At bagon.is you can Buy webshells, phpmailer, Combo list
พุทธะชนะทุกข์ : ภาคอื่น ๆ (พฤษภาคม 2565) [14] | สถาบันวิชชาราม
Skip to content

พุทธะชนะทุกข์ : ภาคอื่น ๆ (พฤษภาคม 2565) [14]

นักศึกษาวิชชารามและจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ร่วมบันทึกเรื่องราวจากชีวิตจริงของตนเองที่ได้เรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือคำสอนของครูบาอาจารย์ …อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โจทย์ พุทธะชนะทุกข์

!สำหรับนักศึกษาสังกัดภาคอื่น ๆ คือ

  1. ภาคเหนือ สวนป่านาบุญ8 ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ฯลฯ
  2. ภาคอีสาน สวนป่านาบุญ1 สวนป่านาบุญ4
  3. ต่างประเทศ
  4. ฯลฯ

นักศึกษาพิมพ์เรื่องราวหรือคัดลอกข้อมูลส่งในส่วนแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

14 thoughts on “พุทธะชนะทุกข์ : ภาคอื่น ๆ (พฤษภาคม 2565) [14]”

  1. ธัญมน หมวดเหมน (มั่นแสงธรรม)

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อเรื่อง: ม้าละพยศ
    ข้าพเจ้าชื่อนางสาว ธัญมน หมวดเหมน (มน)
    ชื่อทางธรรม มั่นแสงธรรม กล้าจน
    อายุ 48 ปี
    เป็นนศ.ระดับอริยปัญญาตรี ชั้นปีที่ 3 ของสถาบัน วิชชาราม หลักสูตร 7 ปี
    จากการที่ได้รับโอกาสจากอ.หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจนและหมู่กลุ่มจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมให้ได้มาร่วมบำเพ็ญเรียนรู้การใช้ชีวิตตามแนวทางแพทย์วิถีธรรมอยู่ที่ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่เป็นเวลาติดต่อกันยาวนานกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
    และจากการได้พากเพียรฝึกฝนตนเองในการลดละกิเลสตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูสมณโพธิรักษ์และอาจารย์หมอเขียวได้เมตตานำมาถ่ายทอดเพื่ออบรมขัดเกลาจิตใจของพวกเราชาวชุมชนควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมการงานที่เป็นสัมมาอริยมรรค ไปสู่แนวทางของการพึ่งตนและช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
    แม้จะได้ปฏิบัติศีลอยู่ร่วมกับหมู่กลุ่มใหญ่นี้มาโดยไม่ได้ห่างจากคำสอนของครูอาจารย์และหมู่มิตรดีที่มีศีลติดต่อกันมาเป็นเวลาค่อนข้างนาน แต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าตัวเองยังล้างกิเลสได้ไม่ไปไม่มาเท่าไหร่เลย และมีกิเลสตัวหนึ่งที่คอยโผล่หน้ามาทักทายข้าพเจ้าอยู่เรื่อยๆ และข้าพเจ้าก็เห็นทุกครั้งที่เขามา แต่ก็ไม่ยอมเด็ดเขาให้ขาดออกไปจากวงจรชีวิตเสียที จึงรู้สึกว่าเขายิ้มเยาะเย้ยเราทุกครั้งที่เขามาและเราก็เห็นเขาด้วยแต่ทำอะไรเขาไม่ได้
    กิเลสตัวนี้ข้าพเจ้ารู้จักชื่อเขาด้วยว่าเขาคือ คุณอุทธัจจกุกกุจจะ หรือ คุณหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจที่เกิดจากความขัดเคืองใจ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจไม่สุขใจ ในพฤติกรรมของเพื่อนคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าก็รักเขานะและก็รู้ว่าท่านก็รักและปรารถนาดีต่อข้าพเจ้าเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ท่านก็จะแสดงธรรมหรือเทศน์ โปรดข้าพเจ้าทุกครั้งไป คือท่านจะเปิดโอกาสให้เราพูดได้ประมาณหนึ่งประโยคแล้วจากนั้นท่านก็จะเทศน์ยาวไป ทุกครั้งที่ต้องฟังท่านพูดเรื่องกถาวัตถุ 10 ที่เป็นเรื่องพาให้ลดละกิเลส พาให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าก็เคารพและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่พี่น้องในชุมชนจะพากันพูดคุยสนทนาธรรมกันให้เป็นปกติ เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลสในตัวเองและช่วยให้ผู้อื่นได้ขัดเกลากิเลสไปด้วยกัน
    แต่กิเลสของข้าพเจ้าเขามีข้อแม้ว่าพูดได้แต่อย่าเยอะเกินไปได้ไหม รับไม่ไหวแล้วนะ(โว้ย) และแทบทุกครั้งที่ต้องสนทนากับท่านข้าพเจ้าจะเห็นกิเลสของตัวเองคือคุณ ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างขยันขันแข็งอยู่ข้างใน เพราะเขามีเพื่อนคือคุณ อัตตามานะ (ความถือดีของตัวข้าพเจ้าเอง) มาคอยเป็นผู้ให้อาหารหล่อเลี้ยงอยู่เบื้องหลังเสมอ เขาจึงมีกำลังในการสร้างความรู้สึกพุ่งพล่าน อึดอัด ฮึดฮัด ขัดเคือง ไม่ชอบใจ โดยมีคุณอัตตามานะคอยทำหน้าที่ยุส่งและเติมกำลังให้อยู่เรื่อยๆ จึงมีบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเฉไฉหาเรื่องอื่นมาคุยออกนอกเรื่องไปเสีย เพื่อส่งสัญญานให้เพื่อนรู้ว่า “นี่ เธอๆ ฉันไม่ไหวแล้วนะเปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ เพราะถึงเธอจะยัดเยียดอยากให้ฉันบรรลุมากแค่ไหน ฉันก็ไม่บรรลุตอนนี้หรอกเพราะตอนนี้ฉันปิดสวิตซ์การรับรู้ลงเรียบร้อยแล้ว ฉันขอรับแค่ที่ฉันทำได้ละกัน และไอ้ที่เธอพูดมาน่ะฉันก็พอรู้เหมือนกันแหละ เพราะฉันก็ฟังอาจารย์มาเหมือนกัน” เขาโอหังขนาดนั้นเลยกิเลสของข้าพเจ้าในช่วงแรกๆ
    พอนานเข้าข้าพเจ้าก็สังเกตว่ายิ่งเราเลี่ยงไม่อยากฟังในสิ่งที่เพื่อนพูด ก็ดูเหมือนว่าท่านยิ่งมีฉันทะ(ความยินดี พอใจ)ที่จะชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าเราไม่ยอมรับสิ่งที่มันเป็นสมบัติของเราเสียที วิบาก(ผลของการกระทำ)ของเราก็จะดึงมาใส่อยู่อย่างนี้แหละ พอคิดได้ดังนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มคิดหาวิธีที่จะสร้างความยินดีในการที่จะรับสมบัตินั้นให้ได้อย่างเต็มใจพอใจสุขใจ และคิดว่าเราเองก็จะได้ล้างกิเลสตัวอึดอัดรำคาญในใจเราไปด้วย วิบากต้องรับกิเลสต้องล้าง พุทธะจึงจะเกิด จากนั้นจึงเริ่มพิจารณาถึงข้อดีของการที่เพื่อนมีความยินดีและพยายามที่จะพูดในเรื่องกถาวัตถุ 10 เพื่อน้อมนำเราไปสู่ทางพ้นทุกข์ สู่การลดละกิเลสให้ได้ ทั้งที่กิเลสของข้าพเจ้าก็แสดงอาการต่อต้านความปราถนาดีของท่านให้ท่านเห็นอยู่เสมอ
    และผลจากการใช้ปัญญาในการพิจารณาหาข้อดีในสิ่งที่เพื่อนทำ และตั้งจิตคิดใหม่นี้เองทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในจิตของตัวเองว่าอาการต่อต้านที่เกิดจากความไม่ยินดีไม่ชอบใจในการที่จะรับฟังในสิ่งดีที่เพื่อนพยายามหยิบยื่นให้นั้นลดระดับลงไปได้ประมาณหนึ่ง อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเองทำใจหันกล้บมาพิจารณาว่าแท้จริงแล้วที่เรารู้สึกรำคาญเพื่อนนั้นส่วนหนึ่งมาจากความถือดีของตัวเองที่คิดว่าเราก็รู้และเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนพอๆกับที่เพื่อนรู้นั่นแหละ และเพราะกิเลสของเรามันไม่ชอบให้เพื่อนมาสอน มันไม่ยอมรับว่าเพื่อนเหนือกว่าหรือรู้มากกว่าตัวเอง และข้าพเจ้าก็รู้ว่าการคิดแบบนั้นมันเป็นความคิดของกิเลส เป็นการยกตนเทียบเท่าผู้ที่สูงกว่าตัวเอง เป็นการสร้างวิบากร้ายและทำให้ใจเราเศร้าหมองด้วย
    จึงนำธรรมะของพระพุทธเจ้าที่อ.หมอเขียวสอนมาเตือนตัวเองว่าเราควรปรับความคิดใหม่ให้เป็นความคิดแบบพุทธะเสีย จึงจะไม่มีอะไรมาเป็นเงื่อนไขให้ใจเราเป็นทุกข์ได้ คนมีปัญญาต้องรู้จักเก็บประโยชน์ในทุกเรื่องให้ได้สิ ชีวิตจึงจะก้าวไปสู่ความเจริญและพ้นทุกข์ได้ ข้าพเจ้าจึงหันมาให้ปัญญากับกิเลสของตัวเอง เป็นผลให้พลังต้านในใจของข้าพเจ้าลดลงไปได้เป็นลำดับ แต่ก็ยังกำจัดคุณ อัตตามานะกับคุณอุทธัจจกุกกุจจะ ออกจากใจได้ไม่สิ้นเกลี้ยง ทำให้การน้อมใจเพื่อปรโตโฆสะ(การตั้งใจรับฟังผู้อื่น) ได้ยังไม่สุดนัก
    จนวันหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้แยกจากกลุ่มใหญ่ไปร่วมบำเพ็ญภารกิจกับพี่น้องกลุ่มย่อยในที่ๆ มีองค์ประกอบเรื่องกาล(เวลา)เทศะ(สถานที่) ฐานะ(สถานภาพ) ในขณะนั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับกถาวัตถุ 10 ได้เต็มที่เหมือนอยู่ในหมู่กลุ่มใหญ่นัก เพราะในหมู่กลุ่มใหญ่มีพี่น้องที่มีจริตหลากหลาย เราเองก็สามารถเลือกคุยกับคนที่มีจริตแบบเดียวกับเรา คุยเรื่องที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ง่ายกว่า แล้วการฝึกฝนเรื่องการประมาณในการพูดของข้าพเจ้าเองก็ยังไม่ดีนัก โดยเฉพาะการพูดเพื่อสื่อสภาวะของตัวเองออกไป บางครั้งจึงเป็นการพูดที่ดูเหมือนการยกตนข่มท่านหรือเป็นไปในเชิงสอนผู้อื่น เป็นการเบียดเบียนหรือไปกระทบจิตวิญญาณของพี่น้องท่านอื่นที่เรายังไม่ได้เรียนรู้จริตของท่านมากพอ จึงคิดว่าการสำรวมวาจาด้วยการเงียบหรือเลือกพูดเฉพาะในเรื่องที่สามารถพูดได้น่าจะเกิดประโยชน์ได้มากกว่าโดยไม่ก่อให้เกิดการแตกร้าวทางจิตวิญญาณต่อหมู่มิตรที่เราอยู่ร่วมด้วยในที่นั้นจะดีกว่า
    ผลจากการต้องสำรวมวาจาในการที่จะพูดคุยในเรื่องที่เหมาะควรให้ถูกกับกาละ เทศะ ฐานะ ในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้รับอานิสงส์(ประโยชน์)มหาศาลคือทำให้ข้าพเจ้าได้ตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่เพื่อนของข้าพเจ้าพยายามหยิบยื่นให้แก่ข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลานั่นคือการพูดคุยกันในเรื่องขัดเกลากิเลสของตัวเอง แต่ข้าพเจ้ากลับไม่เห็นค่าไม่รู้จักเก็บคุณค่าประโยชน์ในสิ่งที่เพื่อนให้ด้วยความปรารถนาดีนั้น
    ทำให้ข้าพเจ้าระลึกไปถึงธรรมะที่ฟังจากพ่อครูสมณโพธิรักษ์และอาจารย์หมอเขียวเรื่องปัจจัย 8 ประการที่ทำให้เกิดปัญญาข้อที่ 1 มันทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ถึงสภาวะของอาการน้อมใจเข้าไปหาพระพุทธเจ้า สัตบุรุษ(ผู้มีความเห็นถูกตรงที่พาพ้นทุกข์)หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งที่ท่านตั้งอยู่ในฐานะครู โดยเข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและเคารพต่อท่านไว้อย่างแรงกล้า เพราะรู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งว่า ความมานะถือดีที่หลงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้และเข้าใจนั้นดีแล้วถูกแล้ว ก่อให้เกิดความฟุ้งซ่าน รำคาญใจเและปฏิเสธการรับฟ้งผู้อื่น เสียงอื่น(ปรโตโฆสะ)นั้นมันยังเป็นมิจฉาทิฐิ(ความเห็นที่ผิด)อยู่ ยังไม่ใช่การรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงอย่างพุทธะเลย
    จากบททดสอบครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองได้รับรางวัลอันล้ำค่าของนักบำเพ็ญเลยทีเดียว เพราะผลที่ได้จากการกำจัดกิเลสของตัวเองได้ในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานในใจอย่างบอกไม่ถูก รับรู้ถึงสภาวะของจิตที่โปร่งโล่ง เป็นอิสระหลุดพ้นจากการถูกครอบงำข่มเหงจากกิเลสที่ตัวเองเลี้ยงเขาไว้มานาน และไม่ต้องคอยสะดุ้งว่าเขาจะโผล่มาพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ยอีกต่อไป เพราะความพยศหรือกิเลสตัวอัตตามานะ (ถือดี) ยึดมั่นในตัวตนของข้าพเจัาในเรื่องที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังผู้อื่นด้วยหลงคิดว่าตัวเองรู้แล้วนี้ได้สลายตัวลงอย่างราบคาบไม่มีเงื่อนไขหรือความลังเลสงสัยใดๆอีก จนข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงสภาวะจิตของตัวเองที่มันน้อมลงได้อย่างสุดจิตสุดใจ พร้อมตั้งจิตว่าต่อจากนี้ไปจะรับฟังคนอื่น เสียงอื่น(ที่ไม่ใช่เสียงของกิเลสตัวเอง) และจะพากเพียรทำใจในใจพิจารณาตามให้มากๆ
    เพราะการปฏิบัติธรรมใดก็ไม่บรรลุมรรคผลถ้าขาดปรโตโฆสะ(การตั้งใจรับฟังผู้อื่น)และโยนิโสมนสิการ(การทำใจในใจโดยแยบคายพิจารณาไปถึงที่เกิด ) เป็นการทำจิตของเราให้สิ้นเกลี้ยงจากอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)ทั้งหลาย ด้วยการพิจารณาในใจตามสิ่งที่ได้ฟังหรือสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้ลึกซึ้งแยบคายว่าเกิดความรู้สึก(เวทนา)ใดขึ้นในใจของเรา เช่น ความรู้สึกชอบ ชัง สุข ทุกข์ เพื่อที่เราจะได้หาหนทางหรือวิธีการ(มรรค) มาล้างหรือกำจัดความรู้สึกที่ไม่ดีที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์นั้นออกไป เป็นการเปลี่ยนความคิดแบบกิเลสให้เป็นความคิดแบบพุทธะ
    คำสำคัญ อุทธัจจกุกกุจจะ,กถาวัตถุ 10,อัตตามานะ,ฉันทะ,วิบาก,ปรโตโฆสะ,อานิสงส์,สัตบุรุษ,มิจฉาทิฏฐิ,โยนิโสมนสิการ,มรรค,เวทนา,อุปาทาน
    อ้างอิง
    1.นส.ธรรมพุทธสุดลึก
    2.นส. คนจะมีธรรมะได้อย่างไร? (เล่ม 4)

  2. ปุณยนุช ภูมิอมร

    “พุทธะ ชนะทุกข์ “
    เรื่อง… โรคเปลี่ยนโลก
    ชื่อ ปุณยนุช ภูมิอมร ชื่อทางธรรม “บนแดนบุญ” อายุ 55 ปี
    เป็นจิตอาสาจร สังกัด สวนป่านาบุญ 1
    ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ จ.นครราชสีมา

    จากการที่ข้าพเจ้า เป็นผู้ที่มีนิสัยเอาจริงเอาจัง ทำอะไรมุ่งมั่น จึงสั่งสมความได้ดั่งใจไว้มาก ประกอบกับไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ คือ อยากได้อะไร ก็ได้ จึงมีความสามารถในการซื้อสิ่งที่เป็นพิษมาใส่ร่างกายตนเองได้สะดวกรวดเร็ว อาหารที่คิดว่าบำรุงร่างกาย ก็จะซื้อมากิน ไม่ได้ ดำเนินชีวิต แบบประหยัดเรียบง่าย ในด้านการงาน ต้องรับผิดชอบงานหลายหน้า มีความกังวลเรื่องขั้นตอนการทำงาน จึงสะสมความเครียดไว้โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ดูแลสุขภาพตนโดยการซื้อคอร์สตรวจสุขภาพทุกปี ในปี 2556 ตรวจพบเนื้องอกที่มดลูก ณ เวลานั้น ยังไม่ได้มีความกังวลใดๆเพราะคุณหมอแจ้งว่า มดลูกผู้หญิงไม่ได้ราบเรียบอาจมีตะปุ่มตะป่ำบ้าง จึงยังคงดำเนินชีวิต ไปตามปกติ ต่อมา ในปี 2557 ตรวจพบเนื้องอกที่มดลูก โตขึ่นเล็กน้อย พร้อมพบเนื้องอกที่เต้านม/ซีสต์ที่รังไข่ /ต่อมน้ำเหลืองโตที่หลังใบหู จึงเกิดอาการกลัวตาย วิตก กังวล ระแวงหวั่นไหว จึงหาวิธีดูแลตนเอง ในวิธีการที่ดีที่สุด ที่ตนมีข้อมูล ณ เวลานั้น คือ การไปซื้อคอร์ส รับวิตะมินบี วิตะมินซี ทางเส้นเลือด โดยการไปนอนที่โรงพยาบาล เหมือนการรับน้ำเกลือ เดือนละ1 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ละครั้งขณะที่ ที่รับวิตามินทางเส้นเลือด นี้จะรู้สึกปวดแขนตุ๊บๆ ในขณะที่ วิตามินกำลังหยดเข้าสู่ร่างกาย และการไปรับวิตามินนี้ มีความยากลำบากในการเดินทางเพราะระยะทางไกล จึงได้ เสาะหาวิธีทางธรรมชาติบำบัดอื่น นึกได้ว่า เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “ความลับฟ้า” เขียนโดย ดร.ใจเพชร กล้าจน ในเนื้อหาหนังสือ บอกว่า มีการดูแลสุขภาพ แบบหากตาย จะตายเย็น ไม่ตายร้อน จึงสะดุดข้อความนี้และคิดว่า จะตาย ก็อย่าให้ทรมานเลย ประกอบกับ ไม่ต้องการผ่าตัด เนื่องจากเคยผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านมมาแล้ว ตอนอายุ 27 ปี พออายุ 46 ปี ก็พบเนื้องอกอีก จึงคิดว่า การผ่าตัดเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ใจคิดอยากรักษาแบบ ไม่ให้ มันงอก ขึ้นมาอีก

