641031 แบ่งปันสภาวธรรม อริยสัจ 4 (44/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชาราม แบ่งปันสภาวธรรมการใช้หลักอริยสัจ 4 ในชีวิตประจำวัน ประจำวันที่ 26-31 ตุลาคม 2564
สรุปสัปดาห์นี้มีผู้แบ่งปัน 27 ท่าน 35 เรื่อง
- จาริยา จันทร์ภักดี
- นฤมล ยังแช่ม
- ทัศนีย์ จันทา
- พวงผกา โพธิ์กลาง
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- จิรานันท์ จำปานวน (2)
- สุวรรณ กังวานนวกุล
- พรทิพย์ ไทยเอียด (5)
- ชวนชม คำท้วม (4)
- ภัคเปมิกา อินหว่าง
- พรรณทิวา เกตุกลม
- ศศิกาญจน์ กาพย์ไกรแก้ว
- สุมา ไชยช่วย
- นาลี วิไลสัก
- เพ็ญศรี มงคลชาติไทย
- รัชกร กุลเสวต
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- พรพิทย์ สามสี
- ณัฐพร คงประเสริฐ
- นปภา รัตนวงศา
- ศิริพร ไตรยสุทธิ์
- จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
- รมิตา ซีบังเกิด
- RUAM KETKLOM
- เสาวรี หวังประเสริฐ ( สืบสานศีล )
- กิรณา สุขสุดกุลธน
- ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
เรื่อง กังวลไปก่อน
เนื่องด้วยตัวเองจะบำเพ็ญร่วมกับพี่น้องในรายการอาหาร ที่เป็นผักปลูกง่ายได้ใช้ประโยชน์นำมาเป็นเมนูอาหาร ซึ่งตอนนี้เริ่มหน้าฝนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่ต้องเตรียมโยกย้ายของหนีน้ำท่วมมาเกือบทุกๆปีเลย เวลาเอาแน่ไม่ได้ เคยเจอทุกๆปีหนีน้ำกันหลายรอบ รู้สึกกังวลใจ
ทุกข์ : กังวลใจ
สมุทัย : ยึดว่าถ้าน้ำไม่ท่วมคงจะดีไม่ต้องขนของหนีน้ำท่วม
ชอบที่น้ำไม่ท่วม
ชังถ้าเกิดน้ำท่
วม
นิโรธ : น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมตอนไหน ก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ก็น้ำท่วมเป็นเรื่องของธรรมชาติ
มรรค : ได้มาปรับความคิด อ้าว น้ำยังไม่ท่วมทีแล้วเรา จะเชื่อกิเลสทำไมว่าน้ำจะท่วมเหมือนทุกครั้งตอนเดือนพฤศจิกายน ก็เหตุยังไม่เกิดแล้วเราจะหลงกังวลใจให้โง่ทำไม เราก็ต้องพร้อมรับพร้อมปรับกันดีกว่า เชื่อกิเลสมันทุกข์ ไม่เอา เชื่อพุทธะดีกว่าจะได้พ้นทุกข์
ได้มาอ่านบททบทวนธรรม ข้อที่ 56 “ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างมันไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถือมั่น ต้องพร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา นำมาพิจารณาทำให้ความกังวลใจจางหายไป ใจกลับมาเบิกบานแจ่มใส
กิเลสตัวโต
สิ่งที่ชอบกินมากที่สุดคือ ข้าว กล้วย ถั่ว หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมากินข้าวเหนียว กับกล้วยปิ้ง และถั่วลิสงลายเสือ ประมาณ 2-3 วัน ติด ๆ กัน แต่กินในปริมาณที่เกินเพราะกินด้วยความชอบ ไม่ได้กินเพื่อปรับสมดุลร้อนเย็น ทำให้มีอาการไม่สมดุลร้อนเย็นเกิดขึ้น มีเลือดออกที่ปาก เป็นเลือดสด ๆ ตอนนั้นตื่นมาตอนเช้าประมาณตี 3 รู้สึกว่าในปากมีรสอะไรแปลก จึงบ้วนน้ำลายออกปรากฎว่ามีเลือดไหลออกมา จึงอาปากดูที่กระจก เลือดเต็มเลย น่าจะออกมาจากบริเวณฟันที่ครอ่บไว้ วินาทีนั้นรู้สึกตกใจ แล้วก็คิดว่ามันจะหยุดไหลไหมนะ
ทุกข์ กังวลใจว่าเลือดที่ออกมาจะหยุดไหลรึเปล่า
สมุทัย อยากจะเลือดที่ออกมาหยุดไหล
นิโรธ กล้าที่จะให้เลือดจะหยุดไหล กล้าที่จะให้เลือดไม่หยุดไหล
มรรค ณ ขณะนั้นที่รู้สึกได้ว่ามีความกลัว กัังวลใจว่าเลือดจะหยุดไหล ก็นึกถึงคำพูดของอ.หมอเขียวว่า ถ้าเราปฏิบัติศีลดีเมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ก็จะไม่มีกลัว ความหวั่นไหวใด ๆ แต่นี้เรายังปฏิบัติศีลไม่ดีกินข้าวเหนียว กล้วยปิ่้ง ถั่วลิสงลายเสือ หลายวันติดกันเป็นเหตุให้เกิดภาวะร้อนเกิน เลือดจึงออก นึกถึงบททบทวนธรรมที่ว่า รับเต็ม ๆ หมดเต็ม ๆ เจ็บก็เจ็บ ปวดก็ให้มันปวด ทรมานก็ให้มันทรมาน ตายก็ให้มันตาย เป็นไงเป็นกัน รับเท่าไรหมดเท่านั้น สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง ก็เราทำตัวเราเองนี่นา จะโทษใคร กิเลสเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง เพิ่มกิเลส เพิ่มทุกปัญหา ลดกิเลส ลดทุกปัญหา มาตาลีเทพสารถีมาเตือนว่าสิ่งใดเป็นกิเเลส เป็นโทษ ให้ลด ละเลิก จะต้องทุกข์มากกว่านี้หรือถึงจะออกจากมา ในวันต่อมาก็ไม่กินข้าวเหนียว แต่ยังกินกล้วยปิ้งอยู่ เลือดก็ออกน้อยกว่าวันแรก ทำให้เห็นว่าโรคจะลดลงเท่ากับปริมาณกิเลสที่เราลดได้ ลดกิเลสรักษาโรค ถ้าไม่ลดกิเลส ก็ไม่หาย รักษาโรคก็ต้องรักษาที่ต้นเหตุ วันต่อมาก็ไม่กินทั้งข้าวเหนียว ทั้งกล้วยปิ้ง ไม่มีเลือดออกอีก การลดกิิเลส ทำให้สมดุลร้อนเย็น ทำให้หายจากโรคได้ด้วยประการฉะนี้แล
การปฏิบัติศีล และอยู่ในหมู่มิตรดี ได้แลกเปลี่่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้เรามีปัญญา มีพลัง ที่จะตั้งศีลสู้กับกิเเลส แต่กิเลสข้าวเหนียวเมื่อไม่ได้กินแล้ว ก็หาสิ่งอื่นมากินทดแทนก่อนคือข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีรสชาติใกล้เคียงกัน แต่มีฤทธิ์ร้้อนน้อยกว่าข้าวเหนียว เราสามารถที่จะทำได้แค่นี้ พอใจแค่นี้ก่อน จะพากเพียรล้างกิเลสในส่วนที่เหลือ
25/10/64
ชื่อ ทัศนีย์ จันทา(แตงไทย)
อายุ49ปี 64087
เรื่อง:จะลงภาคไหนดี
เมื่อกรอกแบบฟอร์มสมัครเรียนวิชารามกรอกทุกอย่างพอมาถึงข้อที่เขาถามว่าจะเป็นจิตอาสาภาคไหน ใจก็คิดว่าจะอยู่ ภาคไหนดี เราคบคุ้นกับพี่น้องทางใต้ถ้าจะสมัครลงภาคใต้ แต่กิเลสมันบอกว่าภาคใต้ไกลนะเกิดเขาที่ทำกิจกรรมจะไปได้เหรอ คิดไปคิดมาเลยเลือกภาคอีสานเพราะระยะทางใกล้กว่าแต่เราไม่คุ้นกับใครเลย
ทุกข์:กังวลว่าเราคบคุ้นกับพี่น้องที่สวน2อยู่ แต่ไปลงภาคอีสานต้องหาเพื่อนใหม่อีกยังไม่คุ้นกับใครเลย
สมุทัย:ชอบที่จะเลือกลงภาคใต้เพราะเราคบคุ้นกันแล้ว ชังที่ไม่ได้ลงภาคใต้
นิโรธ:เราจะลงภาคใต้หรือภาคไหนก็ไม่ชอบไม่ชัง ดีสะอีกจะได้มีหมู่มิตรดีเพิ่มขึ้น
มรรค:ตอนแรกเราก็ไม่คุ้นกับพี่น้องภาคใต้เหมือนนี่นากว่าจะคบคุ้นกันใช้เวลาตั้งหลายเดือน
พิจารณาแล้วเลือกลงภาคอีสานเดี๋ยวเราก็ค่อยเริ่มคบคุ้นกันใหม่ เพราะอยู่ที่ไหนก็ได้บำเพ็ญเหมือนกัน พี่น้องทางใต้เราก็ยังคุยกันได้เหมือนเดิม คิดได้ดังนั้นก็วางใจอยู่ไหนก็ดีเหมือนกัน
เรื่อง อยากได้เลยไม่ได้
เนื้อเรื่อง ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่ มีน้องคนหนึ่งเดินมาแจกเห็ดย่าง ตากระรูปแค่แว๊บเดียวใจก็พยาบาทไว้แล้วว่าอยากกิน แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมาทางกาย แต่นั่งลุ้นในใจว่าฉันจะได้ไหมน้อ วิบากดีร้ายสังเคราะห์กันแล้วว่าให้เธอ 1 ดอกเล็ก ๆ พอได้กินเห็ดก็เห็นจิตที่ชอบในรสของเห็ดที่มีความกลมกล่อม เกิดอาการอยากได้เพิ่ม
สักพักเด็กคนเดิมเดินมาแจกอีก ตอนนั้นเราเดินออกไปตักอาหารอีกด้านหนึ่ง
ลุ้นว่าจะได้ไหมน้อ ตั้งศีลปัจจุบันว่าถ้าอยากได้จะไม่เดินไปหยิบ ถ้าจะได้น้องเขาจะเดินมาแจกทางเราเอง ดูว่ากุศลหรืออกุศลจะออกฤทธิ์ สุดท้ายน้องเขาก็เดินสวนทางกับเราไปคนละทาง สรุปก็ไม่ได้เห็ดเพิ่ม
ทุกข์ ใจไม่สงบลุ้นอยู่ตลอดว่าจะได้เห็ดหรือไม่ได้เห็ด
สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ ยึดว่าถ้าได้เห็ดเพิ่มสมใจอยากจะสุขใจชอบใจ แต่พอไม่ได้เห็ดสมใจอยากก็ทุกข์ใจไม่ชอบใจ
นิโรธ แม้ไม่ได้เห็ดสมใจอยากก็สุขใจไม่ทุกข์ใจ
มรรค พิจารณาไตรลักษณ์ความอยากได้ อยากกิน มันเป็นทุกข์มันไม่ใช่สุข มันไม่เที่ยงไม่มีตัวตน มันคือสุขปลอมทุกข์จริง อยากได้มาก็ทุกข์ใจเพราะกลัวจะไม่ได้เห็ด พอได้มาก็กลัวจะหมดไปเพราะไม่อยากให้ความรู้สึกว่ารสกลมกล่อมหายไปอยากให้อยู่กับเรานาน ๆ พอได้มาก็สุขใจแค่แว็บเดียว หลังจากนั้นก็หายไป เดียวก็อยากใหม่อีก อยากแรงกว่าเดิม เสียพลังงานแทนที่จะเอาพลังงานไปทำประโยชน์ กลับต้องมาหมกมุ่นอยู่กับกิเลส ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นบาป 11 ประการ ทำให้ปัญญาดับ อยากออกจากทุกข์แต่ทำกลับหัวคือหามาเสพให้สมใจตัวเอง ได้ดั่งใจกิเลสตัวกว่าเดิม
ชอบอะไรในเห็ดชอบรสชาติที่กลมกล่อม ความจริงเห็ดเขาก็มีรสอย่างนี้ของเขา แต่ใจที่ไปชอบว่ามันกลมกล่อมนี่มันวิปลาส เพราะถูกอวิชาครอบงำมาหลายภพหลายชาติแล้ว เปลี่ยนความคิดใหม่ได้แล้วมาเชื่อพุทธะได้แล้วจะหลงไปอีกกี่ชาติ ชาตินี้มีโอกาสแล้วต้องแกล้วกล้าอาจหาญกำจัดกิเลสตัวอยากเห็ดให้ได้ เพราะล้างความอยากครอบครองเห็ดได้ก็จะล้างความอยากอย่างอื่นได้เพราะเป็นตัวเดียวกัน หมดอยากหมดทุกข์ ผาสุกยั่งยืน
อริยสัจ 4
เรื่อง หมอกลงจัด
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนวันศุกร์ฝนได้ตกหนักและมีลมพายุแรงตั้งแต่วันพฤหัสบดี ทำให้เช้าวันนี้มีหมอกลงหนามาก ขับรถต้องขับช้าลงเพราะต้องระวังไม่ให้รถวิ่งตกขอบถนน เห็นใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มือทั้ง 2 ข้างเหงื่อเริ่มออกจนรู้สึกได้ พยายามตั้งสติควบคุมอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหวและระมัดระวังความเร็วของรถ เพื่อจะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
