในใจ ถ้าเขาเห็นดีกับเราทำอย่างที่ใจเราหมายเราคงไม่เห็นกิเลสที่ยังมีอยู่ในใจเรา ใจอยากได้ดีที่ไม่ใช่กุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง คิดถึงคำสอนของอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน ที่ว่า เมื่อเรามุ่งหมายให้เกิดดีและปราถนาให้ดีเกิด แต่เมื่อดีไม่เกิดดังใจเราหมาย เรากล้าหยุดอยากได้ดีนั้น และยินดีได้แม้ดีไม่เกิด พอใจเมื่อได้ทำให้ดีที่สุดแล้ว (เราได้บอกเขาแล้ว เขาจะเอาหรือไม่เอาก็ได้)
ยินดีได้ใช้วิบาก ครั้งหนึ่งเราก็ไม่เชื่อสิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายอย่างนี้แหละ มีคนดีแนะนำให้ก็ไม่เอา เพราะไม่รู้
เรื่อง ไม่อยากให้พ่อต้องผ่าตัดหัวใจเพื่อทำบายพาส
คุณพ่อมีปัญหาเรื่องหัวใจ ได้คุยกับคุณพ่อและถามพ่อว่า พ่อกลัวตายหรือเปล่า พ่อบอกไม่กลัว แต่ก็ไปให้หมอดูว่ามีอะไรที่หมอจะช่วยได้บ้าง หลังจากพบหมอ หมอบอกว่าการเต้นของหัวใจปกติดี แต่ความดันต่ำ ไม่รู้ว่ามีการอุดตันที่ตรงไหนหรือเปล่าจึงได้นัดฉีดสีเพื่อทำเอ็กสเรย์ดูว่ามีอุดตันที่ใดหรือเปล่า และจากนั้นจะวางแผนการรักษาต่อไป อาจทำบอลลูนหรือทำบายพาสเป็นการผ่าตัดใหญ่ ได้ฟังก็เห็นความรู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อต้องผ่าตัดใหญ่เลย ทั้งจะเจ็บตัวรักษานาน พ่ออายุมากแล้วจะแปดสิบแล้ว ต้องเสียค่ารักษามากมาย แต่ก็ไม่รู้หลังผ่าตัดแล้ว จะเป็นอย่างไร เราก็คิดเลยไปถึงว่ามันจะไม่คุ้มค่าใช้จ่ายที่จะเสียไป เห็นใจต้วเองมีความกลัวว่าจะเสียหายไม่คุ้ม พอเห็นแบบนี้รู้ว่าเป็นกิเลสกลัวเสียเงินไม่คุ้มค่า ก็เลยสวนกิเลสไปว่า ได้เห็นกิเลสคุ้มค่าแล้ว ส่วนการตัดสินใจรักษานั้นให้เป็นหน้าที่ของพ่อเอาที่ท่านสบายใจ เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็คุ้มค่าแล้วที่ได้ฆ่ากิเลสความกลัวของเรา
เรื่อง ทำดีเต็มที่แล้ววาง
มีโอกาสได้พูดคุยกับน้อง ๆ ซึ่งเราเห็นเป็นโอกาสแบ่งปันสัมมาทิฏฐิกับน้อง ๆ โดยเฉพาะ น้องชายในนั้นการทำอาชีพที่ยังอบายมุขอยู่มาก ได้คิดทบทวนว่าเราจะเมตตาน้องเราพูดด้วยความปราถนาดี จึงได้ออกปากพูดออกไปว่า ถ้าพออยู่ได้ก็ให้หยุดเถอะอาชีพที่ทำอยู่ หาทางออกมาเถอะนะ ไม่ได้บอกว่าจะต้องเลิกเลยหรอกนะ แต่อยากให้รู้ว่าอาชีพที่เราทำอยู่เป็นอาชีพที่ชาวพุทธไม่ควรทำ น้องชายตวาดใส่เรา ไม่ได้เสียใจที่ตัวตัวเองโดนตวาด แต่รู้สึกยินดีที่อย่างน้อยเขาได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนเขาจะทำตามหรือเปล่าเราไปกำหนดหมายไม่ได้ เพราะตัวเองเชื่อชัดเรื่องกรรม ว่าเราหรือใครได้รับอะไรก็เราทำมาส่งเสริมมาทั้งนั้น เราพูดออกไปด้วยความเมตตา ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และยินดีที่ได้ทำสิ่งที่ดี และไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าดีต้องเกิดดังใจหมาย ถ้าเป็นกุศลของเราและน้อง น้องก็จะรับได้และเข้าใจ และก็เป็นวิบากดีของเขาเอง แต่ถ้าน้องรับไม่ได้ ก็เป็นวิบากร้ายเป็นอกุศลของน้องเอง เราได้วางใจให้เป็นไปตาวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ยินดีเมื่อได้ทำดีที่สุดแล้ว
ดังบททบทวนธรรม ข้อที่18 เราทำดีด้วยการช่วยไม่ให้คนอื่นทำผิดได้ก็ช่วยแล้ววาง ให้เป็นไปตามวิบากดีของเขา ช่วยไม่ได้ก็วาง ให้เป็นไปตามวิบากร้ายของเขา เมื่อเขาเห็นทุกข์จนเกินทนจึงจะเห็นธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์
เรื่อง ไปตลาดแพ้กิเลส
ไม่ได้ออกนอกบ้านนานแล้ว วันที่ 9 กรกฏาคม 2565 พ่อบ้านชวนไปตลาดนัดที่เขาจัดเดือนละครั้ง เราก็คิดว่าไปเถอะเอื้อพ่อบ้าน ก็ตั้งใจจะไม่ไปเพ่งโทษถือสาอะไรเราจะเข้าใจความเป็นอยู่ของคนในโลก พอไปถึงตลาดก็หาที่จอดรถ พอได้ที่จอดรถ เราก็พากันไปเดินที่ตลาด วันนี้ของที่มาขายก็เหมือนเดิม ๆ เป็นเสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน ทำสวนเราก็ได้ซื้อต้นอ่อนกะหล่ำปลีมาปลูกที่บ้าน ข้าวราคาแพงมาก ๆ มีร้านอาหารพาสฟูดต่าง ๆ แขก จีน อิตาเลี่ยน เรากินข้าวมาจากบ้านแล้ว เดินไปใจก็เห็นความซังเราคิดว่าเราจะสนุก ๆ ปลดปล่อย สักวันแต่พอไปถึงเราก็ทำไม่ได้ พ่อบ้านก็ถามตลอดเลยเอาอันนั้นมั้ยเอาอันนี้มั้ย เราก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องซื้อเลย เราก็ไม่เอาเราไม่อยากซื้อแล้วเราก็จะเดินออกจากตลาด เพราะกิเลสมันทนไม่ไหวแล้ว โลกนี้ก็สร้างแต่สิ่งมามอมเมากัน แล้วใส่ห่อสวย ๆ แล้วก็ตั้งราคาแพง ๆ เราจะบอกเขาอย่างไรดี เบื่อหน่าย (กิเลสเข้า) รู้สึกตัวว่ามีกิเลสไม่พอใจที่ตนเองไปเพ่งโทษอยากได้ดีจากคนอื่น
