การบ้าน อริยสัจ 4 (39/2564) [42:59]

640926 การบ้าน อริยสัจ 4 (39/2564)

นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)

ผู้ส่งการบ้านในสัปดาห์นี้ มีทั้งหมด 42 ท่าน 59 เรื่อง

  1. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
  2. นางละอองดาว สง่างาม
  3. อรวิภา กริฟฟิธส์
  4. นางจิราภรณ์ ทองคู่ (2)
  5. นางสาวนาลี​ วิไลสัก (2)
  6. ลำพึง ก๋งจิ๋ว (5)
  7. ชุติวรรณ แสงสำลี (3)
  8. ปิ่น คำเพียงเพชร
  9. โยธกา รือเซ็นแบร์ก
  10. ปริศนา อิรนพไพบูลย์ (ปางน้อม กล้าจน)
  11. ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
  12. นางพรรณทิวา เกตุกลม (2)
  13. RUAM KETKLOM
  14. รักใจ โปวอนุสรณ์
  15. พวงบุปผา หนูรัก
  16. ชลิตา แลงค์ (2)
  17. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
  18. พรพิทย์ สามสี (เพื่อนพิทย์)
  19. อภินันท์ อุ่นดีมะดัน (2)
  20. น.ส สำรวย รัตตนะ (ผ่องคำพุทธ)
  21. สุวรรณ กังวานนวกุล (4)
  22. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์
  23. นางสาวเสริมศรี ชวานิสากุล
  24. นส.พรเพียรพุทธ โพธิ์กลาง​ ทิพย์
  25. สุดใจ​ โสะหาบ
  26. ด.ช.จิรวศิน เรียนจันทร์
  27. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)
  28. นางสาวสันทนา ประวงศ์
  29. วรางคณา ไตรยสุทธิ์ (พุทธพรฟ้า)
  30. ภูเพียรธรรม กล้าจน
  31. นางสาวแก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม (อาต่อน)
  32. นปภา รัตนวงศา (2)
  33. นฤมล ยังแช่ม
  34. ชวนชม คำท้วม
  35. สุวรรณา ทิพวรรณ (ร้อยเรือนธรรม)
  36. นธกานต์ สุวรรณ
  37. น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
  38. น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี
  39. สำรวม แก้วแกมจันทร์ (2)
  40. สุมา ไชยช่วย (2)
  41. ณ้ฐพร คงประเสริฐ
  42. มั่นศีลขวัญ. นางสนทยา กันทะมูล
  43. อา ชัยวิทย์ (แม่นแก่นพุทธ)

 


 

Tags:

60 thoughts on “การบ้าน อริยสัจ 4 (39/2564) [42:59]”

  1. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์

    อริยสัจ 4

    เรื่อง เอ้าทำไมตื่นเต้นละทีนี้ ?
    เมื่อวานพี่น้องหมู่กลุ่มได้ให้โอกาสข้าพเจ้าได้เรียนรู้ ฝึกฝนการทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการ สายด่วนสุขภาพพึ่งตน วิถีธรรมวิถีไทย ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเราก็ได้ประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนแล้ว และตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ตื่นเต้น แต่กลับยินดีที่จะรับหน้าที่นี้เพื่อจะได้เรียนรู้และฝึกฝนตนเอง

    เมื่อเริ่มเข้ารายการเกิดอาการเสียงสั่น มือเย็น หน้าร้อนวูบวาบ “เอ้าตื่นเต้นหรือเรา” พอรู้ตัวว่าตื่นเต้นเลยพูดออกอากาศ เรียนพี่น้องที่อยู่ในห้องซูมไปว่า “รู้สึกตื่นเต้นค่ะพี่น้อง” พอพูดต่อไปอีกประมาณ 1-2 ประโยค อาการตื่นเต้น และเสียงที่สั่นกลับมาปกติเหมือนเดิม

    ทุกข์ : ตื่นเต้น เมื่อได้มีโอกาศพูดให้คนเกือบ 200 คนฟังผ่านโปรแกรม ซูม

    สมุทัย : อุตสาห์เตรียมกับพี่น้องมาอย่างดีแล้วไม่น่าที่จะตื่นเต้นเลย ไม่ชอบใจที่ตัวเองมาตื่นเต้นเอาดื้อ ๆ ตอนที่เริ่มรายการ

    นิโรธ : จะมีอาการตื่นเต้นก็ไม่เป็นไรหรอก ค่อย ๆ ฝึกเรียนรู้ไปทำได้เท่าไหรก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

    มรรค : เมื่อเห็นอาการทางกายเกิดขึ้น ก็เริ่มรู้ว่าไม่ปกติแล้วเรา เอาอย่างไรดี เลยตั้งสติและกลับมาดูที่ใจว่าเป็นอะไรในขณะนั้น แล้วก็พบว่าอาการตื่นเต้น เพราะใจกลัวว่าจะทำงานออกมาได้ไม่เหมือนกับที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้น จึงได้ตัดสินใจแจ้งพี่น้อง ในห้องซูมที่มีอยู่ประมาณ 100 คน (ณ เวลานั้น) ว่า “ตื่นเต้นค่ะ พี่น้อง” เพื่อหักลำกิเลสตัวความตื่นเต้น และความอยากได้ความสำเร็จจากงาน

    พอได้พูดออกไปแล้ว เห็นอาการของใจ โล่งโปร่งสบายขึ้นมาทันที มีอาการเบาสบายและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สติกลับมาอยู่กับตัวสามารถพูดด้วยน้ำเสียงปกติได้เหมือนเดิม

    เหมือนท่านอาจารย์หมอเขียวสอนไว้เลยว่า ทุกข์ใจเท่ากับดินทั้งแผ่นดิน ส่วนกายเท่ากับฝุ่นปลายเล็บ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เลยค่ะ สาธุ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์หมอเขียวที่ได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่และมาขยายให้พวกเราได้เรียนรู้และพ้นทุกข์ผาสุกกันทั่วหน้า และขอบพระคุณเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นกิเลส และได้ล้างทุกข์ที่เกิดขึ้นค่ะ

  2. นางละอองดาว สง่างาม

    เรื่องหาของไม่เจอ

    เนื้อเรื่อง ใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้เสร็จแล้วเก็บไว้ในห้องเก็บของ แต่ไม่วางไว้ที่เดิม เมื่อจะนำมาใช้ครั้งต่อไปหาไม่เจอ ทั้งๆทีกรรไกรก็อยู่ในห้องเก็บของนั่นแหละจึงวางใจว่าถ้าหาไม่เจอจะซื้อใหม่ พอดีจะใช้ปอกใส่มีดที่อยู่ในห้องเก็บของ เมื่อหยิบปอกมีดขึ้นมาปรากฏว่าเจอกรรไกรตัดกิ่งไม้อยู่ในปอกใส่มีด

    ทุกข์ ขุ่นใจที่หากรรไกรตัดกิ่งไม้ไม่เจอ

    สมุทัย มีความอยากว่าถ้าหากรรไกรตัดกิ่งไม้เจอก็จะสุขใจ ถ้าหาไม่เจอก็จะทุกข์ใจ

    นิโรธ จะหากรรไกรตัดกิ่งไม้เจอหรือไม่เจอก็สุขใจ

    มรรค วางใจจะหากรรไกรตัดกิ่งไม้เจอหรือไม่เจอ แล้วแต่กุศล อกุศลที่ทำในปัจจุบัน ชาตินี้หรือชาติก่อนๆจะออกฤทธิ์พอวางใจก็เจอ จิตก็เบิกบานแจ่มใส

  3. อรวิภา กริฟฟิธส์

    เรื่อง คำต้องห้าม
    ได้มีส่วนร่วมบำเพ็ญกับพี่น้อง ตอบคำถามในห้องสายด่วน ในวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา เราพี่น้องบอกว่า ไม่ควรใช้คำว่า ต้อง เราเองก็เป็นผู้ที่มักใช้คำนี้ ในครั้งที่ผ่าน ๆ มา ครั้งนี้ก็ตั้งใจมากเลยว่าจะระวังไม่พูดนี้ เมื่อมีโอกาสตอบคำถามผู้ป่วยท่านหนึ่ง ซึ่งท่านป่วยเป็นมะเร็งและปอดติดเชื่อ ขณะที่แนะนำการดูแลเราหลุดใช้คำต้องห้าม พอรู้สึกตัวเกิดความรู้กังวลขึ้น คิดปรุงคำไม่ถูก ไม่แช่มชื่น

    ทุกข์ ไม่แช่มชื่น กังวลใจคิดปรุงคำพูดไม่ถูก ดูเหมือนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งพูดคำต้องห้ามยิ่งขึ้น

    สมุทัย อยากคิดคำพูดให้คำแนะนำที่เหมาะสมและไม่พูดคำที่ต้องห้าม

    นิโรธ จะพูดคำที่ต้องห้ามหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ เราตั้งใจทำเต็มที่แล้วก็ยินดีเท่าที่ทำได้ เป็นไปตามกุศลอกุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง

    มรรค เมื่อเราตั้งใจทำดีเต็มที่แล้วก็ควรยินดีเท่าที่ทำได้ แล้วปล่อยวางให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของเราและคนที่เกี่ยวข้อง เราไปอยากได้เกินกว่ากุศลอกุศลที่เป็นไปได้จริงเป็นการผิดศีล เป็นขโมยเอาของที่ไม่ใช่ของเรา เบียดเบียนตนเองด้วยความกังวล เป็นวิบากร้ายปิดกั้นให้คิดปรุงคำพูดไม่ออกดังใจหมาย เกิดความฝืดฝืนเกิน ลำบากเกินแสดงว่าเวลานั่นไม่ใช่กุศลของเราและคนที่เกี่ยวข้อง จึงควรหยุดความชั่วที่จะเอาดีดังใจหมาย พอคลายความคิดที่จะเอาดีดังใจหมาย ยินดีเท่าที่ทำได้ วิบากดีออกฤทธิ์ วิบากร้ายหมดเพื่อนเข้ามาช่วย อนุโมทนาสาธุค่ะ

  4. นางจิราภรณ์ ทองคู่

    เรื่อง วิบากบัง

    เนื้อเรื่อง วันหนึ่งอากาศค่อนข้างเย็นไปเดินออกกำลังกายจึงใส่เสื้อกันหนาวและเอานาฬิกาไปด้วย จะได้ดูเวลา กลับมาได้เอานาฬิกาใส่กระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวเดิมแล้วแขวนไว้ เวลาผ่านไปสักพักจะดูเวลา ก็เอามือล้วงหานาฬิกาในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ล้วงแล้วล้วงอีกก็ไม่เจอ เราก็ว่าเราเอาใส่กระเป๋าเสื้อกันหนาวนะแต่ก็ไม่เจอ ก็เลยวางใจ และคิดว่าถ้าวิบากดีออกฤทธิ์ก็จะเจอ แต่ถ้าวิบากร้ายออกฤทธิ์ก็จะไม่เจอ พอเราวางใจแล้วกลับไปล้วงกระเป๋าเสื้อกันหนาวอีกครั้งก็เจอ

    ทุกข์ ขุ่นใจคิดว่านาฬิกาหายได้ยังไง

    สมุทัย ถ้าเจอนาฬิกาจะสุขใจแต่ถ้าไม่เจอนาฬิกาจะทุกข์ใจ

    นิโรธ จะเจอหรือไม่เจอนาฬิกาก็สุขใจ

    มรรค การวางใจเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งคือเราไม่เบียดเบียนตัวเอง เราไม่ผิดศีล เกิดวิบากดีใหม่ไปรวมกับวิบากดีเก่าที่เราเคยทำมาดันวิบากร้ายในปัจจุบันและอดีตออกไป เราก็เจอนาฬิกา จิตใจก็ผาสุก จิตใจก็ไร้ทุกข์

  5. นางสาวนาลี​ วิไลสัก

    20/9/2564
    เรื่อง : กังวลว่าเขาจะดูแลพ่อไม่ดี

    เหตุการณ์ : ช่วงนี้เราติดภารกิจที่ต้องดูแลพ่อเป็นเวลา เกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ก็เลยส่งผลกระทบต่องานอื่น ๆ วันนั้นเรามีความจำเป็นที่ต้องออกไปเคลียร์งานข้างนอก ก็เลยได้ปรึกษาญาติว่าจะให้ใครไปเฝ้าพ่อแทนเรา สรุปผลออกมาคือให้สมาชิกใหม่ในบ้านไปเฝ้าพ่อแทนเรา แต่เขาเถียงกลับคือเขาไม่อยากไป

    ทุกข์ : ใจไม่เบิกบาน เป็นห่วง กังวลว่าเขาจะดูแลพ่อไม่ดี
    สมุทัย : ชอบถ้ามีคนดูแลพ่อดี ๆ แทนเรา ชังถ้าสมาชิกใหม่ในบ้านดูแลพ่อไม่ดี
    นิโรธ : จะมีใครดูแลพ่อดี ๆ แทนเราหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : เมื่อรู้สึกว่าใจไม่เบิกบานก็ตรวจพบว่าตัวเองยังมีความกังวล
    มาร : เอ! เขาจะดูแลพ่อดี ๆ ไหมน้อ
    เรา : เขาจะดูแลพ่อดีหรือไม่ดี ก็เอาตามความสามารถที่เขามีนั้นแหละ
    มาร : ก็ เห็นเขาแสดงกิริยาไม่อยากไป เลยไม่ไว้ใจอ่ะ ถ้าเกิดเขาทำไม่ดีกับพ่อล่ะ แบบนี้ต้องส่งลูกเราไปด้วยคน เพื่อเกิดเขาคิดไม่ดีเขาจะได้เกรงใจเด็กบ้าง
    เรา : ตอนนี้ยังไม่รู้เลย ว่าจะมีใครทำดี หรือทำไม่ดีกับพ่อ แต่เท่าที่รู้คือมารกำลังคิดไม่ดีให้ข้าทุกข์ใจอยู่นี่ ความจริงคนทุกคนใครจะได้รับสิ่งดีหรือสิ่งร้าย ก็ขึ้นอยู่กับวิบากดีร้ายของคน คนนั้นที่เคยสร้างไว้ ไม่มีใครสามารถทำร้ายพ่อได้หรอกนอกจากวิบากดีร้ายของท่านเท่านั้น ทีจะจัดสรรให้ได้รับอะไรในเวลาใด (ระหว่างที่ทำงานมารก็เข้ามาอีกรอบ)

    มาร : เมื่อไหร่งานจะเสร็จวะ จะได้รีบไปดูแลพ่อที่ รพ
    เรา : เฮ๊ย! มารเอ็งอย่ารีบน่ะ ยังไงงานของข้าก็จะเสร็จอยู่แล้ว(งานจับมารมาประหารจะเสร็จตอนนี้) เห็นไหมความกังวล ความใจร้อนไม่ได้มีผลช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่แอะเดียว แถมยังเป็นแรงเหนียวนำให้ผู้อื่นกังวลตาม ทำชั่วได้สารพัดเรื่องด้วย ถ้าถึงเวลาที่ใครจะได้ชดใช้วิบาก เราจะพยายามป้องกัน ขวัดขวางหรือหลบหนีไปที่ไหน ก็หนีไม่พ้นหรอก ตามลำพังเราไม่มีบารมีจะไปปิดกั้นวิบากกรรมของใครได้หรอก ในเมื่อเราได้พยายามทำหน้าที่ลูกเต็มที่แล้วก็ปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม

    สรุปถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะทุกข์ใจมากกว่านี้ อาจจะโทษเขาว่าเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านทำไหมไม่อยากช่วยกันดูแลผู้ป่วย แต่ตอนนี้เรายังเหลือกิเลสตัวกังวล เป็นห่วง ผู้มีพระคุณกับเรา พอเราเข้าใจภัยของความกังวล เข้าใจกรรมเขา กรรมเรา ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ความกังวลก็คลายลง สามารถทำงานต่อไปด้วยใจเบิกบานค่ะ

  6. ชุติวรรณ แสงสำลี

    ชื่อเรื่อง ใจใส ตาใส

    เหตุการณ์ ปกติจะใส่ แว่นสายตาเวลาต้องการมองอะไรให้ชัดๆ จึงใสบ้างไม่ใส่บ้าง เดี๋ยวใส่เดี่๋ยวถอด 2 วันถัดมาไม่ได้ใส่แว่นตาเลย รู้สึกมองอะไรชัดเจนมากขึ้น พอนึกขึ้นได้นี้เราไม่ได้ใส่แว่นตามาแล้ว 2 วันแล้ว พอจะนำแว่นมาใส่เพื่อดูจอทีวีก็หาแว่นไม่เจอ รู้สึกว่าถึงเวลาที่แว่นสายตาหายไปอีกแล้วหรือ ใจก็หวั่นไหวเล็กน้อย เพราะเป็นแว่นที่ใช้ประจำไว้ใส่ทำงาน

    ทุกข์ แว่นสายตาหาย หาไม่เจอ ไม่มีแว่นใส่ทำงานเป็นแว่นอันสุดท้ายที่มี จะต้องตัดแว่นใหม่อีกแล้ว ซี่งเป็นช่วงที่โควิดระบาดคงไม่สะดวกที่จะไปตัดแว่นสายตาใหม่ได้

    สมุทัย หาแว่นตาไม่เจอ ใจหวั่นไหวเล็กน้อย จะไม่มีแว่นสายตาให้ได้ใช้ไม่สบายใจ ไม่สุขใจ ถ้าหาแว่นสายตาเจอ มีแว่นสายตาให้ใช้ต่อ จะสุขใจสบายใจ

    นิโรธ ไม่หวั่นไหวไม่กลัวว่าจะไม่ได้ตามที่อยากว่าถ้าหาแว่นตาเจอ ก็สุขใจสบายใจ ถ้าหาแว่นตาไม่เจอก็สุขใจสบายใจ

    มรรค พิจารณารู้ความจริงตามความเป็นจริงของที่หายกับใจที่หายควรดับทุกข์อะไรก่อน ก็ต้องได้ทุกข์ใจก่อนอยู่แล้วแต่ที่ผ่านมามันดับช้าหน่อย ไปตามลำดับครั้งแว่นตาที่หายไป แต่ครั้งนี้ตรวจใจพบว่าช่วงไหนที่เรามีความพากเพียรปฏิบัติลดละเลิกชำระกิเลสได้ดีเป็นลำดับๆ ทำให้มีปัญญาเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น จิตผ่องใสมากขึ้นแว่นสายตาที่ใช้อยู่จะหายไป สัจจะเขาจะให้ได้อาศัยตาใน จิตวิญญาณที่ชำระกิเลสได้แล้วมีความสำคัญที่เราได้อาศัยมากกว่าที่จะใช้ตานอกในการเห็นสิ่งต่างๆที่ต้องอาศัยใส่แว่นสายตาเห็นรูปภายนอก ที่หายครั้งนี้
    เป็นอันที่ 8 แล้ว ก็ยินดีสุขใจที่สัจจะเขามาทดสอบจิตเราอยู่เรื่อยๆ ว่ายังมีอาการสุขทุกข์ใจใดๆเหลืออยู่มากน้อยเพียงใดไหม เราก็ตรวจดูแล้วแว่นตาอันที่ 8 นี้หายไปก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แม้ในขณะที่หาแว่นไม่เจอก็ไม่ทุกข์ใจอะไรจิตมันนิ่งสงบ ยินดีที่หาไม่เจอ ถ้าหาเจอก็ยินดี เพราะทุกครั้งที่แว่นตาหาย แสดงว่าแว่นตานั้นไม่เหมาะกับสายตาเราแล้ว สายตาเราเขาจะปรับได้เองอัตโนมัติที่เราชำระกิเลสได้เรื่อยๆวันหนึ่่งแว่นตาก็จะหายไปอันหนึ่ง ตาในจิตวิญญาณที่เป็นรูปในก็เจริญขึ้น
    นี้เป็นครั้งแรกที่เราตรวจสอบเจออาการภายในจิตว่าทุกครั้งที่แว่นตาหายเรายังมีทุกข์มีความหวั่นไหวมากอยู่กลัวจะหาแว่นตาไม่เจอ แล้วมันก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้งเดียว แม้ครั้งนี้ก็ไม่เจอแต่เราก็ได้เจอที่ดีกว่าแว่นตาคือเรามีปัญญารู้ว่าแว่นสายตาที่หายไปมันคือแบบทดสอบมันเป็นวิบากดีที่เราได้รับมันไม่ใช่วิบากร้ายเลย ที่แว่นตาหาย เพราะ เรามีปัญญาดับทุกข์ที่ใจก่อนทุกครั้งนั้นแหละ มีศีลมากขึ้นเป็นลำดับ ที่เราพากเพียรทำได้ ตานอกที่ร่างกายเรามีอยู่ก็ชัดขึ้นๆๆนะ มองเห็นสิ่งใดๆสดใสจนทำให้เราลดการใส่แว่นตาน้อยลงๆๆ ค่ะเราก็สุขใจสบายใจ เมื่อชัดเจนใจใสเพิ่มขึ้นเมื่อไร ตาใสก็เพิ่มมากขึ้นๆ เมื่อนั้น

  7. ลำพึง. ก๋งจิ๋ว

    ชื่อเรื่อง ทำไมไม่แยกขยะ

    เนื้อเรื่อง มีพี่น้องขึ้นมาบำเพ็ญพร้อมอาหารใส่ถุงพลาสติกติดมือมาด้วย แล้วตนเองก็เห็นที่ถังขยะเอาอาหารไปทิ้งไม่ได้แยกขยะ ทิ้งรวมทั้งถุงเลยใจตนเองเลยชิงชังว่าน่าจะแยกบ้างน่ะเรามาเป็นจิตอาสาช่วยกันสร้างระเบียบให้เราเองมักง่ายจังเลย

    ทุกข์ .น่าจะเก็บให้เรียบร้อย

    สมุทัย .ตามองเห์นที่ถังขยะมีถุงพลาสติกใส่อาหารมาทิ้งโดยไม่แยกน่าจะเทเศษอาหารออกก่อนไม่แยกชยะเลย ใจนึกชิงัง มักง่าย มาเป็นจิตอาสาช่วยกันสร้างระเบียบให้ตนเอง

    นิโรธ .เพื่อนพี่น้องจะแยกขยะหรือไม่แยกเราก็ไม่อึดอัดใจ ไม่ลำคาญใจ

    มรรค .เราก็เคยไม่แยกขยะ เราทำมามากกว่านั้น เราแสบสุดๆ อดทนรอคอย ให้อภัย ใจเย็นข้ามชาติ

  8. ชุติวรรณ แสงสำลี

    ชื่อเรื่อง รองเท้าใครหนอ

    เนื้อเรื่อง เวลาที่เราถอดรองเท้าเข้าไปนั่งที่เสื่อแดงร่วมกิจกรรมกับหมู่กลุ่ม เสร็จแล้วลุกออกมาจะใส่รองเท้า แต่หารองเท้าไม่เจอ ทั้งที่รองเท้านี้มีชื่อเราเขียนไว้ ทำให้ไม่มีรองเท้าใส่ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งที่2 ครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

    ทุกข์ รองเท้าหายไป ไม่มีรองเท้าใส่

    สมุทัย รองเท้าหายไปใจหวั่นไหวเล็กน้อย ถ้ารองเท้าไม่หายไปใจไม่หวั่นไหวเลยจะเป็นสุขใจมากกว่า

    นิโรธ รองเท้าหายไปใจหวั่นไหวเล็กน้อย ก็เป็นสุขใจ ถ้ารองเท้าไม่หายไปใจไม่หวั่นไหวเลยจะเป็นสุขใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีค่าเท่ากัน

    มรรค ครั้งแรกที่รู้ว่ามีผู้ต้องการใช้รองเท้าคู่นี้ร่วมกับเรา ทำใจว่าเราได้ล้างกิเลสตัวไม่ได้ดั่งใจว่าจะได้ใส่รองเท้าทุกครั้ง เราก็ยินดีที่มีผู้นำรองเท้าไปใช้ประโยชน์ ถึงเวลารองเท้ามันจะกลับมาเอง วางใจไม่กังวล ไม่กลัวว่ารองเท้าจะไม่กลับมา ใจเราก็ผาสุก เบิกบาน
    ครั้งที่ 2 วันต่อมาเป็นเหมือนเหตุการณ์ครั้งแรก เราก็ทำใจว่าโชคดีอีกแล้ว ไม่ได้ดั่งใจ เราก็ยินดีรับ ไม่ทุกข์ ไม่หวั่นไหวใจเราก็เป็นสุข แม้วันนี้เราจะไม่มีรองเท้าใส่ในยามจำเป็นก็ตาม
    ครั้งที่ 3 ก็เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งที่1-2
    ตรวจดูเวทนาใจเรายังนิ่งอยู่ไหม นิ่งอยู่ไม่หวั่นไหว รองเท้าคู่ที่ใช้นี้มันไม่ใช่ของเราแล้วแน่ๆ ผู้ที่นำไปใส่จะเป็นคนเดิมหรือไม่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นทุกท่านที่ได้ใส่รองเท้า ท่านก็หายทุกข์ ก็ดีมากแล้ว สละคืนปล่อยไปไม่มีเหลือสิ่งใดว่าใช่ว่าเป็นของเรา มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน เกิดดับๆ ยกรองเท้าให้ท่านได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เลย เต็มใจสุขใจพอใจ ที่ได้แบ่งปันรองเท้าให้ผู้ที่เดือดร้อนกว่าเราได้ใช้ประโยชน์
    เวลาต่อมาเราก็ได้เจอรองเท้าคู่หนึ่ง มีผู้สละแล้ว มีเชื้อราขึ้น ไม่มีใครเอาไปใช้ เราจึงนำมาล้างสะอาดขึ้นเหมือนของใหม่เลย และยังมีคุณภาพดีอยู่มากแม้จะคู่เล็กไปแต่ก็ได้ใช้ประโยชน์ได้ดีพอใจสุขใจได้

  9. นางสาวนาลี​ วิไลสัก

    21/9/2564
    เรื่อง : ญาติไม่เห็นเทวทูตแต่เราเห็นกิเลส

    เหตุการณ์ : การที่พ่อป่วยแบบทรมานมาก ๆ แบบนี้เราได้ถือว่าเป็นเทวทูตมาเตือนให้เรารีบทำสิ่งที่ถูกต้อง รีบปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็เอาเหตุการณ์นี้แหละ มาสอนทั้งตนเอง และ ลูก ๆ ด้วย แต่ในขณะที่สอนลูกกิเลสก็แวบเข้ามา อยากให้ญาติได้รับประโยชน์ด้วย

    ทุกข์ : อึดอัด ขุ่นเคืองใจที่เห็นญาติไม่สะดุ้งสะเทือนต่อเหตุการณ์ที่พ่อป่วย
    สมุทัย : ชอบถ้าญาติเห็นว่าเหตุการณ์ที่พ่อป่วยคือเทวทูตมาเตือน ชังที่ญาติไม่ยอมเปิดหู เปิดตา รับรู้ภัยของการเสพกิเลส
    นิโรธ : ญาติจะรู้จักเทวทูต และ เห็นภัยของการเสพกิเลสหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชังใจไร้ทุกข์