ทุกข์ : ใจสั่น กลัว หวั่นไหวว่าจะขับรถตกถนน เพราะหมอกลงหนาจัดมองไม่เห็นไหล่ทาง
สมุทัย : ไม่อยากให้มีหมอกลงหนาจัดขนาดนี้ จะได้ขับรถได้สะดวกไม่ต้องระวังมาก ชอบที่จะขับรถและมองเห็นถนนได้ถนัด ไม่ชอบที่มีหมอกลงหนาจัดทำให้เป็นอุปสรรคในการขับรถ
นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชังที่หมอกจะลงหนาจัดทำให้ขับรถไม่สะดวก ข้าพเจ้าเองต่างหากที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถให้มากขึ้น และจะต้องขับรถให้ช้าลง ระวังให้มากกว่าเดิม
มรรค : เมื่อข้าพเจ้าได้ระมัดระวังและวางใจ เชื่อในตัวเองว่าได้ทำเต็มที่แล้ว และกล้ายอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำให้ใจที่กำลังสั่นกลัว และอาการทางกาย นั้นเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ขับรถไปถึงที่ทำงาน แม้จะช้าแต่ก็ปลอดภัย ถือว่าข้าพเจ้าได้ทำดีแล้ว ก็ได้อนุโมทนาและขอบพระคุณกับตัวเองที่ได้มีสติและควบคุมอารมณ์ได้อย่างแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
ท่านอาจารย์หมอเขียวสอนว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการดับทุกข์ใจให้ได้” เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะดับทุกข์ใจไม่ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังสามารถพาให้ข้าพเจ้าผ่านพ้นความกลัวมาได้อย่างปลอดภัย
กราบขอบพระคุณมาตาลีเทพสารถี (คือ หมอกที่หนาจัด) ที่ท่านมาเสมือนเตือนให้ข้าพเจ้าขับรถให้ช้าลง และให้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เหมือนเป็นการเตือนสติให้ข้าพเจ้าอีกทางหนึ่ง
กราบขอบพระคุณเหตุการณ์และท่านที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ทุกท่านที่ได้มาเป็นผัสสะให้ข้าพเจ้าได้กลับมาดูใจและกายตัวเองอย่างมีสติ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะแก้ไขไม่ได้ค่ะ สาธุ
เรื่อง เกือบจะจุ้นจ้าน
เหตุการณ์ : เราขับรถซาเล้งไป พอใกล้จะถึงบ้านลูกค้าที่สั่งไอติมพ่อ เราก็เกิดอาการยึกยักว่า เราจะจอดรถรับเงินค่าไอติมไปให้แม่ดีไหม ถ้าพ่อรับเองพ่อต้องใช้เงินฟุ่มเฟือยแน่เลย
ทุกข์ : กลัวว่าพ่อจะใช้เงินฟุ่มเฟือย
สมุทัย : ชอบถ้าพ่อใช้เงินอย่างคุ้มค่า ชังถ้าพ่อใช้เงินฟุ่มเฟือย
นิโรธ : พ่อจะใช้เงินอย่างคุ้มค่า หรือฟุ่มเฟือย ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อใกล้จะถึงบ้านลูกค้ามารก็มาทำหน้าที่
มาร : เราจอดรถรับเงินค่าไอติมแทนพ่อดีไหมนะ รับแล้วเอาไปให้แม่เลย ไม่ต้องให้พ่อจับเงิน เพราะพ่อใช้เงินฟุ่มเฟือย
เรา : จุ้นจ้าน วุ่นวาย ไอ้พรหม 3 หน้า
สรุป โล่งใจ หัวเราะและขับรถต่อไปอย่างสบายใจ สาธุ
เรื่อง : กำไรของเรา
เหตุการณ์ : มีญาติท่านหนึ่งมายืมรถมอเตอร์ไซค์เรา เราก็ยินดีให้ยืม พอญาติเอารถมาคืน เราก็เห็นสภาพรถ เรารับไม่ได้ที่ญาติไม่ช่วยดูแลรักษาเลย
ทุกข์ : โกรธที่ญาติไม่ดูแลรักษารถ
สมุทัย : ชอบถ้าญาติดูแลรักษารถ ชังถ้าญาติไม่ดูแลรักษารถ
นิโรธ : ญาติจะดูแลรักษารถหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อเห็นสภาพรถ ก็เกิดอาการโกรธ
มาร : โอ้โห ใช้รถยังไง สภาพถึงได้เป็นอย่างนี้ ไม่คิดจะดูแลรักษาช่วยเลยรึ ครั้งหน้าไม่ให้ยืมแล้ว
เรา : ได้ไงเราตั้งศีลแบ่งปันไว้ต่อหน้าหมู่กลุ่มแล้วนะ เจอสภาพรถแค่นี้จะดับผัสสะ ไม่ให้ญาติยืมรถซะงั้น
มาร : ก็รถคันนี้กว่าเราจะเก็บเงินซื้อได้ เราต้องทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านมิสเตอร์โดนัทตอนที่เรียนมหาลัย เก็บเงินตั้งหลายเดือน จะให้พังง่ายๆ อย่างนั้นรึ รับไม่ได้ หัวเด็ดตีนขาด ยังไงครั้งหน้าก็ไม่ให้ยืม ไม่ๆๆๆๆ
พิจารณาอยู่หลายวัน ได้ฟังธรรมจากอาจารย์ที่เล่าเรื่องที่คนไข้รักษาตัวหมดเงิน 20 ล้าน พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาธรรม เราก็เอามาใช้ กิเลสก็ลดลงมา แต่ก็ยังเหลือติ่งอยู่ จนได้มาเข้าหมู่กลุ่มขณะที่พี่น้องเล่าสภาวะ ก็สะดุด คำว่า ผัสสะคืออุปการะคุณ พอได้ฟังคำนี้โล่งเลย ใจเบาสบาย ต้องขอบคุณญาติท่านนี้ ท่านมีประโยชน์มากที่มายืมรถเรา ทำให้เราได้เห็นกิเลส ได้ล้างกิเลสตัวหวงรถที่มันเก็บเงินซื้อเอง รู้สึกได้กำไรต้องตอบแทนคุณญาติท่านนี้ และเข้าใจคำสอนของพ่อหลวง ขาดทุนของเราคือกำไรของเราชัดเจนขึ้น
สรุป โล่งใจ สบายใจ สาธุ
เรื่องที่ 44
ชื่อเรื่อง กล้าไม่ทำตามกิเลส
เรื่องย่อ วันหนึ่งน้องมาติเรื่อง สาย detox ของเรา สกปรกมากแล้วควรล้างได้แล้ว แต่เราเห็นว่ามันยังไม่สกปรกมาก เรายังไม่อยากล้างตอนนี้ อยากทำงานอื่นที่เร่งด่วนมากกว่า แล้วน้องก็เริ่มบ่นเสียงดัง และพูดเหตุผลมากมายที่จะให้เราไปล้างโดยเร็ว ใจเราต่อต้าน ไม่อยากทำตามที่น้องบอก พอเห็นตัวต่อต้านในใจ จึงพิจารณาว่าเราต้องกล้าที่จะไปล้างเดี๋ยวนี้ อย่าทำตามกิเลสเรา แล้วก็ลุกขึ้นไปล้างสายดีทอกซ์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะไม่ไปล้างเพราะเห็นว่ามันยังไม่ได้สกปรกมากอย่างที่น้องพูด และเราก็มีงานที่เร่งด่วนกว่า แล้วก็จะตึงเครียดทั้งสองฝ่าย แต่วันนี้พอเรากล้าที่จะไม่ทำตามกิเลสเรา ก็เห็นว่าตัวเราเองมีความสบายใจมากขึ้น น้องก็มีความสบายใจมากขึ้น
ทุกข์อริยสัจ__ความต่อต้านที่เกิดขึ้นในใจ
สมุทัย______ไม่อยากทำตามที่น้องบอก อยากทำงานที่เห็นว่าเร่งด่วนกว่า
นิโรธ_______ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์ ประมาณการกระทำให้พอเหมาะ
มรรค_______ปัญญาเห็นความต่อต้านที่เกิดขึ้นในใจเป็นความทุกข์ เห็นว่าไม่ควรไปต่อล้อต่อเถียงกับน้อง ควรทำความดีที่เรา เริ่มต้นที่เรามากกว่า เราต้องกล้าที่จะไม่ทำตามกิเลสเรา กิเลสมันไม่อยากไปล้างสายดีท็อกซ์ตอนนี้ เราก็บอกมันว่าล้างตอนนี้แหละ จะได้ไม่ต้องวิวาทกับน้อง พอเราละกิเลสตัวเองได้ ก็เห็นว่าบรรยากาศในบ้านดีขึ้น
เรื่อง ทุกข์ใจสัตว์ที่มารบกวนเห็ดที่เราเพาะเลี้ยง
จากการที่เราได้ลงทุนซื้อก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้ามาเพาะเลี้ยงเพื่อไว้รับประทานเองส่วนหนึ่งเหลือแบ่งขายอีกส่วนหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเลี้งไปได้ประมาณ 1 เดือน เริ่มมีแมลงหวี่มาดูดกินเชื้อจากดอกเห็ด ทำให้ดอกเห็ดที่ออกมาใหม่ในแต่ละรอบมีขนาดเล็ก ดอกไม่สวยไม่สมบูรณ์ หาทางแก้ด้วยการฉีดด้วยน้ส้มควันไม้เพื่อไล่แมลงแต่ผลปรากฏว่ายิ่งฉีดดูเหมือนแมลงจะยิ่งมากว่าเดิม สร้างความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิม แถมมิหนำซ้ำยังมีหนูมากัดกินดอกเห็ดที่สมบูรณ์ในตอนกลางคืนด้วย รุ่งเช้าเราตั้งใจจะไปเก็บดอกเห็ดก็ไปเจอรอยดอกเห็ดที่หนูแทะกินหลายๆก้อนต่อคืนหนึ่งๆทำให้เราเกิดอาการหงุดหงิด รำคาญใจขึ้นมา
ทุกข์ : หงุดหงิดใจ รำคาญใจที่มีต่อหนูและแมลงหวี่
สมุทัย : มีความพอใจถ้าหนูและแมลงหวี่จะไม่มารบกวนเห็ดที่เราเพาะเลี้ยงไว้
นิโรธ : หนูและแมลงหวี่จะมารบกวนเห็ดที่เราเพาะเลี้ยงไว้หรือไม่ เราก็วางใจได้ ไม่ทุกข์ใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มรรค : ใช้ธรรมะดับทุกข์คือ กรรมยุติธรรมเสมอ สิ่งที่เราได้รีบ คือสิ่งที่เราทำมา เราต้องเคยสร้างความเดือดร้อน เบียดเบียนชีวิตอื่น สัตว์อื่นมาก่อนแน่นอน รอบนี้เราเลยถูกเบียดเบียนกลับคืนด้วยวิบากที่เคยทำไม่ดีมาก่อนของตัวเอง กล้าที่จะยอมรับในวิบากไม่ดีของตนเอง บอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ ทีนี้จะถูกหนูและแมลงมารบกวนดอกเห็ดเท่าไหร่ เราจะกล้าและยอมรับในความเสียหายซึ่งหมายถึงอาจจะขาดทุนจากการลงทุนซื้อก้อนเชื้อเห็ดบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ เรายอมรับผลนั้นทั้งสิ้นเลิกกังวล เลิกทุกข์ใจ เหลือเท่าไหร่เเอาเท่านั้น ไม่เหลือให้เราก็แล้วไป คิดเสียว่าความเสียหายทั้งหมดนี้ ช่วยให้วิบากไม่ดีที่ไปเบียดเบียนเบียดเบียนชีวิตอื่น สัตว์อื่นมาก่อน หมดไป เราจะได้โชคดีขึ้น ตมคำที่อาจารย์สอน เมื่อคิดได้แบบนี้ ความกังวลใจทั้งหมดก็สิ้นไป ใจสบาย หายกังวล
เรื่อง ไม่ลองไม่รู้
