641121 แบ่งปันสภาวธรรม อริยสัจ 4 (47/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชาราม แบ่งปันสภาวธรรมการใช้หลักอริยสัจ 4 ในชีวิตประจำวัน ประจำวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2564
สัปดาห์นี้มีผู้แบ่งปัน 23 ท่าน 27 เรื่อง
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- กาญจนา คงภูชงค์
- ทิษฏยา โภชนา (ในสายธรรม) (3)
- นฤมล วงศา
- จาริยา จันทร์ภักดี (3)
- วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
- ทัศนีย์ จันทา
- พรพิทย์ สามสี
- ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- น้องบุญพิมพ์ไพร
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- อรอุมา ภูบังดาว
- วันเพ็ญ ตั้งสกุลวงศ์
- สุวรรณ กังวานนวกุล
- ศศิกาญจน์ กาพย์ไกรแก้ว
- เสาวรี หวังประเสริฐ ( สืบสานศีล )
- สุมา ไชยช่วย
- เพ็ญศรี มงคลชาติไทย
- จิรานันท์ จำปานวน
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- RUAM KETKLOM
- พรรณทิวา เกตุกลม
- ณัฐพร คงประเสริฐ
อริยสัจ 4
เรื่อง โชคดีที่ยังไกลหัวใจ
กิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้าทุกเช้า คือจะโทรหาแม่ก่อนออกไปทำงาน และเมื่อเช้าข้าพเจ้าก็ได้ทำกิจกรรมนี้อย่างทุกวันที่ผ่านมา พอแม่รับสายก็เห็นแม่กำลัง นำกระจกมาส่องดูหน้าของตัวเอง เลยแซวแม่ออกไปว่า “โอ้ แม่วันนี้ทำไมได้ส่องกระจก ละน้อ” พูดแล้วก็เลยหัวเราะหยอกแม่เล่น แม่ของข้าพเจ้าท่านจะกินหมากทุกวัน วันละหลาย ๆ คำ วันนี้ข้าพเจ้านึกสงสัยว่าทำไม น้ำหมากจึงไปเปื้อนที่คิ้ว และหน้าผากของแม่น้อ เพราะข้าพเจ้าเห็นคิ้วและหน้าผากของแม่เป็นสีแดง ๆ เลยหัวเราะก่อนจะถามแม่ออกไปว่า “แม่ ๆ นั่นน้ำหมากหรือว่าเลือดจ้ะ” แม่ก็หัวเราะก่อนจะ บอกข้าพเจ้าว่า “เลือด จ้ะลูก เพราะว่าแม่พึ่งหกล้มเมื่อตะกี้นี้เอง !
ทุกข์ : ตกใจที่ได้ยินแม่บอกว่า “แม่หกล้ม”
สมุทัย : ไม่อยากให้แม่ล้มจนเลือดตกยางออก อย่างนี้
นิโรธ : แม่จะล้มเลือดตกยางออก ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรแม่ได้ ดีแล้วที่แม่ล้มเลือดออกเพียงเท่านี้ ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ และที่สำคัญอยู่ไกลหัวใจมาก นี่ยังถือว่าโชคดีที่วิบากกรรมของแม่ท่านแบ่งส่วนทวงเพียงเท่านี้เอง ไม่มากเลย
มรรค : หลังจากที่ได้พูดคุยและไต่ถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ และแม่ก็ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ข้าพเจ้าก็ฟังแม่เล่าด้วยอาการยิ้มแย้มไม่มีความกังวล และตกใจอะไรเลย และก็หัวเราะกับแม่ไปด้วยในขณะที่แม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แม่ถามข้าพเจ้าว่าช่วงนี้ล้ม ติดต่อกัน 3 ครั้งแล้ว จะทำงัยดีน้อหรือว่า จะถึงเวลาต้องกลับบ้านเก่าแล้ว ข้าพเจ้าเลยเสนอแม่ว่า แม่ลองตั้งศีล ไม่กินเนื้อสัตว์สัก 2 วันดีไหม ? แม่ก็เหมือนคิดไตร่ตรองอยู่แต่ก็ยังไม่ตอบ อะไร
หลังจากที่พวกเราคุยกันสักพัก สุนัข 2 ตัวที่อยู่บ้านก็วิ่งเข้ามาหาแม่ เหมือนจะมาบอกแม่ว่าหิวข้าวแล้ว ขอข้าวกินหน่อย ทุกข์ในครั้งนี้ของข้าพเจ้าเกิดขึ้นเพียงไม่นาน เพราะได้ยินเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม ของแม่ที่ไม่แสดงอาการเจ็บปวด แต่อย่างใด และข้าพเจ้ายังสะดุดคำหนึ่งที่แม่บอกว่า “โชคดีลูกที่เป็นอยู่ไกลหัวใจ และโชคดีที่ตอนล้มไม่มีคนเห็นมิเช่นนั้นแม่ คงอายคนเขาแน่ ๆ” ว่าแล้วเราทั้ง 2 คนก็หัวเราะและกล่าวลากัน เจอกันพรุ่งนี้จ้ะแม่
การบ้านเรื่อง ทดสอบจิตใจตัวเอง
เหตุการณ์ ได้ไปซื้อผลไม้มาโดยไม่เลือกเอง โดยให้แม่ค้าหยิบให้ตามสะดวกคิดไว้ว่าแม่ค้าจะหยิบให้ยังไงแบบไหนแล้วแต่กุศลของเรา เมื่อมาถึงบ้านก็รู้ว่า มีผลไม้เสียหายประมาณนึง
ทุกข์… คิดว่าผลไม้น่าจะเสียหายน้อย
สมุทัย…ชอบที่ได้ผลไม้สภาพดีๆ
นิโรธ… ผลไม้จะเสียหายมากหรือน้อยก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค…เมื่อเราได้ไปซื้อผลไม้ ได้ลองทดสอบ ใจตัวเองดูว่ายังยึดอยู่ไหม ยังอยากได้สภาพที่ดีอยู่หรือว่ารับได้ ที่ผลไม้เสียหายจึงใช้เหตุการณ์ที่ไปซื้อผลไม้ มาพิจารณาใจตัวเองดูว่ายังอยากได้ดีมากน้อยเพียงใด เมื่อเห็นผลไม้เสียหายก็ยินดีรับไม่เพ่งโทษแม่ค้า เขาจะหยิบให้เราแบบไหนก็ได้เพราะในขณะที่เราคิดว่าจะซื้อผลไม้โดยไม่เลือกนั้น ฟ้าก็ส่งโจทย์เหตุการณ์นี้มาให้เราได้ทดสอบเราจะได้แบบไหนก็เพราะกุศลของเรา เมื่อเราได้ล้างตัวยึดมั่นถือมั่นแล้วใจก็เบิกบานยินดียอมรับสิ่งที่เจอรับเท่าไหร่หมดเท่านั้น ตรงกับ บททบทวนธรรม ข้อที่ 93 ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการดับทุกข์ใจ..ให้ได้
อริยสัจ 4 15/11/64
เรื่อง: กลัวเงินหาย
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้ทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ด้วยการโอนเงินจากบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่ง(ของตนเอง) ซึ่งก็ได้ตรวจสอบชื่อและเลขบัญชีเรียบร้อยแล้วก่อนทำการโอน ช่วงเช้าของวันจันทร์ก็เลยเอาไปปรับสมุดบัญชีที่ตู้ ATM ปรากฏว่า มีการอัพเดทข้อมูลรายการอื่น ๆ แต่ไม่ปรากฏยอดเงินนั้นอยู่ในบัญชี รู้สึกใจหายลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวเงินหาย เพราะเป็นเงินจำนวนมากพอสมควร และตอนนั้นก็ดันลืมเอาโทรศัพท์เครื่องที่ทำการโอนเงินไปด้วย
ทุกข์ : กลัวเงินหาย
สมุทัย : ชอบใจถ้าได้เห็นจำนวนเงินที่โอนไปในสมุดบัญชี ชังที่ไม่เห็นยอดเงินที่โอนไป กลัวเงินจะหาย
นิโรธ : จะเห็นยอดเงินจำนวนนั้นในบัญชีหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ กล้าที่จะให้เรื่องร้ายเกิด
มรรค : พิจารณาว่าเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเงินคือปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้ชีวิต จนหลงลืมไปว่า “เงินคือมายา ข้าวปลาคือของจริง” สิ่งสำคัญต่อชีวิตจริง ๆ คือปัจจัย 4 ถ้าเงินจำนวนนั้นมันจะหาย ก็คงต้องหาย เพราะได้โอนออกจากบัญชีไปแล้ว ทุกข์ใจก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เอาพลังมาหาทางแก้ปัญหาดีกว่ามัวแต่นั่งทุกข์เพราะกลัวเงินหาย