    จึงไปหารายละเอียดของหนังสือ ดังกล่าวเพื่อติดต่อเข้าค่าย เมื่อมีโอกาสได้ไปเรียนรู้ ครั้งแรก เกิดความศรัทธาในแนวทางของการไม่กินเนื้อสัตว์ทันทีเพราะโดยปกติ ไม่ชอบกินสัตว์ใหญ่ อยู่แล้ว การไปเข้าค่ายเรียนรู้การดูแลสุขภาพ 2-3ครั้งแรก คิดว่า ตนเอง มั่นใจมั่นคง เข้าใจ ในวิธีการยา 9 เม็ด แต่พอกลับบ้าน ได้รับการท้วงติงว่า ให้เดินสายกลาง ที่ทำน่ะ สุดโต่งเกินไป คือ กินมื้อเดียว ร่างกายทั้งผอมทั่งเหลือง แล้วส่วน น้ำปัสสาวะ ก็มีแต่เชื้อโรค กินเข้าไปได้อย่างไร ตอนนั้นใจก็หวั่นไหวเล็กน้อย จึงกินปลาสลิดบ้าง กินไข่บ้าง เพื่อให้คนใกล้ตัว ไม่รู้สึกว่าเราแปลกแยกพอได้ไปเข้าค่ายอีก พี่จิตอาสาบอกว่า โรคเนื้องอก ต้องไม่กินไข่ เพราะ โปรตีนจากไข่ จะทำให้เนื้องอกโตขึ้น ต้องกินโปรตีนจากถั่วแทน จึงตัดสินใจงดสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเด็ดขาด

    และ จากการที่ไปเข้าค่ายบ่อยๆ ได้พบ ได้ฟังท่านที่หายป่วยจริง มาแชร์ประสบการณ์ จิตจึงฮึกเหิมอีกครั้ง กลับมาบ้าน เริ่มปฏิบัติ แบบใครจะว่าอย่างไร ไม่สนใจเพราะ สุขภาพของเรา แต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน จึงเริ่มตั้งต้นใหม่อย่างเคร่งครัด อีกครั้ง โดย
    1.กินอาหารตามลำดับ ปั่นน้ำสมุนไพรปรับสมดุลดื่ม เลิกกินเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แม้ขนมที่มีส่วนผสมของนม ไข่ ก็ไม่กิน (ยาเม็ดที่ 7,ยาเม็ดที่1 )
    2. ระบายพิษด้วยการกัวซา /ดีท้อค ด้วยน้ำสมุนไพรในตัว แทบทุกวัน
    3. หยอดหู หยอดตา ล้างจมูก ด้วยน้ำสมุนไพรในตัว (ปัสสาวะ) พร้อมดื่มน้ำปัสสาวะ หลังตื่นนอน (ยาเม็ดที่ 5)
    4.ออกกำลังกายด้วยการ โยคะ กดจุดลมปราณ เดินเร็ว ตีแบท ตีปิงปองบ้าง
    5. ฟังธรรมะ เวลา 04.00 น. ทุกวัน จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ส่วนระหว่างวัน เปิดแฟลชไดรฟ์ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียว ซึ่งยิ่งฟังก็ยิ่งมีกำลังใจในการปฏิบัติยา 9 เม็ด อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง (ยาเม็ดที่ 8)
    6. ลดกิเลส ลดความอยาก ทุกชนิด ที่เกินจำเป็น เลิกซื้อเลิกใช้ เครื่องสำอาง หยุดซื้อกระเป๋า หยุดซื้อเครื่องประดับ โดยยึดหลักที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอน ซึ่งเราก็เคยเรียนมาสมัยเด็กๆ คือ ปัจจัย4 มีเพียง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หรือ “จำเป็นจึงใช้ ไม่จำเป็นไม่ใช้ “
    7. พยายามดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมสัมมา หากถึงวันอำลา จักไม่อายฟ้าดิน โดยตั้งสัจจะไว้ว่า นับแต่นี้ ชาตินี้หรือชาติต่อๆไป จะไม่กินเนื้อสัตว์ อีกเลย เพราะตระหนักใน คำสอนที่ว่า ทุกชีวิต รักสุข เกลียดทุกข์ เราฉันใด สัตว์ก็ฉันนั้น และพยายามทำดีที่ทำได้ โดยการเปิดร้านอาหารมังสวิรัติในปี 2558 (พบแพทย์วิถีธรรมปี 2557) จนถึงปัจจุบัน เพราะ คิดว่า เราก็รับประทานมังสวิรัติอยู่แล้ว หากมีร้านอาหารที่เป็นทางเลือก ก็จะทำให้ผู้คนลดการเบียดเบียนชีวิต เป็นการได้บำเพ็ญกุศลในทุกๆวัน

    ความเปลี่ยนแปลงหลังพบแพทย์วิถีธรรม
    1. ด้านร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองที่หลังหูยุบเล็กลง หลังปฏิบัติ ใน8 เดือนแรก อาการหน่วงหน้าท้อง ปัสสาวะเล็ด ตะคริวที่น่อง เจ็บหัวใจ อาการเหมือนผีอำตอนกลางคืน เหงื่อท่วมตัวตอนกลางคืน ตาที่มองเห็นเป็นจุดดำๆลอยไปมา หายไป สายตาที่เคยสั้น175 สั้นลดลงเหลือ125 และตรวจไม่พบเนื้องอกที่เต้านมหลังปฏิบัติยา9 เม็ดได้ประมาณ1 ปีเศษ

    2. ด้านจิตใจ สามารถ ลดความเอาแต่ใจลดความต้องได้ดั่งใจลง ลดความอยากได้ดีจากใคร (ลดอยาก ก็ลดทุกข์) ไม่ต้องเอาเป็นเอาตายกับทุกเรื่อง เพียง ทำดีเต็มที่ ให้ถูกต้อง ถูกตรง ตามธรรม
    ให้ดีที่สุด มีความ รู้สึก เบาสบาย โปร่งโล่ง มีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ

    3. สามารถพึ่งตนทั้งในด้านการดูแลสุขภาพ (หากมีอาการ ไม่สบายตัวเล็กๆน้อยๆก็แก้ไขตนเองได้ ทำให้ ไม่ค่อยเจ็บป่วย ) และ พึ่งตนในเรื่อง อาหาร ได้ปลูกพืชผัก สมุนไพร ทำกสิกรรมไร้สารพิษ รับประทานเอง พึ่งตนในเรื่อง เครื่อง อุปโภค เช่นทำปุ๋ยเองบ้าง ทำสบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ทำน้ำยาเอนกประสงค์ ใช้เอง

    4. ด้านเศรษฐกิจ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะ เมื่อไม่กินสัตว์ ช่วยให้หยุดการท่องเที่ยว ไปในตัว เพราะ การไปเที่ยว ก็คือการไปเปลี่ยน ที่กินที่นอนแหล่งท่องเที่ยว จะหาอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ยากมาก เมื่อไม่สะดวกเรื่องอาหาร จึงไม่ฝืดฝืนที่จะไป การหยุดท่องเที่ยวทำให้ ใช้เงินน้อยลง
    ช่วยหยุดซื้อ ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินจำเป็น ไปในตัว เวลาที่จะไปท่องเที่ยว จึงเปลี่ยนเป็น เดินในสวนลิดใบไม้ ถอนหหญ้า ดูแลพืชผักในสวนแทนการออกนอกบ้าน

    5. ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อข้าพเจ้าทำกสิกรรรม ไร้สารพิษ ให้พอมีพอกิน ที่เหลือก็ได้แบ่งปันเพื่อนบ้าน (ตามรูปภาพแนบ) ในโอกาสต่างๆ และได้ ติดตาม สานพลังกับหมู่กลุ่มมิตรดีวิถีธรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะครูบาอาจารย์สอนว่า มิตรดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมด ทั้งสิ้น ของการปฏิบัติมรรค องค์8 หนทางสู่ความดับทุกข์

    สรุป
    จากการ เป็นโรค ทำให้ได้พบกับโลกใหม่ เป็นโลกแห่งพุทธะ ที่แจ่มใสเบิกบาน เป็นเส้นทางสู่การลดทุกข์และพ้นทุกข์กายทุกข์ใจ เพราะได้พบครูบาอาจารย์พบสัตบุรุษคือ ท่านอาจารย์หมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) ที่ได้ ให้สัมมาทิฐิ ในการพึ่งตนในทุกมิติของชีวิต ให้ความรู้เรื่อง สมดุลร้อนเย็น ที่หากไม่รู้เรื่องนี้ชีวิตต้องลำบากแน่ๆ ท่านสอนหลักธรรมในการดำเนินชีวิตที่ให้นับหนึ่งที่เรา เริ่มต้นที่เรา ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง ดูตนเองก่อน ทำที่ตนก่อน ดังสโลแกน แพทย์วิถีธรรม “ ทำความผาสุกที่ตน ช่วยคนที่ศรัทธา” ไม่บีบบังคับใคร “ให้” อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้โดยไม่คิดจะเอาอะไร จากใครให้ได้ แค่ไม่เอา ก็เบาแล้ว …

    จึงเป็นที่ประจักษ์กับตนเองแล้วว่า การปฏิบัติตามา9 เม็ด (แม้ไม่ครบทุกเม็ด ทำที่ทำได้ ) ด้วยการไม่ละเลยการฟังธรรม ไม่สันโดษในกุศลธรรม และสานพลังกับหมู่มิตรดี คบและเคารพ มิตรดี (ตรงกับข้อ 1และข้อ2 ของมงคล38ประการ ) แพทย์วิถีธรรม จึง ลดโรค ลดยา ลดค่าใช้จ่าย ลดทุกข์ ชีวิตผาสุกได้จริง เจริญธรรม ค่ะ

  3. ธัญมน หมวดเหมน (มั่นแสงธรรม)

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อเรื่อง: ความยินดีแบบพุทธะชนะทุกข์
    เนื้อหา จากการที่อาจารย์หมอเขียวได้เปิดโอกาสให้พี่น้องจิตอาสาจากสวนต่างๆ มารวมพลังกันในการทำนาที่ภูผาฟ้าน้ำ ทำให้ข้าพเจ้าได้ร่วมบำเพ็ญกับหมู่กลุ่มมิตรสหายดี เป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ในการขุดแปลงนาเพื่อเตรียมปลูกข้าว สร้างอาหารตามนโยบายของอาจารย์หมอเขียว และหลังจากที่พี่น้องแต่ละภาคเริ่มทยอยกันกลับทีละกลุ่ม ประมาณวันที่ 25 เมษายน 2565 ข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวเองว่าเหมือนคนไม่มีแรง ออกอาการเฉื่อยๆ รู้สึกว่าความ ฮึกเหิม ความมีพลังที่เกิดจากความยินดีมันแผ่วแผ่วไป จึงคิดว่าเราต้องสร้างความยินดีให้มีพลังกลับมาเหมือนเดิมให้ได้ ไม่งั้นเราไม่มีพลังในการทำงานแน่ ข้าพเจ้าคิดไปถึงว่างานทำนาที่ค้างอยู่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนัก จึงมีอาการใจฮึดสู้คิดหาวิธีที่จะสร้างความยินดีที่แรงแรง เพื่อปลุกพลังตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
    แต่น่าแปลกว่ายิ่งอยากสร้างความยินดีเพื่อเรียกพลังกลับมาให้ได้มากเท่าไหร่ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าแรงของตัวเองตกลงไปมากกว่าเดิมเสียอีก รู้สึกว่ากินอาหารก็ไม่อร่อยอยู่ 2-3 วันติดต่อกัน แต่ก็คิดว่าน่าจะเกิดจากอากาศที่ร้อนเกินไป และอาจเกิดจากร่างกายเราเหนื่อยเกินไปจากการทำงานก็ได้
    จึงได้นำเรื่องสภาวะของตัวเองไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ชี้แนะว่าข้าพเจ้ามีความอยากอะไรอยู่หรือเปล่าอยากได้ดีอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้อยู่หรือเปล่า พอไม่ได้ดั่งใจหมายจึงทำให้หมดแรง และเพื่อนก็แนะนำว่าถ้ารู้สึกว่าตัวเองอยากอะไรอยู่ก็ให้คลายความอยากนั้นลงเสีย ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้พิจารณาตามในสิ่งที่เพื่อนพูด ก็ทำให้รู้สึกโล่งในใจลงได้ในระดับหนึ่ง
    จากนั้นก็ได้คิดทบทวนซ้ำเพื่อพิจารณาจับและอ่านกิเลสของตัวเองให้ชัดๆเพื่อที่จะล้างเขาให้ถูก เป็นตัวๆไป
    คิดทบทวนย้อนหลังไล่เรียงลำดับเหตุการณ์มาจนถึงจุดที่ว่าใจของเราคิดจะสร้างความยินดีเพื่อเรียกพลังกลับคืนมาให้ร่างกายรู้สึกฮึกเหิมอีกครั้ง แต่รู้สึกว่าแรงหรือพลังของตัวเองยิ่งตกฮวบลงมากกว่าเดิม
    ข้าพเจ้าค่อยๆพิจารณาต่อไปเรื่อยๆโดยใช้การกำหนดแยกร่างกายกับจิตใจของตัวเองออกเป็น 2 ร่างหรือคน 2 คน คนแรกคือเพื่อนผู้ภักดิ์ดี(เป็นตัวแทนของร่างกายข้าพเจ้าเอง) และคนที่สองก็คือคุณนายจิต(ใจของข้าพเจ้า) โดยเริ่มพิจารณาว่าจุดไหนที่ทำให้คนสองคนนี้คือ ร่างกายและจิตใจของข้าพเจ้าทำงานไม่ประสานไปในทิศทางเดียวกัน เกิดสภาพใจกับกายแยกไปคนละทาง
    ระลึกแยกลำดับเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ เริ่มจากร่างกายของข้าพเจ้าได้ผ่านการทำงานหนัก(ขุดดินเตรียมแปลงปลูกข้าว)ติดต่อกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้เกิดความล้าเหมือนต้องการการพักผ่อน แต่จิตใจของข้าพเจ้าที่ยังติดในความคุ้นชินกับการใช้ร่างกายให้ทำงานในขีดที่หนักและต้องทำมากๆ โดยกำหนดหมายเป็นสเปคไว้ในสัญญา( ความจำได้หมายรู้)ของตัวเอง โดยยึดว่านั่นคือขีดที่พอดีสำหรับตัวเอง และรู้สึกยินดี พอใจสุขใจกับการที่ร่างกายทำงานได้ในระดับที่ตนตั้งว่าคือความพอดีนั้นมาโดยตลอด พอวันหนึ่งที่ร่างกายรู้สึกว่าอยากผ่อนการทำงานที่เคยทำมากๆ เหมือนที่เคยทำมาให้น้อยลง ทำให้คุณนายจิตเริ่มมีอาการไม่ยินดี ไม่พอใจ ไม่สุขใจในการลดปริมาณและประสิทธิภาพในการทำงานของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ที่เคยทำให้ตนได้ดั่งใจมาตลอดเวลายาวนาน
    จึงคิดหาวิธีที่จะทำให้ร่างกายกลับมาทำงานได้เท่าเดิมในขีดที่ตัวเองพอใจ คุณนายจิตจึงพยายามสร้างความยินดีให้แรงๆเข้าไว้ แต่ร่างกายก็ร้องบอกว่า “เฮ้ย!!เราไม่ไหวแล้วนะเพื่อนขอพักก่อนเถอะ” แต่คุณนายจิตก็ยังไม่ยอมเลิกที่จะพยายามในการสร้างความยินดีให้เกิด ทำให้คุณร่างกายเขา เกิดความรู้สึกเหมือนถูกกดดัน บีบคั้นจึงเกิดอาการต่อต้านคุณนายจิตที่พยายามกดดันตนเพื่อให้ได้ดั่งใจหมาย ของเธอ และจากการเสียพลังไปต้านนั้นยิ่งทำให้เกิดอาการหมดแรง และพาลประท้วงไม่ยอมหิวข้าว กินข้าวไม่ลงเสียเลย
    พอเห็นอาการของคุณร่างกายที่ไม่ยอมทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ คุณนายจิตจึงได้สติหยุดพิจารณาว่าสิ่งที่ตนคิดและทำอยู่ไม่น่าจะถูกต้องตามทางพุทธะเสียแล้ว เพราะนอกจากจะเรียกพลังกลับคืนมาให้ร่างกายไม่ได้แล้ว ร่างกายยังไม่ยอมทำตามความต้องการของตนอีกต่อไป ด้วยการประท้วงไม่ยอมกินข้าวทำให้พลังยิ่งตกไปกว่าเดิมเสียอีก
    คุณนายจิตเริ่มตระหนักถึงปัญหา และเริ่มมีปัญญาเห็นว่าสาเหตุที่ร่างกายต่อต้านตัวเองน่าจะเกิดจากความเอาแต่ใจ อยากได้ดีเกินจริงเกินกว่าที่คุณร่างกายจะสนองตอบให้ได้ แล้วตัวเองก็ยังขาดความเมตตา สร้างความกดดันเบียดเบียนเพื่อน ทั้งๆที่เขาเป็นเพื่อนผู้ภักดิ์ดี และย้งเป็นผู้มีพระคุณให้ที่พักอาศัยยอมทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการมาตลอด แต่พอเขาอ่อนแรงลง คุณนายจิตกลับไม่มีสำนึกเมตตาที่จะใส่ใจดูแลเขาเท่าที่ควรจะเป็น มีแต่จะเอาจากเขา จะให้เขาทำให้ได้ดั่งใจตนอยู่อย่างนั้น พอคุณนายจิตได้เห็นความเห็นแก่ตัวของตัวเองที่ปฏิบัติต่อเพื่อนผู้ซื่อสัตย์และภักดิ์ดี ทำให้เกิดความละอาย และสำนึกผิดที่หลงทำร้ายเบียดเบียนเพื่อนผู้มีแต่ให้มาตลอด โดยลืมนึกไปว่าถ้าขาดเขาไป ตัวเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน เพราะการจะมีชีวิตอยู่เพื่อฝึกฝนและก้าวไปสู่การพึ่งตนและพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้นจึงจะทำได้ ไม่ใช่มีเพียงคนใดคนหนึ่งแล้วจะทำได้ เปรียบเหมือนคนกับเงาติดตามตัวของคนๆนั้นที่แยกกันไม่ได้
    พอคิดได้ด้วยปัญญาคุณนายจิต(ใจของข้าพเจ้า) ก็วางความยึดมั่นถือมั่นลง วางความอยากที่จะให้ร่างกายทำให้ได้อย่างที่ใจตัวเองต้องการ คิดถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า “ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง” ทำให้ข้าพเจัาเกิดความเข้าใจความหมายของความยินดีในธรรมหรือยินดีแบบพุทธะ จากสภาวะของตัวเองว่าเป็นความยินดีที่เกิดได้จากใจที่มีเมตตาทั้งต่อตัวเองต่อผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ด้วยการทำใจให้ยินดีพอใจในสิ่งดีที่ตัวเองและผู้อื่นทำได้ ยินดีที่จะไม่อยากเอาดีจากผู้อื่น
    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ข้าพเจ้าได้ใช้ยาเม็ดเลิศคือเม็ดที่ 8 (การฟังธรรมะละบาป บำเพ็ญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส) และเม็ดที่ 9 (การรู้เพียรรู้พัก)ของอ.หมอเขียวอย่างเต็มที่ คือ ได้ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ได้ฟังจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์และอาจารย์หมอเขียวในการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องถูกตรง ละการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น )และได้พักผ่อนร่างกายด้วยการทำงานที่พอดีแรงของตัวเองที่ทำได้แบบสบายๆ โดยที่ไม่มีคุณนายจิตมาคอยกำกับออกคำสั่งอยู่ 3 วันเต็มๆ พอวันที่ 4 ก็รู้สึกได้ถึงร่างกายที่กลับมากระปรี้กระเปร่า พลังเริ่มกลับมา และมีพลังไปร่วมบำเพ็ญกับหมู่กลุ่มได้เหมือนเดิม ด้วยจิตใจที่ยินดีเบิกบานในธรรม ที่เป็นสภาพเบา ว่าง ไม่มีความกดดันหรือคาดหวังเอากับร่างกายว่าต้องสนองความต้องการตัวเองให้ได้ดั่งใจหมายอีก และคิดว่าการที่เราจะพ้นทุกข์และ ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ตามได้นั้น เราต้องทำความยินดีแบบพุทธะให้เกิดอยู่ทุกเวลาด้วยการเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น
    สรุป ความยินดีที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ต้องเป็นความยินดีในธรรมหรือความยินดีแบบพุทธะเท่านั้น เป็นความยินดีที่เกิดจากจิตใจที่ประกอบด้วยความเมตตาต่อตนเองต่อผู้อื่น จิตใจที่ไม่มีความอยากในการที่จะเอาดีจากผู้อื่น ความยินดีที่ไม่มีความทุกข์ปน ไม่ว่าจะได้สมใจอยากหรือไม่ได้สมใจอยากก็เป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์
    วันที่เขียน 29 เมษายน 2565 ณชุมชนภูผาฟ้าน้ำ