    มรรค : หันมาตรวจใจขณะที่สอนลูกไอ้หวังก็มา
    มาร : ที่พ่อป่วยจนอวัยวะข้างในหลายส่วนเป็นโรค และ พังยับเยินขนาดนี้มันเกิดจากพฤติกรรมพ่อไปกินของที่เป็นพิษสะสมในร่างกายเยอะบวกกับวิบากร้ายที่พ่อเคยสะสมมา ญาติเราก็เห็นอยู่แต่ทำไมเขาไม่สะดุ้งสะเทือนสักทีหวา
    เรา : จะให้เขาสะดุ้งได้ไงในเมื่อเขาไม่รู้ว่าที่พ่อป่วยนั้นเกิดจากการสะสมพิษบวกวิบากร้าย เขาก็เข้าใจได้แค่ว่าพ่อป่วยเพราะโดนโรครุมเร้าเท่านั้น
    มาร : ก็ เราได้พยายามถือโอกาสสอนลูกอยู่ต่อหน้าญาติ เพื่อกระแทกให้เขาสะดุ้ง และ เข้าใจบ้างว่าพฤติกรรมที่เขาทำอยู่ตอนนี้จะเป็นต้นเหตุให้เขาป่วยในอนาคต แต่เขาก็ยังไม่รู้จักฟังแล้วเก็บไปใส่ใจสักที
    เรา : ในเมื่อเราได้พยายามจะช่วยให้เขาเห็นภัยอันตรายจากการเสพกิเลสเต็มที่แล้วแต่เขายังไม่เข้าใจ แล้วไง มารจะขยันทำทุกข์ทับถมตนมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะเรายังไม่ใช่สัตบุรุษของเขา ก็ให้โอกาสเขาไปเรียนรู้ก่อนเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คนทุกคนไม่มีไครอยากพร่อง อยากทุกข์ ที่เขายังทำทุกข์อยู่เพราะเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาไม่ทำหรอก ส่วนเรามีหน้าที่ทำตัวอย่างที่ดีให้เขาดู เปิดเผยข้อมูลดี ๆ ออกไปเขาจะเก็บไปใช้ชาติไหนก็แล้วแต่เขา
    มาร : ออ เข้าใจแล้วเมื่อก่อนเราเคยเป็นเช่นนั้นมา
    เรา : เอ! ทำไมมารต้องเป็นห่วงคนกลุ่มนี้ ที่คนอื่น ๆ เขาก็กำลังทำเหตุแห่งป่วยเหมือนกันไม่เห็นจะห่วงเขาเลย
    มาร : ก็ คนกลุ่มนี้เขาเป็นญาติเราไง
    เรา : มารถ้าเอ็งเก่งนัก ถนัดห่วงญาติมาก ก็ให้เอ็งห่วงญาติไปเลย ญาติที่เอ็งห่วงนักห่วงหนาอยู่ตอนนี้พวกเราคือญาติในสมมุติสัจจะที่เกิดมาใช้วิบากร่วมกัน คนทุกคนบนโลกใบนี้รวมทั้งสัตว์เดรัจฉานด้วย เคยเกิดมาเป็นญาติกันทั้งนั้นแหละ หลายชาติจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าจะห่วงก็ต้องห่วงทั้งหมดสิ ญาติเอ็งทั้งหมดไง จะได้ยุติธรรม
    มาร : โห! เยอะไป ตัดรอบดีกว่า ถ้าจะห่วงทั้งหมดก็หนักหัวตายก่อนญาติพอดี เลิกห่วงละ
    เรา : เริ่มฉลาดบ้างก็ดีแล้ว ญาติที่แท้จริง จะพาเราพ้นทุกข์คือญาติธรรม

    สรุปปัญหาเกิดจากการผูกญาติ พอเราตัดญาติได้ปัญหาก็จบลง ใจก็เบาสบาย เราพยายามตัดญาติมาเป็นปีกว่าแล้ว ตอนนี้ยังเหลือประมาณ 25% จะขยันตัดญาติต่อไปค่ะ

  10. โยธกา รือเซ็นแบร์ก

    แรงเหนี่ยวนำ

    นานๆครั้งที่จะได้เดินป่าไกลๆ เมื่อเข้าป่าไปหาเห็ดและสูดอากาศใหม่ด้วย จากป่าหนึ่งไปต่ออีกป่าหนึ่ง 2 ชั่วโมงแรกก็คึกคักแข็งแรงดีพอเดินไปไกลไปเรื่อยๆขาเริ่มล้า เหนื่อย ยิ่งเดินยิ่งไกลมองเห็นฟ้าโปร่ง ๆ น่าจะไม่ไกลนะบอกน้องๆเดี๋ยวก็ถึง น้องใกล้ตาไกลตีน เดินออกมาเจอถนนราดยางแต่เหมือนจะออกมาอีกจังหวัด ให้น้องนำทางเพราะน้องเดินป่าบ่อยและจำทิศเก่ง เดินตามอย่างเดียวน้องสาวอ่านป้ายแผนผังที่บอกเป็นระยะ และถามคนที่ผ่านมาข้าพเจ้า เริ่มเดินช้าลงยกขาไม่ขึ้นหนักบู๊ตที่ใส่อยากถอดถือ เห็นใจกังวล ขาสั่นก้าวขาไม่ค่อยออกและเหนื่อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าความกังวลใจ จะทำให้เสียพลัง และหมดแรงแต่ก็ทำไม่ได้ทันที น้องอีกคนบอกจะเรียกพ่อบ้านมารับ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าอยู่ตรงใหน ทั้งที่ขาล้า ใจกังวล ได้แต่พูดปลอบใจน้องอีกคนว่า ให้ไว้ใจ เชื่อใจกันนะเป็นมันวิบากกรรมร่วม เราจะไม่โทษกันสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังทดสอบพวกเราอยู่พลังสามัคคีและถ้าเราวางใจได้เดี๋ยวเจอทางออกเอง เดินมาสักครู่น้องว่านั่นไงม้านั่งที่เลี้ยวเข้ามา ดีใจเห็นทางออก แต่ขาล้าเต็มที แต่อีกเกือบกิโลที่จะถึงที่จอดรถ

    ทุกข์ : ใจหวิวๆ กังวลใจ เดินไกล ขาเมื่อยล้า

    สมุทัย : ยึดดีอยากจะพบทางออก ไม่ชอบที่จะเดินไกลๆ

    นิโรธ : ไม่ชอบ ไม่ชัง แม้จะเดินไกลๆ ก็ไม่ทุกข์ใจ
    มรรค : ตั้งสติ สงบใจ พิจารณา ก่อนจะเดินออกไปไกลใจก็ไปคิดถึงข่าวที่ได้ฟังว่าคนไปหาเห็ด หลงป่า3 วันบ้าง และอีกข่าวไปโผล่ที่ประเทศลาวบ้าง ใจก็อยากกลับแต่เห็นน้องเดินออกหน้าไปแต่ก็ไม่ทักท้วง คิดว่าเดี๋ยวน้องเลี้ยวกลับ
    ระลึกถึงคำของท่านหมอเขียวว่าแม้ในความคิดก็มีพลังดึงดูดวิบากดี-ร้ายและเหนี่ยวนำ ให้พวกเราได้เจอเหตุการณ์จริงๆ ที่ได้พบกับตัวเอง เหมือนบททบทวนธรรม คิดดี พูดดี ทำดี จะเจอสิ่งที่ดี เราคิดไม่ดี จึงสิ่งที่ไม่ดี เชื่อชัดวิบากกรรมดี ร้าย มากยิ่งขึ้น วิบากร้ายเดินไกล วิบากดีไม่ได้เดินคนคนเดียว ยังคนเดินผ่านไป-มาให้ถาม ไม่นานเป็นวัน แม้จะเดินไกลได้เห็นเวทนาทั้งกายทั้งใจแต่ก็ได้ประโยชน์ไว้เตือนตัวเองให้ สำรวม ระวังความคิด ให้มากๆ
    กราบพระคุณขอบคุณคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวเตือนใจเรื่องแรงเหนี่ยวนำแม้อยู่ในความคิด เพราะวิบากร้ายวิบากดีรอเวลาส่งผล ตลอดเวลา .กราบสาธุค่ะ

  11. ลำพัง. ก๋งจิ๋ว

    ชื่อเรื่อง. อย่าพูดเล่นกันมากน่ะ

    เนื้อเรื่อง. พูดแต่เรื่องไร้สาระ

    ได้ยินเสียงเด็กหลายหลายคนคุยกันแซวเสียงดังตนเองก็เดินไปดูทำอะไรกันสนุกสนานรื่นเริง เด็กพูดเล่นกันเกินควร เลยไม่ชอบใจ มันไร้สาระเดี๋ยวก็มีเหตุให้ทะเลาะกันหรอกน่าเบื่อจ้งเลย

    ทุกข์ .เด็กอย่าพูดเล่นกันมากน่ะ

    สมุทัย .เห็นเด็กพูดเล่นกันมากเกินควรใจตนเองไม่ชอบเลยมันจะมีวิบากเดี๋ยวจะมีเหตุให้ทะเลาะกันเอง อือ. ไรัสาระจริงๆ

    นิโรธ .เด็กจะพูดเล่นกันมากเกินควร เราก็ไม่ชิงชัง รังเกียจ ไม่น่าเชื่อ ไม่ลำคาญใจ

    มรรค .เราก็เคยเป็นเช่นนั้นมา นั้นคือเรา เราแสบสุดๆให้อภัยใจเย็นข้ามาต

  12. นางจิราภรณ์ ทองคู่

    เรื่อง เราๆๆ

    เนื้อเรื่อง วันหนึ่งได้ไปช่วยงานฐานครัว ได้เตรียมมีด เตรียมถาดมาพร้อมทำงาน พอนั่งลงปรากฏว่าเราหยิบชิ้นมะละกอที่จะเอามาหั่นเตรียมทำแกงส้มไม่ถึง จึงได้บอกพี่จิตอาสาท่านหนึ่งที่หั่นอยู่ก่อนแล้วช่วยส่งชิ้นมะละกอมาให้ ท่านก็สวนมาทันทีว่า ไม่ส่ง มานั่งฝั่งเดียวกันจะได้ไม่เสียเวลา ในจิตก็รู้สึกขุ่นๆอยู่นะ แต่ก็ยอมทำตามที่พี่ท่านนั้นบอกคือไปนั่งฝั่งเดียวกับท่าน และไม่โต้ตอบอะไร ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงพี่น้องอีกท่านส่งเสียงมาว่าอยากเจอผัสสะให้มาทำครัว เราวางเฉยและนึกถึงคำสอนอาจารย์ว่า อย่าไปโทษคนอื่นให้เสียเวลาให้โทษเรา เราๆๆ และไม่ต้องถามว่าทำไมๆๆ ก็ทำมา ๆๆ นี่ เรานึกถึงคำสอนของอาจารย์และบททบทวนธรรมข้อที่ 8 ว่า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา และข้อ 123 ว่า เจอผัสสะไม่ดี ได้โชค 6 ชั้น คือ 1. ได้เห็นทุกข์ 2. ได้ล้างทุกข์ 3. ได้พ้นทุกข์ 4. ได้ใช้วิบากกรรมที่ไม่ดี 5. วิบากดีใหม่เกิด ดีก็จะออกฤทธิ์ได้มากขึ้น 6. เหนี่ยวนำสิ่งที่ดีให้คนอื่นทำตาม จิตเราก็โปร่งโล่งเบา สบาย ความขุ่นใจก็หายไปในช่วงเวลานั้นนั่นเอง

    ทุกข์ ขุ่นใจที่พี่พูดไม่ถูกหู

    สมุทัย ถ้าพี่ท่านนั้นพูดถูกหูเรา เราจะสุขใจ แต่ถ้าท่านพูดไม่ถูกหูเรา เราจะทุกใจ

    นิโรธ พี่ท่านนั้นจะพูดถูกหูเราหรือพูดไม่ถูกหูเรา เราก็สุขใจ

    มรรค เราเชื่อชัดเรื่องกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างแจ่มแจ้ง และเชื่อในคำสอนของสัตบุรุษคือท่านอาจารย์หมอเขียว ที่ท่านกลั่นออกมาจากพระไตรปิฏกมาสอนเรา เมื่อเรานำมาปฏิบัติแล้วได้ผลดี เราก็ไม่ทุกข์ใจ มีจิตที่เบิกบานแจ่มใส ไร้กังวล

  13. ปริศนา อิรนพไพบูลย์ (ปางน้อม กล้าจน)

    ชื่อ : “นรกมีจริงหรือ? เมื่อ ทำดีแต่ผิดศีล”
    เนื้อเรื่อง : เนื่องจากเราทำหน้าที่ดูแล” ชั้นแบ่งปัน ” ของศาลาดอยฟ้า ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ก็จะจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พี่น้องได้ใช้ทั้งมือ 1 และมือ 2 ไม่กี่วันที่ผ่านมาพี่น้องท่านหนึ่งบอกเราว่า ได้ขอชั้นวางของจากส่วนกลางให้แล้ว โดยขอแลกกับชั้นเดิมที่ใช้อยู่ซึ่งสั้นกว่า เราเห็นดีด้วย เมื่อได้โอกาสก็ได้ย้ายมาวางตรงตำแหน่งที่ได้เคยพูดคุยกันไว้ก่อนแล้วคือ วางหน้า
    สแลนเขียวพอย้ายมาไม่นานก็มีพี่น้องอีกท่านหนึ่งมาทักว่า ถ้าจะวางตรงตำแหน่งนี้ ควรเอาสแลนมากั้นอีกที ไม่เช่นนั้นก็ไปวางไว้หลังสแลนเดิมนี้เลย เพื่อไม่ให้เห็นเวลาถ่ายภาพ แต่เรามีความเห็นต่างคือไม่ต้องกั้นเพื่อสะดวกทั้งผู้รับ+ผู้ให้บริการ จึงบอกกลับไปว่าถ้าเช่นนั้นจะลองไปถามพี่น้องสื่อดูว่าจะมีความเห็นอย่างไร ก็ได้รับคำตอบจาก 2 ท่านแรกที่ คล้ายกันว่าถ้าเอาชั้นไปวางแล้วไม่มีอะไรกั้นเวลาถ่ายภาพก็จะดูไม่ค่อยเหมาะ จากความเห็นดังกล่าวเราก็พอจะสรุปได้ว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราจะทํา จึงได้มาปรึกษาเพื่อนใหม่ว่าควรจะย้ายไปวางตรงตำแหน่งไหน ท่านก็เสนอให้เราย้ายไปวางฝั่งตรงข้ามกับที่เดิม เราก็เห็นด้วยจึงได้ย้ายมา ซึ่งที่ใหม่จะอยู่ใกล้กับเต็นท์ที่พักของพี่น้องมากขึ้น พอย้ายมาไม่นานนักก็มีพี่น้องอีกท่านหนึ่งมาบอกว่าท่านที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนี้ ฝากบอกมาว่า “กลัวฝุ่น” ขณะนั้นเรามีความรู้สึกว่าการกลัวฝุ่นของคนอื่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมาก ส่วนเรื่องตำแหน่งการวางชั้นของเราสำคัญมากกว่า ดังนั้นเมื่อกิเลสรู้ว่าถูกขัดขวาง จะไม่ได้ดั่งใจหมายอีก มันทำให้เราเกิดอาการแปล๊บ! ขึ้นมาทันที รู้สึกทุกข์ใจ หมองใจ ไม่พอใจอย่างมากรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเอง”จนตรอก” ไม่มีทางไปต่ออีกแล้ว สุดที่จะอั้นความรู้สึกไว้ได้ จึงได้พูดออกมาทันทีว่า “ยังไงเราก็จะวางตรงนี้แหละ!” เมื่อพูดไปแล้วใจก็รู้สึกทุกข์มาโดยตลอด ปัญญาดับ คิดอะไรไม่ออก มืดตื้อ รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ จึงคิดที่จะเอาเรื่องนี้มาปรึกษาพี่น้องกลุ่มหนึ่ง เพื่อช่วยตีก้อนทุกข์นี้ให้แตก แยกแยะโทษของการยึด ก็ได้รับคำแนะนำหลายเรื่องเช่น การยึดมั่นถือมั่นเช่นนี้เป็น การเบียดเบียนผู้อื่นแล้วนะ เพราะทำให้เขาทุกข์ใจ ผิดศีลข้อที่ 1 และการทำเช่นนี้ “ได้ไม่คุ้มเสีย” คือ เราทำกุศลแต่เราได้รับวิบากร้ายที่หนักหนากว่าเป็นต้น แล้วเพื่อนก็บอกให้ไปพิจารณาต่อ ช่วงนั้นจิตคลายการยึดลงไปได้บ้าง
    เขียนเป็นอริยสัจ 4 ได้ดังนี้

    ทุกข์ : ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ เมื่อไม่ได้วางชั้นในตำแหน่งดั่งใจหมาย

    สมุทัย : เมื่อไม่ได้วางชั้น
    ตามตำแหน่งที่อยากจะรู้สึกชัง(ทุกข์) แต่ถ้าได้ตามที่อยากจะชอบ(สุข)

    นิโรธ : เมื่อไม่อยากว่าจะต้องได้วางชั้นตรงตำแหน่ง
    ไหน เมื่อไม่อยากก็ไม่ทุกข์

    มรรค : พิจารณาเรื่องงานว่าความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน แต่ความสำเร็จของใจที่ไร้ทุกข์ต่างหากคือความสำเร็จของงาน ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามบททบทวนธรรมที่ 76 ตอนนี้เราทำงานแต่ทุกข์ใจแสดงว่าผิดทางแล้ว เพราะการทำงานด้วยใจที่ไร้ทุกข์ต่างหากคือความสำเร็จของการทำงาน และไหนเราย้ำมาตลอดว่าหมู่มิตรดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของความพ้นทุกข์จริงๆไม่ใช่หรือ และจะช่วยครูบาอาจารย์ในการเข็นกรงล้อธรรมจักรไปข้างหน้าไง ถ้าเรายึดอยู่ก็เท่ากับว่าเรายังเนรคุณ อกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ต่อครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อในคำสอนของท่านถือว่าเป็นการเพ่งโทษอย่างหนึ่งจะได้รับบาป 11 ประการ และยังผิดศีลทั้ง5ข้อ คือข้อที่ 1 เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ข้อที่2 ขโมยสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ ข้อที่ 3 ยังหลงยึดสุขลวงจากการ”ต้องให้ได้ดั่งใจหมายอยู่” ข้อที่ 4 ตั้งศีลว่าจะพยายามทำความยินดีให้ได้ทุกสถานการณ์แต่ไม่ได้ทำตามที่ตั้ง ข้อที่ 5 โลภอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริง(อภิชา) เมื่อไม่ได้ก็โกรธ(พยาบาท) แล้วยังทำทานที่หวังผลอยู่ ยังไม่เชื่อ+ชัดเรื่องกรรม(มิจฉาทิฏฐิ)
    เช้าวันรุ่งขึ้นในรายการธรรมะพาพ้นทุกข์ อาจารย์หมอเขียวดร.ใจเพชร กล้าจน ได้แสดงธรรมเนื้อหาอาทิเช่น
    @คนเรามีโควต้าในการทำกุศลและอกุศลที่จำกัด
    @ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์จะมี
    โควต้าในการทำดีได้น้อยกว่าทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์
    @เมื่อกุศลเราเต็มรอบเขาจะไปยืมอกุศลวิบากทั้งในอดีตและปัจจุบันของเรามาเสียบเราซึ่งอาจเป็นคน สัตว์ เหตุการณ์หรืออาจเป็นตัวเราเองทำให้เรารู้สึกแปล๊บ!แทงใจดำจนทำให้เราได้เห็นทุกข์ ดังนั้นคนที่ทำให้เราเห็นทุกข์ใจของตัวเองได้ จึงเป็นคนที่มีค่า มีบุญคุณต่อชีวิตเรามากที่สุดในโลก และทำให้เราเกิดปัญญาได้สูงสุด เพราะทำให้เราได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ ได้พ้นทุกข์ ได้ชดใช้วิบากร้ายและได้เพิ่มวิบากดี จนทำให้เราได้โชคดีถึง 5 ชั้นนั่นเอง
    @ ถ้าเราข้ามกุศลไปทำอกุศล วิบากร้ายจากการยึดมั่นถือมั่นที่ได้รับจะมากกว่าวิบากดีที่ได้จากการทำกุศล ซึ่ง ” ได้ไม่คุ้มเสีย ” ถ้ายังยึดอยู่ ต่อไปเมื่อกุศลหมดทุกข์ใจก็จะหนักยิ่งๆขึ้น ร่างกายก็เจ็บป่วย จะเกิดเรื่องร้ายต่างๆได้ตอนนั้นจะรู้ว่า “นรกมีจริง!” วันนั้นแหละเป็นวันที่ผู้นั้นหมด
    โควต้าของการทำกุศลแล้ว
    พอจบรายการรู้สึกใจที่ยึดคลายลง เห็นความไม่เที่ยง ยอม วาง ทุกข์ใจที่หลงยึดมันหายไปแล้ว เราจึงได้ไปปรึกษาเพื่อนต่อว่าควรจะทำอย่างไรต่อ ท่านหนึ่งเสนอว่าลองถามความเห็นในที่ประชุมดูว่าควรจะวางตรงตำแหน่งไหนบ้าง แล้วเราค่อยมาตัดสินใจเลือกอีกทีหนึ่ง เราเห็นดีด้วยจึงตั้งใจที่จะถามในช่วงที่ประชุมเพื่อเสนอเรื่องพิจารณา ปรากฏว่าช่วงที่มีโอกาส มีจำนวนคนในวงประชุมน้อย ก็มีผู้เสนอว่าก็รอวันต่อไปก็ได้ เรายินดีทำตาม เพราะตอนนี้ใจไม่ทุกข์แล้ว แต่ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินต่อไปอยู่นั้นปรากฏว่ามีจำนวนชคนมาร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงเปลี่ยนใจที่จะนำเสนอวันนี้ จึงไึด้มานั่งรอคิวเพื่อให้เพื่อนพูดให้หมดก่อน ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาควรจะปิดการประชุมก็ยังพูดกันไม่จบ เราจึงตัดสินใจจะไปพูดในวันถัดไป หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้พูดกับทีมสื่อท่านที่ 3 ลองถามความเห็นเดิมดู ได้คำตอบว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร? เมื่อมีความเห็นต่างจาก 2 ท่านแรก เราเห็นช่องทางที่จะเป็นไปได้ ที่จะได้ตั้งตรงตำแหน่งนั้น จึงนำเรื่องนี้กลับไปถามสื่อท่านที่ 1 อีกครั้ง สอบถามจนเข้าใจว่าเราจะไม่ได้โชว์สิ่งของอะไรให้เป็นที่รกหูรกตา แต่จะคอยจัดให้เป็นระเบียบอยู่เรื่อยๆ เป็นอันว่าเราสามารถวางชั้นตรงตำแหน่งที่ต้องการได้เลย ตกลงเราก็ไม่ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่แล้ว ความคิดแรกคิดว่าเราก็จัดการย้ายได้เลยโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว แต่ต่อมาระลึกได้ว่าถ้าจะให้เหมาะเราควรจะได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบ พร้อมทั้งถามความเห็นว่ามีท่านใดเห็นต่างไหม? ถ้าไม่ขัดข้องก็เป็นอันจบ
    สรุปว่า ” สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจะไม่ทุกข์ เป็นไม่มี ” ดังเนื้อหาในพระไตรปิฎกเล่มที่12…ข้อที่.434 และได้ประจักษ์ชัดตามคำสอนในเรื่องที่ว่าหากสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นจน “จิตเป็นอุเบกขา”ได้แล้ว ทุกปัญหาจะถูกคลี่คลายลง เกิดปัญญาเห็นช่องทางในการแก้ปัญหาได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเพราะกุศลวิบากถูกเปิดออกจาก” การวางการยึดดี ” นั่นเอง

  14. นางพรรณทิวา เกตุกลม

    เรื่อง ทำไมต้องกังวล
    เหตุการณ์ : ต้องเข้ารายการด้วยซูมแบบใหม่ซึ่งตัวเองทำไม่ค่อยเป็นรู้สึกกังวลใจ ว่าจะกดผิดแลัวเข้าห้องรายการไม่ถูก

    ทุกข์ : รู้สึกกังวลใจ ที่จะเข้าซูม

    สมุทัย : อยากเข้าซูมแบบสะดวกๆ ชอบที่ได้เข้าซูมแบบง่ายๆ พอต้องเข้าซูมใหม่จึงชัง แล้วกังวลใจ

    นิโรธ : จะต้องเข้าซูมแบบง่าย หรือ ยาก ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง

    มรรค : ปล่อยวางความอยากมาอยู่กับความจริงในขณะนั้น ไม่กังวลไปก่อน อาจทำได้ง่ายหรือยาก ก็ได้ พร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ ถ้าเข้าไม่ได้จริงๆก็ขอความช่วยเหลือจากหมู่กลุ่มที่ช่วยพาเข้าซูมซึ่งสอดคล้องกับบททบทวนธรรมข้อที่ 72 ที่ว่า “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทุกข์ใจ ความทุกข์ใจ ไม่ได้แก้ปัญหา มีแต่เพิ่มปัญหา สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องดับไป จะทุกข์ใจไปทำไม เบิกบานแจ่มใสดีกว่า” เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้ว ได้เห็นความจริงว่าความกังวลใจทำให้เป็นทุกข์และไม่ได้แก้ปัญหาให้หมดไปพอล้างความกังวลใจออกไปได้ ใจก็กลับมาเบิกบาน แจ่มใส ดังเดิม
    สุดท้าย พอล้างความกังวลใจออกไปได้ ก็สามารถเข้าซูมได้ตามเวลา

  15. เรื่อง ไม่เอาวัคซีน
    เหตุการณ์ : ตั้งใจไม่ฉีดวัคซีน เพราะต้องการให้ผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้ที่ต้องการฉีดได้ฉีดก่อน แต่จำเป็นต้องฉีด เพราะถ้าไม่ฉีดคนอื่นก็ไม่มีโอกาสได้ฉีด เนื่องจากเราเป็นผู้อยู่ในเกณฑ์ ที่เขาบังคับให้ผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้สูงวัยต้องฉีดก่อน คนที่มีอายุน้อยจึงจะมีโอกาสได้ฉีด
    ทุกข์ : กังวลใจไม่อยากฉีดวัคซีน
    สมุทัย : ชอบใจถ้าไม่ต้องฉีดวัคซีน ชังที่ต้องฉีดวัคซีน
    นิโรธ : จะได้ฉีดวัคซีนหรือไม่ ก็ยินดีเต็มใจ
    มรรค : เราไม่อยากฉีด เพราะเรามีเหตุผลส่วนตัว แต่เมื่อถึงเวลาผ่านไปมีองค์ประกอบใหม่ เราก็เต็มใจรับพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน ที่จะไปฉีดวัคซีนตามองค์ประกอบใหม่ในปัจจุบัน ยินดีเต็มใจรับวิบากที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หาข้อดีของการไปฉีดวัคซีนให้ได้ เราจะได้เรียนรู้ก่อนฉีดวัคซีนและหลังฉีดวัคซีนใจเป็นอย่างไร เราได้ใช้วิบาก เราได้แสดงความกล้าหาญเสียสละเป็นตัวอย่างกับคนที่ยังกลัวการฉีดวัคซีน เพื่อจะได้เป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นฉีดตาม เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเราควบคุมไม่ได้ เราก็ยินดีเต็มใจรับ ตามบททบทวนธรรมข้อที่ 89 “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้ เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้วอาการกังวลใจก็หายไป ใจก็กลับมาเบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม

