At bagon.is you can Buy webshells, phpmailer, Combo list
พุทธะชนะทุกข์ : ภาคกลาง (พฤษภาคม 2565) [4] | สถาบันวิชชาราม
Skip to content

พุทธะชนะทุกข์ : ภาคกลาง (พฤษภาคม 2565) [4]

นักศึกษาวิชชารามและจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ร่วมบันทึกเรื่องราวจากชีวิตจริงของตนเองที่ได้เรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือคำสอนของครูบาอาจารย์ …อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โจทย์ พุทธะชนะทุกข์

!สำหรับนักศึกษาสังกัดภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก

นักศึกษาพิมพ์เรื่องราวหรือคัดลอกข้อมูลส่งในส่วนแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

4 thoughts on “พุทธะชนะทุกข์ : ภาคกลาง (พฤษภาคม 2565) [4]”

  1. นางธมกร พลสุวรรณ(ใจทางธรรม)

    นางธมกร พลสุวรรณ(ใจทางธรรม) อายุ 62 ปี
    ุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นางธมกร พลสุวรรณ(ใจทางธรรม) อายุ 62 ปี
    สังกัด ภาคกลาง สวนป่านาบุญ 9 สุพรรณบุรี
    หมวด ครอบครัว
    ชื่อเรื่อง ความทรงจำ
    คำสำคัญ : ความพลัดพรากนั้นเป็นทุกข์
    ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เกิดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (จังหวัดนราธิวาส )ฉันมีพี่น้อง 2 คน
    คือพี่ชาย และฉัน ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย.
    ฉันเป็นเด็กที่สนิทกับคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ เนื่องจากคุณแม่ท่านเป็นคนประหยัดเก็บเงินเก่ง จะใช้จ่ายต้องมีเหตุผล ส่วนคุณพ่อท่านเป็นคนใจดีมากๆ ฉันต้องการอะไรคุณพ่อก็จะซื้อให้ฉันไม่เคยขัดใจ ฉันจำได้ว่าเมื่อฉันถึงวัยเข้าเรียน อายุ 6 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ส่งฉันไปเข้าเรียนโรงเรียนประจำที่ต่างจังหวัดเหมือนอย่างพี่ชาย โดยคุณพ่อเป็นคนพาฉันไปส่งที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนมีคุณครูมารับฉัน แต่ฉันไม่ยอมที่จะอยู่ฉันร้องไห้เสียงดังไม่ยอมหยุด ปากก็พูดว่า “ คุณพ่อไม่รักหนูแล้วใช่ไหม ? ถึงเอาหนูมาอยู่กับคนอื่น “ ตอนนั้นคุณพ่อบอกให้คุณครูมาจับฉันไว้ และคุณพ่อเดินหันหลังกลับไป ฉันดิ้นและร้องไห้ต่อสู้สุดแรงตามประสาเด็กแต่คุณครูก็ไม่ยอมปล่อย ฉันก็เลยกัดมือคุณครูอย่างเต็มที่จนคุณครูต้องปล่อยฉันด้วยความเจ็บ แล้วฉันก็วิ่งไปเกาะแข้งเกาะขาคุณพ่อและร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง คุณพ่ออยู่กับฉันจน ฉันหลับด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อฉันตื่นขึ้นมาฉันไม่เห็นคุณพ่อ ฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดด้วยความคิดถึงคุณพ่อ และมาหยุดร้องไห้ตอนเห็นคุณพ่อกลับมาหาฉันอีกครั้งหนึ่ง ฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดขาคุณพ่อและร้องไห้อีกครั้ง เมื่อฉันเงยหน้าดูคุณพ่อด้วยน้ำตาอาบแก้ม คุณพ่อก็โน้มตัวลงมาเพื่อจะกอดฉัน สิ่งที่ฉันเห็นคือ คุณพ่อน้ำตาซึม แล้วบอกกับฉันว่า “กลับบ้านเถอะลูก” ทำให้ฉันหยุดร้องไห้โดยอัตโนมัติ ฉันดีใจที่สุดโถมเข้ากอดคอคุณพ่อและหอมแก้มคุณพ่อซ้ำแล้วซ้ำอีก.
    เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อจูงฉันเข้าบ้านเจอคุณแม่ๆ ถามคุณพ่อว่า “อ้าวทำไมถึงเอาลูกกลับมา” คุณพ่อบอกคุณแม่ว่า “ สงสารลูกทำใจไม่ได้ เพราะลูกร้องไห้ตลอดจนหลับ จึงตัดสินใจย้อนกลับไปรับลูกกลับบ้าน.” คุณแม่ก็พูดกับคุณพ่อว่า “อุตส่าห์ให้คุณพ่อเป็นคนไปส่งเข้าโรงเรียนคิดว่าคุณพ่อน่าจะใจแข็งกว่าคุณแม่ ที่ไหนได้ พ่อลูกก็จูงมือกันกลับมา” คุณแม่ก็บ่นว่า “เสียดายเงินที่จ่ายให้โรงเรียนเขาไปแล้ว”.
    ฉันมีความสุขมากที่ได้กลับบ้าน มาเข้าโรงเรียนเอกชน และได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ต่างจากพี่ชายที่ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ จะได้กลับบ้านก็ช่วงปิดเทอม จนบางครั้งพี่ชายก็บ่นน้อยใจว่า คุณพ่อคุณแม่รักฉันมากกว่า.
    เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำ ความประทับใจ ที่ทำให้ฉันจดจำ และทำให้ฉันรับรู้ถึงความรู้สึก ความผูกพันที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ และรับรู้ถึงความรู้สึกการพลัดพรากจากครอบครัวไปเป็นนักเรียนประจำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม.