เราควรจะเข้าใจคนอื่นเขา เขาไม่รู้และเขาก็มีกรรมของเขาเอง แต่กิเลสเราไม่ชอบใจเองก็ต้องแก้ที่เรา ไม่ใช่ไปแก้คนอื่น ต้องแก้ที่เราควรขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ที่ทำให้เราเห็นกิเลสตัวเพ่งโทษถือสาของเราที่เอาดีจากคนอื่น ให้ศรัทธาในส่วนดี เมตตาในส่วนด้อย เพราะแต่ละชีวิตไม่มีใครอยากชั่ว อยากดีทั้งน้ัน แต่ที่ยังชั่วอยู่เพราะไม่รู้หรือรู้แต่ยังทำไม่ได้ เราเองเคยชั่วมา เคยเป็นมาส่งเสริมมาทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา
เราอยากเป็นคนดี แต่มีกิเลสจะดีได้อย่างไร ยังอยากได้สุขสมใจหมายอยู่ยังอยากให้ดีเกิดดังใจหมายอยู่ มีแต่จะเป็นการเพิ่มทุกข์เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี เราต้องทำใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็นตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยวาง กล้าให้ดีไม่เกิดดังใจเราหมายเมื่อเรามุ่งหมายให้เกิดดีและได้ทำเต็มที่แล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต
ไม่ไปชอบชังเมื่อดีไม่เกิดดังใจเรา ให้เมตตาและปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ยินดีเมื่อได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว แล้ววางดีให้เป็นตามกรรมวิบากของแต่ละชีวิต
เรื่อง ใส่บาตรเรื่องเพ่งโทษผู้อื่น
วันนี้ตอนเช้าได้เข้าโรงเรียนของหนู ได้มีท่านสมณะมาในห้องเรียนด้วย เราก็เลยมีโอกาสได้ใส่บาตรคือเรื่องความเพ่งโทษถือสาผู้อื่น โดยเฉพาะพ่อบ้านที่เราต้องอยู่ด้วยกัน เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ถ้าเขามีข้อด้อยที่เราไม่ชอบใจอยู่บ้างก็ควรให้อภัยกัน เพราะไม่มีใครอยากพลาด อยากพร่อง แต่ที่ยังพลาดยังพร่องเพราะเขาไม่รู้ เราเองก็เคยพลาดเคยพร่องมาเหมือนกัน ทุกคนก็ล้วนเกิดมามีกิเลสของตนเอง เราก็มีกิเลสของเรา เราก็มาจัดการกับกิเลสของเราดีกว่า ทำนาในคือใจที่ไร้ทุกข์ ใจที่เบิกบานยินดี ตั้งใจขอฝึกเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ท่านสมณะฟ้าไทได้ให้สัมมาทิฏฐิว่า สตรียิ่งใหญ่เพราะทำตัวให้เล็ก(ลดอัตตาของเรา)เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ธรรมดาคนอ่อนแอชอบเบ่งอยากเป็นใหญ่(อัตตาโด)เป็นคนพาล อ่อนแอ อยากเอาชนะ ส่วนคนที่แข็งแรงจะเป็นคนที่อ่อนน้อม เป็นคนยอมให้คนด่า ให้คนว่าได้
เรื่อง การแบ่งปันที่ชุมชนทาทูร่า ออสเตรเลีย
วันนี้มีโอกาสได้ไปบำเพ็ญกับพี่น้องที่ชุมชน เป็นครั้งแรกที่ได้ไปบำเพ็ญข้างนอกตั้งแต่โควิด ตอนตื่นเช้าขึ้นมากิเลสมันถามว่าจะไปจริง ๆ เหรอ ถ้าเขาถามเรื่องวัคซีนแล้วพบว่าเราไม่ได้ฉีดวัคซีน และไม่อนุญาตให้ร่วมกิจกรรมจะทำอย่างไร ก็ตอบกิเลสไปว่าไม่เป็นไรเลย เขาไม่ให้ทำเราก็กลับบ้านเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะเป็นปัญหาเลยเมื่อไม่ใช่กุศลของเราที่จะได้บำเพ็ญก็ดีแล้วเราไม่ต้องมีภาระ ใจก็ยินดี เพราะไม่ได้ยึดมั่นว่าต้องได้ทำได้บำเพ็ญ ใจมันโปร่งโล่ง เพราะเราไม่ได้จะเอาอะไร เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ดีเราก็ไปร่วมทำดี ๆ เท่านั้นเอง
เมื่อไปถึงสถานที่ เจ้าหน้าที่ก็ต้อนรับเราด้วยความยินดี พาเราไปห้องครัวและแนะนำให้ได้รู้จักกับพี่น้องท่านอื่น ๆ ผู้นำในห้องครัวก็แบ่งงานให้เราทำเป็นการช่วยหั่นผักต่าง ๆ เพื่อประกอบอาหารเราทำทุกอย่างแล้ว กิเลสก็มากระซิบดีจังเลยเขาให้เราช่วยในส่วนที่เป็นผัก ถ้าเขาให้ทำในส่วนเนื้อสัตว์จะทำอย่างไรละ ก็ได้ตอบไปว่าถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทำ เพราะวันนี้เรามาบำเพ็ญ ใจไร้ทุกข์มาเพื่อเรียนรู้อนุโลมโลก เข้าใจโลก เราจะเคร่งครัดที่ตัวเรา เราไม่ไปชอบชัง ในสิ่งที่คนอื่นเขาต้องอาศัย ใจก็ไม่ได้กังวลอะไร พอพี่น้องจะให้เราทำเนื้อสัตว์ท่านก็ถามเราก่อนว่าเราสะดวกใจที่จะทำหรือเปล่า เราก็ยิ้มให้ท่านและตอบท่านว่าถ้ายังมีงานเตรียมผักจะยินดี ท่านก็เข้าใจ
ในระหว่างนั้นก็มีช่วงพักดื่มน้ำชา กาแฟ และขนมต่าง ๆ มาให้เราด้วย แต่ก็บอกท่านว่าเราเรียบร้อยมาแล้วไม่ต้องกังวลกับเรา อ่านใจตัวเองก็ไม่ได้มีชอบชัง ใจก็นิ่ง ๆ อยู่
จะเห็นได้ว่าเมื่อเราวางใจไม่ได้คิดจะเอาดีจากใคร เราก็ยินดีเท่าที่เป็นจริง ใจก็เบิกบานจนกระทั้งงานเสร็จและลาจากกัน อนุโมทนาสาธุ