จากการที่เราตั้งศีลไม่กินเนื้อสัตว์อีกโดยเฉพาะเนื้ปลาซึ่งเป็นสัตว์ที่เราชอบมาก และเมื่อไม่กี่วันมานี้เราไปซื้ปลาส้มมาจากตลาดจะเอามาทอดให้ลูกๆและสามีทาน แต่ด้วยความที่เราเองก็ชอบปลาส้มมากเป็นเดิมทีอยู่แล้ว พอทำกับข้าวเสร็จเราก็ตักข้าวสวยทานกับ กับข้าวอื่นที่เตรียมไว้ให้ตัวเอง ในระหว่างนั้นกิเลสตัวอยาก(กินปลาส้มทอดกับข้าวสวยร้อนๆ) ก็เกิดขึ้น นั่งทานข้าวไป คิดพิจรณาไปว่า ถ้าเราทานตามที่เราอยาก มันก็จะเป็นการผิดศีลที่ตั้งไว้ แต่ไม่ทาน กิเลสในใจมันก็อยาก ไม่ยอม จิตฝ่ายกิเลส มันบอกว่ากินเถอะ ผิดศีลสักมื้อคงไม่เป็นไร นานแล้วที่เราถือปฏิบัติ ลดหย่อนให้ตัวเองบ้างคงไม่เป็นไร ว่าแล้วก็ตักปลาส้มทอดชิ้นเล็กๆ เอามาทาคลุกเคล้ากับข้าวสวยร้อนๆ แล้วทานเข้าไป คำที่1 ทานไปอ่านความรู้สึกไป เออ รสชาติเหมือนเดิมที่เราเคยชอบเลยนะ ทานคำที่ 2 เริ่มรู้สึกมีกลิ่นเหม็นคาวออกมาหน่อยๆ แต่คิดในใจว่า ไม่เป็นไร ทานต่อไปเถอะ ไหนๆ มื้อนี้เราก็รับรู้แล้วว่ามันผิดศีลแน่นอน แล้วเลยทานต่อ เป็นคำที่ 3 พอเริ่มจะเคี้ยวคำที่ 3 กลิ่นเหม็นคาวที่มันเริ่มติดจมูกตั้งแต่คำที่ 2 น้ั้นมันออกอาการชัดเจนในคำข้าวที่3 มีความรู้สึกเหม็นคาวเป็นอย่างมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน พร้อมกับมีอาการ ปวด มวน ในท้องแปล้บๆ และต่อจากนั้นจึงตามด้วยการอาเจียนออกมาจนหมด แต่กลิ่นคาวนั้นยังอยู่ในความรู้สึก หลังอาเจียนเสร็จ เรามาพิจารณาทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งศีลใหม่ว่าต่อไปเราจะไม่ตามใจกิเลสอีกแล้ว เราจะเลิกกินปลาให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อกิเลสอีกแล้ว เราได้บทเรียนจากการผิดศีลในครั้งนี้แล้ว ศีลเขาเตือนเราดีๆแล้ว ถ้าขืนเรายังดื้อด้าน ทำผิดอีกคราวหน้าเขาอาจไม่แค่เตือนเราก็ได้ อาจมีเหตุการณ์อื่นที่มันร้ายแรงหรือไม่ดีมากไปกว่านี้ก็ได้
ทุกข์ : ไม่สบายกาย ปวด มวนท้อง อาเจียน
สมุทัย : ความอยากกินปลาส้มทอดกับข้าวสวย
นิโรธ : จะได้กินปลาส้มกับข้าวสวยหรือจะไม่ได้กิน ก็ไม่ได้มีความรู้สึกปรุงอยากแต่อย่างใด มีความรู้สึกเหมือนกินอาหารอื่นทั่วๆไป จิตเลิกปรุงความอยาก ความอร่อย ความติดในรสชาติของอาหารทุกอย่างที่เรากิน
มรรค : ระลึกถึงคำสอนในบททบทวนธรรม (ข้อที่ 41 ) ที่ว่า สุขจากกิเลส คือทุกข์ที่บรรเทาชั่วคราว เหมือนได้เกาขี้กลาก บวกวิบากร้ายไม่สิ้นสุด เลิกซะ! ข้อที่ (55) อย่าดื้อต่อศีล ดื้อต่อศีลทำให้ทุกข์หนัก ทุกข์หนักมาก ทุกข์หนักที่สุด และข้อที่ 152) เสพกิเลสมีโทษ คือทุกข์หนัก ทุกข์หนักมาก ทุกข์หนักที่สุด จะเสพไปทำไมให้ทุกข์ สิ่งที่เราทำแค่กินเนื้อปลาชิ้นเล็กๆแค่ 3 คำ อาจดูเหมือนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่พอพิจารณาดีๆ จึงเข้าใจได้ว่า จริงๆแล้ วเราทำผิดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าคือผิดศีล 5 ครบหมดทุกข้อ เพราะกิเลศอยากของเราแท้ทีเดียว เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาได้ดังนั้น แล้วทำให้จิตที่ใช้ในขณะตั้งศีลในครั้งใหม่นี้ รู้สึกมีพลังมากขึ้น ใจหึกเหิมในการที่จะต่อสู้กับกิเลสมีมากขึ้น ยิ่งเราได้พิสูจน์ชัดแล้ว ว่าเวลาที่เราทำผิดศีลแล้วมันเกิดโทษเช่นไร มัน ชัดเสียยิ่งกว่าชัด ไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรคาใจ เป็นจริงที่สุด
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสา ส่วนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง รำคาญกิเลสตัวคิดถึง
เหตุการณ์ มีความภูมิใจกับลูกหลังจากได้ไปเยี่ยมลูกได้รู้พฤติกรรมลูก เขาสามารถปรับตัวเข้ากับสมณะ ญาติธรรมได้ดี ผลเรียนเก่งขึ้นมาก มีความภูมิใจมากที่เขาได้ไปเรียนโรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก มีความปิติมาก แต่ในบางเวลาโดนกิเลสหลอกอยากอยู่ใกล้ลูก ไม่อยากห่างลูกเลย ทุกข์กับการห่างลูก ไม่อยากให้มีการห่างกันทุกข์ ไม่ชอบใจที่ยังคิดถึงลูก อยากอยู่ใกล้ลูก
สมุทัย ชอบถ้าได้อยู่ใกล้ลูกชังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ลูก
นิโรธ ลูกจะได้อยู่ใกล้เราหรือไม่ได้อยู่ใกล้เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค กิเลสบอกรู้แหละว่าดีที่ลูกไปเรียนที่นู่น แต่มันคิดถึงนะ บอกกิเลสคนเราก็ต้องพรากกันอยู่แล้ว ไม่พรากตอนเป็น ก็ต้องพรากตอนตาย มันทุกข์ก็ไปปรึกษาสมณะ พอคำว่าเขาไปบวชแค่ 6 ปีเอง คำว่าบวชมันสามารถทำให้เราหยุด ความคิดถึงลูกได้ ห่างเขาได้ ก็จะเพิ่มศีลปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆลูก จะไม่เป็นตัวถ่วงลูก ไม่ให้กิเลสดึง เดี๋ยวส่งผลให้ลูกถูกดึงตาม ก็จะตั้งใจบำเพ็ญทำกุศล ลดกิเลส ตรงกับบททบทวนทธรรม กายนี้มีไว้เพื่อดับทุกข์ใจเท่านั้นกิจอื่นนอกจากนี้ไม่มี สภาพหายทุกข์ใจขึ้น ใจไร้ทุกข์ค่ะ
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสาส่วนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง ไม่อยากเป็นคนที่พูดแต่เรื่องลูก
เหตุการณ์ เมื่อเรามีความปิติ ที่ลูกไปเรียนโรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก แล้วลูกประพฤติตัวได้ดี ลูกเรียนเก่งขึ้น เป็นเด็กดีน่ารัก ก็พูดคุยกับเพื่อนหลายท่าน เพราะเราภูมิใจ และวันนี้ได้ฟังสิกขมาตุพูด ว่าคนที่ติดลูกก็พูดแต่เรื่องลูก คนติดพ่อบ้านก็จะพูดแต่พ่อบ้าน ใจเลยไม่อยากจะพูดเรื่องลูก แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากจะพูด อยากให้คนอื่นทราบ ว่ามีโรงเรียนแบบนี้ด้วย เผื่อเด็กเขามีบุญ ได้ไปเรียน และพ่อแม่เขาจะได้ภูมิใจ แบบเรา
ทุกข์ ไม่ชอบ กลัวเพื่อนรำคาญหากพูดแต่เรื่องลูก
สมุทัย ชอบถ้าเพื่อนไม่รำคาญที่เราพูดเรื่องลูก ชังถ้าเพื่อนรำคาญที่เราพูดเรื่องลูก
นิโรธ เพื่อนจะรำคาญหรือไม่รำคาญ เราก็ไม่ชอบไม่ชังใจไร้ทุกข์
มรรค บอกกิเลสตอนนี้ยังไม่มีใครรำคาญนะ เขามีความปิติ อนุโมทนาบุญกับเราทั้งนั้น อย่ามาเลยกิเลสขอให้เรามีความสุขก่อนนะ เราจะติดดีก่อน เราจะไม่ชังในการติดดี บอกกิเลสใหม่จะทำตามบททบทวนธรรมข้อ 115 ทำดีเต็มที่ ทุกครั้งก็ ชนะทุกครั้ง ข้อ 116 ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะโง่ชนะชั่ว ชนะทุกข์ในใจเรา บอกกิเลส เราไม่ได้โง่ตามหรอก ขอพูดก่อน เพื่อเผยแพร่ เมื่อเขาทราบหมด เราก็หยุดได้นะ ใจไร้ทุกข์ ใจเบิกบาน สาธุค่ะ
เรื่อง ทุกข์จากการเนำแมวไปปล่อย
เดิมทีตัวเองไม่ได้เลี้ยงสัตว์ใดๆมานานมากแล้ว แต่มาภายหลังแม่ก็ไปเอาแมวของน้องสะใภ้มาเลี้ยง เลี้ยงไประยะหนึ่ง มันก็มีลูกออกมา พอลูกมันเริ่มโตเริ่มสร้างปัญหาให้เรา คือถ่ายไม่เป็นที่ภายในบ้าน ทำให้เราต้องทำความสะอาดบ้านอยู่ทุกวัน บางครั้งก็ไปคาบเอาอะไรต่อมิอะไรมากิน ทำความสกปรกให้เราต้องเช็ดถูตลอดเวลา นานๆไปก็เลยคิดหาทางเอาไปปล่อย โดยจับแมวทั้งหมด ใส่ถุงแล้วไปปล่อยในสวนปาล์มริมถนนในซอย ห่างจากบ้านไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยที่แมวตัวแม่ เขาไม่ได้สร้างปัญหาใดๆให้กับเราเลย แต่ต้องเอาเขาไปปล่อยด้วยพร้อมลูกๆ เพราะเราคิดว่าเขาจะได้ดูแลลูกๆเขา และเอาไปปล่อยในสวนปาล์มด้วยเพราะเราคิดว่าในสวนปาล์มมีอาหารที่แมวสามารถหากินและอยู่รอดได้คือมีหนู มีสัตว์เลื่อยคลานและแมลงต่างๆที่จะช่วยให้เขาไม่อดได้ หลังจากนำแมวไปปล่อยแล้ว เราก็มีความทุกข์ใจ รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำไปมันเกินไปไหม มันจะบาปมากไหม กลัวการทำบาป แต่ทนความรำคาญจากการขับถ่ายเลอะเทอะ ถ่ายไม่เป็นที่ของลูกแมวไม่ไหว
ทุกข์ : เอาแมวไปปล่อย
สมุทัย : พอใจถ้าแมวขับถ่ายเป็นที่ ไม่พอใจที่แมวขับถ่ายไม่เป็นที่
นิโรธ : แมวจะถ่ายส่วนไหนของบ้านเราก็ไม่ทุกข์ใจเรียนรู้เข้ามจธรรมชาติของความเป็นสัตว์ซึ่งมีทั้งสัตว์ที่มีนิสัยดีและไม่ดีเหมือนๆกับคนเราที่มีทั้งคนนิสัยดีและคนที่นิสัยไม่ดี เราคงต้องเคยทำวิบากไม่ดีให้คนอื่นเดือดร้อนแบบนี้มาก่อน เราเลยได้พบเจอและเลี้ยงแมวตัวที่นิสัยไม่ดีเช่นนี้
มรรค : เมื่อตัดสินใจทำไปแล้วจนเหตุการณ์นั้นก็ได้สำเร็จไปแล้ว ผลออกมาอย่างไร เราก็ต้องกล้ารับในผลวิบากดีร้ายที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง แล้วตั้งศีลแก้ไข ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีนั้นอีกเพราะเราซาบซึ้งในความทุกข์ ความกังวลใจที่ได้รับ จากการกระทำในครั้งนี้แล้ว
เรื่อง กรรมนำพา
เรื่องราวที่จะเล่านี้ มันเกิดขึ้นมาตลอดทั้งชีวิตโดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราคือจอมโจรหัวขโมย เป็นหัวหน้าโจรตัวพ่อเลยจริงๆ จนกระทั่งได้มาฟังธรรมของอาจารย์ เมื่อก่อนเราทุกข์ใจมาตลอดทำไมพ่อแม่ถึงทำกับเราอย่างนั้น ทำไมสามีจึงคิดกับเราแบบนี้ ทำไมลูกของเราจึงเป็นแบบนี้ ไม่เป็นดังใจที่เราอยากให้เขาเป็น ชีวิตมีแต่ ทำไมไม่ว่าจะทำงานอะไร ลงทุนทำอะไร ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ มีที่พอจะทำได้คืออาชีพครู ที่ทำไปแล้วรู้สึกมีความสุขกับการสอนนักเรียน แต่เราเป็นครูประเภท ไม่เคยได้เลื่อนขั้นพิเศษกับใครเขาเลย ตลอดระยะเวลา 25 ปี อยู่มา 3 โรงเรียน หลายครังที่ตั้งคำถาม ทำไมๆๆ ชีวิตเราจึงทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จเลย จริงๆ เราเป็นคนขยันทำงานแต่มีนิสัยพูดน้อย จริงจัง ถึงค่อนข้างเครียดแต่เวลาสอนนักเรียนนักเรียนจะบอกว่าเราเป็นครูที่ใจดี สอนนักเรียนรู้เรื่องได้ดี (อันนี้นักเรียนบอกค่ะ) งานอีกอย่างที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จอยู่บ้างคือ งานกสิกรรม ทำเกษตร แต่ก็ต้องต่อสู้ใช้ทั้งแรงกายและการลงทุนที่เยอะกว่าคนอื่นๆหลายเท่า เพราะที่ดินของเราอยู่ติดกับแม่น้ำ มีน้ำล้อมรอบที่ดินทั้ง 3 ด้านเลย เวลาจะปลูกอะไรลงไปก็จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี บางปีท่วม 2-3 รอบ สร้างความเสียหายให้เราตลอด ในขณะที่ดินของน้องชาย 2 คน ที่พ่อแม่ยกให้ เป็นแปลงที่อยู่บนบกส่วนหนึ่ง ที่น้ำท่วมส่วนหนึ่งซึ่งเล็กน้อย แต่ของเรา เป็นที่ดินน้ำท่วมถึงทุกแปลง เราก็เกิดความน้อยใจพ่อกับแม่ รู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ความคิดนี้อยู่ในใจเรามาตลอด ชีวิตจึงมีแต่ทุกข์ อมทุกข์ เก็บทุกข์อยู่ในใจเรามาตลอด