  4. จิราภรณ์ ทองคู่

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อนางจิราภรณ์ ทองคู่ ชื่อทางธรรมน้ำไพรศีล อายุ 67 ปี เป็นจิตอาสาประจำภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุญ 8
    สังกัด ภาคเหนือ สวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่
    หมวด สังคม
    เรื่อง วิถีชีวิตเด็กอีสานคนหนึ่ง
    ข้าพเจ้าเกิดเมื่อวันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2498 ที่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 14 บ้านทุ่งบอน ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
    คุณพ่อชื่อนายสอน โมฬีพันธ์ อาชีพ รับราชการครูท่านเสียชีวิตเมื่อท่านอายุได้ 84 ปี คุณแม่ชื่อนางบุญอ้ม โมฬีพันธ์ เป็นช่างเย็บผ้า คุณแม่ไม่ได้เรียนเย็บผ้าแต่จะสังเกตจากการตัดและเย็บของคุณพ่อ คุณพ่อเคยไปเรียนตัดผ้าเพื่อมาทำเป็นอาชีพเสริม คุณพ่อเอาเวลาว่างมาใช้ในการตัดเสื้อผ้าในขณะที่คุณพ่อตัดและเย็บเสื้อผ้าคุณแม่จะสังเกตและสามารถจำได้แล้วนำมาตัดเย็บได้โดยไม่ต้องไปเรียน คุณแม่สอนข้าพเจ้าถักรังดุม ติดกระดุมเสื้อ สมัยนั้นค่าเย็บเสื้อแขนยาวผู้หญิงตัวละ 4 บาท ของผู้ชายตัวละ 5 บาท คุณแม่เสียชีวิตเมื่อท่านอายุได้ 69 ปี ข้าพเจ้ามีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน เป็นเพศชาย 2 คน เพศหญิง 8 คนและเสียชีวิตไปแล้ว 5 คน เหลืออยู่ 5 คน ที่ตายไปเป็นเพศชาย 1 คน เพศหญิง 4 คน คนที่ตายคือคุณแม่แท้งหรือบางคนก็ป่วยตาย ถ้านับเฉพาะคนที่เหลืออยู่ข้าพเจ้าจึงเป็นลูกคนที่ 3 ของพ่อแม่ เวลามีงานประจำปีคุณพ่อคุณแม่จะเข้าเมืองไปซื้อของใช้ภายในบ้านและเสื้อผ้าใหม่มาให้พี่สาวคนโตและน้องสาวคนที่รองจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะได้เสื้อผ้าใหม่จะได้รับแต่เสื้อผ้าเก่าของพี่สาวทำให้ข้าพเจ้าน้อยใจมากคิดว่าพ่อแม่ไม่รักเรา ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ประหยัดเรียบง่าย พึ่งตน เพราะต้องเก็บเงินส่งลูกเรียนหนังสือในเมือง หลังจากลูกทุกคนเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 ก็จะถูกส่งไปเรียนในตัวเมือง ลูกคนไหนตั้งใจเรียนคุณพ่อก็สนับสนุนให้เรียนจนจบ สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจเรียนคุณพ่อก็จะให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำไร่ ปลูกปอ ปลูกข้าวไร่ ข้าพเจ้าไม่อยากทำไร่จึงตั้งใจเรียน พอกลับมาบ้านก็จะทำการบ้าน ข้อไหนทำไม่ได้ก็กลับไปถามครูที่โรงเรียนหลังเลิกเรียนจนเข้าใจและทำจนเสร็จ กลับมาบ้านอ่านหนังสือจนเพื่อนบ้านเรียกว่าหนอนหนังสือ ผลการเรียนจึงอยู่ในระดับดีมาก ข้าพเจ้าสอบได้ที่หนึ่งคุณพ่อดีใจมากได้ซื้อนาฬิกาข้อมือจากโรงจำนำมาให้ข้าพเจ้า 1 เรือนเพื่อเป็นรางวัล

    คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนขยันมาก ท่านทั้งสองเป็นตัวอย่างที่ดีในการพึ่งตนเอง จะเห็นได้จากหลัง โรงเรียนเลิกคุณพ่อพอกลับมาถึงบ้านก็จะชวนกันกับคุณแม่ไปหาปลาที่ห้วยใกล้บ้านมาให้ลูก ๆ ได้รับประทาน ในวันเสาร์-อาทิตย์ คุณพ่อก็จะไปหาปลากับเพื่อนบ้าน ทำให้ครอบครัวมีอาหารประเภทปลาไว้กินตลอด มีทั้งปลาสด ปลาแห้ง ปลาร้า และยังได้แบ่งปันญาติพี่น้องด้วย

    ในขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3 คุณแม่เจ็บป่วยด้วยโรคเหน็บชาไม่สามารถเดินได้ ข้าพเจ้าต้องทำหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณแม่ ตักน้ำใส่ตุ่มไว้ให้คุณพ่อและน้องๆอาบ ทำอาหารเลี้ยงครอบครัวอาหารแต่ละอย่างคุณแม่ก็จะบอกว่าทำอะไร ทำอย่างไร เช่น ทำน้ำพริกปลาร้า คุณแม่จะบอกให้ข้าพเจ้าฆ่าปลา ถ้าเป็นปลาช่อนก็ให้หักคอเอาเกล็ดออกแล้วผ่าท้องควักไส้ออกจึงนำไปล้างให้สะอาด ถ้าเป็นปลาดุกก็ให้ใช้ค้อนทุบหัวให้ตายก่อนจึงผ่าท้องควักไส้แล้วนำไปล้างให้สะอาด นำมาต้มในน้ำต้มปลาร้า ในขณะเดียวกันก็เผาพริก หัวหอม กระเทียมไว้ใต้เตา สุกแล้วก็นำมาโขลกแล้ว แกะเนื้อปลาใส่ ตำให้ละเอียดแล้วใส่น้ำต้มปลาร้าลงไปคนให้เข้ากัน ใส่หอมซอย ผักชี ก็จะได้น้ำพริกปลาร้า ข้าพเจ้าทำตามที่คุณแม่บอกซึ่งเป็นการสอนของคุณแม่โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวจึงทำให้ข้าพเจ้าสามารถทำอาหารอีสานได้เป็นอย่างดี วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ข้าพเจ้าจะไปหาอาหารป่ากับเพื่อนเด็กๆที่เป็นญาติกัน ส่วนมากจะเป็นผู้ชาย เพื่อนำมาทำอาหาร เช่น ไปเอากิ้งก่า มาทำอาหาร วิธีการจับกิ้งก่า คือทำบ่วงเชือกผูกติดปลายไม้เตรียมไว้แล้วฝึกผิวปากกับเพื่อนผู้ชาย เมื่อทำเป็นแล้วพวกเราจะออกเดินทางเข้าไปในสวนข้างบ้านเพื่อคล้องกิ้งก่า เมื่อเห็นกิ้งก่าจะผิวปากแล้วพูดกับกิ้งก่าว่า “กะปอมเอ้ยหลับตาเข้าบ่วงเข้าบ่วงแล้วจึงค่อยลืมตา” หมายความว่า “กิ้งก่าจ๋าจงหลับตาเพื่อเข้าบ่วงเมื่อเข้าบ่วงแล้วจึงลืมตา” แล้วกิ้งก่าก็จะหลับตาเหมือนรู้ภาษา จากนั้นก็กระตุกไม้ บ่วงก็จะรัดคอเขา แล้วเราก็จับเอาเขา เมื่อได้ปริมาณมากพอก็กลับบ้านนำมาทำเป็นอาหาร คือฆ่าแล้วเอาเผาไฟ เอาเกล็ดออกผ่าท้อง ควักไส้ ล้างทำความสะอาด นำไปย่างให้สุก สับละเอียด แล้วยำใส่มะม่วงดิบที่ทำเป็นเส้น ใส่พริก น้ำปลาร้า น้ำปลา คนเข้ากันแล้วชิมรส ใส่หอมสดหรือหอมแห้ง ผักชี ก็เสร็จการทำก้อยกะปอม(ยำกิ้งก่า)
    พอถึงฤดูฝนหลังเลิกเรียนตอนเย็นก็จะไปกับเพื่อนเพื่อหาลูกอ๊อดมาทำอาหาร ใช้อุปกรณ์คือสวิงนำสวิงไปช้อนแล้วเก็บเอาลูกอ๊อดของกบ(ชาวอีสานเรียกว่า ฮวกกบ) เมื่อได้มากแล้วก็บีบท้องเอาขี้และไส้ออก ล้างให้สะอาดกลับมาถึงบ้านก็ล้างอีกทีแล้วนำมาแกงใส่หน่อไม้ดอง ก็จะได้อาหารเย็นให้ครอบครัวได้รับประทาน ถ้าวันไหนไม่แกงก็หมกใบตอง วิธีทำคือล้างสะอาดแล้วใส่ เครื่องปรุงมีตะไคร้ พริก หอมแดง โขลกละเอียด น้ำปลาร้า ใบแมงลัก คนให้เข้ากันแล้วห่อด้วยใบตองจึงนำไปย่างไฟให้สุก แล้วนำมารับประทาน
    พอถึงฤดูร้อนใบไม้เริ่มผลิก็จะไปขุดแมลงตามโคนต้นไม้ ชาวอีสานเรียกว่า “แมงจีนูน “ ได้มาก็จะเอาปีก เอาขี้ออก ล้างให้สะอาดแล้วคั่วใส่เกลือจนสุกนำไป รับประทานกับข้าวได้เลยหรือจะทำตำเป็นน้ำพริกก็ได้ วิธีทำคือเอากระเทียม หอมแดง พริกสด คั่วสุกหรือจะหมกขี้เถ้าก็ได้ เอามาตำให้ละเอียดจึงใส่แมงจีนูนตำต่อไปแล้วตามด้วยมะม่วงสดหรือใบมะขามอ่อนหรือมะขามดิบ ตามที่หาได้ ใส่น้ำปลาร้า ปรุงรสตามชอบแล้วใส่หอมสด นำมารับประทานกับผักสดและยังมีแมลงอีกชนิดหนึ่งชาวอีสานเรียกว่า”แมงกุดจี่ “แมลงเหล่านี้จะกินขี้วัว ขี้ควายเป็นอาหาร และจะขุดรูอยู่ใต้ขี้เหล่านี้ เวลาเช้าข้าพเจ้าจะเอาเสียมไปเขี่ยขี้ควายออกแล้วขุดเอาแมลงกุดจี่ มาทำอาหารทำเช่นเดียวกับแมงจีนูน
    เมื่อคุณแม่หายป่วยท่านได้เปิดร้านขายของชำร่วยกับการตัดเย็บเสื้อผ้า ทำให้มีรายได้ดีขึ้น

    ถ้ามีงานศพ งานวัด งานประเพณีต่างๆตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์คุณแม่ก็จะให้ข้าพเจ้าไปขายน้ำแข็งใส่น้ำเฮลซ์บลูบอย( Hale’s blue boy)ขายถุงละสลึงและขายขนมขบเคี้ยว บุหรี่ เหล้า ส้มตำ เป็นต้น ให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานได้ซื้อ วันไหนขายได้ถึง 120 บาทข้าพเจ้าดีใจมากเพราะเป็นเงินที่หาได้ด้วยความสามารถของตนเองและเป็นเงินที่มีจำนวนมากในเวลานั้น

    ข้าพเจ้าเจ็บป่วยบ่อย เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงทุกครั้งจะเป็นไข้และรักษาโดยหมอพื้นบ้านซี่งท่านได้ใช้สมุนไพรรักษา คุณตาที่เป็นหมอพื้นบ้านได้บวชเป็นพระมาก่อนแล้วสึกออกมามีครอบครัว เราจึงเรียกท่านว่าพ่อใหญ่จาน ท่านจะเอาสมุนไพรมาฝนใส่แผ่นหินแล้วเจือจางลงในน้ำให้ดื่ม และใช้เช็ดตัวอาการไข้ก็จะดีขึ้นตามลำดับและหายได้ในที่สุด

    เมื่อข้าพเจ้าเจ็บป่วยคุณพ่อก็จะไปหาอาหารป่ามาให้รับประทาน โดยเอาปืนแก๊ปไปยิงนกที่ไร่มาให้คุณแม่ปิ้งให้ข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร

    เวลาไปทำไร่ถ้าเข้าใกล้ต้นไม้ชนิดหนึ่งทางอีสานเรียกว่าต้นน้ำเกลี้ยง เมื่อได้รับยางที่กระเด็นมาจากต้นไม้ชนิดนี้แล้วจะเป็นผื่นคันเปื่อยทั้งตัวต้องลำบากคุณพ่อที่จะต้องหากาบต้นพยอมมาแช่น้ำให้อาบและเคี้ยวทาให้ข้าพเจ้าจนหาย

    เวลาว่างข้าพเจ้าจะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเคยขอเงินคุณแม่ 1 สลึงเพื่อที่จะไปซื้อขนมมากินกับน้อง แต่คุณแม่ก็ไม่ยอมให้เงินไปซื้อ ข้าพเจ้าน้อยใจมากนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นดินแต่คุณแม่ก็ใจแข็งไม่ยอมให้เงิน คุณแม่บอกว่าอยากกินขนมก็ต้องตั้งใจเรียนให้เก่งมีเงินเดือนแล้วค่อยซื้อกิน

    พออายุได้ 7 ขวบคุณพ่อคุณแม่ก็ให้เข้าโรงเรียน ชื่อโรงเรียนหนองหอ ซึ่งอยู่ไกลบ้านมากประมาณสี่กิโลเมตร เราต้องเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน เดินข้ามทุ่งนาของชาวบ้านไปโรงเรียนมีอยู่วันหนึ่งเป็นฤดูทำนา ข้าพเจ้าเดินผ่านทุ่งนาไปและได้เหยียบหนามชาวบ้านเรียกชื่อว่าหนามแท่ง ต้นหนามแท่งเป็นไม้พุ่มยืนต้น ข้าพเจ้าเจ็บปวดมากเดินไม่ได้ ได้แต่นั่งร้องไห้นักเรียนรุ่นพี่เมตตาข้าพเจ้าได้อุ้มข้าพเจ้าไปส่งให้แม่ที่บ้าน ข้าพเจ้าไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวันเนื่องจากปวดเท้าและมีอาการบวมขึ้นที่เท้า นักเรียนรุ่นพี่ที่ช่วยอุ้มข้าพเจ้ากลับบ้าน ทุกวันนี้ท่านก็ได้ตายจากไปแล้ว ต่อมาทางรัฐบาลให้งบประมาณมาสร้างโรงเรียนใกล้หมู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงได้ย้ายจากโรงเรียนเดิมมาเรียนที่โรงเรียนใหม่ โรงเรียนแห่งนี้ชื่อว่าโรงเรียนบ้านโนนบอน ตำบลบุ่งหวายอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีจนกระทั่งเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 ปีการศึกษา 2507 คุณพ่อเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงได้ส่งข้าพเจ้ามาเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอวารินชำราบ โรงเรียนนี้ชื่อว่าโรงเรียนวารินชำราบ ข้าพเจ้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5-7 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ปีการศึกษา 2510 ( เดือนมีนาคม พ.ศ. 2511) พอเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายแล้ว ข้าพเจ้าเข้าเรียนที่โรงเรียนตั้งใจอนุกูลศึกษา อำเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 (สมัยนั้นเรียกว่า ม.ศ. 1-3 ) จบม.ศ. 3 ปีการศึกษา 2513 (เดือนมีนาคม พ.ศ.2514) แล้วไปสอบเรียนต่อที่วิทยาลัยครูอุบลราชธานี ระดับ ป.กศ.ต้น 2 ปี คือปีการศึกษา 2514-2515 เรียนต่อชั้น ป.กศ.สูง อีก 2 ปี คือปีการศึกษา 2516 -2517 เมื่อเรียนจบคุณพ่อจะให้สอบบรรจุเป็นครู แต่ข้าพเจ้าขอเรียนปริญญาตรีต่อโดยได้รับการคัดเลือกจากวิทยาลัยครูอุบลราชธานีให้ไปเรียนต่อปริญญาตรีวิชาเอกฟิสิกส์ ที่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ปีการศึกษา 2517-2518 (เดือนมีนาคม พ.ศ. 2519)แล้วได้ไปสอบบรรจุเข้ารับราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษา ทุกวันนี้เรียก สพฐ. อบ. เขต 4