  16. รักใจ โปวอนุสรณ์

    เรื่อง.. แอบน้อยใจที่เขาไม่เลือกเรา
    มีโอกาสเปิดให้อาสาบำเพ็ญเป็นพี่เลี้ยงแก่ชาวค่ายสุขภาพ เราได้สมัครเข้าไปเวลาที่กลุ่มเรียกมา คราวนี้แบ่งเป็น สองกลุ่ม เนื่องจากเราไม่ได้เจาะจงว่าขออาสากลุ่มใด บอกว่ากลุ่มใดก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครเรียกให้เข้ากลุ่มใดเลย มองเห็นคนสมัครมาใหม่ ก็มีพี่น้องในกลุ่มเรียกให้เข้ากลุ่มเขา เราจึงแอบน้อยใจเล็กๆ
    ทุกข์- จิตขุ่นมัว จากการที่ไม้มีใครเลือกเข้ากลุ่ม
    สมุทัย- เข้าใจผิดว่า คนต้องเลือกเรา ปัญหาอยู่ที่ “อัตตา”
    นิโรธ- ไม่รู้สึกน้อยใจ แต่รู้สึกเบาใจ และ กล้า ไม่กลัวที่จะรับอาสาอีกถึงแม้ว่า จะไม่มีใครเรียกก็ตาม
    มรรค- พิจารณา และ วิเคราะห์ วิจัย ว่าทำไม และ อะไรทำให้เรามีอาการขุ่นใจ เราได้เหตุผลมาล้างอัตตาว่า- เราเป็นคนใหม่ คนอื่นไม่รู้จัก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เค้าอยากจะเอาคนที่เค้าคุ้นเคยร่วมทำงานกัน; เรามีหน้าที่ทำสิ่งที่ควรทำ คืออาสาทำสิ่งที่ดี ที่ควรต่อไป เมื่อถึง”เวลา ที่เหมาะสม” ก็จะเปิดโอกาส ให้บำเพ็ญ; กิจกรรมร่วมกับหมู่กลุ่มที่เปิดโอกาสให้เราทำ คือโอกาสทองให้เราได้ฝึกฝน “ฆ่า” อัตตา

  17. พวงบุปผา หนูรัก

    นางสาวพวงบุปผา หนูรัก (ผักบุ้ง) สู่แดนฝัน
    วันที่ 23 กันยายน 2564
    ทุกข์เพราะตัดสินใจเลิกทำงานห้องสายด่วน
    เนื่องจากกลุ่มสานพลังได้รับทำงานเป็นเจ้าภาพในการตอบปัญหาในห้องสายด่วนสุขภาพพึ่งตนวิถีธรรมวิถีไทย ในทุกวันศุกร์ และทำมาได้หลายครั้ง ก็เป็นพิธีกรเองทุกครั้ง เพราะสมาชิกคนอื่นยังไม่พร้อม และเราเองก็ทำงานหลายอย่างไม่มีเวลามาฝึกซ้อมกัน ถึงเวลาก็ทำงานเลย มีปัญหาอะไรก็แก้เอาเฉพาะหน้า คนอื่นเขาคงมองว่าเราเป็นคนยึดมั่นถือมั่น เราเองก็พยายามทำงานให้มันผ่านไปได้ในแต่ละครั้งท่ามกลางความไม่พร้อม แต่คนอื่นเขาก็บอกว่าเขามีความพร้อมที่จะทำได้ดีกว่า ทำให้เกิดความกลัวว่าเราจะไม่ได้ทำต่อไปอีกเพราะคนอื่นเขาก็อยากทำ และในที่สุดสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริง ๆ เขาก็มาขอทำเองเพราะความกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ทำก็เลยปฏิเสธไป (กิเลสเราไม่ค่อยฉลาด) และในที่สุดเขาก็นำทีมกันมายึดรายการไปจนได้มีแต่คนเก่งๆ ส่วนเราขอเพียงได้ฝึกบ้างเท่านั้นเอง แถมบอกว่าเราทำมาหลายวันแล้วเขาก็จะขอทำต่อ กิเลสที่ยังอยากทำแต่ไม่ได้ทำต่อ มันก็พาให้ตัวเองทุกข์ และก็ออกจากทุกข์ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ขอเลิกทำดีกว่า ยกรายการให้เขาไปทำเลยดีกว่า (พอคิดได้แบบนี้ความรู้สึกโล่งที่ไม่ต้องรับผิดชอบแต่ก็ยังทุกข์) และการตอบคำถามผู้เข้าค่ายในรายการก็ไม่ค่อยเข้าท่า ตอบทีไรก็ถูกคอมเม้นทุกที ก็เลยตัดสินใจเลิกทำทั้ง 2 อย่าง พอตัดดสินใจไปแล้วความทุกข์มันก็ยิ่งโหมกระหน่ำเข้ามาอีก ที่ตัดสินใจเลิกทำทั้งที่ใจยังอยากทำ คิดว่าอีกนานกว่าจะออกจากทุกข์ได้ แต่พอตอนเย็น อาจารย์หมอเขียวออกมาตอบผู้เข้าค่ายที่อยากได้ความสุข และทุกข์แรงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้สุข วิธีแก้ให้หักลำกิเลสไปเลยคือกล้าที่จะไม่ได้ กล้าที่จะไม่ทำเพื่อให้ได้สุขที่อยากได้ พอได้ฟังแบบนี้ก็พอเข้าใจตัวเองได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจที่จะเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ คือการหักลำกิเลสนั่นเอง อยากได้มากนักนะเลิกทำเลยจะได้ไม่ต้องสร้างปัญหาให้กับคนอื่นอีก และจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นและสำคัญกว่า สาธุค่ะ
    ทุกข์ เพราะกลัวว่าพอพี่น้องภาคกลางมาทำรายการด้วยกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ทำและก็ไม่ได้ทำจริง ๆ
    สมุทัย ความอยากที่จะทำเพราะคิดว่าเป็นกลุ่มที่ตัวเองตั้งขึ้นมาเอง ก็อยากจะบริหารจัดการเอง ถ้าทำเองไม่ได้ก็เลิกทำไปเลย
    นิโรธ พอตัดสินใจที่จะเลิกทำก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องทำอีก ไม่ต้องคอยคิดว่าจะบริหารจัดการยังไง เพราะที่ผ่านมาทำคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนอื่นยังช่วยได้น้อยและไม่มีการบริหารจัดการ ที่ดี และก็คิดตลอดเวลาว่าสักวันคงมีคนมาบอกให้เลิกทำ และก็เป็นจริง ๆ และมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป
    มรรค ถ้ากิเลสมันอยากมาก ๆ ก็หักลำกิเลสไปเลย เลิกทำไปเลยและจะเลิกทำจริง ๆ เพื่อชดใช้วิกบากกรรมที่ทำไว้กับคนอื่น และขอขมาทุกท่านที่ได้ล่วงเกินท่านไว้ในตอนที่ทำงาน และคิดว่าวิบากเขาคงให้เราเสียสละให้คนอื่นทำมากกว่าสาธุค่ะ

  18. ชลิตา แลงค์

    เรื่อง สัณญาณอินเตอร์เน็ตไม่ชัด

    ข้าพเจ้านัดกับพี่น้องหมู่กลุ่มอัดวิดีโอผ่าน zoom วันนี้จะใช้ notebook ทำงาน อุปกรณ์พร้อม เมื่อเริ่มอัดวิดีโดได้ประมาณ 2-3 นาทีสัณญาณอินเตอร์เน็ตก็เริ่มค้าง ติด ๆ ดับ ๆ ลองปิดแล้วเข้าใหม่ แต่สัญญาณก็ยังไม่ดีขึ้น รู้แล้วว่าถ้าเป็นแบบนี้คงทำงานไม่ราบรื่นแน่นอน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจ และพาลนึกไปถึงคุณพ่อบ้านที่เปลี่ยนกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตใหม่ แล้วทำให้มีปัญหาเรื่องสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้ว และยังนึกพาลไปถึงบริษัทอินเทอร์เน็ตที่โฆษณาว่า ปรับปรุงสัญญาณใหม่แต่เราไม่เห็นดีขึ้นกว่าเดิมเลยกลับแย่ลงด้วยซ้ำ

    ทุกข์ : หงุดหงิดใจ ที่สัญญาณ อินเทอร์เน็ตไม่ดีทำให้การอัดวิดีโอผ่าน zoom กับพี่น้องไม่ราบรื่น

    สมุทัย : ยึดว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตต้องดีทำงานราบรื่นจะสุขใจ ถ้าสัญญาณอินไม่ดีทำงานไม่ราบรื่นจะทุกข์ใจ

    นิโรธ : สัญญาณอินเทอร์เน็ต จะดีหรือไม่ดี จะทำงานราบรื่นหรือไม่ราบรื่นก็สุขใจได้

    มรรค : ความจริงทุก ๆ สิ่งที่เราได้รับมันคือ วิบากกรรมดีร้ายของเราที่เป็นผู้กำหนด ถ้าเรายังไปโทษคนอื่นอยู่แสดงว่าเราไม่ยอมรับวิบากกรรมที่เราทำมาสิ เลยตั้งจิตขอโทษขออโหสิกรรมคุณพ่อบ้านและบริษัทสัณญาณอินเตอร์เน็ต ตั้งจิตยินดียอมรับวิบากกรรมที่ได้ในตอนนี้ และลองแก้ปัญหาดู ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไรจะขอตัดรอบการบำเพ็ญบุญในครั้งนี้ คิดว่าใช้ notebook เค้าคงใช้สัณญาณเน็ตมากไปเลยลองเปลี่ยนเป็นแท็บเล็ตแทนแต่สัณณาญก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายลองเปลี่ยนใช้โทรศัพท์และเปลี่ยนสัณญาณเน็ตด้วย คราวนี้ทุกอย่างราบรื่นได้ร่วมอัดวิดีโอกับพี่น้องจนจบค่ะ สาธุ

  19. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)

    ส่งการบ้านอริยสัจ4
    เรื่อง.โทรไปล้างทุกข์
    เหตุการณ์.ทุกวันจะโทรคุยกับพี่สาวที่อยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ ช่วงประมาณ 6-8 โมงเช้าทุกวัน เพราะพี่สาวต้องไปเก็บผักคนเดียว ตัวเองจึงมีหน้าที่คุยเป็นเพื่อนท่าน แต่วันสองวันนี้โทรแล้วโทรติดแต่ไม่มีคนรับ กิเลสก็ปรุงทันทีว่า ท่านเป็นอะไรรึปล่าวทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไปเก็บผักคนเดียวจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านมั้ย รู้เลยว่าเป็นห่วงท่านมาก

    ทุกข์. โทรหาพี่สาวแล้วท่านไม่รับ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับท่าน

    สมุทัย . อยากได้สภาพดีๆให้เกิดขึ้นกับพี่สาวถ้าโทรไปแล้วท่านรับสายปกติ แล้วท่านอยู่ดีปกติแล้วเราจะสุขใจชอบใจ แต่เมื่อโทรไปท่านไม่รับสายจึง ทุกข์ใจไม่ชอบใจ

    นิโรธ.ท่านจะรับสายหรือไม่รับสาย หรือท่านจะได้สภาพที่ดีหรือไม่ดีก็ยินดีไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาเห็นไตรลักษณ์
    เห็นอาการของกิเลสที่ทำให้เราทุกข์ใจไม่ชอบใจ พิจารณาเห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นอยากได้ดั่งใจหมายเมื่อไม่ได้จึงทำให้เราทุกข์ใจกังวลใจ แล้วจึงทำในในใจ พิจารณาถึงประโยชน์ของการวางใจล้างความยึดมั่นถือมั่นได้ทำให้มีสติมากขึ้น ทำใจว่าถ้าท่านได้รับอะไรอย่างไรก็เป็นกุศลอกุศลเป็นวิบากของท่านและคนที่เกี่ยวข้อง แล้วใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 110 พิจารณาร่วมด้วย คือ ความเข้าใจ เชื่อ และชัด เรื่องกรรมเท่านั้น จึงจะคลายความยึดมั่นถือมั่นได้
    เมื่อเราวางความยึดมั่นถือมั่นได้ก็ลดทุกข์ได้จริง และเราก็ต้องวางใจยินดีให้ได้ก่อน ตั้งสติให้อยู่กับปัจจุบันอย่าปรุงไปถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ทำดีเต็มที่แล้วก็วางใจ

    สรุปว่า เมื่อวางใจได้ เมื่อพี่สาวท่านทำภารกิจเสร็จท่านก็โทรมาบอกว่า โทรศัพท์มีปัญหาชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้าจึงไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย เมื่อได้ทราบความจริงจากพี่สาวก็ทำให้คลายทุกข์ใจได้
    เปรียบเทียบถ้าเป็นเมื่อก่อนจะทุกข์ใจมากกว่านี้ถ้าโทรหาพี่สาวไม่ได้ก็ต้องโทรหาน้องหรือพี่น้องท่านอื่นเพื่อให้ท่านสอบถามให้ ตอนนี้รับรู้ว่าความกลัวกังวลลดลงเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่ ก็จะพยายามล้างกิเลสส่วนเหลือตัวนี้ต่อไปค่ะ

  20. ลำพัง. ก๋งจิ๋ว

    ชื่อเรื่อง .เคี๊ยวอาหารให้หมดจากปากก่อน

    เนื้อเรื่อง .มีพี่น้องบางท่านกินอาหารอยู่ปากยังมีข้าวคาเต็มพูด. คุยไปด้วยก็เคี๊ยวข้าวไปด้วยตนเองเห็นเลยไม่ชอบใจ มันไม่สุภาพเลยบอกไปว่า เคี๊ยวอาหารให้หมดปากก่อนค่อยพูดค่ะ

    ทุกข์ .อย่าเพิ่งพูดขณะเคี๊ยวอาหาร

    สมุทัย .มีพี่น้องบางท่านกินอาหารอยู่ปากมีข้าวคาอยู่อย่าเพิ่งพูด คุยตนเองเห็นเลยไม่ชอบใจมันไม่สุภาพเลยบอกท่านว่าเคี๊ยวอาหารให้หมดปากก่อนค่ธ

    นิโรธ .พี่ น้องท่านนั้นจะเคี๊ยวอาหารให้หมดจากปากก่อน หรือไม่เราก็ไม่ชิงชังไม่หงุดหงิดใจ. ไม่ลำคาญใจ

    มรรค .นั้นคือเรา ไม่ถือสา ให้อภัยอดทน รอคอยใจเย็นข้ามชาติให้แล้วคืดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้

  21. พรพิทย์ สามสี (เพื่อนพิทย์)

    เรื่อง : อยากให้มาฟังด้วย
    ช่วงเวลาตอนที่เราเปิดธรรมะของท่าน อาจารย์หมอเขียว เวลาพ่อบ้านมาใกล้ตรงที่เราเปิด เราจะรี่เสียง หรือไม่ก็จะปิดทันที ช่วงไหนที่พอมีความสะดวกหน่อย ก็จะใช้วิธีเสียบหูฟังเอา คือทำงานไปด้วย ฟังไปด้วย พ่อบ้านชอบว่าประจำว่าวันๆหนึ่ง ปล้ำแต่กับ โทรศัพท์ พ่อบ้านไม่ยอมเข้าใจว่า เราเล่นโทรศัพท เพื่อเอาประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านเท่านั้น ไม่ได้เล่นนอกเหนืออย่างอื่นที่ไร้สาระ
    ทุกข์ : พ่อบ้านยังไม่เปิดใจกับธรรมะ
    สมุทัย : ชอบที่จะให้พ่อบ้านมาฟังธรรมะของท่านอาจารย์หมอเขียวด้วยกัน ชังมากแม้แต่เปิดเวลาเขาอยู่ก็ต้องระวัง
    นิโรธ : เขาจะฟังธรรมะ ไม่ฟังธรรมะ
    จะคัดค้าน ไม่คัดค้าน จะพอใจ ไม่พอใจ
    ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค : กิเลส : มันบอกว่าไม่ชอบเลยที่
    พ่อบ้านไม่เข้าใจธรรมะสักที ก็ที่บ้านก็เข้าสวนกันเกือบจะทุกวัน สองคนกับพ่อบ้าน ปลูกผักกินด้วย กิเลส : มันคิดต่อว่าถ้าพ่อบ้านมาเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องถูกตรงของท่านอาจารย์หมอเขียวบ้าง ไหนๆเราก็ทำปลูกผักกินอยู่แล้วพ่อบ้านก็ขยันมากอยู่ เวลาอาจารย์เปิดค่ายเราจะได้พากันไปพ่อบ้านจะได้ซึมซับตรงนั้นบ้าง
    เรา : ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราทำมา
    บททบทวนธรรม ๑๒
    วิบากกรรมมีจริง
    ทำอะไร ได้ผลอะไร
    ก็เกิดจากการกระทำ ของเราเองทั้งหมด
    เจอเรื่องดีมาเพราะทำดีมา
    เจอเรื่องไม่ดีเพราะทำไม่ดีมา
    ทั้งในปัจจุบันและอดีต
    สังเคราะห์กันอย่างละ ๑ ส่วน
    เราก็เลยบอกกิเลสไปว่า ยินดี พอใจ ไม่อยากไม่ยึด เป็นสุขใจให้ได้ เท่าที่มี

  22. ชลิตา แลงค์

    เรื่อง นอนไม่หลับ

    วันนี้เข้านอนเวลาประมาณ 5 ทุ่มครึ่งขณะนี้เวลาเลยมาเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ทำยังไงก็ยังนอนไม่หลับและไม่รู้สึกง่วงด้วย เหลือเวลาไม่นานก็เช้าแล้ว ทำให้รู้สึกกังวลใจว่าถ้าถึงเวลาตื่นตอนเช้าจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เพราะนอนไม่พอ อาจจะมีผลต่อการทำงานได้

    ทุกข์ : นอนไม่หลับ กังวลใจว่าร่างกายจะอ่อนเพลียเพราะนอนไม่พอ

    สมุทัย : อยากนอนหลับแล้ว ยึดว่าต้องนอนหลับตอนนี้จึงจะสุขใจ ถ้าไม่นอนหลับตอนนี้จะทุกข์ใจ เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็ถึงเวลาตื่นแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้ร่ายกายอ่อนเพลียได้

    นิโรธ : ร่างกายจะนอนหลับตอนนี้ หรือตอนไหน หรือไม่หลับเลยก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : พอเห็นความอยากหลับและความกังวลใจเกิดขึ้นก็ทำให้นึกถึงธรรมะ ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้บรรยายสอนในช่วงนี้ที่ว่า “ต้องความกล้าที่จะไม่ได้ดั่งใจให้ได้ กล้าที่จะเผชิญทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายด้วยใจที่เป็นสุขให้ได้” ทำใจน้อมจิตตามวางความอยากที่จะนอนหลับลง กล้าที่จะไม่หลับก็ได้ นอนดูลมหายใจ ดูร่างกายขยับเป็นบางครั้ง ดูไปเรื่อย ๆ จะหลับก็ได้ไม่หลับก็ได้ ไม่กังวลไม่คิดรอถึงวันพรุ่งนี้

    เวลาผ่านช่วงหนึ่งหลับตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาตื่นนอนแล้ว ร่างกายยังรู้สึก ง่วง ๆ อยู่ แต่ไม่เป็นไรทำใจให้กล้าที่จะง่วงและลุกออกมาทำภารกิจการงานวันใหม่ด้วยใจผาสุกได้ กราบสาธุค่ะ

    1. ชลิตา แลงค์

      ทุกข์ : หงุดหงิดใจ นอนไม่หลับ กังวลใจว่าร่างกายจะอ่อนเพลียเพราะนอนไม่พอ

  23. ลำพัง. ก๋งจิ๋ว

    ชื่อเรื่อง .แกงเห็ดน่ากินมาก

    เนื้อเรื่อง .มีอยู่วันหนึ่งที่ครัวมีแกงเห็ดเก็บมาจากป่าเองธรรมชาติตาที่แลเห็นดอกเห็ดอยู่ในหม้อเล็กโอ. น่ากินมากเลยยืนคนไป มาสองทีตนเองก็เดินจากตรงนั้นไปถางหญ้าที่แปลงสวนส้มขณะที่เดินไปตามทางเห็นแล้วว่ามีอาการจะกินแกงเห็ดให้ได้กิเลสก็บอกว่าเธอน่าจะตักเอาใว้น่ะเดี๋ยวมันจะหมดกอ่นกว่าจะกลับมาก็เถียงไปตลอดทางกว่ากิเลสจะไปตั้งสามสิบนาทีโดยปนะมาณ

    ทุกข์ .แกงเห็ดน่ากินจังเลย

    สมุทัย .มีแกงเห็ดอยู่ที่ครัวเก็บมาจากป่าเกิดตามธรนมชาตืดอกเห็ดน่ากินจังชอบที่จะได้กินแกงเห็ดน่าจะตักใว้บ้างน่ะหมดก่อนแน่ๆเลย

    นิโรธ .จะได้กินแกงเห็ดหรือไม่ได้กืนเราก็ไม่อึดอัดใจ. หมดก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มีมาอีก

    มรรค .ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติอดทน รอคอยให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้

  24. อภินันท์ อุ่นดีมะดัน

    เรื่อง ผิดศีลอีกแล้ว

    เรื่องย่อ : ผมได้ตั้งศีลกินข้าวมื้อเดียว แต่มีผัสสะ ไปทำงานกับพี่น้อง แล้วพี่น้องให้ขนมมา ตอนแรกคิดว่าจะชิมเฉยๆ แต่กินแล้วหยุดไม่ได้ เลยกินขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ดิบ) ไปหลายห่อ จึงทำให้ทุกข์ใจที่ผิดศีล ไม่ได้ดั่งใจที่ทำผิดศีล ไม่ได้ตามที่ตัวเองตั้งไว้ครับ

    ทุกข์ : เศร้าใจ หงุดหงิด ไม่สบายใจที่ทำผิดศีล

    สมุทัย : ยึดว่าถ้าทำถูกศีลจะสุขใจ ถ้าทำผิดศีลจะทุกข์ใจ

    นิโรธ : เมื่อเราได้ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว จะทำตามที่ตั้งศีลไว้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : พิจารณาความจริงและเข้าใจความจริงว่า เราเคยทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ วิบาก11ประการทำให้เราผิดศีล เรายังต้องพากเพียรทำกุศลและลดกิเลสไปในหลายๆ ชาติ แต่ละชีวิต ไม่สามารถลดกิเลสได้พรวดเดียวได้ง่ายๆ หากไม่เคยทำกุศลและลดกิเลส มาในชาติก่อนๆ จนมากพอจริงๆ ดังนั้นเราก็ต้องพากเพียรต่อไป “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” ต้องสะสมปัญญา ฟังเทศน์ ทำกุศลกับหมู่มิตรดีไปเรื่อยๆ

    การที่เราได้เห็นกิเลส ตอนกิเลสบีบคอเราให้กินขนม ก็เป็นสิ่งดีที่เราจะได้เข้าใจความจริง ว่ากิเลสมีฤทธิ์แค่ไหน ไม่ประมาทในการทำความดี ไม่ประมาทในการลดกิเลส ดีกว่าที่เราไม่มีผัสสะ แล้วเราหลงว่าเราลดกิเลสได้มาก หรือเข้าใจผิดว่าเราไม่มีกิเลส แต่กิเลสนอนเนื่่องอยู่ แล้วไม่ได้ล้างกิเลสจริงๆ เรารู้วันนี้ดีกว่ารู้ช้ากว่านี้

    เมื่อพิจารณาเข้าใจแล้ว ก็ยินดีที่จะตั้งศีลและทำความดีต่อ ความทุกข์ใจลดลง เบิกบานขึ้นครับ สาธุครับ

  25. อภินันท์ อุ่นดีมะดัน

    ไม่อยากไปอยู่ศาลาใหญ่

    เรื่องย่อ : จากที่ผมมาบำเพ็ญที่ภูผาฟ้าน้ำแล้วได้พักอยู่ที่บ้านแจ่มใส เพื่อกักตัวโควิด 14 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วสามารถไปอยู่ที่ศาลาใหญ่รวมกับพี่น้องได้ แต่ไม่อยากไป เพราะอยู่ที่นี่มา 14 วัน ได้ทำที่พักไว้สะดวกสบายดีแล้ว ทั้งระบบไฟ ระบบน้ำ รวมถึงลากสายอินเทอร์เน็ตเข้ามา จึงทุกข์ใจ ไม่อยากย้ายไปอยู่ศาลาใหญ่ ซึ่งแออัด คนมาก ไม่สงบเหมือนอยู่บ้านแจ่มใสครับ

    ทุกข์ใจ : กังวลใจ ไม่อยากย้ายที่พัก

    สมุทัย : ยึดว่าอยู่ที่ที่สะดวกสบายและสงบจะสุขใจ ไปอยู่ที่ที่ไม่สบายไม่สงบจะทุกข์ใจ

    นิโรธ : อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ใจ เบิกบานใจทุกที่ที่อยู่

    มรรค : พิจารณาความจริงว่า พระพุทธเจ้าให้ตั้งตนบนความลำบาก กุศลกรรมจะเจริญยิ่ง ในเมื่อเราติดสบาย ติดความได้ดั่งใจ เราก็ยังจะออกจากทุกข์ไม่ได้ เราก็ยังมีความกังวล ความกลัวอยู่ในใจตลอดเวลา เราต้องไม่ติดความสบาย ความสบายทำให้เราเสื่อมลง แต่ความลำบากจะทำให้เราเจริญขึ้น จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เราควรใช้ประโยชน์จากผัสสะ จากสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่ได้ดั่งใจ ในการทำให้เราได้พิจารณาเห็นความยึดติดของเรา และการที่เราไปอยู่ในศาลาใหญ่ก็จะได้ฟังธรรมะทั้งวัน ตั้งแต่ตี3 จนถึงดึกๆ ได้รับพลังกับหมู่กลุ่ม ได้บำเพ็ญเต็มที่ ไม่เสียเวลาเดินทาง เป็นองค์ประกอบที่ดีที่เราจะได้เจริญเร็วที่สุดครับ เมื่อพิจารณาแล้วก็มีความเบาใจขึ้น จะพักอยู่ไหนก็ได้ครับ สาธุครับ

  26. น.ส สำรวย รัตตนะ (ผ่องคำพุทธ)

    เรื่อง ทดสอบความเพียร
    เหตุการณ์ สืบเนื่องจากการสมัครเป็นนักศึกษาวิชชาราม
    ได้เข้าทำข้อสอบอัตนัย ทำได้ 1ข้อ ข้อสอบก็หลุดหายไป เข้าทำใหม่รอบ2 ทำได้2ข้อ ก็หลุดหายไปอีก ก็เข้าทำอีกเป็นครั้งที่3 ถึงข้อสุดท้ายคือข้อ5เกือบเสร็จ ปรากฎว่า ฝนตกหนักมากจนทำให้สายฟ้าลงเสาไฟหน้าปากซอยบ้านไฟดับคราวนี้ความรู้สึกหวั่นไหว เข้ามาเยือนนิดหน่อยข้อสอบที่พิมพ์ครบ5ข้อจะหายไปหรือเปล่าแต่หลังจากนั้นเมื่อไฟมาก็หายหมดจริงๆ ต้องทำใหม่เป็นรอบที่4 จึงสำเร็จเรียบร้อยได้
    ทุกข์ หวั่นไหวไม่อยากให้
    ข้อสอบที่ทำหายไป
    สมุทัย ชอบถ้าข้อสอบที่ทำ
    ไม่หายไป ชังถ้าข้อสอบ
    ที่ทำหายไป
    นิโรธ ข้อสอบจะหายหรือ
    ไม่หายก็ไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค มาพิจารณา ความจริงตามความเป็นจริง ความหวั่นไหว ทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่สามารถมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เมื่อคิดได้ก็ปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่นว่าจะได้ตามที่อยากหรือไม่ก็ได้ ยินดียอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อข้อมูลหายก็ทำใหม่เท่ากับได้เน้นย้ำในความรู้ยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะรับวิบากกรรม เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญต้องเป็นจากวิบากกรรมที่เราเคยทำมา เขามาทดสอบจิตใจ ความเพียร พยายาม ความอดทน เข้มแข็ง มากน้อยเพียงใดที่จะเข้าศึกษาธรรมะ รับแล้วก็หมดไป นำบททบทวนธรรมข้อที่ 76 มาเตือนสติตัวเองว่า ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจคือ ความสำเร็จของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ ใจ
    ที่ยินดี ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่างานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้วเพราะเข้าใจเรื่องกรรม อย่างแจ่มแจ้ง
    สรุป ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำข้อมูลใหม่จนสำเร็จได้โดยไม่มีความกังวลหวั่นไหว