ทุกข์ : มีความคิดที่ว่าชีวิตเราไม่เคยได้ดีอะไรดังใจเหมือนคนอื่นเลย
สมุทัย : อยากได้ชีวิตและองค์ประกอบในชีวิตที่ดี ที่ได้ดังใจเหมือนคนอื่นๆ
นิโรธ : มองสิ่งที่เรามี เราเป็น เราได้ ทุกๆองค์ประกอบในชีวิตของเรา มันคือกระจกส่องวิบากกรรมที่เราทำ เราสร้างมาเองทั้งหมด
จากความอวิชชาในอดีตชาติ มาจนถึงวินาทีก่อนที่จะได้มาเรียนรู้ธรรม เข้าใจและทำใจยอมรับในผลแห่งวิบากดีร้ายจากการกระทำกรรมต่างๆที่เราเคยทำมา จิตจึงได้สภาพคลายทุกข์ หมดทุกข์ หมดคำถาม
มรรค : ฟังธรรมจนมีความรู้ความเข้าใจในผลแห่งวิบากกรรมดี กรรมร้ายนั้นว่ามีอยู่จริงและให้ผลกับทุกชีวิตตลอดเวลา และตั้งศีลทำใจให้กล้า ในการยอมรับผลที่เป็นวิบากร้ายด้วยจิตที่ยินดี เบิกบาน เต็มใจรับ เต็มใจชดใช้ ไม่หนีหนี้
ไมโทษคนอิ่น ไม่ถามคำถามทำไมๆๆๆ แต่เราได้เรียนรู้คำตอบแล้วว่าทุกสิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมาๆๆๆ ส่วนมันจะหมดไปเมื่อไหร่เราก็จะวางใจ รับไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะหมดไป แต่เท่าที่สังเกตแสดงว่าในอดีต เราต้องทำชั่วมามากแน่ๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชาตินี้ มันหนักเหลือเกิน นี่ขนาดวิบากเขาแบ่งให้รับแค่ส่วนหนึ่งแค่นั้น คิดได้อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างในใจก็จบ สงบ หมดคำถามเพราะเข้าใจและชัดเจนเรื่องกรรมอย่างแท้จริง
เรื่อง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น
ที่บ้านจะมีเหตุการณ์หาของไม่เจอหรือของหายบ่อยเพราะวางแล้วลืมที่ เพราะเรารีบแต่จะไปทำงานจนไม่ค่อยมีสติจดจำ ว่าวางข้าวของสิ่งใดไว้ตรงไหน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์การหาของไม่เจออยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งเมื่อเราลองหาของดูแล้ว ปรากฏว่าไม่เจอ จิตเราก็เริ่มที่จะคิดกล่าวโทษผู้อื่นบางครั้งออกมาเป้นคำพูด บางครั้งคิดในใจ หาว่าต้องมีใครอื่นมาเคลื่อนย้ายสิ่งของที่เราวาง เราเก็บไว้เป็นแน่ เราจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าเราจำได้ ว่าเราวางของไว้ตรงไหน แต่ที่หาไม่เจอเพราะต้องมีใครมาเอาของๆเราไป
หลังจากคิดโทษผู้อื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (สมาชิกในบ้าน) แล้วได้ทดลองหาใหม่อีกทีในเวลาต่อมา เราก็จะเจอของที่เราหาในภายหลัง บางครั้งเจอทันทีหลังกล่าวโทษผู้อื่น บางครั้งอาจเว้นช่วงไปวันสองวันหรือนานกว่านั้นในแต่ละครั้ง แต่โดยสรุปคือของไม่ได้หายไปไหน แค่เราวาง หรือเราเก็บไว้ แล้วเราจำที่วางที่เก็บไม่ได้ แต่ด้วยจิตที่มันเอาแต่เข้าข้างตัวเอง คิดแต่จะโทษผู้อื่น มันเลยขาดสติในการคิดตรีกตรองให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจกล่าวหาผู้อื่น ซึ่งหลายๆครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ได้สร้างความไม่สบายใจ สร้างทุกข์ให้กับสมาชิกในบ้าน อยู่เสมอๆ
ทุกข์ : หาของไม่เจอ
สมุทัย : ความไม่มีสติ ความเร่งรีบ ในการใช้ชีวิตประจำวันและใจที่มันเอาแต่จะคิดโทษผู้อื่น มองแต่ความบกพร่องของคนอื่น
นิโรธ : ใช้ชวิตอย่างมีสติ ในทุกขณะ วางใจ หยุดและเลิกอยากที่จะหาของให้เจอ บอกตัวเองว่า มันจะเจอตอนี้หรือเจอตอนไหน หรือจะไม่เจอเลยก็ได้ แล้วข้ามไปทำสิ่งอื่นที่วางแผนไว้ว่าจะทำต่อไป ต่อจากเหตุการณ์แรกโดยติดขัดที่หาของไม่เจอนั้น วางใจหยุดความทุกข์ใจ กังวลใจเกี่ยวกับของที่หาไม่เจอนั้นเสีย เพราะยังมีสิ่งอื่นที่เป้นประโยชน์และรอให้ทำไปทำอยู๋ อย่าไปเสียเวลาหาเลย
มรรค : ใช้บททบทวนธรรม ข้อที่ 6 การกระทำเดียวกัน มีเหตุผลในการกระทำกว่าล้านเหตุผล ต้องระวัง ” อคติ หรือ ความเข้าใจผิด
จากการคาดเดาที่ผิดของเรา” และข้อที่ 7 อย่าทายใจผู้อื่น อย่าใส่ร้ายผู้อื่น อย่าโกหกผู้อื่น อย่าชิงชังผู้อื่น อย่าเบียดเบียนผู้อื่น
ได้้ตั้งศีลว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรในลักษณะนี้อีก เราจะไม่โทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองอีก เพราะเราเห็นชัดเจนแล้วว่าการที่เราเอาแต่โทษคนอื่นไปทุกครั้งนั้น เป็นการกล่าวโทษที่ตนเองทำผิดเองทั้งสิ้น วิบากไม่ดีนั้นย่อมตกเป็นของเราเองทั้งหมด เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงได้ขออโหสิต่อทุกคนที่เราได้ล่วงเกินกล่าวโทษเขา
เรื่อง: เผาถ่าน เผากิเลส(๒)
เหตุการณ์: เผาถ่าน เผากิเลสตอนที่๒ หลังจากเผาถ่าน( 22/10/64) แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ เกิดวิบากร้ายมาขวาง ไฟติดช้าทำให้ การปิดเตาเผาถ่านต้องล่าช้า เมื่อทำเต็มที่แล้ว แต่ดียังไม่เกิด เลยต้อง วางใจ กลับบ้านเข้านอน ตั้งนาฬิกาไว้ตอนตี3เพื่อไปปิดเตา
ทุกข์: อยากรู้ ว่าฟืนที่เผาถ่าน จะเป็นถ่านหรือเป็นขี้เถ้า
สมุทัย: สุขใจ หากฟืนที่เผาเป็นถ่าน ไม่แช่มชื่น หากฟืนที่เผาเป็นขี้เถ้า
นิโรธ: จะเป็นถ่าน หรือเป็นขี้เถ้าก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค: ปิดเตาเผาไว้ 2 วัน
เมื่อเตาเย็น วันนี้(25/10/64)ได้เวลาเปิดเตาเผา หลังจากที่วางใจ
ฟืนที่เผาจะเป็นถ่าน หรือเป็นขี้เถ้า
ก็ได้ แล้วแต่วิบากดีร้ายที่ทำมา
ปกติที่ผ่านมา ที่เรายังไม่เจอพุทธศาสตร์ ยังมีกิเลสหนา ปัญญาดับหากเกิด กรณีเช่นนี้
ฟืนที่เผา จะเป็นขี้เถ้ามากกว่าเป็นถ่าน
พอเรามาพิจารณา เห็นถึงทุกข์อริยสัจ แล้ววางใจ ฟืนที่เผาจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นถ่านก็ดี จะได้ใช้ประโยชน์จากถ่าน ด้วยการพึ่งตน เรียบง่าย สไตล์ พวธ.ใช้ทำเชื้อเพลิงหุงต้ม ใช้ทำยาสีฟัน ใช้ทำผงพอก ใช้กินถอนพิษ ใช้รองก้นหลุม หรือรองก้นกระถางปลูกพืชผัก ฯลฯ หากเป็นขี้เถ้า ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน ใช้เป็นปุ้ยใส่ต้นไม้ ใช้ไล่แมลงศัตรูพืช ใช้ทำน้ำยาซักล้าง ฯลฯ
เมื่อวางใจ “ว่า ดีจะเกิดหรือไม่ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์
ทำดีเต็มที่ทุกวัน
ก็สุขใจเต็มที่ได้ทุกวัน
ได้เท่าไหร่ พอใจเท่านั้น
พอใจเมื่อไหร่ ก็สุขใจเมื่อนั้น
ตามบททบทวนธรรมข้อที่.๓๓
เรื่อง ไม่ได้ตั้งใจให้โดน
เหตุการณ์ : วันนี้ลงสวนตัดแต่งต้นกล้วยด้วยใจเบิกบานตั้งแต่เช้าจนสายๆจะแต่งต้นสุดท้ายก่อนขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะสัมผัสได้ถึงความนิ่มผิดปกติที่ใช้พร้าต้ดก้านกล้วยและแล้วต้องตกใจสุดๆกับความจริงที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกใจหวิว หวิว ใจเต้นแรง กับภาพที่เห็น คือตัวเขียดตาปาดถูกตัดเกือบครี่งตัว มีเลือดออก เห็นไส้ ทะลักขณะนั้นทำอะไรไม่ถูกเลย รู้สึกผิดอย่างแรง ได้แต่สำนึกผิด ยอมรับผิดขอโทษ ขออโหสิกรรม ยินดี เต็มใจรับโทษในสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป
ทุกข์ : รู้สึกใจ หวิว หวิว
สมุทัย : กลัววิบากร้ายเกิดจากการทำร้ายเขียดตาปาดแม้ไม่ตั้งใจ ชอบที่ไม่ได้ทำร้ายเขียดตาปาด เมื่อได้ทำร้ายเขียดตาปาดจึงชัง
นิโรธ :ใจไร้ทุกข์ตลอดเวลาไม่ว่าจะได้ทำร้ายเขียดตาปาดหรือไม่ ก็ได้
มรรค : ดูที่ใจก่อนอื่นสำนึกผิด ยอมรับผิดทันที กับสิ่งที่ได้ทำลงไป ยินดี เต็มใจ กล้า รับโทษและไม่ทำทุกข์ทับถมตนซ้ำให้ผิดศีล เบียดเบียนตัวเองไปอีกสู้เอาเวลานั้นไปทำกสิกรรมไร้สารพิษพึ่งตน และช่วยคนให้พ้นทุกข์จะดีกว่า ส่วนตัวปาดถือเป็นวิบากร่วมที่มีต่อกันได้ชดใช้กันไป จึงใช้บททบทวนธรรมมาล้างทุกข์ใจ ด้วยข้อที่ 25 ว่า”เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อ..ให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก” หลังจากพิจารณาแล้วเห็นจริงตามนี้ว่าที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้เราได้ชดใช้วิบากต่อกัน ได้สำนึกผิดและเพิ่มอริยศีล เพิ่มความรอบคอบ ระมัดระวังให้มากขึ้นดูให้ดีก่อนที่จะตัดแต่งต้นไม้ เมื่อได้คิดดังนี้ความรู้สึกหวิว หวิว ตกใจ จางคลายลงแล้วหายไป จนใจเบิกบาน ผาสุกดังเดิม
จึงขอสรุป ด้วยธรรมะจากอาจารย์เมื่อ 641028 ว่า ” เมื่อทำผิดพลาดแล้ว
อย่าทำทุกข์ทับถมตน
ให้สำนึกผิดจริงใจบริสุทธิ์ใจ ยินดีรับ ยินดีให้หมดไป เบิกบานแจ่มใสดีกว่า”
เรื่อง จะไม่ทุกข์เพราะความสวยใคร ไม่ให้ใครทุกข์เพราะความสวยเรา