    บันทึก ณ วันจันทร์ที่ 2 เดือนพฤษภาคม 2565.

  2. นางธมกร พลสุวรรณ(ใจทางธรรม) อายุ 62 ปี

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นางธมกร พลสุวรรณ(ใจทางธรรม) อายุ 62 ปี
    สังกัด ภาคกลาง สวนป่านาบุญ 9 สุพรรณบุรี
    หมวด ครอบครัว
    ชื่อเรื่อง ความทรงจำ
    คำสำคัญ : ความพลัดพรากนั้นเป็นทุกข์

    ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เกิดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (จังหวัดนราธิวาส )ฉันมีพี่น้อง 2 คน
    คือพี่ชาย และฉัน ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย.
    ฉันเป็นเด็กที่สนิทกับคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ เนื่องจากคุณแม่ท่านเป็นคนประหยัดเก็บเงินเก่ง จะใช้จ่ายต้องมีเหตุผล ส่วนคุณพ่อท่านเป็นคนใจดีมากๆ ฉันต้องการอะไรคุณพ่อก็จะซื้อให้ฉันไม่เคยขัดใจ ฉันจำได้ว่าเมื่อฉันถึงวัยเข้าเรียน อายุ 6 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ส่งฉันไปเข้าเรียนโรงเรียนประจำที่ต่างจังหวัดเหมือนอย่างพี่ชาย โดยคุณพ่อเป็นคนพาฉันไปส่งที่โรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนมีคุณครูมารับฉัน แต่ฉันไม่ยอมที่จะอยู่ฉันร้องไห้เสียงดังไม่ยอมหยุด ปากก็พูดว่า “ คุณพ่อไม่รักหนูแล้วใช่ไหม ? ถึงเอาหนูมาอยู่กับคนอื่น “ ตอนนั้นคุณพ่อบอกให้คุณครูมาจับฉันไว้ และคุณพ่อเดินหันหลังกลับไป ฉันดิ้นและร้องไห้ต่อสู้สุดแรงตามประสาเด็กแต่คุณครูก็ไม่ยอมปล่อย ฉันก็เลยกัดมือคุณครูอย่างเต็มที่จนคุณครูต้องปล่อยฉันด้วยความเจ็บ แล้วฉันก็วิ่งไปเกาะแข้งเกาะขาคุณพ่อและร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง คุณพ่ออยู่กับฉันจน ฉันหลับด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อฉันตื่นขึ้นมาฉันไม่เห็นคุณพ่อ ฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดด้วยความคิดถึงคุณพ่อ และมาหยุดร้องไห้ตอนเห็นคุณพ่อกลับมาหาฉันอีกครั้งหนึ่ง ฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดขาคุณพ่อและร้องไห้อีกครั้ง เมื่อฉันเงยหน้าดูคุณพ่อด้วยน้ำตาอาบแก้ม คุณพ่อก็โน้มตัวลงมาเพื่อจะกอดฉัน สิ่งที่ฉันเห็นคือ คุณพ่อน้ำตาซึม แล้วบอกกับฉันว่า “กลับบ้านเถอะลูก” ทำให้ฉันหยุดร้องไห้โดยอัตโนมัติ ฉันดีใจที่สุดโถมเข้ากอดคอคุณพ่อและหอมแก้มคุณพ่อซ้ำแล้วซ้ำอีก.
    เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อจูงฉันเข้าบ้านเจอคุณแม่ๆ ถามคุณพ่อว่า “อ้าวทำไมถึงเอาลูกกลับมา” คุณพ่อบอกคุณแม่ว่า “ สงสารลูกทำใจไม่ได้ เพราะลูกร้องไห้ตลอดจนหลับ จึงตัดสินใจย้อนกลับไปรับลูกกลับบ้าน.” คุณแม่ก็พูดกับคุณพ่อว่า “อุตส่าห์ให้คุณพ่อเป็นคนไปส่งเข้าโรงเรียนคิดว่าคุณพ่อน่าจะใจแข็งกว่าคุณแม่ ที่ไหนได้ พ่อลูกก็จูงมือกันกลับมา” คุณแม่ก็บ่นว่า “เสียดายเงินที่จ่ายให้โรงเรียนเขาไปแล้ว”.
    ฉันมีความสุขมากที่ได้กลับบ้าน มาเข้าโรงเรียนเอกชน และได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ต่างจากพี่ชายที่ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ จะได้กลับบ้านก็ช่วงปิดเทอม จนบางครั้งพี่ชายก็บ่นน้อยใจว่า คุณพ่อคุณแม่รักฉันมากกว่า.
    เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำ ความประทับใจ ที่ทำให้ฉันจดจำ และทำให้ฉันรับรู้ถึงความรู้สึก ความผูกพันที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ และรับรู้ถึงความรู้สึกการพลัดพรากจากครอบครัวไปเป็นนักเรียนประจำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม.

    บันทึก ณ วันจันทร์ที่ 2 เดือนพฤษภาคม 2565

  3. จิราวรรณ ดาโรจน์

    จิราวรรณ ดาโรจน์ (หน่อง) / ชื่อทางธรรม เย็นไพรศีล
    สังกัด ภาคกลาง สวนป่านาบุญ 9 จังหวัดสุพรรณบุรี
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง โดดเรียน
    คำสำคัญ ; ยึดความคุ้มค่า, ไม่อยาก, ไม่ได้ดั่งใจ