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 93“ ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่า การดับทุกข์ใจให้ได้ ”
สรุป พิจารณาแบบนี้แล้วใจก็โล่งสบายขึ้น วางใจได้ แล้วตั้งสติ นึกย้อนไปว่าก่อนทำการโอนเงินเราก็ได้ทำการตรวจสอบชื่อและหมายเลขบัญชีดีแล้ว (เงินไม่น่าจะหายไปไหน) แต่ถึงแม้จะลืมเอาโทรศัพท์ติดมาด้วย ก็ลองเข้าไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ธนาคารที่คบคุ้นกัน เขาก็ช่วยเราจัดการอย่างดี ปรากฏว่าเงินไม่ได้หายไปไหน แต่ที่ไม่สามารถปรากฎยอดเงินนั้นได้เนื่องจากแถบแม่เหล็กที่สมุดบัญชีมีปัญหา
เรื่อง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
สำหรับการทำงาน การพิจารณาปรับขั้นพิเศษหรือขึ้นเงินเดือน เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนแอบหวัง และอยากได้ เพราะเงินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้ในการดูแลคนในครอบครัว ตามวิถีทางโลก
ย้อนความไปในช่วงเดือนกันยายน 2564 ตนเองได้รับความเมตตาจากผู้บังคับบัญชาเสนอให้ขั้นพิเศษ แต่เพราะวิบากกรรมที่ตนทำมา อัตตามานะหรือความถือดีในอดีตไม่แน่ชัด จึงถูกตัด / ไม่พิจารณาให้ขั้นพิเศษโดยผู้บริหารระดับที่สูงกว่า แถมโอนวงเงินนั้น เพิ่มให้แก่บุคคลอื่นที่ท่านผู้นั้นรักและเมตตา (ตามข้อเท็จจริง ตนและผู้บริหารระดับสูงท่านดังกล่าว เป็นบุคคลที่เคยวิวาทะกัน มีปัญหา ไม่ชอบใจกัน)
ตอนแรกที่รับทราบเหตุ ตนยอมรับว่าผิดหวัง โกรธ รู้สึกไม่เป็นธรรม แต่ประโยค “กูทำมา..” , “รับเต็มๆ หมดเต็มๆ” “โชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดอีกแล้ว” ของอาจารย์หมอเขียว ลอยเข้ามาเตือนสติ ตนสงบได้อย่างเร็ว ยิ้มรับไม่เสียใจ เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก
หากเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่พบธรรมะ/แนวทางการกำจัดกิเลส ตนคงเป็นทุกข์ หลงไปกับอารมณ์หวั่นไหวต่างๆ อาทิ โกรธเคือง เสียใจ เจ็บใจที่แรงกว่านี้ รวมถึงการแสดงออกทางภาษากายที่ไม่พอใจต่อท่านผู้นั้น
แต่คราวนี้ นอกจากตนจะวางใจได้ง่ายขึ้น รู้สึกสงสารในการกระทำของท่านผู้นั้นด้วย เพราะจะด้วยวิบากกรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ ตนรู้สึกยินดี พอใจ สงบใจและยอมรับได้อย่างง่ายดาย และเชื่อมั่นว่า…สิ่งทีตนทำมา มันมากกว่านั้นเป็นแน่ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ทุกข์ (อาการทุกข์) : ผิดหวัง ขัดเคืองใจต่อบุคคลที่ตัดขั้นพิเศษตน
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) : อยากได้ คาดหวังความยุติธรรมและการยอมรับ
นิโรธ (สภาพแห่งทุกข์) : ได้หรือไม่ก็เป็นสุข ปล่อยวางตามวิบาก
มรรค (วิธีดับทุกข์) : ไม่คาดหวัง วางใจและยินดีกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากที่วางใจ ทำใจยอมรับแล้ว ไม่คาดหวัง ปรากฏผลให้วิบากดีออกฤทธิ์ กล่าวคือ ท่านผู้บริหารสูงสุด รับทราบและพิจารณาอนุมัติให้ขั้นพิเศษแก่ตน
เรื่อง ไม่มีชื่อในการบ้าน เหตุการณ์ : ตัวเองได้ส่งการบ้านในโรงเรียนของหนูไม่ทราบรอดพ้นสายตาคุรุหรืออย่างไรเมื่อได้ดูจำนวนผู้ที่ส่งการบ้านอริยสัจ4 ไม่มีรายชื่อตัวเองประจำสัปดาห์ที่ 46
ทุกข์: รู้สึกไม่แช่มชื่น
สมุทัย : คิดว่าได้ส่งการบ้านเข้าโรงเรียนของหนูแล้ว
สุขที่ได้ส่งการบ้านถึงมือคุรุได้รับการตรวจสอบส่ง
รู้สึกหมองที่การบ้านไม่ถึงมือคุรุตรวจตอบ
นิโรธ : การบ้านจะซ่อนหายถึงมือคุรุได้ตรวจตอบมา
หรือไม่ จะไม่ชอบ ไม่ชังเพราะตัวเองตั้งใจทำเต็มที่แล้ว
มรรค : ปรับใจตัวเองได้ส่งการบ้านหรือไม่ก็ไม่เป็นไร พอมาอ่านไลน์จำนวนชื่อผู้ส่งการบ้านอริยสัจ4ครั้งที่46 กิเลสโผล่ทันทีว่าเราส่งการบ้านไปแล้ววแต่เนิ่นๆเลยกลับ ไม่ได้ส่ง เลยตอบสวนกิ้เลสโอ้ดีจริง เราได้จับกิเลสตัวอยากได้สมใจเธอได้ ก็คุ้มจริงๆคิดแบบพุทธะสิ จะไม่ได้ส่งการบ้านก็ไม่หมองก็แช่มชื่นได้ แต่ถ้าได้ส่งการบ้านก็วิบากดีออกฤทธิ์ไงได้มาเทียบเคียงกับบททบทวนธรรมข้อที่82″จึงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุกให้ได้
มาพิจารณาแล้วความหมองไม่แช่มชื่นก็จางหายไป ใจกลับมาเบิกบานได้
เรื่อง ไม่มีชื่อในการบ้าน เหตุการณ์ : ตัวเองได้ส่งการบ้านในโรงเรียนของหนูไม่ทราบรอดพ้นสายตาคุรุหรืออย่างไรเมื่อได้ดูจำนวนผู้ที่ส่งการบ้านอริยสัจ4 ไม่มีรายชื่อตัวเองประจำสัปดาห์ที่ 46
ทุกข์: รู้สึกไม่แช่มชื่น
สมุทัย : คิดว่าได้ส่งการบ้านเข้าโรงเรียนของหนูแล้ว
สุขที่ได้ส่งการบ้านถึงมือคุรุได้รับการตรวจตอบส่ง
รู้สึกหมองที่การบ้านไม่ถึงมือคุรุตรวจตอบ
นิโรธ : การบ้านจะซ่อนหายถึงมือคุรุได้ตรวจตอบมา
หรือไม่ จะไม่ชอบ ไม่ชังเพราะตัวเองตั้งใจทำเต็มที่แล้ว
มรรค : ปรับใจตัวเองได้ส่งการบ้านหรือไม่ก็ไม่เป็นไร พอมาอ่านไลน์จำนวนชื่อผู้ส่งการบ้านอริยสัจ4ครั้งที่46 กิเลสโผล่ทันทีว่าเราส่งการบ้านไปแล้วแต่เนิ่นๆเลยกลับ ไม่ได้ส่ง เลยตอบสวนกิเลสโอ้ดีจริง เราได้จับกิเลสตัวอยากได้สมใจเธอได้ ก็คุ้มจริงๆคิดแบบพุทธะสิ จะไม่ได้ส่งการบ้านก็ไม่หมองก็แช่มชื่นได้ แต่ถ้าได้ส่งการบ้านก็วิบากดีออกฤทธิ์ไงได้มาเทียบเคียงกับบททบทวนธรรมข้อที่82″จึงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุกให้ได้
มาพิจารณาแล้วความหมองไม่แช่มชื่นก็จางหายไป ใจกลับมาเบิกบานได้
วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
เรื่อง ยอมจริง
เหตุการณ์ คือ มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเรา เพื่อนส่งงานมาให้ช่วยดูความเรียบร้อย ดูแล้วเราก็ขอปรับเล็กน้อย ในความเป็นจริงมีหลายสิ่งที่ไม่ถูกใจ แต่มองว่าเพื่อนเค้าก็พยายามทำมา เค้ามาขอให้เราช่วยตรวจทาน เค้ายอมฟังความคิดเห็นเรา เพื่อนก็ลดความเป็นตัวเองของเค้าลงแล้ว เราก็ยอมลดของเราด้วยเช่นกัน