    ข้าพเจ้ามีคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่างที่ดีและด้วยความยากลำบากของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้ามีมานะตั้งใจเรียนและประสบความสำเร็จสามารถสอบบรรจุเข้ารับราชการครูได้ในที่สุด ทำให้ชีวิตดีขึ้น ได้ดูแลตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ตามสมควร
    จากผลของวิบากกรรมคือกรรมดีกรรมชั่วที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมดในอดีต เช่น วิบากดีทำให้ข้าพเจ้าได้พบครูใจดีช่วยสอนการบ้านหลังเลิกเรียนได้พ่อแม่ที่ขยันทำมาหากินเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก ได้เรียนต่อตามที่ตนเองต้องการ มีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต วิบากร้ายเกิดจากการไปฆ่าเขาแล้วเอาชีวิตเขามาต่อชีวิตเรา ผ่าท้องควักไส้เขา เราก็ต้องมาใช้วิบากกรรมคือต้องเข้าโรงพยาบาลรับการผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออก อาจารย์หมอเขียวสอนว่า ชีวิตเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย แต่เราก็ยินดีรับยินดีให้หมดไป แล้วจะโชคดีขึ้น ซึ่งก็เป็นความจริง ตามที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์และอาจารย์หมอเขียวได้สั่งสอน และทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้ละบาป บำเพ็ญกุศล หันมากินอาหารพืช จืด สบาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วย นอกจากบางครั้งจะมีวิบากร้ายเข้ามาแทรกบ้างเราก็ยินดีที่ได้ใช้วิบาก

    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 30 เมษายน 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราภรณ์ ทองคู่(น้ำไพรศีล) อายุ 67 ปี
    เป็นจิตอาสาประจำ สังกัดภาคเหนือ ภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุญ8 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี (ชั้นปีที่6) โดยปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่
    ได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2557 ด้วยเหตุผล อยากศึกษาเรียนรู้หลักการเทคนิค 9 ข้อ เพื่อดูแลตนเองและคนที่ศรัทธา ปัจจุบันสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี ชีวิตในทุกมิติก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

  5. จุฑามาศ วรรณา วอล์กเกอร์

    เรื่องทุกข์ของคนคู่

    เนื้อเรื่อง ผู้เขียนอายุ 51 ปีเป็นเพศหญิง สัญชาติไทยโดยกำเนิดเกิดที่จังหวัดชัยภูมิ พ่อแม่มีอาชีพทำนา ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตมากับท้องนา แต่เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนขี้โรคมาตั้งแต่เด็กสุขภาพไม่แข็งแรงจึงเลือกที่จะประกอบอาชีพอิสระคือช่างตัดเย็บเสื้อผ้า

    เมื่อปีพุทธศักราช 2552 ได้ย้ายไปใช้ชีวิตแต่งงานกับพ่อบ้านที่ Boston USA พ่อบ้านเป็นชาวอเมริกันโดยกำเนิดชีวิตครอบครัวก็อยู่กันเป็นปกติน่าจะเหมือนครอบครัวอื่นทั่วไป คือดีบ้างไม่ดีบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีละหองละแหงบ้างจนกระทั่งเมื่อปีพุทธศักราช 2561 ผู้เขียนมีสุขภาพทรุดโทรมล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก และในปีถัดมาพุทธศักราช 2562 เกิดมีเหตุที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องปิดตัวเอง งดการเดินทางติดต่อเนื่องจากมีโรคระบาดที่ชื่อว่า covid-19
    ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่ต้องอยู่กับบ้าน แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีจะได้ขวนขวายหาความรู้ เพื่อที่จะบำบัดรักษามะเร็งไปด้วย ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้รู้จักกับท่านอาจารย์ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) ใน YouTube ซึ่งตอนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อนำเอาองค์ความรู้แพทย์วิถีธรรมเพื่อดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด การเรียนรู้ก็ได้มีขึ้นทุกวันเป็นปกติในสื่อออนไลน์ยูทูปซึ่งผู้เขียนก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง จะเห็นได้ว่าอาการที่เกิดจากมะเร็งได้มีน้อยลง ไม่ปวดศีรษะคอบ่าไหล่และอาการชาที่แขนก็ดีขึ้นมาก และเนื่องจาก ศาสตร์ของท่าน อาจารย์ คือยา 9 เม็ด ซึ่งผู้เขียนประทับใจในยาเม็ดที่ 8 และ 9 มากเป็นพิเศษซึ่งนั่นก็คือธรรมะที่ถูกต้อง และการรู้เพียรรู้พัก
    จากการเพียรฟังธรรมะของท่าน อาจารย์หมอเขียวอย่างต่อเนื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่สะดุดกับผู้เขียนมาก ๆ คือ ทุกข์ของคนคู่ ซึ่งผู้เขียนไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อนเลย ผู้เขียนได้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษและได้นำคำสอนมาขบคิดและใช้กับตัวเอง ซึ่งขณะนั้นผู้เขียนก็กำลังมีความทุกข์เกี่ยวกับคู่ครองอยู่ และเป็นมาติดต่อกันเกิน 10 ปีโดยประมาณ คือแต่งงานมีพ่อบ้าน และอยู่ด้วยกันก็คิดว่าเขารักเรา เรารักเขา แต่ท่านอาจารย์หมอเขียวบอกว่ามันไม่จริง คนแต่งงานกันคือคนจ้องจะเอาจากกัน เขารักเขาไม่ใช่เขารักเรา เขาทำดีกับเราเพราะหวังผลว่าเราจะต้องดีกับเขา ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหวงแหน ขาดอิสระในการทำความดีสารพัดเรื่อง
    หลายครั้งที่เราอยากไปทำอะไรดี ๆ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากคู่ ทำให้พลาดโอกาสในการทำความดีไป เขามีเราเพื่อสนองกิเลสของเขา เราคิดว่ามีคู่ไว้ก็หวังว่าไว้พึ่งพายามยาก แต่ก็มีหลายครั้งมากที่พอเราอยู่ในช่วงยามยากของชีวิต คู่ที่เรามีกลับกลายเป็นอสรพิษไปในทันที ไม่มาเป็นที่พึ่งดูแลเรา มีการนอกใจ คลางแคลงสงสัย โกหกหวั่นไหว ระแวง ไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อในคำพูด ขาดการไว้วางใจในคู่ อึดอัดฟุ้งซ่าน คับแค้นใจ ชนิดที่บอกใครไม่ได้ ทุกข์จนเกินทุกข์ เข็ดขี้อ้อนขี้แก่ เมื่อเค้าอยากมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่เราไม่อยากมี มันก็คือการข่มขืนดีๆนี่เอง

    เมื่อได้ฟังอย่างนั้น ผู้เขียนได้บอกกับตัวเองว่า “ใช่จริง ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นจริงๆ “ ซาบซึ้งกับธรรมะที่ถูกตรงที่ท่านอาจารย์ได้นำมาสอน ซึ่งตรงกับความรู้สึกของผู้เขียนที่กำลังประสบอยู่อย่างยาวนาน ต้องอดทนกับสภาพแบบนั้นมาจนแทบจะทนต่อไปไม่ได้ จึงได้ฟังซ้ำ ๆ ทบทวนฟังอยู่หลายครั้งมาก จนแน่ใจและตกผลึกในใจตัวเอง จึงตั้งศีลต่อพระพุทธเจ้าและท่านอาจารย์หมอเขียว เพื่อชดใช้วิบาก ลด ละ เลิกการเสพคนคู่
    เมื่อได้ตั้งศีล ก็มาถึงกระบวนการปฏิบัติเพื่อรักษาศีลที่ตั้งไว้ซึ่งก็ได้ใช้เวลา ความตั้งใจ ความเข้าใจ การวางใจ การเชื่อ และชัดเรื่องกรรมและผลของกรรม เข้าใจในวิบากดี ร้าย เรียนรู้เรื่องคลื่นแม่เหล็กและผลแห่งแม่เหล็ก และติดตามฟังธรรมะที่ท่านอาจารย์ได้พากเพียรสอนไปตามลำดับ ๆ อย่างตั้งใจ

    มีครั้งหนึ่งในจำนวนหลายครั้งมากที่พ่อบ้านอยากมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่ผู้เขียนไม่อยากมี ผู้เขียนได้ถามตัวเอง “เอาไงดีล่ะเรา “ ผู้เขียนจึงหันมาอ่านเวทนาของตัวเอง ซึ่งมีคำพูดของท่านอาจารย์คำนึงดังก้องอยู่ในใจ “เขาก็คือเขา แต่เราคือบำเพ็ญ “ พอมีคำพูดนี้ในใจ จิตที่กลัว ขยะแขยง เบื่อหน่ายเซ็ง เศร้า รำคาญก็หายไปได้ในบัดนั้นเอง ทำให้ผู้เขียนรับสภาพตอนนั้นได้ว่าเรามีวิบากเรื่องนี้ เราต้องยินดีที่จะชดใช้ เราต้องเคยทำแบบนี้เราจึงมาเจอแบบนี้ด้วยคำพูดที่ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา คิดเสียว่าเราใช้หนี้อยู่ และขนาดนั้น ก็คิดเปรียบเทียบว่าเรามีหนี้อยู่ 100 บาทเราต้องพยายามใช้หนี้ไปวันละ 1 บาท และต้องเข้าใจว่าหนี้เราจะไม่หมดไปภายในวันเดียว เราต้องพากเพียรใช้หนี้ไป 100 วันหนี้จึงจะหมด ทำให้ผู้เขียนใจเย็นไม่ได้รีบที่จะหมดหนี้ ปล่อยให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น วางใจได้ไม่อึดอัดไม่เครียด ถึงแม้ว่าเส้นทางของการหมดหนี้ดูแล้วยังอยู่อีกยาวไกล แต่เพราะเข้าใจ จึงไม่ทุกข์ถึงขนาดที่ทนไม่ได้

    ในส่วนของการใช้ชีวิตในครอบครัว ตามปกติพ่อบ้านจะเป็นคนที่นำเอารถไปเช็คสภาพ เข้าอู่ซ่อมแซม ถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ท่านอาจารย์สอนให้พึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด ผู้เขียนจึงพยายามทำด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าองค์ประกอบต่าง ๆที่อยู่ต่างประเทศจะทำให้ผู้เขียนทำได้ยาก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศก็มีสูง ๆ ต่ำ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ถนนตรงบ้าง เลี้ยวหักศอกอย่างน่าหวาดเสียวบ้าง แล้วก็มีคนที่เขาไม่เป็นมิตรกับชาวเอเชียเหมือนผู้เขียนเองบ้าง ซึ่งทำให้การพึ่งตนเองต้องมีความระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าคนอื่นมาก นอกจากนั้น ลักษณะภูมิอากาศก็ต่างจากประเทศไทยมากคือเดี๋ยวร้อน อีกสักพักจะหนาวอุณหภูมิต่างกันไปมาในวันเดียว เดี๋ยวฝนตกพายุลม แรงกระโชค หรืออาจจะเป็นลูกเห็บเม็ดใหญ่น้อยหรือหิมะปกคลุม ท้องถนนกลายเป็นน้ำแข็งทำให้รถเลื่อน และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ ผู้เขียน พยายามทำด้วยตนเองไม่ขอ/ง้อ/รอให้เขาทำให้ ซึ่งหลายครั้ง ที่เขาได้ทำให้ เขาเองก็ไม่สะดวก หรือเต็มใจสักเท่าไหร่ พอทำได้แล้วก็ภูมิใจตัวเองมาก นึกขอบคุณท่านอาจารย์ไปตลอดที่ขับรถไปเข้าอู่เอง ท่องไว้ พึ่งตน พึ่งตน พึ่งตน ไปตลอดทาง
    เมื่อผู้เขียนได้ลงมือพากเพียร ในการวางใจและพึ่งตนให้ได้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ตกลงกับตัวเองว่าจะบอกกับพ่อบ้านว่าเราไม่โอเคกับการเสพคนคู่อีกแล้ว คิด และเตรียมคำพูดอยู่หลายวัน และแล้วก็ได้ใช้ความกล้าอย่างมากเพื่อบอกพ่อบ้านได้สำเร็จแต่พ่อบ้านก็สวนกลับมาทันที “ไม่ได้เป็นผัวเมียกันเรื่องเสพคนคู่ เป็นเรื่องธรรมดาเขาแต่งงานไม่ใช่เฉพาะมีคนทำกับข้าวให้เท่านั้นนะ “ เมื่อได้ยินอย่างนั้นผู้เขียนก็ทำใจในใจว่า “ไม่เป็นไรวันนี้เรายังเป็นลูกหนี้อยู่ยังใช้หนี้ไม่หมดใจเย็นไปก่อน อย่างน้อยก็ได้มีความก้าวหน้าที่กล้าบอกความประสงค์ของตนเองแล้ว ใจเย็นคำชาติ บำเพ็ญต่อไป” ผู้เขียนก็พยายามซื่อสัตย์รักษาศีล ตอนนั้นตั้งศีลเลิกทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดตลอดชีวิต
    ก็มาสำรวจศีลของตัวเองว่า ทุศีลไหม และตั้งศีลไม่เพ่งโทษถือสาผู้อื่นเพิ่มด้วย และพยายามหาทางฟังธรรมะท่านอาจารย์หมอเขียวทุก ๆ วันบ่อย ๆ มาก ๆ พร้อมกับการตั้งหน้าตั้งตายินยอมชดใช้วิบากกรรมไปไม่ถือสา ไม่เอาดีจากใคร ไม่รอให้เขาเข้าใจ ทำหน้าที่ในแต่ละวันให้ดีที่สุดของเรา บอกตัวเองว่าจะได้ไม่มีอะไรค้างคาในใจ คิดไว้ว่าให้เป็นไปตามธรรม เมื่อถึงเวลาหมดหนี้ ฟ้าจะเปิดเอง

    ต่อมาอีกสักพักใหญ่ ๆ ก็เริ่มทำการโยนหินถามทาง และสังเกตวาทะ วิวาทะ ว่าถึงเวลาหรือยังนะ โดยขอแยกห้องนอนและบอกกับพ่อบ้านไปตรง ๆ ว่าถ้าอยากมีแฟนใหม่ก็ยินดีนะ ไปมีแล้วถ้าอยากหย่าก็มาบอกนะ จะขายบ้านหรือไม่ขายก็ได้ ยกให้ ไม่เอาบอกให้เขาทำตามอิสระ จะขอทำหน้าที่แม่บ้าน ดูแลอาหารการกิน ทำความสะอาดทุกอย่าง จะยังเป็นเหมือนเดิม จะทำงานเก็บเงินและเมื่อถึงเวลาจะกลับไปอยู่ไทย ไม่ต้องเป็นห่วงไม่ต้องมาแบ่งเงินให้ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ จะดูแลตัวเองมีเท่าไหร่ก็ทำให้พอ จะไม่ทำให้ลำบากใจ ในขณะที่พูดบอกพ่อบ้านไปนั้นก็ตรวจความรู้สึกในใจตัวเองไปด้วย และได้ใช้คำพูดที่ชัด เคลียร์เพื่อให้ เขาได้เข้าใจแจ่มชัดในการสื่อสาร จะได้ไม่ต้องมาพูดซ้ำอีก เพราะมันทำให้หมดแรง มันใช้พลังงานไปในการนี้มาก ได้ระมัดระวังคำพูดมากพูดจะน้อยแต่ชัดเจน
    เมื่อพ่อบ้านได้ยินอย่างนั้นก็เงียบไปสักพักแล้วตอบว่า OK พ่อบ้านไม่โวยวายเหมือนเดิม ดูขรึม ไม่เบิกบาน เฉย ๆ ชา ๆ ผู้เขียนก็มาสังเคราะห์กับตัวเองว่า”โอเคให้เขาได้ทำใจ สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นการช่วยทั้งเราและเขา เป็นการรักษาศีล ช่วยให้เค้าไม่ผิดต่อศีล จะได้ลดวิบากร้าย เราก็ทำทุกวันให้ดีต่อไป ดูแลให้ดีที่สุด นับหนึ่งที่เรา ทำที่เราเริ่มต้นที่เรา อย่างน้อยก็ไม่ทะเลาะกันเหมือนเดิม “ในระหว่างนั้นผู้เขียนได้ใช้ธรรมะท่านอาจารย์หมอเขียวในการประเมินการกระทำ คือไม่เสี่ยงเกิน ไม่แตกร้าวเกิน ไม่ทรมานเกิน ไม่เสียหายเกิน เป็นบรรทัดฐานในการที่จะพูดหรือทำอะไรลงไป เพราะในครอบครัวไม่ได้มีแต่เฉพาะสามีภรรยา เรายังมีลูกที่ต้องรับผิดชอบมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและญาติ ๆ ที่ต้องแคร์ความรู้สึก ต้องคิดถึงผลที่จะกระทบกับผู้อื่นด้วยตลอดการกระทำ มีช่วงที่เราระหองระแหงกันบ่อย ๆ ตอนนั้นลูกสาวกำลังเรียนมหาวิทยาลัยหนักมาก และเขาก็ทำงานไปด้วย ผู้เขียนต้องชั่งน้ำหนักว่าทำอย่างนี้แล้วผลคืออะไร จะทำให้กระทบกับจิตใจลูกไหมลูกต้องเรียน ต้องใช้สมาธิ ต้องไปทำงาน ต้องพักผ่อนหย่อนใจในบ้าน ซึ่งผู้เขียนต้องใส่ใจในรายละเอียดที่จะมีขึ้นเป็นอย่างสูง เพราะการที่เราได้ตามใจตนเองที่อยากได้แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไปกระทบกับคนอื่นแล้วส่งผลเสียขึ้น มันไม่คุ้มเลย “อดทน รอคอยให้อภัย ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ”ผู้เขียนบอกตัวเองอย่างนั้น