  27. ชุติวรรณ แสงสำลี

    ชื่อเรื่อง :ชุดกันใจใส่สบายๆ ยามฝนตก

    เนื้อเรื่อง  ช่วงฝนตกชุก มีอากาศเปลี่ยนแปลงเวลาฝนตกทำให้รู้สึก หนาวๆ ต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น เวลาฝนไม่ตกรู้สึกร้อนๆ ทำให้ต้องถอดเสื้อผ้าออก ฝนก็ตกๆหยุดๆ เราก็เลยใส่ๆ ถอดๆ บ่อยๆ เวลาซักผ้ามีเสื้อผ้าหลายชิ้น ฝนตกชุกเกือบทุกวัน ผ้าที่ตากก็แห้งช้า ก็ต้องใช้เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น รู้สึกเป็นภาระในการใส่ การซัก การตาก และการเก็บ ใจไม่แช่มชื่น

    ทุกข์ :ใช้เสื้อผ้าเปลืองมากจัง เป็นภาระตอนใส่ ซัก ตาก เก็บ รู้สึกอึดอัด รำคาญใจ

    สมุทัย  :ชอบถ้าใช้เสื้อผ้าน้อยๆไม่ต้องดูแลมากสุขใจชอบใจ ชังใช้เสื้อผ้ามากๆ ต้องดูแลมากไม่สุขใจ ไม่ชอบใจ
     
    นิโรธ  : ยินดีถ้าใช้เสื้อผ้าน้อยๆไม่ต้องดูแลมากสุขใจชอบใจ ยินดีใช้เสื้อผ้ามากๆ ต้องดูแลมาก ก็สุขใจ ชอบใจ
     
    มรรค  : ความคิดกิเลส ยึดมั่นถือมั่น ทุกข์ในเหตุการณ์ มีทุกข์ไม่สมใจอยาก  ฝนแปรปรวนแว๊บไปแว๊บมาไม่เที่ยง ทำให้ไม่ได้ตามสมใจอยาก ยุ่งยากในการใช้เสื้อผ้า มันอึดอัด
    รำคาญหวั่นไหว  สุขลิกะถ้าใช้เสื้อผ้าน้อย กิเลสอยากได้ดั่งใจหมาย
    :คิดใหม่แบบพุทธะ คลายวิราคะ
    ไม่ติดยึดมั่นถือมั่น ยินดีไม่ยินร้าย เอาประโยชน์ได้ทุกสถานการณ์ ยอมรับความจริงตามความเป็นจริง สภาพที่ไม่ได้ดั่งใจหมาย เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ก็เป็นสภาพที่ดี ล้างความอยาก สุขที่กล้าไม่ได้สมใจอยาก การใช้เสื้อผ้ามากก็เป็นเรื่องจำเป็นของการปรับสมดุลร่างกายพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน ทำให้เราไม่เจ็บป่วย ร่างกายแข็งอยู่ดีมีสุขเป็นประโยชน์ ต่อตนเองและผู้อื่น
     เมื่อกระทบกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้เห็นกิเลสลีลาแบบนี้ ได้ล้างกิเลสในปัจจุบันได้เพิ่มอีก 1 ตัว มีพลังปัญญาได้เข้าใจสภาพร่างกายตนเองที่ยังพร่องยังไม่สมดุล ในการสู้เย็น สู้ร้อนได้ดี ก็จะได้

    สรุป :ฝึกปรับสมดุลใจ สมดุลกายให้พอดีพอเหมาะ
    เป็นประโยชน์ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพได้มากๆ ขึ้นๆ
     

  28. สุวรรณ กังวานนวกุล

    การบ้านอริยสัจ 4
    เรื่องที่ 1
    ชื่อเรื่อง ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์
    เรื่องย่อ วันหนึ่งขณะที่อยู่ที่บ้านที่กรุงเทพฯ จิตก็คิดถึงภูผาฟ้าน้ำ อยากขึ้นมาร่วมบำเพ็ญกับหมู่มิตรดี จิตกำลังจะปรุงต่อ ก็เห็นความทุกข์เกิดขึ้น จึงได้หยุดปรุง และระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์ที่ว่า อยู่ที่ไหนก็เป็นสุขให้ได้ จึงได้ทำความยินดี และพิจารณาต่อไปว่า กุศลเรามีเท่านี้ก็ดีแล้ว จะให้ได้มากกว่านี้ไม่ได้มันผิดสัจจะ ดีใจจังได้เห็นทุกข์ ได้ละสมุทัย ได้พ้นทุกข์
    ทุกข์อริยสัจ __จิตทุกข์จิตเศร้าหมอง
    สมุทัย_______จิตอยากขึ้นมาร่วมบำเพ็ญกับหมู่มิตรดี
    นิโรธ________อยู่ที่ไหนก็เป็นสุขได้
    มรรค________พิจารณาเห็นความจริงณปัจจุบัน เห็นกิเลสปรุงความอยากขึ้นมา เราก็ทุกข์ทันที เมื่อหยุดความปรุง ความทุกข์ก็หยุดทันที และใช้ปัญญาจากท่านอาจารย์ที่สอนว่า อยู่ที่ไหนก็เป็นสุขได้ เจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็เป็นสุขได้ ทำความยินดีพอใจกับสิ่งที่ได้รับณปัจจุบัน นี่คือสมบัติของเรานี่คือกุศลของเรา เราทำมาเท่านี้จงพอใจเท่านี้ ยุติธรรมที่สุดแล้ว อย่าอยากได้มากกว่านี้

    เรื่องที่ 2
    ชื่อเรื่อง ชังอาการนิ้วชา
    เรื่องย่อ ได้มาบำเพ็ญที่ภูผาฟ้าน้ำในช่วงหน้าหนาว บำเพ็ญในครัว ช่วยเตรียมผักผลไม้ ล้างผักผลไม้ น้ำเย็นมาก เกิดอาการนิ้วชาและไม่มีแรงจับผลไม้ เกิดความชังอาการนิ้วชาเพราะทำให้ทำงานไม่สะดวก เมื่อเห็นอาการไม่แช่มชื่น จึงทำความยินดีอยู่กับอากาศหนาวเย็นด้วยคำยินดี
    ทุกข์อริยสัจ__จิตไม่แช่มชื่นจิตมีอาการชัง
    สมุทัย______อยากไม่ให้เกิดอาการนิ้วชา อยากให้ทำงานอย่างสะดวกว่องไว
    นิโรธ_______พอใจยินดีในทุกสถานการณ์
    มรรค_______ใช้ปัญญาเห็นอาการทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์คือความอยาก แล้วละความอยาก เห็นความจริงตามความเป็นจริง คือเรื่องดินฟ้าอากาศ เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราทำความยินดีได้ ไม่ว่าจะเจอร้อนหนาวฝน และละความยึดมั่นถือมั่นว่า ถ้านิ้วไม่ชาเราจะทำงานสะดวกเราจะเป็นสุข ถ้าทำงานไม่สะดวกเราจะเป็นทุกข์ เราจะโง่ไปเชื่อกิเลสทำไม การทำงานแม้จะมีอุปสรรคขนาดไหนเราก็เป็นสุขได้ เราจะไม่เอาจิตไปผูกกับความพร่องของโลก ซึ่งแปรเปลี่ยนตลอดเวลา

    เรื่องที่ 3
    ชื่อเรื่อง สร้างความยินดีสู้กิเลส
    เรื่องย่อ ที่ห้องครัวภูผาฟ้าน้ำ บริเวณล้างชาม สแลนที่ขึงกันแดดไว้ ขาด แสงแดดร้อนมากเวลา บ่าย 3 โมง
    ล้างชามไปสักพักรู้สึกหงุดหงิดกับอากาศร้อน พี่น้องยังไม่มีเวลามาซ่อม สแลน ที่ขาด เมื่อเห็นความหงุดหงิดของจิตจึงสร้างความยินดีขึ้น
    ทุกข์อริยสัจ___จิตหงุดหงุดหงิดกับอากาศร้อน
    สมุทัย_______อยากให้อากาศไม่ร้อน
    นิโรธ________ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์
    มรรค________ปัญญาเห็นความทุกข์ความหงุดหงิดของจิต ปัญญาเห็นเหตุแห่งทุกข์คือความอยาก อยากให้อากาศไม่ร้อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้นะขณะนั้น จึงละความอยากเสีย แล้วบอกว่า จะโง่ทุกข์ไปทำไม เบิกบานแจ่มใสดีกว่า

    เรื่องที่ 4
    ชื่อเรื่อง สร้างความยินดีสู้กิเลส
    เรื่องย่อ ไปปลูกต้นกระเทียมที่แปลงพ้นทุกข์ เวลาค่ำแล้ว โดยใช้เสียมเจาะหลุม ดินค่อนข้างแข็ง เจาะได้ยากลำบากรู้สึกปั่นป่วนใจไม่ได้ดั่งใจ เมื่อเห็นความทุกข์ในจิตก็รีบกลับใจ ไปสร้างความยินดีสู้กิเลส
    ทุกข์อริยสัจ___ความปั่นป่วนใจ
    สมุทัย_______อยากให้ทำงานได้ดั่งใจ คือดินนิ่มเจาะหลุมได้ง่าย
    นิโรธ________ยินดีในทุกสถานการณ์
    มรรค________ปัญญาเห็นความทุกข์ความปั่นป่วนใจ ปัญญาเห็นเหตุแห่งทุกข์คือความอยากให้ดินนิ่มเจาะหลุมได้ง่าย จึงละความอยาก แล้วกลับใจไปสร้างความยินดี แล้วสอนตนเองว่ากิเลสสร้างทุกข์เพราะยึดความสำเร็จของงาน แต่ปัญญาสร้างความยินดีเป็นความสำเร็จของใจ ยินดีที่รู้ทันกิเลสละกิเลสได้

    เรื่องที่ 5
    ชื่อเรื่อง ความลวงที่เหมือนจริง
    เรื่องย่อ ไปปลูกต้นหอมช่วงเวลา 17:00 น ดินเป็นร่องเล็กและเป็นโคลน ทำให้เดินลำบาก รองเท้าติดโคลน ทรงตัวไม่ได้ เกิดความปั่นป่วนใจไม่แช่มชื่น แล้วปรุงต่อว่า ทำงานไม่สนุกเลย สักพักหนึ่งก็ตั้งสติพิจารณาว่า จะแก้ไขอาการโคลนดูดได้อย่างไร ก็ลองเอากระสอบมารอง แล้วยืนบนกระสอบ สังเกตว่าอาการไม่แช่มชื่นหายไปแล้ว จึงรู้ว่า มันเป็นความลวงของกิเลส เราถูกมันหลอกให้ทุกข์
    ทุกข์อริยสัจ__ความปั่นป่วนใจไม่แช่มชื่น
    สมุทัย______ไม่อยากให้รองเท้าติดโคลนทรงตัวไม่ได้
    นิโรธ_______ยินดีได้ในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ของจิตคือความปั่นป่วนใจไม่แช่มชื่น มีปัญญาเห็นกิเลสคือความไม่อยากให้รองเท้าติดโคลน จึงละความอยากนั้นเสียแล้วตั้งสติพิจารณาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ปัญญาบอกว่า ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน เมื่อทำความยินดีพอใจได้ เราก็จะเห็นความลวงของกิเลส ที่มาคอยทำให้เราทุกข์

    เรื่องที่ 6
    ชื่อเรื่อง ถลำเข้าไปในวังวนของอกุศลสัญญา
    เรื่องย่อ ขณะทำกสิกรรมอยู่มีเสียงกระทบหู จิตปรุงแต่งในทางอกุศล มีความทุกข์ใจมาก ทุกข์เพราะชังในอกุศลสัญญานั้น พยายามตั้งสติพิจารณาว่า จะออกจากความทุกข์นี้อย่างไร คิดได้ว่าจิตต้องเข้มแข็ง ไม่กลัว สิ่งนั้นเป็นเพียงสัญญา เหมือนเป็นของสกปรก เป็นสิ่งสกปรกที่ไม่ใช่ตัวเรา อย่าหลงไปรับเป็นตัวเรา และขอขมาต่อคุณงามความดีทั้งหลาย เราได้พลาดปรุงอกุศลไปแล้ว ขอรับผิดยอมรับผิด ยินดีที่ได้เห็นกิเลสและได้ล้างกิเลส
    ทุกข์อริยสัจ__ทุกข์ใจ
    สมุทัย______ชังที่มีอกุศลสัญญา
    นิโรธ_______ยินดีในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นทุกข์ของจิต มีปัญญาเห็นเหตุแห่งทุกข์ คือความชังในอกุศลสัญญา จึงละความชัง โดยพิจารณาเห็นว่า อกุศลสัญญานั้นเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อเราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของสกปรก เราก็อย่าไปยุ่งกับมัน ทำความยินดีที่ได้เห็นกิเลส กิเลสมาปรุงความชัง ทำให้เราทุกข์ เมื่อเราละกิเลสคือละความปรุงได้ เราก็หายทุกข์ ยินดีที่ละกิเลสได้

    เรื่องที่ 7
    ชื่อเรื่อง ผัสสะล่อกิเลส
    เรื่องย่อ เห็นแม่ครัวนั่งกวนข้าวในกระทะใบใหญ่ เป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว เพื่อให้เข้าเนียนเป็นครีม พิจารณาว่า การทำเช่นนี้ทำให้เพิ่มความร้อนให้ข้าวมากขึ้น เสียเวลาทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เกิดความชังขึ้นในจิต
    ทุกข์อริยสัจ__จิตทุกข์จิตมีความชัง
    สมุทัย______ยึดมั่นถือมั่นว่าควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
    นิโรธ_______ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ความชังในจิต ปัญญาเห็นความยึดมั่นถือมั่นว่า ไม่ควรเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เมื่อเห็นความยึดมั่นถือมั่นของตนเองแล้ว ก็วางใจยอมรับความจริง วิบากดีร้ายสังเคราะห์กัน จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ มันดีที่สุดแล้ว ยอมรับวิบาก อย่าสร้างกิเลสใหม่โดยการไปชัง ยินดีที่ได้เห็นตัวชังและหยุดตัวชังได้ใจ

    เรื่องที่ 8
    ชื่อเรื่อง ยึดความเป็นระเบียบ
    เรื่องย่อ ชั้นวางของในครัวภูผาฟ้าน้ำ บางครั้งก็เป็นระเบียบ บางครั้งก็วางของทับซ้อนกัน ทำให้หยิบของได้ยาก ทำให้เสียเวลา หยิบของด้านบนออกเพื่อจะเอาของด้านล่าง รู้สึกขุ่นเคืองใจ เมื่อจับความทุกข์ในใจได้ ก็นึกว่าเราทำมา แต่ละคนมีฐานจิตใจต่างกัน ขอบคุณที่ทำให้เห็นกิเลสเรา เราไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ แล้วจัดให้เป็นระเบียบได้เองไม่ต้องรอให้ผู้อื่นทำ
    ทุกข์อริยสัจ__ความขุ่นเคืองใจ
    สมุทัย______ยึดความเป็นระเบียบ
    นิโรธ_______ยินดีพอใจได้ในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความขุ่นเคืองใจ มีปัญญาเห็นความยึดในใจ ใช้ปัญญาละความยึดนั้น โดยสอนตนเองว่า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา นี่คือวิบากที่เราต้องรับ ยินดีรับวิบาก คนอื่นเขาก็ทำตามฐานจิตของเขา ขอบคุณที่ทำให้เห็นกิเลสและละกิเลสได้ ขอบคุณมิตรดีสหายดี ที่เป็นผัสสะช่วยขัดเกลากัน

    เรื่องที่ 9
    ชื่อเรื่อง ขอบคุณคำติเตียน
    เรื่องย่อ มีหน้าที่จัดผลไม้สำหรับสมณะ อาจารย์และผู้ติดตาม วันหนึ่งมีเพื่อนจิตอาสามาตำหนิว่า จัดผลไม้มากเกินไปทำให้มีเหลือมาก ถ้าจัดแต่พอดี จะมีส่วนเหลือแบ่งปันให้พี่น้องท่านอื่นได้ เราเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้มาเป็นระยะๆ แต่ก็บอกกับตนเองว่า เป็นบารมีของท่านอาจารย์ ศีลท่านบริสุทธิ์ ทำให้มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ แต่ครั้งนี้เกิดจิตพิจารณาคำติเตียนของเพื่อน พิจารณาเห็นว่าเราเบียดเบียนเพื่อนแล้ว เราทำผิดแล้ว ควรแก้ไข จึงตั้งจิตว่าจะประมาณปริมาณอาหารให้พอเหมาะ ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ขอขอบคุณคำติเตียน ทำให้ล้างอัตตาตัวเองได้ อัตตาที่ยึดความเห็นของตนเอง
    ทุกข์อริยสัจ__ความไม่สบายใจที่รู้ว่าเราเบียดเบียนผู้อื่น
    สมุทัย______ความยึดติดในความเห็นของตนเอง
    นิโรธ_______ปล่อยวาง เบาสบายใจ
    มรรค_______ตั้งสติพิจารณาคำติเตียนของผู้อื่น เมื่อเห็นว่าเขาได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของเรา แสดงว่าเราได้ผิดศีลแล้ว ควรแก้ไขตนเอง จึงตั้งจิตแก้ไขตนเอง ยอมรับผิด สำนึกผิด ขอบคุณมิตรดีที่ช่วยชี้ขุมทรัพย์

    เรื่องที่ 10
    ชื่อเรื่อง ไม่ชอบส่งการบ้าน
    เรื่องย่อ ตั้งแต่สมัครเป็นนักศึกษาวิชาราม ประมาณเดือนธันวาคม 2563 ได้สอบอริยสัจหน้าเวทีครั้งเดียว ไม่เคยส่งการบ้านทางออนไลน์เลย เพราะมีปัญหาไม่มีโทรศัพท์ ต่อมาเมื่อมีโทรศัพท์แล้วก็ยังใช้ไม่เป็น มีวิบากทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ปลอปใจตนเองว่า ทำอะไรไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ดับทุกข์ใจได้ก็พอแล้ว ต่อมามีการเคลื่อนไหวจากทางสถาบันวิชชารามมากขึ้น ต่อเนื่องขึ้น เราก็ยังไม่ขวนขวายที่จะส่งการบ้าน รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก จนวันหนึ่งเกิดจิตที่จะสู้ขึ้นมา จึงบอกกับตนเองว่าเราจะฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ตามกำลัง เราจะต้องส่งการบ้านอริยสัจ 4 ขอตั้งอธิศีลที่จะส่งการบ้าน
    ทุกข์อริยสัจ__ไม่สบายใจไม่แช่มชื่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องการส่งการบ้าน
    สมุทัย______มีตัวโง่ที่ทำให้ไม่เห็นความสำคัญของการส่งการบ้าน ยึดว่าไม่ต้องทำการบ้านก็ได้ เราพ้นทุกข์ได้ก็พอแล้ว ไม่ยินดีในการทำการบ้าน
    นิโรธ_______ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำสิ่งที่ดี
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ความไม่สบายใจทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการส่งการบ้าน มีปัญญาเห็นความยึด ความโง่ของตนเองที่ทำให้ไม่เพียรละบาปคือความขี้เกียจ ไม่บำเพ็ญบุญไม่ทำกุศล เมื่อหมดวิบากแล้ว มีอินทรีย์พละมากขึ้น มีปัญญาเห็นว่า ถึงเวลาจะต้องอธิศีล ต้องมีฉันทะในการทำการบ้านและส่งการบ้าน

  29. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์

    การบ้านอริยสัจ 4
    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    เรื่อง เม้าท์ดีไหม
    เหตุการณ์ คือ มีเพื่อน1 มาเล่าว่าเค้าโดนเพื่อน 0 มาต่อว่า พอเราได้ฟัง ก็นึกถึงเรื่องที่เราเองก็เคยโดนเพื่อน 0 มาต่อว่าแบบนี้คล้ายๆ กัน ระหว่างที่คุยกันกับเพื่อน 1 นั้นก็เกิดอยากจะเล่าเรื่องที่เราเคยโดนเหมือนกัน แต่ก็มีความลังเลใจแวบขึ้น จะเล่าหรือไม่เล่าดี แบบไหนถึงจะดี

    ทุกข์ – ลังเลใจว่าจะเล่าเรื่องที่เราเองก็เคยโดนต่อว่าแบบนี้ให้เพื่อน 1 ดีไหม

    สมุทัย – ได้เล่าเรื่องนั้นให้เพื่อน 0 ฟัง ก็จะสุขใจ ไม่ได้เล่าก็จะทุกข์ใจ

    นิโรธ – จะได้เล่าให้เพื่อนฟัง ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟัง ก็ยินดี ใจไร้ทุกข์

    มรรค – พิจารณาลงไปว่าเราอยากได้อะไรจากการเล่าให้เพื่อนฟัง เล่าแล้วเราสุขใจที่ได้ย้ำว่าเพื่อน 0 เป็นคนนิสัยแบบนั้น สุขใจว่ามีคนโดนเพื่อน 0 ทำแบบนี้เหมือนกัน สุขใจที่ได้นินทาเพื่อน 0 ถ้าเป็นสมัยก่อน เราจะไม่เสียเวลาคิดหรือลังเลใจเลย เราจะรีบเล่าเรื่องเพื่อน 0 เลย ยิ่งเล่ายิ่งเม้าท์ยิ่งสะใจ กิเลสโต อัตตาโต ปล่อยให้กิเลสหลอกเราว่าเราทำดี เข้าใจหัวอกเพื่อนด้วยกัน แต่ในความจริง การที่เราเอาเรื่องของเพื่อน 0 ไปเล่าต่อเป็นการเสริมกิเลส ผิดศีล และสร้างวิบากกรรมใหม่ต่างหาก
    ในอีกมุมหนึ่ง แล้วถ้าเราไม่เล่าละ เราไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดว่าร้าย พูดแต่เรื่องลดกิเลส ล้างกิเลส พูดชวนเพื่อน 1 มาตรวจใจตัวเอง ไม่ใช่ชวนกันไปเพ่งโทษเพื่อน 0 พอคิดได้ถึงจุดนี้ เราก็หยุดลังเลใจ เราเห็นประโยชน์ของการไม่มีกิเลสตัวอยากนี้แล้ว ทุกข์ใจก็สลายไป

    สรุป – เราไม่ได้เล่าเรื่องของเพื่อน 0 วิบากร้ายใหม่ไม่สร้าง และทำวิบากดี ช่วยเพื่อน 1 ตรวจใจ จับทุกข์อริยสัจ และเอามาเขียนเป็นการบ้าน