แต่พอถึงวันที่ต้องเอางานชิ้นนั้นมาใช้งานจริง ปรากฏว่า เพื่อนไม่ได้ปรับอะไรเลยทั้งนั้น จุดที่เราบอกให้ปรับก็ไม่ได้ปรับ และเพื่อนยังบอกว่าให้เราเป็นคนนำเสนองานชิ้นนั้นด้วยนะ เค้าไม่สะดวก สิ่งแรกที่เราทำ คือ ตรวจใจเราก่อนเลย
ใจเราคิดอะไรอยู่นะ วินาทีนั้น เราจับอาการชังของเราได้เลย กำลังคิดจะปฏิเสธ กำลังคิดว่าทำไมเพื่อนไม่ทำเอง จังหวะนั้นเราเห็นแล้วว่ากิเลสกำลังก่อตัวสร้างละครเรื่องใหม่ในหัวเราอีกแล้ว วันที่เพื่อนส่งงานมาให้ตรวจ ปากเรายังบอกว่ายอมได้ พอวันนี้วิบากกรรมมาทดสอบเราอีกครั้งว่า ยอมได้ “จริง” ไหม เราลังเลอะไร
เมื่อเราตัดสินใจว่าจะยอมแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมจริงๆ แล้วใจเรายังอิดออด แปลว่า เศษส่วนเหลือในใจเราไม่ได้ยอมจริง เรายอมแบบไม่เบิกบาน กิเลสจะบอกว่า ยอมได้มากกว่าเดิมแล้วนะ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ยอมจริง ยอมจริง คือ จิตเบิกบาน ยอมได้แบบไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อกังขา ถึงจะเรียกว่า “ยอมจริง”
ปากบอกยอม แต่คิ้วขมวด แปลว่า เรายังสงสัยในวิบากกรรมที่เราทำมา เรายังฝืนไม่อยากชดใช้อย่างสมบูรณ์ ใจที่ขัดขืน ใจที่อิดออด นั่นคือ ใจที่ทุกข์ บทเรียนวันนี้ ทำให้เอมองเห็นชัดว่า กิเลสมันพยายามดิ้น พยายามแทรกแซงความคิด เฉไฉไปให้ได้ พอเราคิดมาถึงตรงนี้ เราก็ตอบเพื่อนไปว่า นำเสนอให้ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา เรายินดีที่เพื่อนวางใจให้เรานำเสนอ ยินดีที่เพื่อนเปิดโอกาสให้เราได้เห็นและล้างกิเลส ยินดีที่เพื่อนมาให้เราได้ชดใช้วิบากกรรม และยินดีที่ได้ “ยอมจริง” การนำเสนอวันนั้นผ่านไปด้วยดี ตลอดเวลานำเสนองานเราเบิกบาน เพื่อนๆ ในกลุ่มยิ้มแย้ม นั่นแหละคือรางวัลของการ “ยอมจริง” ยอมให้กิเลสตายนั่นเอง
18/11/64
ชื่อทัศนีย์ จันทา(แตงไทย)
อายุ49ปี 64086
เรื่อง:กลัวขาดทุน
เหตุการณ์.. ส่งมะขามแช่อิ่มให้ลูกค้าทางออนไลน์เราก็บรรจุถุงอย่างดี พอไปถึงร้านส่งเด็กที่ร้านก็รีดถุงให้ใหม่และบอกว่ากลัวถุงแตกทำให้ฃองคนอื่นเสียต้องจ่ายค่าเสียหายกล่องละ100พอได้ยินแบบนั้นกิเลสมันก็กลัวถุงแตกแล้วต้องรับผิดชอบกลัวขาดทุน
ทุกข์:กลัวถุงมะขามแตกแล้วจะขาดทุน
สมุทัย:ชอบหากถุงมะขามไม่แตกเสียหาย ไม่ชอบหากถุงมะขามแตก
นิโรธ:ถุงมะขามจะแตกหรือไม่แตกก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค:กิเลสก็คิดฟุ้งปรุงไปไม่ยอมลงจนต้องพึ่งหมู่มิตรดีให้ช่วย พอมาเล่าสู่หมู่ฟัง หมู่ก็ช่วยเติมปัญญาให้ว่าขาดทุนคือกำไรการค้าขายอย่าหวังเอาแต่กำไรอย่างเดียวกัน เราต้องดูแลทุกๆอย่าง เมื่อพี่น้องเติมปัญญาให้ก็วางใจหากของเสียหายเราก็ต้องกล้าชดใช้เขาไปคราวหน้าต้องซ้อนถุงดีๆเพื่อที่จะไม่มีปัญหา
จริงๆแล้วมันก็ไม่ขาดทุนหรอกหากแต่กำไรมันน้อยแค่นั้นเอง อาจารย์หมอบอกว่าขาดทุนคือกำไรกล้าที่จะขาดทุนหลักของพวธ.
1.ขายเท่าทุน
2.หากต้องกินต้องใช้ก็ให้เอากำไรเล็กน้อยแต่ถ้าไม่ขัดสนอะไรให้ขายขาดทุนไปเลย คิดได้ดังนั้นก็ไม่ทุกข์
สรุป:วันต่อมาลูกค้าแจ้งมาว่ารับของแล้วไม่มีอะไรเสียหายก็เลยหัวเราะตัวเองที่คิดฟุ้งซ่านไปก่อน
เรื่อง : แดนรั้ว
สองสามวันที่ผ่านมา เราได้ถากหญ้าบริเวณ ริมรั้วในบ้าน เราได้เจอหมุด (ที่ปักแบ่งเขตที่ที่ดินปักเอาไว้) เราตกใจมาก เพราะข้างบ้านเขาทำกั้นรั้วเขตแดน มาไม่ถึงเขตหมุดเลย ความจริงที่ถูกต้องเขาต้องกั้นรั้วข้ามมาในดินของเรา ตอนที่ข้างบ้านกั้นลวดหนาม ก็ไม่เห็นหมุด เพราะตรงนั้นเป็นปลวก หมุดอยู่ใต้ปลวก
เราแสดงความรับผิดชอบ โดยบอกพี่น้องท่านที่เป็นเจ้าของบ้านว่า พี่ต้องถอยหลวดหนามมาเอาที่ดินที่เหลืออีกนะ ท่านบอกไม่เป็นไร เราบอกไม่ได้ พี่ท่านนั้นว่าที่ดินของท่านยังไม่เป็นโฉนด
เป็น น.ส. 3 เราบอกว่าถ้าสะดวกทำโฉลดเมื่อไหร่ ก็เอาตามถูกต้องนะ
ทุกข์ : ไม่โปร่งไม่โล่ง
สมุทัย : ชอบที่จะให้พี่ท่านนั้นแก้ไขหลวดหนามข้ามมาในฝั่งทางบ้านเราเร็วรวด
นิโรค : พี่ท่านจะแก้ไขเมื่อไหร่ก็ได้ ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : กิเลสเรามันบอกว่าชอบที่จะพี่เขาแก้ไขรั้วแดนเร็ว เราบอกกิเลสไปว่า ไม่ใช่ง่ายนะ พี่เขาต้องจ้างคนมาถอนเสาหมดเงินอีก พี่เขาทำคนเดียวไม่ได้ และตอนกั้นรั้วพี่เขาก็สั่งคนที่จ้างมาทำให้กั้นแค่นั้น พี่เขาไม่เห็นหมุดเขตแดน เราก็พึ่งมาเห็นหมุดเขตแดน สองสามวันนี้เหมือนกัน แต่มาวันนี้พี่ท่านก็ยืนยันว่าเอาเขตแดนแค่นี้แหละ เราบอกทำให้ถูกต้องดีกว่า
บททบทวนธรรม ๑๑๒
สุขจากการให้
ด้วยใจที่บริสุทธิ์
ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่กว่าการเอา
เรื่อง บ้านรก เหตุการณ์ พ่ออายุมากแล้ว ชอบวางสิ่งของไม่ เป็นสัดส่วนของทุกอย่างพ่อจะวางทั่วบริเวณบ้านดูแล้วรกไม่เป็นสัดส่วน รู้สึกอึดอัดขัดใจ ตัวเองพยายามให้วางเป็นสัดส่วนเป็นระเบียบ พอมาอีกวันก็สภาพเหมือนเดิม
ทุกข์ : รู้สึกขัดใจที่บ้านรก
สมุทัย : ยึดว่าพ่อจะวางของตามที่จัดให้
ชอบถ้าพ่อได้วางของได้ในที่จัดไว้เป็นสัดส่วน
รู้สึกขัดใจที่มองทีไรก็ยังรกเท่าเดิม
นิโรธ : พ่อจะวางของได้ตามที่จัดสัดส่วน ได้หรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ได้ปรับใจปล่อยให้กิเลสดิ้น สักพักระลึกถึงตอนเราเด็กๆก็เราเองนั่นแหละเคยวางของทั่วไปทุกพื้นที่นี่แหละคือตัวเอง ทำมาพ่อไม่เคยบ่นสักคำนี่พ่อนะ มาตาลีเทพส่งพ่อเป็นตัวแทนให้เราสำนึกแล้วเราจะอึดอัดขัดใจทำไม่ล่ะ ได้ตั้งจิตขอโทษพ่อ ทีหลังเราจะระลึกถึงตอนเป็นเด็กให้มากๆตอนเราทำมาตั้งมากมายมองไม่เห็น พ่ออายุมากแล้วแค่วางของให้มองเห็นชัดๆ ต้องขอบคุณพ่อที่ชี้ขมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ให้เราต้องยินดี ได้ตรวจใจตนเองบ้านรกไม่เป็นไรถ้าเรากำจัดกิเลสที่รกในใจเราได้ก็คุ้มแล้ว