    จากนั้นในทุก ๆ วันผู้เขียนก็พยายามใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำดีได้ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็รีบหยุดทำพยายามสร้าง คลื่นแม่เหล็กแห่งความสงบร่มเย็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามควร และก็ถึงเวลาที่ลูกสาวเรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัย ได้รางวัล” Magna Cum Lade” ซึ่งเป็นรางวัลที่มีให้กับผู้ที่ทำคะแนนได้เกินมาตรฐานที่เขาจัดไว้ และหลังจากนั้นลูกสาวก็ได้สมัครเข้าทำงานเอกชนที่บริษัทแห่งหนึ่งในบอสตัน และเมื่อถึงเวลาที่พ่อบ้านจะวางแผนเกษียณจากงานประจำ ผู้เขียนเห็นโอกาสเลยขอกลับไทย และก็ได้กลับด้วยดีโดยไม่มีการหยุดหงิด ขุ่นมัวมีแต่อาการซึมบ้างซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจ และบอกกับพ่อบ้านว่าจะโทรคุยทุกวันจะสร้างบ้านไว้รอ เพื่อว่าถ้าเกษียณแล้วและอยากไปไทยก็จะได้ทำได้เลยไม่ต้องกังวลใด ๆ

    ปัจจุบันผู้เขียนพำนักอยู่ที่ประเทศไทย ได้ดำเนินการถมที่เตรียมที่จะก่อสร้าง พ่อบ้านก็โทรมา และบอกว่าเขาโอเคที่จะอยู่กับเราแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน และล่าสุดได้จองตั๋วเครื่องบินมาไทย เพื่อมาดูงานการก่อสร้างบ้านที่กำลังดำเนินการอยู่และเขาก็เป็นผู้สนับสนุนการก่อสร้างทั้งหมด จะใช้เวลามาอยู่ 28 วันแล้วจะกลับไป ขายบ้านที่อเมริกาเพื่อย้ายมาอยู่ไทยด้วยกันเป็นการถาวรต่อไป

    สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอขอบคุณผู้มีพระคุณคือท่านอาจารย์ ดร.ใจเพชร กล้าจน ผู้เป็นคุณครูบาอาจารย์ที่ได้นำธรรมะที่ถูกตรงมาสอนทำให้ผู้เขียนได้มีหนทาง มีเครื่องออกจากทุกข์ของคนคู่ที่สะสมมา และทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน ได้หลุดออกจากพันธนาการ ทำให้ได้ใช้ชีวิตคู่ได้อย่างเบิกบานแจ่มใส อย่างไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ เป็นผู้บำเพ็ญที่ผาสุก ได้ปฏิบัติพรหมวิหาร 4 กับพ่อบ้าน เปลี่ยนจากความอึดอัดคับแค้นใจ เป็นการคบกันอย่างเปิดอกคุยกันได้แบบเพื่อนที่รู้ใจ มีความบริสุทธิ์ใจต่อกันได้ด้วยการใช้ธรรมะดับทุกข์ดังกล่าวได้จริงนั่นเอง

    น้อมกราบคุณครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพและบูชาอย่างสุดซึ้ง

    จุฑามาศ วรรณา วอล์กเกอร์ ( ผู้เขียน)
    ประวัติโดยย่อ;

    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม
    หลักสูตร แพทย์แผนไทยวิถีธรรมค้ำจุนโลก หลักสูตร 6 เดือน และหลักสูตร 7 ปี สาขาจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ชั้นปีที่ 1

    อายุ 51 ปี

    อาชีพ

    อดีต: ช่างเสื้อสตรี (ผู้เชี่ยวชาญชุดวิวาห์ ราตรี)

    ปัจจุบัน: กสิกรรมไร้สารพิษชีวิตผาสุก

    จำนวนบุตร 1 คน

  6. จิราภรณ์ ทองคู่

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม)จิราภรณ์ ทองคู่ (น้ำไพรศีล)
    สังกัด ภาคเหนือ สวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง จุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
    คำสำคัญ อาหารเนื้อสัตว์/ชีวิตร่ำไห้/ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป

    “…ผู้ใดปรารถนาความสุขเพื่อตนด้วยการเข้าไปตั้งความทุกข์ไว้ในผู้อื่น ผู้นั้นระคนแล้วด้วยความเกี่ยวข้องด้วยเวร ย่อมไม่พ้นไปจากเวร…”

    เนื้อหาส่วนหนึ่งจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ คาถาธรรมบท ปกิณณกวรรคที่ ๒๑ ข้อ ๓๑

    …..

    จุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดที่จะลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ คือ การที่ข้าพเจ้าเจ็บป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ เดี๋ยวก็เป็นผื่นคันเดี๋ยวก็เป็นหวัด ต้องไปพบแพทย์แผนปัจจุบันบ่อย ๆ ได้ยามากินและยาทาก็จะหายเป็นครั้งคราวหมดยาไม่นานก็เป็นอีก เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานเจที่อุทยานบุญนิยมและได้เข้าไปในซุ้มของแพทย์วิถีธรรม ได้พบกับจิตอาสาที่ประจำอยู่ในซุ้มจึงเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านแนะนำว่าถ้าเป็นอย่างนี้น่าจะได้มีโอกาสเข้าค่ายสุขภาพนะ ซึ่งจะมีขึ้นที่สีมาอโศก จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจไปทันที เนื่องจากเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่โรงเรียนของข้าพเจ้าปิดเทอม ข้าพเจ้าได้ถามจิตอาสาว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่และต้องทำอย่างไรบ้าง ท่านตอบว่าไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เอาแต่เครื่องใช้ส่วนตัวและเอาใจไปก็พอแล้ว ที่นั่นไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากซื้อของใช้ส่วนตัว ข้าพเจ้า งงมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็นว่าจะมีของฟรีด้วย ครั้งนั้นมีค่ายประมาณ 7 วัน พอไปอยู่ค่ายและได้กินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นอาหารตามหลักการแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้ามีอาการดีขึ้นภายในสามวันและยิ่งได้ดูคลิปวิดีโอเรื่อง ชีวิตร่ำไห้ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อกลับมาที่บ้านข้าพเจ้าไม่ยอมกินเนื้อสัตว์คนที่บ้านแปลกใจมากคิดว่าข้าพเจ้าบ้าไปแล้ว ถูกล้างสมองไปแล้ว เดี๋ยวก็ขาดโปรตีน เดี๋ยวก็ผอมตาย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สะทกสะท้านอะไร ไม่เสียใจที่ถูกว่ากล่าวเช่นนั้น เนื่องจากคนที่บ้านและญาติของข้าพเจ้าคิดว่าสมณะชาวอโศกเป็นพระคอมมิวนิสต์จึงไม่ศรัทธาและจะต่อต้านตลอดเวลา ข้าพเจ้ามีความยึดมั่น ยึดดี มีอัตตาจัดจึงทำให้มีความแน่วแน่และสามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ และปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์มาจนถึงทุกวันนี้

    ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้ากินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใดก็ตาม จะคิดเสมอว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นอาหารให้กิน พวกเขาเหล่านั้นจะต้องพบกับทั้งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายยากเกินที่จะจินตนาการได้ เขาต้องพลัดพรากจากญาติอันเป็นที่รักของเขา ส่งผลให้ระดับของความเมตตากรุณา ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในจิตใจเพิ่มขึ้นมาอย่างมากและก็มากพอที่จะทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า

    “ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเหลือมากน้อยแค่ไหนก็ตามจะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตของสัตว์ใดๆ เพื่อนำมาเป็นอาหารอีกต่อไป”

    และจากวันนั้นจนกระทั่งวันนี้ เวลาผ่านไปได้เกือบ 9 ปีแล้ว ที่้ข้าพเจ้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์อีกเลย ผลที่ได้ คือ ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจก็ดีงาม ใจเย็น ไม่ขี้โกรธขี้โมโห เหมือนเมื่อก่อน รู้จักให้อภัยคนอื่น ไม่เพ่งโทษเพื่อนเพราะคิดว่าแต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจะทำอะไรก็ตามจะประมาณการกระทำของเราให้พอเหมาะกับฐานจิตของเพื่อน เหตุการณ์ดีๆก็เกิดขึ้นได้มากกว่าเหตุการณ์ร้าย ได้พบสัตบุรุษ ได้เข้าหาหมู่มิตรดีและอยู่ร่วมกับหมู่มิตรดี ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการตัดสินใจในวันนั้นเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว

    ——————————
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 11 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราภรณ์ ทองคู่(น้ำไพรศีล) อายุ 67 ปี
    เป็นจิตอาสาประจำ สังกัดภาคเหนือ ภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุญ 8 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี (ชั้นปีที่6) โดยปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่
    ได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2557 ด้วยเหตุผล อยากศึกษาเรียนรู้หลักการเทคนิค 9 ข้อ เพื่อดูแลตนเองและคนที่ศรัทธา ปัจจุบันสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี ชีวิตในทุกมิติก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

  7. จิราภรณ์ ทองคู่

    พุทธะชนะทุกข์ (แก้ไขครั้งที่3 )
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม)จิราภรณ์ ทองคู่ (น้ำไพรศีล)
    สังกัด ภาคเหนือ สวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง จุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
    คำสำคัญ อาหารเนื้อสัตว์/ชีวิตร่ำไห้/ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป

    “…ผู้ใดปรารถนาความสุขเพื่อตนด้วยการเข้าไปตั้งความทุกข์ไว้ในผู้อื่น ผู้นั้นระคนแล้วด้วยความเกี่ยวข้องด้วยเวร ย่อมไม่พ้นไปจากเวร…”

    เนื้อหาส่วนหนึ่งจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ คาถาธรรมบท ปกิณณกวรรคที่ ๒๑ ข้อ ๓๑

    …..

    จุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดที่จะลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ คือ การที่ข้าพเจ้าเจ็บป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ เดี๋ยวก็เป็นผื่นคันเดี๋ยวก็เป็นหวัด ต้องไปพบแพทย์แผนปัจจุบันบ่อย ๆ ได้ยามากินและยาทาก็จะหายเป็นครั้งคราวหมดยาไม่นานก็เป็นอีก เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานเจที่อุทยานบุญนิยมและได้เข้าไปในซุ้มของแพทย์วิถีธรรม ได้พบกับจิตอาสาที่ประจำอยู่ในซุ้มจึงเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านแนะนำว่าถ้าเป็นอย่างนี้น่าจะได้มีโอกาสเข้าค่ายสุขภาพนะ ซึ่งจะมีขึ้นที่สีมาอโศก จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจไปทันที เนื่องจากเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่โรงเรียนของข้าพเจ้าปิดเทอม ข้าพเจ้าได้ถามจิตอาสาว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่และต้องทำอย่างไรบ้าง ท่านตอบว่าไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เอาแต่เครื่องใช้ส่วนตัวและเอาใจไปก็พอแล้ว ที่นั่นไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากซื้อของใช้ส่วนตัว ข้าพเจ้า งงมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็นว่าจะมีของฟรีด้วย ครั้งนั้นมีค่ายประมาณ 7 วัน พอไปอยู่ค่ายและได้กินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นอาหารตามหลักการแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้ามีอาการดีขึ้นภายในสามวันและยิ่งได้ดูคลิปวิดีโอเรื่อง ชีวิตร่ำไห้ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อกลับมาที่บ้านข้าพเจ้าไม่ยอมกินเนื้อสัตว์คนที่บ้านแปลกใจมากคิดว่าข้าพเจ้าบ้าไปแล้ว ถูกล้างสมองไปแล้ว เดี๋ยวก็ขาดโปรตีน เดี๋ยวก็ผอมตาย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สะทกสะท้านอะไร ไม่เสียใจที่ถูกว่ากล่าวเช่นนั้น เนื่องจากคนที่บ้านและญาติของข้าพเจ้าคิดว่าสมณะชาวอโศกเป็นพระคอมมิวนิสต์จึงไม่ศรัทธาและจะต่อต้านตลอดเวลา ข้าพเจ้ามีความยึดมั่น ยึดดี มีอัตตาจัดจึงทำให้มีความแน่วแน่และสามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ และปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์มาจนถึงทุกวันนี้

    ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้ากินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใดก็ตาม จะคิดเสมอว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นอาหารให้กิน พวกเขาเหล่านั้นจะต้องพบกับทั้งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายยากเกินที่จะจินตนาการได้ เขาต้องพลัดพรากจากญาติอันเป็นที่รักของเขา ส่งผลให้ระดับของความเมตตากรุณา ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในจิตใจเพิ่มขึ้นมาอย่างมากและก็มากพอที่จะทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า

    “ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเหลือมากน้อยแค่ไหนก็ตามจะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตของสัตว์ใดๆ เพื่อนำมาเป็นอาหารอีกต่อไป”

    และจากวันนั้นจนกระทั่งวันนี้ เวลาผ่านไปได้เกือบ 9 ปีแล้ว ที่้ข้าพเจ้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์อีกเลย ผลที่ได้ คือ ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจก็ดีงาม ใจเย็น ไม่ขี้โกรธขี้โมโห เหมือนเมื่อก่อน รู้จักให้อภัยคนอื่น ไม่เพ่งโทษเพื่อนเพราะคิดว่าแต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจะทำอะไรก็ตามจะประมาณการกระทำของเราให้พอเหมาะกับฐานจิตของเพื่อน เหตุการณ์ดีๆก็เกิดขึ้นได้มากกว่าเหตุการณ์ร้าย ได้พบสัตบุรุษ ได้เข้าหาหมู่มิตรดีและอยู่ร่วมกับหมู่มิตรดี ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการตัดสินใจในวันนั้นเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว

    ——————————
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 11 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราภรณ์ ทองคู่(น้ำไพรศีล) อายุ 67 ปี
    เป็นจิตอาสาประจำ สังกัดภาคเหนือ ภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุญ 8 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี (ชั้นปีที่6) โดยปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่
    ได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2557 ด้วยเหตุผล อยากศึกษาเรียนรู้หลักการเทคนิค 9 ข้อ เพื่อดูแลตนเองและคนที่ศรัทธา ปัจจุบันสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี ชีวิตในทุกมิติก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

  8. จิราภรณ์ ทองคู่

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อนางจิราภรณ์ ทองคู่ ชื่อทางธรรม น้ำไพรศีล อายุ 67 ปี เป็นจิตอาสาประจำภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุญ 8
    สังกัด ภาคเหนือ สวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่
    หมวด สังคม
    เรื่อง วิบากกรรมมีจริง
    คำสำคัญ วิบากกรรม/มิตรดี/สัตบุรุษ
    “… เรายังไม่รู้วิบากกรรม จะไม่กล่าวถึงความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์เจตนาทำขึ้น สั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นเองที่สัตว์พึงเสวยในปัจจุบันก็มี ในอัตภาพถัดไปก็มี หรือในอัตภาพต่อๆ ไปก็มี ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้วิบากกรรม…”
    เนื้อหาส่วนหนึ่งจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 24 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 16 [ฉบับมหาจุฬาฯ]คาถาธรรมบท ปฐมสัญเจตนิกสูตร ว่าด้วยกรรมที่สัตว์เจตนาสั่งสม สูตรที่ 1…

    ข้าพเจ้ามีความประทับใจในการเข้าค่ายสุขภาพครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2557 ที่สีมาอโศก จังหวัดนครราชสีมา เพราะสังเกตเห็นจิตอาสาแต่ละคน เบิกบานแจ่มใส ยิ้มแย้ม มีความเป็นมิตร กับผู้มาเข้าค่ายทุกคนและอาจารย์หมอเขียวก็บรรยายธรรมะได้เข้าใจลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ท่านจะยิ้มแย้มตลอดเวลา จิตอาสาทุกคนคอยให้ความช่วยเหลือและสอนทุกด้านในการดูแลตัวเอง ที่สำคัญคือทุกคนทำงานฟรี ตั้งแต่อาจารย์ไปจนถึงลูกศิษย์ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความประทับใจมาก ข้าพเจ้าจึงมีความคิดที่จะมาเป็นจิตอาสาบ้าง

