พุทธะชนะทุกข์ : ภาคใต้ (มีนาคม 2565) [43]

นักศึกษาวิชชารามและจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ร่วมบันทึกเรื่องราวจากชีวิตจริงของตนเองที่ได้เรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือคำสอนของครูบาอาจารย์ …อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โจทย์ พุทธะชนะทุกข์

!สำหรับนักศึกษาสังกัดภาคใต้

นักศึกษาพิมพ์เรื่องราวหรือคัดลอกข้อมูลส่งในส่วนแสดงความคิดเห็นด้านล่าง

43 thoughts on “พุทธะชนะทุกข์ : ภาคใต้ (มีนาคม 2565) [43]”

  1. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม) วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สุขภาพกาย
    เรื่อง การใช้ยา 9 เม็ดปรับสมดุลหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
    คำสำคัญ วัคซีน / ยา 9 เม็ด / วิบากกรรม

    ผู้เขียนได้ไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2564 ก่อนไปก็ได้เตรียมความพร้อมให้กับร่างกายด้วยการกินอาหารปรับสมดุล นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และเตรียมน้ำผสมน้ำสกัดไปดื่มระหว่างรอการฉีดวัคซีน หลังจากได้รับวัคซีนและรอดูอาการเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็ได้เดินทางกลับบ้าน ตลอดทั้งวันผู้เขียนไม่ได้มีอาการอะไรเกิดขึ้นนอกจากเจ็บแขนบริเวณที่ฉีด แต่พอเวลาประมาณ 21.00 น. อาการแรกที่เกิดขึ้นคือ มีความรู้สึกหนาวสั่น จนต้องไปหาเสื้อหนาว ถุงเท้ามาสวม แม้ว่าในบ้านจะไม่ได้เปิดแอร์หรือพัดลม ผู้เขียนได้ดื่มน้ำอุ่นจัดเข้าไป อาการหนาวสั่นก็ไม่ได้บรรเทาลง จนประมาณ 22.00 น. เริ่มรู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูก ปวดไปทั้งตัว ขาอ่อนแรง แต่เพราะเห็นว่าดึกแล้ว ก็พยายามทำตัวให้อุ่นมากขึ้น แล้วหลับไป

    เช้าวันรุ่งขึ้น อาการหนาวก็ยังไม่ทุเลา เพียงแค่เดินเข้าห้องน้ำเพื่อจะล้างหน้าตา มือที่สัมผัสโดนน้ำก็สะท้านไป เหมือนมีไฟซ็อตวิ่งทั่วร่างกาย หลังจากได้ทำอาหารเช้าปรับสมดุลมื้อแรก คือ น้ำต้มข้าวใส่เกลือ ดื่มเพื่อทุเลาอาการหนาวสั่น ก็ได้ทำอาหารที่มีผักฤทธิ์เย็นผสมฤทธิ์ร้อน อัตราส่วน 60 ต่อ 40 กินกับข้าวต้มลูกเดือย ตลอดทั้งวันจิบน้ำพลังศีลแบบผสมน้ำอุ่น สลับกับนอนพักผ่อนให้มากขึ้น กดจุดโยคะ 8 เส้นแขนเท่าที่จะมีแรงทำได้ รวมทั้งทำการสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำอุ่น เช้าและเย็น จนอาการเริ่มดีขึ้น และอาบน้ำโดยการเช็คตัว ใช้ผ้าขนหนูแทนการกัวซาให้เลือดลมเดินได้สะดวกขึ้น

    พอวันที่ 3 อาการสะดุ้งน้ำก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาการหนาวจนปวดกระดูกหายไป เหลือแต่อาการปวดเมื่อยในร่างกาย แต่ยังต้องสวมถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา พอเข้าวันที่ 4 อาการเหล่านี้เริ่มหายไป แต่อาการเด่นที่เหมือนเย็นเกินกลับเปลี่ยนเป็นอาการร้อนเกิน ผู้เขียนเริ่มมีอาการปวดฟัน เหงือกบวม ลามไปเจ็บในหู และปวดศีรษะอย่างมากจนแทบนอนไม่ได้ อาหารการกินจึงปรับตามสมดุลของร่างกายอีกครั้ง เป็นอาหารฤทธิ์เย็นผสมร้อน อัตราส่วน 80 ต่อ 20 และอาหารทุกอย่างเอาไปผ่านร้อนแล้วปั่นละเอียด ตลอดทั้งวันใช้ผ้าชุบน้ำหยดน้ำมันเขียว ประคบที่แก้มด้านที่ปวด อมน้ำปัสสาวะ บ้วนน้ำเกลือ และทายาสีฟันผงถ่านตรงบริเวณเหงือกที่ปวด ในช่วงเวลานอนก็ประคบผ้าชุบน้ำตลอดจนหลับไปได้ในที่สุด

    เช้าวันที่ 5 อาการปวดฟันก็ลดลงกว่า 70% ผู้เขียนก็ยังคงปรับสมดุลด้านอาหารและประคบแก้มต่อไป ตกช่วงบ่ายๆ ได้ทำการอบตัวด้วยสมุนไพรใบย่านาง ใบเตย และ ตะไคร้ อบจนเหงื่อออกประมาณ 5 นาที พัก 1 นาที ทำแบบนี้ประมาณ 3 รอบ จนรู้สึกเบากาย สบาย มีกำลัง จึงหยุด ผู้เขียนสังเกตว่าอาการหนาวเกิน / ร้อนเกิน / ปวดเหงือก / ปวดหัว หายไปเกือบหมด
    เช้าวันที่ 6 อาการต่างๆ ของผู้เขียนได้หายไปเกือบหมด เริ่มมีสุขภาพที่เบากาย สบายมี กำลังมากขึ้นตามลำดับ คงเหลือแต่อาการตึงๆ ที่แขนด้านที่ฉีดอีกเล็กน้อย ผู้เขียนสามารถกลับมาทำงานที่ได้รับผิดชอบได้ตามปกติ ขาที่เคยอ่อนแรงก็กลับมาแข็งแรงเช่นเดิม

    ตลอดระยะเวลา 6 วันที่มีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด ผู้เขียนไม่ได้มีความกลัว กังวล หวั่นไหวใดๆ ไม่ได้กินยาใดๆ นอกจากยาทั้ง 9 เม็ดที่ได้เรียนรู้มาจากอาจารย์หมอเขียว (ดร. ใจเพชร กล้าจน) ยาเม็ดที่มีฤทธิ์แรงที่สุด เร็วที่สุด คือ ยาเม็ดที่ 8 – ใช้ธรรมะ ละบาป บำเพ็ญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส

    ระหว่างที่มีอาการต่างๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนได้เข้าใจเรื่องคำว่าวิบากกรรม ใครทำก็ต้องชดใช้ เพราะอาการหนาวสั่นจนปวดกระดูกแบบฉับพลันนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงปูม้าเป็นๆ ที่สมัยก่อนผู้เขียนมักจะไปซื้อมาแล้วเอาเข้าช่องแช่แข็งในตู้เย็นทันที เพื่อให้ปูม้าตายด้วยความเย็น วิบากกรรมการฆ่าสัตว์นี้ก็ได้ย้อนมาให้ผู้เขียนได้ชดใช้ วิบากกรรมได้จัดสรรเส้นทางการชดใช้ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะเจาะ เพราะผู้เขียนไปฉีดวัคซีนพร้อมกันกับพ่อบ้าน แต่เราสองคนมีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแตกต่างกัน แม้จะได้ชดใช้วิบากกรรมแบบหนาวเย็นไปให้กับปูม้าหลายชีวิตที่เคยฆ่ามาแล้ว อาการตีกลับเป็นร้อนกระทันหัน การปวดฟัน ปวดหู ปวดหัว ก็เป็นวิบากกรรมที่ผู้เขียนเอาปูม้าที่อาจยังไม่ตายสนิทจากการแช่ช่องแข็งไปนึ่งในน้ำเดือดต่อเช่นกัน

    อาการเจ็บป่วยครั้งนี้ หลายท่านอาจมองว่าเป็นอาการปกติของการฉีดวัคซีน สำหรับผู้เขียนมองเห็นทั้ง 2 ด้าน ด้านร่างกาย ด้านเหตุการณ์ก็เป็นเช่นที่เขียนมาข้างต้น แต่ด้านจิตใจ ผู้เขียนได้สำนึกผิดจากการกระทำที่เคยฆ่าชีวิตปูม้า ผู้เขียนมีใจยินดีที่ได้รับโทษ ชดใช้ ยินดีรับผลจากการกระทำของตัวเองในอดีตอย่างไม่บิดพริ้ว ยอมเป็นลูกหนี้ที่ดี อาจารย์หมอเขียวกล่าวไว้ว่า เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น เมื่อได้รับแล้วหมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น (หนังสือบททบทวนธรรมข้อที่ 10) เมื่อใจของผู้เขียนยินดีรับผลของวิบากกรรมนี้ อาการเจ็บป่วยก็ปรับแก้กันไปตามอาการ ร่างกายก็ฟื้นตัวได้เร็ว มีแรงมาบำเพ็ญงานกับหมู่มิตรดีต่อไป

    ————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 27 มกราคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว) อายุ 47 ปี
    ร่างกายสุขภาพแข็งแรง สถานภาพสมรส ไม่มีบุตร
    เข้าค่ายครั้งแรก 2559 ด้วยเหตุผล สนใจในเรื่องธรรมะ การสลายทุกข์ทางใจ
    ปัจจุบันเป็นเตรียมจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  2. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์

    พุทธะชนะทุกข์
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สังคม ความเชื่อ และ วัฒนธรรม
    เรื่อง วันที่ฉันเป็นนักมังสวิรัติจริงๆ
    คำสำคัญ เลิกเนื้อสัตว์ / มังสวิรัติ / เจ / เนื้อเทียม

    ย้อนไปครั้งแรกตั้งแต่จำความได้ ผู้เขียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำว่า “มังสวิรัติ” มาจากแม่และยาย ท่านทั้งสองนับถือเจ้าแม่กวนอิม จะไม่กินเนื้อวัว และจะกินเจในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจอย่างเคร่งครัด ที่บ้านจะมีการล้างตู้เย็น ล้างเครื่องครัว ทำความสะอาดบ้านขนานใหญ่ และมีการเปลี่ยนภาชนะใส่อาหารด้วย ระหว่างหลายปีที่โตมา ช่วงนั้นผู้เขียนรู้สึกอึดอัดว่าทำไมต้องเลิกกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์แค่ 10 วันเท่านั้น ถามแม่ก็ไม่ได้คำตอบที่เข้าใจไปมากกว่า “กินแล้วได้บุญ” ผู้เขียนเคยย้อนถามแม่ว่า “ถ้ากินแล้วได้บุญ ทำไมไม่กินตลอดชีวิตเลย ทำไมกินแค่ 10 วัน” แม่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่พยายามบอกให้ต้องกิน ในตอนนั้นผู้เขียนจึงมีมุมมองต่อต้านการกินเจ ทำให้ไม่เคยกินเจครบ 10 วันตามประเพณีเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ครั้งที่สอง ผู้เขียนเจอเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เพื่อนคนนี้ถ้าไปไหนด้วยกัน จะกินแบบเจเขี่ย คือ เขี่ยเนื้อออก กินแต่ผัก แต่เพื่อนก็ยังกินนม กินไข่ พฤติกรรมของเพื่อนทำให้ผู้เขียนมองว่าการกินเจ กินมังสวิรัติ นั้น แท้จริงคืออะไรกันแน่ ผู้เขียนก็ลองถามเหตุผลเพื่อนว่า ทำไมไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ได้คำตอบว่าเขาต้องการรักษาสุขภาพ ซึ่งตอนนั้นพอผู้เขียนได้ฟังเพื่อนเล่าเรื่องสุขภาพ ใจก็คิดว่า น่าลองดูบ้าง ก็เลยเริ่มลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ ทำตามอยู่ 2 – 3 เดือน ปรากฏว่า ยิ่งกิน ยิ่งสุขภาพแย่ ตัวซีด จนสุดท้ายก็เลิกไป กลับมากินเนื้อสัตว์เหมือนเดิม และ เพื่อนคนนี้ก็กินได้ไม่นานก็กลับไปกินเนื้อสัตว์เหมือนกัน

    ครั้งที่สาม เมื่อผู้เขียนมีวันหยุดจากการทำงานครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสตามแม่ไปทำบญตามโรงเจต่างๆ อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยได้กินอาหารที่โรงเจ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้อยู่รอจนถึงเที่ยง จึงมีโอกาสได้กินอาหารที่โรงเจ อาหารที่ขึ้นโต๊ะแบบโต๊ะจีนวันนั้น มีแต่อาหารทอด โปรตีนเกษตร แป้ง เห็ด และเต้าหู้เป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ขึ้นโต๊ะค่อนข้างมีรสจัดจ้านและที่สำคัญอาหารจานผักมีน้อยมาก ผักสดก็จะมีแค่ประดับข้างจานเท่านั้น ผู้เขียนก็เริ่มมองและมีคำถามเกี่ยวกับอาหารเจในอีกมุมหนึ่ง ผู้เขียนเคยลองสอบถามนักบวชในโรงเจที่บวชมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าทำไมอาหารถึงไม่ค่อยมีผัก แล้วที่ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ก็มีอาหารเลียนแบบเนื้อสัตว์ทั้งกลิ่น รส และเนื้อสัมผัส รวมถึงตั้งชื่อให้ใกล้เคียงกับอาหารจานเนื้อสัตว์ แล้วแบบนี้จะเรียกได้ว่าเลิกเนื้อสัตว์อย่างแท้จริงหรือไม่ สุดท้ายผู้เขียนก็ได้คำตอบว่า ทำแบบนี้คนอื่นๆ ถึงจะกินอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ได้ กินแบบนี้ก็ได้บุญมากแล้ว

    ครั้งที่สี่ หลังจากแต่งงานและได้ย้ายมาอยู่ภูเก็ตกับพ่อบ้านหลายปี อยู่ดี ๆ ผู้เขียนเริ่มเกิดอาการเหม็นกลิ่นคาวเนื้อสด โดยเฉพาะเลือดของสัตว์อย่างไม่ทราบสาเหตุ เวลาไปเดินตลาดหรือเดินห้างในโซนที่ขายเนื้อสดก็จะเกิดอาการเหม็นจนเวียนหัวมาก และเป็นอยู่หลายครั้ง จนได้คุยกับพ่อบ้านว่าขอเลิกซื้อเนื้อสดเข้าบ้าน และเริ่มคิดทำอาหารกินเองแบบไม่มีเนื้อสัตว์ แต่เวลาออกไปกินอาหารนอกบ้านก็ยังกินเนื้ออยู่ ซึ่งก็ทำมาได้ซักพัก จนได้มีโอกาสไปเข้าค่ายย่อยของแพทย์วิถีธรรมที่จังหวัดภูเก็ต อาหารที่มีในค่ายเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่ผัก ผลไม้ กินผักสด ผักลวก ผักต้ม อาหารที่ไม่มีโปรตีนเกษตร ไม่ใช้น้ำมัน มีรสจืด(มาก) และมีเพียงกระปุกดอกเกลือวางไว้ให้ปรุงรสเท่านั้น เป็นอาหารมังสวิรัติที่แปลกที่สุดที่ผู้เขียนเคยเจอมา

    ระหว่างอยู่ในค่าย มีพี่น้องจิตอาสาเวียนกันบรรยายถึงยาเม็ดต่างๆ ทั้ง 9 เม็ด จนถึงจุดเปลี่ยนชีวิตของผู้เขียนเมื่อมีการเปิดคลิปวีดีโอ “ชีวิตร่ำไห้” ที่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ ถึงแม้ผู้เขียนจะไม่สามารถดูจนจบได้ แต่ก็ยังได้ยินเสียงคลิปจนจบ หลังจบค่าย ผู้เขียนได้คุยกับพ่อบ้านจนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า เราสองคนจะเลิกกินเนื้อสัตว์ และเริ่มต้นเป็นนักมังสวิรัติด้วยกัน

    นับจากวันนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้หวนกลับไปกินเนื้อสัตว์อีกเลย เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนเลิกกินเนื้อสัตว์ได้อย่างเด็ดขาด คือ ผู้เขียนเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงของการไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว “ทุกชีวิตรักสุข เกลียดทุกข์” อาจารย์หมอเขียวได้เคยบรรยายไว้ว่า เวลาใส่บาตร หลายท่านก็จะสวดมนต์แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้คนต่างๆ รวมถึงชีวิตสัตว์ที่เคยกินเข้าไป ซึ่งผู้เขียนก็เคยทำ อาจารย์ได้ถามต่อมาว่า แล้วถ้ามีใครจะมาฆ่าเรา เพื่อเอาเราไปกินเป็นอาหารบ้าง จะมาขอตัดแขน ตัดขาแล้วบอกว่าจะสวดมนต์ กรวดน้ำมาให้เรา เราจะยอมไหม คำถามนี้ผู้เขียนรีบตอบในใจทันทีว่า ไม่ได้ จะมาขอตัดแขน ตัดขาผู้เขียนไปกินไม่ได้ จะสวดมนต์ให้หนึ่งล้านจบ ผู้เขียนก็ไม่ยอม ผู้เขียนก็รักชีวิตตัวเองนะ และจากคำถามที่อาจารย์ถามในการบรรยายครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนชัดเจนมากขึ้นว่า สัตว์ไม่ใช่อาหารของเรา เขาก็รักชีวิตของเขาเช่นเดียวกันกับผู้เขียน แล้วผู้เขียนจะยังมีใจคิดเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเพื่อประโยชน์ตัวเองอยู่อีกหรือ

    ผู้เขียนมองเห็นภาพตัวเองในอดีตที่กินเนื้อสัตว์เพราะความเห็นแก่ตัวมาโดยตลอด เอาเลือด เอาเนื้อเขามาต่อชีวิตผู้เขียนโดยที่เขาไม่ได้ยินยอม เพราะคงไม่มีัสัตว์ตัวใดในโลกหรอกที่เกิดมาพร้อมกับบอกตัวเองว่า “ฉันเกิดมาในฟาร์มนี้เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นะ มนุษย์มาเลี้ยงฉันให้โตแล้วเอาฉันไปเชือดได้เลย ฉันเต็มใจ” และยิ่งผู้เขียนได้มาเรียนรู้ธรรมะจากอาจารย์หมอเขียวมากขึ้น ก็ยิ่งชัดแน่นเหมือนตอกเสาหลักในความคิดว่า การที่เรากินเนื้อสัตว์ การเอาชีวิตเขามาต่อชีวิตเรา มันคือ การผิดศีลนั่นเอง

    ผิดศีลข้อที่ 1 เพราะผู้เขียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการสั่งพรากชีวิตเขา ให้ร้าน ให้โรงฆ่า จัดหาเนื้อสัตว์มาขาย ให้ผู้เขียนได้ไปซื้อกิน ผิดศีลข้อที่ 2 เพราะการขโมยเอาเลือดเนื้อเขามาเป็นอาหารโดยที่เขาไม่ยินยอม ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ผู้เขียนเป็นขโมย ผู้เขียนยังผิดศีลข้อ 4 เพราะโกหกหลอกลวงตัวเองและคนอื่นมาหลายปีว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์โดยการกินเนื้อสัตว์ของผู้เขียนที่กินเอง ชวนคนอื่นมากิน รวมถึงถ่ายภาพโชว์ให้คนอื่นอยากกินด้วย เมื่อคิดทบทวนมาจนถึงจุดนี้ ผู้เขียนจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า สัตว์ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของเรา เขามีชีวิตและรักชีวิตของเขา ผู้เขียนรู้สึกผิดและยอมรับผิดในสิ่งที่เคยพลาดทำมาหลายปี ผู้เขียนจึงตั้งใจหยุดกินเนื้อสัตว์ และพร้อมตั้งจิตเลิกกินเนื้อสัตว์ตลอดไปนับจากวันที่จบค่าย

    และตั้งแต่วันที่ตั้งใจเลิกกินเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาดจนถึงปัจจุบันวันที่เขียนบทความนี้ ก็เป็นเวลา 5 ปีกว่าแล้ว ผู้เขียนไม่ได้หวนกับไปกินเนื้อสัตว์อีกเลย ไม่มีความลังเลสงสัย หรือความคิดแวบเข้ามาว่า อยากจะกินเนื้อสัตว์อีกเลย จนถึงตอนนี้ผู้เขียนมีความยินดีที่จะพูดว่า “ฉันเป็นนักมังสวิรัติ” ในวันนี้และตลอดไป

    ————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว) อายุ 47 ปี
    ร่างกายสุขภาพแข็งแรง สถานภาพสมรส ไม่มีบุตร
    เข้าค่ายครั้งแรก 2559 ด้วยเหตุผล สนใจในเรื่องธรรมะ การสลายทุกข์ทางใจ
    ปัจจุบันเป็นเตรียมจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  3. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์

    พุทธะชนะทุกข์
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด อาชีพ
    เรื่อง อาชีพที่มีความสุข อาชีพที่ยิ้มได้
    คำสำคัญ ความอยาก / ความสุข / มิจฉาอาชีวะ / สัมมาอาชีวะ

    ชีวิตการทำงานครั้งแรกของผู้เขียนเริ่มต้นเมื่อได้เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ผู้เขียนก็เริ่มต้นหางานทำเหมือนคนทั่วไป จริงอยู่แม้ในอดีตครอบครัวผู้เขียนมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่เมื่อพ่อของผู้เขียนเสียชีวิตไป น้องชายของพ่อก็มาขอซื้อกิจการนั้นไปทำต่อ โดยให้เหตุผลว่า ผู้เขียนเป็นผู้หญิง ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย คงบริหารงานร้านต่อไปไม่ได้ สุดท้ายผู้เขียน แม่และน้องๆ ก็ตัดสินใจขายร้านไป โดยที่ทุกคนในตอนนั้นไม่มีทางเลือกมาก นอกจากขายร้านและนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน รวมถึงเป็นค่าเล่าเรียนของน้องอีก 4 คน ผู้เขียนซึ่งเป็นลูกสาวคนโต จึงตัดสินใจว่า ต้องหางานที่มั่นคง ได้เงินดี และลดภาระของแม่ในการเลี้ยงดูครอบครัว

    งานแรกที่ผู้เขียนได้ทำ คือ งานฝ่ายบุคคลและงานล่ามแปลภาษา ผู้เขียนได้เข้าทำงานพร้อมกับเพื่อนที่เรียนจบคณะเดียวกันมา การงานเริ่มต้นด้วยดี หัวหน้างานรักและเอ็นดู จนมาวันหนึ่ง หัวหน้าประกาศว่าจะมีโปรเจคจากประเทศญี่ปุ่น ถ้าใครในแผนกนำเสนองานได้ดี ก็จะส่งไปดูงานที่ญี่ปุ่น ผู้เขียนมองเห็นโอกาสจึงพยายามเต็มที่ จนถึงวันที่นำเสนอโปรเจค ผู้เขียนพบว่าโปรเจคที่ตัวเองคิดนั้น ถูกเพื่อนที่เรียบจบมาจากคณะเดียวกันนำไปเสนอตัดหน้า และเพื่อนก็ได้รับคำชมจากหัวหน้าเป็นอันมาก เมื่อผู้เขียนถามเพื่อนถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเอาความคิดงานของผู้เขียนไป เพื่อนตอบว่าโลกของการทำงานมันคือการแข่งขัน เมื่อผู้เขียนได้ฟังคำตอบแล้ว ผู้เขียนก็ได้ยื่นใบลาออกจากบริษัทในเวลาต่อมา แม้ว่าบริษัทนี้จะมีเงินเดือนและสวัสดิการดีมากก็ตาม

    งานที่สองที่ผู้เขียนได้ทำ คือ งานเป็นเลขาหัวหน้าแผนก ซึ่งลักษณะงานก็ได้ฝึกงานหลายอย่าง เพื่อนร่วมงานนิสัยน่ารัก ได้เรียนรู้การติดต่อผู้คนและองค์กรทั้งในและต่างประเทศ จนถึงวันหนึ่งที่ตัวแทนจากต่างประเทศได้เดินทางมาดูงาน ผู้เขียนเป็นตัวแทนไปต้อนรับ จัดหาที่พัก และจัดเลี้ยงในนามของบริษัท งานเลี้ยงต้อนรับผ่านไปด้วยดี การลงชื่อสัญญาก็เสร็จสิ้นลง หัวหน้าของผู้เขียนมาแจ้งให้ผู้เขียนสรุปรายงานและค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อผู้เขียนส่งรายงานแล้ว หัวหน้าก็ได้เรียกพบแล้วบอกว่าให้ไปปรับจำนวนเงินค่าใช้จ่ายให้เพิ่มมากกว่านี้ เขียนตามตัวเลขจริงแบบนี้ บริษัทเราจะมีกำไรส่วนต่างได้น้อย เมื่อผู้เขียนได้ฟังคำอธิบายของหัวหน้างานแล้ว ผู้เขียนก็ได้ยื่นใบลาออกจากบริษัทในเวลาต่อมาเช่นกัน

    งานประจำสุดท้ายที่ผู้เขียนได้ทำ คือ เป็นผู้บริหารระดับกลางของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ยิ่งอยู่ในระดับบริหาร คนยิ่งเยอะ ปัญหาจึงยิ่งแยะ งานหนึ่งที่ต้องทำทุกวัน คือ แก้ปัญหานักเรียนทะเลาะกัน ครูมีปัญหากัน ผู้ปกครองไม่พอใจการบริหารและบริการในแง่มุมต่างๆ รวมถึงการทำงานให้ได้ตามที่เจ้าของกิจการต้องการ ความเครียดในการทำงานของผู้เขียนก็เพิ่มมากขึ้นจนทำให้สุขภาพย่ำแย่ ผู้เขียนทำงานแทบไม่มีวันหยุด ตื่นไปทำงานแต่เช้า กลับถึงบ้านก็เอางานกลับมาทำต่อ ชีวิตวนเวียนอยู่หลายปีจนในท้ายที่สุดอาการเจ็บหน้าอกที่เคยหายไปหลายปีก็กลับมากำเริบ กินยาหมอก็แล้ว ตรวจร่างกายก็แล้ว อาการก็ไม่ทุเลาลง จนในท้ายที่สุด ผู้เขียนก็ได้ยื่นใบลาออกและมาทำงานของตัวเอง

    หลังจากนั้น ผู้เขียนมีความคิดว่าเป็นลูกจ้างเค้า ทำงานเยอะ ไม่มีความสุข ทุกข์และเหนื่อย ไหนๆ จะเหนื่อยแล้ว ก็มาเป็นนายตัวเองดีกว่า ผู้เขียนและพ่อบ้านจึงเปิดกิจการร้านค้าออนไลน์เล็กๆ ของเราสองคน ขายอุปกรณ์กล้องและเลนส์กล้อง ซึ่งแม้ว่ารายรับที่เราได้ไม่มากเท่างานประจำ เวลามีปัญหาเราก็แก้ได้เอง ตัดบทลูกค้า ไม่ง้อ อยากปิดร้านเราก็ปิด สินค้าเรามีความเฉพาะ จะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ตามที่เราชอบ ซึ่งช่วงเวลานั้น แม้ผู้เขียนรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้นในช่วงแรกเมื่อเทียบกับงานประจำในอดีตที่ผ่านมา แต่กิจการที่อยู่ในการแข่งขัน กับใจที่ต้องกังวลยอดขาย เช็คคู่แข่ง แย่งลูกค้า มันก็สะสมความเครียด เป็นเจ้าของกิจการก็จริง แต่เหมือนมีลูกค้าเป็นหัวหน้างานอยู่ดี ทุกข์ใจก็ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไหร่

    สมัยก่อนเวลาลูกค้าบอกว่าจะไปสั่งร้านอื่น หัวใจผู้เขียนกระตุกทันที ไม่ได้นะ กำลังจะเสียลูกค้า เสียรายได้ เวลาลูกค้าโอนเงินมา ต้องรีบเช็คบัญชีเงินเข้าหรือยัง สินค้าส่งไปเสียหาย ชำรุด ลูกค้าตีของกลับ ลูกค้าเรื่องมาก มีความกลัว กังวลสารพัด แล้วอาชีพที่เคยคิดว่าสุข ก็ไม่สุขอีกแล้ว จนถึงวันที่ผู้เขียนได้มาเจอกับอาจารย์หมอเขียว ได้เรียนรู้ธรรมะที่ถูกต้องถูกตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ ผู้เขียนเริ่มปิดร้านเดือนละ 9 วัน เพื่อไปค่ายสุขภาพอาจารย์หมอเขียวทุกเดือน รายรับที่เคยมีก็ลดลง ลูกค้าที่ใจร้อน ไม่รอ ก็เริ่มย้ายไปร้านอื่นที่ส่งของได้ทันที ผู้เขียนก็ไม่ทุกข์ใจ ลูกค้าแจ้งของชำรุดเสียหาย ผู้เขียนไม่ซักถามให้วุ่นวายว่าลูกค้าจะโกหกหรือไม่ ใครผิด ลูกค้าหรือขนส่ง ผู้เขียนส่งสินค้าตัวใหม่ไปให้เลย ลูกค้าขอลดราคา ขอของแถม ถ้าอยู่ในวิสัยที่ทำได้ ก็ทำ จนถึงวันที่ลูกค้าค่อยๆ หายไป เพราะร้านปิดบ่อยมากขึ้น ในที่สุดก็ถึงวันที่ผู้เขียนก็ปิดร้านลงเช่นกัน ปิดร้านเพราะเป็นความตั้งใจ ปิดร้านเพราะเข้าใจแล้วว่าสินค้าที่ขายนั้นเป็น 1 ในมิจฉาอาชีวะ -มัชชวณิชชา- ขายสินค้าที่ทำให้คนหลงติดเล่น ติดอวด ติดเสพสุข นั่นเอง

    จนมางานปัจจุบันของผู้เขียน คือ เปิดร้านค้าออนไลน์ขายถั่วหลากหลายชนิด เป็นร้านค้าที่แทบไม่ได้โฆษณา เป็นร้านที่ไม่ได้ทำเต็มเวลา เป็นร้านที่ทำเพียงให้พออยู่พอกิน ยึดหลักการขายสินค้าราคาบุญนิยม 4 ระดับเป็นฐาน (คือ 1. ขายต่ำกว่าท้องตลาด 2.เท่าทุน 3.ขาดทุน 4.แจกฟรี) และเป็นร้านที่รอวันเลิกกิจการด้วยใจยินดี

    เวลาที่เหลือจากการทำงานร้าน คือ งานบำเพ็ญด้านสื่อให้กับมูลนิธิแพทย์วิถีธรรม ถ้าจะบอกปัจจุบันว่าอาชีพหลัก คือ งานบำเพ็ญ งานศูนย์บาท ที่ผู้เขียนทุ่มเททำยิ่งกว่างานเงินเดือนหลายหมื่นในอดีต งานขายของออนไลน์ที่คนอื่นคิดว่าเป็นอาชีพหลัก แทบจะกลายเป็นงานอดิเรกไปเลยทีเดียว ผู้เขียนและพ่อบ้านทุ่มเทให้กับงานบำเพ็ญเท่าที่เวลาจัดสรรได้ แม้ปริมาณงานทั้งงานหลัก งานอดิเรกจะมีมาก ถึงงานที่ทำได้เงินน้อยลง แต่ได้แบ่งปันมากขึ้น แบ่งปันสินค้าที่ขาย บางอย่างแจกฟรี บางอย่างขายขาดทุน แต่เราสองคนสบายใจ ลูกค้าติดต่อมาหาเอง ร้านผู้เขียนไม่เคยคิดแข่งกับร้านอื่น ไม่ต้องคอยเช็คยอดเงินเข้า ผู้เขียนทำงานด้วยใจที่เชื่อชัดในวิบากกรรม และไม่ละโมบอยากได้เกินที่กว่าควรได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ผู้เขียนได้รับการแบ่งปันผัก ผลไม้จากลูกค้า ได้รับการแบ่งปันผลผลิตจากเพื่อนจิตอาสา และได้เห็นแล้วว่าเส้นทางอาชีพที่ทำด้วยใจไร้ทุกข์ ผลที่ได้รับไม่ว่าจะดีจะร้าย ก็ไม่ทุกข์ใจ ยินดีได้ในทุกเหตุการณ์

    การเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องอาชีพ เกิดจากการฟังคำสอนเรื่อง สัมมาอาชีวะ (1 ในมรรค 8) เลี้ยงชีพชอบ หมายถึงการทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต ผู้เขียนเปรียบเทียบอาชีพที่ผ่านมาของตัวเองว่า เป็นอาชีพที่เบียดเบียนตัวเอง (จนเกินไป) เบียดเบียนผู้อื่น (ละโมบ อยากได้เกินกว่ากุศลของเรา) หลอกลวงผู้อื่นให้มาหลงมัวเมา (หลงเสพติดสุขลวง) พูดเชิญชวนให้ลูกค้าเชื่อ พูดสรรพคุณเกินจริง และ พูดให้เค้ามาซื้อสินค้าที่ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทั้งหมดทั้งมวลนี้ เกิดจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็นของตัวเอง และเป็นเส้นทางที่ไม่มีทางเข้าใกล้คำว่า สัมมาอาชีวะ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เลย และถ้ายังฝืนทำต่อไป ก็จะไม่มีวัน ยิ้มอย่างมีสุข ให้กับอาชีพที่ทำ หรือ หลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วยกาย-ใจได้เลย

    ตอนนี้ผู้เขียนและพ่อบ้านได้เข้าใจมากขึ้นว่า สุข – ทุกข์ อยู่ที่ใจ ใจที่อยากได้มาก พอได้น้อยก็ทุกข์ ย้อนมองงานต่างๆ ที่ผู้เขียนได้ผ่านมา ผู้เขียนตกอยู่ในวังวนของกิเลสความอยากทั้งของตัวเอง ผู้อื่น และสังคมอย่างไม่เห็นเส้นทางออกจากทุกข์ บนแต่เมื่อผู้เขียนวาง “ใจ” ที่อยากมีสุข ยึดว่าต้องสุขเสมอไป และมองความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้นผ่านคำสอนอาจารย์หมอเขียว คำสอนพ่อครู งานในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนมองว่านี่คือ อาชีพที่มีความสุข อาชีพที่ยิ้มได้ จากใจจริง

    ————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว) อายุ 47 ปี
    ร่างกายสุขภาพแข็งแรง สถานภาพสมรส ไม่มีบุตร
    เข้าค่ายครั้งแรก 2559 ด้วยเหตุผล สนใจในเรื่องธรรมะ การสลายทุกข์ทางใจ
    ปัจจุบันเป็นเตรียมจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  4. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์

    พุทธะชนะทุกข์
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สุขภาพใจ
    เรื่อง ลดความอยากได้ ก็ไม่ทุกข์
    คำสำคัญ เจ็บหน้าอก / อยากเอาดีจากคนอื่น / ทุกข์ที่ทำงาน

    สมัยก่อนผู้เขียนมีความทุกข์จากที่ทำงาน ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ผู้เขียนมักโดนหัวหน้างานตำหนิและกดดันให้ทำให้ได้ดีมากกว่าเดิม แม้ผู้เขียนจะพยายามเท่าไหร่ ก็ไม่เคยได้รับคำชม แต่พอมีงานใหญ่ๆ หัวหน้างานก็จะส่งมาให้ผู้เขียนรับผิดชอบเสมอ ผู้เขียนเคยได้ยินหัวหน้างานอีกท่านมาบอกว่า งานที่ผู้เขียนทำอยู่นั้น ทำได้ดีนะและดีมากด้วย สร้างประโยชน์กับบริษัทเป็นอย่างมาก แต่ที่หัวหน้างานไม่เคยชม มุ่งแต่ตำหนิ จับผิด เพราะอยากให้ผู้เขียนสร้างผลงานให้โดดเด่นมากขึ้น ถ้าชมแล้วผู้เขียนจะหยุดพัฒนาตัวเองและผลงาน