เรื่อง ไม่ได้ดังใจ
ไปเยี่ยมพ่อปู่แม่ย่า และนั่งคุยกันทั่ว ๆ ไป แม่ย่าเพิ่งไปหาหมอมาเป็นมะเร็งที่ปาก พ่อปู่สบายดีตามอัตภาพ ท่านก็ถามข่าวคราวถึงพ่อแม่ที่เมืองไทย ซึ่งคุณแม่ก็เพิ่งไปพบหมอเพื่อที่จะผ่าตัดก้อนเนื้อที่ก้น ขณะนั่งคุยกันก็มีกิเลสเกิดอยากกลับเมืองไทยว่าไปดูแลพ่อแม่ที่เมืองไทย และกิเลสบอกว่าเราน่าจะมีประโยชน์กว่าการอยู่ที่ออสเตรเลีย เพราะมีที่ทางที่จะทำกสิกรรมได้ ทำกสิกรรมไปดูแลพ่อแม่ไปด้วยน่าจะดีนะ คิดว่าเราอยู่เมืองไทยเราน่าจะมีประโยชน์กว่าอยู่ที่ออสเตรเลีย แล้วใจมันก็หมอง ๆ เพราะมันรู้ว่าไม่ใช่เวลา ก็เลยสวนกิเลสไปว่าอยู่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ถ้ามีกิเลส เหมือนหมาขี้เรื้อน อยู่ที่ไหนก็คัน มันก็เปลี่ยนที่ไปทุกที่แต่ก็ยังคันแล้วมันก็โทษสถานที่
ได้พิจารณาเห็นความอยากได้ดังใจหมายเป็นทุกข์ ใจเศร้าหมองไม่เบิกบาน มันเริ่มเพ่งโทษจะเอาจากดีจากผู้อื่น มันชวนพ่อบ้านว่าเราไปอยู่เมืองไทยกันเถอะ ทั้ง ๆ ที่มันรู้ความจริงว่าพ่อบ้านไม่อยากไปอยู่เมืองไทย มันจึงเห็นความไม่ได้ดังใจของตัวเอง จึงได้เปิดเผยกับหมู่กลุ่มค่ะ พอเปิดเผยกับหมู่กลุ่มแล้วปัญญาเกิด มันยังไม่ใข่กุศลของเรา มันยังเป็นเวลาที่เรายังชดใช้อยู่ เพราะประมาณแล้วมันฝืดฝืนเกินแสดงว่าไม่ใช่เวลา จึงได้คลายความยึดมั่นถือมั่นที่จะเอาดีดังใจเราหมายลง ใจมันยอมรับความจริงว่ายังไม่ใช่เวลาที่จะได้กลับเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็ควรจะอยู่ด้วยความยินดีใจไร้ทุกข์ ก็จะดีกว่าอยู่แบบทุกข์ ๆ เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จึงได้สำนึกผิด สารภาพผิด ตั้งใจหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้น
ใจที่มันยังโง่อยู่ก็พร้อมที่จะคิดโง่ ๆ พ่อครูบอกว่าใจอย่างนี้อย่าให้มันอยู่กับเรานาน แตะมันออกไปไกล ๆ แต่พอวิบากเข้ามันก็ยังไม่ทันกิเลสอยู่ เพราะเรายังมีตัวตนของกิเลส เราควรยินดีที่ได้เห็นกิเลส เหตุการณ์นี้สอนเราให้รู้ว่าเราประมาทไม่ได้ เราต้องสำรวมอินทรีย์ของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวลามีผัสสะมากระทบ ใจที่ชอบชัง โลภ โกรธ หลง อยากได้ดังใจหมาย ใจที่ยึดดีถือดี หลงดี เราต้องฝึกวางความยึดมั่นถือมั่นในใจเรา ไม่อยากได้ดีที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ของเราเลิกทำตัวเป็นขโมยเสียที
เรื่อง คิดผิดทุกข์เกิด คิดถูกทุกข์ดับ
วันนี้วันที่ 25 กรกฏาคม 2565 ตื่นนอนขึ้นมาก็ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้ว ก็ได้ระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สมณะสิกขมาตุ อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน และพี่น้องญาติธรรมทั้งในอโศกและแพทย์วิถีธรรม ที่ได้นำหลักธรรมที่ถูกตรงมาเผยแพร่ ทำให้เราได้รับประโยชน์ได้เรียนรู้ตาม จนเราสามารถพึ่งตนและพ้นทุกข์มาได้ในระดับหนึ่ง
ตอนแรกเมื่อเราได้ฟังธรรมแล้ว เราก็ได้มาปลดปล่อยลดละเลิกสิ่งที่เกินความจำเป็นออก ก็ได้รับความเบาสบายจากการปลดปล่อยสัมภาระออกมาได้ ในเรื่องสิ่งของทำได้ไม่ยุ่งยาก พอมาเรื่องของคนที่เกี่ยวข้องกับเรา เราพบว่ามันเป็นเรื่องยากมากเลย ตอนนั้นอยากได้สภาพที่เราอยากพ้นจากพันธการ มีความโลภอยากให้ดีเกิดดังใจหมาย
แต่เราก็มาติดที่เรามีสัมภาระวิบากคือพ่อบ้าน ลูกและพ่อแม่ ตอนนั้นเราคิดผิดคิดว่าบุคคลเหล่านี้คือปัญหา ที่ปิดกั้นเราในการที่จะปฏิบัติธรรมกับหมู่กลุ่ม เมื่อคิดผิด การกระทำก็ผิดตามมา เกิดการเพ่งโทษถือสาพ่อบ้าน คิดชั่วมองหาข้อเสียของเขา เพื่อตัวเองจะได้เอามาเป็นเรื่องปลดปล่อยตัวเอง แต่พบว่ายิ่งเพ่งโทษ ยิ่งถือสา หาเรื่อง เราก็ยิ่งทุกข์ ทุกข์เพราะเราคิดผิด คิดจะเอาดีจากผู้อื่น
เราอยากได้ดีเราต้องทำดีที่เรา เริ่มต้นที่เรานับหนึ่งที่เรา ทำความดีที่เรานี่คือเส้นทางเพื่อการพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์โทษภัยจากกการเพ่งโทษถือสา จะเอาดีจากคนอื่น พอไม่ได้ดังใจเราก็ซังเขา เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น คือเบียดเบียนพ่อบ้านด้วย สร้างบรรยากาศไม่ดีในบ้าน หน้างอ อึดอัด ฟุ้งซ่าน พูดจาไม่ดี แสดงความโง่ต่าง ๆ อย่างไม่อาย แพร่พลังความชั่ว ไฟราคะ โทสะออกมา จนคนพ่อบ้านหรือใคร ๆ อยู่ใกล้เดือดร้อนไปหมด จึงได้มาพิจารณาเรื่องกรรม และผลของกรรม ในบททบทวนกรรม เราหรือใครได้รับอะไรเราทำมาทั้งนั้น ไม่มีใครทำดีทำชั่วให้เราได้ เราได้ดีก็เพราะทำดีมา เราได้ชํ่วก็เพราะเราทำชั่วมา ไม่มีอะไรบังเอิญทุกอย่างยุติธรรมเสมอ