    ข้าพเจ้าเป็นโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่วัยเด็ก จะป่วยบ่อย เป็นหวัดบ่อยเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มมีอาการภูมิแพ้ผิวหนังและเป็นเรื้อรังมากว่า 3 ปี อาการแสดงคือ มีผื่นคันตามตัว ทุกครั้งที่มีอาการจะไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ยามากินและทา อาการก็ทุเลา ไม่หายขาดเป็นๆหายๆ และยังมีอาการปวดตึงแข็งตามร่างกาย ต้องไปนวดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง นวดแล้วก็ไม่หายปวด โชคดีที่ได้พบหมู่มิตรดี ที่ไปตั้งซุ้มอยู่ที่งานเจ ในบริเวณอุทยานบุญนิยม จังหวัดอุบลราชธานี ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปปรึกษากับจิตอาสา ได้รับคำแนะนำให้ไปเข้าค่ายสุขภาพ ที่สีมาอโศก จังหวัดนครราชสีมา จัดโดยทีมงานอาจารย์หมอเขียวและจิตอาสา ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 ข้าพเจ้าไม่ลังเลเลยได้ตัดสินใจไปเข้าค่าย อยู่ในค่ายเพียง 3 วัน อาการผื่นคันและอาการเจ็บปวดได้ทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าได้นำคำสอนมาปฏิบัติแต่ยังมีวิบากร้ายไล่ล่าทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ คือ เมื่อปีพ.ศ. 2558 ได้เป็นตุ่มคัน มีน้ำหนองเยิ้มทั้งตัว เหม็นสาบเหมือนหมาขี้เรื้อน ได้ดูแลตัวเองโดยไม่บอกให้คนในครอบครัวรู้ เพราะถ้ารู้จะต้องพาเราไปพบแพทย์แน่นอน เราไม่ต้องการไปพบแพทย์ เพราะต้องการพิสูจน์หลักการแพทย์วิถีธรรมด้วยการพึ่งตนเอง จึงใช้น้ำปัสสาวะนาโน ( วิธีทำน้ำปัสสาวะนาโน ใช้น้ำปัสสาวะต่อน้ำเปล่า เท่ากับ 1:100 ส่วน เคาะให้ครบ 9 รอบหมายความว่ารอบที่ 1 ใช้น้ำปัสสาวะ 1 ช้อนชาต่อน้ำเปล่า 100 ช้อนชา เคาะประมาณ 30 ถึง 50 ครั้งต่อไปก็ทำรอบที่ 2 โดยแบ่งเอาน้ำในขวดที่เคาะแล้วออกมา 1 ส่วนแล้วผสมกับน้ำเปล่าอีก 100 ส่วน เคาะอีกประมาณ 30 ถึง 50 ครั้งและทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 9 รอบหากยังไม่เข้าใจให้เปิดดูในคลิปวิดีโอ ใน google หรือ YouTube พิมพ์คำว่า วิธีทำน้ำปัสสาวะนาโน ก็จะได้วิธีทำที่ละเอียด) พร้อมกับการปรับสมดุลร้อนเย็น เมื่อร่างกายสมดุลแล้วก็หายจากการเจ็บป่วย สาเหตุที่ข้าพเจ้าเจ็บป่วยในครั้งนี้เป็นเพราะในชาติปัจจุบันและชาติก่อนๆ ได้ทำบาปมามากหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ เท่าที่จำได้ในชาตินี้คือข้าพเจ้าได้เอาปลานิลมาทาเกลือแล้วนำไปย่างไฟ เกล็ดปลาที่หลุดออกมาเหมือนกับสะเก็ดของข้าพเจ้าที่หลุดและลอกออกมา ข้าพเจ้าจึงต้องมารับผลของกรรมที่ได้หลงผิดและทำลงไป
    ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า จากการเป็นหมอดูแลตัวเอง และทำให้หายป่วยได้ ข้าพเจ้าจึงได้ปวารณาตัวเป็นจิตอาสาจร เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. พ2559 ที่สวนป่านาบุญ 1 ได้รับอนุมัติจากหมู่มิตรดีให้เป็นจิตอาสาจร สมัยนั้นมีจิตอาสา 2 ประเภท คือ ถ้าอยู่ประจำจะเป็นจิต อาสาประจำ แต่ถ้าไม่อยู่ประจำจะเป็นจิตอาสาจร หลังจากนั้นข้าพเจ้าย้ายไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่จึงได้ขอย้ายสังกัดจากสวนป่านาบุญ 1 มาสังกัดที่สวนป่านาบุญ 8 และได้ปวารณาตัวอีกครั้งหนึ่งเพื่อยกระดับ จากตำแหน่งจิตอาสาจรเป็นจิตอาสาประจำ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมพ.ศ. 2562 ปีนี้จิตอาสามี 4 ระดับคือ ผู้คบคุ้น เตรียมจิตอาสา จิตอาสาจร และจิตอาสาประจำ เนื่องจากข้าพเจ้ายังไม่มีผลงานปรากฏชัด พี่น้องจิตอาสา สังกัดสวนป่านาบุญ 8 ยังไม่อนุญาตให้เป็นจิตอาสาประจำ แต่กลับลดตำแหน่งข้าพเจ้าลงมาเป็นตำแหน่งเตรียมจิตอาสา ตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจ แต่ยอมรับตำแหน่งที่ต่ำลงกว่าเดิมตามมติหมู่

    เมื่อจบการอปริหานิยธรรม ข้าพเจ้าได้กลับไปนอนและได้คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนี้ นี่เป็นผลของวิบากกรรมที่เราได้ทำมาชัด ๆ ที่เคยขัดขวางคนอื่นที่จะได้รับตำแหน่งสูงขึ้นไม่ให้เขาได้รับและนึกถึงคำสอนของอาจารย์ ว่าทุกคนทำดีมาก็มาก ทำชั่วมาก็มาก ข้าพเจ้าจึงบอกตัวเองว่าเราได้รับแค่นี้มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ในที่สุดความน้อยใจก็ทุเลาลงจนนอนหลับไปได้ในที่สุด ข้าพเจ้าใช้เวลาปรับทุกข์ใจ ที่เกิดอาการน้อยใจให้กับตัวเองในคืนนั้นนานประมาณ 1 ชั่วโมงและในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงนั้นก็ได้ให้กำลังใจตนเองว่าเรายังมีวิบากดีนะที่คอยช่วยเราให้เราได้พบหมู่มิตรดี ได้เข้าหาสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมะที่ถูกตรง และได้ตระหนักว่าการกระทำใดๆที่ผิดศีลจะสร้างวิบากร้าย สิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว ชั่ว ทุกข์ ทรมาน เดือดเนื้อร้อนใจ ในที่สุดก็จะมาสร้างผลให้แก่เราไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าหรือชาติอื่นๆสืบไป ดังที่ข้าพเจ้าได้รับ การที่ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องวิบากกรรมอย่างแจ่มแจ้งเช่นนี้ ช่วยให้ข้าพเจ้าออกจากทุกข์ได้ ถ้าไม่รู้ก็จะยังทุกข์อยู่เช่นเดิม ท่านที่ต้องการพ้นทุกข์ ควรเรียนรู้ศึกษาเรื่องวิบากกรรมให้นำชีวิตไปปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และพ้นทุกข์ไปได้ด้วยกันนะคะ

    ——————————
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 4 พฤษภาคมพ.ศ. 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราภรณ์ ทองคู่(น้ำไพรศีล) อายุ 67 ปี
    เป็นจิตอาสาประจำ สังกัดภาคเหนือ ภูผาฟ้าน้ำ สวนป่านาบุ 88 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี (ชั้นปีที 66) โดยปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่
    ได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2557 ด้วยเหตุผล อยากศึกษาเรียนรู้หลักการเทคนิค 9 ข้อ เพื่อดูแลตนเองและคนที่ศรัทธา ปัจจุบันสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี ชีวิตในทุกมิติก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางทีดีขึ้น

  9. นางศิริเพ็ญ ทองดี

    พุทธะชนะทุกข์ โดย นางศิริเพ็ญ ทองดี “เพ็ญแสงฟ้า” นักศึกษาวิชชาราม

    เรื่อง “เมื่อบุญถึงรอบ”

    หลังจากข้าพเจ้าบรรจุเข้ารับราชการครั้งแรกที่อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ในปี 2535 ผ่านไปประมาณ 8-9 ปี ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปราชการที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดส่งไป หลังจากการอบรมเสร็จสิ้น ระหว่างเส้นทางกลับบ้านเพื่อไปขึ้นรถที่ บขส.หมอชิต ข้าพเจ้า ได้ผ่านถนนที่มีการชุมนุม เป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่าน เหตุการณ์ในวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม จนถึงปัจจุบัน

    ภาพที่ตัวเองแวะซุ้มๆ หนึ่งที่มีพี่จิตอาสาที่มีความตั้งใจ ยืนให้คำแนะนำการใช้น้ำย่านางสมุนไพร ด้วยความกระตือรือร้น ที่จะให้ความรู้แก่เรา ไม่รู้เพราะอะไร ตอนนั้นเราสนใจมาก และคิดได้ว่าสิ่งนี้ดีมาก ๆ ได้รับแผ่นภาพเล็กๆ การทำน้ำสมุนไพร จากพี่จิตอาสามาหลายแผ่น เดินผ่านมาอีก ด้านซ้ายมือ เห็นคนหลายคนนั่งฟังผู้บรรยายอยู่บนเวทีเล็ก ๆ ภาพนั้นติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ภาพผู้นั่งบรรยายเป็นผู้ชาย อายุประมาณ 20-25 ปี ผิวพรรณผุดผ่อง บุคลิกที่ท่านบรรยายอยู่ตอนนั้นทรงพลังมาก ได้ยินเสียงท่านพูดแต่จับใจความไม่ได้ หยุดมองดูสักครู่ ก็เดินผ่านไป เพราะคนเยอะมีทั้งนั่ง และยืนฟังด้านนอก เอกสารที่ได้รับมาตั้งแต่วันนั้น ตั้งใจจัดเก็บเอาใส่ไว้ในถุงแยกไว้อย่างดี เปิดออกมาดูทีไร รู้สึกว่า ”รัก” และคิดเสมอว่าเอกสารชุดนี้ดีเราต้องเก็บไว้อย่าให้หาย แต่ก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำในเอกสารแผ่นพับ เพียงอ่านจบทุกแผ่นตั้งแต่ตอนได้รับมาในครั้งแรก เมื่อย้ายที่ทำงานครั้งที่ 1 ภายในตำบลเดียวกัน ก็เก็บเอกสารนำไปด้วย ย้ายครั้งที่ 2 กลับมาภูมิลำเนาบ้านเกิดที่จังหวัดขอนแก่น ได้ย้ายที่ทำงาน อีก 3 ครั้ง ทุกครั้ง้ที่เก็บของย้ายออกจากบ้านพัก ต้องมองเอกสารชุดนี้และบอกกับตนเองว่า “เอกสารนี้ดีมากเราต้องเก็บเอาไว้”

    วันที่ 1-5 พ.ย. 2558 เมื่อบุญถึงรอบได้มีโอกาสเข้าอบรม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแบบพึ่งตนตามหลักการแพทย์วิถีธรรม จัดโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมขอนแก่น เป็นการจัดอบรมครั้งแรกของจังหวัดขอนแก่น มีผู้ลงทะเบียนเข้าอบรม พันกว่าคน วัดป่าแสงอรุณสถานที่จัดอบรม ไม่เพียงพอที่จะรับผู้เข้าอบรม

    หลายคนต้องเก็บของกลับบ้านเพราะคนแน่น ห้องน้ำไม่เพียงพอกับผู้เข้าอบรม บางคนตอนเดินทางมาถึง ยังไม่ทันขนของลงรถ ก็ต้องตีรถกลับ เพราะรับผู้เข้าอบรมได้เพียง 800-900 คน

    หลังจากได้รับองค์ความรู้การดูแลตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักการแพทย์วิถีธรรม ในครั้งนั้นถือว่าตัวเอง “บุญถึงรอบ” ได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับ มาปฏิบัติกับตนเอง ซึ่งก่อนไปเข้าค่ายสุขภาพ ตนเองเจ็บป่วยอยู่หลายโรค ทั้งต่อมไธรอยด์อักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอเป็นก้อนโตและอักเสบเรื้อรัง เคยผ่าตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ 3 ครั้ง (3 ก้อน) มีก้อนซีสต์ที่ข้อมือข้างซ้าย ขนาดโตประมาณเท่าข้อนิ้วหัวแม่มือ มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก โรคกระเพาะอาหาร และท้องผูก หลังจากข้าพเจ้าปฏิบัติตามศาสตร์แพทย์ทางเลือกวิถีธรรม ตามเทคนิค 9 ข้อ (หรือยา 9 เม็ด) เมื่อเวลาผ่านไป 1 – 2 ปี อาการไม่สบายและโรคที่เป็นอยู่เริ่มลดลง กระทั่งหายไปที่ละโรค เมื่อโรคทางกายทยอยดีขึ้น ๆ เรื่อย ๆ โรคทางใจก็ทุเลาเบาบางลงไปด้วย จากทุกข์มาก ความทุกข์ก็เริ่มลดลง สามาถรับกับผัสสะที่มากระทบ โดยไม่หวั่นไหวได้มากขึ้นตามลำดับ เมื่อตัวเองปฏิบัติแล้วได้ผล จึงนำไปขยายต่อในชุมชน ในบทบาทของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พาพี่น้องประชาชนในตำบลรับที่ผิดชอบ ได้เรียนรู้ศาสตร์แพทย์ทางเลือกวิถีธรรม ที่พึ่งตนเองได้ เรียบง่าย “ศูนย์บาทรักษาทุกโรค” “หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง” แม้จะได้ย้ายที่ทำงานก็ยินดี เพื่อนำองค์ความรู้ที่เป็นศาสตร์ของพุทธะแท้ ๆ ไปถึงพี่น้องทุกตำบล ในอำเภอบ้านเกิดของตนเอง

    เมื่อได้มีโอากาสเข้าร่วมสานพลังกับหมู่มิตรดี พี่ ๆ จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมขอนแก่น และผู้รับผิดชอบงานภาคประชาชนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับขับเคลื่อนองค์ความรู้แพทย์วิถีธรรมทั้ง 26 อำเภอในจังหวัดขอนแก่น อำเภอละ 2 ตำบล ตนเองจึงได้มีโอกาสนำเอกสารที่ได้รับจากพี่จิตอาสา เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จัดทำเป็นสื่อ เป็นป้ายไวนิล นำไปใช้ประกอบการอบรม จัดค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม ให้กับพี่น้องทั้งสี่โซน ในจังหวัดขอนแก่น แม้การดำเนินงานจะยังไม่เข้าถึงพี่น้องทุกตำบล แต่เมื่อเราสานพลังกับหมู่มิตรดี นำเรื่องราวดี ๆ นำธรรมะแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้า ไปเผยแผ่ ตามหาพี่น้องที่มีสายเลือดพุทธะ ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งคงจะมีคนที่มีสภาวะเหมือนกับเรา คือ “บุญถึงรอบ” เช่นกัน กราบ สาธุ ค่ะ

  10. จิราภรณ์ ทองคู่

    พุทธะชนะทุกข์

    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม)จิราภรณ์ ทองคู่ (น้ำไพรศีล)

    สังกัด ภาคเหนือ ภูผาฟ้าน้ำสวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่

    หมวด สังคม

    เรื่องงานฌาปนกิจที่ข้าพเจ้าต้องการเมื่อเสียชีวิต

    คำสำคัญ ฌาปนกิจ/จิตอาสา/แพทย์วิถีธรรม

    เรื่อง งานฌาปนกิจที่ข้าพเจ้าต้องการเมื่อเสียชีวิต

    โดยทั่วไปเมื่อมีการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว การจัดฌาปนกิจ จะมีขั้นตอนที่พอสรุปได้คือ 1. การแจ้งหน่วยงานเพื่อออก
    ใบรับรองการเสียชีวิต 2. ติดต่อสถานที่ในการจัดฌาปนกิจ เช่น วัด และกำหนดวันเวลาสถานที่สำหรับกิจกรรมต่างๆเพื่อประชาสัมพันธ์เช่น การอาบน้ำศพ การสวด
    พระอภิธรรม การกำหนดวันฌาปนกิจ 3. กิจกรรมหลังการฌาปนกิจ เช่น การลอยอังคาร
    ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกชุมชนภูผาฟ้าน้ำซึ่งกำเนิดมาได้ประมาณ 2 ปี มีผู้นำคือดร.ใจเพชร กล้าจนและมีชาวชุมชนประมาณ 70 คน ทุกคนเป็นจิตอาสา แพทย์วิถีธรรม มีความเป็นอยู่ร่วมกันแบบสาธารณโภคี มีเป้าหมายในการอยู่รวมกัน เป็นการปฏิบัติธรรมและ
    บำเพ็ญกุศล เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติที่มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นหมู่กลุ่ม เมื่อมีการเจ็บป่วย ชาวชุมชนก็จะดูแลกันเอง โดยใช้หลักการแพทย์วิถีธรรม นอกจากเกินความสามารถที่จะดูแลกันได้จึงจะพึ่งการแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อมีการเสียชีวิตลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตของสมาชิกในครั้งนี้ ท่านผู้นำมีนโยบาย ที่จะพึ่งตนเอง โดยการจัดการฌาปนกิจแบบเรียบง่ายเป็นการภายใน โดยอาศัย แรงงาน ความร่วมมือจากสมาชิกในชุมชนช่วยกันจัดเตรียม เช่น หาฟืน จัดทำเมรุ เตรียมพื้นที่ นิมนต์
    สมณะมาร่วมพิธีกรรม ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของญาติผู้เสียชีวิตด้วย เนื่องจากผู้เสียชีวิต เป็นสมาชิกของชุมชนประจำอยู่ที่นี่และมีความประสงค์เช่นนั้น พี่น้องในชุมชน
    ทุกคนก็มีส่วนร่วมช่วยกันจัดเตรียมจนงานลุล่วงไปได้ด้วยดี นับเป็นความประทับใจของข้าพเจ้าที่อยู่ในชุมชนให้มีความรู้สึกอบอุ่นใจ ว่า สามารถจะพึ่งเจ็บ พึ่งป่วย พึ่งตายได้อย่างแท้จริง ไม่มีอะไรต้องกังวลใจทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจจะอยู่ในชุมชนนี้ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ซึ่งข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนในครอบครัวฟัง พ่อบ้านก็เห็นด้วยและมีความต้องการเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับการจัดการศพเมื่อข้าพเจ้าเสียชีวิตไป ให้พ่อบ้านและลูกลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน และได้เก็บพินัยกรรมไว้ที่บ้าน 1 ฉบับ ที่ชุมชน 1 ฉบับ เมื่อได้ทำทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ข้าพเจ้าก็หมดห่วงเรื่องการจัดงานฌาปนกิจศพของตนเองในอนาคต
    ………………………..