    ตลอด 8 ปีที่ผู้เขียนอยู่ในวังวนการทำงานแบบนี้ ทำให้ผู้เขียนเกิดอาการป่วยใจทีละน้อย จนในที่สุด อาการป่วยทางใจก็ปรากฎออกมาสู่ทางกาย กล้ามเนื้อรอบหัวใจของผู้เขียนเกิดภาวะบีบเกร็ง ไม่ยอมคลายตัวออก ไปหาหมอตรวจก็แล้ว กินยาคลายกล้ามเนื้อก็แล้ว อาการก็ไม่ดีขึ้น หมอก็หาสาเหตุของอาการไม่ได้ จนในที่สุด ผู้เขียนตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงาน วันที่หัวหน้างานลงชื่ออนุมัติ คือ วันที่กล้ามเนื้อรอบหัวใจผู้เขียนคลายตัวจากการบีบเกร็งลง อาการเจ็บปวดหน้าอกก็หายฉับพลัน

    อีกหลายปีต่อมา เมื่อผู้เขียนได้มาพบแพทย์วิถีธรรม ได้ฟังคำสอนของอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน ผู้เขียนจึงได้รู้ถึงสาเหตุของอาการป่วย เจ็บหน้าอกในครั้งนั้น อาจารย์กล่าวว่า ความกลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว ไม่ว่าจากสาเหตุใด ทำให้เป็นได้ทุกโรค ร่างกายของผู้เขียนในช่วงเวลานั้นได้เริ่มสร้างความเครียดจากการทำงานขึ้นมา เมื่อความเครียดนั้นสะสมมาถึงระยะเวลาหนึ่ง อวัยวะส่วนที่อ่อนแอของร่างกายก็จะแสดงอาการออกมา ยิ่งเราเครียด ร่างกายก็จะยิ่งอยากกำจัดความเครียดนั้นออกไป ร่างกายก็จะเริ่มบิดเกร็ง นานวันเข้าร่างกายที่บิดเกร็ง ก็จะแข็งค้าง กินยามากแค่ไหนก็ไม่หาย หมอก็หาสาเหตุไม่เจอ เพราะโรคครั้งนี้เกิดที่ใจ ไม่ใช่ที่เชื้อโรคนั่นเอง

    เหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนนึกออก คือ ผู้เขียนอยากทำให้คนอื่นพอใจ ชื่นชม แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ยิ่งอยากทำให้คนอื่นพอใจ ชื่นชมมากแค่ไหน ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น คนอื่นเค้ามีความอยากให้ได้ดั่งใจเค้า ผู้เขียนเองก็มีความอยากให้เค้าทำได้อย่างใจตัวเองเหมือนกัน พอเอาความอยากไปชนกับความอยาก อะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็คือความทุกข์นั่นเอง

    หลังจากได้ฟังคำสอนของอาจารย์มาระยะหนึ่ง ผู้เขียนก็เริ่มเข้าใจความจริงตามความเป็นจริงของตัวเองและผู้อื่น ผู้เขียนเปลี่ยนความอยากคนอื่นไม่ได้ แต่ลดความอยากได้ดั่งใจของตัวเองลงได้

    เวลาอยากได้อะไรจากคนอื่น ผู้เขียนจะเริ่มมองดูว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่นไหม กำลังสร้างความทุกข์ให้คนอื่นหรือไม่ ถ้าใช่ ก็เลิกอยากซะ เวลาอยากได้อะไรจากคนอื่น ผู้เขียนจะใคร่ครวญว่ามันใช่เวลาที่จะได้สิ่งนั้นแล้วหรือยัง ผู้เขียนกำลังไปขโมยดีจากคนอื่นทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เวลาและของที่ควรจะได้ในเวลานั้นหรือไม่ ถ้ามันไม่ใช่เวลา ไม่ใช่ความดีที่ควรจะได้ในเวลานั้น ก็เลิกอยากซะ

    ผู้เขียนได้น้อมนำคำสอนของอาจารย์มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต อะไรที่คนอื่นอยาก เป็นเรื่องของคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดทุกข์ในใจตัวเอง เพราะความอยากของตัวเอง ก็ล้างทุกข์ในใจตัวเอง ผู้เขียนแก้ความอยาก ความทุกข์คนอื่นไม่ได้ แต่แก้ทุกข์ในใจตัวเองได้ ปัจจุบันชีวิตของผู้เขียนมีทุกข์ลดลงอย่างมากและเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับอดีต หลังจากวันที่ลาออกจากงานนั้นจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมา 11 ปีแล้ว ผู้เขียนไม่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกอีกเลย

    ————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 5 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว) อายุ 47 ปี
    ร่างกายสุขภาพแข็งแรง สถานภาพสมรส ไม่มีบุตร
    เข้าค่ายครั้งแรก 2559 ด้วยเหตุผล สนใจในเรื่องธรรมะ การสลายทุกข์ทางใจ
    ปัจจุบันเป็นเตรียมจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  5. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน
    จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต

    ท่านพระมหาโกฏฐิกะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?
    ท่านพระสารีบุตรว่า ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑ เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๔๙๗ มหาเวทัลสูตร

    ก่อนที่จะมาพบอาจารย์หมอเขียวและแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้ามีชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบาย มีอาชีพค้าขาย มีรายได้เพียงพอต่อการกินการอยู่ มีเหลือพอสำหรับเที่ยวเล่นบ้าง มีเวลามากพอสำหรับการหาความสุขจากงานอดิเรกที่ตนเองชอบ ร่างกายก็แข็งแรงดี ไม่เป็นโรคร้ายแรงอะไร ตอนนั้นข้าพเจ้ามีอายุ ๔๓ ปี อาศัยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต อยู่กับแม่บ้านที่แต่งงานกันมาแล้ว ๑๑ ปี ไม่ค่อยมีปัญหาขัดแย้งกันมากนัก โดยภาพรวมก็นับได้ว่าข้าพเจ้ามีชีวิตที่น่ารื่นรมย์พอสมควร
    แม้ว่าจะเป็นชีวิตที่หลายคนรู้สึกอิจฉา แต่ลึก ๆ ในใจของข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างเลื่อนลอย อาชีพก็ยังไม่มั่นคงมากพอจะให้อาศัยได้ในยามแก่ชรา ลูกก็ไม่มี มีความคิดว่าอยากจะขยายธุรกิจให้ใหญ่โตขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็ติดขัดอยู่ว่าข้าพเจ้ากับแม่บ้านไม่ชอบการมีลูกน้องให้เป็นภาระ จึงพอใจที่จะทำธุรกิจแบบเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ ก่อน นอกจากเรื่องของอาชีพแล้ว ชีวิตก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร เวลานั้นคิดว่าถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ข้าพเจ้าก็คงจะอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ จนอายุ ๖๐ – ๗๐ ปี
    แต่แล้วเหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ปลายปี ๒๕๕๘ มารดาข้าพเจ้าโทรศัพท์มาบอกว่าตรวจพบเนื้องอกมะเร็งที่เต้านม ข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ ๆ บ้านของท่านที่จังหวัดนนทบุรี เพื่อจะได้ช่วยเหลือบิดาและน้องสาวดูแลท่านในระหว่างการรักษาโรค ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด
    การย้ายกลับไปดูแลมารดานี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเป็นค่ายอบรม ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่สวนป่านาบุญ ๓ จังหวัดปทุมธานี ข้าพเจ้าเป็นคนพาแม่ไปเข้าค่ายอบรมเพื่อเรียนรู้วิธีการดูแลรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติ ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ร่วมฟังการบรรยายของจิตอาสาและอาจารย์หมอเขียวตลอดทั้งค่าย แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย
    เรื่องที่สะดุดใจและทำให้ข้าพเจ้าติดตามฟังการบรรยายของอาจารย์หมอเขียวอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คือเสียงอ่านหนังสือที่ทางค่ายอบรมเปิดให้ฟังก่อนเข้านอนในคืนหนึ่ง เป็นเรื่องของวิถีชีวิตพอเพียงแบบที่อาจารย์หมอเขียวและจิตอาสาปฏิบัติอยู่และนำพาผู้คนปฏิบัติตาม เป็นชีวิตที่พึ่งตน ประหยัด เรียบง่าย กินน้อย ใช้น้อย แต่แข็งแรง และมีความสามารถทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นได้มากด้วย เมื่อได้ฟังและเห็นจริงเห็นจังว่าชีวิตของอาจารย์หมอเขียวและจิตอาสาเป็นอย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือจริง ๆ จึงบังเกิดความรู้สึกสลดต่อชีวิตของตนเองที่ดำเนินมา ๔๓ ปีอย่างคนหลงทาง เป็นชีวิตที่พยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขแต่กลับมีแต่ทุกข์เต็มไปหมด เป็นความทุกข์ที่แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังทุกข์อยู่
    ในคืนนั้น ข้าพเจ้านอนคิดทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมาของตนเองอยู่เกือบทั้งคืน เห็นแต่ความไร้สาระเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของอาจารย์หมอเขียวและจิตอาสา นับแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ได้ติดตามฟังการบรรยายของอาจารย์หมอเขียวมาโดยตลอด
    “อยู่อย่างพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยความดี” วลีสั้น ๆ ๙ พยางค์นี้ ประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าในคืนนั้น และเป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้พิสูจน์ทำตาม มันน่าท้าทายอย่างมากว่าชีวิตเราจะสามารถออกจากการเลี้ยงชีพด้วยเงินมาสู่การเลี้ยงชีพด้วยความดีได้จริงหรือไม่ มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าหันเหออกจากทิศทางเก่า และค่อย ๆเปลี่ยนแปลงมาจนกลายเป็นการเดินสวนทางกับวิถีที่เคยเป็นมาในอดีต
    หลังจากได้พบ ได้ฟังและได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันเหมือนมีแรงดึงดูดให้ข้าพเจ้าศึกษาและค้นหาต่อไปว่า วิถีชีวิตเช่นนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร เราจะมีวิถีชีวิตแบบนั้นได้บ้างหรือไม่ เมื่อจบจากค่ายอบรมแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มติดตามฟังการบรรยายของอาจารย์หมอเขียวทางสื่อออนไลน์มาตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งมารดาเสียชีวิตจากไป และข้าพเจ้าได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ภูเก็ต และต่อมาก็มีโอกาสได้ไปเข้าอบรมค่ายสุขภาพอีกครั้งในจังหวัดภูเก็ต คราวนี้แม่บ้านก็ไปด้วย มันเป็นค่ายเล็ก ๆ ๒ วัน คือวันที่ ๑๗ – ๑๘ กันยายน ๒๕๕๙ จัดโดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ไม่มีอาจารย์หมอเขียวบรรยาย มันเป็นวันที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นหยุดกินเนื้อสัตว์ในระหว่างที่เข้าค่าย และไม่ได้กินอีกเลยนับแต่นั้นมา
    ปีต่อมา ในเดือนมิถุนายน ข้าพเจ้าและแม่บ้านได้เดินทางไปเข้าค่ายสุขภาพพึ่งตนและค่ายพระไตรปิฎก ที่สวนป่านาบุญ ๒ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นค่ายใหญ่ ระหว่างวันที่ ๑๐ – ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ในครั้งนั้น นอกจากจะได้พบอาจารย์หมอเขียวและจิตอาสาจำนวนมากแล้ว ยังได้พบพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมชาวอโศกอีกหลายท่านด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานยินดีเป็นอย่างยิ่ง เหมือนได้เข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดี มีแต่ความสุขสงบร่มเย็นตลอดระยะเวลา ๙ วันของการอบรม และเมื่อถึงวันสุดท้ายข้าพเจ้ารู้สึกว่าช่วงเวลานั้นช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
    หลังจากนั้น ข้าพเจ้ากับแม่บ้านก็ได้ไปเข้าค่ายอบรมที่สวนป่านาบุญ ๒ และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง โดยเฉพาะตามจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้ เราไปค่ายกันเป็นประจำเกือบทุกเดือน จนกระทั่งได้ปวารณาตัวเป็นผู้บำเพ็ญคบคุ้น หรือสมัครเป็นจิตอาสาขั้นฝึกหัดเริ่มต้น เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ชีวิตการเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมอย่างเป็นทางการของข้าพเจ้าก็เริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
    ถึงวันนี้ หากมองย้อนกลับไปดูชีวิตของตนเองที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมาย จากคนกินเนื้อสัตว์มาเป็นนักมังสวิรัติ จากคนชอบเที่ยวมาเป็นคนไม่เที่ยว จากคนติดกาแฟมาเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ จากคนตื่นสายมาเป็นคนตื่นเช้า จากคนไม่ปลูกผักมาเป็นคนปลูกผัก จากคนมักดูถูกผู้อื่นมาเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จากคนขายของไร้สาระมาเป็นคนขายข้าว ถั่ว ธัญพืช จากคนไม่อยากมีอายุยืนมาเป็นคนตั้งใจมีอายุยืน จากคนไร้เป้าหมายชีวิตมาเป็นคนมีเป้าหมายชีวิต จากคนไม่สนใจธรรมะมาเป็นนักปฏิบัติธรรม ฯลฯ ความเปลี่ยนแปลงอันชัดเจนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากข้าพเจ้าไม่ได้พบอาจารย์หมอเขียว ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่ถ่ายทอดคำสอนที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติตนเองให้เห็นจริง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง และยังนำพาบรรดาจิตอาสามาปฏิบัติตามได้เป็นจำนวนมากด้วย
    ดังนั้น การได้พบ ได้เห็น และได้ฟังคำสอนของอาจารย์หมอเขียวจึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้า รวมถึงการได้ฟังคำสอนของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในเวลาต่อมาด้วย ข้าพเจ้ามีศรัทธาเคารพนับถือท่านทั้งสองเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง ท่านได้พูดสอนในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ฟังจากที่ใดมาก่อน และเมื่อได้ฟังแล้วสามารถปฏิบัติตามได้จริง ๆ เห็นผลของการปฏิบัติในตัวเองจริง ๆ ทำให้ชีวิตข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงมาสู่สิ่งที่ดีกว่าได้จริง ๆ ผลที่เกิดขึ้นกับตัวเองนี่แหละเป็นที่มาของศรัทธาอย่างตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว มีปณิธานแน่วแน่ว่าจะพากเพียรปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สืบต่อไปจนกว่าชีวิตจะชนะทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นได้อย่างถาวร

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม) พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน จางคลาย)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน
    คำสำคัญ สัมมาทิฏฐิ / จุดเปลี่ยนของชีวิต / ชีวิตที่เปลี่ยนไป
    เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2565

  6. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    ทุกข์หายฉับพลัน
    ประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่มีอะไรเปรียบได้

    ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่ท่านพระคิริมานนท์ ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน…
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๖๐ อาพาธสูตร

    ข้าพเจ้าเป็นชายไทยเชื้อสายจีน วัยกลางคน แต่งงานแล้ว ไม่มีบุตร อาชีพค้าขาย กำลังจะมีอายุครบ ๕๐ ปีในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตส่วนใหญ่จะกระท่อนกระแท่น จำได้เพียงบางส่วนของบางเหตุการณ์เท่านั้น แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าสามารถจดจำได้มากกว่าเหตุการณ์อื่น ๆ อย่างเรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เป็นหนึ่งในประสบการณ์สุดพิเศษที่สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและจิตวิญญาณของข้าพเจ้าตลอดกาล มันคือหมุดหมายสำคัญอันหนึ่งของเส้นทางชีวิตที่จะทอดยาวต่อไปอีกนานแสนนาน ตราบจนจิตวิญญาณดวงนี้จะดับสูญไป
    วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ ข้าพเจ้าล้มป่วยอย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มีอาการไข้ ตัวร้อน หัวร้อน แต่มือเท้าเย็น และปวดหัวอย่างรุนแรงเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณสามถึงสี่ทุ่ม มันจะปวดมาก ปวดจนนอนไม่ได้เลยทีเดียว
    หากเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้พบแพทย์วิถีธรรม เกิดเจ็บป่วยขนาดนี้ข้าพเจ้าคงไม่รีรอที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะมันเป็นวิธีการเดียวที่ข้าพเจ้าจะคิดได้ในสมัยนั้น
    โดยปกติข้าพเจ้าเป็นคนแข็งแรง ตั้งแต่ได้มาเรียนรู้การเป็นหมอดูแลตัวเองด้วยหลักการแพทย์วิถีธรรม จากต้นปี ๒๕๕๘ ที่ได้เข้าค่ายสุขภาพครั้งแรกที่สวนป่านาบุญ ๓ จังหวัดปทุมธานี จนถึงปลายปี ๒๕๖๓ ข้าพเจ้าไม่เคยป่วยหนักเลย แม้จะยังมีความเจ็บป่วยอยู่บ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็สามารถดูแลตนเองจนหายได้โดยไม่ยาก และไม่เคยกินยาอะไรเลยนอกจากยา ๙ เม็ดหรือเทคนิค ๙ ข้อของการแพทย์วิถีธรรม
    จากการล้มป่วยอย่างหนักในครั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาจากแพทย์วิถีธรรมอย่างเต็มที่ และครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ของความเจ็บป่วยด้วยภาวะร้อนเย็นพันกันอย่างชัดเจน ในวันแรกที่เป็นไข้ แม่บ้านพยายามช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยการเช็ดตัวให้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นปกติ ซึ่งวิธีง่าย ๆ นี้เคยใช้ได้ผลดีมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ได้ผล แม้ว่าจะพยายามเช็ดตัวอยู่หลายรอบแล้วไข้ก็ไม่ลดลงเลย ในวันต่อมาข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่า อาการที่ข้าพเจ้าเป็นน่าจะเกิดจากภาวะร้อนและภาวะเย็นเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงได้ลองทำตามทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มา โดยใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนผสมกับฤทธิ์เย็นมาแก้ พอดีที่บ้านมีใบเตยกับตะใคร้อยู่แล้ว จึงไปตัดมาต้มในน้ำ เมื่อเดือดแล้วผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอดี ๆ จากนั้นก็นำผ้ามาชุบน้ำสมุนไพรนี้มาเช็ดตัว
    สัมผัสแรกที่ผ้าแตะถูกบริเวณหน้าผากเท่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอาการไข้หัวร้อนแทบจะหายไปในวินาทีนั้นเลย จากนั้นจึงได้เช็ดตัวด้วยน้ำสมุนไพรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไข้ก็ค่อย ๆ ลดลง ข้าพเจ้าได้ดูแลตนเองต่อมาโดยใช้ทั้งอาหารและสมุนไพรฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็นผสมกันเสมอ อาการก็ดีขึ้นมากแต่ยังไม่หายเป็นปกติ
    จนถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ประมาณ ๕ วัน นับจากวันที่เริ่มป่วย อาการไข้ตัวร้อน มือเท้าเย็นได้หายไปแล้ว แต่ยังคงมีอาการปวดหัวอยู่เป็นพัก ๆ เวลาปวดมันจะปวดรุนแรงมาก ปวดร้าวจนเหมือนหัวจะระเบิด ปวดมาก ๆ เข้าหัวก็จะร้อนขึ้นเหมือนจะเป็นไข้อีก อาการปวดหัวมักจะเกิดขึ้นในช่วงค่ำก่อนเข้านอน ทำให้นอนไม่หลับ พอล้มตัวลงนอนก็ปวดเลย ต้องลุกขึ้นมานั่ง แต่พอนั่งไปสักพักมันก็ปวดขึ้นมาอีก ต้องล้มตัวลงนอน นอนหงาย นอนคว่ำ นอนตะแคง พยายามหาท่านอนที่คิดว่าสบายที่สุด แต่สุดท้ายไม่ว่าจะนั่งหรือนอนในท่าไหน สักพักความปวดร้าวในหัวมันก็พุ่งขึ้นมาอีก ทำให้แทบไม่ได้นอนหลับเลยทั้งคืน
    ในคืนต่อมา ขณะที่ความเจ็บปวดในหัวกำลังเล่นงานข้าพเจ้าอย่างหนัก จนทำให้ข้าพเจ้าเริ่มคิดว่า “เราอาจจะต้องตายในคราวนี้ก็เป็นได้” เมื่อได้คิดถึงความตายที่อาจจะมารออยู่ใกล้ ๆ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มคิดทบทวนกับตัวเองในขณะนั้นว่า “เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะตายในคืนนี้” ข้าพเจ้าได้คิดถึงบุคคลต่าง ๆ ในชีวิตของข้าพเจ้า ตั้งแต่แม่บ้าน บิดา น้องสาว น้องชาย ข้าพเจ้าคิดพิจารณามาเรื่อย ๆ จนสามารถวางใจได้แล้วว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลอีกแล้ว บุคคลทั้งหลายเหล่านี้จะยังคงมีชีวิตของเขาต่อไปได้ ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าพร้อมแล้วสำหรับความตายถ้ามันจะมาเอาชีวิตข้าพเจ้าไปเสียในคืนนี้
    เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใจของข้าพเจ้านั้นยินยอมพร้อมที่จะตายอย่างเต็มที่ จึงได้ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง จัดท่าทางการนอนให้สบาย ๆ อยู่ในท่าที่สงบสำรวม ตั้งจิตไว้ว่าถ้าจะต้องตายก็ขอนอนตายในท่านี้แหละ
    แต่มันก็ไม่ตาย พอล้มตัวลงนอนก็พยายามควบคุมจิตให้มันสงบ ไม่คิดอะไรมาก ถ้ามันจะหลับก็ให้มันหลับไปเลย ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกก็ได้ ปรากฏว่านอนไปได้สักพักก็เริ่มปวดหัวอย่างรุนแรงอีก ไม่สามารถที่จะนอนต่อไปได้ จึงต้องลุกขึ้นมาคิดหาวิธีการรับมือกับความเจ็บปวดต่อไป
    ความรู้สึกในตอนนั้น นอกจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรงแล้ว มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่รบกวนในจิตใจของข้าพเจ้าอยู่ แต่เป็นเรื่องอะไรก็บอกไม่ถูก รู้สึกว่าใจมันไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบาย ข้าพเจ้าได้พยายามคิดพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนคิดไปถึงวันแรก ๆ ที่ล้มป่วย เวลาหลับตามันจะเห็นภาพวูบวาบของคลิปวีดีโอบนหน้าจออะไรสักอย่าง ภาพมันก็ไม่ชัดเจนนักหรอก แต่เห็นแล้วพอจะรู้ได้ว่ามันเกี่ยวกับคลิปวีดีโอ ภาพนี้มันทำให้ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยว่าตัวเองซึ่งทำงานด้านสื่อวิดีโอมาก ๆ อยู่ในช่วงนั้น ได้หลงยึดในเรื่องของงานเข้าไปแล้วหรือเปล่า ข้าพเจ้าทำงานหนักเกินไปจนถึงขั้น “ไม่รู้เพียรไม่รู้พัก” แล้วหรือ ข้าพเจ้าเอาจริงเอาจังมากจนกลายเป็นพวก “ยึดมั่นถือมั่น” ในผลสำเร็จของงานไปซะแล้วหรือ
    ทั้ง ๆ ที่ยังปวดหัวอยู่ แต่ข้าพเจ้าก็พยายามตั้งสติตรวจสอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ถามใจตัวเองว่าได้แอบยึดมั่นถือมั่นในการงานอยู่หรือเปล่า มีความกลัวว่างานจะไม่เสร็จหรือเปล่า มันก็ไม่มีนะ มันเห็นชัดเจนอยู่ว่างานจะเสร็จหรือไม่เสร็จเราก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ภาพหลอน ๆ ของวิดีโอที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเราหมกมุ่นแต่เรื่องงานตลอดเวลานี่มันคืออะไร มันทำให้เรากลัว กังวล หวั่นไหวได้ขนาดนี้เลยหรือ จริง ๆ แล้วเรากลัวอะไร “คนอื่นเขาจะคิดอย่างไรถ้าเราป่วยหรือตายเพราะเครียดเรื่องงานขนาดนี้” พอคิดมาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็ปิ๊งขึ้นมาทันที
    ที่แท้แล้วมันเป็นภาพที่กิเลสสร้างขึ้นมาหลอกหลอนข้าพเจ้านี่เอง มันพยายามจะทำให้ข้าพเจ้ากังวลว่าได้หมกมุ่นคิดแต่เรื่องงานมากไปแล้ว เพียงแค่เห็นภาพนั้นแว้บ ๆ ก็ดูเหมือนจะทำให้ข้าพเจ้าเกิดกลัวขึ้นมาได้มากทีเดียว แต่ไม่ใช่กลัวงานเสียหายหรอก มันแอบกลัวอีกเรื่องหนึ่งอยู่ คือกลัวถูกเข้าใจผิดว่าป่วยเพราะทำงานมากเกินไป ไม่รู้จักหยุดพักผ่อน กลัวถูกหาว่าติดดี ยึดดี ทำงานเครียดมากจนป่วย กลัวถูกเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นพวกบ้างาน ทำงานจนเครียดตาย
    เมื่อข้าพเจ้าจับไต๋ของกิเลสได้แล้ว เห็นลีลาของกิเลสที่พยายามสอดไส้ภาพเบลอ ๆ มัว ๆ เข้ามา เพื่อวางหลุมพรางให้ข้าพเจ้าติดกับ แล้วข้าพเจ้าก็ติดกับมันจริง ๆ นั่นแหละ ความกลัวกังวลหวั่นไหวทำให้ข้าพเจ้าหยุดอาการบีบคั้นปวดร้าวในสมองไม่ได้ แต่ทว่า ณ วินาทีที่ข้าพเจ้าได้เห็นความจริงข้อนี้เอง อาการปวดหัวก็หายไปในทันที หัวของข้าพเจ้านี่โล่งไปหมดเลย รู้สึกดีใจมากที่จับไต๋กิเลสได้ นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด รู้สึกว่ามันน่าดีใจยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก
    ข้าพเจ้าลุกขึ้นมาเดินและคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมาก ๆ ที่เราได้ “สลาย” กิเลสให้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้หนึ่งเรื่อง มันรู้สึกถึงพลังที่แน่นอยู่ในอก ร่างกายของข้าพเจ้าฟื้นตัวขึ้นมาด้วยพลังที่แรงสุด ๆ ถึงเวลานั้นข้าพเจ้าก็นอนไม่หลับอีกแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดในหัวเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นความปิติเบิกบานยินดีอย่างล้นเหลือ มีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมเหมือนจะออกไปวิ่งรอบหมู่บ้านได้สักสิบรอบ มันคึกคักฮึกเหิมจนไม่นึกอยากจะนอนเลยแม้แต่น้อย
    หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็นั่งคิดนั่งเขียนบันทึกไปจนเกือบจะรุ่งสาง ตอนนั้นรู้สึกว่าอาการป่วยดีขึ้นอย่างมากแล้ว แต่ยังมีความรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย และพบว่าเริ่มมีผื่นลมพิษขึ้นที่ก้น ซึ่งเป็นอาการปกติของข้าพเจ้าเวลาที่พิษในร่างกายมันดันออก วันนั้นข้าพเจ้ากินข้าวได้มากขึ้น อันเป็นสัญญาณที่ดีว่าโรคกำลังจะหายไป ผ่านไปอีกสองสามวัน อาการเจ็บปวดต่าง ๆ ทางร่างกายได้หายไปเกือบหมดแล้ว ส่วนใจนั้นมีความผาสุกผ่องใสมากกว่าตอนที่ยังไม่ป่วยเสียอีก
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “วิมุต (ความหลุดพ้นจากกิเลส) เป็นกำลัง” และอาจารย์หมอเขียวกล่าวว่า “ถ้าเราลดกิเลสได้ เราจะไม่เสียกำลังให้กับกิเลส พลังทั้งหมดจะกลับมาเป็นของเราเต็ม ๆ” ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในคำสอนของครูบาอาจารย์ ประสบการณ์ในครั้งนั้นคือสิ่งที่พิสูจน์ความจริงตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าและคำสอนของครูบาอาจารย์อย่างมหัศจรรย์ และมันเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาเปรียบได้ มันทำให้ข้าพเจ้าเกิดความรัก เคารพและศรัทธาในพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อย่างมั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรเปลี่ยนตลอดกาล และจะขอพากเพียรทำตามคำสอนของพุทธะไปจนกว่าจะชนะทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ในที่สุด

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม) พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน จางคลาย)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน
    คำสำคัญ ลดกิเลสรักษาโรค / กลัวถูกเข้าใจผิด
    เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2565

  7. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    มาเป็นนักมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรม
    กินอย่างไม่เบียดเบียนและสมดุล สู่ความผาสุกทั้งกายใจ

    ๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ “สามัญญผลสูตร” ข้อ ๑๐๓

    ก่อนจะมาพบแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้ากินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เหมือนคนทั่วไป ตอนเป็นเด็กไม่ค่อยชอบกินผักมากนัก กินเป็นแต่ผักไม่กี่ชนิดเท่านั้น และไม่เคยมีความคิดว่าจะเปลี่ยนมากินอาหารมังสวิรัติเลย จนกระทั่งได้มาดูแลมารดาซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง
    ความเจ็บป่วยของมารดาทำให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจเรื่องสุขภาพและอาหารการกินมากขึ้น เนื่องจากมารดาปฏิเสธการรักษาด้วยเคมีและการฉายรังสี จึงแสวงหาการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก หนึ่งในนั้นคือการแพทย์วิถีธรรมของอาจารย์หมอเขียว (ดร. ใจเพชร กล้าจน) และได้ไปเข้าค่ายอบรมสุขภาพแพทย์วิถีธรรมที่สวนป่านาบุญ ๓ จังหวัดปทุมธานี โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ไปร่วมอบรมและดูแลมารดาในระหว่างเข้าค่ายด้วย
    อาหารมื้อแรกในค่ายของข้าพเจ้ามีเพียงกล้วยน้ำว้า ส้มตำ ผักสด ข้าว ต้มยำเห็ด และถั่วเขียวต้มเท่านั้น ทั้งส้มตำและต้มยำไม่ได้มีรสชาติเหมือนที่เคยกินมาก่อนเลยในชีวิต มันดูจืดชืดมากจนมารดาถามข้าพเจ้าด้วยความเป็นห่วงว่าจะกินได้ไหม แต่ข้าพเจ้าก็กินได้ไม่ยากนัก คิดว่ามันเป็นอาหารที่ต้องกินเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น ไม่ได้กินเพื่อความอร่อย และถ้าข้าพเจ้าไม่กินอาจจะทำให้มารดากินได้น้อยลงไปด้วย ในวันนั้น เมื่อกินจนหมดถาดข้าพเจ้ายังไปตักมาเพิ่มแล้วนั่งกินเป็นเพื่อนมารดาต่อไปอีก
    หลังจากการอบรมในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจอาหารมังสวิรัติมากขึ้น แต่ก็ยังไม่คิดว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์เสียทีเดียว เวลานั้นคิดอยู่แต่ว่าอยากให้มารดาได้กินอาหารสุขภาพที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายท่านให้สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้เท่านั้น
    ในระหว่างที่พยายามปรับเปลี่ยนอาหารของมารดาที่บ้าน ข้าพเจ้าก็เริ่มศึกษาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติมากขึ้น จนเริ่มมีความคิดที่จะลองกินมังสวิรัติดูบ้างแล้ว ช่วงนั้นก็ได้ชวนมารดาและครอบครัวออกไปรับประทานอาหารมังสวิรัติตามร้านอาหารข้างนอกบ้าง นอกจากนั้น ก็ยังคงติดตามฟังคำบรรยายของอาจารย์หมอเขียวทางสื่ออยู่ด้วย
    อย่างไรก็ตาม แม้จะยอมรับว่าอาหารมังสวิรัตินั้นดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารเนื้อสัตว์ แต่ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ รอบด้าน รวมถึงความเคยชินที่สั่งสมมายาวนาน ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าการจะถือมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ตอนนั้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จึงได้ยุติความคิดของตนเองไว้เพียงแค่ว่าจะพยายามลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง กินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้นเท่านั้น
    ประมาณ ๓ เดือนหลังจากเข้าค่ายแพทย์วิถีธรรม ด้วยเหตุแห่งความวิตกกังวลทำให้โรคมะเร็งของมารดากำเริบขึ้นอย่างกะทันหัน จนต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน
    ต่อมา ข้าพเจ้ายังคงติดตามฟังและศึกษาเรื่องมังสวิรัติอยู่และได้ลดการกินเนื้อสัตว์น้อยลงมาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังเดินซื้ออาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง แม่บ้านก็บังเกิดความรู้สึกเหม็นคาวเลือดและเนื้อที่วางขายอยู่ในแผนกเนื้อสดอย่างมากจนไม่อยากเข้าใกล้ เราจึงตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลิกซื้อเนื้อสัตว์เข้าบ้าน และเริ่มทำอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์กินเองที่บ้านมากขึ้น ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าเริ่มคิดแล้วว่าคงจะมีสักวันในชีวิตนี้ที่เราจะเลิกกินเนื้อสัตว์และเป็นนักมังสวิรัติได้จริง ๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีแรงบันดาลใจมากพอจะปฏิบัติ เนื่องจากหันไปทางไหนก็มีแต่อาหารเนื้อสัตว์ และวิถีชีวิตของเราก็ยังคงพึ่งพาร้านอาหารนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ เวลานั้นก็ยังคิดว่าการไม่กินเนื้อสัตว์เลยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ๆ สำหรับเรา
    จนกระทั่งมีการจัดอบรมสุขภาพโดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมที่จังหวัดภูเก็ต เป็นค่ายย่อยแค่ ๒ วัน ข้าพเจ้ากับแม่บ้านได้ไปเข้าค่ายด้วย เราจึงได้เริ่มหยุดกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันแรกที่เข้าค่าย คือวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙ หลังจากจบค่ายก็ใกล้ถึงเทศกาลกินเจ ซึ่งในปีนั้นจะเริ่มต้นวันที่ ๓๐ กันยายน ข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงถือโอกาสกินมังสวิรัติต่อเนื่องไปจนหมดเทศกาลเจ จนเมื่อหมดเทศกาลเจแล้วก็มีความรู้สึกว่าเราทำได้ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก ร่างกายก็เบาสบาย จิตใจก็เป็นสุขดี เราจึงตัดสินใจว่าจะกินมังสวิรัติต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนั้นเราเริ่มรู้จักร้านอาหารเจหรือมังสวิรัติในจังหวัดภูเก็ตมากขึ้นหลายร้าน รวมทั้งร้านอาหารอื่น ๆ ที่เราสามารถสั่งอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ได้ด้วย ร้านอาหารเหล่านี้กลายเป็นที่พึ่งอาศัยสำหรับเราอย่างดีในช่วงแรก ๆ ของการเลิกกินเนื้อสัตว์ บัดนี้ เรื่องที่เคยคิดว่ายากจึงไม่ยากอีกต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีร้านอาหารที่นักมังสวิรัติสามารถเลือกกินได้มากมายในจังหวัดภูเก็ต ช่วงนั้นข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงสนุกสนานกับการตามหาและไปลองชิมอาหารของร้านต่าง ๆ ในภูเก็ตกันอยู่เสมอ
    ช่วงปีแรกของการเริ่มกินมังสวิรัติ ข้าพเจ้าได้เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด แต่ยังคงกินนมและไข่อยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในชา กาแฟ และขนมต่าง ๆ ซึ่งเรายังกินอยู่เป็นประจำ
    ต่อมาในปี ๒๕๖๐ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมอีกหลายครั้ง คำว่า “เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์” ก็เริ่มคุ้นหูมากขึ้น จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่เข้าค่ายอยู่ที่สวนป่านาบุญ ๒ จังหวัดนครศรีธรรมราช น่าจะเป็นช่วงใกล้เข้าพรรษา มีการชวนกันตั้งศีลปฏิบัติในระหว่างเข้าพรรษา มีพี่ชายท่านหนึ่งที่เราเริ่มจะสนิทสนมกันมากขึ้นจากการเข้าค่ายด้วยกันหลายครั้งแล้ว ท่านได้ตั้งศีลว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าตั้งตาม ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงได้เลิกกินทั้งนม เนย ไข่ น้ำผึ้ง และอื่น ๆ ที่รู้กันว่าได้มาจากสัตว์ด้วย การตั้งศีลในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามอยู่เหมือนกันในการเลิกกินขนมต่าง ๆ ที่เคยกิน โดยเฉพาะพวกเบเกอรี่ทั้งหลาย และเปลี่ยนจากการกินกาแฟใส่นมมาเป็นกาแฟแบบไม่ใส่นมแทน
    ถ้าไม่ได้ไปเข้าค่ายในครั้งนั้น ข้าพเจ้าคงคิดขึ้นมาเองไม่ได้หรอกว่าน่าจะตั้งศีลเลิกกินนม ไข่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าก็มีความสุขดีอยู่แล้วกับการเป็นมังสวิรัติแบบที่ยังกินไข่และนมอยู่ แต่ปรากฏว่าเมื่อข้าพเจ้าหยุดกินไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว กลับรู้สึกว่ามันเป็นสุขยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
    ดังนั้น เหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเป็นนักมังสวิรัติได้อย่างบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นและเป็นได้อย่างมั่นคงยั่งยืนด้วย คือการได้เข้าไปคบคุ้นอยู่กับชาวแพทย์วิถีธรรมนี่เอง ด้วยการไปเข้าค่ายเป็นประจำเกือบทุกเดือน การฟังธรรมจากอาจารย์หมอเขียวเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง และการได้บำเพ็ญกุศลร่วมกับจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมอย่างสม่ำเสมอ การคบคุ้นเช่นนี้ทำให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้าค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเรื่อย ๆ จนในที่สุดทั้งตัวข้าพเจ้าและแม่บ้านก็ได้ปวารณาตัวเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม และปฏิบัติบำเพ็ญตามคำสอนของอาจารย์หมอเขียวมาจนถึงปัจจุบัน
    วิถีการกินมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรมที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่นั้น มีความแตกต่างจากมังสวิรัติทั่วไปอยู่บ้าง คือนอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์แล้ว ยังมีการเลือกกินพืชผักฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นให้สมดุลกับร่างกาย กินแล้วรู้สึกเบา สบาย มีกำลัง กินอาหารรสธรรมชาติ ปรุงรสด้วยเกลือเป็นหลัก กินตามลำดับโดยเริ่มจากสิ่งที่ย่อยง่ายก่อน หรือพูดสั้น ๆ ตามที่อาจารย์หมอเขียวสอนไว้ก็คือ พืช จืด สบายนั่นเอง
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” และอาจารย์หมอเขียวได้เขียนไว้ในบททบทวนธรรมข้อที่ ๑๖๓ ว่า “สิ่งสำคัญในชีวิต คือ อาหาร ได้แก่ สมุนไพร ผลไม้ ผักสด ผักลวก ข้าว เกลือ ถั่วหลากหลายชนิด ธัญพืชรสมัน ทำให้แข็งแรง เบาท้อง สบาย เบากาย มีกำลัง อิ่มนาน อาหารที่จำเป็นสำคัญต่อชีวิตมีเพียงเท่านี้ แล้วจะโลภ จะโง่ไปทำไม” นี่คือแนวทางการกินอาหารแบบแพทย์วิถีธรรม ที่นอกจากจะทำให้แข็งแรงและมีอายุยืนแล้ว ยังเป็นการลดกิเลสไปด้วย
    เมื่อข้าพเจ้าเลิกกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว ในเวลาต่อมา ยังได้เลิกกินกาแฟและขนมอีกหลายอย่าง แต่ยังคงกินขนมบางอย่างอยู่ นอกจากนี้ ยังได้ลดมื้อของการกินอาหารลงเหลือ ๒ มื้อ และกิน ๑ มื้อเป็นบางคราว มันเป็นการปฏิบัติไปเป็นลำดับให้เหมาะสมกับเงื่อนไขในชีวิตของเราในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปฏิบัติไปจนถึงเป้าหมายสูงสุด คือ กินพืช จืด สบาย กินพืชผักพื้นบ้านหรือผักปลูกง่ายเป็นหลัก ไม่กินขนมหรือสิ่งที่เป็นโทษอื่น ๆ ทั้งหมด และกินมื้อเดียวเป็นหลัก กินมากกว่า ๑ มื้อเมื่อเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องปรับสมดุลเท่านั้น
    หลังจากได้ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวมาเรื่อย ๆ เป็นลำดับ ข้าพเจ้าพบว่าคุณภาพชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ร่างกายก็สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ไม่เหนื่อยง่าย มีความอึดในการทำงานได้ยาวนานขึ้น ประหยัดเงินค่าอาหารได้มาก นอกจากนี้ ยังมีผลทางด้านจิตใจด้วย คือรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ชีวิตเราไม่ต้องมีส่วนในการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเพราะการกินอีกต่อไป เป็นความปลอดโปร่งโล่งใจอย่างมาก และยังมีผลให้เป็นคนใจเย็น ไม่โกรธง่าย มีเมตตาต่อสัตว์เล็กสัตว์น้อยต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ฆ่าทำลายยุง มด หนอน แมลงต่าง ๆ ในบ้านด้วย
    ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่า การเป็นนักมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรมนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้า เป็นสิ่งล้ำค่าที่ข้าพเจ้าสามารถไขว่คว้าให้แก่ชีวิตตนเองได้จริง ๆ และจะตั้งใจรักษาไว้ตลอดทั้งชีวิต กระทั่งสืบต่อไปในภพชาติต่อ ๆ ไปด้วย