  30. นางสาวเสริมศรี ชวานิสากุล

    เรื่องต้องทุกข์มากพอจึงออกจากกิเลสได้
    เหตุการณ์ ผัสสะจากฟัง รู้สึกไม่ยินดีกับการต้องได้ฟังเรื่องราวจากโทรศัพท์ อึดอัดจนทนไม่ไหวต้องบ่นกับเพื่อน และบ่นแล้วก็ยังไม่ไหวจึงต้องปิดการรับฟังแล้วหนีเข้าไปสงบสติในเต็นท์ แต่อยู่ๆ เสียงอาจารย์ก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า “สิ่งแรกที่ต้องเห็นให้ได้ในอริยสัจ ๔ คือ เห็นให้ได้ว่าสุขลวงนั้นมันเป็นทุกข์จริงๆ” จึงได้สติตั้งใจกลับมาเปิดฟังเรื่องราวอีกครั้งอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ เพื่อไปดูหน้ากิเลสให้ชัดๆ ว่าชังเป็นทุกข์ยังไง ด้วยการกลับเข้าไปเผชิญสถานการณ์ที่เราหนีออกมา เพื่อให้ได้รู้สึก ได้เห็น “สภาวะความชังเป็นทุกข์” ให้ชัดๆ ไปว่า จริงๆ แล้วชังอะไร นี่แหละคือเครื่องมืออันล้ำค่าที่ทำให้เราได้เห็นกิเลสคือความหลงชิงชังรังเกียจ ความยึดมั่นถือมั่นในใจเรา แล้วจะได้ล้างกิเลสให้ถูกตัว จึงได้เห็นอริยสัจ ๔ ดังนี้
    ทุกข์ กิเลสหลอกให้รู้สึกอึดอัดใจ ขัดใจอยู่หลายครั้งหลายคราจากการที่ไปชังในเนื้อหา เนื้อเสียงการพูด ลีลาการพูด เสียงหัวเราะ อากัปกิริยา ชังความพร่องต่างๆ
    สมุทัย จะเอาความอยากได้ดังใจ อยากได้ฟังเสียง อยากฟังเรื่องราวเฉพาะที่ถูกใจเรา ที่เป็นอย่างที่เราคิด อย่างที่เรายึดว่าดีที่สุดของเราเท่านั้น
    นิโรธ ท่านใดจะพูดอะไร อย่างไร แบบไหน เราก็ยินดีที่เราและทุกท่านได้ร่วมบำเพ็ญและฝึกฝน เรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วบุคคล วัตถุ เหตุการณ์ที่เราต้องได้พบนั้นเป็นเพียงผัสสะให้เราได้เห็นกิเลสของเราและให้เราได้ล้างกิเลสของเรา
    มรรค ๑. ได้เห็นไตรลักษณ์ของอาการความอึดอัดที่ใจของเราที่เราสร้างขึ้นมา
    – ได้เห็นความไม่เที่ยง เมื่อตอนที่เราหนีออกไปจากเหตุการณ์นั้นเราอึดอัดหนักมาก… ตอนนี้พอเรากลับมาฟังอีกที ความอึดอัดมันลดลงมันเบาลงไปมากแล้ว มันไม่เที่ยงจริงๆ ด้วย แสดงว่ากิเลสหลอกเราว่าถ้าไม่ได้ฟังเรื่องราวที่เป็นดังใจเราอยากฟังจะเป็นทุกข์ ต้องได้ฟังเรื่องที่ตรงกับใจเราจึงจะเป็นสุข แต่สุขนั้นแค่แว้บเดียวหลังจากนั้นก็ทุกข์เพราะอยากได้ฟังเรื่องที่ถูกใจอีกมากขึ้นๆ เพราะเชื่อจริงๆ ว่าได้ดังใจจึงจะเป็นสุข แต่ไม่รู้ความจริงว่า การได้ดังใจทุกครั้งคือการเติมความกลัวทุกครั้ง กลัวว่าจะไม่ได้สุขนั้นอีก ได้มาแล้วก็กลัวสุขนั้นจะหมดไป
    – ได้เห็นความเป็นทุกข์ ความอยากได้สมใจเป็นทุกข์ ทำให้เร่าร้อนกายใจ ทนได้ยาก กระวนกระวาย นั่งฟังนิ่งๆ ไม่ได้ ต้องคันปากอยากพูดเรื่องราวกับผู้อื่น จึงได้เห็นว่าไม่ใช่ใครภายนอกที่ไหนเลยที่มาสร้างความทุกข์ให้เกิดในใจของเราได้ แต่เป็นเราเองนี่แหละที่ไปหลงสร้างความทุกข์ให้เกิดแก่ใจเราเอง ด้วยการที่ไปโดนกิเลสหลอกว่า ถ้าได้ฟังเรื่องราวที่ถูกใจเราจึงจะเป็นสุขใจ จึงไปหลงอยากได้ฟังแต่เรื่องราวที่ถูกใจเราเท่านั้น จึงทุกข์ไม่ยินดีเมื่อต้องได้ฟังเรื่องราวที่ไม่ตรงกับใจเรา โดยไม่เห็นว่าถ้าเราสามารถยินดีได้กับการฟังเรื่องราวที่ไม่ว่าจะตรงกับใจเราหรือไม่ นั้นต่างหากคือความผาสุกที่แท้จริง ไม่ต้องแบก ไม่ต้องอึดอัดไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร สบายกว่ากันตั้งเยอะ
    – ได้เห็นความไม่มีตัวตน เราไม่สามารถบังคับความอึดอัดให้หมดไปได้เพราะมันไม่ใช่ตัวเราของเรา แต่อาจจะสามารถอดเอา ทนเอา ข่มเอา แบบทิ้งๆ ลืมๆ ซ่อนเก็บอาการไม่พอใจไว้ ไม่แสดงออกได้ แต่ก็เป็นไปแบบไม่ถาวรไม่ยั่งยืน เมื่อต้องเจอสถานการณ์ซ้ำๆ เดิมๆ หลายๆ ครั้งก็จะการระเบิดอารมณ์ที่เก็บกดเอาไว้จนเกิดวิวาทะ แต่สามารถลดและสลายพลังงานอุปาทานภายในจิตจนหมดสิ้นเกลี้ยงได้ด้วยการวิปัสสนา
    ๒. วิบากกรรม สิ่งที่เราได้รับได้พบคือสิ่งที่เราทำมา ส่งเสริมมาและยังเป็นอยู่ เราชังความพร่องทั้งที่เราเองก็ยังพร่องอยู่เลย เรายังพร่องเรื่องการพูดไม่ว่าจะเป็นในส่วนของน้ำเสียง อากัปกิริยา และเนื้อหา เรายังชังความพร่องของตัวเองอยู่ เราจึงชังความพร่องของผู้อื่น ที่เราชังความพร่องในตัวเอง เพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่า การที่คนเราจะมีปัญญาไม่ว่าจะปัญญาทางโลกหรือปัญญาทางธรรมนั้น อยู่ที่การสั่งสมกุศลกรรมและการบำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติมาจนถึงชาติปัจจุบัน เมื่อไม่เห็นชัดในสัจจะดังกล่าวเราจึงเกิดการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตอื่นจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อิจฉาริษยา ที่เป็นรากแห่งความชังความพร่องในตนเองและชังความพร่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่เป็นนิจในโลกใบนี้ตลอดกาล แล้วถ้าเรายังชังความพร่องอยู่อย่างนี้เราจะเอาความสุขได้จากที่ไหน เราก็ต้องทุกข์ตลอดกาลไปตามสัจจะแห่งความพร่องที่อยู่คู่กับโลกนี้ตราบเราตาย ตราบที่เรายังไม่ล้างกิเลสให้สิ้นเกลี้ยง
    ๓. พลังเหนี่ยวนำ (สนิทานสูตร) เมื่อเรามีความชังซึ่งเป็นพลังงานของกิเลส จึงไปเสริมพลังกิเลสตัวอื่นๆ ให้สรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ทำให้เกิดเรื่องไม่ดีต่างๆ และดึงเรื่องไม่ดีเข้ามาสู่ผู้มีพลังงานกิเลส อย่างแรกคือเราทุกข์ใจ แล้วเมื่อเกิดความชังเราก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อท่านที่เราชัง หรือถ้าเราทำกับท่านนั้นไม่ได้เราก็อาจจะเหวี่ยงใส่คนอื่น หรือไปหาพวกที่มีกิเลสเหมือนเราไปรวมตัวกันพูดถึงเรื่องที่ตนชังร่วมกัน แล้ววิบากร้ายจะนำไปสู่การความเข้าใจผิดทะเลาะวิวาทในที่สุด
    ผลการล้างกิเลสในครั้งนี้คือ รู้สึกยินดีในการฟังได้ตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นว่าความชัง ความอึดอัดขัดใจคับข้องใจเป็นทุกข์ และยิ่งเมื่อได้เห็นว่าเป็นเรานี่เองที่เป็นผู้สร้างความทุกข์ให้เกิดในใจของเรา เมื่อได้เห็นความจริงตามความเป็นจริงเช่นนี้ ในครั้งนั้นจึงฟังเรื่องราวได้ด้วยความยินดีและอนุโมทนาในทุกบุญ/กุศลที่พี่น้องได้ร่วมกันพากเพียรบำเพ็ญ และยังได้มีการตรวจกิเลสซ้ำอีกในวันต่อๆ มา ก็ยังรู้สึกยินดีในการฟังเรื่องราว จึงกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้ให้ดวงตาในการอ่านอาการกิเลสของเราได้และให้ปัญญาในการล้างกิเลสของเราได้ด้วยตัวเราเอง
    พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ เจริญธรรม สำนึกดี มีอภัย ใจไร้ทุกข์ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔ เพียรไพรพุทธ

  31. สุวรรณ กังวานนวกุล

    เรื่องที่ 11
    ชื่อเรื่อง ชังเพลงไม่เพราะ
    เรื่องย่อ เช้าวันหนึ่งขณะทำกายบริหาร ได้ยินเสียงเพลงที่ไม่คุ้นเคยเพลงหนึ่ง ซึ่งปกติจะได้ยินแต่เพลงของพวธ. ฟังไปสักระยะ เห็นอาการไม่แช่มชื่นของจิต สังขารปรุงแต่งว่า เพลงอะไรไม่เพราะเลย ฟังแล้วหดหู่ไม่ห้าวหาญ เมื่อเห็นทุกข์ในจิต จึงทำความยินดีเพื่อล้างทุกข์
    ทุกข์อริยสัจ__จิตไม่แช่มชื่นเมื่อได้ยินเสียงเพลง
    สมุทัย______ชังเพลงที่ไม่เพราะ
    นิโรธ_______ยินดีได้ในทุกเหตุการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความไม่แช่มชื่นของจิต มีปัญญาเห็นความปรุงของกิเลส กิเลสบอกว่าเพลงไม่เพราะฟังแล้วหดหู่ นี่คือความลวงของกิเลส ความจริงคือเสียงเพลงก็เป็นแค่คลื่นเสียงมากระทบหู กิเลสโง่ไปชังเอง กิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์เอง ขอขอบคุณเสียงเพลง ที่ทำให้เราเห็นกิเลสตัวเอง และได้ล้างกิเลส

    เรื่องที่ 12
    ชื่อเรื่อง เรียนรู้อริยสัจ จากอาหาร 4
    เรื่องย่อ การพิจารณาอาหารแต่ละวัน มีผัสสะหลายอย่าง ทำให้เห็นกิเลสหลายตัว วันนี้ในครัวได้ทำ บ๊ะจ่าง
    เมื่อตาเห็นรูป จิตลังเลสงสัยว่าจะทานดีหรือไม่ จึงได้ตักชิมเล็กน้อย รู้สึกเลี่ยนมาก จึงพิจารณาว่าจะไม่ทาน บ๊ะจ่าง
    ทุกข์อริยสัจ___รู้สึกเลี่ยนเมื่อตักชิม
    สมุทัย_______ธาตุอาหารชนิดนี้ไม่ถูกกับธาตุในร่างกายของเรา จึงเกิดอาการเลี่ยน ใจยังลังเลสงสัยว่าจะทานดีหรือไม่
    นิโรธ________เว้นอาหารนี้เสียเพราะไม่ถูกกัน ก่อนจะชิมก็สุขสบายกายอยู่แล้ว ใจก็ยินดีเพราะเห็นว่าไม่ถูกกัน
    มรรค________ใช้ปัญญาพิจารณาอาหารดังนี้ อาหารนี้มีข้าวเหนียว ถั่วลิสง พริกไทย กะทิซึ่งเป็นฤทธิ์ร้อนทั้งหมด เมื่อชิมแล้วรู้สึกเลี่ยนมาก จึงเชื่อในเวทนาว่าอาหารนี้ไม่ถูกกับเรา ณเวลานี้ จึงพิจารณาว่าจะไม่ทาน จิตก็ไม่ว่าอะไร ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน

    เรื่องที่ 13
    ชื่อเรื่อง เรียนรู้อริยสัจ จากอาหาร 4
    เรื่องย่อ วันนี้ในครัวมี ข้าวผัดน้ำพริกกะปิเจ เมื่อตาเห็นรูปของอาหาร ไม่มีลักษณะมันจากน้ำมันที่ใช้ผัด จิตมีความพอใจเล็กน้อย เมื่อลองดมกลิ่น ก็ไม่มีกลิ่นรุนแรงของกะปิเจ จิตพอใจเล็กน้อย เมื่อสัมผัสกับถาดที่ใส่อาหารก็รู้ว่าอาหารนี้เพิ่งทำเสร็จใหม่ยังร้อนอยู่
    จิตพอใจมากขึ้น ข้อพิจารณาอื่นๆ 1.การทำข้าวผัดมักจะใช้ข้าวเหลือจากเมื่อวาน ไม่ใช่ข้าวหุงใหม่
    2.มีการปรุงโดยใช้กะปิเจ พริก หอมกระเทียม มะเขือพวง น้ำมัน ทำให้มีฤทธิ์ร้อนมากขึ้น และอาจได้พิษร้อนจากกะปิเจ
    3.เมื่อตัดสินใจชิม 1คํา รู้สึกรสโอชะ ร่างกายรับได้ มีรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ดเล็กน้อย ไม่เลี่ยน
    ทุกข์อริยสัจ__สุขลวงที่พอใจเมื่อรับสัมผัสทางตา จมูก ลิ้น กาย
    สมุทัย______อยากได้รสสัมผัสทางตา จมูก ลิ้น กาย
    นิโรธ_______อุเบกขาได้ทุกผัสสะ
    มรรค_______ใช้ปัญญาพิจารณาประโยชน์และโทษของอาหารชนิดนี้ จะเห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยความเป็นธาตุแล้ว ทานข้าวหุงธรรมดาดีกว่า แต่เพราะเหตุว่าจิตหลงความลวงในรสอาหาร จึงตัดสินใจทานอาหารชนิดนี้ หลังจากทานแล้ว ก็รู้ว่าอินทรีย์พละของเรายังอ่อน ยังไม่รู้ทันกิเลส ต้องฝึกฝนต่อไป

    เรื่องที่ 14
    ชื่อเรื่อง เรียนรู้อริยสัจ จากอาหาร 4
    เรื่องย่อ วันนี้ในครัวมีน้ำพริกเผา เมื่อตาเห็นรูป เห็นความมันเยิ้มของน้ำมัน ส่วนประกอบทุกอย่างมีฤทธิ์ร้อน วิธีทำคือการทอดทุกอย่างแล้วนำมาผัดรวมกันแล้วปรุงรส ทำให้มีฤทธิ์ร้อนมากขึ้น พิจารณาแล้ว ไม่อยากทาน แต่เพราะเหตุว่าช่วงนี้เป็นกระแส น้ำพริกพลิกโลก จึงตัดสินใจชิม มีเวทนาที่หวานเลี่ยน มือที่จับภาชนะก็มัน ต้องไปล้าง
    ทุกข์อริยสัจ__ทุกข์ใจจากความเลี่ยนความมันของน้ำมัน ต้องเสียเวลาไปล้าง
    สมุทัย______อยากได้สุขลวงจากรสอาหาร
    นิโรธ_______อุเบกขาในทุกผัสสะ
    มรรค_______พิจารณาประโยชน์และโทษของธาตุอาหาร อาหารนี้มีฤทธิ์ร้อนมาก ชินแล้วรู้สึกเลี่ยน ไม่เหมาะกับธาตุของเรา ที่มีอาการของความดันโลหิตสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ทานอาหารชนิดนี้ พิจารณาในแง่อื่นๆ อาหารผ่านกรรมวิธีที่ยุ่งยากมาก เสียเวลาและแรงงานในการประกอบอาหารมาก เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น แค่มีเกลือ พริก มะนาว ก็เป็นน้ำพริกได้เหมือนกัน อีกประการหนึ่ง ต้องเสียเวลาล้างภาชนะทุกชิ้นที่ใช้ประกอบอาหารมาก เพราะมันมาก จึงคิดว่าอย่าไปยุ่งกับทุกข์เลย อย่าไปโง่หาเรื่องทุกข์

    เรื่องที่ 15
    ชื่อเรื่อง เรียนรู้อริยสัจ จากอาหาร 4
    เรื่องย่อ วันนี้ในครัวมี ข้าวต้มมัด เนื่องจากมีกล้วยน้ำว้าสุกจำนวนมาก เมื่อตาเห็นรูป ไม่ได้มีแรงดึงดูดให้ลองชิมจึงไม่ชิม หูได้ยินเสียงเพื่อนพูดว่า ข้าวไม่ค่อยสุก ก็เลยยิ่งไม่อยากชิม พิจารณาว่าไปทานข้าวสวยกับผักลวกดีกว่า
    ทุกข์อริยสัจ__ ยังไม่ทุกข์ใจมีแต่ทุกข์กายเพราะความหิว
    สมุทัย_______ตั้งสติพิจารณาเลือกอาหารโดยดูจากประโยชน์และโทษของอาหาร ไม่ได้พิจารณาตามความอยาก จึงยังไม่มีเหตุแห่งทุกข์
    นิโรธ________อเบกขาได้ในทุกผัสสะ
    มรรค________ใช้ปัญญาพิจารณาเลือกทานอาหาร ให้ถูกสมดุลกับร่างกายของเรา วันนี้จึงพิจารณาไม่เลือกทานข้าวต้มมัด เพราะเห็นว่า มีฤทธิ์ร้อนจากข้าวเหนียว กะทิ ถั่วดำ กล้วยสุกงอม และน้ำตาล ซึ่งเป็นส่วนที่เกินความจำเป็นของชีวิต และจัดเป็นอาหารที่เบียดเบียนเพราะใช้เวลาและแรงงานในการทำมาก จึงไม่เลือกทานข้าวต้มมัด ทำความยินดีที่ไม่เป็นทาสของกิเลส สามารถพิจารณาเลือกทานอาหารได้ตามประโยชน์และโทษของธาตุนั้นๆ ไม่ไปหลงสุขลวง ไม่เสพรสอร่อย ยินดีพอใจที่ไม่ได้ทานข้าวต้มมัด

    เรื่องที่ 16
    ชื่อเรื่อง เรียนรู้อริยสัจ จากอาหาร 4
    เรื่องย่อ วันนี้ในครัวมีต้มยำหยวกและหยวกกล้วยคั่วเกลือ พิจารณาเลือกทานหยวกกล้วยคั่วเกลือ ไม่ทานต้มยำหยวก เพราะไม่ต้องการรสเปรี้ยว ร่างกายเราไม่ต้องการรสเปรี้ยวมากเพราะมีปัญหาเรื่องกระดูกเสื่อมมาก่อน ความเปรี้ยวจะมีผลกัดกร่อนกระดูก
    ทุกข์อริยสัจ__มีความผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นเมนูต้มยำหยวก เพราะอยากทานหยวกแต่ไม่อยากทานรสเปรี้ยว
    สมุทัย______มีกิเลสไม่อยากทานรสเปรี้ยว
    นิโรธ_______อุเบกขาได้ในทุกผัสสะ
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ใจคือความผิดหวัง แต่จิตไม่ดิ้นรนมากเพราะมีเมนูหยวกคั่วเกลือมาแทน สร้างความยินดีพอใจ ที่สามารถเลือกพิจารณาอาหาร ที่ถูกสมดุลกับร่างกาย ไม่พิจารณาตามความหลงรสของสุขลวง

  32. นส.พรเพียรพุทธ โพธิ์กลาง​ ทิพย์

    เรื่อง​ ขอบคุณใบกะเพรา

    เนื้อเรื่อง​ ไปเก็บผักมาปั่น​ และเป็นผักสด​ แล้วไปเจอกะเพราแตกยอดงามมาก​ จึงคิดจะเก็บไปไว้ในครัวกลางเผื่อมีใครจะใช้ในการปรุงอาหาร​ ตอนที่คิดและลงมือทำก็รู้ว่าเรามีกิเลสความอยากอยู่​ แล้วเดินถือใบกะเพราไปที่ครัวยังไม่ได้พูดอะไรมีคุณอาท่านหนึ่งพูดว่า​ ถ้าเสียดายก็เด็ดดอกแก่ของกะเพราออก​ เขาจะไม่ตาย​ เขาจะโตได้​ 2​ เมตร​ แล้วบอกต่อว่าครัวไม่มีเมนูที่จะใช้ใบกะเพรา​ หรือว่าจะใช้ก็จะไปเก็บเองไม่ได้เก็บมาเยอะแบบนี้​ เวลาใช้ก็ใช้นิดเดียว คุณอาเสนอให้ล้างไปเป็นผักสด​ ในใจก็คิดว่าใบกะเพราเยอะขนาดนี้จะกินสดหมดเหรอ​ แต่ก็รับฟัง​ ในใจคิดว่าจะนำไปวางให้กินสดนิดเดียว​ ที่เหลือคงต้องทิ้ง​ ยอมรับฟังคำแนะนำของคุณอาท่านนั้นได้​ แต่จิตข้างในขุ่นอยู่เล็ก​ ๆ​ แต่จิตพุทธะก็เข้าใจดีว่าคุณอาหวังดี​ และรู้ว่าตัวเองที่คิดพูดทำแบบนี้คือการเอาแต่ใจตัวเอง​ ที่ไม่ได้ถามคุณอาที่เป็นแม่ครัวก่อน​ มันคือการเบียดเบียนผู้อื่น ก็ยอมรับ​ในสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดปัญญา​ใหม่​ เราสามารถนำใบกะเพราไปหมักทำเป็นยาไล่แมลงได้​ โดยไม่ต้องใช้ทำอาหารอย่างเดียว​ จิตก็โล่งโปร่งเบาลงทันที

    ทุกข​์​  ไม่ได้ดั่งใจหมายที่ตั้งไว้

    สมุทัยเหตุแห่งทุกข์​  ยึดว่าถ้าแม่ครัวนำไปกะเพราไปใช้จะสุขใจจะชอบใจ​ แต่พอแม่ครัวไม่ได้ใช้ใบกะเพราเราก็ทุกข์ใจไม่ชอบใจ

    นิโรธ​  ไม่ได้ใช้ใบกะเพราะเลยก็ไม่ทุกข์​ใจ

    มรรค​ พิจารณาความอยาก​ มีความอยากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั่นต้องกล้าที่จะไม่ได้ตามที่อยาก​ อยากมันเป็นทุกข์มันไม่ใช่สุข​ มีแต่ทุกข์​ ๆ​มันไม่เที่ยง​ มันเกิดแล้วมันก็ดับ​ มันไม่มีตัวตน ถ้าเราไม่มีความอยากเราก็ไม่ทุกข์​ เจตนาได้แต่อย่ามีความอยาก​ เพราะมีความอยากมันเป็นทุกข์​ มันเป็นวิบากร้ายดูดดึงสิ่งไม่ดีเข้ามา​ ทำให้เกิดเรื่องร้าย​ ทำให้เจ็บป่วย​ เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี ต้องกล้าทำให้ตัวเองพ้นทุกข์​ จิตก็ผ่องใส​ ผาสุกยั่งยืน

  33. สุดใจ​ โสะหาบ

    เรื่อง​ ห้องไลน์

    ช่วงนี้มีการจัดค่ายสุขภาพออน์ไลน์ ข้าพเจ้าจึงได้แนะนำพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านนี้เป็นคนที่แนะนำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรม ให้เข้ามาร่วมในกิจกรรมค่ายออนไลน์ ท่านก็ตกลงเข้ามาร่วมค่ายด้วยดี  แต่พอท่านเข้ามาแล้วก็บอกว่าจะขอออกจากห้องเพราะท่านไม่ชอบที่มีสมาชิกในห้องไลน์มากจนเกินไป

    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็รู้สึกกังวลหวั่นไหวที่พี่ท่านจะทำแบบนั้น เพราะยังอยากจะให้ท่านได้เรียนรู้เพิ่มเติมและได้มาร่วมกับกลุ่มหมู่มิตรดี จะได้นำความรู้ไปดูแลตัวเองและไปแนะนำคนอื่น เพราะพี่ท่านชอบช่วยเหลือคนอื่น

    ทุกข์ : กังวลใจหวั่นไหว

    สมุทัย : อยากให้พี่ที่ข้าพเจ้าชวนท่านมาเข้าค่ายออนไลน์อยู่ในห้องไลน์ต่อ เพื่อเรียนรู้การดูแลตัวเองเพิ่มเติม และจะได้สานพลังกับหมู่กลุ่มและนำความรู้ไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ ต่อไป
    ไม่ชอบใจที่พี่ท่านนั้นขอออกจากกลุ่ม จะยินดีพอใจมากกว่าหากพี่ท่านนั้นจะไม่ออกไปจากกลุ่ม

    นิโรธ : พี่ท่านจะขอออกไปจากกลุ่มก็จะไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : ด้านจิตใจในช่วงแรกจับได้ว่ามีความกังวลหวั่นไหวกลัวพี่ท่านจะออกจากกลุ่มไลน์เพราะใจของข้าพเจ้ายังติดยึดกับพี่ท่านอยู่แต่ถ้าเป็นคนอื่นข้าพเจ้าก็จะไม่กังวลหวั่นไหวเลย จึงได้นำเอาบททบทวนธรรมข้อที่ 130  คือ “อย่าแบกชีวิตคนอื่น  อย่าทำผิดหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่ ถ้าเขาไม่ฟังเรา ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการจะทำ ปล่อยวาง ให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ถ้าเราได้พยายามบอกแล้ว สอนแล้ว เตือนแล้ว แต่เขายังไม่ฟัง เราสอนเขาไม่ได้ แปลว่าการสอนเขา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา หน้าที่เราคือ ทำเต็มที่เต็มแรง อย่างรู้เพียรรู้พัก แล้วปล่อยวาง ให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต” เมื่อได้ทำใจปล่อยวางก็คลายความกังวลหวั่นไหวรู้สึกใจโล่ง​ เบาสบายขึ้น​ สาธุค่ะ

  34. ด.ช.จิรวศิน เรียนจันทร์

    เรื่อง ไม่อยากไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก

    25/9/64

    ด.ช. จิรวศิน เรียนจันทร์ อายุ 13 ปี เป็นนักเรียน วิชชาราม ภาคสมทบ

    เรื่อง ไม่อยากไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก

    เหตุการณ์ แม่พาไปกรอกปุ๋ยน้ำหมักแต่ไม่อยากไปกรอก

    ทุกข์ ชิงชังรังเกียจที่ต้องไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก

    สมุทัย ชังที่ต้องไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก ชอบที่ไม่ต้องไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก

    นิโรธ ไม่ชอบไม่ชังที่ได้ไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก

    มรรค พิจารณาประโยชน์ ที่ได้ไปกรอกปุ๋ยน้ำหมัก เพราะรู้ประโยชน์ของการกรอกปุ๋ยน้ำหนัก คือ มีปุ๋ยน้ำหมักใช้ไปพ่นข้าว หลังจากนั้นใจที่คิดชัง ก็หยุดชัง และไปกรอกปุ๋ยน้ำหมักทันที

  35. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)

    เรื่อง อยากได้ตรงจุดนั้น

    มีนัดฉีควัคซีนเข็มที่ 2 ที่ห้างแห่งหนึ่ง ตื่นแต่เช้า แต่งตัวแล้วขับรถไปสถานที่นัดหมาย พอไปถึงคนเริ่มเดินไปต่อคิว พอไปตามกระบวนการเสร็จ ก็ไปจุดที่นั่งรอ นั่งรอไปรอมา เพิ่งนึกได้ว่า ตนเองแต่งตัวเรียบร้อยเกินเหตุคือ แขนเสื้อนั้นไม่สามารถถลกขึ้นเพื่อฉีดวัคซีนได้เลย เป็นเสื้อที่ต้องเปิดกระดุมผ่าหน้า ปลายแขนเสื้อยาวมาถึงข้อพับจะไม่สามารถพับหรือถลกแขนเสื้อได้เลย เอาแล้ว ทุกข์ความกังวลใจได้เกิดขึ้นแล้ว เราใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ตอนแรกคิดว่าจะเข้าไปในห้างเพื่อหาซื้อเสื้อยืดมาใส่แทน แต่ตอนนั้นห้างยังไม่เปิดและถ้าเดินไปซื้อ ก็จะทำให้คิวที่รอหายไปทันที จิตก็ไปกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีคนมามากขึ้น มองเห็นจุดฉีดวัคซีนมี 4 จุดมีฉากบังกันสายตา แต่ก็ไม่มิดหรอก จุดฉีดมีด้วยกัน 4 จุด แต่มีจุดที่ 1 อยู่ด้านซ้ายมือ เป็นจุดที่น่าจะโอเคสำหรับเราคือ จุดที่ไกลที่สุด ซ้ายมือ น่าจะดีที่สุดตอนนี้ เพราะถ้าเราปลดกระดุมบน จะได้ไม่มีคนเห็น กลัวโป๊

    ทุกข์ : กังวลใจ กระวนกระวายใจ ตาคอยจ้องมองแต่จุดที่อยากไปนั่งฉีด ได้นั่งหันหลังไม่มีใครเห็น ใจก็ลุ้นว่า ขอให้ได้จุดฉีดจุดนั้น เพราะเป็นจุดที่ไกลสายตาคนอื่นที่สุด

    สมุทัย : ชอบถ้าเราจะได้ฉีดในจุดที่เราอยากได้ ชังถ้าเราได้ฉีดในจุดที่มีคนเห็นเยอะ

    นิโรธ : จะฉีดตรงจุดไหนก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่กังวลใจ

    มรรค : ตอนแรกคิดว่า ตัวเองกลัวโป๊? แต่พอคิดไปคิดมา เราก็สามารถเอามือปิดได้ ถ้าจะเห็นก็เห็นแค่หัวไหล่เอง แต่ถ้าถึงแม้มีคนเห็น ก็ไม่เป็นไร ไม่ทุกข์ใจเพราะเราก็ไม่ได้ไปยึดกาย สังขารนี้อยู่แล้ว และมันก็มีวิธีแก้อยู่ ไม่ให้โป๊แต่ที่ใจยังทุกข์อยู่ เพราะเรามองว่านี่คือสภาพพร่อง เรายอมรับสภาพพร่องได้ ก็ผาสุก ส่วนเรื่องถ้าคนจะดูเรา อดีตเราก็เคยมีวิบากชอบดูคนอื่นเหมือนกัน ก็รับไป แต่ก่อน ถ้าใครเห็นนี้ จะทุกข์ใจมากเพราะมีตัวยึด สุดท้ายก็วางใจ จะได้ฉีดจุดไหน ก็ได้ พอวางใจจริงๆสุดท้ายก็ได้ฉีดจุดที่ไกลที่สุดที่ไม่มีใครเห็น

  36. นางพรรณทิวา เกตุกลม

    เรื่อง ยังไม่หมด
    เหตุการณ์ : ช่วยกันแต่งผักเหลียงที่มีเถาวัลย์คลุมจนต้นโน้มคู้ พ่อบ้านทำแซงหน้าไปเร็วมากหันดูผลงานทันทีที่เห็นมารที่หลับไหลอยู่ตื่นขึ้นอย่างเร็ว รู้สึกขัดใจ เพราะค่อนข้างหยาบตัดเถาวัลย์คาไว้ไม่ดึงออกจากต้น บางต้นก็ตัดไม่ขาด