เมื่อคิดได้ดังนี้จึงได้หันมาเปลี่ยนความคิดผิดของเราเอง จึงได้ตั้งศีลฝึกยอมพ่อบ้าน ไม่เอาดีจากเขาให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็วางให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ส่วนเรายินดีชดใช้วิบากดีร้ายของเรา และได้สำนึกผิดกับพ่อบ้านที่เพ่งโทษท่าน ได้ไปขอโทษและตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตอนแรกกิเลสมันไม่ยอมมันบอกว่า ถ้าขอโทษเขากิเลสเขาก็จะโต แต่ก็ได้สวนกิเลสไปว่าไม่ใช่ธุระของเรา(กิเลสคนอื่นโตเป็นเรื่องของคนอื่น) แต่เรื่องกำจัดกิเลสของเราคือหน้าที่ของเรา กิเลสที่คิดผิดคิดชั่วในใจเรา ความคิดชั่ว ๆ ที่จะทำให้ทุกข์
พอเราได้เปลี่ยนความคิด ได้ขอโทษพบว่าความรู้สึกหนักหน่วงในใจเรามันคลี่คลาย รู้สึกเบาสบายมีกำลังและเป็นอยู่ผาสุข เราพึ่งตนได้และได้แบ่งปันความผาสุกของเราให้กับผู้อื่นได้ การพึ่งตนคือทำความผาสุกที่ตนผ่อนปรนที่คนอื่น
เรื่อง อานิสงค์ของการเปิดเผยกิเลสกับหมู่กลุ่ม
จากคราวที่แล้วได้ไปตลาดนัดกับพ่อบ้าน แล้วได้เห็นกิเลสตัวชิงชังผู้อื่น แพ้กิเลสยับเยินจึงเอาเข้าหมู่มิตรดี มีท่านสมณะ คุรุและพี่น้องได้ให้ปัญญา ได้กลับมาพิจารณาทบทวนพบว่าเราตั้งจิตไว้ผิด เมื่อครั้งที่ได้พบสัตบุรุษหมู่มิตรดีใหม่ ๆ นั้นเรารู้สึกเสียดายที่เรามาแต่งงานและมีสัมภาระวิบากที่ต้องรับผิดชอบ โดยมีความคิดว่าถ้าเรากำจัดสัมภาระวิบากนี้ได้เราจะเป็นอิสระ
กิเลสมันพาให้คิดโง่ ๆ ว่าถ้าพ่อบ้านมีความผิดเยอะ ๆ เราก็จะพ้นจากพันธนาการนี้ ตั้งแต่นั้นเรื่อยมาก็จ้องจับผิดพ่อบ้าน เพ่งโทษถือสา เมื่อทำอย่างนี้แต่ละครั้งพบว่าคนที่ทุกข์ก็คือเราเอง ทุกข์เพราะเราเล็งเป้าผิด พ่อบ้านเป็นเป้าเคลื่อน ไม่เที่ยง ไม่นิ่ง ควบคุมไม่ได้ เราจึงทุกข์เพราะมันไม่ได้ดังใจ
พิจารณาว่าความอยากได้สุขสมใจอยากมันเป็นสุขลวง สุขที่ไม่มีจริงไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เราคิดจะไปเอาดีจากผู้อื่นผิดศีล เบียดเบียนผู้อื่น เป็นขโมย พูดจาโกหก อยากได้มาก ๆ ก็ทำชั่วได้ทุกเรื่อง
เชื่อชัดเรื่องวิบากกรรม เราอยากได้ดีเราต้องทำดีที่เรา เพราะไม่มีใครทำดีทำร้ายให้เราได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นที่เขาทำดีหรือไม่ดีก็เป็นดีหรือไม่ดีของเขาเอง
อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน สอนว่าการตัดญาติคือการตัดการเอาจากญาติ ไม่ใช่การตัดความรับผิดชอบ เราอยากตัดพ่อบ้าน เราต้องตัดการเอาจากเขา การเพ่งโทษถือสาคือการเอาดีจากเขา มันเป็นการก่อวิบากใหม่ไม่มีวันสิ้นสุด เราควรทำดีให้มาก ๆ ได้สารภาพผิดกับพ่อบ้าน ขอโทษ ขออโหสิกรรม และตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้นคือยินดียอมชดใช้วิบากกรรมของเรา ไม่เร่งผล ไม่กังวล ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ตอนนี้พบว่าใจคลายจากการอยากได้ดีจากผู้อื่นลง ทำให้เราเบากาย เบาใจ ไม่กลัวกังวลหวั่นไหว เป็นอยู่ผาสุกยิ่งขึ้น มีความยินดีให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ให้แต่ละชีวิตได้เรียนรู้วิบากกรรมของเขาเอง ไม่โทษใครใจไร้ทุกข์ ส่วนเราทำความดีที่เราคือกำจัดกิเลส เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง นับหนึ่งที่เรานี่คือเส้นทางเพื่อการพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์
เรื่อง ทุกอย่างเกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว
น้องสาวและหลานมาอยู่บ้านให้ ซึ่งเราก็ยินดีมากที่น้องสาวและหลานมาอยู่ด้วย แล้ววันนี้เราเห็นน้องสาวโพสต์ในไลน์ครอบครัวว่าจะสร้างบ้าน เราก็ไม่เข้าใจว่าน้องจะไปสร้างบ้านใหม่ทำไมนะ บ้านก็มีอยู่ แล้วจะไปสร้างบ้านใหม่ให้เสียเงินเสียค่าใช้จ่ายทำไม ก็ไม่เข้าใจ จึงได้โทรถามน้องว่า จะสร้างบ้านทำไม น้องก็บอกว่าอยากมีบ้านเป็นของตัวเองและสร้างไว้ให้ลูกในอนาคต
เราก็ได้มาทบทวนและเข้าใจน้องว่านี่มันคือเรา เราก็เหมือนกันกับน้อง เมื่อก่อนที่ยังไม่รู้จักแพทย์วิถีธรรมเราก็ติดโลกธรรม อยากได้อยากมี อยากเป็น คิดว่าเรามีอะไรเป็นของเราแสดงว่าเราประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้เราได้มาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมก็ได้มาลดละเลิกสิ่งที่เกินความจำเป็นออกไป พบว่าเบาภาระลงได้มาก ชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ต้องการเพียงปัจจัย 4 คืออาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค เล็กน้อยเท่านั้น