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม) พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (ชุน จางคลาย)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง มาเป็นนักมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรม

    คำสำคัญ มังสวิรัติ / ศีลข้อ ๑ / การตั้งศีล
    เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2565

  8. สุรีนารถ ราชแป้น 61110

    พุทธะชนะทุกข์ 090011 ชื่อ นามสกุล(ชื่อทางธรรม) สุรีนารถ ราชแป้น(นวลน้ำคำ)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สมดุลร้อนเย็น(แก้ปัญหาทุกข์ทางร่างกาย)
    เรื่อง การแก้ปัญหาสุขภาพผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนโควิด19
    คำสำคัญ วัคซีน/ โควิด 19

    จากการที่ข้าพเจ้าเป็นบุคลากรสาธารณสุขเมื่อมีการระบาดของโควิด19 เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้มากจากที่ต้องให้บริการผู้ป่วยที่มารับบริการทุกประเภทในโรงพยาบาลที่เจ้าหน้าที่ทุกคนเลี่ยงไม่ได้ จึงมีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันการระบาดของโควิด19 ตามนโยบายของผู้บริหาร ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำตามนโยบายนี้ แต่มันเป็นการระบาดใหม่ เป็นวัคซีนของใหม่ ที่หลายๆคนจะหวั่นไหว ในเรื่องของการศึกษา วิจัย ในระยะสั้น ในหลากหลายยี่ห้อ ไม่รู้จะเลือกรับตัวไหนดี แต่ตัวเองนั้นก็ยินดีที่จะได้รับวัคซีนไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหน ได้รับเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยใจไร้ทุกข์ เพราะคิดว่าการที่เราจะได้อะไรหรือไม่ได้รับอะไร ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย มันเป็นไปตามกุศลและอกุศลของเรา ที่สำคัญคือป้องกันการสัมผัสเชื้อ การรับเชื้อ ตามมาตรการป้องกัน และการสร้างเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง เป็นภูมิคุ้มกัน

    การได้มาเรียนรู้ศาสตร์ แพทย์วิถีธรรมและได้มาเป็นจิตอาสาถือว่าโชคดีและเป็นกำไรชีวิตที่ได้ทั้งเรื่องธรรมะ(ดูแลจิตใจ)และสุขภาพมาบูรณาการเข้าด้วยกันและนำมาปฏิบัติเป็นลำดับๆเพื่อลดทุกข์ทางใจและทางกาย ได้ปฏิบัติตัวดูแลตัวเองด้วยยาเก้าเม็ดมาเป็น10ปี ไม่ค่อยได้ใช้ยาแผนปัจจุบัน

    เมื่อได้รับวัคซีนป้องกันโควิด19 เข็มที่1 และ2นั้น มีอาการข้างเคียงน้อยมาก มีแต่อาการง่วงนอนเล็กน้อยเท่านั้น ก็ดูแลตนเองปกติ เพราะทุกวันก็ได้ทำสมดุลร้อนเย็นของร่างกายอยู่แล้ว

    เมื่อได้รับวัคซีนป้องกันโควิด19 กระตุ้นเข็มที่3 ซึ่งเป็นคนละยี่ห้อกับครั้งที่1และที่2นั้น มีผู้ได้มาเล่าอาการข้างเคียงของแต่ละคนให้ฟังที่ได้รับไปก่อนข้าพเจ้า แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันและจะมีอาการกันแทบทุกคน ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้นเชื่อมั่นว่าเราดูแลปรับสมดุลร่างกายมาตลอดคงจะไม่มีอาการข้างเคียงอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ประมาท เตรียมตัวให้ดีในวันก่อนรับวัคซีน นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมดุลกายใจ เตรียมน้ำ3พลัง(น้ำย่านางสกัด+ผงถ่าน+น้ำมันเขียว)ไปดื่มในวันที่ฉีด และทำไปแบ่งปันพี่น้องในที่ทำงานด้วย ได้รับการฉีดยาในตอนเช้าราวๆ 09.00 นาฬิกา สังเกตอาการสักพัก ไม่มีปัญหาอะไร ได้มาปฏิบัติงานต่อจนเลิกงาน ในระหว่างนั้นก็ยังดื่มน้ำ3พลังไปเรื่อยๆ ก่อนเลิกงานมีน้องๆบางคนเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ บางคนก็ทานยาแก้ไข้แก้ปวดไว้ล่วงหน้า ส่วนข้าพเจ้ายังไม่มีอาการ กลับมาบ้านพักผ่อน

    มาเริ่มมีอาการราวๆ 18.00 นาฬิกา รู้สึกตัวว่าไม่ค่อยสบาย หนาวๆร้อนๆ ตัวร้อน มือเท้าเย็น รู้สึกหนาว ไม่อยากถูกน้ำปวดเมื่อยตามตัว(เป็นอาการร้อน เย็นเกิดขึ้นพร้อมกัน) เกิดอาการทางกาย แต่ใจไม่หวั่นไหว ไม่กังวล แก้ไขไปตามอาการด้วยศาสตร์แพทย์วิถีธรรมที่เคยเรียนมา ปรับสมดุลร่างกาย ถอนพิษร้อนด้วยดื่มน้ำ3พลัง ต่อด้วยการทำกัวซาหลังโดยการใช้ขี้ผึ้งสมุนไพรฤทธิ์เย็น ไม่ทำดีท็อกซ์เพราะรู้สึกไม่อยากถูกน้ำ พอทำไปได้สักพักไม่นานนักก็เหงื่อออก อาการหนาวๆร้อนๆดีขึ้น ปวดตามตัวลดลง หลับได้ตลอดคืน

    ตื่นตอนเช้ามาอาการดีกว่าตอนกลางคืนยังมีลุ้นว่าตัวเองจะเดินทางไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ต่างอำเภอได้หรือไม่ เช้านี้หลังอาบน้ำเสร็จมาทำเมนูข้าวต้มถอนพิษร้อน คือข้าวต้ม ทานกับเกลือและผักลวก สายๆก็สามารถเดินทางได้ แต่ยังมีอาการหนักเนื้อหนักตัวอยู่บ้าง อยากนอน ยังไม่โล่งเท่าที่ควร กลับมาถึงบ้านบ่ายๆเพิ่งสังเกตุเห็นที่แขนข้างที่ฉีดยามีรอยแดงๆที่รอยเข็ม แขนทั้งแขนรู้สึกหนักๆตึงๆและแดงกว่าแขนที่ไม่ได้ฉีด ส่วนใจก็ไม่กังวลอะไรต่ออาการทียังเหลืออยู่ มั่นใจในยา9เม็ดของแพทย์วิถีธรรม จึงถอนพิษออกจากร่างกายต่อด้วยการทำสวนล้างลำไส้ใหญ่ ด้วยน้ำสมุนไพรในตัวเก่าที่เก็บไว้ ผสมด้วยน้ำอุ่นๆทำ2ขวด(เป็นการระบายพิษจากทั่วร่างกายออก) ส่วนแขนที่แดงๆ หนาๆใช้สมุนไพรในตัวทาสลับกับน้ำมันเขียว กัวซาโดยใช้มือเกาเบาๆทั้งแขน แรกๆเกาจะเป็นรอยแดงๆแล้วค่อยๆจางลงจนไม่แดงจึงหยุดกัวซาแขนนั้น รู้สึกเบาไปทันที
    สรุปได้ว่าผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด19 ครั้งที่3 มีอาการอยู่24ชั่วโมงก็หายเป็นปกติ โดยการปรับสมดุลจิตใจ(ใจไร้ทุกข์ ไม่กังวล ระแวง หวั่นไหว)จึงมีฤทธิ์แรงมากกว่า70% หรือเกิน 100% ก็ได้ เป็นยาเม็ดเลิศ ส่งผลให้การใช้ยาเม็ดหลัก เม็ดเสริมออกฤทธิ์ดีเช่นกัน โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบันเลยถึงแม้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขก็ตาม การที่เราจะเลือกใช้การรักษา ดูแลตนเองแผนไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้ ความเข้าใจ เชื่อและศรัทธาในแผนนั้นๆอย่างไร เลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองในสถาณการณ์และเหตุปัจจัยนั้นๆ แบบไม่ยึดมั่น ถือมั่น พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา การเจ็บป่วยทางกายเปรียบเท่ากับฝุ่นปลายเล็บ ส่วนการเจ็บป่วยทางใจเปรียบเท่ากับดินทั้งแผ่นดิน(ตามครูบาอาจารย์สอน) แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่รู้จักแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าก็คงจะกังวลตั้งแต่คิดจะฉีด ได้ฉีดเมื่อไหร่ ฉีดยี่ห้ออะไรดี ฉีดแล้วจะเป็นอะไรมากมั้ย ซึ่งความคิดเหล่านี้จะทำให้มีอาการมากกว่าผลข้างเคียงจากการฉีดยาก็เป็นได้ และหลังฉีดคงต้องไปเบิกยาแก้ปวดแก้เมื่อยมาไว้ทานแน่นอน นับว่าเป็นกุศลของเราที่ได้มาพบทางเลือกนี้ ขอบพระคุณ ครูบาอาจารย์(ดร.ใจเพชร กล้าจน) และหมู่มิตรดีทุกท่านที่มีส่วนทำให้เรามาเป็นหมอดูแลตัวเอง

    บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 กพ 2565
    ประว้ติผู้เขียนโดยย่อ
    สุรีนารถ ราชแป้น (นวลน้ำคำ)อายุ61 ปี
    เป็นจิตอาสาสังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 อ.ชะอวด จ. นครศรีธรรมราช ปัจจุบันอยู่ ที่ จ. สุราษฎร์ธานี และเป็นนักศึกษาวิชาราม หลักสูตร7ปีระดับอาริยปัญญาโท ชั้นปีที่2
    ได้มารู้จักแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ 2554 ได้มาเรียนรู้ยา9เม็ดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ได้นำยา9เม็ดมาใช้ในการดำเนินชีวิต ปัจจุบัน สุขภาพ กาย ใจ เปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีขึ้น

  9. รมิตา ซีบังเกิด

    160012
    ชื่อ รมิตา ซีบังเกิด(ไพรดินพุทธ) อายุ 65 ปี สังกัดสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    ปัจจุบันอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    หมวด : จิตใจ
    เรื่อง สายเลือดแห่งการแบ่งปัน
    คำสำคัญ มารดา / แบ่งปัน /แบบอย่าง/ ความสุข
    คำว่า “การ” เป็นคำนาม หมายถึง งาน,สิ่งหรือเรื่องที่ทำ
    คำว่า “แบ่งปัน” เป็นคำกริยา หมายถึง แบ่งส่วนให้บ้าง,แบ่งให้บางส่วน
    “การแบ่งปัน” จึงมีความหมายว่าสิ่งที่แบ่งให้บางส่วน
    การแบ่งปันแก่ผู้อื่น เป็นอุปนิสัยที่ติดตัวดิฉันมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นบุตรสาวคนที่ 4 ของครอบครัว จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด10 คน เพราะบิดามีภรรยา 2 คน มารดาได้แยกตัวเองออกจากบิดามาต่อสู้เพียงลำพัง พร้อมด้วยบุตรทั้ง 5 คน มารดามีอาชีพค้าขาย ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงเกิดความสงสารมารดามากๆ ตั้งแต่เด็กๆ งานใด เรื่องใดที่มารดาต้องทำและดิฉันพอจะช่วยท่านได้ก็จะรับมาทำ เพื่อไม่ให้ท่านต้องเหนื่อย ส่วนพี่ๆและน้องสุขภาพไม่แข็งแรงและไม่ใส่ใจรายละเอียดส่วนนี้ แต่ดิฉันเป็นคนไม่คิดอะไรมากและมีความยินดีพอใจในการช่วยเหลือมารดาเป็นที่สุด งานที่ดิฉันช่วยมารดาเช่น ซักผ้า หุงข้าว เช็ดถูปัดกวาด ตักน้ำ(ในอดีตไม่มีน้ำประปาต้องตักจากลำคลอง) ใส่ตุ่มให้เต็มทุกใบ
    มารดาเป็นคนขยัน จิตใจดี มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สิ่งของให้กับทุกคน เท่าที่จะไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ท่านจึงเป็นที่รักและเคารพนับถือจากคนในละแวกบ้าน(เขตจอมทอง กรุงเทพฯ) จนวาระสุดท้ายของชีวิต
    ด้วยเหตุนี้ทำให้นิสัย”การแบ่งปัน” ได้ติดตัวของดิฉันมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่ได้มีทรัพย์สิน เงินทองมากมายอะไรนัก แต่ก็พร้อมที่จะแบ่งปันให้กับทุกคนได้ตลอดเวลา โดยประมาณการว่าจะไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน

    การแบ่งปันที่ทำอยู่ในปัจจุบันคือ การส่งเงินให้พี่สาวซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯทุกเดือนจำนวนหนึ่ง เนื่องจากมีอาชีพค้าขายช่วงโควิดเริ่มลำบาก และส่งให้หลานชายซึ่งเรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ น้องชายดิฉันเสียชีวิตแล้วแต่มีหนี้สินที่น้องสะใภ้ต้องรับผิดชอบหลายปี ดิฉันจึงส่งเงินให้หลานชายใช้บ้างเป็นครั้งคราวเท่าที่จะช่วยได้
    วันใดที่ทำอาหารมังสวิรัติก็จะแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้าน พี่สาวของพ่อบ้านซึ่งอายุมากแล้วบ่อยครั้ง สำหรับคนในชุมชนก็ทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น เครื่องดื่มธัญพืช น้ำสมุนไพร น้ำเต้าหู้ ข้าวต้มมังสวิรัติ การเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานภายในท้องถิ่นตามความรู้ของตนเองที่มีอยู่ ฯลฯ
    เมื่อมาเป็นจิตอาสาแพทย์วิธีธรรม ได้พบเห็นตัวอย่างจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ท่านอาจารย์หมอเขียว(ดร. ใจเพขร กล้าจน) และจิตอาสาหลายๆท่าน ที่เสียสละ แบ่งปัน ทั้งทางแรงกาย แรงใจ สิ่งของ ความรู้ ความสามารถ ยิ่งทำให้ดิฉันตระหนักในเรื่องของการแบ่งปันยิ่งขึ้นๆโดยไม่หวังผลสิ่งใดตอบแทนเลย เพราะเด่นชัดในคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวที่ว่า”ให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้” “สุขจากการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่กว่าการเอา” “สุขจากการให้ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ สุขสบายใจที่สุดในโลก เป็นสุขที่สุข ที่สุดในโลก” “การให้ หรือแบ่งปัน เป็นที่พึ่งแท้ของโลก” และ “การให้ หรือ การแบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์ คือ ความเจริญของจิตวิญญาณที่งดงาม มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก”
    จากบททบทวนธรรมหลายๆบทของท่านอาจารย์หมอเขียว
    (ดร.ใจเพชร กล้าจน) ยิ่งเห็นแจ่มชัดในเรื่องของการเสียสละ ด้วยความยินดี เต็มใจ และมีความสุข เบิกบานดิฉันจะเป็น “คนจน มหัศจรรย์ แบ่งปันตลอดกาล”
    12 มีนาคม 2565

  10. รมิตา ซีบังเกิด

    160032
    ชื่อ รมิตา ซีบังเกิด (ไพรดินพุทธ) อายุ 65 ปี สังกัดสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    ปัจจุบันอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    หมวด : จิตใจ
    เรื่อง บทเพลงแห่งธรรมพาพ้นทุกข์
    คำสำคัญ : ความทุกข์/บทเพลง/พ้นทุกข์
    ดิฉันมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงเมื่อปี พ.ศ.2521 สอบบรรจุเป็นข้าราชการครูที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้สมรสกับพ่อบ้านเมื่อปี พ.ศ.2523 มีบุตรสาว 1 คนในปี พ.ศ.2525 ย้ายสถานศึกษทั้งหมด 3 แห่ง ที่สุดท้ายคืออำเภอบ้านนาเดิม สุราษฎร์ธานี ซึ่งอาศัยอยู่จนปัจจุบัน รวมระยะเวลาการรับราชการจำนวน 31 ปีและลาออกจากราชการเมื่อปี พ.ศ.2551 ก่อนเกษียณ 8 ปี
    เมื่อลาออกจากราชการแล้วได้นำเงินส่วนที่ได้รับมาซื้อที่ดินเพิ่มอีกหนึ่งแปลงเพื่อทำสวนยางพาราและสวนผลไม้
    ขีวิตครอบครัวไม่สงบสุข และไม่มีความสุขมานานมาก เนื่องจากพ่อบ้านเป็นคนชอบเที่ยวเตร่ เล่นการพนัน พัวพันผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน
    ดิฉันต้องรับภาระในการดูแลบุตรและค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน ทำอาชีพเสริมหลายอย่างนอกเหนือจากงานราชการ เพื่อให้ครอบครัวดำเนินชีวิตไปได้ จนบุตรสาวสามารถเรียนจนจบระดับปริญาโทสามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการและได้สมรสไปอยู่จังหวัดน่าน
    เมื่อลาออกจากราชการพร้อมกับเพื่อนข้าราชการครูด้วยกัน เพื่อนได้ชวนไปวัดปฎิบัติธรรมหลายครั้ง อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนได้ชวนไปสวนป่านาบุญ 2 อำเภอชะอวด นครศรีธรรมราช เพื่อไปฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียวแต่ไม่ได้เข้าค่าย โดยนิสัยส่วนตัวของดิฉันชอบฟังเพลงเป็นประจำ ในระหว่างการบรรยายธรรมท่านอาจารย์ได้บรรยายถึงความทุกข์ที่ได้รับจากคนคู่ ดิฉันฟังด้วยความตั้งใจ เพื่อจะดับทุกข์ทางใจให้ได้ อาจารย์ได้แปลงเนื้อเพลง”วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” เป็น “วันใดขาดเธอฉันเพิ่งเจอความสุข” เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากที่ได้ฟังเนื้อเพลงท่อนเดียวเท่านั้น ทำให้ดิฉันจิตใจโปร่ง โล่ง สบาย หายทุกข์จากชีวิตคนคู่ในเวลาอันสั้น
    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาดิฉันจึงตัดสินใจขอหย่ากับพ่อบ้าน แต่เขาไม่ยอมหย่าให้โดยง่าย ดิฉันต้องใช้หลายวิธีการจนสามารถหย่าขาดได้สำเร็จ ชีวิตจึงหลุดพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจจนปัจจุบัน
    หลังจากหย่าขาดกับพ่อบ้านแล้วแต่เราต้องอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน เพราะต่างคนไม่ต้องการสร้างบ้านใหม่ให้มีหนี้สินอีก เมิ่อพ่อบ้านใช้ชีวิตที่เขาต้องการอย่างเต็มที่หลายสิบปี ในที่สุดเงินก็หมด ร่างกายเริ่มเจ็บป่วย จึงมาอยู่บ้านแบบเรียบง่าย ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา แต่เราไม่มีความสัมพันธ์แบบคนคู่
    เมื่อเป็นอิสระจากคนคู่ ดิฉันได้เดินทางเข้าค่ายแพทย์วิถีธรรมหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ.2560 ดิฉันได้สมัครเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมสังกัดสวนป่านาบุญ 2 จนปัจจุบัน ดิฉันก็พบกับความสุขกาย สุขใจ แต่ก็ยังต้องอาศัยบ้านเดียวกันกับพ่อบ้าน แต่ไม่มีความรู้สึกทุกข์กาย ทุกข์ใจเหมือนที่ผ่านมา
    รายได้จากเงินเดือนบำนาญและสวนยางพาราได้แบ่งปันหลายส่วนเท่าที่จะทำได้ ชีวิตจึงพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง นี้เป็นเพราะบทเพลงวันดังกล่าวแท้ๆเลย
    12 มีนาคม 2565

  11. รมิตา ซีบังเกิด 64098

    160025
    ชื่อ รมิตา ซีบังเกิด (ไพรดินพุทธ) สังกัดสวนป่านาบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    หมวด : เศรษฐกิจ
    เรื่อง การพึ่งตนสู่การแบ่งปันอย่างยั่งยืน
    คำสำคัญ : เกษตรไร้สารพิษ/ พึ่งตน/แบ่งปัน
    ดิฉันอายุ 65 ปี เป็นข้าราชการบำนาญครู ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลาออกจากราชการมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เมื่อเกษียณแล้วได้หันมาสนใจอาชีพทางด้านการเกษตร ครอบครัวมีสวนยางพาราจำนวน 45 ไร่ แต่เว้นที่ไว้เพียง 1 ไร่ เพื่อปลูกผลไม้ไว้รับประทานในครอบครัวและแบ่งปันผู้อื่น ในปีแรกๆยังใช้ปุ๋ยเคมีเต็มรูปแบบ แต่ไม่ใช้ยากำจัดแมลง แต่เมื่อได้รับชมรายการโทรทัศน์ช่อง F M ทีวี รายการที่ชื่นชอบคือรายการที่เกี่ยวกับการทำการเกษตร ซึ่งจะมีปราชญ์หลายๆท่าน มาให้ความรู้เรื่องของการทำกสิกรรมไร้สารพิษและปลอดสารพิษ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงได้ศึกษาและลงมือปฎิบัติอย่างจริงจัง ระยะแรกๆที่ทำคือการทำปุ๋ยน้ำหมักสูตรต่างๆ รวมทั้งการเตรียมดินที่ใช้ในการปลูกผักและผลไม้มาจนถึงปัจจุบัน
    ผ่านมาระยะหนึ่งตั้งแต่ได้มาเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม จึงได้น้อมนำคำสอนและองค์ความรู้ต่างๆที่ได้รับจากท่านอาจารย์หมอเขียว(ดร.ใจเพชร กล้าจน) มาประยุกต์ใช้ในการปลูกผักและผลไม้ทั้งที่สวนและที่บ้าน เพื่อไว้บริโภคและแบ่งปันในรูปแบบต่างๆเท่าที่จะสามารถทำได้ รวมถึงได้นำความรู้และประสบการณ์ในการทำกสิกรรมไร้สารพิษ เผยแพร่ให้แก่ประชาชนในชุมชนอยู่เสมอมา
    เมื่อผักและผลไม้ได้รับผลผลิตก็นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ ปุ๋ยน้ำสูตรต่างๆ การทำน้ำยาเอนกประสงค์ แชมพูสระผม สบู่เหลว สบู่ก้อน สมุนไพรไล่แมลง ขี้ผึ้งสมุนไพร ลูกประคบสมุนไพร ถ่านบำรุงดินจากเศษไม้ยางพารา ดินเพาะกล้า การตอนกิ่งพันธุ์ การเสียบยอด การวางระบบน้ำในสวนและบ้าน การซ่อมกุญแจ การซ่อมอ่างล้างหน้า/อ่างล้างจาน ซ่อมชักโครก และการทำน้ำสมุนไพร/น้ำเต้าหู้ แบ่งปันแก่คนในชุมชนตามโอกาสต่างๆ การทำโรงเรือนปลูกผักด้วยท่อพีวีซีและไม้ไผ่ในงบประมาณที่ประหยัด การเย็บผ้าและซ่อมผ้าด้วยตนเองฯลฯ
    การพึ่งตนเองหลากหลายด้านนั้น ดิฉันได้ฝึกฝนตนเองตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากบ้านที่ให้กำเนิดค้าขายอุปกรณ์เกี่ยวกับงานช่าง งานไฟฟ้า งานก่อสร้างฯลฯ จึงไม่มีความยากลำบากแต่อย่างใด กลับทำให้ดิฉันรู้สึกยินดี พอใจที่สามารถทำงานเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง และเป็นการประหยัดรายจ่ายของครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย
    การพึ่งตนเองของดิฉันในหลายๆเรื่องนั้น เป็นความสุขใจและความภาคภูมิใจมากๆ ที่ช่วยเหลือตนเองและสามารถแบ่งปันความรู้ สิ่งของแก่ผู้อื่นตามศักยภาพของตนเองที่มีอยู่

    ดังคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวที่ว่า “คุณค่าและความผาสุกของการเป็นคน คือ….การพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์”
    12 มีนาคม 2565

  12. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    เรื่อง คบและเคารพมิตรดี
    การเข้ามาเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมและชีวิตใหม่ทางสังคม

    หมวด สังคม
    คำสำคัญ มิตรดี / สังคมดี / จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม
    เขียนเมื่อ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๕

    —————————————–
    “…ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า

    [๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูกรอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘”

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๔ – ๕ อุปัฑฒสูตร
    —————————————–

    ก่อนจะมาพบกับแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าอยู่กับแม่บ้านที่จังหวัดภูเก็ต ทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ แบบพออยู่พอกิน มีเหลือพอสำหรับเที่ยวเล่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หรูหราฟุ่มเฟือยอะไรนัก มีเพื่อนที่ได้ไปมาหาสู่กันเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนนักเรียนสมัยเรียนมัธยมปลาย นอกนั้นก็เป็นเพื่อนจากที่ทำงานเดิมของแม่บ้าน ที่ยังมีการพบปะสังสรรค์กันอยู่บ้าง

    ชีวิตทางสังคมของข้าพเจ้าจึงมีแต่กลุ่มเพื่อนเก่าสมัยเรียนเท่านั้น ไม่ค่อยได้แสวงหาเพื่อนใหม่ ๆ มากนัก แม้จะมีเพื่อนไม่มาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวแต่อย่างใด ทั้งข้าพเจ้าและแม่บ้านชอบที่จะมีชีวิตที่เป็นอิสระจากวงสังคมต่าง ๆ มากกว่า

    ย้อนหลังไปสมัยที่ยังไม่แต่งงานและยังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนสนิทอยู่เป็นประจำ กินดื่มพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ ทั้งเรื่องเก่า ๆ สมัยเรียน เรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ธุรกิจการงานต่าง ๆ ของเพื่อนบ้าง ของเราบ้าง และมักจะดื่มกันจนดึกดื่นค่อนคืน หรือยาวไปจนเกือบสว่างเลยก็มี ก่อนแต่งงานนั้น ข้าพเจ้ายังดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อยู่ หลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่จังหวัดภูเก็ตจึงได้เลิกบุหรี่ก่อน เพราะแม่บ้านแพ้ควันบุหรี่ แต่ยังคงดื่มเหล้าดื่มเบียร์อยู่บ้างเวลาเจอเพื่อนเก่า ๆ ที่เคยกินดื่มร่วมกันมา

    ข้าพเจ้าได้เลิกดื่มเหล้าเมื่อมารดาป่วยเป็นโรคมะเร็ง สาเหตุที่ตัดสินใจเลิกเพราะความรู้สึกสำนึกผิดที่เคยทำไว้กับมารดาอย่างมาก ในสมัยเรียนข้าพเจ้าเคยออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและกินดื่มกันจนถึงเช้าบ่อย ๆ ทำให้มารดาต้องทุกข์ใจมาก ท่านมักจะต้องมารอเปิดประตูให้ข้าพเจ้าเข้าบ้านตอนเช้าเสมอ ข้าพเจ้าระลึกถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้กับมารดานี้ได้ตอนที่ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาล ต้องอดนอนเพื่อเฝ้าดูแลท่านที่นอนป่วยอยู่

    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าได้เริ่มฟังธรรมบ้างแล้ว แม้จะยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาก แต่เมื่อได้เห็นความทุกข์ทรมานของมารดาก็เกิดความสลดในใจ และเห็นความทุกข์ของตนเองที่ต้องมาอดหลับอดนอนเพื่อเฝ้าดูแลมารดาด้วย ในวันหนึ่ง ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน ขณะที่กำลังเฝ้าดูแลท่านในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะเลิกดื่มเหล้าเบียร์และของมึนเมาต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์อีกเลย

    หลังจากมารดาเสียชีวิตไปแล้ว ข้าพเจ้ายังคงติดตามฟังธรรมของอาจารย์หมอเขียวอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังสนใจฟังธรรมของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วย ทิศทางของชีวิตเริ่มหันเหออกจากทิศทางเดิมทีละน้อย เริ่มเบื่อหน่ายต่อการดิ้นรนไขว่คว้าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เห็นความไร้สาระในชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง แต่เวลานั้นก็ยังไม่คิดว่าจะปฏิบัติธรรมเลย ได้แต่ฟังและคิดตามมาเรื่อย ๆ มีเรื่องที่เริ่มปฏิบัติตามหลักยา ๙ เม็ดของแพทย์วิถีธรรม คือ การทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นดื่ม การสวนล้างลำไส้ใหญ่ และลดการกินเนื้อสัตว์ลงไปบ้างเท่านั้น

    จนกระทั่งได้ไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมอีกหลายครั้งที่สวนป่านาบุญ ๒ จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่กลางปี ๒๕๖๐ ข้าพเจ้าก็เริ่มคบคุ้นกับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมหลายคน และได้ปวารณาตัวเป็นจิตอาสาฯ เมื่อกลางปี ๒๕๖๒ หลังจากที่ได้บำเพ็ญตนทำงานร่วมกับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมมาระยะหนึ่งแล้ว ความคุ้นเคยสนิทสนมกับพี่น้องจิตอาสาฯ ก็เพิ่มมากขึ้น จนข้าพเจ้ามีความรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่านี่แหละคือหมู่กลุ่มสังคมที่ข้าพเจ้าสังกัดอยู่ด้วยจริง ๆ ชีวิตข้าพเจ้าในปัจจุบันมีกิจกรรมการงานที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหมู่กลุ่มนี้แทบทุกวัน มีความระลึกถึงกันและได้เกื้อกูลช่วยเหลือกันอยู่เสมอ มีความเป็นญาติดังเช่นที่พุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า “วิสฺสาสปรมา ญาติ” ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง

    แม้ในเวลานี้บ้านของข้าพเจ้าที่ภูเก็ตจะอยู่ห่างไกลจากครูบาอาจารย์และหมู่กลุ่มซึ่งอยู่รวมกันเป็นศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม แต่ด้วยการทำกิจกรรมบำเพ็ญผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ทุกวัน ในความรู้สึกนั้น ข้าพเจ้ามิได้ห่างเหินจากหมู่กลุ่มเลย ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมไปในแนวทางเดียวกันกับที่ครูบาอาจารย์พาทำ และปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั้งหลาย ได้ทำงานเสียสละร่วมกับพี่น้องจิตอาสาฯ จำนวนหลายร้อยคน ทั้งในและต่างประเทศ มีการประชุมร่วมกันเป็นประจำทุกวัน จนข้าพเจ้ามั่นใจว่า สักวันหนึ่ง เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ข้าพเจ้าก็จะย้ายไปอยู่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในชุมชนนี้ และจะอยู่ร่วมกันไปจนถึงวันที่ข้าพเจ้าเสียชีวิตจากโลกนี้ไป