    ทุกข์ : รู้สึกขัดใจ ที่พ่อบ้านทำหยาบๆ

    สมุทัย : หลงยึดดี ว่าทำงานต้องละเอียด ถ้าพ่อบ้านทำงานละเอียด จะสุขใจ พอเห็นพ่อบ้านทำค่อนข้างหยาบ จึงขัดใจ ทุกข์ใจ

    นิโรธ : พ่อบ้านจะทำละเอียด หรือ ทำหยาบๆ ก็ สุขใจ ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : เมื่อเห็นมารตัวยึดดี ว่าต้องทำงานให้ละเอียดยังมี ไม่ได้หมดไปจริงๆ จึงพิจารณาการมีตัวยึดดีทำงานต้องละเอียดทำให้ทุกข์ แล้วจะโง่ทำไม ที่สำคัญความละเอียดเกิดขึ้นมันก็ไม่ได้อยู่ตลอดเป็นไปไม่ได้ มันเกิดดับๆไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งนี้ก็เช่นกันแม้พ่อบ้านจะทำได้ละเอียดปานใดมัน ก็เจริญเติบโตมาได้อยู่ดี เราก็ต้องขัดใจ ทุกข์ใจ ไปตลอดกาลนาน โง่จริงๆ แท้จริงแล้ววิบากดีของเรา ได้ดันวิบากร้ายที่ชาติก่อนๆเราก็เคยเป็นเหมือนที่พ่อบ้านทำ เพื่อมาล้างความยึดดี ล้างวิบากร้ายที่เคยทำมา ต้องขอบคุณพ่อบ้านที่ช่วยให้ได้เห็นว่ากิเลสตัวยึดดียังไม่หมด ช่วยทำให้ไม่ได้ดั่งใจ และทำให้เราได้ล้าง ซึ่งสอดคล้องกับบททบทวนธรรมข้อที่ 84 ว่า” ล้างความยึดมั่นถือมั่นของใจได้สำเร็จ คือ ความสำเร็จที่แท้จริง”หลังจากพิจารณาแล้ว ล้างความยึดดี ยึดมั่นถือมั่นออกได้ความรู้สึกขัดใจ ก็หายไปเช่นกัน ใจกลับมาเบิกบาน โปร่ง โล่ง เหมือนเดิม

  37. นางสาวสันทนา ประวงศ์

    เรื่อง : ความอยากรู้

    เหตุการณ์ : พูดคุยเรื่องงานกันอยู่กับพี่น้อง เราได้เอ่ย ชื่อคุณอาท่านหนึ่ง เพื่อนบอกว่าท่านไปแล้ว เราได้ยินแล้วกิเลสรู้สึกทันที ปรุงแต่งคิดในใจเพิ่มไปเลย ท่านตายแล้วเหรอ? อะไร? อย่างไร? อยากรู้ขึ้นมาทันที จับอาการความอยากรู้ได้ว่า มีอาการใจเต้นแรง อึดอัด กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เลื้อยแสส่ายหา ไม่แล้วใจ อยากรู้เรื่องราวนั้น ตอนนั้นเลย มือจะยื่นไปจับขาเพื่อน เพื่อให้เพื่อนเล่าให้ฟังคุมไว้ได้ แต่พูดออกมากับเพื่อนเลยว่าเดี๋ยวขอหลังไมค์ด้วยน่ะ เล่าให้เราฟังด้วยน่ะ คือ อะไร? ทำไมเราไม่รู้? นั้นๆ กิเลสความอยากรู้มากระดับ ๑๐ ใจร้อนด้วย อยากรู้ตอนนี้เดี๋ยวนี้

    ทุกข์ : อยากรู้ เป็นทุกข์ในใจ มีอาการในใจ ใจเต้นแรง อึดอัด กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เลื้อยแสส่ายหา ไม่แล้วใจ อยากรู้เรื่องราวนั้น

    สมุทัย : เกิดจากตัณหาความอยาก อยากให้เพื่อนเล่าให้ฟัง อยากให้เพื่อนทำดังใจเราหมาย ทำดังใจเราต้องการ ใจร้อนต้องเล่าให้ฟังน่ะ มีความยึดมั่นถือมั่นว่าเพื่อนจะต้องเล่าให้ฟัง ชอบใจถ้าเพื่อนเล่าให้ฟัง ไม่ชอบใจถ้าเพื่อนไม่เล่าให้ฟัง

    นิโรธ : เราจะรู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ และเพื่อนจะเล่าให้ฟัง หรือไม่เล่าให้ฟัง เราก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : รู้ว่าความอยากรู้ จนเกิดทุกข์ใจ เป็นกิเลส พิจารณาโทษของกิเลส มีกิเลสทำให้ทุกข์ใจ ทำให้ใจเต้นแรง อึดอัด กระวนกระวาย กระสับกระส่าย เลื้อยแสส่ายหา ไม่แล้วใจ เป็นทุกข์ ความอยากรู้ อยากให้คนอื่นทำดังใจ สมใจเรา เป็นกิเลสเป็นทุกข์ อยากได้ในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ กำหนดไม่ได้ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน นั้นทุกข์ เห็นทุกข์ในใจชัด แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดี อ้าวไงนี่! บอกกิเลสว่ารู้แล้วจะพ้นทุกข์ไหม? เพื่อนบอกแล้วจะพ้นทุกข์ไหม? ก็ยังอยากรู้อยู่ดี

    อ๋อ รู้แล้ว มีตัวใจร้อนนี้เอง เอางั้น อยู่กับเราก่อน อย่าเรียบไปไหนน่ะทุกข์ อยากรู้มากนัก กอดทุกข์นั้นไว้ก่อน เอามานอนด้วย ๑ คืน ดึกๆ ก็ปลุกมานั่งคุยกันอีก ครั้งนี้ตั้งศีลสู้ ว่าสิ่งที่เราจะรู้ ก็ขอให้เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ถ้ารู้แล้วไม่เป็นประโยชน์ รู้แล้วกลับเป็นโทษก็ไม่ควรรู้ แล้วคิดได้ว่าเคยมีเรื่องบ้างเรื่อง ที่เรารู้แล้ว ตอนนั้นเรายังมีกิเลสหนาอยู่พอไปรู้ เรากลับชังแรง เพ่งโทษแรง อ๋อถูกแล้ว ฟ้ายังไม่ให้เรารู้ ยังไม่ถึงเวลาต้องรู้ ส่งผลดีกับเราน่ะนี้ ดีแล้วที่ไม่รู้ ถ้ารู้จะเสียหาย ใจโล่ง เบาสบาย ไม่อยากรู้แล้ว สาธุค่ะ

  38. ภูเพียรธรรม กล้าจน

    เรื่อง – ขอบคุณมาตลีเทพสารถีที่มาเตือนให้ชัดเจน

    เหตุการณ์ – เกิดอาการเจ็บแป๊บที่ช่องอก

    ทุกข์ – รู้สึกไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบาน เศร้าหมอง กำลังไม่เต็ม

    สมุทัย – อยากได้ดีดั่งใจหมาย อยากให้เกิดดีเกินกว่าฤทธิ์แรงที่ทำได้จริง ดื้อ ใจไม่เชื่อมาตลีเทพสารถี

    นิโรธ – จะได้ทำดี / ให้เกิดดีดั่งใจหมายได้ ก็สุขใจ ไม่ได้ทำดี / เกิดดีไม่ได้ดั่งใจหมายได้ ก็สุขใจ

    มรรค – ทำความยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ทำความยินดีเข้าใจวิบากกรรมให้แจ่มแจ้ง ว่าสิ่งที่เราได้รับ คือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา วันนี้ 240964 มีอาการเจ็บแป๊บหน้าอกขึ้นมา เพราะอยากให้เกิดดีเกินกว่าวิบากดีวิบากร้ายที่เป็นไปได้จริง (ฤทธิ์แรงที่จะเป็นไปได้จริง) ด้วยความติดดี ยึดดี อยากให้เกิดดีมาก ๆ มาตลีเทพสารถีจึงมาแสดงเตือนอาการทางร่างกาย ให้เห็นอาการเจ็บร้าวแป๊บ ๆ ที่ช่องอก ทำให้รู้ได้ทันทีว่า เพราะมีความอยากนี้เอง จึงส่งผลทุกข์ทางใจตามมา และส่งผลถึงทุกข์ความเจ็บป่วยทางร่างกายด้วย ทำให้เจ็บแป๊บที่ช่วงอกนี้เอง และทำให้ได้หายสงสัยเลย ว่าเหตุใดทำไมเราถึงมีอาการเจ็บแป๊บที่ช่วงอกนี้ได้ เมื่อก่อนที่เคยมีอาการนี้ มันอยู่ดี ๆ ก็เป็นขึ้นมา ก่อนมารู้จักแพทย์วิถีธรรม เคยเป็นเพียงครั้งเดียว แต่พอมาเป็นจิตอาสา เขาก็มีมาเตือนให้เห็นอีกเป็นระยะ ๆ นาน ๆ ที แต่เราก็ยังไม่ได้ตามหาสาเหตุ จนระยะหลังๆ นี้ มีมาให้รู้สึกได้หลายครั้งพอสมควร จนกระทั่งถึงครั้งนี้ เราก็ได้หายสงสัยได้เลยว่าเป็นเนื่องจากอะไร ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เป็นเพราะอยากได้ดีเกินกว่า วิบากดีวิบากร้ายของเรา จริงๆ ถ้าเราหยุดอยากเสียแต่ตอนที่เรารู้ว่าเราอยากเพิ่มหัวข้อข่าว อีก 2 ข่าว เราจะได้รีบหยุดดับความอยากเราเสียก่อน ก่อนจะพุ่งออกไปทำการเพิ่มหัวข้อข่าวให้ได้ดั่งใจหมาย เมื่อวิบากดีเขาไม่ให้ พอไปทำ จึงเกิดอาการเจ็บเสียวแป๊บขึ้นมาทันทีเลย เมื่อเรายังอยากทำดีต่อ อาการก็ยิ่งแป๊บๆ เพิ่มมากขึ้นอีก จะทำให้ได้ทั้ง 2 ข่าว จึงต้องหยุดเลย ขอทำให้เสร็จเพียง 1 ข่าว แล้วหยุดเลย พอหยุด เขาก็หายเจ็บแป๊บทันทีเลย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าอยากดีเกินกว่าฤทธิ์แรงที่เป็นไปได้จริง สิ่งที่ได้เตรียมไว้ มันดีมากแล้ว ฉะนั้นก็รับเต็มๆ หมดเต็มๆ รับแล้วหมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น ขอบคุณมาตลีเทพสารถีที่มาเตือนให้เราได้รู้ว่า เพราะอยากได้ดีดั่งใจหมายนี้เอง ที่ทำให้เราเจ็บป่วย เป็นโรคได้ทุกโรค ได้ดั้งแต่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงโรคที่ร้ายแรงได้ อย่างโรคหัวใจได้เลย

    เพราะอวิชชา ความไม่รู้นี้เอง อภิชฌปา ยังอยากให้เกิดดีมากๆ จึงเผลอไปเพิ่มหัวข้อข่าว มันเลยเกิดอาการให้เห็นว่า พอไปทำ ยิ่งทำ ยิ่งเจ็บหน้าอก นี้แสดงว่าเขามาเตือนแล้ว พอเห็นแล้วเราควรต้องหยุด แต่เรายังดื้อทำต่อ ก็ได้เห็นว่าถ้าดื้อต่อไป จะไม่ดี จะเป็นการเพิ่มวิบากร้ายให้กับตนเอง แล้วจะเจ็บป่วยได้มาก หยุดดีกว่า เลิกเลย แต่ยังขอทำให้เสร็จอีก ขอเพิ่ม 1 ข่าว ก็ยังเห็นตัวอยากให้เอาดีนี้เอง เมื่อเกิดอาการแบบนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีเลยว่า เขาไม่ให้ทำในสิ่งที่เรากำลังอยากทำอยู่เลย คือ ไม่ให้เราเพิ่มหัวข้อข่าวอีกแล้ว ที่ทำแล้วมันพอเพียงแล้ว มันดีอยู่แล้ว เราไม่ควรโลภไปเพิ่มหัวข้อข่าวอีก

    นี้มันดื้อ จริงๆ ได้รู้อีกแล้วว่าทำผิดอีกแล้ว พุ่งไปทำที่เหตุการณ์แทนเลย แทนที่จะนั่งพิจารณาให้ได้ก่อน ว่าจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ก่อน แล้วจึงประมาณการกระทำให้พอเหมาะ ไม่ได้พิจารณา ประโยชน์โทษ ให้ชัดเจน จึงทำให้ขาดข้อมูลการประชุมไปได้นี้ไง เพราะถ้าเราจบไม่ไปเพิ่มข่าว ก็จะได้นั่งฟังประชุมต่อ แต่เราก็มองว่าการประชุมช่วงนั้น เนื้อหายังไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา จึงคิดว่าลุกไปทำเรื่องอื่นก่อนก็ได้

  39. นางสาวแก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม (อาต่อน)

    สอบอริยสัจ
    ชื่อ นางสาวแก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม
    เรื่อง สอบอริยสัจวัดใจ
    การบ้านสัปดาห์ที่ – สังกัดภาค เหนือ สังกัด สป.๘ฮอมบุญอโศก ณ ภูผาฟ้าน้ำ

    ทุกข์มีความกลัว และ ความกังวลใจเล็กๆ กับความเข้าใจผิด แทรกด้วยโลกธรรม(อาย)
    ในการสอบวิชาอริยสัจ ๔ ประจำภาคเรียน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถกดดูคะแนนได้ แต่ต้องกดส่งข้อสอบก่อน ดังนั้นจึงกดคะแนนหลังส่งข้อสอบ ขาดอีก ๓ คะแนนจะได้คะแนนเต็มจึงเข้าไปทำข้อสอบอีกสองครั้งแก้ไขข้อที่ผิดจนได้คะแนนเต็ม รู้สึกยินดีที่แก้ไขให้ถูกต้องได้ทั้งหมดโดยลืมไปว่าเรากดส่งข้อสอบไป ๓ ครั้งซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติเสมือนส่อแววทุจริตต่อการสอบ จึงเกิดความกังวลเล็กๆว่าคุรุจะเข้าใจผิดหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่า คุรุน่าจะฉลาดที่จะเลือกการส่งคะแนนในครั้งแรกสุด พอวันรุ่งขึ้นเฉลยข้อสอบ คุรุประจำวิชาได้พูดถึงเรื่องนี้ว่ามีผู้ส่งข้อสอบถึง ๓ ครั้งและแก้จนได้คะแนนเต็ม คุรุไม่ได้สรุปว่าเป็นการทุจริต แต่ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจแต่วันนั้นไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเนื่องจากไม่ได้อยู่ในที่ประชุม่แต่ได้ยินจากเสียงตามสาย วันต่อมาจึงมีโอกาสได้ชี้แจงต่อที่ประชุมอปริหานิยธรรมถึงเรื่องนี้ และชี้แจงทางไลน์ต่อคุรุประจำวิชา
    แค่คิดถึงการทุจริตก็รู้สึกละอายอย่างยิ่งถ้าหากเราจงะทำทุจริตจริง เพราะในชีวิตทางโลกที่ผ่านมาไม่เคยกระทำการทุจริตการสอบใดๆแม้เล็กแม้น้อย แต่นี่เราอยู่ในทางธรรมแล้ว ก็ให้รู้สึกมีความกลัวกังวลเล็กๆที่แคร์ต่อความเข้าใจผิดของผู้อื่น จนทำให้รู้สึกอายและละอายใจ ซึ่งน่าจะเป็น “ทุกข์อริยสัจ” ประการหนึ่ง

    สมุทัยยึดดี และมีโลกธรรม
    นิโรธใครจะเข้าใจถูกก็ได้ เข้าใจผิดก็ได้ วางโลกธรรม วางใจ
    มรรค
    ๑.ตรวจดมโนสัญเจตนาของตนเองในเหตุการณ์วันสอบมีเพียงว่า อยากทราบคะแนนของการสอบของตนเท่านั้น เมื่อเห็นว่าผิด ๓ ข้อ จึงตรวจสอบในข้อที่ผิดและทำใหม่ลองดู เมื่อทำแล้วต้องกดส่งอีก ๒ ครั้งเพื่อดูคะแนนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะพยายามเปลี่ยนผลคะแนนที่ได้นครั้งแรก มีความมั่นใจว่า คุรุประจำวิชาน่าจะเข้าใจและเลือกผลคะแนนจริงที่ส่งไปในครั้งแรก
    ๒.มั่นใจในเจตนาที่บริสุทธิ์ของตนเอง ไม่ผิดศีล

  40. นปภา รัตนวงศา

    เรื่อง เพ่งโทษผู้เข้าร่วมรายการ

    เหตุการณ์ เนื่องจากการจัดรายการ “สายด่วนสุขภาพวิถีธรรม วิถีไทย” มีผู้เข้าร่วมอบรมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ได้ถามในรายการบ่อยๆ ได้มายกมือช่วงที่จะหมดเวลาแล้ว จึงไปเพ่งโทษท่าน ทำให้มีอาการปวดซีกขวา ตั้งแต่ข้อเท้า สะโพก และไหล่ขวามาก ปวดจนเดินเกือบไม่ได้

    ทุกข์ ทำผิดศีล ไปเพ่งโทษผู้เข้าร่วมรายการ ทำให้เกิดปวดซีกขวา เดินเกือบไม่ได้

    สมุทัย ชอบถ้าปฎิบัติถูกศีล ร่างกายปกติไม่เจ็บไม่ปวด ชังถ้าปฎิบัติผิดศีล ร่างกายเจ็บปวด เดินเกือบไม่ได้

    นิโรธ จะปฎิบัติถูกศีล ผิดศีลก็ไม่ทุกข์ ทำผิดศีลแล้วก็ตั้งจิตตั้งศีลใหม่ ส่วนร่างกายจะเจ็บจะไม่เจ็บก็ไม่ทุกข์ใจให้ได้

    มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสความยึดมั่นถือมั่นว่า การตั้งศีลเป็นเรื่องที่ดี เมื่อตั้งแล้วก็พยายามพากเพียรที่จะทำให้ได้ เมื่อทำไม่ได้ก็จะทุกข์ใจ ซึ่งผิดทางแล้ว เหมือนจะจริงแต่ก็ไม่จริง ศีลตั้งมาแล้วไม่ใช่ผิดศีลไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มีพลาดมีพร่องได้ เมื่อผิดก็ให้รู้ว่าผิดก็เริ่มตั้งศีลใหม่ ตั้งใหม่ด้วยใจไม่ทุกข์ เมื่อตั้งศีลเรื่อง การไม่เพ่งโทษแล้วไปเพ่งโทษท่าน ทำให้ได้รับวิบาก11ประการ ก็ยอมรับในวิบากกรรมที่เกิดขึ้นคือ เจ็บปวดด้านขวามาก ปวดจนเดินเกือบไม่ได้ก็ยอมรับความจริง เจ็บก็ให้มันเจ็บ ปวดก็ให้มันปวด รับเต็มๆหมดเต็มๆ รับแล้วก็หมดไปก็จะโชคดีขึ้น
    มาพิจารณาผู้ร่วมรายการที่ท่าน พากเพียรถามก็มาชื่นชมท่านที่ฝ่าความกลัว ความเกรงใจมาถามหมู่มิตรดีที่มีผู้ร่วมรายการร่วม 200กว่าคนได้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ยังต้องฝ่าเรื่องโรคที่ต้องต่อสู้อยู่อีกหลายโรค เมื่อทุกข์หาทางออกไม่เจอ ถูกแล้วที่ท่านต้องถาม ทั้งที่ใกล้หมดเวลาแล้วก็ยังจำเป็นต้องถาม หันกลับมาดูที่ตัวเอง ยังไม่กล้าถามเช่นท่านเลย แล้วยังมาเพ่งโทษท่านอีก ก็สมควรแล้วที่มาตาลีเทพสารถีมาเตือน มาเร็วมาแรงเพราะถ้าเตือนเบาๆคงจะไม่สำนึก
    ใช้บททบทวนธรรมข้อ 8 สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา
    ข้อ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่า เรายังไม่เข้าใจตนเอง

    สรุป หลังจากพิจารณาแล้ว คิดถูกแล้วที่ให้โอกาสท่านได้ถาม เพราะเห็นความทุกข์ที่วนเวียนของท่านมากมาย ซึ่งเหมือนกับเราในอดีต ท่านเป็นนอมินีของเรา นั่นมันตัวเราที่เป็นแบบนี้ ทำให้เข้าใจท่านมากขึ้น ในเมื่อให้โอกาสท่านที่เดือดร้อนได้ ก็ต้องให้โอกาศทันทีด้วยใจที่สะอาด บริสุทธิ์จริงๆ เห็นชัดในวิบากร้ายที่เพ่งโทษผู้เข้าร่วมรายการในหมู่มิตรดี ก็ขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมที่ไปเพ่งโทษท่าน ในหมู่มิตรดีเมื่อแก้ที่ใจแล้วมาแก้ที่ร่างกาย อาการปวดก็ลดลงมาเป็นลำดับๆ..สาธุ

  41. นปภา รัตนวงศา

    เรื่อง วิบากกรรมมีจริง

    เหตุการณ์ ขณะจัดรายการ “สายด่วนสุขภาพ วิถีธรรม วิถีไทย” ใกล้จะหมดเวลา มีผู้เข้าอบรมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ยกมือที่จะถาม ตัวเองคิดจะตัดรอบ เพราะท่านถามบ่อยแล้ว และได้ไปเพ่งโทษท่านอีก จึงมีอาการปวดแขน ขา ซีกขวา ปวดมากที่ข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อมือ เดินเกือบไม่ได้

    ทุกข์ ปวดข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อมือซีกขวามาก เดินเกือบไม่ได้

    สมุทัย ชอบที่ร่างกายไม่เจ็บ ไม่ปวด ชังที่ร่างกายเจ็บปวด

    นิโรธ ร่างกายจะไม่เจ็บ ไม่ปวดหรือจะเจ็บปวดประมาณไหนก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์

    มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาส ความยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายเราจะสุขสบายดีตลอดเวลา ไม่เจ็บไม่ปวด ซึ่งเหมือนจะจริงแต่ก็ไม่จริง เป็นไปไม่ได้เพราะเราทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ กุศลาทำมา อกุศลาทำมา ชีวิตเราเดี่ยวก็ดีเดี่ยวก็ร้าย ๆ ยิ่งเราไปเพ็งโทษผู้เข้าอบรมอีกถึงแม้จะนิดเดียว แว็บเดียว ซึ่งท่านอาจเป็นพระอริยะแล้ว จึงต้องรับวิบากที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เต็มใจรับด้วยความเต็มใจ ขอบคุณมาตาลีเทพสารถีที่มาเตือนเร็วและแรงมากๆ ปวดจนขยับตัวไม่ได้ เดินเกือบไม่ได้ ตรวจดูเรื่องนอน เรื่องอาหาร และเรื่องอื่นๆแล้วน่าจะไม่ใช่สาเหตุ เกิดจากการเพ่งโทษผู้เข้ารับการอบรมแน่ๆ จึงเอาเรื่องเข้าหมู่มิตรดีช่วยสังเคราะห์ถึงสาเหตุของการเจ็บครั้งนี้ และขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อหมู่มิตรดี อาการปวดก็ทุเลาลงเป็นลำดับๆ เมื่อได้แก้ที่ใจไปแล้วก็มาแก้ทางวัตถุต่อโดยการแช่ตัวด้วยน้ำอุ่นโดยใช้น้ำสมุนไพรที่ถูกกัน อาการก็ยิ่งดีขึ้น

    สรุป หลังพิจารณาแล้ว ยิ่งเชื่อชัดในวิบาก 11ประการ วิบากกรรมมีจริง และเมื่อใช้ญาณ7พระโสดาบัน แล้ว อาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทุกข์และกลัวมากที่เกิดอาการปวด เหมือนตอนที่เริ่มเป็นรูมาตอยด์จะเจ็บทุกอณูของร่างกาย แต่ครั้งนี้ยังโชคดีที่ปวดด้านเดียว เขาเมตตามากแล้ว ทำให้ต้องมีสติ คิดดี พูดดี ทำดี ให้ได้ตลอดเวลาจริงๆ..สาธุ

    1. นปภา รัตนวงศา

      เรื่อง วิบากกรรมมีจริง

      เหตุการณ์ ขณะจัดรายการ “สายด่วนสุขภาพ วิถีธรรม วิถีไทย” ใกล้จะหมดเวลา มีผู้เข้าอบรมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ ยกมือที่จะถาม ตัวเองคิดจะตัดรอบ เพราะท่านถามบ่อยแล้ว และได้ไปเพ่งโทษท่านอีก จึงมีอาการปวดแขน ขา ซีกขวา ปวดมากที่ข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อมือ เดินเกือบไม่ได้

      ทุกข์ ใจไม่โปร่ง ไม่โล่ง ปวดข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อมือซีกขวามาก เดินเกือบไม่ได้

      สมุทัย ชอบที่ใจโปร่ง ใจโล่ง ร่างกายไม่เจ็บ ไม่ปวด ชังที่ใจไม่โปร่ง ไม่โล่ง ร่างกายเจ็บปวด

      นิโรธ ร่างกายจะไม่เจ็บ ไม่ปวดหรือจะเจ็บปวดประมาณไหนก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์

      มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาส ความยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายเราจะสุขสบายดีตลอดเวลา ไม่เจ็บไม่ปวด ซึ่งเหมือนจะจริงแต่ก็ไม่จริง เป็นไปไม่ได้เพราะเราทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ กุศลาทำมา อกุศลาทำมา ชีวิตเราเดี่ยวก็ดีเดี่ยวก็ร้าย ๆ ยิ่งเราไปเพ็งโทษผู้เข้าอบรมอีกถึงแม้จะนิดเดียว แว็บเดียว ซึ่งท่านอาจเป็นพระอริยะแล้ว จึงต้องรับวิบากที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เต็มใจรับด้วยความเต็มใจ ขอบคุณมาตาลีเทพสารถีที่มาเตือนเร็วและแรงมากๆ ปวดจนขยับตัวไม่ได้ เดินเกือบไม่ได้ ตรวจดูเรื่องนอน เรื่องอาหาร และเรื่องอื่นๆแล้วน่าจะไม่ใช่สาเหตุ เกิดจากการเพ่งโทษผู้เข้ารับการอบรมแน่ๆ จึงเอาเรื่องเข้าหมู่มิตรดีช่วยสังเคราะห์ถึงสาเหตุของการเจ็บครั้งนี้ และขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อหมู่มิตรดี ท่านอาจารย์เน้นย้ำเสมอว่า แต่ละคนเมื่อวิบากเข้าจะคิดไม่ออก หาทางออกไม่ได้ต้องให้โอกาสเขา ทุกคนก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกันเพราะต่างไปเพ่งโทษพระอาริยะมาทั้งนั้น ซึ่งตัวเองก็เป็นบ่อยแต่ตามกิเลสไม่ทันเมื่อได้สำนึกผิด ยินดีรับในอาการปวดด้วยความเต็มใจ อาการปวดก็ทุเลาลงเป็นลำดับๆ เมื่อได้แก้ที่ใจไปแล้วก็มาแก้ทางวัตถุต่อโดยการแช่ตัวด้วยน้ำอุ่นโดยใช้น้ำสมุนไพรที่ถูกกัน อาการก็ยิ่งดีขึ้น