แต่น้องไม่ได้มาเรียนรู้เหมือนเรา เราก็ต้องเข้าใจน้อง กล้าให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการจะทำ ทุกชีวิตต้องเรียนรู้และได้ตัดสินใจเอง กล้าให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต จากบททบทวนธรรม ข้อที่ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเอง
เรื่อง เราโง่เพราะความโลภ โกรธ หลง
พิจารณาเห็นว่าหลาย ๆ ครั้งเมื่อมีผัสสะจากคนใกล้ตัว เรามักจะมีความโกรธความไม่พอใจ พบว่าเพราะเรามีความอยากได้ดีมากกว่าที่เป็นไปได้จริงนั้นเอง เป็นความโลภ อยากได้ของที่เขาไม่ได้ให้ เราทำตัวเป็นขโมย เราถือวิสาสะ ว่าเขาคือพ่อแม่เรา ลูกเรา น้องเรา สามีเรา เรายึดว่าเขาเหล่านี้เป็นของ ๆ เรานั่นเอง เมื่อเรายึดแล้วก็อยากให้เขาเป็นอย่างใจเราหมาย เมื่อไม่ได้ดั่งใจเราก็ทุกข์ใจไม่ชอบใจ ความโง่เกิดขึ้น เราโง่ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง
พิจารณาเห็นว่าความอยากเป็นทุกข์ ทุกข์ที่ต้องเอามาให้ได้ดังใจเราหมาย อยากได้มาก ๆ ทำชั่วได้ทุกเรื่อง เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเพื่อที่จะได้มา เพราะเราหลงผิดคิดว่าการได้ดังใจหมายเป็นสุข เราไปฝากความหวังไปที่คนอื่นเพื่อมาสนองความอยากของเรา เราโง่พึ่งตนเองไม่ได้ เป็นคนพาล(คนอ่อนแอ)พอไม่ได้เราก็ไปเพ่งโทษถือสาคนอื่นเขา ผิดศีล ทำให้ดึงวิบากร้ายมาสู่ตนเองและคนที่เกี่ยวข้อง เกิดความเศร้าหมอง เกิดทะเลาะวิวาท สร้างมลพิษ เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี
ได้พิจารณาเห็นว่าความสุขสมใจอยากไม่เที่ยง เป็นสุขลวงสุขหลอก แม้เราได้สมใจอยากก็เป็นสุขชั่วคราว ไม่เที่ยง เก็บไม่ได้ไม่มีจริง และได้พิจารณาเข้าใจเรื่องของวิบากกรรม แม้คนอื่นเขาทำดีหรือไม่ดีก็เป็นดีหรือไม่ดีของเขา เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน ไม่มีใครทำดีทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง เราอยากได้ดีก็ทำดีที่เรา ไม่ใช่ไปเอาดีของผู้อื่น
ได้พิจารณาเห็นทุกข์โทษภัยของความอยากได้ดังใจหมาย เห็นประโยชน์ของการไม่อยากได้ดังใจหมาย ใจก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่นในใจเรา รู้สึกสำนึกผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้น (ความอยากได้ดังใจหมาย) หยุดอยากได้ดีจากผู้อื่นเสียที ยินดีรับแต่ของที่เขาให้ ไม่ทำตัวเป็นขโมย สำรวมศีลต่อไป
เรื่อง บททบทวนธรรม ข้อ 32
หลักการทำดีอย่างมีสุข 6 ข้อ
1.รู้ว่าอะไรดีที่สุด
2.ปรารถนาให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด
3.ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด
4.ยินดีเมื่อได้ทำให้ดีที่สุดแล้ว
5.ไม่ติดไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ดีที่สุด
6.นั่นแหละ คือสิ่ที่ดีที่สุด
เหตุการณ์คือพ่อบ้านเกิดปัญหาเรื่องการนอน เรานั้นมองเห็นแล้วจากพฤติกรรมของท่าน เราเห็นมีที่จะต้องแก้ไขมากมายหลายจุด เห็นใจตัวเองอยากช่วยด้วยหลักของแพทย์วิถีธรรม เชื่อว่าจะช่วยได้แต่ต้องขอความร่วมมือกับพ่อบ้าน จึงโยนหินถามทางว่าจะให้ช่วยอะไรได้บ้าง
เราเชื่อว่าหลักการ 9 ข้อยาเก้าเม็ดช่วยได้ แต่ท่านไม่ยอมให้เราช่วยทั้งหมด ท่านให้เราช่วยกัวซา เห็นใจของตัวเองยังมีความอยากจะใช้ทุกข้อเลย ก็เลยหันมาบอกตัวเองว่าเราจะมาเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองทำไม คนไม่สบายคือเขา เขาให้โอกาสได้บำเพ็ญเท่าไร เราก็ควรยินดีเท่านั้น ยินดีในกุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง เข้าใจเรื่องวิบากกรรม ยินดีให้พ่อบ้านได้ชดใช้วิบากกรรมของท่าน เมื่อวิบากเบาบางท่านเห็นทุกข์จนเกินทนแล้ว ท่านจะหันมาปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์ เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จริง
เห็นใจตัวเองคลายจากความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นที่จะช่วยพ่อบ้านตามแบบของเรา ที่เราคิดว่าดีที่สุด เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือเราไม่ผิดศีล ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ขโมยดีจากพ่อบ้าน ยินดีรับแต่ของที่เขาให้ เท่าที่โอกาสที่ได้รับ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้วเราก็ควรยินดีได้แล้ว เห็นใจตัวเองยอมได้ ยอมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ไม่ได้คิดจะฝืนวิบากร้าย กล้าให้ทุกชีวิตได้ชดใช้ ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น