ได้มาเทียบเคียงกับบททบทวนธรรมข้อที่”78″ ความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จ ของกิจกรรมการงาน คือความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์
ส่วนความสำเร็จของใจที่พ้นทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่น คือความจริง
ได้พิจารณาแล้วความอึดอัดขัด ใจก็จางลง ใจกลับมาเบิกบาน ทำหน้าที่ลูกที่ดีได้เหมือนเดิม
อริยสัจ 4 19/11/64
เรื่อง: ไม่อยากอยู่ใกล้คนแบบนี้
หลายครั้งที่รับรู้ได้ว่าเราไปทำให้คนรู้จักท่านหนึ่งไม่พอใจเข้า แม้บางเรื่องที่เราคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เราคิดไม่ถึงก็ทำให้เขาไม่พอใจได้ เขามักจะตีความการกระทำของเราในแง่ลบ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่เคยคิดไม่ดีกับเขาก่อนเลย แต่พอเจอแบบนี้บ่อย ๆ เข้า ก็เริ่มจะไม่ยอมขึ้นมาบ้าง กิเลสมันบอกว่า มันไม่ชอบ ไม่อยากอยู่ใกล้คนที่คิดอะไรหยุมหยิมแบบนี้ ไม่ชอบที่เขาตัดสินการกระทำของเราด้วยจิตใจอันคับแคบ เคยคิดแย่ ๆ ไปถึงว่า “เขาเป็นคนขี้อิจฉา หรือเป็นคนมีปมปัญหาในชีวิต ที่ชอบมองคนอื่นในแง่ร้ายเสมอ ๆ ” รู้สึกไม่อยากคบหาสมาคมด้วย
ทุกข์ : รำคาญนิสัยแย่ ๆ ของคน
สมุทัย : ชอบถ้าได้พบเจอคนที่มองโลกในแง่ดี ชังไม่อยากอยู่ใกล้คนที่คิดหยุมหยิม น่ารำคาญ
นิโรธ : จะได้พบเจอคนแบบไหนก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาว่า ที่เราทุกข์เพราะอึดอัดที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนแบบนี้ อยากให้เขาใจกว้าง มองคนอื่นในแง่ดีบ้าง เลิกเป็นคนหยุมหยิม ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้เพราะขนาดของจิตใจของคนเรามันไม่เท่ากัน และถ้าจะต้องระมัดระวังตัวทุกกระเบียดนิ้วเพื่อจะไม่สร้างปัญหาให้ใครก็คงต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของเรา เราควบควบคุมความคิดใครไม่ได้ แต่เราล้างทุกข์ใจเราได้
พิจารณาเรื่องกรรม เขาคือตัวแทนของความชั่วในตัวเรา เราเคยคิดว่าเขาทำไม่ดีต่อเรา แต่แท้จริงแล้วเรานั่นแหละที่คิดไม่ดีต่อเขา เรานี่แหละเพ่งโทษทั้งเขาและตัวเราเอง แถมยังชิงชังวิบากร้ายของตัวเอง สำนึกได้ว่าเราก็มีส่วนผิดที่เราไปเบียดเบียนเขา ทำให้เขาต้องทุกข์ใจเพราะเรา แม้จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เขาเองก็ทุกข์มากแล้ว จะไปรำคาญเขาให้ได้อะไร ไปสร้างวิบากเพิ่มทำไม จึงตั้งจิตไม่ถือสาเขา
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 143“ ทำดีถูกด่าให้ได้ ถูกแกล้งให้ได้ ถูกนินทาให้ได้ ถูกว่าให้ได้ ถูกเข้าใจผิดให้ได้ ถูกทำไม่ดีสารพัดให้ได้ เพราะเราทำมาทั้งนั้น”
สรุป พิจารณาแบบนี้แล้วใจก็โล่งสบายขึ้น
ส่งการบ้านอริสัจ4
เรื่อง.กล้าช่วย..แล้วกล้าวาง
เหตุการณ์.เนื่องจากเพื่อนที่มาปรึกษาเรื่องคนคู่ เป็นครั้งที่สอง(คนเดิม)ตัวเองก็ทำเหมือนเดิมแนะนำให้ข้อมูลให้คำปรึกษาให้ได้ตามความจริงตามความเป็นจริง ตามฐานของตัวเองที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ตอนแรกก็เหมือนว่าจะกลับใจ แต่แล้วทุกคนก็หนีวิบากไม่ได้ ตัวเองจึงต้องกล้าที่จะช่วยและกล้าที่จะวางให้ท่านทำอย่างที่ท่านต้องการจะทำ ส่วนตัวเองก็มีหน้าที่ปราถนาดีกับท่านและจะคอยช่วยท่านเมื่อทุกข์เเละมาให้เราช่วย ก็ยินดีช่วย..แล้ววางต่อไปค่ะ
ทุกข์.ไม่พอใจที่เพื่อนทำไม่ได้ตามที่พูด และปฏิบัติไม่ได้
สมุทัย.อยากที่จะให้เพื่อนทำให้ได้ จะได้ไม่ทุกข์เหมือนครั้งที่แล้ว ให้ดั่งใจที่ตัวเองคิด จะสมใจสุข เมื่อเพื่อนดูเหมือนจะกลับไปปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เมื่อไม่เป็นไปตามที่ตัวเองยึดไว้จึงทุกข์ใจไม่ชอบใจ
นิโรธ.กล้ายินดีที่เพื่อนจะปฏิบัติตัวอย่างไรก็ได้ตามฐานของท่าน เพื่อนจะกลับมาปฏิบัติดีเพื่อที่จะไม่กลับไปทุกข์เหมือนเดิมก็ยินดี เพื่อนไม่ปฏิบัติหรือท่านจะทำอย่างที่ท่านต้องการจะทำก็ยินดี
มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาเห็นอาการของกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น ยึดดี ที่อยากได้ดั่งใจหมาย เมื่อไม่ได้ก็ทำให้ทุกข์ใจ กิเลสคิดว่าสิ่งที่เราให้ข้อมูลไปนะดีนะ(ยึดดี) ว่าท่านน่าจะทำได้ คิดว่าเราหวังดีกับท่าน แต่หารู้มั้ยว่า ตัวเองหลงไปยึดมั่นถือมั่นให้ท่านดั่งที่ใจเราต้องการแล้วทให้ท่านทำให้ได้เกินฐานของท่าน หรือไม่ก็ท่านก็อยากจะออกจากทุกข์นี้แต่ท่านยังออกไม่ได้เพราะท่านยังมีวิบากที่ต้องชดใช้ เราต้องมาทำใจของเราเองล้างความยึดมั่นถือมั่นให้ได้ และมีหน้าที่คือเมตตาและคอยให้กำลังใจกัน
และจากการที่ได้เข้าร่วมรายการสายด่วนสุขภาพ ได้ร่วมบำเพ็ญอ่านบททบทวนธรรมจึงได้ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 130,140 มาพิจารณาร่วมด้วย คือ อย่าแบกชีวิตผู้อื่น อย่าทำผิดหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่ ถ้าเขาไม่ฟังเรา ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการจะทำ ปล่อยวาง ให้เป็นไปตามวิบากร้ายของแต่ละชีวิต ถ้าเราพยายามบอกแล้ว สอนแล้ว เตือนแล้ว แต่เขายังไม่ฟัง เราสอนเขาไม่ได้
แปลว่า การสอนเขา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา หน้าที่เราคือ ทำเต็มที่เต็มแรง อย่างรู้เพียรรู้พัก แล้วปล่อยวาง ให้เป็นไปตามวิบากร้ายของแต่ละชีวิต
และข้อที่ 140 คือ ใครเขาจะยึดหรือไม่ยึดไม่สำคัญ ใครจะคิดกับเราอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตเราต้องสูงก่อน จึงจะดึงจิตคนอื่นขึ้นสูงได้
สรุป.เมื่อพิจารณาเข้าใจชัดเรื่องกรรมอย่างแช่มแจ้ง ได้สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ เต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตั้งจิตทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเรายินดีกล้า กล้าที่จะทำดี และกล้าให้เกิดเรื่องร้ายก็ได้ถ้ามีวิบากร้ายขัดขวาง เมื่อกล้าวางได้ ก็ได้ใช้เวลาไปทำประโยชน์ที่มากกว่า พิจารณาได้ทุกข์ใจก็หายฉับพลันค่ะ เปรียบเทียบกับเหตุการณ์เดียวกันครั้งที่ผ่านมากับครั้งนี้ ครั้งนี้ทุกข์ใจหายได้เร็วและสิ้นเกลี้ยงเลยค่ะ สาธุค่ะ