เหตุการณ์ : มีพี่ที่ทำงานเดิม ส่งไลน์รูปตัวเองสวยๆมา ในรูปผมถักเปีย ใช้แอ๊ปแต่งรูปหน้าใสปิ๊ง ไร้สิวฝ้าหน้าไม่หมองคล้ำ
ส่งแค่รูปมา ไม่มีข้อความใดๆ
มาร : คงจะส่งมาอวดว่าตัวเองสวยสินะ!! ชิ!! เราสวยกว่าอยู่แล้ว คิดปุ๊บ ก็ค้นหารูปเก่าที่ว่าตัวเองสวย ส่งกลับไปหาพี่เขาทันที
แนนแนน : ตายล่ะ ! คิดแบบนี้ ทำแบบนี้ ก็ซวยล่ะสิ !! ลบๆๆๆๆๆๆ ลบเลย ลบรูป ยกเลิกการส่งเลย พี่เขายังไม่อ่าน
แล้วแนนก็รีบลบรูปออกจากการส่งไลน์
ทุกข์ : 1.ไม่ชอบและรำคาญพี่ที่ส่งรูปสวยมา 2.หลงตัวว่าตัวเองสวยกว่าพี่เขา
สมุทัย : 1.ชังที่พี่เขาส่งรูปมา 2.หลงยึดมั่นในตัวเองว่าตัวเองสวยกว่า
นิโรธ : 1.พี่เขาจะส่งรูปมากี่รูปก็ได้สวยกว่าหรือไม่สวยกว่าก็ได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริงไม่ชอบไม่ชังที่พี่เขาส่งรูปมา
2.ไม่หลงตัวเองว่าตัวเองสวยกว่า ไม่ติดไม่ยึดในรูปกายภายนอก
มรรค :
1.ที่พี่เขาส่งรูปมา ก็เจริญเมตตาพี่เขาให้มากๆ เมตตาและอุเบกขาลง ไม่รู้เจตตาเขาก็อย่าเดาใจเขา
พิจารณาจากบททบทวนธรรม ได้ว่า การกระทำเดียวกันมีเหตุผลในการกระทำกว่าล้านเหตุผล ต้องระวังอคติ หรือความเข้าใจผิด จากการคาดเดาที่ผิดของเรา , อย่าทายใจผู้อื่น อย่าใส่ร้ายผู้อื่น อย่าชิงชังผู้อื่น อย่าเบียดเบียนผู้อื่น
2. เรื่องความสวยความงามของรูปกายภายนอกกับผู้หญิงเป็นอะไรที่ตัดขาดยากจริง สำหรับแนน ขนาดปัจจุบันทำตัวขี้เหร่แล้ว ยังจะยึดติดกับอดีตว่าตัวเองเคยสวย ยังคิดจะเอาความสวยตัวเองไปข่มคนอื่น หวังให้เขาทุกข์ใจ หวังให้เขาเห็นว่าเราสวยกว่าอีกนะ ชั่วจริงๆ ยังไม่เข็ดกับความสวย ว่ามันซวยแค่ไหน พ่อครูบอกว่า โชว์สวย คือ โชว์ซวย โชว์โง่ ตัวเรายังเคยทุกข์ใจเวลาเห็นคนอื่นที่เขาแต่งชุดสวยๆ อยากมีอยากได้อยากใส่อย่างเขาบ้าง ทุกข์ใจมันดีตรงไหน แล้วมันดียังไงที่จะส่งรูปสวยของเราไปให้คนอื่น อาจารย์หมอบอกว่า พลังคลื่นแม่เหล็กมันเหนี่ยวนำแผ่ไปได้ไกลและไม่สิ้นสุด ยิ่งเราไปโชว์ไปแสดงความสวยเท่าไหร่ๆยิ่งจะไปเพิ่มพลังให้คนอื่นทุกข์ตาม เกิดเป็นวิบากร้ายไม่สิ้นสุดนะ เธอชอบหรอที่มีวิบากร้ายติดตัว วางเถอะความสวยงามทั้งหลาย มันไม่ยั่งยืนหรอก ที่หลงว่าสวยๆก็ใช้แอ๊บแต่งรูปทั้งนั้น ความเป็นจริงรู้แก่ใจ อย่าหลงนักเลย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นกุศลกว่า จะดีกว่านะ เธอใฝ่ฝันอยากเป็นชาวอโศก อยากเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมไม่ใช่หรอ ชาวอโศกและพี่ๆจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมไอดอลแต่ละคนพี่เขาไม่มีใครโชว์สวยกันนะ มีแต่ศีลที่สวย วางความสวยภายนอก แล้วไปสร้างความสวยจากภายในให้เจริญขึ้นดีกว่านะ
อบรมกิเลสมาร มายืดยาว ว่าแล้ว ใจก็เบาลงคลายลง โปร่งโล่ง สบายขึ้นกว่าเดิม
สาธุค่ะ
เรื่อง เลี้ยงเปรตไว้ในใจ
เหตุการณ์ ได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องไห้ แฝดพี่ร้องเสียงทั่วไป แฝดน้องร้องเสียงดังมาก แถมแผดเสียงร้องสุดๆ
ทุกข์ ไม่ชอบเสียงร้องดังๆแผดเสียงสุดๆ
สมุทัย ชอบถ้าร้องเสียงแบบธรรมดา ชังร้องเสียงดัง และแผดเสียง
นิโรธ เด็กจะร้องเสียง แบบใดก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องดังมาก และแผดเสียงสุดๆ กิเลสมาเลยว่า เสียงเหมือนเปรตร้องเลย ได้ยินทีไรก็เพิ่ม เปรตในใจทุกที เพราะเลี้ยงเปรต ไว้ในใจ ทำให้ทุกข์ ไม่ชอบ เสียงร้องแบบนี้ พุทธะต้องมีจิตเมตตา เด็กร้องเพราะเขาทุกข์ไม่สบายเนื้อ ไม่สบายตัว จึงร้องออกมา จึงสำนึกผิดที่ไปเพ่งโทษเด็ก ต้องขอบคุณเสียงร้อง ของเด็กท่านนี้ ที่มาเป็น ผัสสะ ให้เราได้ล้าง
บททบทวนธรรม37
ปัญหาทั้งหมดในโลก
เกิดจากคนโง่กว่ากิเลส
สรุป เปรตในใจก็หายไป
30/10/2564
เรื่อง : ส่งการการบ้านทุกข์หายฉับพลัน
เหตุการณ์ : ขณะที่นั่งรอคิวจะส่งการบ้านเรื่องทุกข์หายฉับพลัน เพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ บ้านเรา เขาก็ใช้เครื่องจักรตัดฟืน ก่อให้เกิดเสียงดังมาก เราก็เลยเกิดทุกข์ฉับพลัน
ทุกข์ : ใจรู้สึกหงุดหงิด แรงตก กลัวจะมีเสียงแทรกเข้าในรายการเวลาที่เราส่งการบ้าน
สมุทัย : ชอบที่จะไม่ให้มีอุปสรรคในเวลาส่งการบ้าน ชังถ้ามีอุปสรรคแล้วจะไม่ได้ส่งการบ้าน
นิโรธ : จะมีอุปสรรคในเวลาส่งการบ้านหรือไม่ และเราจะส่งการบ้านหรือไม่ได้ส่งก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจต้องหายทุกข์ฉับพลัน
มรรค : เริ่มรู้สึกทุกข์เข้ามาฉับพลันก็หันมาตรวจใจ พบมารมาเล่นงานจนแรงตก
มาร : โอ๊ย! เสียงจักรดังแรงขนาดนี้เวลาเปิดไมค์แล้วส่งการบ้านต้องมีเสียงแทรกแน่ ๆ
เรา : ถ้ามีเสียงแทรกแล้วจะทำไมล่ะ เอ็งจะตายงั้นหรือมาร
มาร : ก็เมื่อวานเห็นเวลาพี่น้องส่งการบ้านเรื่องหายทุกข์ฉับพลัน ถ้ามีเสียงแทรกรบกวนทางทีมคุรุก็จะให้แก้ปัญหาเสียงที่แทรกก่อน แล้วเสียงที่กำลังดังอยู่ตอนนี้เราก็ไม่สามารถเลี่ยงได้ด้วย แบบนี้ไม่ได้ส่งการบ้านแน่ ๆ เลย
เรา : ไม่เป็นไร การบ้านเรื่องนั้นข้าพ้นทุกข์ไปตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ต้องรีบส่งตอนนี้คือส่งมารเข้าไปหาความกล้าแบบพุทธะ กล้าที่จะให้มีเสียงแทรกดัง ๆ ในเวลาส่งการบ้าน กล้าที่จะถูกตัดรอบไม่ได้ส่งการบ้านรอบนี้ กล้าที่จะรอส่งรอบหน้า กล้าที่จะได้ใช้วิบากร้าย เพราะเราเคยไปทำเสียงดังขัดจังหวะคนอื่นมามากกว่านี้
สรุปถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงทุกข์หนักกว่านี้ อาจจะไปเพ่งโทษเพื่อนบ้านที่ตัดฟืนด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เรามีความหงุดหงิด อยู่ประมาณไม่ถึง 10 นาที พอเราเข้าใจเรื่องกรรม และกล้าที่จะไม่ได้ดังใจหมาย ความหงุดหงิดก็หายไป แรงกลับมาเต็ม เราก็นั่งรอคิวด้วยใจเบิกบาน ในที่สุดก็ได้ส่งการบ้าน ด้วยความราบรี่น ต้องขอบคุณเพื่อนบ้านที่ตัดฟืน ให้เราได้เห็นกิเลสตัวที่มันรอเขมือบเราได้โผล่ออกมาให้เราได้เชือดจนหายทุกข์ฉับพลันเพิ่มอีกเรื่อง ขอสำนึกผิดที่เคยทำเสียงดังรบกวนผู้อื่น ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม และจะตั้งจิตลดการทำเสียงดังที่รบกวนผู้อื่นถ้าไม่จำเป็น สาธุค่ะ
ส่งการบ้านค่ะ
เหตุการณ์ ได้คุยไลน์กับลูก พอได้เห็นรูปลูกชาย ก็เลยทักขึ้นมาทันที ทำไมอ้วนจัง
ทุกข์ ทำไมอ้วนจัง
สมุทัย ชอบ ถ้าลูกปฏิบัติลดละได้ก็จะไม่อ้วน ไม่มีโรค
ชัง ที่ลูกไม่ปฏิบัติลดละก็เลยอ้วน
นิโรธ ลูกจะปฏิบัติลดละตามหรือไม่ จะอ้วนจะผอม มีโรคหรือไม่มี ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค เคยบอกลูกไปว่า ให้ลดละเนื้อสัตว์ แต่ลูกไม่ได้ปฏิบัติ เป็นทุกข์อยู่หลายวัน ก็ได้เอาเรื่องปรึกษาคุรุ ท่านก็ให้ปัญญา แล้วก็เข้าใจได้ว่าให้เราหันมาดูที่ใจเราว่าเรายังยึดยังอยากอยู่ ตามบททบทวนธรรมข้อ 141 ยึดมั่นถือมั่นตามความคิดของเรา เอาดีแบบเราเราหมาย จึงจะสุขใจ ไม่เอาดีแบบเราหมาย จะทุกข์ใจ แล้วจะเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นเป็นตามไปทุกชาติ ซึ่งคิดผิด พุทธะต้องไม่ทุกข์สุขสบายใจ ไร้กังวล ต้องกล้ารับ ในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจให้ได้ ต้องขอบคุณลูกที่ทำให้ได้เห็นกิเลสตัวไม่ได้ดั่งใจ ส่วนลูกจะทำตามตอนไหนก็ให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของเขาเราและลูกร่วมกันนะเวลานั้น
สรุป ก็วางใจได้บ้างค่ะ
และขอตั้งศีลเพิ่ม คือ จะไม่บีบบังคับ ยัดเยียดใครๆค่ะ สาธุค่ะ
เรื่อง ปรับสมดุลร้อนเย็นในร่างกาย ด้วยผักฤทธิ์เย็น คุณแม่อาการดีขึ้น
ในช่วงที่เราลงเรียนออนไลน์ หลักสูตรแพทย์วิถีธรรมค้ำจุนโลก รุ่น 2 เป็นช่วงที่เรากำลังหาวิธีการดูแลคุณแม่ อายุ 75 ปี ผู้มีโรคประจำตัวคือโรคเส้นเลือดสมองตีบ (อยู่ในช่่วงฟื้นฟูจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง) มะเร็งปากมดลูกระยะ 2 (ตามผลตรวจ ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2564) เมื่อได้ฟังอาจารย์หมอเขียวบรรยายเรื่องการปรับสมดุลร้อนเย็นในร่างกาย โดยการเลือกทานผักที่มีฤทธิ์เย็น สำหรับคนที่ร่างกายมีภาวะร้อนเกิน อย่างเช่นคนที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าว ก้อทำให้เกิดปัญญาเห็นหนทางที่จะพาให้แม่พ้นทุกข์จากโรคภัยที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้
ทุกข์ คุณแม่มีอาการปวดศรีษะเป็นบางวัน ในช่วงเช้า และก่อนนอน มีภาวะความดันโลหิดสูง และความเครียด อารมณ์แปรปรวนเป็นบางครั้ง มีเลือดออกทางช่องคลอดติดต่อกันเป็นบางวัน
สมุทัย ร่างกายมีภาวะร้อนเกิน เพราะเราจัดอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์ ให้คุณแม่ทาน ด้วยความเข้าใจผิดว่าจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และ คุณแม่ชอบทานขนมเบเกอรี่กับกาแฟ ในมื้อเช้า และชอบทานขนมไทยที่ใส่น้ำกะทิ ในมื้อเย็น ซึ่งเราจัดให้เพราะรู้ว่าแม่ชอบ