ต่างจากเมื่อก่อนถ้าไม่ได้ทำอย่างใจเราหมาย เราจะ น้อยใจ เสียใจ ประชด ประชัด บีบบังคับ กดดัน เป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ เพราะเราหลงทำตามกิเลสหลอกว่าถ้าได้ทำตามอยากจะสุขใจชอบใจ ไม่ได้ทำตามอยากก็ทุกข์ใจไม่ชอบใจ แต่เมื่อได้พิจารณาเห็นความเป็นจริงตามความเป็นจริงแล้วว่า แม้ได้สุขสมใจอยากก็เป็นสุขชั่วคราว เก็บไม่ได้ ไม่มีจริง เป็นทุกข์ อยากได้มาก ๆ ก็ทำชั่วได้ทุกเรื่อง ได้พิจารณาเห็นโทษภัยจากการมีกิเลสความอยากได้ดังใจหมายของเรา ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ได้พิจารณาเห็นว่าการไม่มีกิเลสความอยากได้อย่างใจเราหมาย เป็นประโยชน์กว่าทั้งต่อเราเองและผู้อื่น
เรื่อง ตื่นจากโง่พิเศษ
เมื่อก่อนนั้นเห็นตัวเองเวลาฟังธรรมจากพี่น้องแล้วชอบหันมามองตัวเองว่า ความดีความชั่วอันนี้มีในตัวเราหรือไม่ ถ้าเราไม่มีสิ่งไม่ดีนั้นเรามักคิดว่าเราดี บางทีหลงไปเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขาอีก ว่าเมื่อไรเขาจะเลิกสิ่งไม่ดีอันนั้นเสียทีนะ เห็นจิตคิดดูถูกคนอื่นเป็นจิตที่สกปรกลามกของตัวเอง แต่พอเห็นเขาดีเราก็เปรียบเทียบกับเขาอีกว่า ความดีอันนี้ไม่มีในเรานะเราต้องสร้างขึ้นมาให้มีในเรา มีความอยากได้ดีเหมือนเขา พอไม่ได้เราก็ทุกข์ ใจไม่ยินดีชิงชังตัวเองที่ไม่ดีอย่างเขา มีอุปกิเลสตัวอิจฉาอยากได้ดีเหมือนคนอื่น
เห็นการยกตนไปเปรียบเทียบคนอื่น ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ เอาประโยชน์ไม่ได้จะเกิดความเสื่อม เพราะเราหลงไปกับกิเลส แต่ถ้าเราฉลาดเอาประโยชน์จากผัสสะอ่านใจเรา ก็จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาจิตวิญญานของเรา
เหตุเพราะความอยากนี่เอง ได้พิจารณาเห็นความอยากเป็นทุกข์ ชอบก็อยากได้มา ชังก็อยากเอาออกไป ชีวิตเสียพลังสร้างสุขสร้างทุุกข์ให้กับตัวเอง แต่ในชีวิตเราต้องการพ้นทุกข์ เราก็ต้องมาล้างสุขสมใจอยาก สุขที่ไม่เที่ยงไม่มีจริง ที่เราหลงว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ในใจเรา ชีวิตควรยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง แม้ไม่สมใจอยากก็ไม่สุุขไม่ทุกข์ เพราะกิเลสมันพาให้โง่ให้หลงสุขสมใจอยาก หลงทุกข์ที่ไม่ได้สมใจอยาก เพราะเราโง่พิเศษ ได้พิจารณาโทษของความสุขสมใจอยาก ทุกข์ที่ไม่สมใจอยาก ที่สร้างความกลัว ระแวง หวั่นไหวในใจเรา อยากได้มาก ๆ ก็ทำชั่วได้ทุกเรื่อง (ดูถูก อิจฉา ยกตนข่มท่าน หลงตัว หลงตน) สร้างความเบียดเบียนต่อตนเองและผู้อื่น ดึงวิบากร้ายมาสู่ตนเองและผู้อื่น ได้รับวิบาก 11 ประการ
ได้พิจารณาเรื่องวิบากกรรม เราหรือใครจะได้รับอะไรก็เราทำมาส่งเสริมมาทั้งนั้น ไม่มีใครทำดีทำร้ายกับเราได้นอกจากตัวเราเอง เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้เราจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน เราจึงควรยินดีในกุศลอกุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าดีเกิดก็เป็นเพราะกุศลของเรา ก็ยินดีมีดีได้อาศัย ถ้าดีไม่เกิดก็เป็นอกุศลของเรา ก็ยินดีได้ชดใช้วิบากร้ายของเรา ทั้งดีและร้ายรับแล้วก็หมดไป
ทุกวันนี้ได้สำนึกผิด ขอรับโทษ เต็มใจรับโทษ ตั้งใจหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตั้งใจทำดีที่ทำได้ด้วยใจไร้ทุกข์ เคารพและศรัทธาในส่วนดีของผู้อื่น เมตตาในส่วนด้อยของผู้อื่น ไม่มีใครอยากทุกข์อยากพร่อง ที่ยังทุกข์ยังพร่องเพราะไม่รู้หรือรู้แต่ยังทำไม่ได้ หรือเพราะมีวิบากร้ายกั้นอยู่ เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนที่คนอื่น พบว่าใจมีความยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ขอบคุณอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน และพี่น้องผู้บำเพ็ญความดีทุกท่าน จะพากเพียรล้างกิเลสเหตุแห่งทุกข์ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สาธุ
เรื่อง ยอมจริงหรือเปล่า