เรื่อง อยากกินเนื้อสัตว์
เหตุการณ์ พี่สาวซื้อไก่ทอดมา พ่อชวนกิน กิเลสก็อยากกิน
ทุกข์ อยากกินไก่ทอด ทกข์ใจ กลัวไม่ได้เข้าหมู่
สมุทัย ชังที่อยากกินเนื้อสัตว์ สู้ไม่ไหว
นิโรธ ยินที่ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยใจที่เบิกบาน
มรรค กิเลสบอกว่า กินหน่อยเถอะ แบบหน้าบูดๆเพราะกลัวไม่ได้เข้าหมู่ ในขณะที่อยากนั้น หน้าก็บูด เข้าซูมกับหมู่มิตรดีก็ไม่ได้
น้องบุญ ถ้าเธอกิน เธอก็จะไม่ได้เข้าหมู่น่ะ
สรุป กิเลสยอม ไม่กินเนืื้อสัตว์ ใจก็เบิกบาน จากนั้นก็เข้าซูมได้ ไปรายงานสภาวะธรรมกับคุรุและหมู่มิตรดี ใจก็ฮึกเฮิม เบิกบาน พลังเต็มบึ้มค่ะ
20/11/64
ชื่อ นางสำรวม แก้วแกมจันทร์
ชื่อเล่น “ป้ารวม”
ชื่อทางธรรม “ร้อยแสงศีล”
จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2
เรื่อง “สะดุดอย่างแรง ก็ไม่ล้ม”
เหตุการณ์
เมื่อต้นเดือน ร่างกายไม่สมดุล ไม่สบายตัว เนื่องจากกินอาหารร้อน-เย็นไม่สมดุล กินเกินบ่อย จึงต้องปรับสมดุลร่างกาย กินพอประมาณ ไม่ตามใจกิเลส ได้ตั้งอธิศีลว่า “ไม่กินของหวานทุกชนิด” จนถึงปี 2565 ตั้งอธิศีลได้ 2 วัน ขนมบัวลอยหม้อใหญ่ ลอยมาตรงหน้า บัวลอยห้าสี น่ากิน หอมใบเตย ชอบกิน เห็นปุ๊บ ตักปั๊บ แต่ก็วางได้ทันทีไม่กิน ไม่ทำตามใจกิเลส ถึงแม้ว่า “สะดุดอย่างแรง ก็ไม่ล้ม”
ทุกข์ : ไม่ได้กินขนมที่ชอบ
สมุทัย : ถ้าได้กินขนมบัวลอยที่ชอบ จะได้ดั่งใจ สุขใจ แต่ไม่ได้กิน ไม่ชอบ ไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์
นิโรธ : จะได้กินขนมบัวลอยหรือไม่ได้กิน ก็ยินดี พอใจ เบิกบาน ผาสุก ไม่ทุกข์
มรรค : ทบทวนตัวเอง ว่าทำไมร่างกายจึงไม่สมดุล ใคร่ครวญ ซ้ำๆ ก็สามารถพิจารณา ถึงโทษ-ประโยชน์ก่อนกิน โง่มาตั้งนาน ประมาณผิดพลาดในการกิน ปล่อยให้กิเลสโตขึ้นๆ หลงโง่ ยึดเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ยึด ยากที่จะห้ามใจกิเลสมาร ทั้งๆ ที่รู้ว่าแป้งที่ผลิตผ่านโรงงาน มีสารเคมีบางตัวที่ร่างกายเราไม่รับ ร่างกายปฏิเสธทุกครั้ง กิเลสมันกำกับให้โง่ดักดาน น่ากิน ชอบ หอม อร่อย ใจลึกๆ จิตที่มีความละเอียดในการกินเอาประโยชน์ยังมีอยู่เต็ม สติ ตั้งมั่นในญาณปัญญา กินเป็นอาหาร กินเป็นยา กินฆ่ากิเลส กินเพื่อสุขภาพ เบากาย มีกำลัง ผาสุก ขอขอบคุณ ผู้ที่ทำขนมบัวลอยมาให้ ที่ทำให้เราได้เห็นกิเลสมารตัวละเอียด แล้วสามารถสู้มันได้ เพียงแค่สะดุดกับกิเลสอย่างแรง แต่ก็ไม่ล้ม
สรุป : กิเลสมารตัวชอบ ตัวอยาก ไม่ได้ดั่งใจ ที่ไม่ได้กินขนมบัวลอย พอตั้งอธิศีลสู้ ก็สู้ได้จริง ยินดี พอใจ กินหรือไม่กินก็ได้ หยุดกิน 2 เดือน ดีใจจังไม่ได้ดั่งใจ กิเลสตาย ภายในไม่กี่วินาที เบิกบาน หายทุกข์ ผาสุก ทันที
ส่งการบ้านอริยสัจ4
เรื่อง ทุกข์ใจที่แม่เอาของไปทิ้ง
เหตุการณ์. เนื่องจากแม่ได้นำของเก่าที่เก็บสะสมสิบกว่าปีแล้วเป็นของที่เพื่อนๆพี่ๆ ให้ตั้งแต่เด็กๆ รูปเก่าๆ เป็นของที่เก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งแม่ได้มาจัดห้องเพราะจะทำห้องใหม่ และได้นำของเหล่านี้ไปทิ้งหมดเลย พอกลับบ้านไปไม่เห็น จึงไปถามแม่ว่าใครนำของไปทิ้ง แม่บอกว่าแม่เอาไปทิ้ง ตอนนั้นรู้สึกเสียใจและเสียดายของมาก เลยบอกแม่ไปว่า ทำไมเอาของไปทิ้งไม่บอก วันหลังจะเอาของไปทิ้งต้องถามก่อน ว่าทิ้งได้ไหมไม่ใช่เอาไปทิ้งเลย
ทุกข์.ไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ ที่แม่นำของที่รักและหวง ไปทิ้ง
สมุทัย.ชอบถ้าแม่ไม่นำของไปทิ้ง ชังที่แม่นำของไปทิ้ง
นิโรธ.แม่จะนำของไปทิ้งหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค.ได้พิจารณาระลึกว่าจริงๆแล้ว ไม่ควรไปพูดกับแม่แบบนั้นเพราะจะทำให้ต้องสร้างวิบากกับแม่ต่อไป จริงๆ แล้วควรจะขอบคุณแม่ที่เอาภาระในการนำของเหล่านี้ไปทิ้งให้ เพราะเราเองจะไม่ต้องเก็บไว้ให้รกบ้าน และอาจทำให้เกิดเชื้อโรคอีกก็ได้เพราะของได้เก็บมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว และได้ระลึกคำของอาจารย์ที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว แม่จะไม่เอาของไปทิ้ง หรือแม่จะเอาของไปทิ้ง ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งหมด และ เราควรขอบคุณแม่ จึงจะถูกต้องที่สุด เมื่อคิดได้ดังนั้น จิตใจก็เบิกบานสบายใจไม่ทุกข์ใจเสียดายของ ที่แม่นำไปทิ้งอีก
อริยสัจสี่ 20|11|2564
เรื่อง ปวดขา ปวดหลัง
เหตุการณ์ ประมาณ 2 อาทิตย์มานี้ มีอาการปวดหลัง ปวดขามาก ยังหาสาเหตุไม่ได้ ไม่ทราบว่ากินอาหารผิด หรือว่า ขุดแปลงผัก แต่มาพิจารณาแล้ว ถ้าสาเหตุมาจาก ขุดแปลงผัก จะต้องปวดแขนด้วย แต่เราไม่มีอาการปวดแขน จึงมาหาสาเหตุจากอาหาร และคุยกับเพื่อน ๆก็บอกว่า ท่านก็มีอาการปวดเหมือนกัน ท่านบอกว่ากินถั่วลิสงเกิน เราก็คิดว่าเป็นสาเหตุเดียวกันเพราะ เราก็กินถั่วลิสงเยอะเหมือนกัน เราก็เลยหยุดกินถั่วลิสง และถั่วอื่นๆ ก็รู้สึกดีขึ้น แต่พอวันที่ 4 มาเริ่มกินอีก ก็รู้สึก ปวดอีก เราก็จะขอตั้งศีลหยุดกินถั่วลิสง 1 อาทิตย์ และตั้งจิตสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ เต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรม จะตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี จะทำแต่ความดี ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
ทุกข์ ปวดขา ปวดหลัง
สมุทัย ชังเมื่อปวดขา ปวดหลัง ชอบเมื่อขาและหลังไม่ปวด
นิโรธ ไม่ชอบ ไม่ชัง เมื่อปวดขา ปวดหลัง หรือไม่ปวดขา ไม่ปวดหลัง
มรรค เมื่อเรารู้สาเหตุของการปวดขา ปวดหลัง มาจากการกินถั่วลิสงมากเกิน จึงตั้งศีลหยุดกินถั่วลิสง 1 อาทิตย์ และตั้งจิตสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี จะทำแต่สิ่งที่ดี ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
สรุป เมื่อเรารู้สาเหตุของทุกข์แล้ว เราก็ตั้งศีล หยุด กินถั่วลิสง 1 อาทิตย์ และตั้งจิตสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ เต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรม และจากนี้เราจะกินถั่วลิสงให้น้อยลงและกินถั่วฤทธิ์เย็น แทน