    จากชีวิตที่เคยรักความเป็นอิสระอย่างมาก หวงแหนความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง ไม่ค่อยยอมเข้าสังคมกับกลุ่มใด ๆ ชอบทำอะไรตามใจตนเองเป็นหลัก ไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก มาบัดนี้ หลังจากที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์มาจนได้ความผาสุกมากขึ้นตามลำดับ ข้าพเจ้าค่อย ๆ ยอมละทิ้งความเป็นอิสระ ความเป็นส่วนตัว ยอมทำตามมติของหมู่กลุ่มด้วยความยินดี มีความสุขใจที่ได้ทำงานเสียสละร่วมกับหมู่กลุ่ม มีความเชื่อใจ ไว้วางใจในกันและกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    อาจารย์หมอเขียวได้กล่าวไว้ในบททบทวนธรรม ข้อ ๖๗ ว่า “สิ่งที่ดีที่สุดในโลก คือ คบและเคารพมิตรดี ไม่โทษใคร ใจไร้ทุกข์ ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” นี้คือหนึ่งในแนวทางชีวิตที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ และหมู่กลุ่มของอาจารย์หมอเขียว จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม รวมทั้งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์และชาวอโศกทั้งหลาย เป็นหมู่กลุ่มที่ข้าพเจ้าถือว่าเป็น “มิตรดี” ที่ข้าพเจ้าคบคุ้นอยู่ และเชื่อว่าจะคุ้นเคยลึกซึ้งกันยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ตราบจนข้ามภพข้ามชาติ และไปเกิดใหม่อีกหลายชาติ ก็จะยังเป็นหมู่กลุ่มสังคมที่ข้าพเจ้าสังกัดต่อเนื่องไปตลอด จนกว่าจะไม่เหลือชาติให้ต้องเกิดอีกต่อไป
    —————————————–

  13. ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)

    พุทธะชนะทุกข์
    นางสาวชรินรัตน์ ชุมจีด (แทม น้ำน้อมศีล)
    สังกัดภาคใต้สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สุขภาพกายใจและเศรษฐกิจ
    เรื่อง ชีวิตที่เปลี่ยนไป: วันนี้ฉันอยู่อย่างประหยัดและเรียบง่าย

    นับตั้งแต่ผู้เขียนได้อ่านได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พ่อครูและอาจารย์หมอเขียว ผู้เขียนมีโอกาสย้อนนึกถึงอดีตก่อนมาเจอแพทย์วิถีธรรม ยิ่งลองนึกเปรียบเทียบดูก็ยิ่งเห็นความแตกต่างของการใช้ชีวิตของตัวเองในอดีตและปัจจุบันอย่างมาก เมื่อก่อนครอบครัวที่ผู้เขียนใช้ชีวิตอยู่มีการจัดการแบบกงสี อยู่ง่าย กินง่าย ใช้ชีวิตแบบสาธารณโภคี คือ กินใช้ร่วมกัน แต่ก็ยังเป็นการอยู่ร่วมกันแบบที่คนอื่นๆ ในโลกเขาทำกัน คือ ต้องทำงานมาก ยอมทำงานหนัก เพราะมีความเชื่อว่า ยิ่งทำงานมาก ยิ่งจะได้มีเงินเยอะ เงินเหล่านั้นที่หามาได้ก็เอาไปใช้เพื่อสิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากเป็น อยากมี ตามสมมติโลก ตอนนั้นผู้เขียนมีความคิดว่า คนอื่นมีเราก็ต้องมีเหมือนเขา
    ช่วงชีวิตตอนนั้น ผู้เขียนยอมทน ยอมทำ ยอมทุกข์ ยอมหนัก ยอมเหนื่อย แทบจะยอมทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ใจต้องการ เวลาได้เงินมามากก็นำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ซื้อของกินของใช้เกินความจำเป็น ผู้เขียนหลงยึดไปทำตามกิเลสมาร (ความอยาก) จนทำให้ร่างกายเจ็บป่วย สุขภาพกายเสียหาย จนต้องไปหาหมอ ซื้อยา กินยา เสียทั้งสุขภาพ เวลาและทุนรอน
    แต่เมื่อปี พ.ศ 2556น้องชายของผู้เขียนได้เจอศาสตร์แพทย์วิถีธรรม และได้สมัครเข้ามาเป็นจิตอาสาช่วยเหลืออาจารย์หมอเขียวในการเข็นกงล้อพระธรรมจักร น้องชายผู้เขียนก็เริ่มแนะนำให้พี่น้องครอบครัวเราได้รู้จักกับ แพทย์วิถีธรรม เช่นกัน ผู้เขียนและพี่น้องได้เริ่มเรียนรู้ศาสตร์ยา 9 เม็ดมากขึ้นเรื่อยๆ และลองนำศาสตร์การทำสมดุลร้อนเย็น การสร้างสมดุลกาย-ใจ มาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้สุขภาพกายได้ดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะยาเม็ดที่สำคัญที่สุดของอาจารย์หมอเขียว คือ เม็ดที่ 8 ยาเม็ดที่ทำให้ชีวิตของผู้เขียนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยาที่แนะนำการ “ใช้ธรรมะ ละบาป บำเพ็ญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส คบมิตรดีสหายดี สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมดี” นั่นเอง

    ยิ่งได้ติดตามฟังธรรมะจาก พ่อครู อาจารย์หมอเขียว อยู่ทุกๆวัน ยิ่งได้เข้ามาสัมผัสกับสังคมหมู่มิตรดี ทำให้มีชีวิตผู้เขียนมีความเรียบง่ายมากขึ้น
    *** ตรงนี้ขยายความต่างให้ชัดขึ้นว่า ตอนนี้ไม่อยากได้ ไม่อยากมีมากเหมือนในอดีตอีกแล้ว ไม่ฟุ่มเฟือย ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง ไม่ต้องทุ่มเททำงานหนัก ยอมเหนื่อย ยอมทนเหมือนเดิมอีกแล้ว ****
    เมื่อเราลดตัวกิเลส(ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี)ลง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตที่เคยอยู่ยาก กังวลใจ ก็กลับอยู่ง่าย สบายใจ
    จากเมื่อก่อนเวลาต้องไปช่วยงานบำเพ็ญกับค่าย ผู้เขียนจะมีข้อแม้ข้ออ้างว่าต้องทำงานเยอะๆ เพื่ออนาคต อนาคตที่หาเงินมาเพื่อ กิน สุข ดื่ม เสพ ตามใจตามกิเลสอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่างจากปัจจุบันนี้ผู้เขียนและครอบครัวมีเวลาได้ร่วมบำเพ็ญกับหมู่มิตรดี ของแพทย์วิถีธรรมมากขึ้น ไม่เอาข้ออ้างในอดีตแบบเดิมๆ มาขัดขวางเส้นทางบำเพ็ญช่วยเหลือหมู่มิตรดีอีก

    ชีวิตผู้เขียน ณ ปัจจุบันนี้หลังจากได้มาเจอแพทย์วิถีธรรม มีความผาสุกขึ้นมาก ผู้เขียนได้น้อมนำธรรมะและศาสตร์ยา 9 เม็ดมาใช้ นอกจากนี้ผู้เขียนยังลด ละเลิก เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์มาได้ประมาณ 6-7ปีแล้ว ผู้เขียนหันมาปลูกผักไร้สารพิษกินเอง ลดการงานลง ปลูกอยู่ปลูกกิน เมื่อมีเหลือก็แบ่งปันผู้อื่นด้วยใจยินดี ร่างกายแข็งแรงจิตใจเบิกบานผาสุก

    หลักคิดที่ผู้เขียน ได้น้อมนำคำสอนของอาจารย์มาปฏิบัติ ทำให้มีชีวิตที่ผาสุกทุกวันนี้ คือ
    1. ชีวิตต้องฝึกอยู่อย่างประหยัด เรียบง่ายให้ได้ “ประหยัด” คือ กินน้อยใช้น้อย ในขีดที่แข็งแรงที่สุด ไม่ทรมานตน ไม่เสียหาย จำเป็นจึงใช้ ไม่จำเป็นไม่ใช้ เป็นประโยชน์จึงใช้ เป็นโทษไม่ใช้ เพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่พอเพียงเรียบง่าย ร่างกายแข็งแรง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสุข
    2. มิตรดี ความดี คือ สมบัติที่แท้จริง เพราะ “สิ่งจำเป็นในชีวิตมีเพียงเท่านี้”
    ——————————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล) อายุ 38 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ จ.ตรัง
    เป็นจิตอาสาจร สังกัด สวนป่านาบุญ 2 จ.นครศรีธรรมราช และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับ อริยปัญญาตรี ชั้นปีที่4
    ผู้เขียนได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรม โดยการความแนะนำจากน้องชาย เมื่อ กค.ปี 2556 และได้เข้าเรียนรู้ ร่วมบำเพ็ญกับแพทย์วิถีธรรม เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
    ผู้เขียนสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ได้เรียนรู้และนำหลักยา 9 เม็ด มาเป็นหลักในการดำรงชีวิต ปัจจุบันชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งทางกายและใจ

  14. ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)

    พุทธะชนะทุกข์
    นางสาวชรินรัตน์ ชุมจีด (แทม น้ำน้อมศีล)
    สังกัดภาคใต้สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด สุขภาพกาย-ใจ
    เรื่อง ในวันที่ฉันติดเชื้อโควิด
    คำสำคัญ – โควิด / ใจไร้กังวล / หมู่มิตรดี / น้ำใจ / ยา 9 เม็ด

    เมื่อกล่าวถึงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สำหรับฉันยังคิดว่าเป็นอะไรที่ห่างไกลตัวเองมาก ถึงแม้จะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน และตัวฉันเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตประมาทแต่อย่างใด ฉันใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ปลูกอยู่ปลูกกิน คิดว่าตัวฉันที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านคนเดียวไม่ค่อยได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับข้างนอก หรือจะไม่ไปไหนก็ว่าได้ ถ้าไม่จำเป็น เว้นแต่จะไปหาบ้านอาเท่านั้น
    เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีเชื้อโรคโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ชื่อว่า “โอมิครอน” เริ่มเข้ามาระบาดในหมู่บ้าน และหนึ่งในผู้ติดเชื้อที่ฉันสนิทสนมด้วย คือ เด็กน้อยลูกของเพื่อนบ้าน ชื่อน้องบิ๊ก น้องอายุประมาณ 4-5 ขวบ และชอบมาเที่ยวเล่นกับฉันที่ไร่ วันหนึ่งหลังจากฉันและน้องบิ๊กได้เจอกัน ฉันก็ได้ข่าวว่าน้องและคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด
    ทันทีที่รู้ข่าว ฉันก็เริ่มใช้ ยา 9 เม็ด ที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์หมอเขียวและพี่น้องจิตอาสา และยาเม็ดสำคัญสุด คือ ยาเม็ดที่ 8 ยาที่ทำให้ใจไร้กังวล ตลอด 4 – 5 วันที่ฉันไปดูแลตัวเอง อาการทางกายและใจปรกติดีค่ะ แต่ย่าก็เริ่มมีอาการป่วย ฉันก็ได้ใช้หลักยา 9 เม็ดในการดูแลท่าน (บางเม็ดที่อาและย่ายินดีรับ) เช่นต้มน้ำสมุนไพรร้อนเย็นผสมกันให้ท่านอาบ ทำน้ำสี่พลังให้ท่านดื่ม กดจุด และพูดให้ท่านคลายกังวล โทรหาลูกหลานของท่านเพื่อให้ท่านได้พูดคุย เพื่อให้ท่านสบายใจมากขึ้น จนท่านมีอาการดีขึ้นตามลำดับ
    ประมาณวันสองวันหลังจากนั้น ตอนบ่ายๆ ฉันเองเริ่มสังเกตได้ว่าตัวเองเริ่มมีอาการเหนื่อยล้า เคืองตา คอแห้ง สิ่งแรกที่ทำ คือ การใช้ยาเก้าเม็ด แต่สำหรับครั้งนี้แค่เพียงใช้ยาเม็ดแรก ฉันรู้ตัวเลยว่าอาการที่ผิดปรกติครั้งนี้ไม่เหมือนอาการป่วยเป็นไข้หวัดปรกติแน่ๆ ในเวลานั้นฉันตรวจใจตัวเองทันที ใจฉันยินดีเต็มใจรับวิบากที่ต้องเกิดขึ้น ยินดีรับยินดีให้หมดไปก็จะดีขึ้น ฉันก็รู้แล้วว่าอาการทางใจ ไม่มีอะไรให้กังวล อาการทางกายก็รักษาไปตามอาการ ถ้ามันจะติด มันจะเป็น มันก็เป็นสิ่งที่ฉันยินดีเช่นกัน
    และในตอนเช้าวันนี้เวลาตี5.15 นาที ขณะฟังไลน์กลุ่มโรงเรียนของหนูไปด้วย ฉันได้ตรวจด้วยชุดตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ SARS-CoV-2 จากจมูกสำหรับการทดลองด้วยตัวเอง ผลปรากฎว่าเป็นบวก ขึ้น 2 ขีด เมื่อรู้ผลก็ได้ส่งรูปถ่ายผลการตรวจให้พี่น้องทราบ และได้โทรแจ้งทางหน่วยงานของรัฐ เพื่อแจ้งให้เขาทราบข้อมูล
    สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการที่ตัวเองติดเชื้อโควิดในวันนี้ ฉันถือว่าตัวเองโชคดีมากๆ ได้ดูใจอ่านใจตัวเองว่าเรามีความหวั่นไหวไหม ฉันตอบตัวเองได้อย่างมั่นใจว่าฉันว่าสอบผ่านค่ะ เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่ยังไม่เจอแพทย์วิถีธรรม ไม่ได้เจออาจารย์หมอเขียว ไม่ได้เจอหมู่มิตรดี คำตอบแรกของฉัน คือกลัวมาก หวั่นไหวมาก และ คงจะทุกข์มากแน่นอน
    อาการเจ็บป่วยทางกายจะทำอย่างไร วิธีไหน ฉันคงนึกไม่ออก อาจจะคิดได้แค่ว่าต้องไปหาหมอที่ไหน ต้องกินยาอะไรดีเพื่อให้ตัวเองผ่านพ้นกับโรคนี้ และคงทุกข์ใจมากเพราะโรคนี้ใครเป็น คนก็จะรังเกียจ ทั้งกลัวตาย ทั้งกลัวโรค ทั้งเร่งผล และหวั่นไหว ใจฉันคงมีแต่ทุกข์และทุกข์อย่างเดียว
    แต่กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับตอนนี้ ฉันไม่กังวลในเรื่องใดตามที่กล่าวมาข้างต้นเลยค่ะ
    ฉันมีแต่ความยินดี ยอมรับวิบากอย่างยินดีพอใจไร้กังวล ที่เหลือก็จะปฏิบัติดูแลตัวเองต่อไปทั้งทางกายและทางใจ ฉันจะหายเร็ว หายช้า หายดีได้ไปตามลำดับ ก็ไม่ทุกข์
    และอีกสิ่งที่สำคัญและเป็นพลังให้ฉันอย่างชัดเจน คือ พลังหมู่มิตรดี เพื่อนพี่น้องทันทีที่พวกท่านรู้ข่าว ต่างก็ได้โทรมาไถ่ถามอาการ ทั้งส่งยามาให้ บอกวิธีปฏิบัติ ให้กำลังใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันมีพลังใจฮึกเหิมที่จะปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ และเพิ่มอธิศีลให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามฐานของตัวเอง
    สุดท้ายนี้ฉันยินดีที่จะบอกว่า โชคดีที่ติดโควิดและได้มาอยู่ในหมู่มิตรดีที่นำพาให้ฉันพ้นทุกข์ค่ะ

    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 5มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล) อายุ 38 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ จ.ตรัง
    เป็นจิตอาสาจร สังกัด สวนป่านาบุญ 2 จ.นครศรีธรรมราช และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับ อริยปัญญาตรี ชั้นปีที่5
    ผู้เขียนได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรม โดยการความแนะนำจากน้องชาย เมื่อ กค.ปี 2556 และได้เข้าเรียนรู้ ร่วมบำเพ็ญกับแพทย์วิถีธรรม เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
    ผู้เขียนสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ได้เรียนรู้และนำหลักยา 9 เม็ด มาเป็นหลักในการดำรงชีวิต ปัจจุบันชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งทางกายและใจ

  15. Natchawan Sriphatsongsaeng

    ชื่อณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง(หมวย)
    สังกัดภาคใต้สวนป่านาบุญ2
    จ.นครศรีธรรมราช
    หมวดร่างกาย รหัส13
    เรื่องเมื่อวานกินอาหารสูตร1 ไม่ปรุงเล็งบวบที่ปลูกเองลูกสวย2ลูก อีกลูกลวกอีกลูกผัด
    -เริ่มกินสับปะรดก่อนไปหลายขิ้นตามด้วยมะม่วง
    -กิเลสกะหยิ่มยิ้มย่องเตรียมอร่อยเต็มที่แต่พอเข้าปากโอ๊ะ!ทำไมมันขม
    -ฉันบอกเคี้ยวไป
    -กิเลสกลืนไม่ลงคายออกมา
    -ฉันเอตักใหม่ซิ
    -กิเลสตักอีกขิ้นเคี้ยวอ้อชิ้นนี้ไม่ขมกลืนลง
    -ฉันเออน่าจะลูกหนึ่งลูกใดที่ขมลองกินต่อไป
    -กิเลสตักที่ผัดมาชิมโอ๊ะ!ขมเหมือนกันเลย
    -มื้อนี้ผิดคาดกินข้าวไม่หมดเลยต้องขอตั้งกินตามฐานจิตนะ
    -กิเลสวันนี้เลยเห็นเศร้าๆเหงาๆ
    -สรุปปรากฎว่าวันนี้ท้องเสียตอนบ่ายๆ
    แต่ยังมีกำลังดีรดน้ำผักดีกว่า
    เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง
    ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้
    นอกจากไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่กำหนดได้

  16. Natchawan Sriphatsongsaeng

    ขื่อ ณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 อำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เหคุการณ์เมื่อวันที่6/10/64
    -อ่านบททบทวนธรรม
    -เหตุการณ์ วันนี้ได้บำเพ็ญอ่านบททบทวนธรรมฝึกความกล้า ไม่กลัว ไม่หวั่นไหว ซึ่งทุกครั้งที่ได้หัวข้ออ่านโดนใจเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจทุกครั้งๆนี้ก็ได้หัวข้อที่122 “สิ่งใดที่เหมือนจริง แต่คิดพูดทำตามแล้ว”ทุกข์” แสดงว่า…สิ่งนั้นไม่จริง แต่สิ่งใดที่เหมือนไม่จริง เมื่อคิดพูดทำตามแล้ว”พ้นทุกข์ แสดงว่าสิ่งนั้นจริง”ก็ยอมรับยังงงๆอยู่แต่ถ้าเราไม่กล้าถามความกระจ่างกับหมู่มิตรดีเราก็ต้องตื้อๆอยู่อย่างนี้อาจจะเนื่องจากเคยเพ่งโทษพระอริยจึงขอโทษขมากรรม ณ.โอกาสนี้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ครูบาอาจารย์และหมู่มิตรดีทุกๆท่านทำให้เข้าใจขึ้นเช่นยังติดอยากได้รถใหม่บ้านใหม่เป็นต้น
    ว่าเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผิดศีลเป็นกิเลสวัตถุไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเป็นของเรายิ่งได้ก็ยิ่งอยากไปเรื่อยติดตัวไม่พ้นทุกข์เรื่อยไป
    -ทุกข์::ทุกข์อยากได้สมใจอยาก
    – สมุทัย::ชอบที่ได้ตามที่คิดพูด ไม่ชอบเมื่อไม่ได้ตามที่คิดพูด
    – นิโรธ::ไม่ชอบไม่ชังไม่อยากวางใจวัตถุเป็นของไม่เที่ยง
    – มรรค::เมื่อพิจารณาแล้วเป็นกิเลสอันเป็นสาเหตุแรงเหนี่ยวนำกิเลสผิดศีลทั้งต่อเราและผู้อื่น ใจเรานี้ปรุงคิดพูดตามกิเลสอันเป็นสาเหตุแห่งความไม่พ้นทุกข์
    – สรุป::ผู้ใดหลงผิดไม่รู้จักกิเลส ตัณหาความอยากเป็นปัจจัย
    ปรุงแต่งความอยากมากขึ้นๆไม่ว่าเรื่องดีเรื่องชั่ว สุข สมใจอยากเป็นพลังเขิ่อมต่อเหนี่ยวนำแม้คิดในใจ

  17. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    เรื่อง สาธารณโภคี
    พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย

    หมวด เศรษฐกิจ
    คำสำคัญ จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม / ชาวอโศก
    เขียนเมื่อ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๕
    ———————————-

    “สาธารณโภคี แปลว่า บริโภคเป็นสาธารณะ ซึ่งหมายความว่า ทรัพย์สมบัติเป็นส่วนรวม แบ่งปันกันกินใช้ ทุกคนต่างร่วมกินร่วมใช้ในของส่วนกลาง ทั้งข้าวทั้งของทั้งเงินทองทรัพย์สินเป็นของทุกคนที่ร่วมกันอยู่ ต่างอาศัยกินอาศัยใช้ได้กันทั่วไป”

    สมณะโพธิรักษ์ “สาธารณโภคี เศรษฐกิจชนิดใหม่” หน้า ๑๐ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ตุลาคม ๒๕๕๐
    ———————————-

    ข้าพเจ้ากับแม่บ้านอยู่กินกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ แม่บ้านเคยตั้งครรภ์และแท้งลูกไป ๒ ครั้ง หลังจากนั้นมา เราจึงได้ตัดสินใจกันว่าเราไม่คิดจะมีลูกอีกแล้ว การตัดสินใจนี้ทำให้ญาติผู้ใหญ่หลายคนเป็นห่วง กลัวว่าเมื่อเราแก่เฒ่าชราภาพแล้วจะไม่มีลูกหลานดูแล ชีวิตบั้นปลายจะไม่มีที่พึ่ง เวลาตายก็จะไม่มีคนจัดการงานศพให้

    ข้าพเจ้าก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราจะแก้ปัญหาอย่างไรดี ในช่วงก่อนพบแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าเคยคิดไว้ว่า วิธีหนึ่งที่เราจะมีคนช่วยดูแลในยามแก่เฒ่าได้ก็คือ เราต้องเข้าไปอยู่กับชุมชนชาวบ้าน อุทิศตนเสียสละทำงานให้แก่ชาวบ้านฟรี ๆ อาจจะเป็นครูอาสาในโรงเรียนที่ขาดแคลน หรือช่วยพัฒนาหมู่บ้านด้วยความรู้ที่เราพอมีอยู่ และต้องทำอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลาย ๆ ปี จนชาวบ้านรักใคร่เอ็นดู เห็นคุณค่าประโยชน์ในสิ่งที่เราทำให้อย่างแท้จริง และเมื่อถึงวันที่เราแก่เฒ่าทำงานไม่ไหว ก็เชื่อว่าจะมีชาวบ้านบางคนเอาภาระช่วยดูแลเราได้ ไปจนถึงช่วยจัดการศพให้ได้เมื่อเราเสียชีวิต

    แต่ข้าพเจ้ากับแม่บ้านก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการอยู่กับชุมชนชาวบ้านมาก่อน และไม่เคยทำงานอาสาสมัครอย่างนั้นเลย จึงเป็นเรื่องที่ได้แต่คิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำจริง ๆ ได้อย่างไร

    หลังจากได้มาพบแพทย์วิถีธรรม ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของจิตอาสาฯ เรียนรู้สังคมสาธารณโภคีของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์และชุมชนชาวอโศก ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าสาธารณโภคีนี่แหละคือคำตอบ

    เมื่อปลายปี ๒๕๖๓ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ขึ้นไปบำเพ็ญอยู่กับอาจารย์หมอเขียวและพี่น้องจิตอาสาฯ บนดอยแพงค่า ภูผาฟ้าน้ำ จังหวัดเชียงใหม่หลายวัน ในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็ทุ่มเททำงานร่วมกับพี่น้องจิตอาสาฯ อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยงานด้านกสิกรรมสักเท่าไร แต่ข้าพเจ้าก็ได้กินได้อาศัยพืชผักที่พี่น้องช่วยกันปลูก จนเกิดความรู้สึกในใจว่า แม้ข้าพเจ้าจะทำอะไรไม่ได้เลย ก็ตั้งใจทำงานสื่อที่ทำได้นี่แหละ ทำอย่างเต็มที่ ทำอย่างเสียสละร้อยเปอร์เซ็นต์ และกินใช้ของกองกลางเพียงเล็กน้อย เท่าที่จำเป็น เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าก็น่าจะอยู่ร่วมกับพี่น้องจิตอาสาฯ ได้อย่างผาสุกแล้ว

    ทุกวันนี้แม้ข้าพเจ้าจะยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในชุมชนสาธารณโภคีดังกล่าว แต่ก็เริ่มเห็นรูปรอยของการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน พึ่งพาอาศัยกันได้แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทเวลาเสียสละทำงานร่วมกับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม แม้โดยการทำอยู่ที่บ้านก็ตาม ก็ยังได้รับความเมตตาจากพี่น้องบางท่าน ส่งพืชผักอาหารไร้สารพิษมาให้อยู่เนือง ๆ และยิ่งทำไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นว่า วิถีชีวิตที่อยู่กับสังคมสาธารณโภคีเป็นวิถีชีวิตแบบพุทธะที่แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ตลอดจนถึงการพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายได้ด้วย และเชื่อมั่นว่าหากเราพากเพียรบำเพ็ญต่อไป ในที่สุดเราก็จะได้อยู่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ผาสุกร่มเย็นเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
    ———————————-

  18. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว))

    พุทธะชนะทุกข์
    ชื่อ นามสกุล (ชื่อทางธรรม) วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด เหตุการณ์อื่น ๆ
    เรื่อง หม้อหุงข้าวเป็นเหตุ
    คำสำคัญ หม้อหุงข้าว / ตั้งศีล / ขนมปัง / ชนะกิเลส
    ————————————————-
    ผู้เขียนได้ตั้งศีลเลิกกินขนมปังมาตั้งแต่ 4 มกราคม 2564 นับจากวันที่ตั้งศีลจนถึงวันที่เขียนบทความนี้ ก็เป็นเวลา 1 ปี 2 เดือน ผู้เขียนก็ไม่ได้กินขนมปังอีกเลย ซึ่งในช่วงแรกๆ ของการตั้งศีล ผู้เขียนก็ใช้วิธีกดความอยากไว้ พยายามจะพิจารณาโทษของการกินขนมปังว่าเป็นอาหารอุตสาหกรรม ทำจากแป้งที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการใช้สารเคมีมากมายในการทำขนมปัง ผู้เขียนก็หมั่นพิจารณาโทษอยู่หลายเดือน จนกิเลสที่อยากกินทางปากลดลงเบาบางไปได้มาก

    เมื่อกิเลสที่ปากหยุดลงได้ แต่กิเลสทางตายังไม่หมด เวลาไปเดินห้างหรือร้านสะดวกซื้อ ผู้เขียนก็ยังมีการเวียนวนไปเดินดูร้านขนมปัง ชั้นวางขนมปังอยู่ มีขนมปังเจ้าใหม่ๆ ไหม มีขนมปังแบบใหม่ๆ ไหม เพราะถึงแม้ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้กิน ขอแค่เสพความสุขใจจากการมองเห็นก็ยังดี ถามว่าผู้เขียนรู้มีอาการเสพทางตาไหม ก็ขอตอบว่า รู้แต่ยังห้ามตัวเองไม่ได้ ผู้เขียนก็พิจารณากิเลสการเสพทางตาว่า การดูขนมปัง สุขแวบเดียวแค่นี้ ก็ยังอยากได้อีกเหรอ ขนมปังตอนเราไปเดินดู มันสวย มันหอม มันน่ากิน แต่พอผ่านช่วงเวลาไป มันบูด มันเน่า มันขึ้นรา มันยังจะอยากไปเดินดูอีกไหม พอพิจารณาซ้ำๆ อาการอยากไปเดินดูก็ลดลงไปจนไม่ได้สนใจไปดูอีก จนผู้เขียนเข้าใจว่า ความอยากกินขนมปังมันเบาบางจางคลายไปแล้ว

    จนเมื่อเช้าวันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนกำลังทำอาหารมื้อหลักอยู่ ผู้เขียนสังเกตว่าหม้อหุงข้าวมีปัญหา ปุ่มหุงข้าวเด้งแล้ว แต่ข้าวยังไม่สุกเลย น้ำยังท่วมข้าวอยู่ ใจก็คิดว่าสงสัยหม้อหุงข้าวเสียแน่นอน ต้องซื้อใหม่แล้ว ชั่ววินาทีนั้นเอง กิเลสขนมปังก็กระโดดเข้ามาเลย มันเขย่าสมองผู้เขียนว่า “ซื้อใหม่นะ หม้อหุงข้าวใบที่เคยเล็งไว้เหมือนสองปีก่อน ใบที่ใช้หุงข้าวก็ได้ ทำขนมเค้ก ทำขนมปังก็ได้ เอาแบบนั้นนะ พอทำกับข้าวเสร็จ ไปเปิดเน็ตดูกัน ว่ามีรุ่นใหม่กว่าที่เคยดูไหม” ผู้เขียนก็ฟังกิเลสขนมปังพูดไปเรื่อยๆ ปล่อยให้กิเลสฝันหวานไป จนผู้เขียนบอกกับกิเลสขนมปังว่า “ถ้าหม้อเสีย มันก็ต้องซื้อใหม่จริงๆ แต่จะซื้อหม้อแบบเดิมนี่แหละ แบบที่หุงข้าวได้อย่างเดียว ไม่ซื้อแบบทำขนมได้หรอก แต่ถ้าเธอ (กิเลสขนมปัง) อยากฝันกลางวันต่อก็ทำไป”

    พอผู้เขียนตอบกิเลสขนมปังไปเช่นนั้น กิเลสก็ตอบกลับมาว่า “อ๋อลืมไปว่าตั้งศีลไว้ จะไม่ทำขนมปัง จะไม่กินขนมปังแล้ว” กิเลสก็หันมายิ้มแหยๆ พร้อมบอกว่า “เดี๋ยวนี้เธอ (ผู้เขียน) เปลี่ยนไปนะ” แล้วกิเลสก็จากไป พอวันรุ่งขึ้นผู้เขียนก็ลองใช้หม้อหุงข้าวอีกครั้ง ปรากฏว่าหม้อไม่เสีย ใช้งานได้ตามปกติ สรุปหม้อหุงข้าวไม่เสียหาย แถมจับกิเลสขนมปังได้อีก 1 ตัว เหตุการณ์นี้ผู้เขียนถือว่า คุ้มค่าค่ะ อานิสงส์ของการฟังธรรม การตั้งศีลและเพียรพยายามพิจารณาโทษของการมีกิเลส พิจารณาประโยชน์ของการไม่มีกิเลสตัวนั้น ตั้งใจลด ละ เลิกความอยากให้เป็นไปตามลำดับ สุดท้ายเราก็จะรู้เท่าทัน จับและกำจัดกิเลสได้มากขึ้นเช่นกัน
    ————————————————-
    บทความนี้เขียนขึ้นวันที่ 16 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว) อายุ 47 ปี
    ร่างกายสุขภาพแข็งแรง สถานภาพสมรส ไม่มีบุตร
    เข้าค่ายครั้งแรก 2559 ด้วยเหตุผล สนใจในเรื่องธรรมะ การสลายทุกข์ทางใจ
    ปัจจุบันเป็นเตรียมจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  19. รมิตา ซีบังเกิด รหัส 64098

    พุทธะชนะทุกข์
    160047
    ชื่อ รมิตา ซีบังเกิด
    ชื่อทางธรรม ไพรดินพุทธ
    สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช

    หมวด : เหตุการณ์อื่นๆ

    เรื่อง : ประวัติส่วนตัวของข้าพเจ้า

    คำสำคัญ : กำเนิด/การศึกษา/การงาน/ครอบครัว/เกษียณ/จิตอาสา/พ้นทุกข์

    ข้าพเจ้าชื่อ รมิตา ซีบังเกิด ชื่อเดิม อัปสร ซีบังเกิด อายุ 65 ปี อาชีพของบิดา มารดา คือค้าขาย กำเนิดที่ แขวงจอมทอง เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
    บิดามีภรรยา 2 คน มีบุตรรวมทั้งหมด 10 คน ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่ 4
    ชีวิตในวัยเด็กค่อนข้างลำบาก เพราะบิดามีภรรยาใหม่มารดาได้แยกตัวเองจากบิดา โดยไม่ได้นำทรัพย์สินใดๆติดตัวมาเลย พร้อมกับลูกทั้งหมด 5 คนมาดูแลเอง ข้าพเจ้าจำเหตุการณ์ต่างๆไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยังเด็กมาก แต่ที่พอจำได้คือ พวกเราต้องอาศัยศาลาโล่งๆของวัด(วัดไทร)
    เป็นที่อยู่ หลับนอนและประกอบอาชีพเลี้ยงทุกชีวิตให้อยู่รอด พวกเราปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทั้งครอบครัว เจ้าอาวาสจึงเมตตาให้ขึ้นไปอาศัยบนศาลาใหญ่ มารดาเป็นแม่ค้าเมื่อวัดจัดสร้างตลาดและสร้างแผงให้เช่าแบบถาวร พวกเราจึงมีที่อยู่อาศัยเป็นของครอบครัวเป็นครั้งแรก ชีวิตก็มีความสุข สบาย ตามสภาพในความรู้สึกของตนเอง
    ข้าพเจ้าจำได้ว่าต้องช่วยมารดาพายเรือไปไกลมากตามลำคลองในเวลาเย็นและกลับมาเช้ามืด เพื่อไปซื้อมันแกว เผือก มัน มาขายในตอนเช้า ข้าพเจ้าพายหัวเรือ มารดาพายท้ายเรือ ไม่เคยมีความจำว่าตัวเองมีความทุกข์หรือลำบากแต่อย่างใด จำแต่ว่าต้องช่วยและเป็นเพื่อนท่านไปซื้อของมาขายเพื่อเลี้ยงลูกๆ พี่ชายคนโตไปทำงานเลี้ยงตัวเองพี่สาวและน้องชายไม่แข็งแรง แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยเจ็บป่วยในตอนเด็กๆ จึงเป็นกำลังสำคัญในการช่วยงานของมารดา
    เวลาและเหตุการณ์ก็ผ่านไปหลายปี ที่ครอบครัวต้องดำเนินชีวิตเป็นคนไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร แต่เมื่อลูกๆเริ่มเติบโตมากแล้ว ต่อมาบิดาและมารดาได้ร่วมกันสร้างบ้านในที่ดินเดิม เพื่อให้ลูกทั้ง 5 คนได้อาศัยอยู่เหมือนครอบครัวคนอื่น แต่อยู่ในที่ดินแปลงใกล้กับภรรยาใหม่ของบิดา
    มารดาจึงไม่มาอยู่ด้วย ไปเช่าบ้านอยู่ตามลำพังเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวและความสบายใจ มารดาเป็นคนมีความขยันและมีความสามารถในการทำขนมและอาหารจำหน่ายหลายๆอย่าง ทำให้ฐานะการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ พวกลูกๆก็ช่วยเหลือท่านเท่าที่จะทำได้
    พี่ชายคนที่ 1 จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง รับราชการไปรษณีย์ เกษียณอายุราชการ เสียชีวิตแล้ว
    พี่สาวคนที่ 2 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รับราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกษียณอายุราชการ
    พี่สาวคนที่ 3 จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษปีที่ 7 อาชีพค้าขาย
    น้องชายคนที่ 5 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รับราชการสำนักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เกียณอายุราชการ เสียชีวิตแล้ว
    การศึกษาของพี่ๆ สำเร็จด้วยการศึกษานอกระบบ ส่วนข้าพเจ้าและน้องชายศึกษาในระบบจนได้รับราชการ
    ข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง เมื่อรับราชการได้ศึกษาต่อนอกระบบจนสำเร็จระดับปริญญาตรี
    ข้าพเจ้าได้สมรสเมื่อปีพ..ศ.2523 มีบุตรสาว 1คนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท รับราชการกรมพัฒนาความมั่งคงของมนุษย์จังหวัดน่าน สมรสแล้วแต่ไม่มีบุตร
    วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2545
    ข้าพเจ้าได้อุทิศร่างกายแก่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่
    พ.ศ.2549 บริจาคอวัยวะ หัวใจ ปอด ตับ ไต อวัยวะทุกส่วนที่ใช้การได้แก่สภากาชาดไทยเมื่อถึงแก่กรรม
    พ.ศ.2551 ลาออกจากราชการครู ปฎิบัติราชการ 31 ปี ได้เงินมาจำนวนหนึ่งซื้อที่ดินจำนวน 15 ไร่ เพื่อทำสวนยางพาราและผลไม้
    พ.ศ.2554 ได้หย่ากับพ่อบ้านด้วยสาเหตุหลายๆประการ บุตรสาวก็ไม่ขัดข้อง แต่ยังอาศัยอยู่บ้านเดียวกันจนปัจจุบัน แต่ข้าพเจ้ากลับมีความสุขดีเพราะจากการปฎิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง
    เมื่อหย่าขาดจากพ่อบ้านจึงมีเวลาให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ มีเพื่อนสนิทซึ่งลาออกจากราชการพร้อมกันได้ชวนไปเข้าค่ายสุขภาพที่สวนป่านาบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช หลายครั้ง ระยะต่อมาข้าพเจ้าได้ไปคนเดียวเพราะเพื่อนไม่ว่างข้าพเจ้าบำเพ็ญอยู่ 3 ปีจึงได้สมัครเป็นจิตอาสา พ.ศ.2560 จนปัจจุบัน
    ชีวิตที่เปลี่ยนไปเมื่อได้เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมมีดังนี้
    1 ลด ละ เลิก การทานเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งต้องใช้เวลาต่อสู้อยู่นานกว่าจะสำเร็จโดยเฉพาะ ปู กุ้งและไข่
    2 เปลี่ยนวิถีชีวิตจากบุคคลทั่วๆไป เช่น การแต่งกาย เครื่องประดับ ซึ่งเน้นแบบประหยัดเรียบง่าย
    3 การแสดงออกในเรื่องของการเสียสละ แบ่งปัน โดยไม่เบียดเบียนตัวเอง
    4 ทำกสิกรรมไร้สารพิษอย่างจริงจัง และแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ แก่บุคคลที่สนใจในโอกาสต่างๆ
    5 ใช้เทคนิค 9 ข้อ ตามศาสตร์แพทย์วิถีธรรม ในการดูแลตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะธรรมะของท่านอาจารย์หมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) มาใช้ ลดกิเกสของตนเอง ทำให้ชีวิตมีความผาสุกตามลำดับๆ
    6 สมัครเรียนสถาบันวิชชารามระดับอริยปัญญาตรีหลักสูตร
    7 ปี และหลักสูตรแพทย์แผนไทยวิถีธรรมหลักสูตร 6เดือน
    เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2564
    ชีวิตของข้าพเจ้ายิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งศีล ลด ละ เลิก กิเลส ตัวชอบตัวชัง ซึ่งทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็จะขอสู้ต่อไป
    สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาใช้มากที่สุดคือการนำคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียว(ดร.ใจเพชร กล้าจน) มาลด ละ กิเลสและดับความทุกข์ในใจของตนเอง ให้หลุดพ้นจนสิ้นเกลี้ยงให้ได้ทุกเรื่อง ตามกำลังปัญญาและบุญกุศลที่เคยทำมา