      สรุป หลังพิจารณาแล้ว ยิ่งเชื่อชัดในวิบาก 11ประการ วิบากกรรมมีจริง และเมื่อใช้ญาณ7พระโสดาบัน แล้ว อาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทุกข์และกลัวมากที่เกิดอาการปวด เหมือนตอนที่เริ่มเป็นรูมาตอยด์จะเจ็บทุกอณูของร่างกาย แต่ครั้งนี้ยังโชคดีที่ปวดด้านเดียว เขาเมตตามากแล้ว ทำให้ต้องมีสติ คิดดี พูดดี ทำดี ให้ได้ตลอดเวลาจริงๆ..สาธุ

  42. นฤมล ยังแช่ม

    ลดความอยาก

    เนื่องจากเป็นคนกินอาหารเกินอยู่เป็นประจำ บางวันก็ทำได้ดี บางวันก็ทำไม่ได้ จึงมาอ่านใจของตัวเองว่าเพราะอะไรทำไมถึงชอบกินเกิน แล้วก็ได้เห็นว่ากิเลสชอบกินแบบสะใจ เมื่อชอบอะไรก็จะกินเยอะ ๆ เช่น กล้วยต้ม ข้าวเหนียว ถั่วชนิดต่าง ๆ ตอนก่อนกินก็จะบอกกับตัวเองว่าวันนี้จะกินไม่เกิน แต่เมื่อลงสนามรบกับกิเลสจริงๆ ก็แพ้กิเลสเกือบทุกครั้ง กินจนเกิดอาการง่วง แต่ก็พยายามสู้ใหม่ทุกวัน จนบางครั้งก็รู้สึกท้อเหมือนกัน แต่ก็นึกถึงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเราที่ผ่านมา เราก็เคยทำตามใจตัวเองมาตลอด เราก็ทุกข์ ป่วยทั้งทางใจทางกายแล้วเราจะกลับไปเป็นแบบนั้นอีกหรือ

    ทุกข์ คือ มีอาการไม่เบิกบานใจที่จะต้องกินอาหารที่เราชอบในปริมาณที่ลดลง

    สมุทัย คือ มีความอยากที่จะกินอาหารในปริมาณที่มาก

    นิโรธ คือ จะได้กินอาหารที่ชอบในปริมาณมากก็สุขใจ จะได้กินอาหารที่ชอบในปริมาณที่ลดลงก็สุขใจได้

    มรรค คือ เมื่อพิจารณาแล้วว่าการที่เรามีความอยากในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเราก็ยึดที่จะให้ได้ตามที่อยากนั้น มันเป็นสภาพทุกข์ใจ ไม่แช่มชื่นใจ ไม่สุขใจ อย่างเห็นได้ชัด ทุกข์ทางใจเกิดขึ้น ก็ส่งผลให้กายด้วย กินมากก็อึดอัด หนักตัว ง่วงนอน มีแต่ทุกข์ ที่เราปรุงขึ้นมาเองว่าชอบ เมื่อไม่ได้ตามที่ชอบก็สร้างทุกข์ใหตัวเองอีก เป็นจริงเหมือนคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวว่า “ชอบ ก็จะกินมาก เมื่อกินมากก็เกิน เกินก็ทำให้ป่วย” ป่วยทางใจที่ไม่สมดุลไม่พอดี ก็ส่งผลทางกาย ทำให้ป่วยเพราะกินเกิน อย่างเช่นถ้ากินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเกิน เช่น กล้วยปิ้ง ข้าวเหนียว ก็มีเลือดออกตามไรฟันเวลาที่เราแปรงฟัน น้ำปัสสาวะรสขม เพราะหัวใจต้องทำงานหนัก ทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลเกิดได้เพราะเราผิดศีล คือกินเกิน เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นโทษ เราก็ควรจะต้องละเสีย ถึงแม้จะละได้ทีละน้อย ก็ค่อย ๆ ทำ ไม่หมดชาตินี้ก็ชาติหน้า หรือชาติอื่น ๆ สืบไป ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว

  43. ชวนชม คำท้วม

    ส่งการบ้าน
    นางชวนชม คำท้วม
    ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
    จิตอาสา ส่วนป่านาบุญ2
    ชื่อเรื่อง รู้สึกรังเกียจตัวเอง
    เหตุการณ์ โดยส่วนใหญ่เลย เราเป็นคนขี้โมโห ขี้หงุดหงิด รำคาญคนรอบข้างได้ง่ายๆ จนพ่อบ้านบอกว่าเราเป็นวัยทองแล้ว เมื่อวานได้ไปทำธุระกับพ่อบ้านเขาพูดอะไรมา เราหงุดหงิด เหตุเพราะเขาไม่ทำตามที่เราพูด จนเป็นเหตุให้รำคาญกัน เถียงกัน เบื่อสภาพที่เถียงกัน
    ทุกข์ ไม่ชอบใจตัวเองที่เป็นคนน่ารำคาญ
    สมุทัย ชอบที่ตัวเองเป็นคนน่ารัก ชังที่ตัวเองเป็นคนน่ารำคาญ
    นิโรธ เราจะเป็นคนน่ารักหรือคนน่ารำคาญ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค เหตุที่ทำให้ทุกข์ เพราะตัวหนูไม่สามารถควบคุมวาจา ผิดศีลเรื่องวาจามากๆๆ พูดจาไม่เพราะ ไม่เสนะหู จนพ่อบ้านว่าเราพูดหยาบ ก็มาคิดถึงว่าเราชอบ ให้คนพูดเพราะ ไม่ชอบถ้าใครพูดคำหยาบ ก็พยายามคิดถึงธรรมะแบบนี้ และอยากได้สิ่งใด ก็ต้องทำสิ่งนั้น ไม่อยากได้สิ่งใดก็อย่าทำสิ่งนั้น และบททบทวนธรรม ปัญหาทั้งหมดในโลก เกิดจากคนโง่กว่ากิเลส และหนูก็จะลดกิเลสลดการเอาแต่ใจตัวเอง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็ลดความทุกข์ใจลงไปได้ ใจไร้ทุกข์ค่ะ สาธุค่ะ

  44. สุวรรณ กังวานนวกุล

    เรื่องที่ 17
    ชื่อเรื่อง ล้างความชัง
    เรื่องย่อ เข้าซูมรายการสายด่วนแพทย์วิถีธรรมค้ำจุนโลก ฟังชาวค่ายและจิตอาสาถามตอบปัญหา เกิดอาการชัง ที่จิตอาสาบางท่านตอบปัญหาไม่ได้ดั่งใจ
    ทุกข์อริยสัจ___ความชังในจิต
    สมุทัย_______อยากให้ตอบให้ตรงกับปัญหาของชาวค่าย
    __อยากให้พูดให้กระชับไม่เยิ่นเย้อ
    __อยากให้ตอบไม่ซ้ำกับคนก่อน
    นิโรธ________เบิกบาน แจ่มใสได้ทุกสถานการณ์
    มรรค________มีปัญญาเห็นอาการชังในจิต สำรวจหาความอยากที่ทำให้เกิดความชัง แล้วหยุดความอยากเสีย ทำความยินดีที่เห็นกิเลส ละกิเลสได้ ขอบคุณผู้ที่เราชัง ที่เขาทำให้เราเห็นกิเลส และอนุโมทนากับท่าน ที่ได้บำเพ็ญช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถแล้ว ถ้าเราตอบเองก็ตอบไม่ได้ดีเท่าท่าน เพราะเรายังไม่กล้าที่จะตอบเลย ขอโทษขออโหสิกรรมที่ได้เพ่งโทษผู้อื่น ขอตั้งจิตไม่ทำสิ่งชั่วและตั้งจิตแก้ไขตนเองต่อไปไป

    เรื่องที่ 18
    ชื่อเรื่อง ทำดีที่ทำได้ไม่วิวาท
    เรื่องย่อ ในช่วงใกล้วันตรุษจีน ในกรุงเทพฯมีการระบาดของ covid 19 มาก มีความเป็นห่วง แม่ ซึ่งเป็นคนที่เคร่งครัดกับพิธีไหว้วันตรุษจีน ต้องออกไปซื้อของเตรียมไหว้ จึงได้โทรไปหาท่าน แล้วบอกเหตุผลเรื่อง covid-19 พยายามโน้มน้าวให้ท่านไม่ต้องไหว้ในปีนี้ ท่านบอกว่า ไม่ได้ เราก็เสนอต่อไปว่า ไม่ต้องซื้อเป็ดซื้อไก่ ได้ไหม ให้ไหว้แต่ขนมผลไม้และอาหารเจ ท่านเสียงดังขึ้นบอกว่า ไม่ได้ เราก็รีบบอกว่าอยากไหว้อะไรก็ตามใจ แต่ให้ลูกๆออกไปซื้อของให้ไม่ต้องไปซื้อเองได้ไหม ท่านก็ไม่ไว้ใจคนอื่นเพราะท่านทำเองทุกปี สรุปว่าสิ่งที่เราขอร้องท่าน ไม่ได้สักเรื่อง ก็บอกต่อไปว่าให้สวมแมส เว้นระยะห่าง กลับมาบ้านให้อาบน้ำ อย่าประมาทนะ ลูกๆเป็นห่วง
    ทุกข์อริยสัจ__กังวลที่แม่ต้องออกไปซื้อของไหว้วันตรุษจีน
    สมุทัย______อยากให้ท่านไม่ต้องออกไปเสี่ยงในช่วงโควิดระบาด
    นิโรธ_______เบิกบานได้ในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ความกังวลในจิต มีปัญญาเห็นความอยาก อยากให้แม่ไม่ออกไปซื้อของ เมื่อพยายามพูดแนะนำท่านแล้ว ท่านไม่รับ เราก็ต้องยอมรับในผลนั้น เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร มันก็ดีที่สุดแล้วตามวิบากดีร้ายของแต่ละคน ยินดีที่ได้ทำดีโดยไม่วิวาท เราละกิเลสที่เรา ก็เท่ากับเราได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

    เรื่องที่ 19
    ชื่อเรื่อง มีหน้าที่เปิดเผยความจริง
    เรื่องย่อ น้องสาวอยู่ที่กรุงเทพฯติดโควิด 19 น้องปกปิดไม่ยอมบอกว่าติดโควิด แต่ว่าเราได้ข้อมูลจากน้องสาวอีกคน ด้วยความเป็นห่วงว่า เขาจะดูแลตัวเองไม่เป็น เขาอาจจะไปโรงพยาบาล แล้วไปเจอการรักษาแผนปัจจุบัน จึงได้โทรไปหาเขาแล้วสอบถามอาการ และแนะนำการดูแลตัวเองแบบพึ่งตนเอง และส่งน้ำสกัดพลังศีลไปให้ ใช้เวลาโทรหลายครั้ง ในการตรวจสอบว่าเขาทำตามหรือเปล่า ต่อมาพบว่าน้ำสกัดพลังศีลที่ส่งไปให้ ถูกตีกลับ เพราะมีปัญหาที่บริษัทขนส่ง ประมวลดูแล้วเราต้องวางใจให้เป็นไปตามวิบากของแต่ละคน เราทำหน้าที่เปิดเผยความจริง เราทำดีที่สุดแล้ว ยินดีพอใจให้ได้
    ทุกข์อริยสัจ__เป็นห่วงน้อง วิตกกังวล
    สมุทัย______อยากให้น้องสาวรู้วิธีการรักษาตัวเองแบบพึ่งตนเอง ไม่อยากให้น้องสาวไปโรงพยาบาล
    นิโรธ_______ยินดีพอใจในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ ความวิตกกังวลของตนเอง ละความวิตกกังวลของตนเองให้ได้ก่อน แล้วให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่น้องในประเด็นต่างๆที่เป็นประโยชน์และพึ่งตนเองได้ เช่น
    1.ให้ละเนื้อนมไข่เพราะมีวิบากร้าย
    2. ให้ละความโกรธ ความกังวล ความกลัว ความหงุดหงิด ตามกำลัง
    3. ไม่ใช้น้ำพุทธโอสถ ล้างจมูก อมในปากแล้วกลืน ดื่มน้ำพุทธโอสถทุกวัน (น้องมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส )
    4. ให้ดีท็อกทุกวัน
    5. อย่าไปโรงพยาบาล เพราะเราจะไม่สามารถใช้วิธีตามพวธ.ได้
    ทำความยินดีพอใจที่เราทำหน้าที่เปิดเผยความจริงแล้ว ละกิเลสที่เรา เราช่วยเขาด้วยการละกิเลสที่ตัวเรา

    เรื่องที่ 20
    ชื่อเรื่อง ทําดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ
    เรื่องย่อ น้องสาวคนเล็กเป็นคนยึดมั่นถือมั่นมาก เวลาจะแนะนำอะไร เขาจะไม่ยอมรับง่ายๆ วันหนึ่งในช่วง covid ระบาดมาก เริ่มมีการบูมให้ฉีดวัคซีน มีโอกาสได้พูดคุยกัน จึงทราบว่า เขาไม่ไปฉีดวัคซีน เพราะเขาเป็นคนแพ้ง่าย ญาติๆก็บอกว่าไม่ควรไปฉีด เราก็เห็นด้วย แต่เราแนะนำให้เขา ละการกินเนื้อนมไข่ในช่วงนี้ ( เคยแนะนำหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ทำ) เขาก็อ้างเหตุผลเดิมๆของเขาอีก เราต้องตั้งจิตเลยว่า เราจะแสดงเหตุผลด้วยความเมตตา ไม่หวังผล ไม่บีบคั้น เขาจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ เราได้อธิบายถึงวิบากกรรม ระหว่างนั้น เกิดความรู้ขึ้นมาในจิต และได้บอกเขาไปว่า ที่เธอเป็นโรคภูมิแพ้มานานนั้น เพราะเนื้อนมไข่นั่นแหละ มันมากเกินไปแล้ว ร่างกายก็ขับออกมา ทางปัสสาวะและทางผิวหนัง เป็นสัญญาณว่า อาจจะเป็นโรคไตได้ ปรากฏว่า น้องเขารับข้อมูลนี้ได้ และบอกว่าจะลองละเนื้อนมไข่ดู
    ทุกข์อริยสัจ__กังวลเป็นห่วงน้องสาว
    สมุทัย______อยากให้เขาไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
    นิโรธ_______เบิกบานแจ่มใสได้ในทุกสถานการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นทุกข์เห็นความกังวลในจิตตนเอง มีปัญญาละความอยาก (อยากให้เขาไม่ยึดมั่นถือมั่น) ตั้งสติสร้างความเมตตาในตนแล้วค่อยแนะนำผู้อื่น โดยไม่หวังผล ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยตามวิบากดีร้ายของแต่ละคน เริ่มต้นที่เรา นับหนึ่งที่เรา ทําดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ

  45. สุวรรณา ทิพวรรณ (ร้อยเรือนธรรม)

    เรื่องอ้วน
    พี่น้องจิตอาสาทักว่าอ้วนรู้สึกอายรับประทานอาหาร 3 มื้อเพราะมียาทานหลังอาหารน้ำหนักขึ้น 7 กิโลกรัมภายใน 3 เดือน
    ทุกข์ กังวลใจเกี่ยวกับความอ้วน
    สมุทัย พี่น้องจิตอาสาไม่ทักว่าอ้วนจะสุขใจ ทักว่าอ้วนจะทุกข์ใจ
    นิโรธ พี่น้องจิตอาสาจะทักว่าอ้วนหรือไม่อ้วนก็สุขใจ
    มรรค พิจารณาเชื่อฃองกรรมว่าเราเคยทำมา เคยไปทักพี่น้องว่าอ้วนเหมือนกัน และพิจารณาประโยชน์ โทษของความอ้วนเลยลดมื้ออาหารลง และออกกำลังกายไม่ทุกข์ใจที่ถูกทักว่าอ้วน

  46. นายรวม เกตุกลม

    เรื่อง ไม่เอาวัคซีน
    เหตุการณ์ : ตั้งใจไม่ฉีดวัคซีน เพราะต้องการให้ผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้ที่ต้องการฉีดได้ฉีดก่อน แต่จำเป็นต้องฉีด เพราะถ้าไม่ฉีดคนอื่นก็ไม่มีโอกาสได้ฉีด เนื่องจากเราเป็นผู้อยู่ในเกณฑ์ ที่เขาบังคับให้ผู้มีความเสี่ยงสูงและผู้สูงวัยต้องฉีดก่อน คนที่มีอายุน้อยจึงจะมีโอกาสได้ฉีด

    ทุกข์ : กังวลใจไม่อยากฉีดวัคซีน

    สมุทัย : ชอบใจถ้าไม่ต้องฉีดวัคซีน ชังที่ต้องฉีดวัคซีน

    นิโรธ : จะได้ฉีดวัคซีนหรือไม่ ก็ยินดีเต็มใจ

    มรรค : เราไม่อยากฉีด เพราะเรามีเหตุผลส่วนตัว แต่เมื่อถึงเวลาผ่านไปมีองค์ประกอบใหม่ เราก็เต็มใจรับพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน ที่จะไปฉีดวัคซีนตามองค์ประกอบใหม่ในปัจจุบัน ยินดีเต็มใจรับวิบากที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หาข้อดีของการไปฉีดวัคซีนให้ได้ เราจะได้เรียนรู้ก่อนฉีดวัคซีนและหลังฉีดวัคซีนใจเป็นอย่างไร เราได้ใช้วิบาก เราได้แสดงความกล้าหาญเสียสละเป็นตัวอย่างกับคนที่ยังกลัวการฉีดวัคซีน เพื่อจะได้เป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นฉีดตาม เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเราควบคุมไม่ได้ เราก็ยินดีเต็มใจรับ ตามบททบทวนธรรมข้อที่ 89 “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้” เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้วอาการกังวลใจก็หายไป ใจก็กลับมาเบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม

  47. นธกานต์ สุวรรณ

    นธกานต์ สุวรรณ
    ชื่อทางธรรม แผ้วใจพุทธ
    เตรียมจิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ2ชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
    เรื่อง ไม่อยากให้ร้าว
    มีอยู่วันนี้หนึ่งได้ทำไอโฟนตกแล้วแตก และไอโฟนร้าวไปครึ่งจอ คิดจะเอาไปซ่อมพอถามค่าซ่อมที่ศูนย์บอกว่าค่าซ่อมหน้าจอโทรศัพท์ 5พันบาท เราบอกกับตัวเองว่าแพงมาก เอาเงินไว้ใช้ในสิ่งทีจำเป็นดีกว่า แต่กิเลสตัวมารอยากได้ดีบอกว่า โทรศัพท์ดูไม่ดีนะถ้าไม่ซ่อมหน้าจอ และกิเลสตัวดีบอกว่าจะดูดีหรือไม่ดูดีแต่ก็ยังใช้ได้อยู่จะเข้าไปทุกข์กับมันทำไม เอาเงินไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นดีกว่า
    ทุกข์ ขุ่นใจที่หน้าจอโทรศัพท์แตกร้าว
    สมุทัย ชังที่หน้าจอโทรศัพท์แตก ชอบถ้าหน้าจอโทรศัพท์ไม่แตก
    นิโรธ จะได้ซ่อมหรือไม่ได้ซ่อมหน้าจอโทรศัพท์ที่แตกร้าว ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข
    มรรค หน้าจอโทรศัพท์จะแตกหรือไม่แตก แต่โทรศัพท์ยังใช้ได้อยู่จะไปทุกข์ไปสุขทำไม ทำความผาสุขที่ใจดีกว่า ถ้าใจยอมรับว่ายังใช้ประโยชน์ได้ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็เอาประโยชน์ที่ยังใช้ได้อยู่ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทำความผาสุขที่ใจดีกว่า จึงเอาบททบทวนธรรมมาใช้ ข้อ.75 ถ้าเราดับทุกข์ใจได้ ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่ดับไม่ได้

  48. สุวรรณ กังวานนวกุล

    เรื่องที่ 21
    ชื่อเรื่อง อยากได้เกินที่เป็นจริง
    เรื่องย่อ หน้าฝน วัชพืชเจริญงอกงามมาก จนบังหรือพันพืชที่ปลูกไว้ เห็นแล้วก็รู้สึกท้อแท้ ไม่มีเวลากำจัดวัชพืช มีเวลาก็ทำได้ไม่มาก เพราะวัชพืชมีมาก
    ทุกข์อริยสัจ___ท้อแท้ใจ
    สมุทัย_______อยากไม่ให้มีวัชพืช หรือมีน้อยๆ
    นิโรธ________ยินดีพอใจไร้กังวลทุกสถานการณ์
    มรรค________มีปัญญาเห็นความท้อแท้ ความทุกข์ในจิต พิจารณาเห็นเหตุแห่งทุกข์ คือความอยากไม่ให้มีวัชพืช หรือมีน้อยสามารถกำจัดได้ไม่ยาก จึงทำความยินดีบอกตนเองว่า ดีใจจังมีปุ๋ยมากมาย ไม่ต้องไปขนมาไกล ปุ๋ยยิ่งมาก ดินยิ่งดี พืชยิ่งงาม เราจะค่อยๆเกี่ยววัชพืชมาเป็นปุ๋ย ทำไปตามกำลัง ด้วยความยินดี อย่าทำงานด้วยความทุกข์ ความใจร้อน อย่าอยากได้เกินที่เป็นจริง ทำได้เท่าไหร่พอใจเท่านั้น

    เรื่องที่ 22
    ชื่อเรื่อง ต้นไม้ตายก็ยินดีได้
    เรื่องย่อ ฝนตกมากติดต่อกันหลายวัน ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ตายไป เพราะรากเน่า รู้สึกหดหู่ เดินไปเจอต้นที่ตายอีก ก็เศร้าอีก เมื่อเห็นความทุกข์ใจ ก็รีบหยุด และทำความยินดีออกจากทุกข์ หาประโยชน์ให้ได้ในทุกเหตุการณ์
    ทุกข์อริยสัจ__ความหดหู่ความเศร้าใจ
    สมุทัย______อยากให้ต้นไม้ไม่ตาย
    นิโรธ_______ยินดีในทุกเหตุการณ์
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความทุกข์ ความหดหู่ ความเศร้าในจิต พิจารณาเห็นความอยาก อยากให้ต้นไม้ไม่ตาย ทำความยินดีและความอยาก สอนตนเองว่า ต้นไม้ตายก็ดีแล้ว ทำให้เราได้เรียนรู้ว่ามันไม่ชอบน้ำแฉะ ต่อไปเราจะปลูกในที่สูง มีน้ำพอสมควร ไม่ให้มีน้ำมากเกินไป ดีแล้วที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เราเห็นกิเลสของเราเอง เห็นความโง่ของตนเอง ต้นไม้ตายมันไม่ทุกข์เลย แต่เราทุกข์ เราโง่กว่าต้นไม้ เพราะเรากว่ากิลส

    เรื่องที่ 23
    ชื่อเรื่อง ไม่ชอบทานผักกาดนา
    เรื่องย่อ ช่วงล็อกดาวที่ยาวนาน ที่ภูผาฟ้าน้ำ ทำให้ต้องเก็บผักกาดนามาทำอาหารบ่อยครั้ง เราไม่ชอบรสซ่าซ่าของผักกาดนา เมื่อเห็นเมนูผักกาดนาก็รู้สึกไม่เบิกบานใจ วันหนึ่งคิดที่จะล้างความชังผักกาดนา จึงตั้งใจว่าจะหัดทาน ต้องกล้าที่จะทานของที่ไม่ชอบ ที่เป็นประโยชน์
    ทุกข์อริยสัจ__ไม่เบิกบานใจเวลาทานผักกาดนา
    สมุทัย______ไม่ชอบรสชาติของผักกาดนา อยากที่จะไม่ได้รสแบบนี้
    นิโรธ_______อุเบกขาได้ในทุกผัสสะ
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความไม่เบิกบานใจ เห็นความชังในรสชาติของผักกาดนา พิจารณาเห็นว่า นี่คือความคิดของกิเลส กิเลสหลอกให้เราชัง รสของมันก็เป็นไปตามจริงแบบนั้น ไม่มีอะไรจะต้องชัง ผักกาดนาเป็นสิ่งที่ฟ้าให้มา เรามันขึ้นเอง มีอยู่มากมายทั่วภูผาฟ้าน้ำ มีฤทธิ์เย็นและร้อนเล็กน้อย อยู่ใกล้ตัวเรา จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารของเรา เป็นผักวรรณะ 9 จึงตั้งจิตที่จะละกิเลส คือต้องกล้าที่จะทานของที่ไม่ชอบแต่มีประโยชน์ ด้วยความยินดี ถ้าเราทำได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลี้ยงง่าย เจริญในธรรม

    เรื่องที่ 24
    ชื่อเรื่อง กล้าละสิ่งที่เป็นโทษ
    เรื่องย่อ ช่วงที่มีผลไม้ส่งขึ้นมาที่ภูผาฟ้าน้ำมาก เช่นมะม่วง มีมะม่วงมากเป็นคันรถ เราทานมะม่วงได้เป็นหลายๆรูปโดยไม่เบื่อ ไม่กลัวว่าจะร้อนเกิน วันหนึ่งได้ยินอาจารย์พูดว่า ผลไม้รสหวาน ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ไม่ทานก็ได้ และได้ข้อมูลจากพี่น้องท่านอื่นๆ ถึงโทษของผลไม้รสหวาน จึงตั้งใจจะไม่ทานมะม่วง ต้องกล้าที่จะไม่ทานของที่ชอบ ที่มันเป็นโทษ
    ทุกข์อริยสัจ__ทุกข์เพราะจะไม่ได้เสพสิ่งที่ชอบ
    สมุทัย______อยากได้เสพดั่งใจหมาย
    นิโรธ_______อุเบกขาได้แม้ได้เสพหรือไม่ได้เสพ
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความสุขที่ได้เสพ ว่ามันเป็นสุขลวง มันเป็นทุกข์จริง มันเป็นความหวั่นไหวในจิต พิจารณาเห็นความทุกข์เวลาที่ไม่ได้เสพ เห็นความดิ้นรนที่อยากจะเสพ พิจารณาเห็นโทษของการเสพ โทษจากการทำตามกิเลส มันทำให้กิเลสโต แล้วมันก็จะมีกำลังมาก มันก็จะบีบบังคับเราได้ และพิจารณาโทษจากวัตถุ น้ำตาลที่มากเกินเป็นโทษต่อร่างกาย ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อม จึงตั้งจิต ต้องกล้าที่จะไม่เสพ กล้าที่จะไม่ทำตามกิเลส จะเสพให้โง่ทำไม โง่มานานแล้ว เสพไปไม่เห็นจะได้อะไร มันแค่สุขชั่วคราว แต่ทุกข์ยาวนาน เห็นทีไรก็อยากเสพทุกครั้ง ก็ทุกข์ที่จะต้องหามาเสพทุกครั้ง ถ้าไม่ได้เสพก็ทุกข์ทุกครั้ง เป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะหายโง่ ต้องฉลาด ต้องกล้าที่จะออกจากสิ่งที่เป็นโทษ ยินดีที่จะไม่ทำตามกิเลส ยินดีที่ละกิเลสได้ เราสุขได้แม้เราไม่ได้เสพ