การบ้านอริยสัจ 4 20/11/64
เรื่อง: สงสารแม่
แม่ของผู้เขียนมีอาการคันกำเริบขึ้นทั่วใบหน้าและร่างกาย บางคืนคันจนไม่ได้นอน เราในฐานะลูกก็รู้สึกสงสาร ไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานแบบนี้
ทุกข์ : สงสารแม่ที่เห็นแม่ป่วย
สมุทัย :ชอบใจถ้าแม่มีสุขภาพแข็งแรงดี ชังที่เห็นแม่ต้องทุกข์ทรมานจากการคัน อยากให้ท่านหายเร็ว ๆ
นิโรธ : สุขภาพของแม่จะเป็นอย่างไรก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : ที่เราทุกข์เพราะ เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับแม่ของเรา เราไม่ชอบที่จะเห็นท่านทุกข์ เราเห็นว่าท่านอายุมากแล้ว อยากให้ท่านอยู่อย่างสบาย ๆ มีสุขภาพที่ดี ไม่ต้องเจ็บป่วย แต่ที่จริงแล้วคือ ไม่มีใครหนีการเกิดแก่เจ็บตายไปได้ ทุกชีวิตมีวิบากกรรมเป็นของ ๆ ตน อาการคันเป็นสิ่งที่ท่านต้องรับ แม่ก็ต้องยินดีรับวิบากนั้น เราในฐานะเป็นลูกแม้ลึก ๆ แล้วจะรู้สึกสงสารท่าน แต่ก็ต้องทำใจยินดีให้ได้ที่ท่านจะต้องรับวิบากอันนี้ จึงชวนแม่ร่วมกันตั้งศีลลดกิเลส ทำความดีเพิ่มขึ้นให้มาก ๆ
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 109“ ความเข้าใจ เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เป็นรหัสเป็นปัญญาที่จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุด มีฤทธิ์ที่สุดในการดับทุกข์ ในการคลายความยึดมั่นถือมั่น ในการเข้าสู่ความผาสุกที่แท้จริง วิบากต้องรับ กิเลสต้องล้าง พุทธะจึงจะเกิด ”
สรุป พิจารณาแบบนี้แล้วใจก็โล่งสบายขึ้น เพราะเชื่อและชัดในเรื่องกรรมว่า ไม่มีใครหนีพ้นวิบากกรรมที่ตนทำมาได้
เรื่องที่ 45
ชื่อเรื่อง กล้าให้เกิดเรื่องร้าย
เรื่องย่อ น้องสาวไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิค เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นว่าวัคซีนที่ผลิตมาเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ เขาเป็นสาวกของการต้านสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ พี่ๆหลายคนจะพูดให้เหตุผลอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง เราเห็นว่าศีลเขายังไม่ดี ยังกินเนื้อสัตว์และเขาต้องไปตลาดและอยู่บ้านเดียวกับแม่ซึ่งอายุ 82 ปี และตอนนี้กำลังจะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว บ้านก็อยู่กรุงเทพฯ มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เราเลยตัดสินใจที่จะพูดกับน้อง ให้ไปฉีดวัคซีน แต่เขาก็ยืนกรานที่จะไม่ไปฉีดวัคซีน เกิดความรู้สึกหนักใจเพราะเป็นห่วงแม่ เมื่อเห็นความทุกข์ในใจ จึงสร้างความกล้า กล้าให้น้องติดโควิด กล้าให้แม่ติดโควิด กล้าให้เกิดเรื่องร้ายทุกเรื่อง ถ้าเกิดเรื่องร้ายแสดงว่ามันเป็นวิบากร้ายที่เราต้องรับ ณปัจจุบันเราต้องไม่เบียดเบียนตัวเองเราต้องยินดีได้ในทุกเรื่อง
ทุกข์อริยสัจ___ความหนักใจ
สมุทัย_______อยากให้น้องมีสัมมาทิฏฐิ กลัวว่าน้องจะติดเชื้อ กลัวว่าน้องจะแพร่เชื้อให้แม่
นิโรธ________สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีที่สุดแล้ว ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์
มรรค________ใช้ปัญญาแก้ความกลัว สร้างความกล้าในใจ กล้าที่จะได้รับผลร้ายในเรื่องต่างๆ ถ้าเกิดเรื่องร้ายใดๆกับเราแสดงว่าเป็นวิบากรายที่เราต้องรับ มันก็ต้องรับ รับแล้วก็หมดไป ไม่ต้องทุกข์ ใจ
เรื่องที่ 46
ชื่อเรื่อง กล้าให้เกิดเรื่องร้าย
เรื่องย่อ ที่บ้านเป็นตึกแถว บ้านข้างๆเขาเปลี่ยนเจ้าของใหม่ มีการปรับปรุงบ้านมากมาย มีกลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ลอยมาถึงบ้านเรา และมีเสียงทุบตึก ทุบผนังบ้านดังมากสะเทือนมาก รู้สึกกังวลเพราะใช้ผนังตึกร่วมกัน 1 ด้าน
ทุกข์อริยสัจ__กังวลใจ
สมุทัย______กลัวว่าบ้านเราจะเสียหาย กลัวว่าสุขภาพเราจะไม่ดีเพราะต้องดมทินเนอร์นานๆ
นิโรธ_______ยินดีพอใจทุกสถานการณ์
มรรค_______เห็นความกังวลใจแล้วก็สร้างความกล้าที่จะรับเรื่องร้ายใดๆ กล้าที่บ้านจะเสียหาย กล้าที่จะเจ็บป่วยเพราะได้รับสารพิษ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา มันเป็นสมบัติของเรา เราต้องรักษาศีลรักษาใจ มากกว่ารักษาบ้าน มากกว่ารักษาสุขภาพ
เรื่องที่ 47
ชื่อเรื่อง ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ
เรื่องย่อ ในระยะเวลา 2-3 ปีที่ตั้งใจจะปลูกผักสวนครัว ด้านหลังบ้านเนื้อที่ประมาณ 2 x 4 เมตร ได้ปลูกผักไปแล้วหลายอย่างเช่นอ่อมแซบ วอเตอร์เครส ย่านาง มะเขือเปราะ กะเพรา โหระพา ผักบุ้ง กวางตุ้ง มะระหวาน ถั่วเขียว ข้าวเจ้า โดยสรุปแล้วพอมันงอกขึ้นมาประมาณคืบหนึ่ง แล้วก็ตายไป ล่าสุดก็ได้พยายามใหม่โดยการปรุงดิน ใช้ขี้เลื่อยและเศษผักมาปรุงดิน ปรากฏว่าพืชที่ใช้เมล็ดปลูกก็งอกขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ค่อยๆตายไป ส่วนพืชที่ซื้อมาเป็นต้นกล้าแล้ว มันก็ไม่โตขึ้น ปลูกมาเดือนกว่าๆแล้ว รดน้ำฉี่รดน้ำหมัก ต้นก็ไม่โต แต่ก็ยังไม่ตาย รู้สึกไม่เบิกบานใจ
ทุกข์อริยสัจ__ไม่เบิกบานใจ
สมุทัย______อยากให้ต้นไม้ที่ปลูกเจริญงอกงาม
นิโรธ_______สิ่งที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว ยินดีพอใจกับความจริงที่ปรากฏขึ้น
มรรค_______สร้างความยินดีพอใจที่ได้พากเพียรทำความดีที่ได้ปลูกพืช ยินดีที่เราได้พยายามทำให้เกิดต้นไม้สัก 1 ต้นในโลกนี้ จะพากเพียรทำความดีต่อไป ไม่ท้อถอย ใจเย็นข้ามชาติ
เรื่อง : กล้าถูกติ กล้ายอม กล้าพ้นทุกข์
เหตุการณ์ : พ่อบ้านบ่นและตำหนิว่า แนนโพสเฟสบุคหมอเขียวมากเกินไป โพสบ่อย ดูน่ารำคาญ และพาลจะทะเลาะกันประจำ
เวลาแนนพูดเรื่องอยากไปอยู่กับหมู่กลุ่ม อยากไปเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม พ่อบ้านกลัวแนนทิ้งไปอยู่กับอาจารย์หมอเขียว แล้วก็บ่นว่า อะไรๆก็หมอเขียว