วันนี้คุณพ่อบ้านนัดไปตลาดกัน เราก็ตกลง คิดว่ายอมยกให้เป็นวันของพ่อบ้าน เราตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็อยากไปตลาดไว ๆ จะได้เสร็จภาระกิจ แต่พ่อบ้านก็โอ้เอ้ เห็นกิเลสมันใจร้อนอยากไปตลาด ก็เลยบอกกับกิเลสของเราว่าจะไปเร็วก็ได้จะไปช้าก็ได้ จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่พ่อบ้านเลย เพราะวันนี้เราตั้งใจยกให้เป็นวันของพ่อบ้าน ใจก็คลายความกังวล รอไม่นานพ่อบ้านก็พาไปตลาด
ไปถึงตลาดคนไม่เยอะมาก ก็ไปซื้อผักที่เราไม่ได้ปลูกที่บ้าน จากนั้นก็เดินดูร้านต่าง ๆ แล้วพ่อบ้านก็พาไปร้านเบกเกอรี่ แล้วท่านก็ซื้อพายมังสวิรัตมา 2 อัน เราก็คิดว่ามีนมแน่เลย แต่ก็บอกกับกิเลสว่ากินเถอะ คิดเสียว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่เราเลือกไม่ได้ กินใช้วิบาก เราก็กินได้ด้วยใจที่เป็นสุข
ขณะที่กินก็รับรู้รสชาต พยายามเคี้ยวช้า ๆ เพื่อดูใจว่าเราชอบหรือชังในรสชาต ของอาหารหรือไม่ หรือมีความกลัวกังวลหรือไม่ พบว่ากังวลเรื่องว่ามีส่วนผสมของนม แต่ก็ยินดีใช้วิบาก เรากินไปประมาณ 1/4 ส่วน พ่อบ้านก็กินของท่านเสร็จ ก็เลยถามพ่อบ้านว่าจะกินอีกมั้ย ตั้งใจจะยกส่วนที่เหลือให้พ่อบ้าน แต่ท่านบอกว่าไม่เอาอิ่มแล้ว เราก็เลยต้องกินส่วนที่เหลือต่อไปจนหมด สรุปก็กินได้รสออกเลียน ๆ แต่ก็ไม่ได้รังเกลียด แต่คิดว่ากินข้าวเราก็ดีกว่า
สรุปวันนี้ก็ไม่ได้มีวิวาทะ พ่อบ้านก็มีความสุขตามแบบของท่าน
พุทธะชนะทุกข์ เรื่อง ครั้งแรกที่่เลิกเป็นชาวสวนได้ซักที เนื้อเรื่อง ผู้เขียนได้กลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแทนของพ่อบ้านเพื่่อดำเนินการเริ่มการก่อสร้างบ้านก่อนที่พ่อบ้านจะย้ายมาอยู่ไทยเป็นการถาวรเป็นลำดับต่อไป วันหนึ่งก่อนเข้านอน ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากพ่อบ้านซึ่งยังอยู่ที่ บอสตัน แมสซาชูเซทส์ อเมริกา ในการสนทนาก็คล้ายๆกันกับหลายๆครั้งที่คุยกัน คือ สวัสดี สบายดีมั้ย เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง เหนื่อยไหม ทานข้าวกับอะไร ฯลฯ ครั้งนี้พ่อบ้านถามถึงประเด็นเรื่องบ้านที่ได้แพลนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งขณะนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสองเดือนแต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้านัก เวลาที่พ่อบ้านถามก็ได้แต่ตอบไปตามความจริงมาโดยตลอดว่า ช่างยังไม่ว่าง หรือช่างไปตัดอ้อย เดี๋ยวรอให้ช่างเสร็จจากงานตัดอ้อยแล้วจะมาทำการเริ่มสร้างบ้านให้ ประมาณนี้ ซึ่งพ่อบ้านก็รับทราบ เออ ออ โอเค เรื่อยมา แต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นซะแล้ว พ่อบ้านสวนกลับมาด้วยความมุทะลุ โมโห เสียงดัง พูดรัวๆ เร็วๆ ว่า “อะไรกันนักกันหนา ตอนแรกที่เพิ่งมาถึงไทยก็เสียเวลาไปกับการกักตัวไปตั้งเจ็ดวัน แล้วก็เสียเวลาไปอีกกับการปรับเวลาซึ่งก็เข้าใจได้เพราะมันต่างกันตั้งสิบสองชั่วโมงกับบอสตัน แล้วนี่มันอะไรกัน ทำไมมันช้าอย่างนี้ มัวไปทำอะไรอยู่ เมื่อไหร่จะได้เริ่มลงมือซักที ถามเมื่อไหร่ๆ ก็ไม่เคยมีคำตอบที่น่าพอใจให้ ใจเย็นเกินไปแล้วนะ” พ่อบ้านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่าผู้เขียนทำงานไม่ได้เรื่อง ใจดีเกินไป ปล่อยให้เวลาเนิ่นช้า ไม่ทันใจ จะเห็นได้จากวีดีโอคอลว่า พ่อบ้านมีสีหน้าเดี๋ยวก็ดำ เดี๋ยวก็แดง เสียงดัง บ่นๆๆๆ พูดซฺฺำ้ๆๆๆๆ วนไปวนมา โหวกเหวกโวยวาย ซึ่งเมื่อผู้เขียนเห็นอย่างนั้นก็คิดในใจ “โอน่าสงสารจังเลย คงจะผิดหวังมาก คงจะโมโหมาก” ซึ่งบอกตามตรง ผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่เข้าท่าเหมือนกัน จะติดต่อใครก็ติดขัดไปหมด มีหลายตรั้งที่ได้ไปติดต่อราชการที่ต้องทำใจเพราะมีท่านที่เกี่ยวข้องกับงานที่ผู้เขียนต้องพบเจอติดโควิดต้องหยุดงานเพื่อกักตัว ทำให้หลายๆอย่างต้องล่าช้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้เขียนเข้าใจว่าการที่พ่อบ้านโกรธอยู่นี้ก็เพราะไม่ได้ดั่งใจนั่นเอง ผู้เขียนเห็นใจ และทราบว่าถ้าพูอะไรไปตอนนี้คงจะไม่เป้นที่สบอารมณ์พ่อบ้านแน่ๆ จึงได้แต่ เงียบ ตั้งใจฟัง สบตาเขาตลอดให้ความสนใจว่าพ่อบ้านจะพูดอะไรบ้าง เขาจะด่า จะบ่น จะว่าอย่างไรก็ยังมีอาการสงบอยู่ได้ ผู้เขียนทำอยู่อย่างนั้นประมาณสิบนาที หลังจากที่พ่อบ้านพูดจบ หยุด แล้วมองหน้าผู้เขียนกลับแบบไม่สบอารมณ์แล้วก็ตัดวีดีโอคอลไปซะอย่างนั้น ไม่มีการสั่งลาหรือเซบายใดๆ ซึ่งเขาไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผู้เขียนทราบถึงความสุดจะทนของพ่อบ้าน ในช่วงเวลาสิบนาทีนั้น