    22 มีนาคม พ.ศ. 2565
    ประวัติผู้เขียน
    ชื่อ รมิตา ซีบังเกิด (ไพรดินพุทธ
    ) อายุ 65 ปี มีบุตรสาว 1 คนสถานภาพ หย่า ไม่มีโรคประจำตัว เป็นจิตอาสาภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    เป็นนักศึกษาสถาบันวิชชาราม ระดับอริยปัญญาตรี หลักสูตร 7 ปี และหลักสูตรแพทย์แผนไทยวิถีธรรมค้ำจุนโลกหลักสูตร 6 เดือน

  20. สุรีนารถ ราชแป้น รหัส 61110

    090021 ชื่อ นามสกุล(ชื่อทางธรรม) สุรีนารถ ราชแป้น(นวลน้ำคำ)สังกัด ภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 จังหวัดนครศรีธรรมราช

    หมวด สมดุลร้อนเย็น(แก้ปัญหาทุกข์ทางร่างกาย)

    เรื่อง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( cyscitis)

    คำสำคัญ กระเพาะปัสสาวะ/ ติดเชื้อ/ น้ำปัสสาวะ /มหาขันธกะ / จัตตาริสูตร

    จากเหตุการณ์ครั้งหนึ่งของข้าพเจ้า กลับจากการบำเพ็ญในค่ายสุขภาพ ที่สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราชไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในขณะเดินทางมีฝนตกพรำ ๆ ด้วย ข้าพเจ้าเกิดการประมาณที่ผิดพลาด คือ รู้สึกว่าปวดปัสสาวะขณะที่มาส่งพี่ท่านที่ 1 ที่นั่งรถมาด้วย กลัวเปียกฝนเลยไม่ลงไปปัสสาวะ คิดว่าจะลงบ้านท่านที่ 2 ซึ่งไม่ไกลกันมากนัก พอถึงบ้านท่านที่ 2 จึงขออนุญาต ไปเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นเข้าบ้านตัวเอง อยู่มาไม่นานนัก ก็รู้สึกปวดปัสสาวะอีก แต่พอปวดครั้งที่ 2 ไปเข้าห้องน้ำเมื่อได้เห็นสีปัสสาวะของข้าพเจ้าถึงกับตกใจ เพราะมีเลือดปนเป็นสีแดงจางๆ พร้อมกับปวดท้องเล็กน้อย จึงรู้ได้ทันทีว่าข้าพเจ้าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จากการกลั้นปัสสาวะ มาก่อนหน้านี้แน่นอน
    ณ ตอนนั้นทำให้หวนคิดถึงครั้งอดีตที่ข้าพเจ้าเคยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาเมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว(ยังไม่ได้เรียนรู้แพทย์วิถีธรรม)จากความไม่อยากตื่นลุกขึ้นไปปัสสาวะในตอนเช้า จนทำให้มีอาการ ปวดท้องน้อย ปัสสาวะบ่อย ปวดก่อนและหลังปัสสาวะ ถึงขั้นกลั้นปัสสาวะไม่ได้มีอาการเป็นอยู่ 2 วัน ระลึกถึงความทรมานในครั้งนั้นได้แม่นยำ

    ครั้งนี้เมื่อตนเองพบปัญหาแบบนี้อีกครั้ง ก็นึกถึงวิธีรักษา ดูแลตนเอง ในฐานะเป็นพยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และการได้เรียนรู้ศาสตร์แพทย์วิถีธรรม มาเป็นหมอดูแลตัวเอง ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ไม่อยากไปพบแพทย์ ถ้าไปก็จะได้ยาฆ่าเชื้อมารับประทานอย่างน้อย 5-7 วัน เหมือนครั้งแรก อย่างแน่นอน จึงหาวิธีดูแลตัวเองจากศาสตร์แพทย์วิถีธรรม จึงเหมือนมีคำถาม ๆ หนึ่งก้องอยู่ในหูจากพี่ที่รู้จักท่านหนึ่ง ท่านเคยโทรมาปรึกษาเรื่องอาการป่วยของท่านบ่อยๆ เพราะท่านรู้ว่าเราเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม “ พี่จะทำอย่างไรดี พอพี่ออกไปข้างนอก แล้วพี่กลัวเรื่องปัสสาวะแล้วพี่จะเป็น กระเพาะปัสสาวะอักเสบทุกที พี่ไม่อยากกินยาฆ่าเชื้อ “ ตอนนั้นได้ตอบพี่เขาไปว่า “ พี่จะเชื่อและพี่กล้ามั้ย การดูแลเรื่องนี้ง่ายมาก ตัวเองยังไม่เคยลองนะคะ แต่ได้ยิน ได้ฟัง มาจากอาจารย์ หมอเขียว และ พี่น้องจิตอาสาบอกกล่าวมา การดื่มน้ำปัสสาวะจะช่วยได้ ออกมาก็ดื่ม ออกมาก็ดื่ม จะช่วยได้ ถ้าพี่เชื่อ และศรัทธา ก็ทำตามได้ แต่ถ้ารังเกียจอยู่ไม่เอาก็ได้ค่ะ “ หลังจากนั้นในวันต่อมา พี่ท่านนี้ได้โทรมาบอกให้ฟังว่า “ พี่ทำตามที่เธอบอก อาการของพี่หายไปเลยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ “

    คำตรัสของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก เล่มที่ 25 จัตตาริสูตร ข้อที่ 281 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยน้อย หาได้ง่าย และไม่มีโทษ 4 อย่างนี้ 4 อย่างเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาจีวร ผ้าบังสุกุลน้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ บรรดาโภชนะคำข้าว ที่ได้ด้วยปลีแข้งน้อย หาได้ง่าย และไม่มีโทษ บรรดาเสนาสนะ โคนไม้น้อย หาได้ง่าย และไม่มีโทษ บรรดาเภสัช มูตรเน่าน้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ
    พระไตรปิฎก เล่มที่ 4 ข้อที่ 87 “ มหาขันธกะ “ พระพุทธเจ้าทรงถือว่า น้ำมูตร หรือน้ำมูตรเน่า ซึ่งก็คือ น้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นนิสสัย 1 ใน 4 ของภิกษุ

    รอบนี้มาถึงตัวข้าพเจ้าเองแล้วหรือนี่ จากการได้แนะนำคนอื่นไป ถึงเวลาที่เราต้องมาทดลองเองแล้วหรือ เอาอย่างไรดีนะ น้ำปัสสาวะของเราก็ไม่ได้ใสแบบปกติเสียด้วย มีสีเเดงจาง ๆ ในเมื่อเราเป็นลูก พุทธะ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ถึงเวลาที่ได้โอกาสนำความรู้ที่ได้จากการอบรม การฟังธรรมะในพระไตรปิฎก จากการสอนจากท่านอาจารย์ หมอเขียว (ดร. ใจเพชร กล้าจน)มารักษาโรคที่เกิดจากการประมาณของตัวเอง ที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมดุล ร้อน เย็น และมีวิบากกรรมมาสมทบ ทำให้มีอาการเจ็บป่วย จึงมาพิจารณาการใช้ ยาพุทธะโอสถ แทนการใช้ยาปฏิชีวนะ เหมือนครั้งก่อนๆ โดยการดื่มปัสสาวะตัวเองที่ออกมาถึงแม้จะมีสีแดงจาง ๆ ก็ดื่มด้วยความยินดีไม่ได้ร้งเกียจแต่อย่างได ปกติก็เคยดื่มอยู่แล้วแต่ในภาวะปกติ โดยหวังว่าจะไม่ให้มีอาการมากไปกว่าเดิม จากประสบการณ์ครั้งก่อนจำถึงความทุกข์ ทรมานได้ ที่มีอาการมากดังกล่าวมาแล้วข้างต้นและเป็นอยู่ถึง 2 วัน มันทรมานจริงๆ ครั้งนี้ข้าพเจ้าได้ดื่มพุทธะโอสถเพียงครั้งเดียวแล้วเข้านอน แทบไม่น่าเชื่อ หลับได้ทั้งคืนตื่นเช้ามาไม่มีอาการปวดท้องน้อย ไม่ปวดแสบ ปัสสาวะสีปกติ มหัศจรรย์จริง ๆ การปฏิบัติตามพุทธะ ชนะทุกข์ได้จริง ๆ

    นับว่าการป่วยครั้งนี้ มีความโชคดีที่ข้าพเจ้า มีความเชื่อ และศรัทธาในน้ำปัสสาวะแล้ว เพราะตอนที่เข้ามาเรียนรู้ แพทย์วิถีธรรมใหม่ ๆ ข้าพเจ้ายังไม่กล้าใช้น้ำปัสสาวะ เพราะความรู้ ความเข้าใจที่มีอยู่เดิมที่ได้มาจากวิชาชีพพยาบาล ปัสสาวะคือของเสียที่ได้จากการกรองของไต ที่พวกเราพยาบาล หรือคนอื่นๆ รังเกียจ เวลาทำกิจกรรมพยาบาลในสิ่งที่คิดว่าสกปรก และเป็นของเสีย จะใส่ถุงมือทุกครั้ง กว่าจะเปลี่ยนความคิดในเรื่อง น้ำปัสสาวะ ได้ใช้เวลา ศึกษา เรียนรู้ และฟัง อาจารย์มาหลายค่าย จนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ความรู้เปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน จึงเปลี่ยนวิธีรักษา โรคจากเดิมได้

    ข้อมูลเพิ่มเติม จากการวิจัยของ ดร. ฟารอน นักชีวเคมี พบสารต่างๆในปัสสาวะ 95% เป็นน้ำ 2.5% เป็น ยูเรีย 2.5% เป็นสารอื่นๆ เป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน

    “ ในทางวิทยาศาสตร์หรือแพทย์แผนปัจจุบัน เชื่อว่า โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะว่าท่อปัสสาวะของผู้หญิง ตรง และสั้นกว่าของผู้ชาย ผู้หญิงยาว 2 นิ้ว ของผู้ชาย ยาว 8 นิ้ว สังเกตอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือ
    1 ปัสสาวะ แสบขัด สีขุ่น
    2 ปัสสาวะบ่อยแบบ กระปริบ กระปรอย
    3 ปวดท้องน้อย
    4 กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ “
    …………………………………………………………………………

    บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565
    ประว้ติผู้เขียนโดยย่อ
    สุรีนารถ ราชแป้น (นวลน้ำคำ) อายุ61 ปี
    เป็นจิตอาสาสังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 อ.ชะอวด จ. นครศรีธรรมราช ปัจจุบันอยู่ ที่ จ. สุราษฎร์ธานี และเป็นนักศึกษาวิชาราม หลักสูตร7ปีระดับอริยปัญญาโท ชั้นปีที่2
    ได้มารู้จักแพทย์วิถีธรรมและเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2554 ได้มาเรียนรู้ยา9เม็ดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ได้นำยา9เม็ดมาใช้ในการดำเนินชีวิต ปัจจุบัน สุขภาพ กาย ใจ เปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีขึ้น

  21. Natchawan Sriphatsongsaeng

    พุทธะชนะทุกข์ 130012 ชื่อ ณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสงชื่อ(หมวย ) รหัส13
    สังกัดภาคใต้สวนป่านาบุญ2 จ.นครศรีธรรมราช
    หมวดจิตใจ
    เรื่อง ลาออกจากงาน
    คำสำคัญ ปรับจิตใจ/ยินดีชดใช้/เราทำมา
    จากที่ผ่านมาได้คุยกับเพื่อนรู้สึกคิดถึงที่เคยทำงานที่เดียวกันและตอนนี้ก็ได้ออกจากงานและพูดถึงว่าสาเหตุเรื่องราวที่ถูกบีบจาก ผอ.ให้ฟัง ซึ่งฉันก็ออกมาก่อนหน้าไม่กี่เดือนฉันอกหักลาออกก่อน และได้ปรับจิตใจว่าไม่มีอะไรติดใจค้างใจเพื่อนแล้ว ได้ฟังแต่พอได้คุยจิตตามไม่ทันร่วมวิพากย์วิจารณ์แต่ฉันตบท้ายว่าไม่ต้องโทษใครให้โทษตัวเองว่านั่นนะมันของๆ เรายินดีรับ ยินดีชดใช้ รับเท่าไหร่หมดเท่านั้น และแนะว่าที่ ผอ.ทำทั้งหมดกับเรานั้นนะเป็นเพราะ วิบากร้ายของเรามายืมตัว ผอ. ให้ ผอ.ทำกับเราเพื่อที่เราได้ชดใช้ ใช้แล้วก็หมดไป
    ถ้าเราไม่รู้จักปฎิบัติธรรมปฎิบัติศีลไม่มีการใช้ปัญญามาขัดเกลากิเลสตัวเรา ซึ่งต้องปฎิบัติเจอและฟังธรรมจากสัตบุรุษที่ปฎิบัติได้ถูกตรง ขุดรากถอนโคนกิเลสให้หมดสิ้นเกลี้ยงไม่มีเหลือ เราต้องเวียนกลับมาซ้ำๆ ผลัดกันแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นใช้พระเดชมากดขี่กันแทนที่จะใช้พระคุณและมีเมตตาต่อลูกน้อง น้อมกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
    ………………………………บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่20 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    ณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง (หมวย) อายุ66ปี
    ร่างกายแข็งแรง สถานภาพหม้าย มีบุตรชายหญิงทั้งหมด4คน
    เข้าค่ายครั้งแรกเมื่อประมาณ 2559 และได้ติดตามฟัง
    ปัจจุบัน เป็นผู้คบคุ้นจิตอาสา สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    และเป็นนักศึกษาวิชชารามหลักสูตร7ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  22. ทัศนีย์​ จันทา

    พุทธ​ะชนะทุกข์ 150011
    ชื่อ​ ทัศนีย์​ จันทา​ (รหัส15) อายุ50ปี​ อยู่อำเภอเมือง​ จังหวัดเพชรบูรณ์​
    (ผู้​คบ​คุ้น​)สังกัดสวนป่านาบุญ​2​ จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด.. สุขภาพ​กาย-สุขภาพใจ
    เรื่อง.. ติดโควิดทั้งครอบครัว

    คำสำคัญ
    โควิด19 / ฟาวิพิราเวียร์ /ฟ้าทะลายโจร/ ปรับสมดุล

    เนื่องด้วย​สถานการณ์​ตอนนี้โรคโควิดระบาดมาเข้าปีที่3แล้ว​ แตงเองมีอาชีพค้าขายซึ่งมีโอกาส​เสี่ยงกับการติดเชื้อง่ายอยู่แล้ว​ จนกระทั่งเมื่อวันที่​28​กุมภาพันธ์​ที่ผ่านมาลูกชายกับพ่อบ้านมีไข้ตัวรุมๆ​ เย็นวันที่29ไปซื้อATKมาตรวจกันเองผลออกมาเป็นบวก​ทั้งคู่ ตอนแรกกะว่าจะไม่บอกใครจะรักษา​ตัวเองอยู่บ้าน​ จนดึกวันนั้นตัดสินใจบอก อสม.เพื่อที่จะรักษา​อาการตามวิธีแผนปัจจุบัน​ ทางโรงพยาบาลจึงให้เราทั้งครอบครัวกักตัวและส่งยามาให้ทานที่บ้าน​ ซึ่งตอนนั้นตัวผู้เขียนยังไม่พบเชื้อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับผู้ป่วย โดยเว้นระยะห่าง ปิดแมสตลอด​ต่อมาหมอก็ให้ผู้เขียนพ่อและแม่ไปตรวจผลออกมาเป็นบวกเช่นกัน​ หมอจึงจ่ายยามาให้ฟาวิพิราเวียร์ให้ทุกคนทาน
    ยกเว้นตัวผู้เขียนซึ่งหมอบอกว่าเราไม่มีโรคประจำตัวจึงไม่ให้ยาให้กินแค่ฟ้าทะลายโจรก็พอตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมหมอไม่ให้ยาต้านโควิด​ หรือฟ้าจะให้เราได้เรียนรู้ใช้ยา9เม็ดที่ได้เรียนมา
    ดังนั้นจึงไม่ทุกข์​ใจอะไรกลับยินดีที่จะได้เรียนรู้ปฏิบัติ​ด้วยการดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล ดื่มปัสสาวะ​ทั้งวัน​ ดีท๊อกซ์​ทุกวัน กัวซา​ บางวันก็แช่มือแช่เท้าช่วยด้วย ทำไปด้วยความยินดีและเต็มใจ​
    ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนเราไม่ได้รับยาเหมือนคนอื่นคงต้องโวยวายวิตกกลัวตัวเองไม่หาย​ แต่วันนี้เราเชื่อชัดในเรื่องกรรมว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราไม่มีคำว่าบังเอิญ
    รู้จักแพทย์​วิถี​ธรรม​มาตั้งแต่ปี2560โดยติดตามทางยูทูปและปฎิบัติ​ตัวมาเรื่อยๆ​ ด้านสุขภาพ​แข็งแรง​ขึ้น​ โรคที่เคยเป็นก็ไม่มีอาการอะไร​ ตอนนี้​ก็พากเพียรตั้งศีลลดกิเลสทำได้ตามลำดับ
    ปัจจุบัน​นี้​เป็น​นักศึกษาวิชชารามหลักสูตร7ปี​ ระดับอริยปัญญาตรีปีที่1
    วันนี้ได้มาพบธรรมะที่แท้จริงแล้วจะขอตั้งศีลพากเพียรเรียนรู้และปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ต่อไป
    เขียนเมื่อวันที่9มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียน
    ชื่อ ทัศนัย์ จันทา ชื่อเล่น(แตงไทย) ปัจจุบันอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ค่ะ

  23. ทัศนีย์​ จันทา

    พุทธะชนะทุกข์ 150022
    ชื่อ ทัศนีย์ จันทา (รหัส15)
    อายุ 50 ปี อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์(ผู้คบคุ้น) สังกัดสวนป่านาบุญ2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
    หมวด จิตใจ
    เรื่อง อยากเอาดีจากผู้อื่น
    คำสำคัญ ติดโควิด/ปลูกผัก/พ่อบ้าน/ผาสุก

    เนื่องจากติดโควิดโดนกักตัวหลายวัน เลยถือโอกาสทำงานบ้านที่คั่งค้างหลายอย่าง เช่น แกะเม็ดมะขาม เด็ดขั้วพริกแห้ง และขุดดินปลูกผัก ซึ่งพ่อบ้านก็หยุดงานเหมือนกันพักจริงๆไม่ยอมทำอะไรเลย
    จึงเอ่ยปากขอแรงให้พ่อบ้านช่วยทำงานบ้าง แต่พ่อบ้านก็ไม่ช่วย กิเลสจึงอยากได้ดีจากพ่อบ้านทีแรกก็ทุกข์ใจ บ่นว่าทำไมไม่ช่วยบ้าง ขุดดินไปก็อ่านใจไป จึงเห็นกิเลสเลยคุยไปว่า
    “ถ้าเธอไม่เต็มใจทำเธอก็ไม่ต้องทำสิ
    เธอจะไปเรียกร้องกับคนอื่นทำไม เขาไม่อยากทำก็เรื่องของเขาเธอจะไปเอาอะไรกับเขา”
    กิเลสก็เลยคิดตาม
    “เออจริงด้วย ทำไม่เสร็จก็ไม่เสร็จสิ ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น”
    ก็เลยวางใจขุดดินไปด้วยความผาสุก หว่านดาวดอยไว้ ปลูกอ่อมแซบ เอาดินใส่แก้วเพาะเม็ดกล้วยนวล กับมะละกอไว้แล้วรอดูผลงานด้วยใจเบิกบาน ไม่เพ่งโทษและไม่เอาดีจากคนอื่นให้ได้สาธุ

    เขียนวันที่ 11 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียน
    ชื่อ ทัศนีย์ จันทา ชื่อเล่น แตงไทย อายุ 50 ปี ที่อยู่ปัจจุบัน อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์
    เป็นนักศึกษาวิชชาราม ระดับอริยปัญญาตรี หลักสูตร 7 ปี ชั้นปีที่1
    รู้จักแพทย์วิถีธรรมต้นปี 2560 จากทางยูทูป เข้าค่ายออนไลน์ค่ายแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ประโยชน์ที่ได้รับคลายทุกข์ใจได้ดีมากๆค่ะ

  24. Natchawan Sriphatsongsaeng

    @พวธ.Natchawan(หมวย) 130062 พุทธะชนะทุกข์

    ชื่อณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง (หมวย)รหัส13-

    สังกัดภาคใต้สวนป่านาบุญ2 จังหวัดนครศรีธรรมราช

    หมวดจิตใจ

    คำสำคัญ ว่านหางจระเข้ต้มน้ำเชื่อม/พันธุ์เมล็ดทานตะวัน/แป้งฝุ่น

    เรื่อง ตามอ่านดูอารมณ์ทันและตามอ่านดูอารมณ์ไม่ทัน

    เกิดเหตุการณ์มีผัสสะมากระทบฉันนึกหิวจึงเอาว่านหางจระเข้ต้มน้ำเชื่อมแต่วางใว้ที่โต๊ะกินข้าว แต่ก็ออกไปรดน้ำผักก่อนจนเสร็จพอเข้ามาในครัวปรากฎว่า ถุงว่านหางจระเข้ต้มน้ำเชื่อมแตกกระจายหกเลอะเทอะเต็มพื้นครัว
    ส่วนหลานสาวเข้าห้องแล้ว ฉันนึกในใจตามดูอารมณ์ทันนึกว่าหลานสาวตัวน้อยยังเด็กเขาไม่รู้เรื่อง ฉันควรจะยกประโยชน์ให้หลานสาวตัวน้อยดีแล้ว จะได้ทำความสะอาดพื้นครัว
    ต่อมาอีกวันเกิดเหตุซ้ำโดนหลานสาวตัวน้อยทดสอบจิตอีก
    ครั้ง ฉันออกไปรดน้ำผักเสร็จนึกได้ว่าจะเอาพันธุ์เมล็ดทานตะวัน
    ที่ฉันแยกพันธุ์เมล็ดที่ดีใส่ในตะกร้าที่ฝ่อแต่ไม่มีเลยเดินหาหลานสาวตัวน้อยในห้อง ว่าแล้วเมล็ดพันธุ์ทานตะวันเกลื่อนกระจายเต็มห้อง อย่างไงล่ะตามดูอารมณ์ ไม่ทันสิคะปรี๊ดแตกออกอาการฉุนเฉียวทั้งทางวาจาแล้วก็ให้หลานสาวตัวน้อยเก็บด้วยกัน เสร็จแล้วจะเอาไปตากแดดระหว่างนั้นก็จัดการกับหลานสาวตัวน้อยไปอาบน้ำก่อน
    ค่อยเอาเมล็ดพันธุ์ทานตะวันออกไปตากแดด
    แต่พอเข้ามาดูหลานสาวตัวน้อย โห! มันปรี๊ดแตกอีกรอบ
    แป้งฝุ่นกระจายฟุ้งขาวเต็มห้อง หลานสาวตัวน้อยจัดการ
    เทหมดกระปุก ตามไม่ทันอารมณ์อีกรอบสิคะในวันนั้น ในใจก็ว่าดีเหมือนกันจะได้ทำความสะอาดห้องยกประโยชน์ให้หลานสาว
    ตัวน้อยอีกแล้ว ในระหว่างที่เก็บทำความสะอาดถูพื้นห้องนั้นได้ดูใจและขอโทษพร้อมตั้งเพิ่มอธิศีลใหม่จะไม่แสดงอารมณ์วาจาหลุดออกมาอย่างนี้อีก
    หลังจากที่จัดการเสร็จมองไปที่หลานสาวตัวน้อยก็นึกขำๆพอแม่ของหลานสาวตัวน้อยกลับมาก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังก็หัวเราะชอบใจขำๆกันไป ได้ดูใจที่แสดงออกไปอย่างนั้นนะ เพราะกิเลสบอกว่าเหนื่อยอีกแล้วฉัน
    สรุปเห็นโทษภัยของกิเลสว่า ถ้าไม่ทันในราคะโทสะโมหะกิเลสจึงเกิด ดูเท่าทันโทษภัยกิเลสโตขึ้นๆ ฝึกการอ่านจิต
    ฝึกเตวิชโชตรวจสอบวันที่ผ่านมา ไฟณาณสามารถเกิดพลังเห็นโทษภัยกิเลสมันจึงปลดเปลื้อง รอบรู้เลย….
    บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565
    ประวัติผู้เขียนโดยย่อ
    ณัชวรรณ ศรีเพชรส่องแสง(หมวย) อายุ66ปี
    ร่างกายแข็งแรงสถานภาพหม้าย มีบุตรชายหญิงทั้งหมด4คน
    เข้าค่ายครั้งแรกเมื่อประมาณ พศ.2559 และได้ติดตามฟัง
    ปัจจุบันเป็นจิตอาสาผู้คบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ2
    จังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นนักศึกษาวิชชาราม
    หลักสูตร7ปี ระดับอริยปัญญาตรี

  25. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    วิมุติเป็นกำลัง
    เรื่อง วิมุติเป็นกำลัง
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ พลัง/ศีล/ทุกข์หายฉับพลัน/ใจไร้ทุกข์/พลังกลับมาเป็นของเรา

    เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2565 เริ่มต้นวันด้วยความเบิกบาน เก็บผักพื้นบ้านมาทำอาหารโพสต์ลงใน facebook กลุ่มกสิกรรมไร้สารพิษชีวิตผาสุข ด้วยเมนู “ต้มยำสามเกลอ” ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอันมาก
    หลังจากทานอาหารวรรณะ 9 ตามหลักแพทย์วิถีธรรมเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถเข้าเมืองไปรับแม่ ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็ถูกกิเลสสั่งการว่า วันนี้ขับรถเดินทางเหนื่อย ต้องหาอะไรทานสักหน่อย ทันทีที่คิดแบบนั้นก็เริ่มหาขนมมากิน แล้วก็กินจนหยุดไม่ได้ ต่อด้วยการไปตักข้าวมากินต่ออีก 2 จาน รู้ตัวอีกทีคือ อิ่ม อืด จุก แน่น กินจนกราบพระไม่ลง
    ความทุกข์หนักเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลา 18.00 น. ต้องเข้า Zoom ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียว แต่ร่างกายไม่เป็นใจ อ่อนเพลีย ง่วงนอนอย่างมาก พยายามฝืนตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น เล่นโทรศัพท์บ้าง ดื่มน้ำบ้าง กดจุดนวดตัวบ้าง ลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง ความพยายามทุกอย่างไม่ได้ช่วยให้สดชื่นขึ้นแต่ตรงข้ามกลับทำให้เพลียหนักกว่าเดิม และเริ่มโทษตัวเองว่าไม่น่าเลยเรา ไม่น่ากินเยอะเลย ไม่น่าทำผิดศีลเลย ยิ่งคิดแบบนี้ยิ่งฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียวไม่รู้เรื่อง ยิ่งไม่รู้เรื่องก็ยิ่งไม่สบายใจ เพิ่มความทุกข์ขึ้นเป็นทวีคูณ
    เหมือนมีอะไรดลใจให้คิดสวนทาง หยุดคิดทำทุกข์ทับถมตนเอง กลับมานั่งที่เดิมอย่างสงบแล้วคิดใหม่ว่า เราพลาดไปแล้วก็แล้วไป สิ่งที่เราต้องทำคือ “ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด” แล้วคิดต่อว่าถ้าฟังท่านอาจารย์หมอเขียวไม่รู้เรื่องตอนนี้ก็ไม่เป็นไร จะรู้เรื่องตอนไหนก็ได้ ในหูตอนนี้จะได้ยินแค่เสียงของท่านอาจารย์แต่ฟังไม่ออกว่าพูดอะไร หลังจากนั้นก็เริ่มสำรวจร่างกายก็พบว่า กำลังเกร็งร่างกายอยู่ทั้งตัว แม้แต่ลมหายใจก็หายใจสั้นๆ ถี่ๆ จึงเริ่มผ่อนคลายลมหายใจ หายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ร่างกายที่กำลังเกร็งอยู่ ก็ผ่อนคลายทีละจุด ตั้งแต่ คิ้ว ตา แก้ม ผ่อนคลายลิ้นที่ดันเพดานปากอยู่ ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ หลัง เอว เท้า แล้วก็กลับมาค่อยๆสำรวจร่างกายอีกครั้งว่ายังมีส่วนไหนเกร็งอยู่อีกบ้าง เมื่อทุกอย่างผ่อนคลายดีแล้ว ก็นั่งนิ่งๆ หายใจผ่อนคลายเป็นจังหวะ สักพักก็เริ่มฟังออกว่าท่านอาจารย์หมอเขียวบรรยายว่าอะไร แล้วก็เริ่มฟังธรรมะเข้าใจ เริ่มรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโป่รงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดนี้ก็เริ่มขยับตัวดู
    มันคือสภาวะที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ไม่ว่าจะขยับตัวอย่างไร พลังก็ไม่ตก คงความสดชื่นแจ่มใสไว้ได้ และฟังธรรมะจากที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้เข้าใจมากด้วย
    เมื่อไม่เร่งผล วางใจ ไม่อยากได้อะไร จะสามารถสร้างพลังให้ตัวเอง สามารถเปลี่ยนสภาวะได้ภายใน 1-2 นาที แถมพลังที่ได้ยังมีผลถึงวันถัดไป เมื่อตื่นเช้ามาทำโยคะก็พบว่า กล้ามเนื้อเส้นเอ็นยืดหยุ่นดีมาก ร่างกาย สมอง และจิตใจ ดีกว่าวันที่ทานปกติถูกศีลด้วย ต้องขอบคุณการผิดศีลในครั้งนี้ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่า “วิมุติเป็นกำลัง”

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  26. สำรวย นาคะนนท์

    ฟังปุ๊บ ศรัทธาปั๊บ
    เรื่อง ฟังปุ๊บ ศรัทธาปั๊บ
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ เข้าค่าย/ออกจากงาน/ปฎิบัติธรรม/ศรัทธา/ธรรมะแท้

    ก่อนพบแพทย์วิถีธรรมได้ปฎิบัติธรรมแนวทางนั่งสมาธิ เดินจงกรม ตั้งแต่ปี 2536 สาเหตุทุกข์จากอาการป่วยของมารดา ซึ่งเป็นเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันโลหิตสูงเป็นผู้ป่วยติดเตียง และน้องสะใภ้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดระยะสุดท้าย อีกไม่กี่วันจะเสียชีวิต จึงคิดว่าขอไปปฎิบัติธรรม 7 วัน เพื่อส่งบุญกุศลให้ทั้ง 2 ท่าน ยิ่งเห็นน้องสะใภ้ยิ่งทุกข์ใจแต่มองไม่เห็นทางช่วยอื่นเลย หลังจากปฎิบัติธรรมได้แค่ 5 วัน น้องสะใภ้ก็เสียชีวิต ก็ต้องกลับบ้านมาพร้อมความทุกข์ใจ
    การได้ศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์ก็มีความสงสัยในธรรมะ เกิดความคิดขึ้นว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าเชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์ จึงตัดสินใจไปปฎิบัติธรรมทุกปีกับพระอาจารย์เพื่อพิสูจน์ว่าธรรมะนี้เป็นจริงหรือไม่? หลังจากปฎิบัติอย่างต่อเนื่องโดยใช้ช่วงที่ลาพักร้อนปีละ 7 วัน ได้สภาวะหลายอย่างตามที่พระอาจารย์สอน ตอนใหม่ๆ คิดว่าบังเอิญ แต่เมื่อได้สภาวะบ่อยๆก็เชื่อและศรัทธาในพระพุทธเจ้า ช่วงหลังๆจึงได้ช่วยงานปฎิบัติธรรมที่วัดมาเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งกลับรู้สึกว่า “ชนเพดาน” ไปไม่ถูก มันติดอยู่แค่นี้ นั่งสมาธิแล้วให้ยกจิตขึ้นวิปัสสนาก็มีความสงสัยว่า นั่งหลับตาแล้ว จะยกจิตขึ้นวิปัสสนาอย่างไร?
    เมื่อลาออกจากงานก็ได้มีโอกาสไปเข้าค่ายสุขภาพหมอเขียว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 ไปด้วยความเข้าใจผิด เพราะน้องที่มาชวนบอกว่าไปอบรมการปลูกผักไร้สารพิษ มีกลุ่มกินผักมาสอน ตอนนั้นไม่เคยรู้เรื่องค่ายสุขภาพหมอเขียว หมอเขียวคือใครก็ไม่เคยได้ยิน พอรู้ว่าผิดงานก็ชวนเพื่อนที่ไปด้วยกัน 5 คนกลับ ขณะนั้นคิดว่า เรามาจากสุขภาพแผนปัจจุบันรู้เรื่องสุขภาพดีทุกอย่างแล้ว ใจยังไม่เปิดรับ แต่เพื่อนๆบอกว่า ไหนๆมาแล้วก็อยู่ให้จบค่ายดีกว่า
    วันที่ 3 ของการอบรม ได้ยินผู้เข้าอบรมพูดว่า “หมอเขียวมาแล้ว” ก็พยายามมองหา ในใจคิดว่า หมอเขียวต้องเป็นผู้ชายวัย 50 ปี ขึ้นไป แต่พอเขาชี้ให้ดู (กราบขอขมาอาจารย์คะ) เอ๊ะ! นี้เด็กคนที่นำโยคะตอนเช้านี่ (ตอนนั้นอาจารย์อายุ 38 ปี) ใจที่ไม่รับรู้แล้วยิ่งเหี่ยวลงไปอีก
    ความคิดเปลี่ยนฉับพลันเมื่อได้ฟังหมอเขียวบรรยายธรรมในบ่ายวันนั้น ใจรับรู้ได้ทันทีว่า “หมอเขียวนี่ไม่ธรรมดา” ประมาณว่าได้ฟังธรรมะปุ๊บ ก็ศรัทธาปั๊บ ตื่นเลย ตาสว่าง จิตสว่าง เพื่อให้แน่ชัดยิ่งขึ้นจึงตั้งใจพิสูจน์ว่า หมอเขียวพูดตามตำรา หรือจากสภาวะจริง จึงติดตามค่ายไปเรื่อยๆ เข้าค่ายแฟนพันธุ์แท้ ค่ายพระไตรปิฎกรุ่นแรก จนแน่ใจว่า “ของจริงเลย” จึงตั้งจิตว่า ถ้าช่วยอะไรหมอเขียวได้ก็จะช่วย (ความจริงคิดว่าช่วยอะไรเด็กหนุ่มคนนี้ได้ก็จะช่วย) เปลี่ยนจากเรียก “หมอเขียว” มาเรียก “อาจารย์” และอยู่ช่วยอาจารย์ตั้งแต่จัดค่ายครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2553 จนถึงปัจจุบัน ด้วยความพอใจ และเต็มใจอย่างยิ่ง
    เมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงที่ลาออกจากงานใหม่ๆ วางแผนว่าจะทำรีสอร์ท แต่เพราะผลบุญที่เคยทำมาช่วยให้ได้มาพบแพทย์วิถีธรรมก่อน ไม่อย่างนั้นต้องพบแต่ทุกข์ตลอดกาล และการเทศรัทธาให้อาจารย์หมอเขียว เหมือนชีวิตได้หลุดพ้น พบกับความสุขใจอย่างแท้จริง ไม่ต้องติดเพดานอีกต่อไป ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 64 “ความสุขของชีวิตอยู่ที่ความพอ สุขอยู่ที่พอ พออยู่ที่ใจ พอเมื่อไหร่ ก็สุขใจเมื่อนั้น ไม่พอเมื่อไหร่ ก็ทุกข์เมื่อนั้น”