นิโรธ เราบอกให้แม่รู้ว่าอาหารที่แม่ชอบเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายมีภาวะร้อนเกิน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยดังกล่าว และชวนให้แม่ลองลด ละเนื้อสัตว์ ในช่วงเทศกาลกินเจ และ ขนมที่แม่ชอบ เพื่อดูว่าจะมีผลให้อาการป่วยลดลงจริงหรือไม่ ในช่วงที่ปรับเปลี่ยนอาหาร คุณแม่มีอารมณ์แปรปรวนน้อยลง ปวดศรีษะน้อยลง และอาการเลือดออกทางช่องคลอดลดลง หน้าตาดูแจ่มใสขึ้น มีแรงเดินโดยใช้เครื่องช่วงพยุงได้ไกลขึ้น
มรรค เราบอกให้น้องที่ช่วยซื้อหาอาหาร ปรับเปลี่ยนเมนูอาหาร โดยซื้อผักที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ดอกกะหล่ำ หัวไชเท้า ถั่วเขียว ถั่วลันเตา บวบ หมุนเวียน มาทำอาหารให้ทาน แทนเมนูอาหารรสจัด เช่น ผัดเผ็ดหน่อไม้ ผัดกระเพราใส่ถั่วฝักยาว กะหล่ำผัดน้ำปลา ที่ทำกินกันบ่อยๆ เราลงมือน้ำสมุนไพร ใบเตย ย่านาง น้ำมะตูม น้ำอัญชัน น้ำผักตำลึง ปรุงรสด้วยมะนาวน้ำผึ้ง และทำอาหารให้คุณแม่ทานเองเพื่อควบคุมการปรุงรส แทนการซื้ออาหารปรุงสำเร็จ
เรายังคงพากเพียร ทำต่อไป จนกว่าจะหมดวิบาก
30/10/64
ชื่อ : สำรวม แก้วแกมจันทร์
ชื่อเล่น : ป้ารวม
ชื่อทางธรรม : ร้อยแสงศีล
จิตอาสา : สวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : “ไม่กลัว..กล้ามา กิเลสหายไป..ฉับพลัน” (ตอนที่ 1)
เหตุการณ์ :
ต้นพฤศจิกายน ปี 2561 มีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมงานของพ่อครู ที่บ้านราช อุบลราชธานี พอถึงวันกำหนดกลับบ้าน ที่นครศรีธรรมราช ซึ่งได้จองตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น ตรงกับวัน เวลา ที่จะต้องนัดทำสัญญาซื้อขายคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ ใกล้ๆ กับสี่แยกบางพลัด จึงเกิดความกลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว เครียดมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดไม่เป็น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ขังทุกข์ไว้เป็นสัปดาห์ ที่ทุกข์สุดๆ คือ กลัวถูกโกง ทุกข์รองลงมาคือ กังวลว่าไม่ทันเวลา จะตกเครื่องบิน ได้ปรึกษาและขอคำแนะนำจากเพื่อนจิตอาสาหลายท่าน ได้กำลังใจ จากหมู่มิตรดี คลายเครียด คลายทุกข์ลงได้บ้าง รู้สึกดีที่มีเพื่อนกลับบ้านพร้อมกัน ระหว่างที่เดินทางจากสนามบินอุบลฯ-สนามบินดอนเมือง นั้น ได้ท่องบททบทวนธรรมตลอดทาง ท่องอย่างใคร่ครวญ ท่องไปเรื่อยๆ พิจารณาเห็นกฎของไตรลักษณ์ วิปลาส 4 ความไม่เที่ยง เกิด-ดับๆ เป็นธรรมดา
“ทุกเสี่ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง”
“พร่องได้ พลาดได้” “พร่องแต่ทันการณ์”
“พร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน” “ยึดได้ วางได้”
มีแว็บความคิดหนึ่ง “ไม่กลัว” “อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด” กล้าเผชิญกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่กลัวถูกโกง ไม่ทันเวลาก็ได้ ตกเครื่องบินก็ไม่เป็นไร ถ้ามีวิบากร้ายตามไล่ล่าก็หนีไม่พ้น รับเต็มๆ จะได้หมดเต็มๆ รับเท่าไหร่ หมดเท่านั้น รับแล้วโชคดีขึ้น ในใจค่อยๆ สว่างขึ้นๆ “รู้ตื่น รู้เบิกบาน” ทุกข์หายไป ความทุกข์ทั้งแผ่นดินนั้น เหลือแค่ฝุ่นปลายเล็บ ในวินาทีนั้นเอง ใจมีพลังเต็ม มีสติ คิดใหม่ทันที ได้พลังปัญญาญาณของพุทธะ คิด พูด ทำ ได้อย่างกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว โล่ง โปร่ง เบากาย เบาใจ ความคิดของกิเลส หายฉับพลัน ณ วินาทีนั้น “ไม่กลัว..กล้ามา กิเลสหายไป..ฉับพลัน”
ทุกข์ : มีความกลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว เครียด
สมุทัย : ถ้าไม่ถูกโกง ทันเวลา ไม่ตกเครื่องบิน จะสุขใจ แต่ในใจยังยึดอยู่ว่าจะต้องไม่ถูกโกง ต้องทันเวลา ต้องไม่ตกเครื่องบิน ทำให้กลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว เครียด ทุกข์ใจ
นิโรธ : วางสิ่งยึด วางใจว่า ไม่กลัว กล้าเผชิญกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เบิกบาน โล่ง โปร่ง เบากาย เบาใจ ไม่ทุกข์
มรรค : เดิมยึดว่า จะต้องทำสัญญาซื้อขายคอนโดฯ ตามนัดให้ได้ จนเกิดความกลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว เครียด ถูกกิเลสกดดันครอบงำไว้ วิบากเข้า กลัว ชั่ว ทุกข์ โง่ทันที ปัญญาทึบ คิดไม่เป็น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ กลัวทุกเรื่อง กลัวถูกโกงมากๆ ทุกข์เท่าแผ่นดิน กังวลจะไม่ทันเวลา ระแวง หวั่นไหวจะตกเครื่องบิน ยังมีวิบากดีคุ้มครองอยู่ได้กำลังใจจากมิตรดี น้อมจิตระลึกถึงคำสอนของอาจารย์หมอ ดร.ใจเพชร กล้าจน นำเอาคาถาคัมภีร์ชีวิตคือ ปัญญาพาพ้นทุกข์ ที่สร้างจิตวิญญาณให้ผาสุกที่สุดในโลก
จากการที่ได้นำบททบทวนธรรม หลายๆ บทมาท่อง พิจารณา ใคร่ครวญ ท่องไปๆ เรื่อยๆ ทำใจในใจให้แยบคาย ในที่สุดพิจารณาเห็นถึงกฎไตรลักษณ์ เห็นวิปลาส 4 ความไม่เที่ยง เกิด-ดับๆ “ทุกเสี่ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง” “พร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน” “พร่องได้ พลาดได้” “พร่องแต่ทันการณ์” เมื่อยึดได้ ก็วางได้
เกิดมีความคิดแว็บเข้ามา ใจสว่างขึ้น รู้ตื่นทันที เบิกบานขึ้น ทุกข์หายไป เหลืออยู่แค่ฝุ่นปลายเล็บ วินาทีนั้นมีพลังใจเต็ม ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ใจพร้อม กล้าที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง ไม่กลัวว่าจะถูกโกง ไม่กลัวว่าจะไม่ทันเวลา ไม่กลัวตกเครื่องบิน ถ้ามีวิบาก รับเต็มๆ หมดเต็มๆ จะโชคดีขึ้น (ตอนนั้นเลิกเนื้อสัตว์ยังไม่ได้เด็ดขาด) ในใจลึกๆ ตั้งอธิศีลสู้ว่า “ไม่กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมและไข่” จนกว่าจะถึงปีใหม่ ได้พลังพุทธะมาเต็ม กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว กิเลสสลายไปเลย ณ วินาทีนั้น ทันที
สรุปว่า :
ใจเป็นประธาน “ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ” เมื่อกลัวว่าจะถูกโกง ไม่ทันเวลา ตกเครื่องบิน ทำใจในใจให้แยบคาย ตั้งศีลสู้ “ยอมให้ถึงใจ” ไม่ยึด ยอมรับ ยอมวาง พร่องได้ พลาดได้ เป็นธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัว พลังของพุทธะ กล้าที่จะไม่กลัว กล้าเผชิญกับทุกสิ่ง ใจคิดได้อย่างนี้ เบิกบาน เบากาย เบาใจ ไม่ทุกข์ “ไม่กลัว..กล้ามา กิเลสหายไป..ฉับพลัน” ได้จริง ชั่วเสี้ยววินาที
เรื่อง : เอากางเกงขายาวไปให้ช่างแต่งทรงตามเราชอบ
เราได้เอากางเกงขายาวหลายตัว ไปให้ช่างในหมู่บ้านช่วยแต่งทรงตามเราชอบใจ เมื่อวานนี้เราก็ได้แวะไปดู และลองใส่กางเกงหลายตัว แต่มีอยู่ 1 ตัวที่เราลองใส่ดูแล้วไม่ถูกใจเรา
ทุกข์ : กับกางเกงที่ลองใส่แล้วไม่ได้สไตลเรา
สมุทัย : ชอบที่จะช่างแต่งเพียงหนเดียว แล้วใส่ได้สบายตามสไตลเรา ชังที่จะต้องกลับไปให้ช่างแต่งใหม่อีกรอบ
นิโรธ : จะใส่กางเกงสบายสไตลเราด็ได้ ไม่ใช่สไตลเราก็ได้ ยินดีในความ ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : กิเลสมันบอกว่า ต้องใส่แบบนี้ อย่างนี้นะถึงจะดูดี รูปร่างไม่สวยงามอยู่แล้ว ใส่อะไรเข้าไปให้มันดูดีหน่อย ถ้าใส่แล้วดูไม่ดีจะไม่ใส่
เรา : ติดยึดความสวยงามมานานแล้ว ต่อนี้ฉันจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก ฉันจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแต่ง ดูแลใจสำคัญเป็นอันดับหนึ่งโว๊ย ถ้าฉันจะให้ช่างซ่อมให้ใหม่ก็ไปทำแบบ ไม่กังวล ไม่ทุกข์ ไม่เครียด
บททบทวนธรรม ๑๖๕
คุณค่าและความผาสุข ของชีวิต คือ
ชีวิตที่พอเพียง เรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง
จิตใจที่ดีงาม จิตที่เป็นสุข
ความเจ็บป่วยมาเยือน
ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย บริเวณข้อมือข้าวขวาที่ต้องจับเม้าส์ทำคอมพิวเตอร์ ไม่มีอาการปวด แต่มีอาการบวม แดง จับดูออกร้อน ได้มาตรวจดูว่าเรามีพฤติกรรมที่ไม่เด็ดขาดตัดรอบ โลภอยากทำงานมาก ๆ ทำให้นอนดึกพักผ่อนน้อย เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์จึงได้รับพลังงานความร้อนที่เกินพอดี
ทุกข์ : โลภอยากทำงานมาก ๆ จนเลยเวลาพัก เบียดเบียนร่างกายตนเอง
สมุหทัย : เห็นกิเลสตัวโลภที่มาหลอกให้ติดยึดการทำงานให้ได้มาก ๆ จะสุขใจ จนเลยเวลาที่ควรเพียรพัก ร่างกายจึงแสดงอาการไม่สบายไม่สมดุล ให้ได้มาทบทวนตนเอง
นิโรธ : งานจะทำได้มากได้น้อยใจก็ผาสุกได้ รู้เพียรรู้พัก ตัดรอบ ไม่เบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่น
มรรค : ในช่วงนี้ได้ทำกิจกรรมการงานต่าง ๆ ทั้งทำงานร่วมกับหมู่มิตรดีด้วยแล้ว งานมีมากมายเป็นกุศลทีเสริมหนุน ให้มีโอกาสได้หมั่นทบทวนกายใจ จึงได้เห็นความโลภหลงยึดมั่นถือมั่นอยากทำงานได้มาก ๆ จนเบียดเบียนร่างกายตนเอง
นึกถึงบททบทวนธรรม ที่ว่า เมื่อได้มุ่งหมายให้เกิดดีและพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ดีนั้นไม่สมบูรณ์ ไม่สำเร็จดั่งใจหมาย กิเลสมักจะหลอกบอกว่า ถ้าไม่สมบูรณ์ ไม่สำเร็จจะเสียหาย จะไม่สบายใจ เป็นความลวง