แนนก็อธิบายไปว่า บุญไม่ถึงยังไม่ได้ไปง่ายๆหรอก อย่าคิดมาก เพื่อหยุดให้พ่อบ้านใจเย็นลง ไม่โต้แย้งให้บานปลาย เพราะใจพ่อบ้านปิด จึงไม่ฝืน แนนยอมเงียบไป
ทุกข์ : ขุ่นใจ หมองใจ ที่พ่อบ้านบ่นพ่อบ้านไม่เห็นด้วย
สมุทัย : ไม่ชอบพ่อบ้านบ่น ไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เปิดใจ ไม่ปล่อยให้แนนโพสเฟส สื่อสารกิจกรรมหมอเขียวแพทย์วิถีธรรม ชอบให้พ่อบ้านสนับสนุนหรืออยู่เฉยๆ
นิโรธ : พ่อบ้านเห็นด้วยไม่เห็นด้วย สนับสนุนไม่สนับสนุน พ่อบ้านบ่นและพาล ก็วางใจได้ ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ขุ่นใจหมองใจ
มรรค : แนนรับฟังสิ่งที่พ่อบ้านพูด และพิจารณาตามเหตุตามผลที่พ่อบ้านอธิบาย ยอมเปิดใจรับฟัง มุมมองอีกด้านของคนที่ไม่อินกับสิ่งที่แนนอิน แนนติดตามแพทย์วิถีธรรมมา3ปี ปฏิบัติตามได้บางเรื่องบางอย่างตามกำลังฐานจิต คิดได้ว่า ไม่ได้โพสไม่ได้สื่อสารมีใครเดือดร้อนไหม ลดการสื่อสารลง จะมีผลเสียอย่างไรไหม ? ใจนึงก็คิดว่า เราสื่อสารสิ่งดีงามทำไมพ่อบ้านเดือดร้อนจัง พาลมารำคาญและหงุดหงิดแนนตลอด ก็คิดถึงคำที่ว่า กล้ายอม กล้าพ้นทุกข์ แนนจึงยอมลดการโพสให้น้อยลง พ่อบ้านก็โอเค ไม่บ่น และบ่นน้อยลง
สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา แนนคงเคยไปขัดขวางการทำดีของคนอื่นมา แนนจึงได้รับวิบากครั้งนี้ ให้อภัยพ่อบ้าน ไม่คิดขุ่นใจหมองใจ เขาไม่เข้าใจแนนไม่เป็นไร แนนจะเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น กล้ายอม กล้าหยุดโพส หรือโพสน้อยลง แต่จะเพิ่มการปฏิบัติศีลด้านอื่นๆ ให้เข้มแข็งข้น ความรู้สึกในใจที่ขุ่นๆหมองๆ ก็จางลง คลายลงในที่สุด
สาธุค่ะ
เรื่อง หายทุกข์ฉับพลัน
วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้นอกจากภารกิจปกติที่เคยทำแล้ววันเสาร์มีกิจกรรมสอบใบขับขี่รถยนต์หลังจากเรียนทฤษฎีและปฏิบัติทั้งหมด15ชั่วโมงในช่วงเรียนขับรถ2ชั่วโมงสุดท้ายครูผู้สอนทบทวนการหัดขับ3ท่า 1.จอดรถเทียบริมฟุตบาท 2.เดินหน้าและถอยหลัง3.ถอยหลังเทียบริมฟุตบาท ทำให้เกิดความกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านทำให้ทำพลาดหลายครั้งเห็นกิเลสที่มีความอยากสอบให้ผ่านกลัวสอบไม่ผ่านในใจตนเองเกิดขึ้นขณะเรียนขับรถชั่วโมงสุดท้ายก่อนสอบขับจริงและสอบข้อเขียน
ทุกข์:กลัวสอบใบขับขี่ไม่ผ่าน
สมุทัย: เหตุแห่งทุกข์อยากสอบใบขับขี่ให้ผ่านทั้งทฤษฎีและปฏิบัติชอบที่จะสอบให้ผ่านชังที่สอบไม่ผ่าน
นิโรธ: สภาพดับทุกข์สอบผ่านหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชังไม่กลัวกังวลใดๆ
มรรค:เมื่อเกิดความอยากความกลัวการสอบพิจารณาบททบทวนธรรม”การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเราไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่าที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลสคือความหลงชิงชังรังเกียจหลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา”เมื่อพิจารณาซ๊ำๆจนความกลัวการสอบหมดไปทุกข์ใจก็หมดไปตั้งใจฝึกขับรถและอบรมการใช้รถยนต์ตามกฎจราจร ตั้งใจสอบผลสอบก็ผ่าน ด้วยใจที่เบิกบานแจ่มใสไร้ทุกข์ไร้กังวล
เรื่อง ถามทำไมไม่ตอบ
เหตุการณ์ ลูกไปฉีดวัคซีนมา เราก็ทักไลน์ไปถามว่าเป็นไงบ้าง ลูกไม่ตอบสักที
ทุกข์ กังวลเพราะอยากรู้คำตอบ
สมุทัย ชอบถ้าถามแล้วตอบ ชังถามแล้วไม่ตอบสักที
นิโรธ ลูกจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ใจไร้ทุกข์
มรรค ถามลูกเรื่องไปฉีดวัคซีนมา ว่ามีผลข้างเคียงไหม ลูกไม่ตอบเลยทุกข์ ทุกข์เพราะอยากให้ลูกตอบ พอไม่ได้ดังใจอยากมันจึงทุกข์ เรื่องถามแล้วไม่ตอบเราก็ทำมาเยอะแกล้งไม่ได้ยินคำถามบ้าง มาเจอซะมั่ง ได้ใช้วิบาก ขอบคุณที่ลูกไม่ตอบเลยตั้งจิตสำนึกผิด และใช้ความกล้าที่จะไม่อยากรู้คำตอบ ทุกข์ก็คลายลงได้
บททบทวนธรรม 147
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดีที่สุดแล้ว
(Everything happens for the best)
สรุป ใจก็คลายความอยากลงได้
ส่งการบ้านค่ะ
เรื่อง กินทั้งวัน
เหตุการณ์ ออกมาหน้าบ้านเวลาใด ก็จะเห็นเพื่อนบ้านคนนี้ เขากินอาหารหรือผลไม้ตลอด
ทุกข์ ทำไมเขากินบ่อยจัง
สมุทัย ชัง ที่เห็นเพื่อนบ้านคนนี้กินอาหารหลายมื้อทำให้เป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นทำตาม
นิโรธ เขาจะกินมื้อเดียวหรือหลายมื้อก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค เห็นเพื่อนบ้านกินอาหารหลายมื้อ ทำให้สิ้นเปลืองและสุขภาพไม่ดี ก็เลยมาคิดได้ว่า เพราะเขาไม่รู้ และอดีตเราก็เคยทำแบบนี้จึงเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนทั้งโลกเป็นตาม ซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อ9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเองจึงขอสำนึกผิด สารภาพผิดขอโทษ ขออโหสิกรรม ที่เคยเป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี
สรุป ใจเบิกบานค่ะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะไปร่วมกินด้วยกันค่ะ
เรื่อง : ตอบไม่ได้
เหตุการณ์ : ลุงทักไลน์มาถามว่า ลุงอยากซื้อต้นไม้ไปไว้ในห้องทำงาน จะซื้อต้นอะไรดี ช่วยแนะนำลุงหน่อย
ทุกข์ : ใจร้อนรน อยากมีความรู้เรื่องไม้ประดับไปแนะนำลุง
สมุทัย : ชอบถ้ามีความรู้เรื่องไม้ประดับไปแนะนำลุงได้ ชังที่ไม่มีความรู้เรื่องไม้ประดับไปแนะนำลุง
นิโรธ : จะมีความรู้เรื่องไม้ประดับไปแนะนำลุง หรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อเกิดอาการใจร้อนรน อยากมีความรู้เรื่องไม้ประดับไปแนะนำลุง ก็ต้องมาตรวจใจกัน
มาร : ทำไงดีๆ นี่ไม่รู้เรื่อง ไม้ประดับเลย รู้แต่เรื่องสมุนไพรฤทธิ์เย็น ฤทธิ์ร้อน จะแนะนำยังไงเนี่ย
เรา : ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้สิ
มาร : ลุงอุตส่าห์ทักมาถามเรานะ
เรา : จะให้ทำไงล่ะ ก็มันไม่รู้นี่
มาร : ไปหาข้อมูลในกูเกิลให้ลุงดีไหม
เรา : โอ๊ย ปวดหัว ตอบความจริงไปเลยว่าไม่รู้นี่แหละ