    บทความนี้เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    ผู้เขียน นางสาวสำรวย นาคะนนท์ (อายุ 68 ปี)
    ชื่อทางธรรม เพชรเพียรธรรม
    จิตอาสาประจำสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาอริยปัญญาโท ชั้นปีที่ 3
    เรียนรู้แพทย์วิถีธรรมตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2553
    เหตุผลที่เป็นจิตอาสาเพราะ ได้พบของจริงแล้ว ฟังธรรมะปุ๊บ ก็ศรัทธาปั๊บ

  27. สมเพียร สุวรรณรัตน์(เอื้อเอ็นดู)

    Superwoman
    เรื่อง Superwoman
    หมวด ร่างกาย
    คำสำคัญ สุขภาพ/ออกกำลังกาย/เสพกิเลส/อ้วน
    “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คำพูดนี้ได้ยินจนคุ้นหู และเป็นความจริงนิรันดร์ ซึ่งป้าสมปฎิบัติตนตามคำนี้มาตลอด ยิ่งได้มาศึกษาแพทย์วิถีธรรมกับท่านอาจารย์หมอเขียว การดูแลสุขภาพยิ่งเข้มข้น ที่สำคัญคือประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมากด้วย ท่านอาจารย์เน้นย้ำให้ศิษย์ทั้งหลายระลึกไว้ในใจว่า “สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งในชีวิตคือ สุขภาพต้องแข็งแรง”
    ย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน ป้าสมเคยป่วยและค่อนข้างอ้วน น้ำหนักตัว 75 กิโลกรัม แต่เนื่องจากเห็นความสำคัญของสุขภาพ ป้าสมจึงเข้าชมรมแม่บ้าน เต้นแอโรบิค ป้าสมได้เป็นผู้นำเต้นด้วย นอกจากนั้นยังสมัครวิ่งมาราธอน 10 กิโลเมตร ได้รับถ้วยรางวัลประเภทอายุเกิน 60 ปีด้วย
    สุขภาพของป้าสมดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเข้ามาศึกษาแพทย์วิถีธรรม ในปี 2554 จากที่เคยอ้วน รูปร่างก็ดีขึ้น น้ำหนักตัวลดลงเหลือ 55 กิโลกรัม ความแข็งแรงที่เห็นได้ชัดเจนในครั้งหนึ่งที่เคยเกิดอุบัติเหตุล้มรถมอเตอร์ไซค์ ไปหาหมอนวด รักษาด้วยการประคบสมุนไพร ค่ารักษาครั้งละ 400 บาท ไป 2 ครั้งอาการดีขึ้น แต่ป้าสมหยุดไปเพราะพิจารณาแล้วว่า ไม่คุ้มกับเงินและเวลาที่เสียไป แล้วหันมาดูแลตัวเอง เพราะคิดแล้วว่า “หมอช่วยเราไม่ได้ เราต้องช่วยตัวเอง” ประกอบกับท่านอาจารย์หมอเขียวสอนและเน้นย้ำจนจำขึ้นใจว่า “หมอที่ดีที่สุดในโลกคือ “ตัวเราเอง” ป้าสมใช้เวลาดูแลตัวเองแค่เดือนเดียวก็หายเป็นปกติได้
    สุขภาพที่ดีของป้าสมในวันนี้คือการปฎิบัติตัวสะสมมา โดยออกกำลังกายทุกวัน กิจวัตรที่ทำเป็นประจำคือ ตื่นตี 3 เปิดฟังการส่งการบ้านโรงเรียนของหนู ระหว่างนั้นก็ทำโยคะท่านอนไปด้วย หลังจากนั้นไปทำดีท็อกซ์ แล้วกลับมาทำโยคะท่ายืน ต่อด้วยมาร์ชชิ่ง การเดินช่วยให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง โยคะช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ยืดหยุ่น และ Super power ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    ในวันนี้ด้วยวัย 75 ปี ที่สุขภาพต่างจากคนในวัยเดียวกันอย่างมาก เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงเหนี่ยวนำให้หลายคนหันมาดูแลสุขภาพ เมื่อเพลงมาร์ชแพทย์วิถีธรรมดังขึ้น ป้าสมจะไปทำมาร์ชชิ่งอยู่ด้านหน้ากระตุ้นความคึกคัก และช่วยให้หลายคนกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างมาก
    สำหรับใครก็ตามที่ขี้เกียจออกกำลังกาย ป้าสมขอแนะนำว่า “ให้ป่วยก่อน” ยิ่งป่วยหนักยิ่งดี หลังจากนั้นค่อยหันมาดูแลสุขภาพและเริ่มออกกำลังกาย (จะเอาก็ได้ ไม่เอาก็ได้นะ) โดยเริ่มต้นที่ เปลี่ยนอาหารก่อน เมื่อร่างกายเริ่มดีขึ้นจึงค่อยออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ เพราะจะออกกำลังกายให้ได้ผลต้องควบคุมอาหารด้วย ที่สำคัญแนะนำให้หยุดเสพกิเลส เพราะคนส่วนใหญ่จะยึดหลัก
    “กินเรื่องใหญ่ ตายเรื่องกลาง ตะรางเรื่องเล็ก” คนส่วนใหญ่ยอมถวายหัวให้กิเลสแม้จะรู้ว่าโทษภัยมันมหาศาลเพียงใดก็ตาม
    ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายและใจแข็งแรงโดยทั่วหน้ากัน สาธุ สาธุ สาธุ

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    ผู้เขียน นางสมเพียร สุวรรณรัตน์ (อายุ 75 ปี)
    ชื่อทางธรรม เอื้อเอ็นดู
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม อริยปัญญาโท ชั้นปีที่ 3
    จิตอาสาประจำสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรม ปี 2554 เนื่องจาก หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง รักษาทั้งโรคทางกายและใจ ให้หายได้อย่างสิ้นซาก

  28. สมเพียร สุวรรณรัตน์(เอื้อเอ็นดู)

    ฉันไม่กลัวเธอหรอกเจ้าโควิด

    เรื่อง ฉันไม่กลัวเธอหรอกเจ้าโควิด
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ โรคโควิค 19/วัคซีน/กอบโกย/ลดกิเลส/ความกลัว

    ผู้ถาม : ป้าสมว่า โรคโควิดมันกลัวอะไรคะ ?
    ป้าสม : โรคโควิดมันกลัวคนที่ไม่กลัวมัน และป้าสมไม่เคยกลัวมันเลย
    เมื่อเริ่มมีข่าวการระบาดของโรคโควิด 19 ไม่ได้ทำอะไรป้าสมได้เลย รู้สึกเฉยๆ เพราะเราคือศิษย์ของท่านอาจารย์หมอเขียว ไม่กลัวโรค ไม่กลัวเป็น ไม่กลัวตาย ไม่หวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น คำสำคัญคือ “กลัว” ความกลัวของคนทั้งโลกยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้าย เราต้องเปลี่ยนเป็น “กล้า” แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
    คนในสังคมถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า “โรคโควิดน่ากลัว” ต้องฉีดวัคซีน มีรถแห่รณรงค์ อสม.ส่งหนังสือมาให้ป้าสมไปฉีดวัคซีน แต่ป้าสมแจ้งกลับไปว่า “ป้าสมขอให้โอกาสคนที่เสี่ยงกว่าได้ฉีดก่อน” เพราะป้าสมมีความคิดว่า ฉีดก็ตาย ไม่ฉีดก็ตาย ฉีดก็ติด ไม่ฉีดก็ติด ทุกวันนี้คนฉีดวัคซีนกลัวคนไม่ฉีด ป้าสมเคยถูกประชดจากคนใกล้ชิดที่เป็นพยาบาลว่า “เที่ยวจังไม่กลัวติดโควิดเหรอ วัคซีนก็ไม่ฉีด” เขาอายุน้อยกว่าป้าสม 3 ปี แต่สุขภาพดีสู้ป้าสมไม่ได้เลย ฉะนั้นป้าสมขอปฎิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมคือ ใส่แมส เว้นระยะห่าง ล้างมือ และเน้นดูแลตัวเองตามหลักแพทย์วิถีธรรม กินอาหารพืช จืด สบาย ช่วยให้ห่างไกลโรคได้ดีกว่าการไปเป็นหนูทดลองวัคซีน
    ในวันนี้ป้าสมไม่สนใจหรอกว่า โรคโควิดจะกลายพันธุ์ไปกี่พันธุ์แล้ว ไม่สนใจสถิติ ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังกลัว จะเป็นช่องทางให้คนส่วนหนึ่งกอบโกยผลประโยชน์ ซึ่งเป็นกิเลสที่น่ากลัว เพราะเขามีอำนาจที่จะทำได้ เงินของประเทศก็หมด สร้างหนี้มหาศาล ถ้าคนไม่ลดกิเลส ประเทศอาจตกไปเป็นของคนอื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความกลัวเกิดขึ้น ป้าสมขอฝากคำพูดสวนหมัดกิเลสไว้ว่า “ฉันไม่กลัวเธอหรอกเจ้าโควิด”

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    ผู้เขียน นางสมเพียร สุวรรณรัตน์ (อายุ 75 ปี)
    ชื่อทางธรรม เอื้อเอ็นดู
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม อริยปัญญาโท ชั้นปีที่ 3
    จิตอาสาประจำสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรม ปี 2554 เนื่องจาก หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง รักษาทั้งโรคทางกายและใจ ให้หายได้อย่างสิ้นเชิง
    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    ผู้เขียน นางสมเพียร สุวรรณรัตน์ (อายุ 75 ปี)
    ชื่อทางธรรม เอื้อเอ็นดู
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม อริยปัญญาโท ชั้นปีที่ 3
    จิตอาสาประจำสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรม ปี 2554 เนื่องจาก หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง รักษาทั้งโรคทางกายและใจ ให้หายได้อย่างสิ้นซาก

  29. สมเพียร สุวรรณรัตน์(เอื้อเอ็นดู)

    กักตัวอย่างไรไม่ให้เดียวดาย

    เรื่อง กักตัวอย่างไรไม่ให้เดียวดาย
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ กักตัว/ความกลัว/อาหาร/กลุ่มเสี่ยงโรคโควิด 19
    เมื่อป้าสมเป็นกลุ่มเสี่ยงติดโรคโควิด 19 ต้องกักตัว 14 วัน อย่างแรกที่ป้าสมบอกกับตัวเองคือ “โชคดีแล้ว” การกักตัวไม่ทำให้หดหู่ห่อเหี่ยว หรือเดียวดาย ตรงข้ามกลับทำให้ได้ทำในสิ่งที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้นไปหลายอย่าง ผลลัพธ์ภายนอกที่เห็นได้ชัดคือ บริเวณบ้านเตียนโล่ง ต้นไม้ที่เพาะไว้ได้ลงดินทั้งหมด ใช้จอบใจเพชรทำกสิกรรมไร้สารพิษ และขนดิน 1 คิว ทำทุกอย่างได้สำเร็จทั้งงานนอกและงานใน
    สำหรับคนที่กลัวการอยู่คนเดียว ซึ่งบางคนกลัวจนนอนไม่หลับ ป้าสมขอแนะนำให้คิดใหม่ว่า “การนอนไม่หลับคือกำไร เราจะได้มีเวลาในการทำประโยชน์เพิ่มขึ้น” การอยู่คนเดียวไม่ใช่สิ่งน่ากลัว สิ่งน่ากลัวคือความคิดในใจที่เกิดจากการสั่งงานของกิเลสต่างหาก ต่อให้มีผู้คนรายล้อมเรามากแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกกลัวกังวล และอ้างว้างอยู่ดีหากไม่กำจัดกิเลสตัวกลัวนี้เสีย
    ความแข็งแรงของร่างกายมาจากความแข็งแรงของจิตใจ และความแข็งแรงของจิตใจเกิดจากการฝึกฝนต่อเนื่องสะสมมา ครั้งหนึ่งป้าสมเคยล้มมอเตอร์ไซด์ไปโรงพยาบาล X-Ray หมอบอกว่ากระดูกหัก ต้องรักษาอย่างน้อย 6 เดือน ห้ามขยับให้อยู่นิ่งๆ ช่วงนั้นลูกต้องมาคอยดูแล แต่เนื่องจากการปฎิบัติตัวตามแพทย์วิถีธรรม โดยเฉพาะใจไร้ทุกข์ ทำให้ป้าสมหายเป็นปกติภายในเวลาไม่ถึงเดือน จึงบอกลูกว่าไม่ต้องมาดูแลแม่แล้ว แม่ช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว
    ช่วง 14 วันของการกักตัว ป้าสมไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกิน เพราะเมนูหลากหลายมาจาก ผักไร้สารพิษที่ปลูกไว้รอบบ้าน ต่อให้เกิดสงครามโลก ป้าสมก็ไม่กลัว เพราะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว
    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ล้วนเป็นเครื่องมือฝึกจิตเรา กล้าอยู่คนเดียวให้ได้ เราเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว ลดกิเลสให้ได้ ความกลัวก็จะสลายไป ขอฝากข้อคิดเตือนใจจากท่านอาจารย์หมอเขียวว่า “เราต้องเจอความทุกข์บ้าง ไม่งั้นเราซวยตาย ไม่พ้นวิบาก”

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    ผู้เขียน นางสมเพียร สุวรรณรัตน์ (อายุ 75 ปี)
    ชื่อทางธรรม เอื้อเอ็นดู
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม อริยปัญญาโท ชั้นปีที่ 3
    จิตอาสาประจำสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรม ปี 2554 เนื่องจาก หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง รักษาทั้งโรคทางกายและใจ ให้หายได้อย่างสิ้นซาก

  30. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    ใครคือผู้บงการ
    เรื่อง ใครคือผู้บงการ
    หมวดหมู่ จิตใจ
    คำสำคัญ กิเลส/อ่านกิเลส/ดีใจแรง/พลังตก/ผัสสะ

    การได้ส่งการบ้านของสถาบันวิชชารามเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตมาก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในความก้าวหน้าของการลดกิเลส เรื่องที่ส่งคือหัวข้อ “ทุกข์หายฉับพลัน” ได้สภาวะวิมุติเป็นกำลัง (อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้จากเรื่อง “วิมุติเป็นกำลัง”) และได้ขอคำแนะนำเพิ่มเติมว่า “การสู้กับกิเลสแต่ละตัวเป็นอย่างไร” ซึ่งเข้าใจเบื้องต้นว่า จะเป็นลักษณะเดียวกับเรื่องที่ส่งการบ้าน
    ใจความสำคัญของคำแนะนำของคุรุแต่ละท่าน(ใช้นามสมมุติ)คือ
    1.คุรุA
    ให้ลองฝึกเปรียบเทียบง่ายๆว่า เวลาเราไม่ชอบใคร เราจะเปลี่ยนเป็นชอบเขาในทันทีได้มั้ย ?แน่นอนว่าไม่ได้ และได้แนะนำเพิ่มเติมอีกว่า พิจารณากิเลสดูทีละตัว ดูว่าตัวไหนที่เราสู้ได้ทันทีก็ให้สู้ ให้กำจัดได้เลย ตัวไหนยังสู้ไม่ได้ก็เอาไว้ก่อน ค่อยสู้ทีหลัง
    2.คุรุB
    ช่วยเสริมเพิ่มเติมว่า ท่านก็เคยได้สภาวะ “วิมุติเป็นกำลัง” และชวนให้คิดต่อว่า เราได้กำลังจากเรื่องเดียวยังมีพลังขนาดนี้ ถ้าเราสามาถลดกิเลสได้ทุกเรื่องเราจะเป็นสุขขนาดไหน
    3.คุรุC
    แนะนำให้ศึกษาเรื่อง “รูป 28” เมื่อได้เข้าไปศึกษาตามคำแนะนำ ก็ได้เข้าใจเรื่อง “เหลี่ยมมุมของกิเลส” และเห็นภาพการจับอาการกิเลสชัดมากขึ้น
    4.คุรุD
    ยกตัวอย่างได้ชัดเจนมากคือ บางคนสู้กับกิเลส และพยายามเลิกกินกาแฟโดยลำดับ เพื่อให้สามารถรับมือกับกิเลสแต่ละเหลี่ยมมุมให้ได้ โดยเมื่อไม่ละเมิดทางกาย หยุดกินกาแฟแล้ว ยังขอชงกาแฟมาดมกลิ่นแล้วเททิ้ง วิธีนี้ก็คือการสู้กิเลสทีละตัว เมื่อเราสามาถสู้กับกิเลสบางตัวได้แล้ว เราจะมีพลังเพิ่มขึ้น เมื่อกลับมาสู้กับกิเลสตัวที่เหลือ เราจะสู้ด้วยพลังที่มากกว่าเดิมจึงมีโอกาสที่จะเอาชนะกิเลสได้
    ในระหว่างที่นั่งฟังคุรุแต่ละท่าน ก็รู้สึกเบิกบาน คิดในใจว่า เดียวพอมีผัสสะมากระทบ จะลองทำตามคำแนะนำทันที สุดท้ายก็ไม่มีผัสสะอะไรเกิดขึ้นเลยในวันนั้น
    วันต่อมาก็ยังไม่มีผัสสะอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม แต่เริ่มสังเกตุความผิดปกติของตนเองได้ คือ ควบคุมตัวเองได้น้อยไม่ค่อยมีสมาธิ เริ่มจะผิดศีล เริ่มจะกินอาหารมากเกินไปอีกแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่ามีกิเลสบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว จึงใช้วิธีทำใจแบบที่เคยทำได้ ทำใจสบายๆ ทำใจไร้ทุกข์ พร้อมกับสำรวจร่างกายว่า มีส่วนไหนเกร็งตัวอยู่บ้าง ปรากฎว่า ผลการสำรวจร่างกายทุกอย่างปกติ แทบจะไม่มีส่วนไหนเกร็งตัวเลย ที่แย่กว่านั้นคือ การทำใจแบบเดิม อาการกิเลสก็ไม่หาย คิดในใจว่า เราได้โจทย์ยากขึ้นอีกขั้นแล้ว
    การทำตามคำแนะนำจากคุรุทุกท่านช่วยให้สามารถค้นพบกิเลสตัวที่กำลังบงการชีวิตอยู่ นั้นคือ “ดีใจมากเกินไป” เมื่อพบกิเลสแล้วก็พิจารณาต่อว่า ทำไมถึงได้ดีใจมาก จึงได้พบว่า การได้พูดคุยกับคุรุที่มีความรู้ความสามารถ ที่เคารพชื่นชมมาตลอด ดีใจที่ได้สภาวะเดียวกับท่าน นอกจากนั้นก็ยังสำรวจให้ลึกลงไปอีกว่า มีความชอบและเคารพด้านใดของคุรุแต่ละท่าน ที่ผ่านมาเคยฟังท่านอาจารย์หมอเขียวสอนมาหลายครั้งว่า ดีใจแรงๆมันเมื่อย บทเรียนครั้งนี้ทำให้เข้าใจลึกซึ่งเลยว่า
    1.เราต้องรักษาให้ถูกโรค เราต้องวินิจฉัยใจเราให้ได้ว่าถูกกิเลสตัวไหนบงการอยู่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางรักษาหายเลย
    2.กิเลสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่คุยกับหมู่มิตรดี หรืออยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีก็ตาม
    3.เราไม่สามารถใช้ยาชนิดเดียว หรือวิธีการเดียว เพื่อรักษาทุกโรคได้
    4.ส่วนใหญ่แล้วเรามีกิเลสตัวใหญ่ๆ เช่น เลิกกินเนื้อสัตว์ การทานอาหารมื้อเดียว แต่ไม่เคยสำรวจเลยว่า มีกิเลสตัวเล็กตัวน้อย คอยดึงพลังเราอยู่ จึงไม่สามารถสู้กับกิเลสตัวใหญ่ได้
    5.การอ่อนข้อให้กิเลสแม้เพียงนิดเดียว เราอาจแพ้กิเลสอย่างราบคาบได้เลย เช่น แค่เราทำตาปรือนิดเดียว พลังจะลดลงทั้งตัวอย่างรวดเร็ว เราจะอ่อนเพลียอย่างหนักทันที และอาจจบวันนั้นด้วยการหมดสภาพ
    6.สืบเนื่องจาก ข้อ 5 หลายครั้งที่กิเลสดึงพลังเราลง มันดึงลงแบบนิ่มๆง่ายๆ แต่เวลาที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้พลังกลับมา ต้องใช้คำว่าตะเกียกตะกาย และที่ร้ายกว่านั้นคือ เราไม่รู้ตัวว่ามันดึงเราลงสู่ที่ต่ำเรียบร้อยแล้ว
    7.พลังพุทธะที่ได้ในครั้งนี้ อยู่ได้ข้ามวัน แต่จะเห็นได้ว่ากิเลสที่ครอบงำและควบคุมอยู่ได้เกือบ 3 วัน ถ้าไม่เจอมัน พลังมันจะยิ่งมากขึ้นจนเราสู้มันไม่ได้ ข้อคิดที่สำคัญคือ เราต้องเพิ่มพลังพุทธะให้มากยิ่งๆขึ้นไป
    8.คำว่าละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งกว่าภาษาที่พูด เกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้ จึงได้เรียนรู้ว่าในเมื่อเราจินตนาการไม่ถึงก็ไม่ต้องจินตนาการ ทำเท่าที่เรารู้เราจะรู้มากขึ้นเอง
    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอเขียวที่อธิบายธรรมะยากๆ ให้เข้าใจง่ายที่สุดและขอบพระคุณคุรุทุกท่านเป็นอย่างสูงคะ

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  31. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    ขาดเธอไม่ได้
    เรื่อง ขาดเธอไม่ได้
    หมวดหมู่ จิตใจ
    คำสำคัญ ยึดติด/อคติ/กิเลสโต/ปมด้อย
    อาชีพที่ทำอยู่นั้นจะมีโอกาสได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลายท่าน ได้รับประโยชน์ในระดับนึง แต่สิ่งที่กวนใจอยู่ตลอดคือ ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เคยลงมือทำจริง มีเฉพาะความรู้ทางวิชาการ ส่งผลให้ติดภาพลบเมื่อเจอผู้เชี่ยวชาญ, ดอกเตอร์, ศาตราจารย์, นักวิชาการ ฯลฯ จะรู้สึกอคติทันที
    สิ่งลบที่อยู่ในใจส่งผลให้ทำเรื่องผิดพลาดเมื่อเข้ามาเรียนในสถาบันวิชชาราม ในเดือนตุลาคม 2564 ทันทีที่เห็น ดร.E (นามสมมุติ) ก็เพ่งโทษทันที เกิดอคติว่า เราต้องมาฟัง ดอกเตอร์ อีกแล้วเหรอ รู้แค่วิชาการมั้ยเนี่ย เคยทำจริงๆมั้ยเนี่ย แต่ด้วยความรู้จริงจากการลงมือปฎิบัติจริงของท่าน ทำให้เปลี่ยนความคิดภายในเวลา 2-3 นาที พร้อมทั้งสำนึกผิดว่า พลาดไปแล้ว ขอโทษขออโหสิกรรมทันที
    ในครั้งต่อไปเมื่อ ดร.E พูดอะไร ก็จะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ และจะลงมือทำตามด้วย ท่านเคยบอกว่าการเรียนครั้งนี้คือการเรียนออนไลน์ เราไม่ได้เจอกันจริงๆ ขอให้ตั้งใจเรียน ก็ตั้งใจเรียนตาม แม้บางกิจกรรมจะไม่ชอบก็ตาม อีกครั้งนึงท่านพูดถึงการทำดีท๊อก และแชร์ประสบการณ์ของท่านเอง ส่งผลให้กล้าทำดีท๊อกด้วยทั้งที่กลัว โดยสั่งชุดดีท๊อกทันที และเมื่อของมาถึงก็ทำในวันนั้นเลย
    ระยะเวลาผ่านไป 3 เดือน ของการเรียนวิชชาราม โดยไม่ได้สังเกตุตัวเองเลยว่า มีกิเลสตัวนึงกำลังโตขึ้น เพิ่งจะจับอาการทางใจได้ในเดือนมกราคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เข้ามาส่งการบ้านบ่อยๆ ความรู้สึกที่จับได้คือ “ทุกครั้งที่เห็น ดร.E จะรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง”
    จึงตัดสินใจไปดู YouTube ย้อนหลังที่ตัวเองส่งการบ้าน เพื่อสังเกตุอาการกิเลสตัวนี้ และและชัดเจนมากในคลิปที่มาส่งการบ้าน วันที่ 28 มกราคม 2565 ช่วงที่เล่าเรื่องราวท่านปิดกล้องอยู่ สิ่งที่ส่งผลคือ ความมั่นใจลดลง ซึ่งมองจากภายนอกจะดูไม่ออกเลย แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่เห็นความผิดปกติใดๆเลย แต่การเรียบเรียงเรื่องราวในสมองคลาดเคลื่อนไป เวลาพูดจาจะไม่ลื่นไหล แต่เมื่อท่านเปิดกล้องมาในใจรู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาทันที และเมื่อท่านแนะนำเพิ่มเติม จึงได้รู้ว่า ท่านฟังอยู่ตลอด ยิ่งทำให้แจ่มใสขึ้นเป็นทวีคูณ
    การส่งการบ้านอีกครั้งนึงที่เห็นได้ชัดเจนคือ เดือนธันวาคม 2564 ครั้งนั้นท่านปิดกล้องและไม่เข้ามารับการบ้าน น้ำเสียงที่พูดในวันนั้นเหมือนคนกำลังจะร้องให้ หัวใจเต้นแรง จับความตื่นเต้นได้ชัดเจน สีหน้าไม่มีความมั่นใจ ไม่แจ่มใสกับการส่งการบ้านในครั้งนั้นเลย
    นั่งทบทวนตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเวลาที่มี ดร.E อยู่จึงมีความอบอุ่นใจ เบิกบานและมั่นใจ ก็ได้เห็นการโตขึ้นของความรู้สึก (กิเลส) คือ ตั้งแต่หยุดเพ่งโทษ และตั้งใจฟังทุกครั้งที่ท่านพูด ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเคารพ และขอบคุณที่แนะนำสิ่งดีๆ ไม่ใช่แค่ “ฟัง” แต่เป็นการ “เชื่อฟัง” ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อมาคือ แค่เห็นหน้าท่านยังไม่ต้องพูดอะไรก็รู้สึกดีแล้ว หลังจากนั้นเมื่อไม่เห็นท่านเปิดกล้องก็เริ่มหาว่าอยู่ใน Zoom มั้ย ถ้าเห็นว่าอยู่ก็รู้สึกดี บางครั้งหาหลายรอบจนกว่าจะเจอ ระยะหลังเมื่อหาไม่เจอก็เริ่มหาป้าF (นามสมมุติ) ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับ ดร.E ตลอด เมื่อเจอป้าF ก็รู้สึกสบายใจทันที ความรู้สึก (กิเลส) ทั้งหมดค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่เห็นความผิดปกติใดๆเลย
    เมื่อพิจารณาตัวเองมาถึงจุดนี้ ก็มีเรื่องในวัยเด็กแว๊ปเข้ามาในหัวซึ่งเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด และทำให้มีปมด้อย แต่ได้ลืมเรื่องราวนี้ไปนานแล้ว เรื่องราวโดยย่อคือ ความเป็นเด็กชนบทไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก เวลามีงานกิจกรรมอะไรที่โรงเรียนแล้วมีพ่อแม่อยู่ด้วยจะรู้สึกอบอุ่นใจ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ความมั่นใจจะหายไป ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเมื่อมีเพื่อนมาถามว่า “แล้วพ่อแม่เธอละ พ่อแม่เธอไม่มาเหรอ” คำพูดนี้สร้างความเจ็บปวด เหมือนถูกกระชากชีวิตออกไป สมองว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก รู้สึกล่องลอย ไม่มีแรงต่อสู้กับอะไรทั้งนั้น โชคร้ายที่เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว สุดท้ายกลายเป็นคนมีปมด้อย ไม่กล้าแสดงออก พูดจาเล่าเรื่อง อธิบายอะไรให้คนอื่นเข้าใจไม่ค่อยได้ เรียนรู้ได้ช้า ผลการเรียนไม่ดี เป็นเด็กปลายแถว
    มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี ไม่มีใครอยากคบ สังคมไม่ยอมรับ
    เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในสังคม จึงต้องพัฒนาตัวเองให้มีความรู้และฝึกฝนการสื่อสารให้ สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ใช้เวลาเปลี่ยนแปลงตัวเองสิบกว่าปี ตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมปลาย ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนทุกอย่างจะควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกรงขามได้ ที่สำคัญคือสามารถสร้างความมั่นใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีพ่อแม่เหมือนในวัยเด็กอีกแล้ว สามารถเปลี่ยนจากเด็กปลายแถว มาเป็นคนแถวหน้าได้สำเร็จ เป็นนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเยอะมาก เป็นเด็กกิจกรรมที่เรียนได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เป็นนักศึกษาดีเด่นทุกปี ถึงจุดนี้ก็เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งคณาจารย์และพื่อนๆ จนกระทั้งลืมไปเลยว่า ตัวเองเคยมีปมด้อยในวัยเด็ก
    การได้ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียว ได้เรียนรู้เรื่องการโตขึ้นของกิเลส แม้กิเลสที่เหลือเพียงน้อยนิด ก็ยังเป็นภัยมหาศาล ท่านอาจารย์หมอเขียวย้ำเตือนบ่อยๆว่า “กิเลสแม้น้อยก็เหม็นมาก” กิเลสที่เคยคิดว่ากำจัดได้หมดแล้วกลับมาโตโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมาเข้าเรียนในสถาบันวิชชาราม
    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอน ความรู้สึกป็นปมด้อย ความไม่มั่นใจในวัยเด็กยังเหลืออยู่นิดหน่อย จนจับอาการไม่ได้ และไม่รู้ว่ากำลังทำให้มันโตขึ้น เอาความอบอุ่นที่เคยได้จากพ่อแม่ ไปไว้กับ ดร.E และก็เข้าใจอีกว่า ลักษณะที่เราไปรักหรือหลงใครสักคนก็จะเริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆพัฒนาต่อไป เมื่อรู้ตัวอีกทีก็รักและหลงเขาจนหมดใจ จนอยู่ในสภาพ “ชีวิตนี้ขาดเธอไม่ได้”
    ข้อคิดสำคัญที่ได้จากเรื่องนี้คือ
    1.ต้องกำจัดกิเลสให้สิ้นเกลี้ยง ไม่เช่นนั้นมันจะโตขึ้นและกลับมาครอบงำเราอีก
    2.อัตตาหิอัตโนนาโถ จงพึงตนเอง อย่าเป็นภาระของใคร
    3.การมีสติและปัญญา จะช่วยให้เราเห็นกิเลส และช่วยให้เราสามารถกำจัดกิเลสได้ แม้มันจะซ่อนอยู่ลึก หรือมีแค่เล็กน้อยก็ตาม
    4.พยายามอีกนิดจะสามารถกำจัดกิเลสตัวนี้ได้ คราวนี้จะได้มีข้อเปรียบเทียบแบบชัดเจนได้สักทีว่าระหว่างมีกิเลสเล็กน้อย กับหมดกิเลสแบบสิ้นเกลี้ยงเป็นเช่นไร
    5.ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ แม้กระทั้งอดีตที่เราเคยผ่านมาแล้วในชาตินี้เรายังลืมตัวเองได้เลย
    6.เมื่อเกิดความรู้สึกกับใครคนนึง กิเลสจะทำให้เราเกิดความรู้สึกแบบเดียวกันกับคนอื่นๆด้วย เพราะจากเหตุการณ์นี้ได้ทบทวนการกระทำของตัวเองว่ามีการค้นหาพี่เลี้ยงจากใน Zoom มาตลอด และเริ่มรู้สึกดีเมื่อเห็นป้าF ด้วย

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  32. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    แววไว พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน
    เรื่อง แววไว พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน
    หมวดหมู่ จิตใจ
    คำสำคัญ โยคะ/มาร/พุทธะ
    โดยปกติเวลาออกกำลังกายของแพทย์วิถีธรรมคือ 4.30 น. วันนั้นก็เข้า Zoom เพื่อออกกำลังกายตามปกติ แต่เกิดเหตุขัดข้องคือ Zoom ไม่มีเสียง จึงออกไปใช้ You Tube แทน เหตุขัดข้องนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ก็แก้ปัญหาแบบเดิมคือ ไปเข้า You Tube แทน
    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มคิดว่า ต่อไปจะออกกำลังกายด้วย You Tube ตลอด เพราะสามารถปรับเวลาให้เหมาะสมกับเราได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงปรับเวลาออกกำลังกายของตัวเองมาเป็น 4.00 น. โดยใช้ You Tube ซึ่งสามารถบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสมกับชีวิตตัวเอง
    เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆนี้ ทำให้นึกจินตนาการถึงลักษณะของกิเลส และพุทธะ คือ กิเลสเป็นมาร (ตัวดำ) จะคอยยุยง กรอกหูเราอยู่ด้านซ้าย พุทธะคือเทวดา (ตัวขาว) คอยเตือนสติเราอยู่ด้านขวา ทั้งกิเลสและพุทธะต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองต้องการ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั้น แม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคมากแค่ไหนก็จะหาทางออกจนได้ เราจึงต้องใช้สติพิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่กำลังจะทำ เป็นการขับเคลื่อนของพลังกิเลส หรือพลังพุทธะ ถ้าเป็นพลังพุทธะให้มุ่งมุ่นทำต่อไป แต่หากเป็นพลังครอบงำของกิเลสให้ใช้ปัญญาเปลี่ยนกิเลสให้เป็นพุทธะ แล้วเราจะพบปาฎิหาริย์ คือ “พลังจะกลับมาเป็นของเรา”
    เรื่องราวนี้ได้นำไปส่งการบ้านของสถาบันวิชชาราม ได้รับคำแนะนำที่มีค่าจากคุรุ เมื่อนำมาปฎิบัติตามก็ได้สภาวะใหม่ และเข้าใจเรื่องกิเลสได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถติดตามได้ในหัวข้อ “มาเป็นคณะ”