    ตั้งแต่เริ่มสมัครเรียนและสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนป.เอก จนกระทั่งเปิดเทอมและเริ่มเรียน เมื่อกลางปี 2564 ทางมหาวิทยาลัยใช้วิธีจัดการแบบออนไลน์มาตลอดเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด19 ในเทอมแรกผู้เขียนรู้สึกชอบใจมากที่ไม่ต้องขับรถเดินทางไปเรียนถึงมหาวิทยาลัย พอมาเทอมช่วงต้นเทอมก็ยังคงมีการเรียนการสอนแบบออนไลน์เหมือนเดิม จนกระทั่งต้นเดือนธันวาคม 2564 สถานการณ์โรคโควิด19 เริ่มคลี่คลายลงบ้าง มีเหตุที่อาจารย์ท่านหนึ่งท่านไม่สะดวกสอนแบบออนไลน์ ทำให้นิสิตทุกท่านต้องไปเรียนแบบอออนไซต์ ผู้เขียนไปเรียนออนไซต์ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าเป็การเสียเวลามากเพราะวิชาทั้งภาคเช้าและบ่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ไม่ต้องเข้าไปเรียนก็สามารถศึกษาเองได้ รู้สึกชังการต้องขับรถไป-กลับ พอไม่ชอบใจก็คิดปรุงแต่งต่อว่า มันไม่คุ้มค่าเลยกับเวลาที่ต้องขับรถไปกลับถึง 4 ชั่วโมง ถ้ารถติดก็เกือบ 5 ชั่วโมง เสียทั้งค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน เพื่อไปเรียนสิ่งที่ธรรมดามากๆ
    ความคิดฟุ้งซ่านว่าจะเอาอย่างไรดี ไม่อยากขับรถไปเรียนในสัปดาห์ถัดไป จะเอาอย่างไรดี หาเรื่องหาเหตุผลที่จะไม่ไปเรียนดีกว่า พอตัดสินใจได้ว่าจะไม่ไปในครั้งที่ 2 ความจริงความทุกข์เริ่มเกิดขึ้นแล้วจาก “ความไม่อยาก” แต่ก่อนถึงวันเรียน ความรู้สึกไม่แรงมาก และเมื่อตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไม่ไปเรียน เหมือนมันจะหลบซ่อนอยู่
    พอถึงวันเรียนจริง ผู้เขียนก็ไม่ไปเรียน แต่ความรู้สึกที่จับได้ คือ รู้สึกใจไม่โปร่ง ไม่โล่ง มีอะไรคาใจอยู่ เริ่มคิดว่า เราทำผิดหรือไม่ที่ไปเรียน แม้จะมีภารกิจอื่น แต่ถ้าจะไปจริงๆก็สามารถบริหารจัดการได้ แต่ไม่อยากไป เมื่อกังวลแบบนี้ ผู้เขียนเริ่มพิจารณาหาเหตุแห่งทุกข์ ว่าเกิดจากกิเลสตัวไหนบ้าง ที่หยิบมาทบทวน ได้แก่
    – “ไม่อยากเรียนออนไซต์” เอ! ไม่ใช่นะ ถ้าไปแล้วอาจารย์สอนดี สอนเก่งเราจะยินดีไปเรียน แต่นี่สอนแบบอย่างนั้น ทั้ง 2 วิชา แต่ว่า อาจารย์ผู้หญิงท่านตั้งใจสอนมากเลยนะ น่าจะไปเรียนให้กำลังใจท่าน พบแล้ว 1 ตัว “ตัวยึดดี อยากให้กำลังใจอาจารย์” ก็ตัดสินใจแล้ว กิเลสจะมาให้ย้อนคิดอะไรอีกนะ เมื่อเจอตัวนี้แล้ว ใจก็ยังไม่โปร่ง ไม่โล่ง ยังมีตัวกิเลสไหนอีก
    – “เสียดายเวลา เสียดายค่าเดินทาง” ไม่ใช่ เพราะถ้าสอนดี ก็อยากเรียน
    – “กังวล กลัวโดนหักคะแนน” ไม่ใช่ เพราะรู้แล้วว่า ขาดเรียนแค่ครั้งเดียวไม่มีผล และทั้ง 2 วิชา ไม่มีเกรด
    แล้วเราติดอะไร คิดไม่ออก วุ่นวายใจเล็กๆ รู้ว่าทุกข์เพราะใจร้อน อยากให้ใจโปร่งโล่ง เบิกบาน พอมีโอกาสจึงได้ปรึกษาอาจารย์หมอเขียว ท่านบอกว่า จะไปเรียนหรือไม่ไปเรียน จะมีข้ออ้างอะไรก็ได้ แต่ใจต้องไม่ทุกข์ พอฟังแล้วใจสบายขึ้น แต่จับเวทนา(ความรู้สึก)ได้ว่า ยังไม่โล่งเต็มที่ ยังบานไม่เต็ม