ผู้เขียนมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในกองไฟที่กำลังลุกท่วมศรีษะ แต่แปลก ผู้เขียนกลับไม่มีความรู้สึกร้อนรุ่มใดๆ ได้มองดูไฟที่ลุกไหม้นั้นด้วยใจที่สงบเย็น รู้ ว่าเป็นไฟแต่ไม่ร้อน มีปัญญารู้ว่า พ่อบ้านกำลังบ้าคลั่งด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ก็ได้แต่มองอยู่เพื่อเป็นกำลังใจให้แบบห่างๆ ไม่คิดที่จะหาเหตุผลมาตอบโต้ อธิบายหรือแก้ตัวใดๆ ปล่อยให้พ่อบ้านได้ระบายในสิ่งใดๆที่เขาต้องการ รู้สึกว่าน่าจะดีที่สุดขณะนั้น จึงได้แต่เฝ้ามอง ประคองเขาด้วยสีหน้า แววตาแบบเป็นมิคร แบบไม่แก้ตัว แบบยอมฟังได้ หลังจากที่พ่อบ้านตัดสายไปคืนนั้น ผู้เขียนก็อดที่จะคิดต่อไม่ได้ ทบทวนตัวเองว่าเราผิดตรงไหนไหม ก็พบว่ามันก็จริงตามที่พ่อบ้านพูดนะ จึงได้วางใจ คือมันไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ไม่ตีตัวเอง ไม่ซำ้เติมตัวเอง ไม่ทำทุกข์ทับถมตน ปล่อยให้เวลาเป็เครื่องพิสูจน์เอง จำได้ว่าคืนนั้นได้ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่ผู้เขียนจะหลับไป รุ่งเช้าวันใหม่ก็ไม่มีวีดีโอคอลจากพ่อบ้านเหมือนเคย ผู้เขียนชั่งใจตัวเองอยู่สักพักเหมือนกันว่าจะเป็นฝ่ายโทรไปเองดีกว่ามั้ย คิดไปคิดมาก็สรุปตกลงกับตัวเองว่า จะให้เวลาพ่อบ้านได้เรียนรู้สงบจิตสงบใจ ได้ลดความโกรธลงด้วยตัวเอง เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อยู่แล้ว มันผ่านไปแล้ว ตั้งต้นนับหนึ่งที่เรา ทำความผาสุกที่เรา ตรวจศีลของเรา ตั้งใจรักษาศีลดีก่วา มุ่งเน้นมาที่ตัวเองให้ตรงจุด ไม่เสียเวลาไปหาข้อแก้ตัว เข้าซูมตั้งใจศึกษาหาความรู้เพื่อการพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ตามศาสตร์ของท่านอาจารย์หมอเขียว ดร ใจเพชร กล้าจน ไม่ถือสา ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ วันนั้นทั้งวันก็ไม่ได้ติดต่อกับพ่อบ้านเลย เวลาเป็นกังวลขึ้นมาก็สอนตัวเองแบบนี้เรื่อยๆไพึ่งตน ไม่ถือสา ทำดีที่ทำได้ ไม่วิวาท ตั้งตนอยู่บนสัมมาทิฐฐิ พอรุ่งเช้าวันถัดไปพ่อบ้านก็โทรมาคุยตามปกติเลยได้ตกลงกันว่าจะว่าจ้างบริษับก่อสร้างน่าจะเหมาะสมกว่า กลายเป็นว่าเราได้ข้อสรุปที่ตรงกัน ทำให้มีความคืบหน้าจนเห็นได้ชัดในการก่อสร้างเป็นรูปธรรมในเวลาต่อมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เขียนได้คิดถึงบททบทวนธรรมเรื่อง ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็ของใจคือตวามสำเร็จของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ใจที่เบิกบานแจ่มใสได้ในทุกสถานการณ์ต่างหาก คือความสำเร็จที่แท้จริง ผู้เขียนรู้สึกประทับใจและขอบพระคุณต่อคุณครูบาอาจารย์ที่ได้พรำ่สอนในแง่เชิงต่างๆ ซึ่งผู้เขียนก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติจนมีสภาวะที่สามารถเข้าใจในความสำเร็จของใจของตนเองได้ เป็นการพิสูจน์ได้ว่าการนำธรรมะมาใช้ เริ่มที่ตัวเรา นับหนึ่งที่เรา ทำให้จิตใจได้ยกระดับ ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจที่จะอธิบายกับพ่อบ้าน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “เลิกเป็นชาวสวนแล้วค่ะ” ได้อย่างเบิกบาน ทำให้คลายทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทุกข์เหตุการณืได้จริงสมดังที่ท่านอาจารย์หมอเขียวกล่าวไว้โดยแท้ น้อมกราบคุณครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพและบูชาอย่างสุดซึ้ง จูฑามาศ วรรณา วอล์กเกอร์ นักศึกษาวิชชารามหลักสูครเจ็ดปี ชั้นปีที่หนึ่ง ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูครหกเดือน แพทย์แผนไทยวิถีธรรมคำ้จุนโลก ชื่อทางธรรม กล้าพ้นทุกข์ อายุ ห้าสิบเอ็ดปี จิตอาสาคบคุ้นสวนป่านาบุญหกประจำประเทศสหรัฐอเมริกา สาธุ
ชื่อ สมทรง นาคแสงทอง
ชื่อทางธรรม พ้นทุกข์
เรื่อง ทำคลิปสั้นสาหร่ายไชยาไม่ผ่าน
เหตุการณ์ ทำคลิปสั้นเรื่องการทำสาหร่ายไชยา แต่ทำคลิปไม่สำเร็จเพราะจำวันที่ผิด จึงพูดในคลิปผิดก็เลยตัดสินใจลบคลิปออก คงเหลือเพียงภาพนิ่ง
ทุกข์ หงุดหงิด ขุ่นใจ จากการทำคลิปไม่สำเร็จ
สมุทัย อยากให้คลิปที่ฝึกทำทำได้ความสำเร็จ
นิโรธ สุขใจได้แม้การทำคลิปไม่สำเร็จ
มรรค พิจารณาเห็นว่า ถ้าทำคลิปสำเร็จได้ดั่งใจหมายก็จะสุขแว๊บเดียวก็หายไปเก็บไว้ไม่ได้ไม่มีตัวตน เพราะเป็นสุขลวงแต่ทุกข์จริง และเห็นทุกข์จริงจากการไม่สบายใจอยู่นาน เมื่อเห็นชอบดังนี้ทุกข์จึงสลายไป ไม่อยากได้คลิปนี้อีกต่อไปด้วยใจที่เป็นสุข