ให้ใช้ปัญญาหักลำกิเลสว่า ถ้าได้มากว่านี้ จะเสียหาย เพราะในขณะนั้น ยังไม่ใช่เวลาที่จะได้มากกว่านี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะสมบูรณ์หรือสำเร็จกว่านี้ ในครั้งนั้นไม่สมบูรณ์ไม่สำเร็จจะดีที่สุด ยุติธรรมที่สุด ตามกุศลอกุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง
เมื่อพิจารณาให้ปัญญากิเลส ทำให้ใจคลายจากความโลภ หลงยึดงานไปได้ ได้เพียรในการพัก และปรับสมดุลกายใจให้ผาสุกได้
เรื่อง ปวดหายฉับพลัน
เหตุการณ์ เหตุเกิดจากเป็นโรครูมาตอยด์ ตอนอาการกำเริบหนักจะปวดมากปวดทุกอณูผิว ใส่เสื้อผ้า แปรงฟัน เขียนหนังสือไม่ได้ นั่งแล้วลุกขึ้นไม่ได้ เวลานอนจะพลิกตัวไม่ได้เจ็บร้องโอดโอยตลอดเวลา ก่อนหน้านี้รักษากับแพทย์แผนปัจจุบันมากว่า 2 ปี ตอนกินยาอาการดีขึ้น หลังเจอแพทย์วิธีธรรม(พวธ) ก็จะหยุดการใช้ยา มาใช้ยา 9เม็ด เน้นยาเม็ดที่ 8 9 อาการดีขึ้นมากจนใช้ชีวิตปกติได้ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิม
มีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำธุระที่หัวหิน เดินทางไกลกับรถยนต์ส่วนตัว ถึงที่หมายลงจากรถไม่ได้ ปวดทั่วตัว ขยับตัวไม่ได้ ลูกจะจับตัวเพื่อหิ้วปีกจะเจ็บมากจับตัวไม่ได้ ต้องพยายามขยับตัวทีละนิดๆ ทุกครั้งที่ขยับน้ำตาก็ไหลพรากตลอดเวลา โรคนี้มันปวดทุกข์ทรมานมากจริงๆ
ทุกข์ กลัว กังวลอาการเจ็บปวดทุกอณูผิว
สมุทัย ชอบถ้าร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ปวด ชังที่ร่างกายไม่แข็งแรง เจ็บปวด
นิโรธ ร่างกายจะแข็งแรงหรือไม่แข็งแรง จะเจ็บปวดหรือไม่เจ็บปวดก็ไม่ชอบไม่ชัง ไม่กลัวไม่กังวล
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ปวดเลยจะสุขใจ หรือถ้ามีอาการปวดบ้าง ปวดเล็กๆน้อยๆก็ยินดีได้ แต่ถ้าปวดมาก ไม่ยินดี ไม่ยอมรับ จะหนี คิดแบบนี้ผิดทางพุทธะแล้ว พุทธะต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งดีทั้งร้ายด้วยใจที่เป็นสุขให้ได้ เพราะสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา จึงยินดีรับ กล้าที่จะให้เกิดสิ่งร้ายถ้าวิบากร้ายออกฤทธิ์ กล้าให้ดีไม่เกิดถ้าวิบากร้ายขวาง
หลังขึ้นห้องได้ก็แปรงฟันที่เตียงก่อนล้มตัวลงนอน ใช้ญาณ7พระโสดาบัน “ตัวเองคงเคยหักคอ หักแข็ง หักขาใครมาแน่ๆเลย ก็ขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ต่อไปจะหยุดทำสิ่งไม่ดีอันนั้น จะทำดีให้มากๆ จะลดกิเลสให้มากๆ จะเกื้อกูลผองชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ”ก็นอนหลับไปแปลกใจไม่ตื่นมาปวดเลยจนเช้า อาการปวดไม่มีเลย สามารถไปทำธุระเดินต่อได้ทั้งวัน ปวดหายฉับพลันเหมือนเสแสร้งแกล้งทำ
สรุป หลังพิจารณา กล้ารับในสิ่งที่ทำมาด้วยความจริงใจ เต็มใจ อาการปวดหายฉับพลัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะให้ลูกๆหิ้วปีกเข้าโรงพยาบาลเพื่อจะกินยาสเตียรอยด์อีก แต่ครั้งนี้ทุกคนเชื่อมั่นว่าไม่ไปแน่ๆใช้ศาสตร์แพทย์วิถีธรรมด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ร่วมกับการสำนึกผิดที่ถูกตรงทำให้อาการปวดหายฉับพลัน..สาธุ
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง ไม่คิดว่าแม่จะพูดแบบนี้
เหตุการณ์ เมื่อเห็นว่าลูกไปเรียนที่ปฐมอโศกเราก็ต้องถือศีลเพิ่ม ปฏิบัติตัวให้ดีขึ้นเพื่อจะเป็นตัวอย่าง และจะปฏิบัติไปพร้อมลูก ถ้าไม่ปฏิบัติถือศีลเพิ่ม จะเป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดีให้ลูก ก็เลยได้บอกพ่อบ้านว่าลดเนื้อสัตว์บ้างนะ ปฏิบัติไปพร้อมลูก ลูกก็ไม่กินเนื้อสัตว์ บอกพ่อบ้านก็ผ่านไป หลายชั่วโมงก็มาบอกแม่ แม่ก็ว่ากลับมาทันทีว่า ท่านแก่จะตายแล้ว กินอะไรก็กินไปเถิด จะไม่ปฏิบัติตามหมอเขียวหรอก
ทุกข์ ไม่ชอบใจที่แม่พูดแบบนี้
สมุทัย ชอบที่แม่ไม่พูดแบบนี้ ชังที่แม่พูดแบบนี้
นิโรธ แม่จะพูดแบบนี้แบบไหนก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค กิเลสเราไปยึดติดว่า แม่น่าจะปฏิบัติธรรม ไปพร้อมหลาน โดนกิเลสว่าแม่ไม่รักกันจริง ไม่รักหลาน รักแต่ตัวเอง หันมาพิจารณาบททบทวนธรรม แต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน ต้องระวังอคติ ทุกคนก็มีกิเลสอยากได้ดั่งใจ เราจะไม่โทษใครไม่เพ่งโทษ ใจไร้ทุกข์ค่ะ
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง ไม่คิดว่าพ่อบ้านจะพูดแบบนี้
ชื่อเรื่อง วันนั้นได้ไปตลาดเห็นมาม่าเจ เลยซื้อยกแพ็คเพื่อจะไปส่งให้ลูก ขณะเดินทางกลับบ้านพ่อบ้านบอกว่าไปทางอีกทางนะ เพราะไปดูการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน เราก็บอกว่าอย่าไปเลยซื้อมาม่าเป็นแพ๊คใหญ่อายเขา เดี๋ยวเขาว่าเรากินมาม่า แล้วพ่อบ้านตอบกลับมาว่ากินผักไม่อายเขาหรือไง หนูก็บอกพ่อบ้านอายทำไม อายด้วยที่ฉันกินผัก พ่อบ้านตอบใช่
ทุกข์ ไม่ชอบใจที่พ่อบ้านว่าไม่อายเหรอที่กินผัก
สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้านไม่ถามว่าไม่อายเหรอที่เรากินผัก ชังที่พ่อบ้านถามว่าไม่อายเหรอที่เรากินผัก
นิโรธ พ่อบ้านจะว่าเราหรือไม่ว่าไม่อายเหรอที่เรากินผักใจ ก็ไร้ทุกข์ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค ตอนพ่อบ้านพูดมาอย่างนั้นเราขุ่นใจทันที ว่าทำไมต้องอายด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ด้วย เราคงทำกรรมไว้เยอะไปพูดกระแทกคนไว้เยอะ เลยต้องรับผลกรรม สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา หนูผิดศีลเรื่องวาจาไว้เยอะ ก็ต้องรับผลกรรม ไม่โทษใครใจไร้ทุกข์ หลังจากพิจารณาก็ใจไร้ทุกข์ สาธุค่ะ
เรื่อง อยากตัดผมสั้น
เคยไว้ผมยาวและชอบที่ตัวเองผมยาวมาตลอด และนั้นคือกิเลสตัวนึงของเรา จึงได้ลดกิเลสด้วยการตัดผมบ๊อบสั้น
เมื่อเวลาผ่านไปก็มีกิเลสอีกตัวที่ชอบผมสั้น และอยากตัดสั้นกว่าเดิม จึงปรึกษาลูกชาย ว่า จะตัดผมสั้นทรงไหน แบบไหนดี
ทุกข์ : ไม่ชอบที่ลูกชายไม่เห็นด้วย และไม่อนุญาติให้ตัดผมสั้น
สมุทัย : อยากตัดผมสั้น ๆ (ผมรองทรง)
นิโรธ : จะได้ตัดผมสั้นหรือไม่ ก็จะไม่ทุกข์ใจ ไม่ทำทุกข์ทับถมตน รอเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ
มรรค : ความไม่ชอบใจเล็กน้อย ก็คือทุกข์อย่างนึง จึงได้นำบททบทวนธรรม “ข้อ 42 ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ได้พลังสุด ๆ ได้สุขสุด ๆ ยินดีในความชอบชัง เสียพลังสุด ๆ ได้ทุกข์สุด ๆ” มาร่วมพิจารณาลดกิเลส ทำให้ทุกข์เล็กน้อยนั้นหายไปได้
แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก (2-3 หลายเดือน) กิเลสนั้นก็วนมาอีก เมื่อพิจารณาซ้ำ ๆ บ่อย ๆ พร้วมด้วยการทำดี โดยการ ลด ละ เลิกกิเลสตามที่เราทำได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน ความอยากตัดผมสั้น+ความไม่ชอบที่ไม่ได้ตัดผมสั้นก็ลดลงและค่อย ๆ หายไปตามลำดับและหมดไป เราไม่ความอยากตัดผมรองทรงแล้ว ผมทรงเดิมแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เมื่อวางใจได้อย่างสบายใจแล้ว วิบากดีก็ออกฤทธิ์
ผลปรากฏว่า ลูกชายมาพูดกับเราเอง ให้เราลองตัดผมรองทรงดูก็ได้นะ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า เมื่อเราตัดแล้วจะเป็นอย่างไร
เรื่อง ถ้าพูดน้อยกว่านี้จะดีกว่า
เหตุการณ์ มีพี่น้องท่านนึงมาบอกเรื่องที่ท่านรับข่าวสารมาจากพี่น้องอีกท่านนึงให้มาบอกฐานงานที่เราทำอยู่ แต่ท่านพูดซ้ำและวนอยู่หลายครั้งทั้งๆที่พี่น้องที่อยู่ตรงนั้นบอกว่ารับทราบแล้วเข้าใจแล้ว ตัวของเราไม่ใช่คนที่ท่านมาพูดด้วยโดยตรงแต่มีความรู้สึกว่าท่านพูดหลายรอบนะทั้งๆที่เรื่องที่ท่านมาบอกพูดแค่รอบเดียวทุกคนก็เข้าใจแล้ว
ทุกข์ รู้สึกไม่แช่มชื่นใจนิดหน่อยที่ท่านพูดวนซ้ำหลายครั้ง
สมุทัย ถ้าท่านพูดให้พอดีไม่พูดคนหลายรอบเราและคนที่เกี่ยวข้องก็จะสบายใจกว่า
นิโรธ ท่านจะพูดหลายรอบไม่พูดหลายรอบเราก็ยินดีไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ชอบไม่ชัง
มรรค พอได้ยินคำพูดหลายรอบเราก็รู้สึกไม่เช่นชื่นใจมันมันบอกว่าถ้าเขาพูดน้อยกว่านั้นไม่ต้องพูดหลายรอบเอาแค่พอเข้าใจก็ดี ให้เห็นว่าท่านจะพูดมากพูดน้อยมันเป็นวิบากของเราและคนที่เกี่ยวข้องเราทำมามากกว่านี้รับแล้วก็หมดไป ตั้งศีลมาเพื่อล้างกิเลสส่วนเหลือตัวนี้ที่เรายังไม่ชัดในกรรม เห็นความคิดของกิเลสที่มันทำให้ทุกข์ พุทธะต้องมาแก้กิเลสส่วนเหลือที่ทำให้ทุกข์ ตัณหาความอยากดี อยากได้ที่ดีกว่านี้ เข้าใจในฐานจิตของคนอื่นคิดว่าเขาจะเป็นยังไงก็ตามเขาทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ส่วนสิ่งที่เราและคนเกี่ยวข้องได้รับคือสิ่งที่เราและคนที่เกี่ยวข้องทำมารับแล้วก็หมดไปเราก็โชคดีขึ้น
สรุป ถ้าเป็นเมื่อก่อนพอเจอพฤติกรรมแบบนี้เราก็จะไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้จะรู้สึกไม่ชอบใจมากกว่านี้ อย่าคิดว่าเมื่อไหร่จะหยุดพูด