    รุ่งขึ้นได้คุยกับเพื่อนจิตอาสาถึงเหตุการณ์นี้ เราพูดคำว่า “อยากให้อาจารย์ชี้กิเลสเรา” แต่อาจารย์ไม่ได้บอก เพื่อนบอกว่านี่อย่างไร “เธอยึดอยากให้อาจารย์บอกว่าเราติดกิเลสอะไร” ใช่ ใช่เลย ตัวนี้ พ่วงกับตัวใจร้อนอยากให้กิเลสลงเร็วๆ พอเพื่อนชี้กิเลสตัวนี้ เราก็เจอกิเลสที่เหลืออีกตัวได้เลยว่า “ยึดความคุ้มค่า” เอาเรื่องความคุ้มค่ามาประเมินสิ่งที่จะทำหรือไม่ทำ เมื่อคิดว่าความรู้จากการไปเรียนไม่คุ้มกับเวลาและค่าใช้จ่ายมันไม่คุ้มกัน จึงไม่ชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจ จึงทุกข์ บวกกับความได้ดั่งใจที่เรียนออนไลน์แบบสบายๆมาตลอด พอต้องไปเรียนออนไซต์ จึงไม่ชอบใจ จึงทุกข์
    ต้องขอบคุณเหตุการณ์นี้ที่ทำให้ได้เห็น ได้ล้างกิเลสตัว “ยึดความคุ้มค่า” ทำให้เวลาเราไม่ต้องเสียเวลาไปกับการตัดสินใจในเรื่องอื่นๆ ที่ต้องคุ้มค่า คุ้มราคา คุ้มเวลา โดยไม่จำเป็น
    ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนเวลาจะซื้อสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ แม้จะมีราคามาตรฐานอยู่และราคาก็ไม่ได้สูงมาก ไม่ใช่การซื้อรถยนต์ อุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาสูง แต่เดิมเรายังไปค้นหาร้านที่ถูกที่สุด(ในออนไลน์)แม้สินค้านั้นจะไม่ได้มีราคาสูง จะดูว่ามีส่วนลด มีแถม มัวยึดความคุ้มค่า คุ้มราคา
    ผู้เขียนได้ล้างความยึดเรื่องการซื้อสินค้าต้องคุ้มค่า มาได้นานเป็นปีแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะมีกิเลสตัว “ยึดความคุ้มค่า” ในเหลี่ยมมุมอื่นอีก เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่ากิเลสมีหลายเหลี่ยมหลายมุมจริงๆ และมันมาพร้อมๆกับตัวอื่นๆอีกด้วย เมื่อเจอเหลี่ยมมุมที่ถูกตัว ผู้เขียนรู้สึกใจเบา โปร่ง โล่ง ความเบาสบายกลับมาอีกครั้ง
    ___________________________________
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 31 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    จิราวรรณ ดาโรจน์ อายุ 57 ปี สถานภาพ สมรส
    สุขภาพร่างกาย แข็งแรง
    เข้าค่ายครั้งแรกปี 2555 ด้วยเหตุผล สนใจแพทย์ทางเลือกเพื่อรักษาตัวเอง
    ปัจจุบันเป็นจิตอาสา สังกัดภาคกลาง สวนป่านาบุญ 9 จังหวัดสุพรรณบุรี
    การศึกษา ป.ตรี เภสัชศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยมหิดล
    ป.โท MBA จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA)
    กำลังศึกษา ป.เอก พุทธศาสตร์ สาขาพระไตรปิฎก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    และ กำลังศึกษาอริยปัญญาตรี สถาบันวิชชาราม