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  33. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    มาเป็นคณะ
    เรื่อง มาเป็นคณะ
    หมวดหมู่ จิตใจ
    คำสำคัญ กิเลส/อาสวะ/โลกสันนิวาส/สมบูรณ์แบบ
    การส่งการบ้านของสถาบันวิชชารามให้ประโยชน์เป็นอันมาก ซึ่งสืบเนื่องมาจากการส่งการบ้านเรื่องปรับเปลี่ยนเวลาออกกำลังกาย และเปลี่ยนมาใช้ You Tube แทน Zoom (จากเรื่อง “แววไว พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน”) ถึงแม้ว่าจะปรับเปลี่ยนจนสามารถบริหารเวลาชีวิตได้ดีขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังมีความรู้สึกไม่เบิกบาน ไม่แช่มชื่น
    หลังจากมาส่งการบ้านและได้รับคำแนะนำจากคุรุ จึงทำตามคำแนะนำทันทีในวันรุ่งขึ้น โดยการเข้า Zoom และทำเหมือนเดิมอีกครั้งเพื่อดูใจของตัวเอง คือ เข้า Zoom ตี 3 กว่าๆ ฟังท่านอาจารย์หมอเขียวบรรยายธรรมะ ถึงเวลา 4.30 น. ก็ออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร และจบขบวนการด้วยการฟังบททบทวนธรรม
    ในที่สุดก็ได้ค้นพบกิเลสในใจ สิ่งสำคัญที่ได้ประจักษ์จากเรื่องนี้คือ เวลาที่กิเลสเกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้นตัวเดียว กิเลสจะมาทีละหลายๆตัว กิเลส “มาเป็นคณะ” ตอนที่ออกกำลังกายนั้นจะมีกิเลสตัวหลักคือ ความอยากออกกำลังกาย ซึ่งได้รับการตอบสนองจึงไม่มีปัญหาอะไร กิเลสอีกตัวที่ทำให้ไม่สดใส ไม่แช่มชื่น คือ “การอยากเป็นแรงเหนียวนำให้หมู่กลุ่ม” ซึ่งถูกกิเลสหรอกว่า การเข้า Zoom เปิดกล้อง ออกกำลังกาย พร้อมหมู่กลุ่มจะช่วยเป็นแรงเหนี่ยวนำให้แก่กันและกัน การไปใช้ You Tube แทนจะขาดเรื่องนี้ไปจึงไม่เบิกบานใจ
    กิเลสตัวที่ 3 ที่เจอคือ ถูกกิเลสหรอกเรื่อง ความสมบูรณ์แบบ กิเลสหรอกว่า ต้องเข้า Zoom เร็วๆ จะได้ฟังท่านอาจารย์หมอเขียวบรรยาย ต่อด้วยออกกำลังกาย และจบด้วยฟังบททบทวนธรรม เมื่อทำได้ครบตามนี้จะรู้สึกเป็นสุขใจ สิ่งเลวร้ายยังมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเอากิเลสทั้งหมดจากเรื่องนี้ ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย
    เมื่อเจอใครหรือเหตุการณ์อะไร ก็จะเรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากคนนั้นหรือเหตุการณ์นั้น เมื่อทำเช่นนี้ก็จะเกิดกิเลสชุดใหม่อีก 1 ชุด ก็จะทำเหมือนเดิมคือ เอากิเลสชุดใหม่นี้ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ แล้วเอากิเลสจากเรื่องอื่นๆ ไปใช้กับเรื่องอื่นๆอีก สืบเนื่องไปไม่จบสิ้น
    บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้ทำให้เข้าใจธรรมะที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอน คือ “อาสวะ” การแตกตัวของกิเลส จากการหลงทำตามกิเลสแค่เรื่องเดียว แต่เป็นจุดกำเนิดของกิเลสนับไม่ถ้วน มาเป็นคณะ จนเรากำจัดไม่ไหว
    เคยได้ยินมาตลอดว่า เราทำอะไรกับเรื่องหนึ่งในชีวิต เรื่องอื่นๆเราก็ทำแบบเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้เห็นสัจจะได้ชัดเจน การหลงทำตามกิเลสสืบเนื่องไม่จบสิ้น ส่งผลให้เข้าใจแจ่มชัดเรื่อง “โลกสันนิวาส” ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอน คนเราจะโดนกิเลสหรอกตัวแล้วตัวเล่า พันกันไปมาเหมือนด้ายที่พันกันไปมาหาต้นหาปลายไม่ได้
    ทั้งหมดนี้ต้นตอมาจากการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่กลับก่อกิเลสเป็นคณะ จึงเริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์หมอเขียวย้ำเตือนว่า “ติดดีก็ต้องล้าง” เช่นกัน

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  34. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    เหมือนไม่ใช่คน
    เรื่อง เหมือนไม่ใช่คน
    หมวดหมู่ ร่างกาย
    คำสำคัญ ป่วย/หดหู่/ทำตาม/ทางสว่าง/ยั่งยืน
    ความที่เคยป่วยมาแล้วหลายโรค ก่อนที่จะรู้จักแพทย์วิถีธรรม ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังจำความเจ็บปวดและอารมณ์สิ้นหวังได้ดี เมื่อเอาผลตรวจและผล X-Ray มาคุยกับคุณหมอ เหมือนชีวิตเหลือทางเหลือน้อยเหลือเกิน ต้องกินยาครั้งละหนึ่งกำมือ กินจนกลืนไม่ลง นี่คือผลจากการใช้ชีวิตผิดพลาด จากความคิดที่ว่าเราต้องประสบความสำเร็จ มีเงินเยอะๆ จะช่วยให้ชีวิตเราสมบูรณ์แบบ ยอมทำงานอย่างทุ่มเทสุดชีวิต จนแทบไม่กินไม่นอน สภาพในตอนนั้นเหมือนซากศพเดินได้ ไร้เรี่ยวแรง สมองสั่งงานช้า หน้าตาเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา
    เมื่อไม่มีความหวังกับแพทย์แผนปัจจุบัน จึงต้องหันไปหาแพทย์ทางเลือก เหมือนได้พบทางสว่าง พร้อมเดินหน้าสู้ชีวิตอีกครั้ง เมื่อแพทย์ทางเลือกบอกว่ารักษาได้ ขอให้อดทน ทั้งทนเจ็บและทนรอคอย โดยใช้วิธีรักษาคือ ทานยาสมุนไพร ทั้งในตัวและนอกตัว จัดกระดูก ฝังเข็ม เมื่อรักษาได้ระยะนึง อาการป่วยต่างๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับจนกระทั้งหายในที่สุด คุ้มค่ากับการอดทนเดินทางไปหาหมอสม่ำเสมอ อดทนกับความเจ็บปวดในการจัดกระดูก อดทนกับเข็มทุกเล่มที่ฝังลึกลงไปในกล้ามเนื้อตั้งแต่กลางศรีษะถึงปลายนิ้วเท้า อดทนกินยาสมุนไพรทั้งในตัวและนอกตัว แม้ว่าต้องทำด้วยความทรมานก็ตาม
    แพทย์ทางเลือกช่วยให้รอดชีวิต ไม่ต้องเจอกับมีดผ่าตัดของแพทย์แผยปัจจุบัน ไม่ต้องพบกับการคีโม ฉายแสง และอื่นๆอีกมากมาย เปรียบเหมือนได้ชีวิตแต่ไม่มีชีวา เป็นดั่งต้นไม้ที่แคระแกร็น จะโตก็ไม่โต จะตายก็ไม่ตาย ร่างกายอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย จึงพยายามศึกษาการดูแลสุขภาพรูปแบบต่างๆ จาก You Tube โดยเริ่มศึกษาจากช่องที่มีผู้ติดตามมากๆก่อน
    ไม่ว่าจะดู You Tube ช่องไหนก็จะลองทำตาม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีไหนจะช่วยให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืนได้เลย แถมซ้ำร้ายข้อมูลบางอย่างยังขัดแย้งกันด้วย ตอนแรกว่าถูกตอนหลังว่าผิด ทำตามไปร่างกายก็แย่ตาม ที่หนักสุดคือการทานอาหารโดยคำนวนแคลลอรี่ คำนวนโปรตีน ต้องทานเนื้อสัตว์ให้ได้วันละ 500 กรัม/วัน ดื่มน้ำวันละ 5 ลิตร ต้องทานผักและผลไม้รวมทั้งอาหารเสริมด้วย เพราะเหตุนี้จึงต้องทานอาหารวันละ 5 มื้อ ต้องตั้งตารางเวลาการทานในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายวันละ 1-1.5 ชั่วโมง 5 วัน/สัปดาห์ มีนาฬิกาและตาชั่งวัดค่าต่างๆของร่างกาย ผลจากการปฎิบัติอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ ทำให้เห็นผลต่อร่างกายภายในเวลา 5 วัน แทนที่ร่างกายจะดีขึ้น แต่กลับเป็นตรงข้าม ร่างกายอ่อนเพลีย ท้องอืด หมดแรง ง่วงนอนบ่อย เข้าห้องน้ำบ่อย (ดื่มน้ำเยอะ) ระบบขับถ่ายแย่ลง กล้ามเนื้อเริ่มเหลว ไม่แน่นกระชับ ยิ่งทำยิ่งแย่ ทุกอย่างที่ทำ “เหมือตัวเองไม่ใช่คน” ทำเหมือนเป็นเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ
    คงเป็นเพราะผลบุญที่เคยทำมา ในช่วงเดือนเมษายน 2564 คลิป You Tube ของท่านอาจารย์หมอเขียวขึ้นมาในโทรศัพท์ คำพูดที่ทำให้สบายอย่างมากคือ “ทุกสูตรจะสอดคล้องกันหมด ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน” จึงเริ่มศึกษาและทำตามด้วยการทานอาหารสูตรนิพพาน โดยเตรียมอาหารมาเรียงตามลำดับแล้วกินตาม ถึงแม้ตอนนั้นจะกินได้ไม่มาก เพราะไม่ชินกับอาหารแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าสูตรนี้ดีมากๆ อิ่มนาน มีแรง ท้องไม่อืด ขับถ่ายดี สดชื่นมาก จึงศึกษาและปฎิบัติตามเรื่อยมา
    สิ่งที่น่าแปลกคือ ในขณะที่ไม่กินเนื้อสัตว์ หันมากินพืช จืด สบาย กล้ามเนื้อกลับเพิ่มขึ้น แน่นกระชับ แต่ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อที่ไม่ควรเจริญก็หายไปคือ แผลเป็นที่นูนกลับยุบลง ทั้งรอยแผลเป็นใหม่ และรอยแผลเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน ทุกวันนี้นอกจากแผลจะหายเร็วแล้ว ร่างกายยังกระชับกระเฉง มีกำลังวังชา เบาท้อง อิ่มนาน อดทนต่อการทำงานได้ดีมากด้วย
    ภาพจำของคำว่า “ยาสมุนไพร” หายไปหมด ก่อนนี้เคยเชื่อว่า ยาสมุนไพรต้องขม กินยาก หายาก และต้องไปหาไกลๆ แต่ท่านอาหารหมอเขียวสอนให้กินอาหารเป็นยา หาง่ายใกล้ตัว ไม่จำเป็นว่าผลตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือต่างๆจะเป็นเช่นใด ของให้ร่างกาย เบา สบาย มีกำลังก็พอแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่า หมอที่ดีที่สุดในโลกคือ “ตัวเราเอง” คำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวทำให้ระลึกรู้ว่า เราคือคน มีชีวิตและจิตใจ และสิ่งที่สำคัญอย่างที่สุดคือ “จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง”

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  35. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    ไม่เข้าใจ
    เรื่อง ไม่เข้าใจ
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ ตำหนิ/ตั้งใจ/ดูถูก/ขออโหสิกรรม
    ก่อนที่จะได้มาสมัครเป็นนักศึกษาของสถาบันวิชชารามและเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมกับท่านอาจารย์หมอเขียว เคยเรียนรู้ผ่าน You Tube มาก่อน ซึ่งบทความนี้จะเล่าเรื่องราวความรู้ที่เข้มข้น โดยเฉพาะความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างการศึกษาเองอยู่ข้างนอกและการเข้าเรียนรู้ในฐานะนักศึกษาอริยปัญญาตรี ของสถาบันวิชชาราม
    “ทุกบรรยากาศรายงานความจริง” คำพูดนี้จะได้ยินท่านอาจารย์หมอเขียวพูดบ่อยมาก และทุกอย่างก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อเริ่มเรียนรู้จาก You Tube ในเดือนเมษายน 2564 ทุกคลิปที่ท่านอาจารย์หมอเขียวบรรยายจะถ่ายทอดด้วย อารมณ์ สีหน้า น้ำเสียง ความทุ่มเทอย่างมาก ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าวิทยากรบรรยายด้วยอารณ์ที่เห็นนี้ แสดงว่าผู้ฟังต้องตั้งใจและมีส่วนร่วมกับการบรรยายอย่างมาก ทันใดนั้นภาพก็ตัดไปยังผู้ฟัง ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น อะไรกันนี่!!! ผู้ฟังบางคนนั่งคุยกัน บางคนนั่งหาว บางคนไม่สนใจเดินไปเดินมา บางคนนั่งหลับและหลับต่อหน้าท่านอาจารย์ด้วย OMG !!!
    ภาพเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เห็นแค่คลิปเดียว แล้วทำให้คิดต่อไปต่างๆนานาว่า “เป็นช่อง You Tube ที่ไม่คิดจะสร้างภาพอะไรเลยเหรอ” แล้วก็คิดตำหนิผู้ฟังว่า “ทำไมไม่ตั้งใจเรียน ท่านอาจารย์ตั้งใจสอนสิ่งดีๆ ให้ขนาดนี้” และจากการคิดลบทำให้ตีค่าจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมไว้ต่ำมาก และไม่สนใจดูคลิปของจิตอาสาเลย
    ยิ่งได้ฟังคลิปท่านอาจารย์หมอเขียวก็ยิ่งศรัทธาในตัวท่าน แต่ในขณะเดียวกันก็ตำหนิคนอื่นๆโดยไม่เคยคิดเลยว่า ในขณะที่ว่าคนอื่นอยู่นั้นเราเองไม่เคยแม้แต่จะนั่งฟังอย่างต่อเนื่องจนจบการบรรยายเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะส่วนใหญ่จะทำอย่างอื่นไปด้วยตลอด นั่งฟังนิ่งที่สุดก็แค่ทานข้าวแล้วฟังไปด้วย
    ความคิดต้องเปลี่ยนและต้องขอโทษขออโหสิกรรมจิตอาสาและทุกท่านที่เคยดูถูกทันทีเมื่อได้เข้ามาเรียนสถาบันวิชชาราม ในเดือนตุลาคม 2564 โดยมี ดร. I (นามสมมุติ) ดำเนินรายการ ท่านได้เน้นย้ำว่า “การเรียนรู้ครั้งนี้เป็นการเรียนผ่านออนไลน์ ไม่ได้เจอกันจริงๆ ขอให้ตั้งใจเรียน” จากนั้นจึงต้องบังคับตัวเองให้ตั้งใจฟังท่านอาจารย์หมอเขียวบรรยาย เปรียบเหมือนการมาเรียนรู้ในห้องเรียนจริง
    พอมานั่งฟังนิ่งๆ 2-3 ชั่วโมง คราวนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกคนเลย ทุกกิริยาที่เคยว่าคนอื่นไว้ เราทำเองทุกอย่าง เพื่อให้ฟังได้อย่างต่อเนื่องไม่ง่วงนอน ต้องเปลี่ยนท่านั่งบ้าง เปลี่ยนที่นั่ง นั่งเก้าอี้บ้าง นั่งพื้นบ้าง นั่งท่าพักอาสนะ ไปจนถึงท่าศพอาสนะ รู้สึกสำนึกผิดอย่างมากที่เคยว่าคนอื่นไว้ ว่าคนอื่นในขณะที่ตัวเองไม่เคยลงมือทำเลย
    มีหลายครั้งที่ทำตัวอวดดีอวดเก่ง แต่หลังจากได้เรียนรู้ธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียว ทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่า “ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้น้อย” มีความรู้อีกมหาศาลซึ่งมากจนเราจินตนาการไปไม่ถึง มีจิตอาสาหลายท่านที่มีความรู้ความสามารถ และสังเกตุได้ชัดเจนว่า “ยิ่งท่านเก่ง ท่านยิ่งถ่อมตน” มีท่านนึงที่ประทับใจและยึดเป็นแบบอย่างเพื่อเตือนตัวเองในเวลาที่จะอวดดีคือ คุณ J (นามสมมุติ) ชื่นชมตั้งแต่ฟังท่านครั้งแรก ด้วยกิริยา การแสดงออก การพูดการจา การไหว้ การคารวะคุรุ ถึงแม้ท่านจะเข้ามาเรียนรู้ก่อนคุรุหลายๆท่านก็ตาม ทำให้คิดว่า นี่ถ้าเป็นตัวเรา เก่งขนาดนี้คงอวดดีเต็มที่แล้ว ทำงานก็ดีเป็นพยาบาล แถมประสบการณ์ในการช่วยรักษาคนก็มาก ซึ่งช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า หมู่มิตรดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ช่วยให้เราคิดดีขึ้นได้จริงๆ
    ในขณะที่ความเข้าใจผิดต่างๆค่อยๆคลี่คลาย แต่ยังคงมีเรื่องนึงที่ “ไม่เข้าใจ” แม้กระทั้งในวันนี้คือ “ไม่เข้าใจท่านอาจารย์หมอเขียว” ท่านอาจารย์บรรยายได้ยังไง 2-3 ชั่วโมง บางครั้ง 4 ชั่วโมง แบบแรงไม่ตก อารมณ์เบิกบาน สีหน้าแจ่มใส น้ำเสียงกังวาลมีพลัง “ไม่เข้าใจสถาวะของท่านอาจารย์ หมอเขียว”
    “ภาษา” กับ “สภาวะ” ต่างกันอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้จะ “ไม่เข้าใจสภาวะของท่านอาจารย์หมอเขียว” แต่ก็ทราบดีว่าเป็นสิ่งที่เราต้องพากเพียรพยายามฝึกฝนตนเองเพื่อเข้าถึงสภาวะนั้นให้ได้

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  36. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    แค่นี้เอง
    เรื่อง แค่นี้เอง
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ ทุกข์หายฉับพลัน/ศีล/ปมด้อย/กิเลส/คนแก่นิสัยเด็ก
    ชีวิตในวัยเด็กที่มีปมด้อยเพราะต้องการความอบอุ่นใจจากพ่อแม่ (อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมจากเรื่อง “ขาดเธอไม่ได้”) ซึ่งต้องใช้เวลาเปลี่ยนตัวเองกว่าสิบปี กระทั่งสามารถทำได้สำเร็จเปลี่ยนจากคนแถวหลังมาเป็นคนแถวหน้า และหลงคิดว่าสามารถเอาชนะมันได้แล้ว แต่ในที่สุดก็พบว่ากิเลสตัวนี้กำลังโตขึ้นอีกครั้งเมื่อเข้ามาเรียนกับสถาบันวิชชาราม
    เดือนตุลาคม 2564 ได้เริ่มต้นเข้ามาเรียนกับสถาบันวิชชาราม ทุกอย่างในชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจิตใจ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งระลึกรู้ได้เลยว่า “นี่คือศาตาร์ที่ทุกชีวิตต้องเรียนรู้และพากเพียรลงมือทำ” สังคมสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบของที่นี้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมเพื่อการเจริญในธรรม การได้อยู่กับหมู่มิตรดี เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อ่านอาการกิเลสและสามารถกำจัดมันได้ตามลำดับ พร้อมทั้งการปฎิบัติอริยศีลตามฐานจิตได้ดีอีกด้วย
    แต่แล้วก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อ กิเลสที่เคยเชื่อว่าหมดไปแล้วกลับโตขึ้น เมื่อได้พบกับ ดร.E (นามสมมุติ) ผ่านทาง Zoom ในครั้งแรกที่เห็นท่าน เกิดความรู้สึกเพ่งโทษ แต่ภายใน 2-3 นาที หลังจากฟังท่านพูดก็รู้ว่ามองท่านผิดไป จึงต้องขอโทษขออโหสิกรรม จากนั้นมาก็เคารพและเชื่อฟังท่านมาตลอด
    กระทั่งในวันที่ 30 มกราคม 2565 หลังจากการทบทวนใจตัวเอง ด้วยความรู้ที่เรียนมาจากท่านอาจารย์หมอเขียว และสถาบันวิชชาราม ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า “ปมด้อยในวัยเด็ก” กำลังกลับมาโตอีกครั้ง ความรู้สึกอยากได้ความอบอุ่นใจจากพ่อแม่กลับมาอีกครั้งโดยในครั้งนี้เป็นการอยากได้สิ่งนี้จาก ดร.E เมื่อใดก็ตามที่ได้เจอกับท่าน จะรู้สึกอบอุ่นใจและมั่นใจ ถือเป็นความโชคดีที่ได้เห็นอาการในตอนนี้ หากปล่อยต่อไปกิเลสจะออกฤทธิ์จนสู้มันไม่ไหวก็อาจเป็นได้
    เมื่อพบแล้วว่า กิเลสกำลังโตขึ้น ก็ตั้งใจกำจัด แต่ก็ทำใจไว้ด้วยว่าต้องใช้เวลานานแน่นอน เพราะกว่าจะเอาชนะมันได้ในครั้งแรกต้องใช้เวลากว่าสิบปี ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2565 เป็นต้นมาก็สู้กับมันมาตลอดโดยได้เอาวิชาจากตำราฝรั่งที่เคยใช้ได้ผลกลับมาใช้ในครั้งนี้ด้วย แต่ผลการต่อสู้ส่วนใหญ่จะแพ้มัน
    จนในที่สุดกิเลสตัวนี้ก็ถูกทำให้หมดฤทธิ์ลงทันทีด้วยประโยคสั้นๆของท่านอาจารย์หมอเขียว โดยในเช้ามืดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 จากการฟัง You Tube ท่านอาจารย์บรรยายว่า “อานิสงส์ของการปฎิบัติศีล 5 คือ องอาจ ไม่เก้อเขิน” ได้ฟังประโยคนี้เหมือนถูกดึงสติกลับมา อุทานในใจว่า “จริงด้วย” ท่านอาจารย์สอนมาตลอดว่า ถ้าเรารักษาศีลดีๆ เราจะได้ “ใจไร้ทุกข์ ใจดีงาม แกร่วกล้า อาจหาญ เบิกบาน แจ่มใส ไร้กังวล” ทำให้รู้สึกโล่งใจทันที แค่นี้เอง!!! สิ่งที่ต้องทำก็แค่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริง สิ่งที่เคยหลงว่าเป็นทุกข์หนักเหลือเกินในชีวิต ได้ถูกทำให้หมดฤทธิ์ลงทันทีด้วยประโยคสั้นๆ แค่นี้เอง!!!
    สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ
    1.หยุดสนใจไฟไหม้หัว ไฟไหม้ผ้า แล้วมาพากเพียรปฎิบัติศีล 5 ให้บริสุทธิ์ จะช่วยทะลายทุกข์ทั้งแนวลงได้
    2.การได้รับคำแนะนำและได้ทบทวนคำพูดจาก คุรุ G (นามสมมุติ) ช่วยเรียกสติได้ดีมาก ด้วยประโยคที่ว่า “เรื่องเล็ก แต่สำหรับเด็กคงเจ็บมาก” การเก็บความเจ็บปวดไว้แม้ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม เปรียบเหมือเราคือ “คนแก่นิสัยเด็ก” ไม่ต่างจากช้างใหญ่ที่ไม่กล้าดึงโซ่เล็กๆที่ล่ามขามาตั้งแต่เล็ก แม้ว่าจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายแล้วก็ตาม
    3.การเชื่อกิเลสจะยิ่งทำให้เราหลงผิด คิดโง่อยู่ตลอด และเป็นความโง่แบบพิเศษด้วย โดยในขณะที่คุรุG แนะนำสิ่งดีๆอยู่นั้น แทนที่จะเชื่อและเห็นด้วยกับคำพูดท่าน แต่กลับโต้กลับไปว่า “มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ตอนนี้มันมีฤทธิ์มากและตอนนี้กำลังถูกมันควบคุมอยู่ การเอาชนะมันยากมาก” อธิบายเหตุผลยืดยาว โดยไม่ฉุกคิดเลยว่า คุรุG ช่วยให้ทุกข์เล็กลง ช่วยลดขนาดปัญหาใหญ่ให้เล็กลง ท่านพูดถูกทุกอย่าง แต่ด้วยความโง่ กลับไปเถียงท่านแล้วไปเข้าข้างกิเลสแทน (โง่ของแท้จริงเลยเรา)
    4.เส้นทางสู่การพ้นทุกข์เป็นการเดินทางไกล และเราต้องเดินไปด้วยตัวเอง การมีครูบาร์อาจารย์และหมู่มิตรดีคอยชี้แนะ จะช่วยให้เราไม่หลงเดินทางผิด และที่สำคัญก็เป็นการเพิ่มกำลังใจในการเดินทางบนเส้นทางนี้อย่างไม่ย่อท้ออีกด้วย
    5.ทุกสิ่งที่เกิดในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตามล้วนเป็นสิ่งดีที่สุดในเวลานั้นๆแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีปัญญาพิจารณาเพื่อเอาประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด จากการทบทวนก็ต้องขอขอบคุณพี่น้องจากสวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราชทุกท่าน ที่ให้โอกาสได้บำเพ็ญบุญฟังคลิปท่านอาจารย์หมอเขียว ซึ่งหัวข้อบรรยายตรงกับทุกข์ที่เผชิญอยู่พอดี
    ขอบคุณ ดร.E ที่มากระแทกกิเลสให้เห็นและจะได้กำจัดให้สิ้นเกลี้ยงต่อไป และในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ท่านได้เปิดกล้องตอนเข้า Zoom ตลอดระยะเวลาการประชุมอปริหานิยธรรม ทำให้มีโอกาสได้สำรวจความรู้สึกและพบว่า ความรู้สึกใกล้เคียงแบบเดิมมาก แต่มีความต่างเล็กน้อย จึงพิจารณาให้ลึกลง เป็นความรู้สึกดีใจที่ได้พบท่าน แล้วก็ถามตัวเองว่าดีใจแบบไหน และนี่คือความแตกต่างที่ได้พบ ความรู้สึกเดิมจะดีใจแบบฟูๆ กลวงๆ มีความกลัวเจือปน เป็นอารมณ์เหมือนเด็กที่เห็นแม่แล้วอยากวิ่งเข้าไปหา อยากให้แม่กอด แล้วทุกอย่างจะเริ่มพร่างพรูออกมา ทั้งคำพูด น้ำตา ร่างกายจะอ่อนแรง พฤติกรรมที่แสดงออกทุกอย่างเป็นสิ่งที่บอกว่า “หนูกำลังอ่อนแอแม่ช่วยปกป้องหนูหน่อย” ซึ่งต่างกับความดีใจในครั้งนี้คือ เป็นความรู้สึกลักษณะเดียวกับการได้เจอท่านอาจารย์หมอเขียว ไม่ต้องวิ่งเข้าไปหา มีความนิ่งสงบ ท่านอยู่ตรงนั้น เราอยู่ตรงนี้ และการอยู่ตรงนี้อย่างเข้มแข็งได้เป็นผลมาจากการช่วยสอนช่วยฝึกจากท่าน”
    ขอบคุณพี่ H (นามสมมุติ) ที่รายงานการส่งการบ้านนักศึกษาสถาบันวิชชารามในที่ประชุมอปริหานิยธรรม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งช่วยย้ำเรื่องการสู้กิเลสเรื่องนี้อีกครั้ง
    ขอบคุณทุกๆท่านในห้องประชุมอปริหานิยธรรมในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ทุกท่าน ที่ชวนกันพูดคุยยาวนาน ทำให้ได้มีเวลาอ่านใจตัวเองพอสมควร
    6.เมื่อเราสามารถลดหรือกำจัดกิเลสได้ ก็ไม่ต้องเสียพลังไปกับการดีใจมาก เนื่องจากกิเลสมาเป็นคณะ มาทีละหลายๆตัว ต้องใช้พลังในการพากเพียรกำจัดกิเลสตัวอื่นๆต่อไป ฉะนันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาระดับพลังไว้ให้ดี
    7.ต้องใช้ผัสสะมากระทบจึงจะแน่ใจได้ว่ากิเลสโตแค่ไหน และจากเรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาต่อไปอีกหลายๆครั้งว่า กิเลสสิ้นเกลี้ยงหรือยัง
    8.พากเพียรกำจัดกิเลสให้สิ้นเกลี้ยง มันจะได้ไม่เวียนกลับมารบกวนเราอีก
    9.หมั่นทบทวนธรรมเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะธรรมะที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ จะช่วยเตือนสติและเพิ่มพลังในการกำจัดกิเลสได้ในเวลาที่เหมาะสม

    เขียนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 37 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  37. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    ผีอยู่ใน
    เรื่อง ผีอยู่ใน
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ ศีล/งดเนื้อสัตว์/อาสวะ
    เมื่อใดก็ตามที่เราคิดจะไม่สนองกิเลส เราจะได้เห็นการดิ้นทุรนทุราย และทำทุกอย่างให้เราหยุดความคิดนั้น แล้วกลับไปสนองกิเลสเหมือนเดิม
    “กินจนกราบพระไม่ลง” เป็นประโยคที่ท่านอาจารย์หมอเขียวย้ำเตือนสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ แต่เมื่อเราตั้งศีลกินมื้อเดียว ลดเนื้อสัตว์ สิ่งที่เราต้องต่อสู้อย่างมากคือ “กินมาก” ซึ่งมากกว่าที่เคยกินปกติ มากจนน่าตกใจ มากจนหมดตู้เย็น มากจนไม่รู้จักอิ่ม มากจนงงว่ากินเข้าไปได้ยังไง ภาษาใต้เรียกอาการนี้ว่า กินเหมือน “ผีอยู่ใน”
    ในช่วงแรกที่ทานอาหาร พืช จืด สบาย และทานมื้อเดียว ทำทุกอย่างตามที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอนด้วยความตั้งใจ แต่ส่วนใหญ่จะศีลแตกและกินขนมเยอะมาก ซึ่งท่านอาจารย์เมตตาได้สอนว่า เป็นการทำเกินฐานจิตของเรา ให้ค่อยๆปรับฐานไปอย่าใจร้อน เวลากิเลสไม่ได้ตามต้องการมันจะไปอยากตัวอื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะกินขนมมากจนหยุดตัวเองไม่ได้
    ดังนั้นจึงปรับศีลใหม่เป็น “ประมาณการกระทำทุกอย่างให้พอเหมาะ”ศีลข้อนี้ช่วยได้เยอะมากเพราะในแต่ละช่วงเวลาจิตเราไม่คงที่ จึงต้องปรับไปตามสถานการณ์ เมื่อเปลี่ยนจากทานมื้อเดียวเป็นทาน 2 มื้อบ้าง 3 มื้อบ้าง ทานอาหารปรุงบ้าง ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น เมื่อเริ่มทำได้ดีก็ค่อยๆลดมื้อลง และปรุงน้อยลง การทำเช่นนี้ช่วยให้ปฎิบัติธรรมได้ก้าวหน้ามากขึ้น
    เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง สติ และพลังจะดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ปัญญาดีขึ้นด้วย เมื่อถึงขั้นนี้ก็สามารถอ่านอาการกิเลสได้ดีขึ้น จับอาการได้เร็ว และกำจัดมันได้ทันกาล จึงได้พิจารณาว่า ทำไมถึงได้กินเหมือน “ผีอยู่ใน” และโชคดีที่หามันเจอ
    กิเลสตัวนี้มันมาตอนเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวเป็นความอยาก “ลงทุนน้อย ได้กำไรสูง” ความอยากนี้ดึงดูดคนที่อยากหลายๆคนเข้ามาสู่ชีวิต กล่าวคือ ตัวเราอยากได้กำไร ก็ได้ไปเจอกับคนที่อยากได้ผลงานที่มาในนามผู้เชียวชาญ ซึ่งคิดว่าเป็นโอกาสกอบโกย เอาอะไรได้เอาหมดแบบ “ผีอยู่ใน” อยากได้จนไม่รู้ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไรกันแน่ ยิ่งไขว่คว้าก็เริ่มรู้สึกไม่มีความสุข เหนื่อยที่ต้องทำตามกิเลส แต่ไม่รู้ทางออก ขณะนั้นคิดแค่ว่า เป็นหนทางสู่ความก้าวหน้าของชีวิตแล้ว
    โง่พิเศษจริงๆ!!!
    การทำธุรกิจยังก่อกิเลส อีกตัวที่สร้างความทุกข์และทรมานในการเลิกขนมหวานคือ สินค้าที่ขายนั้นเป็นรสชาติที่คิดขึ้นมาเฉพาะ ทำให้คนอยากกินต่อเนื่อง การทำให้คนอื่นกินเกิน เราเองก็หยุดการกินเกินไม่ได้เช่นกัน
    นอกจากนี้ยังมีกิเลสที่ไม่เห็นความผิดปกติเลยคือ ความอยากให้ธุรกิจเจริญเติบโต จึงต้องทำทุกอย่างให้ยอดขายมากๆ ทำทุกอย่างให้คนอยากซื้อ สุดท้ายคนที่ซื้อของออนไลน์มาตลอดและซื้อโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์คือตัวเราเอง
    ทุกอย่างมีเหตุ และเหตุนั้นอาจไม่ตรงไปตรงมาเสมอไป การมีปัญญาจะช่วยให้เราพิจารณาได้ว่า เป็นเพราะกิเลสตัวใด หากเราไม่พบกิเลสที่แท้จริง เราจะไม่สามารถกำจัดได้ถูกตัว และมันจะไม่สิ้นซาก เราจะไม่หายขาดจากความทุกข์ทรมานนั้นได้เลย