    เรื่องที่ 25
    ชื่อเรื่อง กล้าละสิ่งที่เป็นโทษอีกมากมาย
    เรื่องย่อ มีผลไม้จำนวนมากส่งขึ้นมาที่ภูผาฟ้าน้ำเป็นระยะๆดังนี้ มังคุด เงาะ ลองกอง ล้วนแล้วแต่เป็นของชอบทั้งสิ้น ถ้าอยู่ที่บ้าน ก็จะทานวันละเป็นกิโลเลย ตอนนี้ก็เลยเป็นโอกาส ที่จะล้างความชอบ ละความอยากเสพ โดยทำความกล้าที่จะละสิ่งที่เป็นโทษ ละสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต
    ทุกข์อริยสัจ__สุขที่ได้เสพสิ่งที่ชอบ
    สมุทัย______อยากเสกดั่งใจหมาย
    นิโรธ_______ได้เสพหรือไม่ได้เสพก็สุขใจได้
    มรรค_______มีปัญญาเห็นความสุขที่ได้เสพ ว่ามันเป็นสุขลวง มันเป็นทุกข์จริง พิจารณาเห็นความทุกข์เวลาที่ไม่ได้เสพ เห็นความดิ้นรนของจิตที่อยากจะเสพ พิจารณาเห็นโทษของการเสพ โทษจากการทำตามกิเลส ทำให้กิเลสโต ทำให้กิเลสมีกำลังมาก กิเลสจะบงการเราให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะให้ได้เสพ เราจะเป็นทาสของกิเลส พิจารณาเห็นโทษของวัตถุ ความหวานหรือน้ำตาลที่มากเกิน เห็นโทษต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคมากมาย อย่าทำตัวเป็นคนอาภัพ คือเสพแต่ของที่เป็นโทษ ไม่รีบออกจากบ่วงของความทุกข์ กล้าที่จะไม่ทำตามกิเลส ยินดีที่จะไม่ทำตามกิเลส เราสุขใจได้ไม่ต้องง้อกิเลส

  49. น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)

    เรื่อง ไม่รู้ โทรศัพท์เป็นอะไร

    เหตุการณ์ หลังจากที่ซ่อมโทรศัพท์แล้วกลับมาใช้ได้ประมาณ 3 พอวันที่ 3 โทรศัพท์เหมือนจะเสียอีกมันขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ปิดเครื่องไม่ได้ ด้วยความชื่อเราอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่เข้าใจก็เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร
    เราก็กังวลคิดว่าโทรศัพท์จะเสียอีก

    ทุกข์ ทุกข์ใจเพราะไม่รู้ว่าโทรศัพท์เป็นอะไร

    สมุทัย ทุกข์ใจที่ไม่รู้ว่าโทรศัพท์เป็นอะไรเลยไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง ถ้ารู้ว่าโทรศัพท์เป็นอะไรเราก็จะสุขใจเพราะจะได้รู้ว่าจะแก้ไขยังไง

    นิโรธ จะรู้หรือไม่รู้ว่าโทรศัพท์เป็นอะไรจะแก้ไขได้หรือแก้ไขไม่ได้เราก็ต้องฝึกใจให้ได้

    มรรค ตั้งสีมาปฏิบัติให้เกิดปัญญามาพิจารณาไตรลักษณ์ ถูกใจที่สุดจากความยึดมั่นถือมั่นความกลัวความกังวล พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยงที่เรายังไปหลงยึด อยู่ ล้างความกลัวความกังวลวางใจให้ได้ ที่เหลืออะไรจะเกิดขึ้นจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้โทรศัพท์ก็อยู่ที่กุศลอกุศล จะให้เราได้ใช้เท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ต้องทุกข์หรือกังวลใจอะไรยินดีพอใจให้ได้

    สรุป หลังจากที่ทำใจวางใจได้ไม่กังวลใจแล้วเราก็ตั้งจิตตั้งศีลเพิ่ม แล้วก็ลองไปเปิดโทรศัพท์ดูอีกครั้งโทรศัพท์ก็เปิดใช้ได้ปกติ

  50. น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี

    เรื่อง หลุด
    เนื่อง จากน้องสาวนำที่ดินส่วนแบ่งมรดก ให้เพื่อนกู้เงินแทน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้กลายเป็นขายฝาก ทำให้ที่ดินต้องหลุดเปลี่ยนมือเป็นของคนอื่น ตัวเองเลยต้องมีพื้นที่ติดกับคนอื่นโดยปริยาย
    ทุกข์ : รู้สึกเศร้าใจ
    สมุทัย : ยึดว่าที่ดิน
    น้องสาวจะรักษาไว้ได้
    ชอบถ้าที่ดินน้องสาวไม่หลุดเป็นของคนอื่น
    ชังที่ ที่ดิน
    ของน้องสาวหลุดกลายเป็นของคนอื่น
    นิโรธ : ที่ดินของน้องสาวจะเปลี่ยนมือหรือจะหลุดเป็นของคนอื่น ก็จะไม่ชอบ ไม่ชัง
    มรรค : ได้ปรับใจก็ต้องรับสภาพตามองค์ประกอบ ที่ทำมา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง เราจะเศร้าใจมันมีแต่ทำให้ทุกข์ ทุกข์มากขึ้นจะเป็นแรงเหนี่ยวนำ ทำให้น้องสาวทุกข์ตามไปเปล่าๆ เลยเปลี่ยนวิธีคิดที่ดินนี้มันไม่ได้หลุดหายไปไหนหรอก แค่เปลี่ยนเจ้าของ เพื่อไปทำประโยชน์ให้โลกคนไทย ทุกคนก็พี่น้องเราเหมือนกันได้ใช้บททบทวนธรรม”ข้อที่ 90 วัตถุไม่เที่ยงมีแต่ใจไร้ทุกข์เท่านั้นที่เที่ยง
    ได้พิจารณาแล้วก็ทำให้หายเศร้าใจ เราก็ได้ผูกมิตรกลับผู้อื่นที่เป็นเจ้าของที่ดินแทนน้องสาวได้ โดยไม่เศร้าใจ ใจกลับมาเบิกบาน

  51. สำรวม แก้วแกมจันทร์

    26/09/64
    ชื่อ นางสำรวม แก้วแกมจันทร์
    ชื่อเล่น “ป้ารวม”
    ชื่อทางธรรม “ร้อยแสงศีล”
    จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2

    เรื่อง “ไม่หิว ไม่ซื้อ ไม่กิน”
    เหตุการณ์ : เห็นแม่ค้ากำลังทำขนมทอดกล้วย เห็นน้ำมันที่ใช้ทอดก็เป็นน้ำมันใหม่ๆ สีสันน่ากิน เป็นขนมที่ชอบ อยากกินทันที แต่ไม่ได้หิว

    ทุกข์ : ใจที่ชอบกินขนมทอดกล้วย อยากกิน ต้องการกิน กายตึงๆ แกร็งๆ หนักเนื้อหนักตัว แรงตก

    สมุทัย : ถ้าได้กินขนมทอดกล้วยที่ชอบ จะพอใจ สุขใจ แต่ไม่ได้กินขนมที่ชอบ ใจที่มันอยากกินมีอาการดิ้นๆ ต่อสู้กันระหว่างควรกิน–ไม่ควรกิน ตัดสินใจไม่ได้ ลังเล ร่างกายตึงๆ แกร็งๆ หนักเนื้อหนักตัว แรงตก ทุกข์ใจ

    นิโรธ : กินหรือไม่กิน ก็ยินดี พอใจ เบากาย สบายใจ เบิกบาน ผาสุก ไร้ทุกข์ ไม่ชอบ ไม่อยาก ได้พลังสุดๆ

    มรรค : เมื่อได้เจอผัสสะ เห็นขนมกล้วยทอดชอบ อยากกิน เกิดความทุกข์ใจ-ทุกข์กาย ใจที่ชอบ -อยากกิน กายตึงๆ แกร็งๆ เสียพลัง แรงตก ระหว่างตัดสินใจว่า จะซื้อ-ไม่ซื้อ เดินไป-เดินมาๆ สักครู่ ไม่กี่นาที ได้ตั้งศีลสู้กับกิเลสมารตัวชอบ-ตัวอยาก พอตั้งสติได้ เกิดสมาธิพุทธ เริ่มนิ่ง ใจสงบ จิตเกิดญาณปัญญา พิจารณา ใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าสาเหตุแห่งทุกข์คือ ตัวชอบ-ตัวอยาก แรงตก ทำให้เสียพลัง “ชอบ-อยากคือ กิเลส” ทุกข์ที่เกิดจากผัสสะที่เห็นขนมที่ชอบ แล้วอยากกิน พิจารณาได้ว่านั้น มันเป็นความต้องการของกิเลสเต็มๆ ร่างกายไม่หิว ร่างกายไม่ต้องการ กิเลสไม่ยอม มันจะกิน มันรีบปรุงทันที ปรุงไปเรื่อย ฉลาดที่จะนำเหตุผลมาอ้าง
    กิเลส : -“น้ำมันที่ใช้ทอดเป็นน้ำมันใหม่ๆ เลยนะ”
    -“สีสันน่ากิน” “ชอบกินๆ” ซื้อดีกว่า “ซื้อเถอะๆ” “ซื้อเลยๆ” “ชอบๆ อยากกินๆ”
    พุทธะ : -ร่างกายไม่หิวไม่ต้องการ ถ้าจะกินก็กินได้ กินเอาประโยชน์ กินเป็นอาหาร กินเป็นยา กินฆ่ากิเลส กินในมื้อ ไม่กินระหว่างมื้อ กินเพื่อสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายมีความสมดุล
    -“ไม่หิว ไม่ซื้อ ไม่กิน”
    กิเลส : -ถ้างั้นไม่ซื้อก็ได้ ไม่กินก็ได้ ยอมก็ยอมๆ

    สรุปว่า ตัวชอบ-ตัวอยาก เป็นกิเลสมารร้าย เมื่อตั้งศีลสู้ ตั้งมั่นในพุทธะ “ไม่หิว ไม่ซื้อ ไม่กิน” กิเลสมันยอมได้แต่โดยดี ตัวชอบ-ตัวอยากหายไปเลย ไม่ชอบ-ไม่อยาก ได้พลังสุดๆ ได้พลังเต็มกลับคืนมา ใจจางคลาย เบา สบาย เนื้อตัวเบาโล่ง มีแต่ความยินดี พอใจ เบิกบาน ผาสุก ไม่ทุกข์แล้ว

  52. สุมา ไชยช่วย

    เรื่อง ต้องเป็นเราหรือนี่

    เหตุการณ์ เวลามีมดหรือปลวกขึ้นมา พ่อบ้านจะเป็นคนจัดการ พ่อบ้านทำทุกครั้งก็จะมีอาการหายใจไม่ค่อยออก คัดจมูก น้ำมูกใหลทุกครั้ง แต่มาครั้งนี้มีปลวกขึ้นตรงเสาบ้านอีกพ่อบ้านบอกท่านไม่ทำแล้วน่ะ ใครจะทำก็ทำ
    เพราะท่านทำทีไร กรรมตามทันตาเห็น ท่านจึงยืนยันไม่ทำแน่นอน ถ้างั้นก็ต้องเป็นเราอย่างแน่นอน เอาไงดี

    ทุกข์ ไม่อยากทำ เพราะกลัววิบาก

    สมุทัย ชอบถ้าไม่ต้องเป็นคนกำจัดปลวก ชังต้องเป็นคนทำ

    นิโรธ เราต้องกำจัดปลวกเองหรือไม่ ก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค พิจารณาที่ต้องเป็นคน กำจัดปลวกมันไม่อยากทำ มันเลยทุกข์ พ่อบ้านหมดวิบาก แต่เราต้องมารับเองเราต้องยินดีรับเพราะว่าถ้าปล่อยไว้ ปลวกจะอยู่แทนคนแน่ๆ เพราะเห็นประโยชน์ในการไม่มีปลวก ปลวกเป็นสัตว์ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่คนสามารุถบรรลุธรรมได้ ก็เลยบอกปลวกว่าเราให้เวลาเธอย้ายออกไปครึ่งวัน ถ้าเธอไม่ออกไป เราจะฉีดยาน่ะ เราก็ได้ฉีดยาจริงๆ แล้ววิบากอะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับ
    บททบทวนธรรม119
    ปัญหา คือ
    เครื่องมือฝึกใจที่ดีที่สุดในโลก
    สรุป วางใจได้

  53. สุมา ไชยช่วย

    เรื่อง ขนมเทียนจ๋าลาก่อน

    เหตุการ์ณ ชอบกินขนมเทียนไส้เค็มใส่พริกไทยเยอะๆซื้อกินไม่อร่อย เลยทำกินเอง

    ทุกข์ แสบท้องเมื่อกินขนมเทียน

    สมุทัย ชอบถ้ากินขนมเทียนแล้วไม่แสบท้อง ชังกินแล้วแสบท้อง

    นิโรธ กินขนมเทียนแล้วจะแสบท้องหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค พิจารณาการไม่มีสติ ทำให้หลงทำตามกิเลส จึงทุกข์ อยากกิน ทำให้เรา มีความลำบากในการทำ เสียเวลาแทนที่จะเอาเวลาไป ทำประโยชน์อย่างอื่นได้ ตอนกินก็สุขแปปหนึ่ง สักพักแสบท้อง มากๆเลย แล้วแถมมีผลพ่วงในวันรุ่งขึ้นทำให้ หิวข้าวเร็วขึ้นอีกด้วย การหลงเชื่อกิเลสทำให้ทุกข์ ทั้งกายทั้งใจ จึงตั้งศีลสู้นับแต่บัดนี้จะไม่กินขนมเทียนอีก และจะพยายามมีสติเท่าทันกิเลส ขอบคุณที่มีอาการแสบท้อง

    บททบทวนธรรม125
    อย่าปล่อยเวลาชีวิตให้สูญเปล่า
    ด้วยการไม่ลดกิเลส
    สรุป วางใจได้

  54. สำรวม แก้วแกมจันทร์

    26/09/64
    ชื่อ นางสำรวม แก้วแกมจันทร์
    ชื่อเล่น “ป้ารวม”
    ชื่อทางธรรม “ร้อยแสงศีล”
    จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2

    เรื่อง “แหนแดงตาย กิเลสตาย”

    เหตุการณ์ : เพื่อนส่งแหนแดงมาให้ ตั้งใจจะเลี้ยงไว้ทำปุ๋ย แหนแดงถุงใหญ่กว่าจะเดินทางมาถึง มีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว มันตายหมดแล้วจริงๆ รู้สึกเสียดายและเห็นใจเพื่อนที่ใช้ความพยายามส่งมาให้ วางใจได้ว่า “วัตถุไม่เที่ยง” แต่ใจไร้ทุกข์เท่านั้นที่เที่ยง “แหนแดงตาย กิเลสก็ตาย”

    ทุกข์ : เสียดายที่แหนแดงตาย
    สมุทัย : ถ้าแหนแดงไม่ตาย จะพอใจ สุขใจ แต่แหนแดงตายหมด เสียดาย ไม่พอใจ ทุกข์ใจ
    นิโรธ : เอาประโยชน์ให้ได้ทุกสถานการณ์ให้ได้ ดีแล้วแหนแดงตาย กิเลสตัวเสียดาย ได้ตายไปด้วย
    มรรค : ตอนแรกยังโง่ อยู่หลายชั่วโมง เพราะไม่ทันกิเลส เสียดาย ไม่พอใจ ที่แหนแดงตาย ทั้งเห็นใจเพื่อนที่พยายามส่งแหนแดงมาให้ เมื่อได้พิจารณาถึงวิปลาส 4 เห็นความไม่เที่ยง ว่าเที่ยง จึงได้นำบททบทวนธรรมที่ 90 มาใช้ทันที ว่า “วัตถุไม่เที่ยง มีแต่ใจไร้ทุกข์เท่านั้นที่เที่ยง” ดีแล้วที่แหนแดงตาย เอาประโยชน์ให้ได้ทุกสถานการณ์ ก็ได้เอาแหนแดงที่ตายไปทำปุ๋ยเลย กิเลสตัวเสียดายได้ตายไปด้วยแล้ว ขอบคุณแหนแดง

    สรุปว่า “วัตถุไม่เที่ยง” มีแต่ใจไร้ทุกข์เท่านั้นที่เที่ยง เอาประโยชน์ให้ได้ทุกสถานการณ์ “แหนแดงตาย กิเลสตาย”

  55. ณ้ฐพร คงประเสริฐ

    หมอดูคู่หมอเดาจริงหรือ

    ช่วงปีนี้ได้มีโอกาสเป็นนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตร ๑ ปี ของวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร รุ่นที่ ๒ ที่พี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมพากันมาเรียนรู้ มีวิชชาดี ๆ มากมายที่เราเรียนกัน วิชาหนึ่งในนั้น คือวิชา สุขภาพองค์รวม ที่ทำให้ได้ล้างทุกข์ใจ ที่มีมายาวนานโดยไม่รู้ตัว

    เรื่องมีอยู่ว่าอาจารย์ท่านได้สอนถึงภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนที่ท่านใช้ในการดำรงชีวิตให้อยู่รอด ปลอดภัย ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัวญาติมิตรและผู้อื่น ให้คลายจากความทุกข์ในชีวิตทั้งกายและใจ หนึ่งในนั้นคือ ศาสตร์หมอดูรักษาโรคใจ

    ที่แม่ของข้าพเจ้ามักใช้เพื่อเป็นทางออกจากทุกข์ของครอบครัว ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมารู้จักศาสตร์แพทย์วิถีธรรม ก็จะมีความรู้สึกค้านแย้งอยู่ในใจมาโดยตลอด เมื่อมารู้จักแพทย์วิถีธรรม ก็เข้าใจท่านมากขึ้นตามลำดับ เมื่อมาเรียนกับอาจารย์วิชาสุขภาพองค์รวม ความทุกข์ที่เหลืออยู่ก็พลันหายไป

    ทุกข์ : มีอาการไม่แช่มชื่นในใจเมื่อได้ยินข่าวจากพี่น้องเรื่องแม่ให้ไปดูหมอโกเนี้ยวเพื่อสะเดาะเคราะห์ให้เวลาท่านเจ็บป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล หรือเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในครอบครัว

    สมุทัย : เพราะความยึดมั่นถือมั่นของเราว่า ทุก ๆ ผลของการกระทำที่เกิดขึ้นกับเรา ล้วนเกิดจากการกระทำของตนทั้งนั้น จึงเกิดความชัง ไม่ชอบที่จะให้ท่านต้องไปเสียเวลาในเรื่องนี้ น่าจะเอาเวลามาฟังธรรม หรือทบทวนธรรมดีกว่า

    นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชัง ที่ท่านจะมีความเชื่อที่ท่านสบายใจเมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้วไปดูหมอทุกครั้งเราก็ผาสุกใจได้

    มรรค : พิจารณาถึงคุณค่าของจิตวิญญาณของแม่ที่ท่านมีความยินดี มีความรัก ความปรารถนาดี ต่อบุคคลที่ท่านพบเจอแล้วประสบกับความทุกข์ใจ ท่านจะปลอบโยนด้วยคำพูดที่นุ่มนวล ทำให้ผู้นั้นคลายความทุกขใจได้ตลอดเป็นภาพที่ข้าพเจ้าจดจำได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ

    แม้บ่อยครั้งที่ท่านจนปัญญาในการแก้ไขปัญหาบางปัญหา ท่านมักจะใช้การดูหมอดูเป็นทางออก ท่านไม่ได้ไปดูหมอดูสะเปะสะปะ ท่านก็เลือกหมอดูที่ทำให้ท่านสบายใจขึ้นนี่เอง ท่านเน้นที่ใจ ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แม่ไขรหัสลับสุดขอบฟ้าออกต่างหาก

    เมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้เพื่อเอาประโยชน์ได้ว่า แท้จริงทุกศาสตร์ที่เราควรเรียนรู้และนำมาใช้ก็เพื่อให้ใจเราผาสุกให้ได้ในทุกสถานการณ์นี่เอง ข้าพเจ้ารู้สึกคลายทุกข์ในใจที่มีมานานไปได้อย่างสิ้นเชิง ความผาสุก อิ่มเอิบ เบิกบาน เกิดขึ้นทันที

    ข้าพเจ้าได้ระลึกในใจ รู้สึกสำนึกผิด ยอมรับผิด กล่าวขอโทษแม่ที่ข้าพเจ้าโง่เขลาได้พลาดทำมา ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และกราบขอบพระคุณในความเมตตา ความปรารถนาดี ความรัก ความเอาใจใส่ การให้ที่บริสุทธิ์ของท่านอย่างสุดซึ้ง

    สรุปคือ ใจก็เบาสบาย โปร่งโล่งขึ้นทันที

  56. ลำพัง. ก๋งจิ๋ว

    ชื่อเรื่อง .คอยอยู่ตั้งนาน

    เนื้อเรื่อง .ไม่รู้วันใดจะมีข้าวหุงเกือบจะไหม้มีสีเหลืองน้ำตาล. นานมากไม่ค่อยได้กิน มีอยู่วันหนึ่งพ่อครัวหุงข้าวเกือบจะไหม้กลิ่นหอมมากสีเหลืองค้ำๆชอบใจมากที่จะได้กินข้าวตัง หอม นุ่ม

    ทุกข์ .กว่าวันนั้นจะมาถึง

    สมุทัย .มีอยู่วันหนึ่ง ที่ครัวกลิ่นอะไรหนอ หอมเหมือนข้าวกำลังจะไหม้รีบเดินมาดูโอ .มีพี่ น้องท่านหนึ่งกำลังคนข้าวอยู่ ข้าวหุงมีสีเหลืองค้ำนิดๆน่ากินจังเลย ชอบที่จะได้กินข้าวตัง

    นิโรธ .จะได้กินข้าวตังหรือไม่ได้กินเราก็ไม่กังวลใจ ไม่ทุกข์ใจไม่เหลียวหน้าแลหลัง

    มรรค .ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติอดทนรอคอยให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้

  57. มั่นศีลขวัญ. นางสนทยา กันทะมูล

    เรื่อง ต้ดญาติ ต่อมิตร
    เหตุการณ์
    จากที่ได้เขียนการบ้าน ฉันเป็นคนแข็งแรงที่สุด ได้เขียนเหตุแห่งทุกข์ว่า กลัวที่จะเป็นหนี้บุญคุณเขา กลัวที่จะต้องไปตอบแทนบุญคุณเขา ได้ รับคำชี้แนะ จากคุรุและพี่น้อง ในรายการสอบหน้าชั้นอริยสัจ 4 และได้กลับมา ทบทวนเหตุแห่งทุกข์นี้ จึงได้พบว่า ความยึดมั่นถือมั่นที่เราจะไปบำเพ็ญเป็นจิตอาสาแบบอนาคาริก จึงพยายามตัดความสัมพันธ์กับทางครอบครัวให้ขาดให้ห่างจากกัน ให้มากที่สุดเพราะหลงคิดไปว่า ถ้าเรายังต้องสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันก็จะไม่มีทางออกไปบำเพ็ญ อยู่ร่วมกับพี่น้อง จิตอาสา ได้ ทำให้เราได้คิด ทำ พูด หลายอย่าง เพื่อให้ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว แต่ยิ่งทำกลับยิ่งต้องมาอยู่ใกล้ กลายเป็นยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก จากที่เคยได้ไปบำเพ็ญที่ภูผาบ้าง ต้องมาอยู่ที่บ้าน แบบไม่สามารถไปไหนได้เลย แล้วยังต้องให้เขามาดูแล ตอน เจ็บป่วยอีก
    @ทุกข์ : เข้าใจผิดว่ากำลังทำ ญาติติปริวัตตัง
    @ สมุทัย : ชอบที่จะทำสิ่งที่จะพาออกจากครอบครัว ไปร่วมบำเพ็ญกับพี่น้องจิตอาสา
    ชังที่จะทำสิ่งที่จะสร้างแรงเหนี่ยวรั้งให้อยู่กับครอบครัว
    @นิโรจ : เราจะอยู่กับครอบครัวหรือสามารถออกไปอยู่กับหมู่กลุ่มจิตอาสา เราก็ร่วมบำเพ็ญกับพี่น้องจิตอาสาและอาจารย์ได้
    @มรรค : ได้ทบทวนการกระทำของตัวเองหลังจากได้นำเสนอการบ้านไปแล้วจึงได้พบว่า ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราไม่ได้ทำญาติปริวัดดัง แต่เรากำลังทำการ ตัดญาติ ขาดมิตร เป็นการโต่งไปอีกทาง ที่จะออกจากชอบ ตอนนี้รู้แล้วว่า ชอบก็ไม่ได้ ชังก็ไม่ได้ สิ่งที่ควรทำคือ ตัดญาติ ต่อมิตร แม้เราจะไม่ได้เป็นสามีภรรยา เป็นพ่อแม่ลูก พี่สาวน้องสาว กันแล้ว เราก็สามารถเป็นพี่น้องเป็นมิตรกันได้ ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเรา เขาสามารถจะให้ความช่วยเหลือเราได้ ตามวิบากดีร้าย ผู้ที่ยังต้องการให้เราช่วยเหลือ เราก็สามารถจะให้ความช่วยเหลือเขาได้ตามวิบากดีร้ายของเราและของเขา ส่วนเขาจะรับหรือไม่ขอให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายเช่นกัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเราต้องช่วยเขา เขาต้องช่วยเรา หรือเราจะไม่รับความช่วยเหลือจากเขา หรือเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากเรา ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะ การยึดมั่นถือมั่นทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นจะทำให้ใจเป็นสุข เราทั้งผองพี่น้องกัน เป็นประโยคของอาจารย์หมอเขียว ที่มักจะเขียนลงท้ายในหนังสือ ซึ่งเป็นประโยคแรกๆที่เราอ่านเจอแล้ว จะมีความสะดุดใจ แบบกระตุกกระตุก ทุกครั้งที่อ่านเจอ
    จะขอพากเพียร ลดความยึดมั่นถือมั่น ตามรุ่นพี่ และอาจารย์ อย่างเต็มที่ ที่ทำได้ค่ะ
    สาธุ

    ได้แปะลิ้งค์. บทความเรื่อง ญาติปริวัตตัง ของพี่ดินแสงธรรม มาข้างล่างนี้ด้วย

    https://vijjaram.ac.th/cut-off-relationship-with-desire-in-cousin/

  58. อา ชัยวิทย์ (แม่นแก่นพุทธ)

    เรื่อง ผัสสะเป็นปัจจัย
    ทุกข์ ไม่สบายใจที่หมู่มาพูดทัก
    (ใช้น้ำแล้วเติมน้ำให้เต็มโอ่งด้วย)ซึ่งคบกันมานาน(เคยขอกันกินมากกว่านั้น) ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดปัญญา
    สมุทัย
    -สร้างเงื่อนไขให้คาดหวังผู้อื่น
    -หมู่ไม่ทักจะสุขใจหมู่ทักจะไม่สบายใจ
    -มีความคาดหวังกับหมู่มากเกินไป
    -คาดหวังว่าหมู่จะทำเหมือนเรา
    นิโรธ
    -ไม่คาดหวังว่าหมูจะคิดทำเหมือนเราก็ได้ไม่เหมือนเราก็ได้
    -หมู่ทักก็สุขใจได้หมู่ไม่ทักก็สุขใจได้
    มรรค
    -พิจารณาตรวจศีลของเราที่ยังต้องอยู่
    (สีลัพพตปรามาส)
    -พิจารณาเรื่องกรรมของเราเคยทำมามากกว่านั้นหนักกว่านั้น
    ตั้งศีล ที่เป็นกุศลเป็นแก่นในการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นด้วยไม่รอไม่หวังแต่เราทำของพ่อครู หรือนับหนึ่งที่เราเริ่มต้นที่เราทำความดีที่เรานี่คือเส้นทางพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ของ อาจารย์หมอเขียว
    วางใจ ลงมือปฏิบัติเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นภายในจิตเกิดความศรัทธา ในศีลซึ่งมีฤทธิ์มากในการลดกิเลส(ตามโพธิสัตว์-สัตบุรุษชี้บอกทางสว่าง)ขอบคุณหมู่ผัสสะเป็นปัจจัย กระแทกกิเลสของเราที่ติดมานานมาก ออกมาเห็นความ น่าเกียจของเรา(สักกายทิฏฐิ)จึงรีบแก้ไขด้วยความยินดีเต็มใจ สาธุครับ

Comments are closed.