สรุป ใจโล่ง แล้วจึงตอบลุงไปว่าขอโทษนะคะ ไม่มีความรู้เรื่องไม้ประดับ ไม่สามารถแนะนำลุงได้ค่ะ สาธุ
กล้าหยุดชั่วทำดี
ฝึกการประมาณในการกินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากเรากินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จนกระทั้งต้องได้รับความทรมานไม่สบายกาย ไม่แช่มชื่น เป็นอยู่หลายครั้ง และวันนี้ก็เหมือนกัน พอกินข้าวใกล้อิ่มก็เห็น ความอาลัย อาวรณ์ อีกครั้ง จับได้ว่าเรามีความกลัวว่าเรากินอาหารได้ไม่พอ และถ้ากินไม่พอจะต้องไปกินนอกมื้อ กลัวว่าผิดศีล
ทุกข์ กลัวกังวลว่าเรากินอาหารได้ไม่พอ กลัวประมานผิด กลัวต้องไปกินนอกมื้อ
สมุทัย ไม่อยากประมาณผิด กลัวว่าจะหิวถ้าเรากินไม่พอ แล้วเราก็ต้องไปกินนอกมื้อ
นิโรธ กล้าประมานการกระทำ และพร้อมยอมรับผลด้วยความยินดี
มรรค พอเห็นอาการใจที่มีความกลัวกังวลในการประมาณผิด กิเลสหลอกเพราะเราให้ทำตามหลายครั้ง ผลก็คือได้รับความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะเราเบียดเบียนตนเอง วันนี้เลยทำใจว่าเราจะหยุดกินตอนที่กายยังเบาสบายอยู่ ไม่กินจนอิ่มเกินความพอดี และพร้อมรับผลถ้ามันหิวหรือถ้าร่างกายต้องการจริงเราสามารถเติมได้ คิดถึงคำพูดของอาจารย์ว่าขาดไว้ดีกว่าเกิน เพราะขาดเราสามารถเติมได้ แต่พอเราเอามาเกินต้องได้รับความไม่สบายกายและทรมาน หนักเนื้อ หนักตัว ไม่แช่มชื่น เป็นแรงหนี่ยวนำที่ไม่ดี เราเอามามากก็ทำให้โลกขาดแคลน เป็นวิบากร้ายเหนี่ยวนำสิ่งไม่ดีมาให้
ปรากฎว่าผลจากการที่เรากินพอดีไม่อิ่มเกินเหมือนทุกวัน พบว่าเราได้ความเบาสบาย และไม่ได้หิวเลยอย่างที่กิเลสหลอกเราเลย เป็นอานิสงค์จากการที่เรากล้าหยุดชั่วไม่ทำตามกิเลส และกล้าที่จะให้ดีร้ายเกิดได้ตามกุศลอกุศลออกฤทธิ์ สาธุค่ะ
เรื่องทุกข์เพราะยึด
เหตุการณ์: ได้นำต้นกล้ามะละกอลงปลูกในสวน ประมาณ 40 ต้น หลังปลูกไปได้ 1 วันเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน 5 วัน ผลปรากฏว่ามะละกอที่ปลูกไว้สำลักน้ำตายเกินครึ่ง
ทุกข์: ทุกข์ใจ
สมุทัย: ยึดมั่นถือมั่นว่า ชอบใจถ้ามะละกอไม่ตาย ชังที่มะละกอตาย
นิโรธ: มะละกอจะตายหรือไม่ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ยินดีรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มะละกอจะตายหรือไม่ตายก็เป็นเรื่องของมะละกอ ถ้ารอดตายก็ดูแลรักษาต่อไป แต่ถ้าตายเราก็ปลูกใหม่ และที่สำคัญคือเราได้เรียนรู้การฝึกวางใจ ไม่ติดยึดกับวัตถุสิ่งของ ด้วยใจที่ไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจที่ไม่ทุกข์ไม่กลัว ไม่กังวล คือใจที่ยินดีรับได้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมาในชีวิต ไม่ว่าจะเกิดเรื่องดีหรือร้าย ถ้าเจอเรื่องดีแสดงว่าวิบากดีออกฤทธิ์ เราก็ทำดีต่อไป แต่ถ้าเจอเรื่องไม่ดีแสดงว่าวิบากร้ายออกฤทธิ์ เราก็ยินดีรับร้ายนั้น รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น ตามบททบทวนธรรมข้อที่ 89″ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้” เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าว อาการทุกข์ใจก็หายไป ใจก็กลับมาเบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม พร้อมที่จะทำกิจกรรมการงานได้ต่อไป
เรื่อง บอกแล้วทำเฉย
เหตุการณ์ : ตัวเองลงทะเบียนค่ายออนไลน์แล้วก็เตือนพ่อบ้านให้ลงด้วยแต่เขาก็เฉย มารมาทันทีบ่นในใจว่า ไม่สนใจไม่เอาใจใส่ไม่รู้จักหน้าที่ รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา พอถึงวันสุดท้ายเขามาขอร้องให้หาแบบฟอร์มให้
จะลงทะเบียน จึงพูดว่าอย่างนี้ทุกทีเลย แต่ก็หาให้จนเขาได้ลงทะเบียนเสร็จ
ทุกข์ : รู้สึกไม่พอใจ ที่พ่อบ้านทำเฉย
สมุทัย : ยึดมั่นถือมั่นว่า พ่อบ้านต้องทำตามที่เราบอก ชอบถ้าพ่อบ้านทำตามที่บอก ชังที่พ่อบ้านเฉย
นิโรธ : พ่อบ้านจะทำตามหรือไม่ ทำตาม ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค:พิจารณาว่าความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เป็นทุกข์ เป็นสิ่งไม่ควรได้ไม่ควรมี ที่เรารู้สึกไม่พอใจเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของเราเอง อยากให้เขาทำตามที่เราบอกทันทีอ้างว่าหวังดีแต่ไม่วางดี ในเมื่อเราได้บอกแล้วเขาจะทำหรือไม่ทำก็เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่เราจบตั้งแต่ได้บอกแล้ว จึงได้ใช้บททบทวนธรรมมาพิจารณาล้างความยึดด้วยบทที่ 84 ว่า”ล้างความยึดมั่นถือมั่นของใจได้สำเร็จ คือ ความสำเร็จที่แท้จริง” ใช่จริงๆเมื่อเราล้างความยึดมั่นในใจได้ความรู้สึกไม่พอใจ ก็หายไป ใจไร้ทุกข์ เหมือนเดิม
เรื่อง เปลือกตาขวาบวม
เหตุการณ์ นอนตื่นมา พบว่าตาข้างขวาหนัก ๆ ลืมไม่ค่อยขึ้น
ทุกข์ กังวลใจ อยากรู้ว่าเปลือกตาที่บวมเกิดจากอะไร
สมุทัย ชอบถ้ารู้ว่าเปลือกตาที่บวมเกิดจากสาเหตุอะไร ชังอาการสงสัยอยากรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร
นิโรธ อยู่กับปัจจุบันที่เกิดขึ้น แก้ไขที่ใจที่กิเลสมาหลอกให้ไปไขว่คว้าหาอดีต แก้ไขอาการเจ็บป่วยไปด้วยใจไร้ทุกข์
มรรค มาพิจารณาดูจากปัจจุบันที่เห็นว่ามียุงตัวใหญ่หลายตัวรุมกัดอยู่ในบ้าน และทำให้เกิดอาการ บวมทันที คันมากจนต้องเกาและทายาหมอ่งบ่อย ๆ ปกติก็จะใช้ถุงครอบแล้วเอาไปปล่อย แต่เที่ยวนี้ไม่ได้ทำ พอกลางคืนที่หลับไป เขาคงมากัดเพิ่มเข้าที่เปลือกตาขวาบน ทำให้พิษของเขากระจายไปทั่ว เกิดอาการบวมขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนเช้าที่ตื่นมา การที่เขามากัดที่เปลือกตาได้แสดงว่าเราก็ต้องหลับอยู่ เรามาระลึกถึงว่าเราเองก็เคยฆ่ายุง ตบยุงมาไม่รู้เท่าไหร่ เขามาขอเลือดเพียงเล็กน้อยจะเป็นไร เขาไม่มาเอาชีวิตเราก็ดีแล้ว นึกขอโทษ ขออโหสิกรรมที่เราเคยพลาดทำมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดีที่สุดแล้ว และดูแลตนเองด้วยยาเก้าเม็ดเท่าที่ได้ สรุป ใจก็คลายความอยากลงได้ อาการบวมก็ยุบลงเรื่อย ๆ
Comments are closed.