    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565 (ปรับปรุงแก้ไขล่าสุด 12 พฤษภาคม พ.ศ.2565)
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราภรณ์ปี พ.ศ. 2557 ด้วยเหตุผลคือ ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ มีน้ำหนอง น้ำเหลืองเยิ้มทั้งตัว มีความเครียด ไขมันในเลือดสูง ปัจจุบันหายเป็นปกติแล้ว
    ปัจจุบันเป็นจิตอาสาประจำภูผาฟ้าน้ำ สังกัดภาคเหนือ สวนป่านาบุญ 8 จังหวัดเชียงใหม่
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี สาขาแพทย์วิถีธรรม ชั้นปีที่ 6

  11. นางศิริเพ็ญ ทองดี

    พุทธะชนะทุกข์
    เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าอยากเป็นจิตอาสา”
    โดย นางศิริเพ็ญ ทองดี ชื่อทางธรรม “เพ็ญแสงฟ้า” ชื่อเล่น “แมว”
    อายุ 54 ปี นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตรจิตอาสาวิถีธรรมบัณฑิต (7 ปี)
    รหัสนักศึกษา 60 1 1 007 037

    เมื่อวันที่ 1-5 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ข้าพเจ้าได้เป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอซำสูง ส่งเข้าอบรมค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม จัดโดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมขอนแก่น ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น โดยได้รับความอนุเคราะห์จากมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือกับจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั่วประเทศ เข้าร่วมบำเพ็ญ ซึ่งเป็นค่ายสุขภาพครั้งแรกของจังหวัดขอนแก่น โดยมีท่านอาจารย์หมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) เป็นวิทยากรหลักในการบรรยาย ร่วมกับพี่ ๆ จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม กิจกรรมในวันแรกมีการแนะนำตัวจิตอาสาที่มาร่วมบำเพ็ญ แต่ละท่านได้ให้ข้อคิด และบอกเหตุผลที่ได้เข้ามาเป็นจิตอาสา มีทั้งเหมือนและต่างกัน ที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่คือ พี่จิตอาสาเกือบทุกคนล้วนเคยเป็นผู้ป่วยมาก่อน แต่ปัจจุบันท่านหายป่วยแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมาก หลังจากแนะนำตัวเสร็จ ก่อนที่ท่านอาจารย์หมอเขียวจะบรรยาย พี่จิตอาสาได้ไขว้ประสานมือ ร่วมกันร้องเพลง “แรงใจเพื่อมวลชน” การจัดค่ายสุขภาพครั้งนั้น เป็นแบบพักค้าง มีบางคนไม่สะดวกพัก เพราะคนมาเข้าค่ายเยอะ ก็เทียวไป-กลับ หรือเพราะบ้านอยู่ไม่ไกลค่ายมากนัก ระยะเวลาจัดค่าย 5 วัน มีกิจกรรมหลากหลายให้ผู้เข้าค่ายได้เรียนรู้ และฝึกปฏิบัติ ได้แก่ การบรรยาย การสาธิตเทคนิค 9 ข้อ (ยา 9 เม็ด) และการฝึกปฏิบัติด้วยตนเองของผู้เข้าค่ายอบรมตามฐานการเรียนรู้ ทั้งหมด 5 ฐาน มีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมให้ได้มีส่วนร่วมในการบำเพ็ญบุญตามฐานงานต่างๆ การเรียนรู้ชนิดและประโยชน์ของพืชสมุนไพรจากของจริง มีอาหารสุขภาพสูตรแพทย์วิถีธรรม ให้ผู้เข้าค่ายได้รับประทานทั้ง 3 มื้อ ฯลฯ

    หลังจากผ่านค่ายสุขภาพ ข้าพเจ้าได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับมา ไปบอกต่อ และจัดอบรมให้กับ อสม. และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ในตำบลที่รับผิดชอบ ได้พาอสม.และพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าไปเรียนรู้ ในค่ายสุขภาพที่จังหวัดอุดรธานี และที่สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร กิจกรรมหลักในการจัดค่ายทุกครั้งจะคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะ กิจกรรมแนะนำตัวของจิตอาสาที่มาร่วมบำเพ็ญ ซี่งข้าพเจ้าประทับใจมาตลอด ในปี 2559 จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมกาฬสินธุ์ จัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม. โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ อสม.ทุกคนทุกหมู่บ้านในจังหวัดกาฬสินธุ์ และได้เชิญตัวแทนของ จนท.สาธารณสุขและตัวแทนอสม.ในเขตสุขภาพที่ 7 อีก 3 จังหวัด (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์) ไปร่วมงาน ข้าพเจ้าได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมในวันนั้น ขณะที่นั่งอยู่ในห้องประชุมเทศบาลอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ตอนพี่จิตอาสาแนะนำตัวบนเวที ครั้งนั้นพี่จิตอาสาไปเยอะมาก เต็มเวทีด้านบน แทบจะไม่มีที่ให้ยืน ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องประชุม ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ จุคนได้มากกว่า 1,000 คน ผู้มาร่วมงานเต็มห้องประชุม ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวที ขณะนั้นคิดในใจว่า “อยากเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม” อยากได้ไปยืนบนเวที แนะนำตัวเอง และจับมือกับจิตอาสาท่านอื่นๆ ร่วมร้องเพลงแรงใจเพื่อมวลชนบ้าง “จะเป็นไปได้ไหมน้อ…” ซึ่งข้าพเจ้าก็ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก สำหรับเพลงแรงใจเพื่อมวลชน ใครได้ฟัง จะบอกเหมือนกันว่า “เพลงนี้เพราะมาก”

    ต่อมาปลายปี 2559 จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมขอนแก่น ได้จัดค่ายสุขภาพ อีกครั้ง ข้าพเจ้ามีโอกาสร่วมกิจกรรมจัดค่ายสุขภาพ กับพี่จิตอาสาเป็นครั้งแรก และมีส่วนร่วมในการจัดค่ายกระทั่งเสร็จสิ้น ทำให้ข้าพเจ้าได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ เพิ่มขึ้นไปอีก และนำพาพี่น้องในตำบลบ้านโนนปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ต่อมาข้าพเจ้าได้รับการประสานจากพี่จิตอาสาแพทย์วิถีธรรมขอนแก่น ชวนจัดค่ายอบรมนอกเขตอำเภอเมืองขอนแก่น จะจัดเป็นค่ายสุขภาพเล็ก ๆ ในตำบล ระยะเวลา 3 วัน จะทำเป็นค่ายแรกของจังหวัดขอนแก่น โดยพี่จิตอาสาจะออกมาช่วย และให้คำแนะนำการจัดค่าย ตลอดจนการจัดทำหนังสือเอกสารและป้ายประชาสัมพันธ์ ต่างๆ รวมทั้งขั้นตอนการเชิญบุคคลสำคัญมาร่วมงาน ทั้งฝ่ายสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพี่จิตอาสาจากต่างจังหวัด

    ข้าพเจ้ารู้สึกกังวล ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อพี่จิตอาสายืนยันว่าข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งใจทำเต็มที่ โดยใช้งบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโนน ซึ่งต่อมาคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติงบประมาณให้ทำโครงการนี้ทุกปี เพราะท่านเห็นว่าพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์ มาก การจัดค่ายสุขภาพครั้งแรกของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จและผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีความมั่นใจ และมีประสบการณ์ในการจัดค่าย มากขึ้น

    ถึงเวลาฟ้าเปิดให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขตสุขภาพที่ 7 โดยท่านอาจารย์ ดร.สม นาสะอ้าน ซึ่งในตอนนั้นท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานพัฒนายุุทธศาสตร์สาธารณสุข สสจ.กาฬสินธุ์ ได้จัดทำโครงการดี ๆ อบรม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นวิทยากร (ครู ก) การดูแลสุขภาพแบบพึ่งตนตามหลักการแพทย์วิถีธรรมขึ้น ที่จังหวัดมหาสารคาม ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นวิทยากรประจำฐานการเรียนรู้เทคนิคข้อที่ 1 การรับประทานน้ำสมุนไพรปรับสมดุล การอบรมครั้งนั้นระยะเวลา 3 วัน นับว่าเป็นความโชคดีของพี่น้องชาวขอนแก่น เมื่อผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ งานสุขภาพภาคประชาชน ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ได้นำองค์ความรู้แพทย์วิถีธรรมไปสานต่อในพื้นที่ ทั้ง 26 อำเภอ ในปีแรกนำร่อง 10 อำเภอ ๆละ 1 ตำบล ปีต่อมาทุกอำเภอ ๆละ 2 ตำบล ทำให้ข้าพเจ้าและพี่ๆจิตอาสาได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญเป็นวิทยากร ในค่ายอบรม แต่ละตำบล ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในอำเภอนำร่อง ซึ่งในปีที่ 2 ข้าพเจ้ารับผิดชอบ โซนเหนือ มีทั้งสิ้น 6 อำเภอ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ร่วมขับเคลื่อนองค์ความรู้แพทย์วิถีธรรม เข้าหาพี่น้องประชาชนในตำบลต่าง ๆ และร่วมกับพี่จิตอาสาจัดค่ายใหญ่ของจังหวัดขอนแก่นต่อเนื่องทุกปี ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสปวารณาตน เป็นจิตอาสาคบคุ้น และ เป็นเตรียมจิตอาสา ตามลำดับ

    การเป็นจิตอาสา คือผู้เสียสละทำงานฟรี ลดละเลิกการทานเนื้อสัตว์ ฝึกลดกิเลส อาริยศีล เคารพมติหมู่มิตรดี และร่วมกิจกรรมกับหมู่มิตรดีเมื่อมีโอกาส ตามที่เราจัดสรรเวลาได้ ที่จะไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ระยะเวลาผ่านไป 6 ปีกว่า ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามเทคนิค 9 ข้อ(ยา 9 เม็ด) ของแพทย์วิถีธรรม และร่วมกิจกรรมของหมู่มิตรดีต่อเนื่อง ทำให้ข้าพเจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น โรคประจำตัวที่เป็นอยู่หายไปทุกโรค สุขภาพจิตดีขึ้นมาก จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นคนใจร้อน ปัจจุบันก็ใจเย็นลง ความโกรธ ความโลภ ความหลง ต่างๆ ลดลงไป จนเหลือน้อย ถึงน้อยที่สุด ตอนนี้ข้าพเจ้า มีความสุข กับคำว่า “ใจไร้ทุกข์” และคำว่า “ยินดี” กับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ยินดีกับความฝัน ของข้าพเจ้า ที่เคยฝันว่า “อยากจะเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม” วันนี้ความฝันของข้าพเจ้าเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าได้จับมือประสานกับพี่ๆ จิตอาสา และพี่น้องที่มาเข้าค่าย ร่วมร้องเพลงแรงใจเพื่อมวลชน ด้วยความปิติทุกครั้ง ข้าพเจ้ามีความตั้งใจ และมุ่งหวังว่า…ในชีวิตของข้าพเจ้าที่เหลืออยู่ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน ร่วมเข็นกงล้อพระธรรมจักร ร่วมกับพี่ ๆ จิตอาสา และหมู่มิตรดีต่อไป ให้นานที่สุด ตามที่ฟ้าจัดสรรให้ได้บำเพ็ญ อย่างเต็มศักยภาพที่มีอยู่… สาธุ

  12. ปุณยนุช ภูมิอมร

    “พุทธะชนะทุกข์”
    เรื่อง “เลิกให้กระเพาะเราเป็นสุสานฝังสัตว์”

    ชื่อ ปุณยนุช ภูมิอมร ชื่อทางธรรม “บนแดนบุญ” อายุ 55 ปี
    เป็นจิตอาสาจร สังกัดสวนป่านาบุญ1

    ก่อนพบแพทย์วิถีธรรม คิดว่าตนเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตไปตามกระแสโลกคือทำมาหากิน หาเงินเพื่อสะสมให้มีมากๆเพื่อความร่ำรวยซึ่งถูกปลูกฝังว่า การประสบความสำเร็จในชีวิตคือการต้องมีเงินมากๆและเข้าใจว่าการได้ทุกอย่างที่อยากได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน แสดงถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีรวมทั้งคิดว่าอาหารที่เขาทำมาขายกินได้ทุกอย่าง ไม่งั้นเขาคงไม่ทำมาขายหรอกแต่เมื่อมาศึกษาเรียนรู้ธรรมะที่แท้ที่ถูกตรงจึงทราบว่าวิถีชีวิตที่เราเป็น เป็นการสั่งสมวิบากบาปโดยที่เราไม่รู้ตัว การได้ดั่งใจ เช่นอยากกินอะไร อยากได้อะไรก็ได้ เป็นการบำรุงบำเรอกิเลสตนเองเป็นการเอาเปรียบผู้อื่นทำผิดศีลทุกวันเช่น การกินสัตว์ทำให้ผิดศีลทั้ง5 ข้อ คือ ผิดศีลข้อ 1. การเบียดเบียนชีวิต ผิดศีลข้อ2. การขโมยชีวิตเขา เพราะเป็นการเอาของที่เขาไม่ได้ให้ เขาไม่ต้องการให้ชีวิตเขาแก่ใคร ผิดศีลข้อ3 คือการพรากของรัก จากสิ่งที่สัตว์รัก คือพรากชีวิตเขาจากญาติพี่น้องเขาเพราะสัตว์ก็มีพ่อแม่พี่น้องเหมือนกัน ผิดศีลข้อ4.คือการโกหกแผ่เมตตาให้เขามีความสุข แต่การกระทำ สวนทางกับคำพูด ผิดศีลข้อ5. หลง มัวเมาว่าโปรตีนจากสัตว์กินแล้วจะแข็งแรง หลงรสอร่อยซึ่งความจริงเนื้อสัตว์มีกลิ่นคาว จะกินก็ต้องใส่เครื่องเทศเพื่อดับคาวเป็นการปกปิดความจริงด้วย

    เรื่องการกินการใช้ก็ดำเนินแบบเกินจำเป็น เป็นการเอาเกินซึ่งส่วนเกินของเรา คือส่วนขาดของเขา การทำให้เขาขาด เราจึงมีส่วนในวิบากบาปนั้น ผลของอกุศลวิบากจะมีต่อเราในรูปแบบใดไม่รู้

    การได้พบแพทย์วิถีธรรม ช่วงแรกที่เลิกกินสัตว์ตามท่านอาจารย์หมอเขียวสอน เป็นการเลิกเพื่อสุขภาพเพราะทราบว่า สัตว์มีพิษร้อน กินแล้วเราจะป่วย ทุกวันนี้ สัตว์ถูกเลี้ยงด้วยอาหารและยาที่เป็นสารเคมี สัตว์ต้องถูกฉีดยาทั้งที่ ไม่ได้ป่วย เป็นการฉีดป้องกัน เมื่อนึกถึงเรา เราไม่ป่วย จะให้เราไปฉีดยา เราก็ไม่ชอบ (พุทธะไม่บีบบังคับใคร ) เมื่อได้ฟังธรรมะท่านอาจารย์หมอเขียว ฟังบ่อยๆ เปลี่ยนความคิดเป็น เลิกกินสัตว์ เพราะ สงสาร เห็นใจ เพื่อนร่วมโลก เรารู้สึกร้อน หนาว เจ็บปวด เขาก็มีชีวิตจิตวิญญาณเช่นเดียวกับเรา เขาย่อมรู้สึกร้อนหนาวเจ็บปวดเช่นกัน

    ในการเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม จะมีรายการ ที่เปิดให้ผู้เข้าค่ายดูคือ “ชีวิตร่ำไห้ “ซึ่งเห็นการที่สัตว์ถูกต้อนไปโรงฆ่า เห็นอาการก่อนเขาสิ้นชีวิต เห็นความทุกข์ทรมานของเขา แล้ว น้ำตาของดิฉัน ไหลออกมา สงสารสัตว์อย่างจับใจ นึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียว ว่า ชีวิตใคร ใครก็รัก เราฉันใด สัตว์ก็ฉันนั้น ทุกชีวิต รักสุข เกลียดทุกข์ จึงตั้งจิตไว้เลยว่า นับแต่ชาตินี้เป็นต้นไป ดิฉันจะไม่ให้กระเพาะอาหารของดิฉัน เป็นสุสานฝังชีวิตใดๆ อีกแล้ว เพราะการเบียดเบียน การไปพราก จาก สิ่งที่เจ้าของ เขารัก เขาหวงแหน ที่สุด (ชีวิตใคร ใครก็รัก ) เป็นการกระทำ ที่โหดร้าย อำมหิต ที่มนุษย์ผู้ประเสริฐ มิควรทำ

    อานิสงส์จากการเลิกรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยเด็ดขาด ทำให้ ดิฉัน มี สุขภาพกายดีขึ้น เนื้องอกยุบหาย สุขภาพใจดีขึ้นคือ ใจเย็นลง เห็นใจ เข้าใจ ผู้อื่น มากขึ้น การเลิกเนื้อสัตว์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก รวมถึง เรื่องราว เหตุการณ์ในชีวิต ก็ลงตัวมากขึ้น อุปสรรค ปัญหา ในชีวิต น้อยลง
    เจริญธรรมค่ะ

  13. นางสมใจ สิทธิพงษ์

    พุทธะ ชนะทกข์
    ชื่อ นางสมใจ สิทธิพงษ์(ชื่อทางธรรมเพียรพ้นทุกข์)
    สังกัดภาคอีสาน สวนป่านาบุญ 1 จังหวัดมุกดาหาร
    หมวด ความกลัวกังวล
    #เรื่องล้างความกลัว/ การพูดต่อหน้าสาธารณชน
    คำสำคัญ/ การนำเสนอ /ต่อหน้าสาธารณชน

    เริ่มเขียน ณ11/5/65
    เหตุการณ์ ♡พี่จิตอาสาเชิญร่วมออกรายการ โรคกับแพทย์วิถีธรรม และ ชีวิตหลังเลิกกินเนื้อสัตว์ดีอย่างไร
    ข้าพเจ้า♡ได้ตกลงรับปากไปแล้วเกิดความกังวล กลัวจะพูดออกมาไม่ดี พูดไม่ถูกพูดตะกุกตะกัก เพราะเห็นพี่ๆรุ่นพี่ ท่านพูดคล่องพูดได้ใจความ
    แต่ข้าพเจ้าเอง โดยอุปนิสัยเป็นคนกลัวไมค์ กลัวการพูดต่อหน้าสาธารณะชน ไม่กล้าแสดงออกขาดความมั่นใจในตัวเอง กับทุกเรื่องแต่พอมาได้เข้าค่าย แพทย์วิถีธรรมออนไลน์ และได้สมัครเรียน เป็นนักศึกษาวิชชาราม หลักสูตรอริยปัญญาตรี 7 ปีชั้นปีที่1
    ได้มีการส่งการบ้าน ที่มีคุรุผู้มีศีล เป็นผู้แนะนำ ให้ปัญญาทุกเรื่อง
    เช่นเรื่องสุขภาพกายสุขภาพใจปัญหาทางโลก และปัญหาทางธรรม ท่านจะมีคำแนะนำให้ความกระจ่าง คลายทุกข์กายทุกข์ใจได้อย่างดี ซึ่งแต่ก่อนข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัส ในความเป็นพี่เป็นน้อง และอบอุ่นในยามที่มีทุกข์ ได้เข้าไปปรึกษาปัญหา

    ท่านก็แนะนำให้คลายความทุกข์ใจได้มาก เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันมาแต่ชาติปางไหน อย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ ในความรู้สึกของข้าพเจ้า♡

    ต่อมาหลังจากที่ได้
    เข้าค่ายออนไลน์ ได้4เดือนได้มีโอกาส มาเข้าโรงเรียนของหนู แพทย์วิถีธรรม สถาบันวิชาราม
    ได้คบและเคารพมิตรดีมีคุรุ และหมู่มิตรดี พาล้างกิเลสทุกเช้า มีหมู่มิตรดีพาล้างกิเลส ทุกวันตั้งแต่ 4:00 น ถึง 8:00 น ซึ่งแต่ก่อนข้าเจ้าไม่รู้จัก กิเลสเลยว่าหน้าตากิเลสเป็นอย่างไร ทำให้เราทุกข์ใจ

    คือกิเลส ♡มีความอยาก♡กับความยึด
    อยากก็เป็นทุกข์ ♡ยึดก็เป็นทุกข์
    ทุกข์เพราะอยาก ให้เรื่องราวที่เราจะแบ่งปันพูดในสิ่งที่เรามีประสบการณ์กับเรื่องโรคให้ออกมา
    ดี ยึดว่าถ้าพูดไม่ดีจะทุกข์ใจ