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  38. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    นางเวยังไม่ตาย
    เรื่อง นางเวยังไม่ตาย
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ ความเชื่อ/ใช้กรรม/ทุกข์หายฉับพลัน
    “ไม่มีใครอยากทุกข์อยากพร่อง ทุกชีวิตอยากสุข อยากฉลาด แต่เพราะหลงเดินทางผิด น่าสงสาร เราจะโกรธเขาได้ไง” ท่านอาจารย์หมอเขียวคอยย้ำเตือนประโยคนี้บ่อยๆ ซึ่งช่วยคลายคำถามในใจที่เคยสงสัยว่า ท่านอาจารย์เบิกบานตลอดเวลาได้ยังไง ในเมื่อต้องอยู่กับความเครียดตลอดเวลา ยิ่งได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์มากขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และประโยคเด็ดของท่านอาจารย์ที่จำขึ้นใจคือ “ถ้าอาจารย์ทำใจไม่เป็นอาจารย์บ้านะเนี่ย !!!”
    ดูท่านอาจารย์ทำใจง่ายมาก ทำได้แบบสบายๆ จนกระทั่งได้เจอกับผัสสะอย่างหนึ่งจึงได้รู้อย่างลึกซึ้งว่า “เราต้องพากเพียรต่อไปเรื่อยๆ กว่าจะทำได้แบบสบายๆ อย่างท่านอาจารย์” ซึ่งผัสสะนั้นมาจาก ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถร้องขอสิ่งที่ต้องการเพื่อให้พ้นทุกข์ได้ ปฎิบัติธรรมด้วยพิธีกรรมและทานอาหารเจแบบปรุง ยังคงทาน ขนม น้ำอัดลม ไอศครีม และยังคงท่องเที่ยวในโอกาสต่างๆ ตามปกติ ซึ่งสาวต้องเป็นคนไปรับ-ส่ง โดยไม่เต็มใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดความรำคาญหนัก คิดฟุ้งซ่าน อาการกิเลสรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกำลังทำงานยุ่ง และอารมณ์ฉุนเฉียวแสดงความไม่พอใจทันที่เมื่อท่านบอกว่า “ไปส่งหน่อย”
    ท่านหน้าสลดลงทันทีเมื่อเห็นอาการไม่พอใจของสาว เมื่อกลับมาถึงบ้านท่านก็ซึม ไม่ค่อยพูด ไม่รู้ว่าท่านจะเสียใจแค่ไหน แต่ที่แน่ๆคือสาวก็ทุกข์เพราะกิเลสตัวนี้มากเช่นกัน คิดอยู่ตลอดว่า รำคาญ ปฎิบัติธรรมอะไรไม่เห็นจะเป็นคนดีขึ้นมาเลย ความรุนแรงของกิเลสทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน และคิดว่า อยากถามท่านอาจารย์หมอเขียวว่า สิ่งที่ญาติท่านนี้เชื่อเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทั้งยังคิดต่อว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี ควรจะถามตอนไหนจึงจะเหมาะสม ยิ่งคิดมากก็เริ่มหิว เดินไปตักข้าวมากิน 2 จาน (มื้อที่ 2 ผิดศีลเรื่องทานมื้อดียว) ต่อด้วยทานขนมอีกเยอะมาก สุดท้ายหมดพลัง ง่วงนอน ต้องนอนกลางวันเกือบ 3 ชั่วโมง พลังกิเลสฤทธิ์เดชมันมากจริงๆ นอกจากจะทำงานไม่เสร็จแล้ว ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น จมอยู่กับความทุกข์เช่นเดิม
    เดชะบุญท่านอาจารย์หมอเขียวช่วยชีวิต ในเย็นวันนั้นท่านบรรยายเรื่อง “นางเวเทหิกา” ที่เปลี่ยนจากแม่หญิงเรียบร้อย กลายเป็นนางยักษ์นางมารเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ฟังท่านอาจารย์บรรยายก็ทุกข์หายทันที นี่เรามีนางเวอยู่ในตัว “นางเวยังไม่ตาย” เราถูกนางเวควบคุมมานานแล้ว
    เมื่อตั้งสติได้จึงใช้ปัญญาบอกกิเลสว่า “ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่า สิ่งที่ญาติท่านนี้เชื่อเป็นเรื่องจริงหรือไม่” เพราะต่อให้คำตอบคือ “ไม่จริง” สาวก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อท่านได้และต้องไปรับ-ส่ง ท่านอยู่ดี และถ้าท่านมีความเชื่อผิดๆเช่นนี้คือการชดใช้วิบากร้ายที่เคยทำมานั้นแสดงว่าสาวก็มีส่วนเกี่ยวข้องและต้องชดใช้เช่นกัน ดังนั้นยินดีรับวิบากจะดีกว่า
    ต้องขอบคุณญาติที่ทำให้ได้ล้างกิเลส กิเลสที่หลงเลี้ยงมันมาตลอด มันเป็นคนทรพี มันเป็นสัตว์นรก เลวที่สุด เมื่อมันไม่ได้ดั่งใจ จะออกฤทธิ์แรง เสียใจแรง ผิดหวังแรง รำคาญ สิ้นหวัง หดหู่ ห่อเหี่ยว ไม่มีพลัง ร่างกายอ่อนแรง ปัญญาดับ “กิเลสมันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้สมใจมัน แม้แต่จะทำให้เราตาย” สิ่งที่ต้องทำอย่างเดียวคือ เพียรรักษาศีล ลดกิเลส ปฎิบัติธรรมอย่างถูกต้องถูกตรง จะได้เป็นแบบอย่างให้คนอื่นๆได้เห็น และอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ การทานอาหารเจของญาติท่านนี้ถึงแม้จะเป็นอาหารเจแบบปรุงรสก็ตาม แต่ก็ช่วยให้การทานอาหาร พืช จืด สบาย ของสาวไม่มีแรงต้านจากคนอื่นๆ ในครอบครัวมากนัก
    นางเวของกิเลสตัวนี้ได้สงบลงอย่างฉับพลัน เพราะปัญญาพาพ้นทุกข์จากท่านอาจารย์หมอเขียว และจะต้องเตือนตัวเองไว้ตลอดว่า “อย่าประมาท” ตรวจดูดีๆเวลามีผัสสะมากระทบ “นางเวจะฟื้นคืนชีพ” อีกหรือไม่ และต้องดูในกิเลสตัวอื่นๆด้วย ยินดีในทุกสิ่งที่พบเจอ พากเพียรลดกิเลสให้เจริญในธรรม “ยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง”

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  39. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    เด็กดีของพ่อ
    เรื่อง เด็กดีของพ่อ
    หมวดหมู่ จิตใจ
    คำสำคัญ กินเหล้า/เที่ยว/ผิดศีล/โลกธรรม

    อานิสงส์อย่างหนึ่งของการมีฉันทะเขียน “พุทธะชนะทุกข์” คือ “อดีตที่ขมขื่นในชีวิตจะหมดไปแล้ว” และไม่ว่าอดีตจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายเราจะขอบคุณที่มันเกิดขึ้น เรื่องราวนี้เคยเป็นแผลเป็นในใจ กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง และเป็นเหตุผลให้หยุดทำชั่วได้หลายเรื่อง
    ในสายตาพ่อแม่ ลูกสาวคนนี้คือ “เด็กดี” เสมอ ช่วงวัยประถมจนถึงมัธยมใช้ชีวิตกับพ่อแม่เป็นเด็กดีเชื่อฟัง ถึงแม้ผลการเรียนจะไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นต้องเรียนซ้ำชั้น จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ความเป็นเด็กดีก็ทวีคูณขึ้นหลายเท่า เมื่อต้องไปอยู่หอพัก และสามารถรับผิดชอบตัวเองได้อย่างดี ผลการเรียนก็ดี แถมมีรายได้ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ด้วย
    ในขณะที่พ่อแม่สบายใจอยู่ที่บ้าน คงไม่เคยคาดคิดเลยว่า ลูกสาวกำลังฝึกทำเรื่องเลวอยู่ เมื่อเพื่อนๆชวนให้กินเบียร์ เพื่อนชวนก็กินตามเพื่อน โดยหลงดีใจว่า “ดีจังเราคอแข็ง กินเบียร์เท่าไหร่ก็ไม่เมา” ปัญญาดับไม่เห็นโทษภัย คิดแค่ว่า “กินเพื่อเข้าสังคม” โชคยังดีที่ไม่ได้หลงผิดกับสิ่งนี้ สามารถเรียนจบปริญญาตรีมาได้อย่างงดงาม
    เมื่อเริ่มทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช การกินอยู่เพื่อสังคมเพิ่มมากขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่กินเบียร์ ยังเพิ่มเหล้า และ เริ่มชอบเที่ยว อีกทั้งยังถูกกิเลสหลอกว่า “ภาพลักษณ์เราต้องดี แต่งตัวดีๆ ใช้ของดีๆ” เป็นช่วงชีวิตที่ดูดีแค่เปลือกนอก แต่ในใจทุกข์ ร้องหาความสุขจอมปลอมตลอดเวลา เงินไม่พอใช้ แถมเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ที่มีการนัดหมายกับเพื่อนๆว่า คืนนี้เราจะไปเที่ยวโรงเหล้าแห่งหนึ่งกัน ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เครื่องดื่มในคืนนั้นคือ “เหล้า” และกลับถึงบ้านเกือบตี 3 เข้านอนอย่างหมดแรงโดยไม่อาบน้ำ หลับสนิทเพราะความเพลียบวกกับฤทธิ์เหล้า จนกระทั่งเกือบหกโมงเช้ามีโทรศัพท์เข้ามาหลายสาย แต่ก็ตื่นมารับสายไม่ไหว สุดท้ายก็รวบรวมพลังรับได้ในประมาณสายที่สิบกว่า เสียงจากปลายสายพูดอย่างหมดแรง คำถามแรกคือ “ใส่บาตรเสร็จยัง” เป็นสายจากพ่อนั่นเอง จึงตอบพ่อไปว่า วันนี้ไม่ได้ใส่บาตรพ่อมีอะไรบ้าง พ่อบอกว่า “มารับพ่อไปโรงพยาบาลหน่อย พ่อหมดแรง เมื่อคืนท้องเสียทั้งคืน” พ่อท้องเสียในวันที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว !!!ได้ยินแค่นั้นก็ตาสว่าง ดีดตัวขึ้นจากที่นอน ล้างหน้า แปรงฟัน ไม่อาบน้ำ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบออกไปรับพ่อทันที คิดในใจตลอดทางที่ขับรถว่า “พ่อได้กลิ่นเหล้าจากตัวเราแน่นอน” ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด และต้องฝืนขับรถสู้กับความง่วง จนถึงโรงพยาบาล เมื่อจัดการเรื่องเข้ารักษาพยาบาลของพ่อเรียบร้อยแล้ว สาวก็หลับแบบหมดสภาพ แม้ในเวลาที่พยาบาลเข้ามาดูอาการของพ่อสาวก็ไม่รู้สึกตัว
    เมื่อตื่นขึ้นมาร่างกายเริ่มมีแรง หมดฤทธิ์เหล้า ก็ได้สติและคิดว่า “ต่อไปนี้เราจะเลิกกินเหล้า เลิกเบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ทุกชนิด” ครั้งนี้โชคดีที่พ่อไม่เป็นอะไรมาก ถ้าเกิดอะไรหนักกว่านี้ คงเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังต้องดูแลจิตใจพ่อด้วย เพราะในสายตาท่าน สาวคือ “เด็กดี” เสมอ
    ดูเหมือนเรื่องราวจะถึงจุดจบได้แล้ว แต่ด้วยผลบุญจากการมาเรียนกับท่านอาจารย์หมอเขียว ซึ่งสอนอยู่เสมอว่า “อย่าประมาท” พากเพียรล้างกิเลสให้สิ้นเกลี้ยง สาวเอากิเลสมาพิจารณาใหม่ กล่าวคือ เหตุผลในการเลิกกินเหล้าคือ “ไม่อยากให้พ่อเสียใจ กลัวพ่อเป็นอะไรไป” แล้วถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆจะเป็นอย่างไรละ? ถ้าพ่อไม่อยู่กับสาวแล้ว ก็มีโอกาสที่กิเลสตัวนี้จะกลับมาโตได้อีก หนทางที่จะทำให้กิเลสสิ้นเกลี้ยง คือการพิจารณาใหม่ว่า “การกินเหล้าผิดศีลข้อ 5 การท่องเที่ยวเป็นอบายมุขผิดศีลข้อ 1” เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้กิเลสโตขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ต้องใส่ใจในการปฎิบัติศีลให้ดีอย่าประมาทให้กิเลสลากลงต่ำ เมื่อทำให้ดีขึ้นตามลำดับก็จะเป็น “เด็กดีของพ่อ” อย่างแท้จริง และตลอดกาล

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  40. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    โชคดีจัง
    เรื่อง โชคดีจัง
    หมวด การงานอาชีพ
    คำสำคัญ รูปร่าง/สุขภาพ/รายได้/มิจฉาอาชีวะ

    “อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว จงกระจายความเสี่ยง” เป็นแนวคิดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นทำงานก็ถูกสอนต่อว่า “อย่ามีรายได้ทางเดียว” จึงต้องดิ้นรนหารายได้ให้เป็นไปตามแนวคิดที่เรียนมา ตามทฤษฎีถ้าทำตามนี้ชีวิตเราต้องค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม ยิ่งไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการยิ่งห่างออกไป ความโลภยิ่งมาก ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ กล้าทำตามสิ่งที่กิเลสสั่งสอนจนกลายเป็นหนี้ก้อนโต สุขภาพถดถอย ความสัมพันธ์ย่ำแย่ แก้ปัญหาหนึ่งอย่างก็ไปเพิ่มปัญหาให้ส่วนอื่นๆอีกไม่รู้จบ
    นับว่ายัง “โชคดี” ที่เกิดความเห็นที่ถูกตรงเรื่องหนึ่งคือ “เราต้องหยุดใช้ชีวิตดิ้นรนในเมือง แล้วกลับมาพัฒนาบ้านเกิด สร้างอาชีพ สร้างรายได้ อยู่กับพ่อแม่แทนการทิ้งท่านทั้งสองให้เผชิญชีวิตกันเอง สาวจะได้ดูแลท่านด้วย” เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ดำเนินการทันที ช่วงแรกที่เริ่มสร้างธุรกิจร่วมกับการทำงานประจำในตัวเมืองไปด้วย เป็นช่วงที่หนักหนาในชีวิต เช้าต้องทำงานในเมือง เย็นขับรถกลับมาบ้านที่อำเภอเชียรใหญ่ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ทำงานของตัวเองต่อถึงเช้า รีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถกลับเข้าเมืองโดยไม่ได้นอนแม้แต่น้อย เย็นขับรถกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลีย ต้องสู้กับความง่วง ขับรถหลับในหลายครั้ง แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นเลย “โชคดี” ที่รู้สึกตัวและดึงพวงมาลัยกลับได้ทุกครั้ง ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รอดมาได้ นึกย้อนไปแล้วรู้ซึ้งถึงความประมาทของตัวเองจริงๆ
    ก่อนที่ธุรกิจของสาวจะเข้าที่เข้าทาง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ “โรคร้ายยกทีมมาพร้อมกัน” เป็นผลมาจากการใช้ร่างกายอย่างหนัก พักผ่อนน้อย การกินข้าวกินน้ำคือเรื่องเสียเวลา นอนให้น้อย ทำงานให้มาก สภาพในตอนนั้นเหมือนซากศพเดินได้ แทนที่จะทำงานได้เต็มที่กลับต้องเสียเวลาไปรักษาตัว ถึงกระนั้นก็ยังนับว่า “โชคดี” ที่เลือกรักษากับแพทย์ทางเลือกแทนแพทย์แผนปัจจุบัน โรคต่างๆจึงค่อยๆ หายไปตามลำดับ ถึงแม้ว่าจะทรมานและใช้เวลานานก็ตาม
    สุขภาพค่อยๆดีขึ้นพร้อมกับธุรกิจที่ก้าวหน้าตามลำดับ ในที่สุดสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นจริง สามารถย้ายกลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ ทำธุรกิจที่บ้านได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สัมมาอาชีวะเพราะยังเป็นการแปรรูปเนื้อไก่ก็ต้องถือว่า “โชคดี” ที่ได้อาศัยในช่วงที่พากเพียรเรียนรู้ปฎิบัติธรรมตามท่านอาจารย์หมอเขียว และตอนนี้คิดแค่ทำเพื่อให้พอเลี้ยงชีพได้ ไม่หวังขยายให้ใหญ่โตเหมือเมื่อก่อนอีกแล้ว และเริ่มหาหนทางเปลี่ยนให้เป็นสัมมาอาชีวะต่อไป
    อีกความ “โชคดี” ที่ได้พบคือ ก่อนหน้านี้ได้เห็นโฆษณางานออนไลน์ขึ้นมาในโทรศัพท์ และได้สมัครร่วมงานเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้เพิ่มขึ้น “โชคดี” ที่ได้พบสังคมดีๆ คิดดี พูดดี ทำดี ใช้ความรู้ความสามาถเพื่อช่วยให้คนอื่นๆมีอาชีพ โดยลงทุนน้อยที่สุด เป็นที่มาของการเปิดคอร์สดูแลสุขภาพและรูปร่างผ่านออนไลน์ มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างมาก ลูกค้ายอมจ่ายแม้ค่าอาหารเสริมและค่าเข้าคอร์สจะแพงก็ตาม ซึ่งในขณะที่ทำคอร์สฯ สุขภาพของสาวเองก็ดีขึ้นอย่างมากด้วย ช่วงต่อมามีคนสนใจเข้าคอร์สจำนวนมากขึ้น วิธีเดิมที่เคยใช้เริ่มใช้ไม่ได้ผลกับหลายๆคน แม้ว่าเขาจะยอมจ่ายเงินซื้ออาหารเสริมยกชุดที่แพงหลายหมื่นจนถึงหลักแสนก็ตาม
    เมื่อพบปัญหานี้มากขึ้นก็จำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อจะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ โดยเรียนรู้จากออนไลน์เป็นหลัก และหาหนังสือมาอ่านเสริมด้วย ไม่ว่าจะเรียนจากผู้รู้ท่านใดก็จะลองทำตามทั้งหมด โดยทดลองกับตัวเองก่อน จึงค่อยบอกให้ลูกค้าทำตาม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวิธีใดแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนจริงๆเลย
    จนถึงวันหนึ่งก็ “โชคดี” ที่มี You Tube ช่อง “หมอเขียวทีวี” ขึ้นมาในโทรศัพท์ ในเดือนเมษายน 2564 ได้ศึกษาเรียนรู้อยู่หลายคลิปจนในที่สุดก็ลองทำตาม โดยการลองทานอาหารสูตร “นิพพาน” ได้พบของจริงแล้ว !!! สูตรง่ายๆ แก้ได้ทุกโรค แถมประหยัดสุดๆ ราคาศูนย์บาทด้วย จึงศึกษาจริงจังมากขึ้น และตัดสินใจสมัครเข้าเรียนกับสถาบันวิชชาราม ของท่านอาจารย์หมอเขียว ในเดือนตุลาคม 2564
    “โชคดี” มากที่ได้เรียนรู้ลึกซึ้งถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า อาชีพที่ทำอยู่ที่เคยคิดว่าดี ไม่เบียดเบียนใคร แท้จริงแล้วเรากำลังทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่นมาตลอด ธุรกิจแปรรูปไก่ที่ถึงแม้จะไม่ได้เชือดเอง แต่ก็เบียดเบียนชีวิตสัตว์ การปรุงรสให้อร่อยทำให้คนอื่นติดในรสชาติ ทำให้เขาบริโภคเกินความพอดี สิ่งนี้ก็บาปมาก ส่วนในการทำคอร์สสุขภาพและรูปร่างนั้น ก็หลงคิดว่าเป็นการช่วยให้คนอื่นสุขภาพดีขึ้น แต่แท้จริงแล้ว เป็นการทำให้กิเลสของทุกคนโตขึ้นรวมทั้งกิเลสของสาวเองด้วย ทุกคนที่เข้ามาล้วนมาจากแรงเหนี่ยวนำที่เห็นการมีรูปร่างดีเป็นส่วนใหญ่ และต้องการช่วยเหลือตัวเองน้อยที่สุด ต้องการใช้ชีวิตแบบเดิม อยากกินของอร่อยแบบเดิม อยากทำน้อยๆ ได้ผลเร็วๆ โดยสรุปคือ กิเลสทุกอย่างที่เคยเสพมาก็ต้องคงไว้ แถมเพิ่มกิเลสตัวใหม่อันเกิดจากตัวสาวเป็นแรงเหนี่ยวนำเข้าไปด้วยสาวไม่ได้ทำบุญแต่กำลังก่อบาปมหาศาล
    เมื่อเริ่มนำความรู้และการใช้ชีวิตแบบแพทย์วิถีธรรมไปแบ่งปันในคอร์สฯ โดยเน้นว่าหากเราปฎิบัติตัวดีก็อาจไม่ต้องจ่ายเงินซื้ออาหารเสริมก็ได้ ซึ่งก่อนที่จะกล้าพูดแบบนี้ก็ได้ประเมินตัวเองแล้วว่า ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก ข้อเสียของการพูดเช่นนี้จะทำให้รายได้จากการจัดคอร์สฯน้อยลง เมื่อความคิดเห็นเริ่มไม่ตรงกับทีมงาน จึงค่อยๆลดบทบาทของตัวเองลงเรื่อยๆ และ ในขณะนี้ก็จบบทบาทของตัวเองลงอย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าที่เป็นลักษณะโชว์รูปร่างและกล้ามเนื้อก็เก็บใส่ลังทั้งหมด อาหารเสริมที่หยุดทานตั้งแต่สามารถทานอาหารพืช จืด สบาย และทานมื้อเดียวได้ ยังมีเหลือพอสมควรก็จัดการส่งต่อให้คนอื่นที่ยังต้องอาสัยสิ่งนี้อยู่ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ช่วยให้รู้สึกดี โล่งโปร่งสบายเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการทำคอร์สฯช่วยให้ “โชคดี” ที่ภาพลักษณ์ของสาวในสายตาคนอื่นๆ คือคนรักสุขภาพ เวลาสื่อสารการใช้ชีวิตแบบแพทย์วิถีธรรมจึงมีการตอบรับที่ดีเสมอ
    อีกหนึ่งความ “โชคดี” คือ มีพี่เลี้ยงช่วยเตือนสติ และทำให้คิดได้ว่า “สาวไม่ควรเอาความรู้แพทย์วิถีธรรมที่สูงส่งไปประกอบมิชฉาอาชีวะ” ได้หยุดความชั่วก่อนที่จะแก้ยากกว่านี้ และระลึกไว้เสมอว่า “ถ้าไม่สามารถบริหารชีวิตตัวเอง และไม่สามารถช่วยให้คนอื่นลดกิเลสได้ ก็จะมีแต่ความเสื่อม ความสัมพันธ์ก็จะจืดจางลงไปเรื่อยๆ”
    “โชคดีจังที่ได้เจอสัตบุรุษแท้” สาธุ สาธุ สาธุ

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  41. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    นักโทษประหาร
    เรื่อง นักโทษประหาร
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ อวดดี/มานะ/สังโยชน์10/เพ่งโทษ

    ตามความรู้ในตำราฝรั่ง วิธีการเอาชนะ ความกลัว ความประหม่า ความไม่มั่นใจ เวลาที่ต้องคุยกับคนอื่น โดยฉพาะกับคนที่เรารู้สึกว่าเขาสูงกว่าเรา เก่งกว่า รวยกว่า ดีกว่าเราทุกด้าน วิธีการเอาชนะความกลัวนี้คือให้คิดว่า “เขาคือคนสำคัญ และเราก็คือคนสำคัญ คนสำคัญ 2 คนกำลังคุยเรื่องสำคัญกัน” สาวเคยใช้วิธีการนี้มาก่อนและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ความกลัวกังวลหายไป แต่ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยเลยว่า ยังคงเหลือเศษซาก “กิเลส” อยู่ ซึ่งพร้อมจะเติบโตแล้วกลับมามีอำนาจเหนือเราอีกครั้ง และภัยที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งจากการไม่ได้ล้างกิเลสที่ต้นตอคือ ด้วยวิธีนี้หากเราประมาณการกระทำไม่พอดี เราจะกลายเป็นคนอวดดี อวดเก่ง ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
    เมื่อเข้ามาเรียนกับแพทย์วิถีธรรม กิเลสตัวอวดดีและชอบดูถูกคนอื่นเข้ามาก่อกวนอยู่ตลอด แต่เนื่องจากสังคมนี่คือ ที่รวมของคนดีและคนเก่ง คนดีมีศีลลดกิเลสได้จริง สาวมีความประทับใจจิตอาสาท่านหนึ่ง ที่มีความเก่งแต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกครั้งที่กิเลสตัวนี้จะควบคุมสาวก็จะระลึกถึงพี่ท่านนี้ทันที
    ทุกครั้งที่เห็นใครทำอะไรไม่ได้เรื่อง เรียนรู้ช้า พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่เก่ง ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ สิ่งที่สาวจะมอบให้กับคนนี้คือ “นักโทษประหาร” เขาจะถูกตัดสินผิดทุกเรื่อง อย่างไม่มีวันให้อภัยได้ ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเขาทั้งเป็น โดยจะไม่สนใจใยดี ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่แนะนำใดๆ แม้จะมีโอกาสช่วยเขาได้ ปิดกั้นทุกโอกาสของเขาเท่าที่ทำได้ เย็นชาทำทุกอย่างเหมือนไม่มีเขาอยู่บนโลกนี้แล้ว การทำอย่างนี้กับคนที่ต่ำกว่าเราด้วยความโง่เขลา หารู้ไม่ว่าผลกรรมเกิดขึ้นทันที เมื่อต้องไปเจอคนที่สูงกว่าเรา สาวก็ถูกปฎิบัติลักษณะนี้และยิ่งหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ที่เคยใช้ได้ผลกลับล้มเหลว โดยเฉพาะงานที่สำคัญมากๆ ปัญญาที่ดับทำให้มองไม่เห็นว่า ในขณะที่เราทำไม่ดีกับคนที่ต่ำกว่า สีหน้า แววตา ท่าทาง พฤติกรรม น้ำเสียง การแสดงออกทุกอย่างล้วนสื่อสารให้คนอื่นๆรับรู้ในพลังอำมหิตนั้น ไม่มีใครยกย่องให้เกียรติคนชั่วช้าเช่นนี้หรอก
    ธรรมะพาพ้นทุกข์จากท่านอาจารย์หมอเขียว ช่วยเตือนสติให้ระลึกรู้ไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่สาวกำลังรู้สึกว่า อยากเด่น อยากดี มีความหยิ่งผยอง ยโส โอหัง กร่าง อวดเก่ง ต้องการเป็นจุดเด่น ต้องการคำยกยอ ต้องการศักดิ์ศรี ต้องการเป็นคนสำคัญ ต้องการความเป็นใหญ่เป็นโต ท่านอาจารย์หมอเขียวสอนว่าสิ่งเหล่านี้คือ “มานะ” ความถือดี เป็นชั้นที่ 7 จากทั้งหมด 10 ชั้น ของสังโยชน์ 10 ที่เราต้องพากเพียรล้างออกให้ได้ เมื่อล้างได้สำเร็จ จิตใจเราจะไร้ทุกข์ ใจดีงาม อิ่มเอิบ เบิกบาน แจ่มใสไร้กังวล
    เมื่อใดก็ตามที่ถูกกิเลสสั่งให้เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น แล้วการเปรียบเทียบนั้นเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่ำต้อยกว่าเขา หรือความรู้สึกอยากได้ดีกว่าเขา จงขอบคุณเขาคนนั้นให้มากๆ เพราะเขามาทำให้รู้ว่า เรายังมีกิเลสเหตุแห่งทุกข์ใจ จะได้ล้างมันให้สิ้นเกลี้ยง แล้วจะไม่มีวิบากร้ายจากเรื่องนี้อีกเลย

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  42. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    แม่หมอขอทำนาย
    เรื่อง แม่หมอขอทำนาย
    หมวด จิตใจ
    คำสำคัญ หมอดู/ความเชื่อ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์/เจ้ากรรมนายเวร/บททบทวนธรรม

    เหตุเกิดในเย็นวันหนึ่ง ณ สำนักแห่งหนึ่ง
    แม่หมอ : เกิดวันอะไรลูก?
    สาว : เกิดวันพุธคะ
    แม่หมอ : วันพุธกลางวันหรือกลางคืน?
    สาว : กลางคืนคะ
    แม่หมอ : โอ้!!! วันพุธกลางคืนอยู่ในราหูนะลูก
    ตอนนี้มีเคราะห์ด้วย ให้ไปสะเดาะเคราะห์
    เตรียม ดอกไม้ ธูปเทียน และของตามนี้นะ…
    สาว : ……………………………!?
    ทำไม ทำไม ทำไม? ดูดวงกี่ครั้งไม่เคยโชคดีเลยสักครั้งเดียว โถ! ชีวิต
    ช่วงหนึ่งของชีวิตเคยมี “หมอดู” เป็นที่พึ่งสำคัญ เมื่อใดก็ตามที่เกิดทุกข์ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา (ซึ่งความทุกข์จะมีอยู่ตลอด) ก็จะทำทุกอย่างตามที่หมอดูบอก ต้องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ต่อชีวิตจะได้พ้นจากเจ้ากรรมนายเวร ห้ามเดินทางเวลาไหน ห้ามจ่ายเงินวันไหน แต่ละวันต้องใส่เสื้อสีอะไร ใช้เบอร์มงคล การงาน การเงิน และชีวิตจะได้รุ่งเรือง
    แรงศรัทธาจะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อคำทำนายเป็นจริง ถึงแม้จะเป็นจริงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม ซึ่งตรงข้ามกับความมั่นใจในตัวเองที่เริ่มดิ่งหัวลงเรื่อยๆ โดยเชื่อมั่นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มาจากบุญวาสนา และทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องพากเพียร สิ่งที่จะต้องทำมีอย่างเดียวคือ นั่งรอคอยให้วาสนามาถึง หลังจากนั้น โชค ลาภ วาสนา ก็จะหล่นใส่หัวกบาลเราเอง
    โง่พิเศษ สุดๆ จริงๆ
    ชีวิตที่ถูกความเชื่อผิดๆเหล่านี้ครอบงำอย่างดิ้นไม่หลุด เดชะบุญที่มีเทวดามาโปรด ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ให้ออกไปจากชีวิต ช่วยให้อยู่ได้อย่างผาสุก และสามารถมั่นใจได้ว่า เราสามารถพึ่งพาตนเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เกิดจากการกระทำของเราเอง เจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริงคือ “ตัวเราเอง” ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สนิมเกิดขึ้นแต่เหล็กเอง ครั้นเกิดขึ้นแต่เหล็กนั้นแล้ว ย่อมกัดเหล็กนั้นแหละ ฉันใด กรรมของตน ย่อมนำบุคคลผู้มักประพฤติล่วงปัญญาชื่อ โธนา ไปสู่ ทุคติ ฉันนั้น”
    ต่อจากนี้ไป เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอนาคตจะดีร้ายเช่นใด ทำทุกวินาทีปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยปฎิบัติศีลให้สมบูรณ์ การกระทำเช่นนี้จะไม่ก่อวิบากร้ายใดๆเลย
    พอกันทีกับคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ?
    เพราะทราบแน่ชัดแล้วว่า ทำมา ทำมา ทำมา เราทำมาเองทั้งนั้น
    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอเขียว ที่เป็นดั่งเทวดา มอบอาวุธสำคัญที่ดีกว่าการพึ่งพาหมอดูอย่างเทียบกันไม่ได้ นั่นคือ “บททบทวนธรรม” คำภีร์ชีวิต ล้างพิษกิเลส เป็นปัญญาพาพ้นทุกข์ ที่กลั่นออกมาจากพระไตรปิฎก เมื่อพบกับความยุ่งยากใดในชีวิต ทุกข์จะผ่อนคลายและหายทันที ด้วยปัญญาพาพ้นทุกข์นี้ สาธุคะ

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

  43. ปาวิดา ทองธวัฒน์

    คนนิสัยสัตว์
    เรื่อง คนนิสัยสัตว์
    หมวด เหตุการณ์อื่นๆ
    คำสำคัญ สัตว์เลี้ยง/ข้ามภพข้ามชาติ/พึ่งตนเอง

    เคยสงสัยว่าทำไมท่านอาจารย์หมอเขียวจึงสอนว่า “อย่าเลี้ยงสัตว์” ต่อมาจึงได้คลายความสงสัยและได้เรียนรู้สัจธรรมอีกหลายอย่างด้วย
    ที่บ้านมีแมวอยู่ 1 ฝูง โดยไม่มีใครในบ้านชอบเลี้ยงเลยสักคนเดียว อยู่มาวันหนึ่งแมวเหล่านั้นเริ่มทยอยตายทีละตัวสองตัว และสงสัยว่าเหตุเพราะไปกินยาเบื่อในละแวกหมู่บ้าน สุดท้ายจากแมวเกือบสิบตัวเหลือรอดอยู่แค่ตัวเดียว
    ทุกคนในบ้านช่วยกันให้อาหารและเลี้ยงดูแมวตัวนี้ ยกเว้นผู้เขียน ซึ่งได้ลองสังเกตพฤติกรรมแมวว่า จะป็นไปตามที่ท่านอาจารย์หมอเขียวสอนหรือไม่ และก็เป็นจริงตามนั้น แมวตัวนี้จะอ้อนและวิ่งตามคนที่ให้อาหาร จึงได้ลองถามคนที่คอยให้อาหารว่า “คิดว่าแมวตัวนี้จะรอดมั้ยถ้าเราไม่ให้อาหาร?” ก็ได้คำตอบว่า “ไม่รอด” โดยแท้ที่จริงแล้วแมวยังแข็งแรงมาก สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง จึงจำเป็นต้องปล่อยให้ทุกคนทำตามความเชื่อเดิมต่อไป
    ท่านอาจารย์สอนว่า ถ้าเราเลี้ยงสัตว์ เราจะมีโอกาสได้พบกับ “คนนิสัยสัตว์” เพราะการเลี้ยงจะมีบุญคุณและมีวิบากร่วมกัน จะได้มาพบกันอีกในชาติต่อๆไป กระทั่งสัตว์ตัวนั้นได้ร่างเป็นคนแล้วก็ยังติดนิสัยสัตว์มาด้วย นึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวที่ว่า สัตว์ที่ได้ร่างเป็นคนจะมาข้องเกี่ยวกับเราอีก และจะยุ่งกองร้อยหากเขาต้องการตอบแทนบุญคุญ ต้องการทำดีต่อเรา แต่เป็นการทำดีแบบมีกิเลส หากเราไม่ต้องการสิ่งที่เขาทำนั้น จะสร้างความไม่พอใจ เกิดเป็นวิบากร้ายร่วมกันไม่รู้จบ เมื่อมองดูรอบตัวก็เห็นได้ว่าคนลักษณะนี้มีมากจริงๆ อีกประการหนึ่ง การปล่อยให้สัตว์ได้เผชิญชะตาชีวิตจะช่วยให้เขาได้ร่างมนุษย์และพบหนทางพ้นทุกข์ได้เร็วขึ้น
    เมื่อได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้จนกระทั่งได้ประจักษ์ในคำสอนของท่านอาจารย์ พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่แมวตัวนี้จะทำบ่อยๆคือ จะใช้หน้าต่างในห้องที่ผู้เขียนทำงาน มันจะเข้าออกจากบ้านทางนี้เพราะสะดวกที่สุด ผู้เขียนจึงตัดสินใจปิดหน้าต่างบานนั้น ในช่วงแรกแมวจะร้องและเข้ามาอ้อน เดินวนไปมา ในวันต่อมาแมวก็ยังทำเหมือนเดิม แต่สังเกตุได้ว่าครั้งนี้จะเดินหาทางออกใหม่ด้วย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยร้อง ไม่มาอ้อนอีก และในที่สุดก็ได้เห็นแมวไปหากินเองนอกบ้าน ร้องขออาหารน้อยลง แต่ก็ยังจำว่าใครให้อาหารมันจะไปอยู่ใกล้คนนั้น
    คนอื่นๆในบ้านมีความเชื่อว่า การให้อาหารสัตว์คือการได้ทำบุญทำทาน ซึ่งเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งที่ล้างออกยาก มันคือกิเลสรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคนที่เชื่อเช่นนี้จะต้องตระหนักให้ได้เองว่ามันจะเกิดปัญหา และนำวิบากร้ายอะไรให้เกิดกับชีวิตได้บ้าง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมก่อน เพราะยังไม่ใช่เวลาที่จะไปบอกไปสอน หรือพยายามเปลี่ยนความเชื่อในเรื่องนี้ของทุกคนในบ้าน พากเพียรทำดีให้ดูด้วยธรรมะที่ถูกตรงสู่ทางพ้นทุกข์ดีกว่า
    นิสัยอันเกิดจากกิเลสหลายๆตัวมารวมกัน เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นอย่างหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ เป็นสิ่งที่จะติดตัวเรามาข้ามภพข้ามชาติ แม้กระทั่งเรายังไม่ตายไปจากโลกนี้ ก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้เลย กล่าวคือ นิสัยบางอย่างที่เราเคยทำตอนเด็ก เราก็ยังคงทำอยู่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ โดยไม่มีปัญญาเห็นสิ่งนี้ได้ เป็นเหมือนช้างใหญ่ที่ไม่กล้าดึงโซ่เส้นเล็กที่ผูกขาไว้ตั้งแต่เด็ก แม้ว่ามันจะทำได้อย่างสบายๆแล้วก็ตาม
    คนเราก็ไม่ต่างจากสัตว์ ยิ่งฝึกช่วยเหลือตัวเองมากเท่าไหร่ ความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น การยึดว่าจะต้องมีคนคอยช่วยเหลือเรา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราทำเองได้ สุดท้ายเราเองจะกลายเป็น “คนแก่นิสัยเด็ก” คงความไร้เดียงสา ไม่รู้จักโตชั่วกัปชั่วกัลป์

    เขียนเมื่อ เดือนมีนาคม 2565
    โดย นางสาวปาวิดา ทองธวัฒน์ (อายุ 38 ปี)
    จิตอาสาคบคุ้น สังกัดภาคใต้ สวนป่านาบุญ 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
    นักศึกษาสถาบันวิชชาราม หลักสูตร 7 ปี ระดับอริยปัญญาตรี
    เข้ามาเรียนรู้แพทย์วิถีธรรมเมื่อ เดือนเมษายน 2564 เข้าใจลึกซึ้งว่า “นี่คือวิชาที่ทุกชีวิตต้องเรียน”
    จึงปวารณาเป็นจิตอาสาในเดือนมกราคม 2565

Comments are closed.