แต่ตอนนี้เราไม่มีความรู้สึกแบบนั้นมีแต่ความรู้สึกว่าท่านพูดหลายรอบนะ จริงๆทุกคนที่ฟังอยู่เขาก็เข้าใจและรับทราบแล้ว ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเรายังมีกิเลสอยู่เพราะไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจอะไร แต่พอได้มาคุยกับพี่น้องก็ได้ทำให้รู้ว่าเรายังมีความอยากอยู่ยังคิดว่าถ้าท่านไม่ทำแบบนั้นจะดีกว่านั้นมันเป็นกิเลส และรู้ว่าสิ่งทุกคนที่ได้รับคือสิ่งที่ทุกคนทำงานยินดีรับยินดีให้หมดไปก็รู้สึกโล่งใจสบายใจสาธุค่ะ
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เหตุการณ์ : เพื่อนบ้านเดินมาเราที่แปลงผัก มาถามว่าพี่สะใภ้มานินทาเขาให้เราฟังหรือเปล่า เราบอกว่าไม่ยุ่งเรื่องของใคร และไม่รู้ว่าพี่สะใภ้เขาว่าอะไรหรือเปล่า เพื่อนบ้านโกรธพี่สะใภ้มากและจะไม่ยอมเลิกลา ส่วนพี่สะใภ้มาเล่าให้เราฟังอีก เราแนะนำให้นิ่งๆไว้ ใจเย็นๆ แต่เขาจะทำตามหรือไม่ก็แล้วแต่เขาทั้งสองคน
ทุกข์ : ลำบากใจที่เพื่อนบ้านทะเลาะกัน
สมุทัย : ชอบที่เพื่อนบ้านไม่ทะเลาะกัน ชังที่เพื่อนบ้านทะเลาะกัน
นิโรธ : เพื่อนบ้านจะทะเลาะกันหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ความจริงเพื่อนบ้านทั้งสองคน จะทะเลาะกันหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรา แต่พวกเราก็สนิมสนมกันมานานจนเหมือนญาติ พึ่งพาอาศัยกันอยู่บ่อยครั้ง ในเมื่อเขามาปรึกษา สอบถาม เราต้องวางตัวเป็นกลาง คนไหนแนะนำได้ก็จะทำ ส่วนเขาจะทำตามหรือไม่แล้วแต่วิบากดีร้ายของแต่ละคน ดังบททบทวนธรรมข้อที่ 2 ว่า”เราต้องรู้ว่า แต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจึงควรประมาณการกระทำ ให้เหมาะสมกับฐานจิตของเรา และฐานจิตของผู้อื่น คิดดี พูดดี ทำดีไว้ก่อน ดีที่สุด” เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน เห็นว่าทั้งสองคนมีอาการนิ่งสงบลง เราก็รู้สึกเบาใจ คลายความลำบากใจได้โดยสิ้นเชิง
เรื่อง กังวลใจที่ปากเป็นแผล
เหตุการณ์: ช่วงนี้ปากเป็นแผล เพราะเกิดจากร้อนเย็นไม่สมดุล ไม่สมดุลจากใจที่มีความกังวล ไม่สมดุลทางร่างกาย
ทุกข์: กังวลแผลที่ปาก
สมุทัย: ชอบที่ปากไม่เป็นแผล ชังที่ปากเป็นแผล
นิโรธ: ปากจะเป็นแผลหรือไม่ ก็ไม่กังวลใจ
มรรค: ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง เราเป็นคนทำร้ายตัวเราเองโง่ที่สุด ความกังวลใจเป็นพิษที่ทำร้ายเรามากที่สุด กังวลใจไปทำไม มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นได้ นอกจากเพิ่มพิษทำร้ายตัวเอง สูญเสียพลังงานไปกับความกังวลใจ แทนที่จะเอาพลังงานมารักษาแผลที่ปาก เราจะโง่ไปถึงไหน ดังนั้นเมื่อเกิดสิ่งเลวร้าย เราก็ต้องยินดีรับ ยินดีให้หมดไปด้วยใจที่เบิกบาน พร้อมกับทำสมดุลร้อนเย็น หยุดเบียดเบียนด้วยการเอาพิษเข้าตัวเอง พร้อมกับระบายพิษไม่สมดุลออกไป ใส่สิ่งที่สมดุลเข้าไปแทนตามบททบทวนธรรมข้อที่ 13″ไม่มีใครทำดีกับเรา ได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยเราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตามชั่วก็ตาม เราจะได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้เราได้ นอกจากวิบากดีร้ายของเราเท่านั้น ที่ดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้อะไรเราได้ เราทำดีก็ได้รับผลดี เราทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว”เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้ว อาการกังวลใจก็หายไป แผลที่ปากก็ทุเลาลง จิตใจก็เบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม
เรื่อง หลงผิด
สัปดาห์ที่ผ่านมาตัดสินใจจะเรียนขับรถ
เพื่อจะได้สามารถดูแลตนเองและสามียามเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อก่อนเข้าใจว่าตัวเราไม่น่าจะหัดขับรถได้เพราะอายุเรามากแล้ว
ทุกข์ : กลัวกังวลว่าจะหัดขับรถไม่สำเร็จ
สมุทัย : ชอบที่จะให้ตัวเองหัดขับรถได้ ชังที่ไม่สามารถหัดขับรถได้
นิโรธ : สภาพดับทุกข์ไม่ชอบไม่ชังไม่ว่าจะหัดขับรถได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ
มรรค:วิธีดับทุกข์พิจารณาโทษของความกลัวกังวลว่าจะหัดขับรถไม่ได้ทำไม่สำเร็จ เตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ วางใจว่าต้องกล้ารับกล้าทำรับแล้วก็หมดไป ผลปรากฏว่าวันนี้เริ่มเรียนขับรถวันแรกก็สามารถเรียนรู้ได้โดยไม่มีความกลัวกังวลใดๆ
เรื่อง มาทำไมตอนนี้
เหตุมีอยูว่าเรากำลังบำเพ็ญงานจดบันทึกต้องตั้งใจฟังและจดให้ทัน แต่มีเพื่อนบ้านที่เป็นมะเร็งลำไส้มาคุยและยอมรับฟังคำชี้แนะการรักษากายและใจชึ่งเราเคยแนะนำก่อนนี้ท่านไม่รับฟังเลยเราก็หยุดไม่ฝืนคะ จู่ๆจะมารับฟังวันที่เราจดบันทึกนี่น่ะเราต้องวางงานเพื่อมาคุยกับท่าน
ทุกข์ : อึดอัดใจ
สมุทัย : ชอบจะจดบันทึกมากกว่าจะมาชี้แนะเรื่องกายและใจของเพื่อนบ้าน ชังไม่ได้จดบันทึกแต่ต้องมานั่งชี้แนะเรื่องกายและใจของเพื่อนบ้าน
นิโรธ : จะได้จดบันทึกหรือนั่งชี้แนะเพื่อนบ้านก็ได้หรือไม่ได้ก็ได้ใจเราผาสุก
มรรค : พิจารณาดูตามความจริงทุกอย่างไม่มีอะไรบังเอินเพื่อนบ้านกับเราก็คุยข้ามรั้วอยู่แทบจะทุกวัน แต่วันนี้ทำไมมาถึงบ้านเราได้เราก็ตั้งใจที่จะจดบันทึกให้สมบูรณ์และครบทุกคน อ่อตาดีขึ้นเห็นตัวยึดดีรำไรๆอยู่
มาร : บอกเธอไม่ต้องไปสนใจเขาเวลาบอกไม่เอาทีนี่จะมาฟังเธอ เธอต้องจดบันทึกให้สมบูรณ์และครบทุกคนทำพร่องมาตลอดวันนี้เตรียมตัวพร้อมที่สุดแล้ว
พุทธ : เธอวางดีก่อนได้มั้ยถึงเราไม่จดบันทึกก็ยังมีพี่น้องท่านอื่นข่วยบำเพ็ญอยู่เหมือนกัน เพื่อนบ้านเขาคงทุกข์และรู้ว่าถ้าได้คุยกับเรา ทำให้เขาทุกข์ทุเราเบาบางลงจึงมาปรึกษานี่ต่างหากส่งที่เราควรทำก่อนคือช่วยคนพ้นทุกข์กายทุกข์ใจ เธอ(มาร) อย่างเอาความพลาดความพร่องว่างานต้องสมบูรณ์ต้องดีอย่างใจหมายแล้วมาหลอกให้เรายึดดีที่จะทำงานให้ออกมาสมบูรณ์อย่างเดียว เรารู้ช่วยคนอื่นพ้นทุกข์เป็นกุศลมากกว่างานสำเร็จยอมให้งานพลาดงานพร่องแต่ใจไร้ทุกข์ไม่ยึดงานไม่ยึดเวลาว่าจะต้องช่วยคนเวลาไหนก็ได้เราพร้อมที่จะฝึกวางดีไปด้วยเลยวางได้ย่างผาสุกไม่ติดไม่ยึด
ย
ส่งการบ้านอริยสัจ4.
เรื่อง.กล้ายึดดีกล้าวางดี
เหตุการณ์.เนื่องจากมีเพื่อน โทรมาปรึกษาเรื่องจไปเลือกตั้ง อบต. ประมาณตอนสิ้นเดือนหน้า ท่านโทรมาปรึกษาว่า มีเพื่อน(หัวคะแนน)ทางโลกของท่านคนนึงโทรมาถามว่า เค้าจะมีการให้เงินกันจำนวนหนึ่ง พี่จะเอาไหม เค้ามารับมาส่งเอง เพื่อนจึงเล่าว่าได้ไปขออญาติผู้ดูแลความประพฤติ(แม่ไก่)ว่ายินยอมให้ท่านออกไปเลือกตั้งมั้ย ตกลงว่าท่านยินยอม
ทุกข์.รู้สึกไม่ชอบว่าใจในพฤติกรรมของเพื่อนที่เมื่อรู้ว่าท่านจะไปเลือกตั้งพร้อมกับรับเงินด้วย
สมุทัย.อยากให้เพื่อนไปเลือกตั้งโดยไม่ต้องรับเงินเพราะเราคิดว่าสิ่งที่เพื่อนจะทำมันผิดศีลถ้าเพื่อนไม่ไปไม่รับเงินจะชอบใจสุขใจ แต่เมื่อได้ยินว่าเพื่อนเล่าให้ฟังว่าจะไปเลือกตั้งพร้อมกับจะเอาเงินด้วยจึงทุกข์ไม่ชอบใจ
นิโรธ.ยินดีแม้แต่เพื่อนจะทำหรือไม่ทำพฤติกรรมที่เราก็ไม่ชอบไม่ชัง ยินดีที่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นที่เพื่อนจะทำหรือไม่ทำก็ได้ พร้อมกล้ายินดีให้เพื่อนทำตามฐานของตนเอง
มรรค.มาพิจารณาเห็นถึงความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองที่ทำให้ทุกข์ใจค่ะ ติดดีอยากใหเพื่อนทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีว่าใช่ ถ้าเพื่อนไม่ทำก็จะดีจะได้ไม่ผิดศีล คิดดีคิดเหมือนจริง แต่ไม่จริงเพราะคิดแล้วยังยึดอยู่ยังทุกข์อยู่ ผิดทางพุทธะ พุทธะต้องวางให้ได้ว่าเพื่อนจะทำพฤติกรรมเช่นใดอย่างไร เราก็ต้องกล้ายินดีรับให้ได้ กล้ายึดดีกล้าวางดีให้ได้ เพื่อนจะคิดพูดทำอะไรก็เป็นทำกุศลอกุศลของผู้นั้นและคนที่เกี่ยวข้อง
ส่วนเราก็ตั้งศีลปฏิบัติดีทำความดีตามฐานของตนเองเท่าที่ทำได้ คิดดีพูดดีทำดี และกล้าที่จะวางดีให้ได้ทำให้ใจเราไร้ทุกข์ลงได้ตามลำดับค่ะ
สรุปว่า.เมื่อมาพิจารณาอาการของกิเลสเข้าใจชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งขึ้นว่าเราก็เคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น เปรียบเทียบจากตอนนี้ยังเหลือความชังอยู่แต่น้อยมาก แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะพูดกับเพื่อนหรือคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง(ทุจริต)ประมาณตรงๆหนักๆไปเลย แต่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองนิ่งลงได้เยอะค่ะ
เมื่อเราวางใจก็ทำให้อีกวันหนึ่งเพื่อนได้โทรมาบอกอีกครั้งว่าได้โทรคุยกับเพื่อนของท่านแล้วว่าเปลี่ยนใจที่จะไม่ไปแล้ว เมื่อได้ฟังก็ร่วมยินดีกับเพื่อน อนุโมทนากับสิ่งที่เพื่อนเปลี่ยนใจไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี(ทุจริต) เพื่อนก็จะได้ไม่ผิดศีล จะได้เอาเวลาส่วนนั้นมาทำความดียิ่งๆขึ้นไปค่ะ
Comments are closed.