    จากที่ข้าพเจ้า♡ได้รับคำแนะนำจากคุรุ
    ว่าเราจะพูดดีก็ได้ พูดไม่ดีก็ได้
    ที่เราพูดไม่ออกเพราะ กิเลสเต็มไปหมด
    ทำให้มีอาการอึดอัด และเกร็งในการที่ เราจะนำเสนอเรื่องราวออกไป

    ข้าพเจ้า♡ก็เพิ่งเข้าใจ ในช่วงขณะที่เรานำเสนอ คุรุให้ตรวจดูว่า เรามีกิเลสไหม ถ้าเรามีกิเลสก็จะพูดไม่ออก
    เมื่อถึงเวลาออกรายการจริง
    2รายการ ในระยะเวลาห่างกัน2วัน
    ข้าเจ้าได้มาตรวจดูในใจว่า

    ข้าพเจ้า♡รู้สึกอย่างไร ได้ตรวจดูว่าใจยังไม่สบาย ยังมีความกังวลว่าเรายังทำไม่ดี ทำไม่เต็มที่
    และได้เข้าไปส่งการบ้าน
    ในโรงเรียนของหนู คุรุเมตตาให้ปัญญาว่า ให้เราเข้าใจว่า
    มันเป็นกิเลส♡ให้ล้างกิเลสตัวนี้ขณะที่เราจะพูดอะไรออกไป
    ถ้าเราล้างได้
    เราจะพูดแบบเอาพุทธะไปพูด ไม่ใช่เอากิเลสไปพูด
    เราก็ได้แบ่งปัน ได้สื่อสารความเป็นพุทธะ ของเราออกไป
    ให้กับโลก เท่านี้เราก็ได้แบ่งปันด้วยใจบริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเรายึดกับโลกธรรมว่า ต้องมีคนชมถึงจถสุขใจ ถ้ามีคนติก็จะทุกข์ใจ เราจะเอาแบบไหน
    ซึ่งข้าพเจ้า ♡ไม่เคยได้รู้จักการแบ่งปันปัญญาแบบนี้เลย
    รู้จักแต่การแบ่งปันวัตถุสิ่งของ
    แต่ไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ได้เลย
    ♡ตรงกับบททบทวนธรรม
    ข้อ 76
    ♡ความสำเร็จของงาน
    ไม่ใช่ความสำเร็จของงาน
    ความสำเร็จของใจ
    คือ ความสำเร็จของงาน
    ใจไร้ทุกข์
    ใจที่ยินดี
    ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า
    งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
    เมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้วเพราะเข้าใจเรื่องกรรม
    อย่างแจ่มแจ้ง♡

    ว่าใครจะได้รับอะไรตอนไหน ก็เป็นวิบากกรรม ของผู้ได้รับฟังรับประโยชน์นั้น
    ถ้าท่านจะได้รับประโยชน์ จากการพูดของเรา วิบากดีท่านก็ออกฤทธิ์ถ้าท่านไม่ได้รับประโยชน์
    จากที่เราได้นำเสนอ เรื่องราวที่เราพูดออกไป ก็เป็นวิบากร้ายของท่าน เราก็ไม่ทุกข์ใจ
    ได้นึกถึงบททบทวนตามข้อ33อีกครั้ง
    ♡ทำดีเต็มที่ทุกวัน
    ก็สุขใจเต็มที่ได้ทุกวัน
    ได้เท่าไหร่พอใจเท่านั้น
    พอใจเมื่อไหร่
    ก็สุขใจเมื่อนั้น♡

    และวันที่ 12 /5/65 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสบำเพ็ญ บันทึกรายการ
    ชีวิตหลังเลิกกินเนื้อสัตว์ดีอย่างไร กับพี่ๆอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ความทุกข์ใจอะไรเท่าไหร่ ทำใจแบบสบายๆกิเลสมาตอนไหนก็รู้ทัน
    และล้างกิเลสออกสำเร็จ
    ใจก็ไร้ทุกข์ ได้แบ่งปันประสบการณ์ออกไป แบบไม่กังวล
    พูดได้เท่าไหร่ก็ พอใจเท่านั้น เพราะพูดออกมาจากสภาวธรรม
    ที่มีของข้าพเจ้า
    มีเท่านี้ก็พูดได้เท่านี้ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร ทำให้ใจเป็นสุขได้
    ทำเท่าที่ได้ก็สุขใจแล้ว
    พุทธะชนะทุกข์ ในใจของข้าพเจ้า ได้แล้ว
    ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 51 ♡ทำดีเต็มที่ทุกวัน
    ก็สุขใจเต็มที่ได้ทุกวัน♡

    ขอน้อมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน และพี่น้องจิตอาสา
    หมู่มิตรดีทุกท่าน
    ที่ให้ปัญญาพาพ้นทุกข์
    กับข้าพเจ้า สาธุ(อธิษฐาน)(อธิษฐาน)(อธิษฐาน)
    บทความนี้เขียน ณ วันที่13พฤษภาคม 2565
    ประวัติโดยย่อ นางสมใจ สิทธิพงษ์ ชื่อทางธรรมเพียรพ้นทุกข์
    อายุ 53 ปี
    สถานภาพ มีบุตร 1 คน
    ปัจจุบันเป็นจิตอาสาคบคุ้น
    สังกัดภาคอีสานสวนป่านาบุญ 1
    จังหวัดมุกดาหาร
    และ เป็นนักศึกษาสถาบันวิชารามหลักสูตรอริยปัญญาตรี7ปีชั้นปีที่1
    และประกาศนียบัตรแพทย์แผไทย วิถีธรรมค้ำจุนโลก หลักสูตร6เดือน

  14. ธัญมน หมวดเหมน (มั่นแสงธรรม)

    ชื่อเรื่อง: ประสบการณ์ชีวิตวัยทำงานของข้าพเจ้า (ก่อนพบแพทย์วิถีธรรม)
    หมวด: เหตุการณ์
    ช่วงชีวิตวัยทำงานของข้าพเจ้าก่อนพบแพทย์วิถีธรรม เป็นช่วงชีวิตที่ค่อนข้างยาวนานพอสมควร คือประมาณ 24 ปีกว่าๆ เริ่มตั้งแต่อายุ 19 ปี (พ. ศ. 2535)หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลายจนถึงอายุ 45 ปี (พ. ศ. 2559) จึงมีโอกาสได้พบ แพทย์วิถีธรรมได้รู้จักอาจารย์หมอเขียวผ่านทาง youtube
    ซึ่งในการทำงาน 14 ปีแรกเป็นการทำงานในโรงงาน ที่จังหวัดสมุทรสาคร และภายใน 14 ปีนั้นข้าพเจ้าได้ย้ายสถานที่ทำงานประมาณ 6-7 แห่ง เนื่องจากเป็นคนมีนิสัยขี้เบื่อ(เบื่อความซ้ำซากจำเจ)โดยในจำนวนโรงงาน 6-7 แห่งนั้นก็มีทั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตกระป๋องเปล่า โรงงานผลิตอาหารญี่ปุ่น โรงงานเย็บผ้า โรงงานผลิตเครื่องคิดเลข-คอมพิวเตอร์และ โรงงานผลิตรองเท้าผ้าใบส่งออกเป็นต้น และช่วง 10 ปีหลังของชีวิตวัยทำงาน (ปี 2551 -2561)ก่อนได้เข้ามาปฏิบัติตามแนวทางแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าได้ผันตัวเองมาทำอาชีพหมอนวด ซึ่งสาเหตุก็มาจากเบื่อความซ้ำซากจำเจในการทำงานโรงงานนั่นเอง
    ช่วงชีวิตวัยทำงานนี้เองเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตกินเสพ ตามกระแสของคนในโลกอย่างเต็มที่ทีเดียว โดยเฉพาะการเสพกามในรูป รส กลิ่น เสียงเรื่องการกิน ซึ่งในช่วงนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่าตัวเองจะกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากกว่าช่วงวัยเด็ก เพราะสามารถหาซื้อกินได้ง่าย และยังติดอาหารรสจัดทุกประเภททั้งเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด ทั้งในรูปของอาหารและขนมทุกอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากในการที่จะซื้อมาเสพ เพราะมีอาหารที่ปรุงสำเร็จรูป ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ในราคาที่ไม่แพงมากนัก โดยเราไม่ต้องทำเองให้ยุ่งยาก เพราะเป็นคนไม่ชอบทำอาหารอยู่แล้ว และจากการกินอาหารรสจัด และอาหารเนื้อสัตว์นี้เอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดโรคภัยต่างๆ มากมายหลายโรคตามมาเป็นขบวน ซึ่งแต่ละโรคจะเป็นๆหายๆอยู่เป็นระยะๆ ไม่หายขาด ทั้งโรคแผลร้อนในปาก ต่อมทอนซิลอักเสบ โรคไข้หวัด ไอเรื้อรัง โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคลำไส้อักเสบและอาการท้องเสียเรื้อรัง ไปจนถึงโรคริดสีดวงทวาร
    ถ้าพูดถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่มีวินัยในการดูแลตัวเองดีพอสมควร คือจะดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการระวังไม่ให้ร่างกายถูกแดดถูกฝนอากาศร้อนอากาศเย็น เพราะเป็นความจำที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ จากการที่ตัวเองมีโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัวมาแต่เกิดว่า สาเหตุเหล่านั้นจะทำให้อาการโรคของเรากำเริบขึ้นมาได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะระวังมากในเรื่องเหล่านี้จนกลายเป็นความกลัวกังวลเวลามีฝนตกหรือเวลาที่ต้องถูกแสงแดดนานเกินไปหรืออากาศเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าจะต้องรีบกินยาแก้แพ้อากาศดักรอไว้ก่อนเสมอ
    แต่เป็นที่น่าแปลกว่าแทบทุกครั้งข้าพเจ้าก็จะมีอาการไข้หรือเป็นหวัดและลุกลามมีอาการไอเรื้อรังตามมาตลอดทั้งที่คิดว่าป้องกันอย่างดีที่สุดแล้ว จนทำให้คิดว่าตัวเองคงจะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนปกติ จากการที่มีโรคประจำตัวคือโรคหอบหืดนั่นเอง จึงทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นในการที่จะไม่ให้ร่างกายถูกฝน แสงแดดที่ร้อนเกินไป หรือเวลาที่ร่างกายต้องสัมผัสกับอากาศร้อนหรืออากาศที่เย็นมากเกินไป ก็ต้องกินอาหาร ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีความร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและการกำเริบของโรคที่จะตามมา โดยตอนนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องสมดุลร้อนเย็นแต่อย่างใด เป็นแต่ปฏิบัติตามวิธีการและความเชื่อแบบที่พ่อแม่เคยพาปฏิบัติมาตั้งแต่วัยเด็กเท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของตัวเองโดยเฉพาะพฤติกรรมเรื่องการกินอาหารจะเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมายและยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบของโรคที่ตัวเองเป็นอยู่แล้วด้วย จึงไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเองแต่อย่างใด
    เพราะฉะนั้นเวลาเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นข้าพเจ้าก็จะใช้การไปรักษากับหมอแผนปัจจุบันเป็นหลักด้วยการฉีดยาและรับยามากิน ซึ่งข้าพเจ้าจะมีวินัยในการปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์เป็นอย่างดี คือจะกินยาจนหมดทุกครั้งที่ได้รับมา ป้องกันอาการดื้อยาตามที่คุณหมอสั่ง และนั่นทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าตัวเองดูแลตัวเองดีที่สุดแล้ว แต่ก็แปลกใจว่าทำไมยังมีโรคต่างๆ มารบกวนชีวิตอยู่เป็นระยะๆ สร้างความรำคาญใจให้กับข้าพเจ้าในเรื่องสุขภาพความเจ็บป่วยของตัวเองอยู่เนืองๆ
    จนอายุย่างเขัา 30 ปีต้นๆข้าพเจ้าสังเกตว่าโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองที่เป็นอยู่ค่อยๆลดลงและหายไปทีละโรค อาจเป็นเพราะช่วงอายุยี่สิบตอนปลายนั้นข้าพเจ้าได้เลิกการกินเนื้อสัตว์ใหญ่โดยเด็ดขาด(เนื้อวัว ควาย)จากการที่มีคนทักว่าตัวเรามีเจ้าแม่กวนอิมคุ้มครองอยู่ ถ้าเป็นไปได้ให้เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่เสีย ซึ่งข้าพเจ้าก็เลิกได้โดยไม่ยากอะไร เพราะปกติก็ไม่ค่อยกินอยู่แล้ว แต่ยังมีกินเนื้อหมู ไก่ ปลาอยู่
    ในช่วง 5 ปีหลังของการทำงานอาชีพหมอนวด ก่อนที่ข้าพเจ้าจะรู้จักแพทย์วิถีธรรม ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ อาจเป็นเพราะช่วงนั้นข้าพเจ้าได้ลดการกินอาหารรสจัดลงด้วย โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ดจัดแบบที่เคยกินมาตลอด เพราะเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าต้องไปทำงานนวดในต่างประเทศ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปเป็นลำดับ ตั้งแต่เรื่องการกินอาหาร คือเริ่มทำอาหารกินเอง ทำให้เริ่มใส่ใจในการดูแลเรื่องความสะอาดของวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหาร เน้นการกินผักผลไม้มากขึ้น และมีการแช่ทำความสะอาดผักผลไม้เหล่านั้นในน้ำยาล้างผักเพื่อลดสารพิษที่ปนเปื้อนมาในผักผลไม้นั้นๆด้วย
    สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของข้าพเจ้าแข็งแรงขึ้นโรคลดลง ก็คือข้าพเจ้ามีการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วและทำโยคะอยู่ประมาณ 2 ปีก่อนได้พบแพทย์วิถีธรรม เนื่องจากได้แรงบันดาลใจจากการไปทำงานนวดที่ประเทศมาเลเซียและได้เห็นคนจีนมาเลเซียที่เขามีวินัยในเรื่องการออกกำลังกายกันมากและทุกคนก็ดูแข็งแรงดี แม้ส่วนใหญ่จะเป็นวัยเกษียณอายุการทำงานแล้วก็ตาม
    ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมและมีกำลังใจอย่างมากในการสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองลุกขึ้นมาออกกำลังกายตามได้ ทั้งที่ชีวิตที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นไม่ชอบการออกกำลังกายเลย ซึ่งก็เป็นผลดีกับร่างกายตัวเองในเวลาต่อมา
    นอกจากการเสพอาหารที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆกับตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าก็ถือว่ามีความโชคดีอยู่บ้าง ที่ตัวเองไม่ได้เสพติดในอบายมุขเรื่องอื่นมากนัก เช่น เรื่องการแต่งตัวแต่งหน้าที่จำเป็นต้องแต่ง ก็เพียงเพราะเป็นกฎข้อบังคับของสถานที่ทำงานและลักษณะของงานที่ทำ(งานนวด) ซึ่งถือเป็นงานบริการเท่านั้น เรื่องการท่องเที่ยวและการเสพติดของมึนเมาก็น้อยมากเพราะเป็นคนไม่ชอบเที่ยวและไม่เสพของมึนเมาทุกอย่างมาแต่วัยเด็กแล้ว
    ในมุมหนึ่งของช่วงชีวิตวัยทำงานนี้เอง ที่ข้าพเจ้ามีเรื่องเพศตรงข้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตอยู่บ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่เข้ามารู้จักก็จะเข้ามาในลักษณะผ่านการติดต่อแนะนำจากเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าเอง แต่อาจจะเป็นที่ข้าพเจ้าเป็นคนเรื่องมากและตั้งสเปคไว้สูงเกินไปจึงทำให้ผู้ชายแต่ละคนที่เข้ามาก็จะเริ่มห่างออกไปทีละคน
    ข้าพเจ้าเองมีความรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเองรักใครได้ยากมาก พอเห็นข้อเสียของเขาเพียงนิดเดียวใจข้าพเจ้าก็ออกห่างเขาเสียแล้ว เหมือนคนเอาแต่ใจตัวเอง จนเพื่อนสนิทเคยบอกว่า คุณสมบัติผู้ชายแบบที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นน่าจะมีแต่พระเท่านั้นแหละ เพราะแค่ผู้ชายที่ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่เจ้าชู้นี่ก็หายากแล้ว การจะหาคนที่ไม่พูดโกหก ซื่อสัตย์ รักครอบครัวของเรา เคารพและต้องดูแลพ่อแม่ของเราได้อีก สงสัยต้องอยู่คนเดียวน่าจะง่ายกว่า ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะคิดว่าตัวเองคงไม่มีเนื้อคู่ด้วยกระมังเพราะไม่เคยมีจินตนาการเรื่องแต่งงานอะไรกับเขาเลย จึงบอกเพื่อนให้เลิกติดต่อใครเข้ามาให้อีก เพราะรู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องเรียนรู้ นิสัยและพฤติกรรมของแต่ละคนที่เข้ามา
    พอกลับมานึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง หลังจากได้มาปฏิบัติตามแนวทางแพทย์วิถีธรรม ได้มาพบสัตบุรุษ (อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน) และได้ฟังธรรมะแท้ของพระพุทธเจ้าจากท่าน ซึ่งการฟังธรรมะ ละบาป บำเพ็ญกุศลทำจิตใจให้ผ่องใส ถือเป็นยาเม็ดเลิศในยา 9 เม็ดของอาจารย์หมอเขียวด้วย ทำให้รู้สาเหตุหลักของการเกิดทุกข์เกิดโรคของตัวเอง ว่าเกิดจากร่างกายไม่สมดุลจากการกินอาหารที่ไม่ถูกสมดุลร้อนเย็นเช่น อาหารเนื้อสัตว์และอาหารรสจัด บวกกับวิบากร้ายที่เราเคยพลาดทำมาทั้งในชาตินี้และชาติก่อนๆ และใจที่มีความกลัวกังวลหวั่นไหวนั่นเองที่เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดโรคได้ทุกโรค และเกิดทุกข์ทางกายตามมา
    และได้เข้าใจตามสัจจะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การจะดับโรคดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นเกิด และการจะเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์และวิธีดับทุกข์ได้ ต้องได้พบสัตบุรุษเป็นผู้ชี้ทางให้เท่านั้น(ด้วยการฟังสัทธรรมจากท่าน)จึงจะทำให้เราได้รู้และเข้าใจในแนวทางปฏิบัติที่ถูกตรงที่จะนำพาชีวิตเราให้หลุดพ้นออกมาจากทุกข์ได้ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้ามาสู่เส้นทางพุทธะ หรือเส้นทางการปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ตามแนวทางแพทย์วิถีธรรมในเวลาต่อมา

    วันที่เขียน 15 พฤษภาคม 2565 ณ ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ

Comments are closed.