  4. ประภาพรรณ โอษฐ์ยิ้มพราย นศ.วิชชารามหลักสูตร7ปี ชั้นปีที่1

    ประภาพรรณ โอษฐ์ยิ้มพราย นศ.วิชชารามหลักสูตร7ปี ชั้นปีที่1
    เจริญธรรมค่ะ
    แก้ไขและเพิ่มเติมค่ะ
    พุทธะชนะทุกข์
    เรื่อง ล้างใจด้วยความยินดี(ก่อนและหลังฉีดวัคซีน)
    ช่วงรณรงค์ให้ฉีดวัคซีน ข้าพเจ้าปฏิเสธตลอดไม่ขอฉีดเป็นอันขาด มีความกลัวผลข้างเคียง กลัวไม่ปลอดภัย กลัวพิษเข้าร่างกาย เหตุเพราะผื่นคันที่เป็นๆหายๆยังไม่หายสนิทด้วย ยิ่งเพิ่มความกังวลตลอด วันนึงได้ฟังธรรมอาจารย์ๆได้กล่าวว่า ใครจะฉีดหรือไม่ฉีดก็ได้ แล้วแต่ความจำเป็น บางครั้งเพราะหน้าที่ ต้องรับผิดชอบ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าต้องฉีดวัคซีนก่อนก็ต้องฉีด ข้าพเจ้าตั้งใจฟังอาจารย์ตลอด ปัญญาก็เกิดขึ้นว่า “เราอยู่ในสังคม ครอบครัว และเราต้องเดินทาง”พิจารณาไป ทำใจในใจไป ทบทวนไป เราต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนรวม ต่อครอบครัว และยอมรับความจริงในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สภาวะที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เปิดใจยินดีรับการฉีดวัคซีน ซึ่งพอดีได้รับข่าวการรับวัคซีนที่เปิดบริการให้ประชาชน walk in ในโรงพยาบาลใกล้บ้านตนเองได้ ซึ่งบ้านของข้าพเจ้าใกล้ โรงพยาบาลสรรพยามีระยะทางไม่ถึง2กิโลเมตร ข้าพเจ้าก็ได้เตรียมตัวจัดการเก็บสมุนไพรมาต้มอาบ ดื่มน้ำ5พลัง เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนจะฉีดวัคซีนในวันที่กำหนด
    ในวันที่28 ธันวาคม2564 ข้าพเจ้าก็ฉีดเข็มที่1 ก่อนฉีดหมอก็ให้เข้าเครื่องวัดความดันและหัวใจ ทั้ง2ค่านั้นสูงขึ้นมากจนหมอให้วัดอีกรอบ ก็ยังไม่ลง หมอบอกให้กินยาหัวใจ1เม็ด ข้าพเจ้าไม่กินบอกหมอว่าข้าพเจ้ามีอาการตื่นเต้นแบบนี้ตลอดเมื่อไปโรงพยาบาล สภาวะที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในตอนนั้น ใจคิดเรื่องกรรม วิบากกรรมที่เราเคยทำมากับคนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำให้ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ มาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนถึงสภาวะนี้ ข้าพเจ้าระลึกชาติได้ว่า ตอนเรียนชั้นมัธยมต้น กลับมาจากโรงเรียน อยากกินไข่เจียว จึงลงมาเก็บไข่ในเล้า ตอนนั้นแม่ไก่ นอนอยู่ในตะกร้าของมันๆตกใจ บินหนีข้าพเจ้าๆจึงหยิบไข่ในตะกร้ามันมาเจียวกิน นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการแบบนี้ ข้าพเจ้ายินดีรับกรรมที่ได้ทำมา กล้ารับกล้าที่จะให้หมดไปรับเท่าไหร่หมดเท่านั้น ดังในบททบทวนธรรม ความกล้าที่จะฉีดวัคซีนมีมากกว่าในตอนนั้น หมอก็ให้พยาบาลฉีดให้แก่ข้าพเจ้า และให้ออกไปนั่งรอดูอาการตามที่กำหนดแล้วกลับบ้าน
    ข้าพเจ้าดูแลตัวเองด้วยยา9เม็ด แต่ก็ปวดแขน บวมแดงตรงที่ฉีด ผื่นขึ้น เป็นอยู่2-3วัน ก็หายเป็นปกติ
    ในวันที่ 18 มกราคม 2565 ฉีดเข็มที่2 พอเข้าไปก็เข้าเครื่องวัดความดันและหัวใจเหมือนเดิม สภาวะที่เกิดขึ้น เกิดอาการเหมือนเดิม แต่ไม่มาก ข่มความกลัวด้วยความกล้าที่มีมากกว่าล้างมันออกไป ด้วยใจที่ยินดี ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี กลับมาบ้านก็ปฏิบัติตามยา9เม็ด ส่วนอาการที่เกิดขึ้นเหมือนหลังฉีดเข็มที่1 แล้วก็หายเป็นปกติ
    การดูแลรักษาตนเองด้วยยา9เม็ดนี้ ข้าพเจ้าก็นำมาปฏิบัติกับลูกสาวทั้งก่อนและหลังการฉีขดวัคซีนทั้ง3เข็ม อาการที่เกิดขึ้นกับลูกสาว ปวดแขน บวมเล็กน้อย ภายใน3วัน ก็หายเป็นปกติ
    ประภาพรรณ โอษฐ์ยิ้มพราย นศ.วิชชารามหลักสูตร7ปี ชั้นปีที่1

Comments are closed.