640808 การบ้าน อริยสัจ 4 (32/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 2-8 สิงหาคม 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปสัปดาห์นี้มีผู้ส่งจำนวน 31 ท่าน 41 เรื่อง
- สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ) (3)
- นางสาวนาลี วิไลสัก (6)
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร)
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- นปภา รัตนวงศา (2)
- พรนภา บุรณศิริ
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
- วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- ชวนชม คำท้วม
- อรุณรัตน์ ไกรลาศศิริ
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
- สำรวย เดชดี (รักศีล)
- เครือแก้ว คุณะวัฒนา
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- รมิตา ซีบังเกิด
- พรพิทย์ สามสี (เพื่อนพิทย์)
- นางสาวิตรี มโนวรณ์ (2)
- อัญชลี พุ่มแย้ม (เย็นแสงธรรม)
- นฤมล ยังแช่ม
- ศิริพร ไตรยสุทธิ์
- น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี
- Ruam Ketklom
- สุมา ไชยช่วย (2)
- ภาคภูมิ ยอดปรีดา (สร้างแก่นศีล)
- น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- ประคอง เก็บนาค
- ศิริพร คำวงษ์ศรี



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 123
เรื่อง
ข้าวเปลือก เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
เนื้อเรื่อง
ช่วงนี้ข้าวกำลังงามหญ้าก็โตสูงกว่าข้าวทำให้ต้องตัดหญ้าแทบทุกวันถ้าตัดหญ้าได้หญ้าก็จะกลายเป็นปุ๋ยแต่แรงก็มีไม่เยอะทำให้อยากตัดหญ้าเสร็จไวๆ
ทุกข์
กังวลใจที่หญ้าขึ้นทับข้าวตาย
สมุทัย
ชอบตัดหญ้าได้เยอะและมีคนช่วยตัด
ชังที่ตัดหญ้าได้น้อย
นิโรธ
จะตัดหญ้าได้เยอะได้น้อยก็ยินดีพอใจไร้กังวลเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว
มรรค
มาพิจารณาว่าเราใด้ยินดีกับการได้เสียสละ ตัดหญ้า ด้วยความยินดีเต็มใจและทำเต็มที่แล้วจะตัดหญ้าได้น้อยก็ยินดีเพราะได้ขออนุญาตหมู่ก่อนทำงาน และไม่ได้เอาแต่ใจ ไม่มีอะไรต้องเสียใจปัญหาและอุปสรรคมีไว้ให้ต่อสู้อย่างเบิกบาน
สรุป
จะตัดหญ้าออกจากข้าวได้น้อยได้มากก็ ไม่ยึดไม่อยากเพราะได้ลงมือทำเต็มที่แล้วก็สุขได้แล้ว
2/8/2564
ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2
** กราบขออนุญาติคู่ผัสสะนะคะ*** กิเลสมันเข้าค่ะ ต้องมาล้างใจค่ะ
เรื่อง : เขาไม่ฟังเรา หรือเราไม่ฟังพุทธะ
(ฉบับปรับปรุง)
เหตุการณ์ : ที่ผ่านมาพี่ท่านนั้น จะโทรมาคุยเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาคุยว่าเด็ก เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ตัวเองก็พยายามอธิบาย ให้เขาเข้าใจเด็กคนนั้น และหาโอกาสจะพูดให้เขาฟังว่า สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เห็น น้องเขาอาจจะเป็นลิงลม อมข้าวพอง มาก็ได้ แต่เขาก็ไม่ให้โอกาสเรา จนกิเลสเราขึ้น ตรงที่เขาพูดเพ่งโทษ แม่ของเด็ก
ทุกข์ : อึดอัด เหนื่อยหัว ที่จะพูด กับคนไม่ยอมฟังเหตุผล
สมุทัย : ชอบที่เขาจะฟังเรา เขาจะได้เข้าใจเด็ก เข้าใจเจตนาแม่ของเด็ก และไม่เพ่งโทษ ชังที่เขาไม่ฟังเขาจึงไม่เข้าใจเด็ก และเจตนาแม่ของเด็ก เขาเพ่งโทษ
นิโรธ : เขาจะฟังเราหรือไม่ฟัง เขาจะเพ่งโทษเด็ก และแม่ของเด็กหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : หันมาตรวดใจดูจึงพบว่าคนที่ทำให้ใจเราบอบช้ำ ในเวลานี้ก็คือมารนั่นเองค่ะ
มาร : ทำไมเขาไม่ฟังเราบ้างล่ะ โทรมาก็เอาแต่ระบายออก ไม่ให้โอกาสเราอธิบายเหตุผลเลย
เรา : แล้วเราจะเอากิเลสไปสอนเขายังงั้นรึ เขาจะฟังเราได้ไง ในเมื่อเราก็ยังดื้อๆไม่ยอมฟังพุทธะอยู่หนิ ก่อนจะไปสอนผู้อื่นต้องสอนให้ตัวเองพ้นทุกข์ ก่อนไม่งั้นจะเอาปัญญาที่ไหนไปสอนเพื่อน
มาร : แล้วปัญหาส่วนตัวของเขาหมดแล้วหรือทำไมต้องหยิบเอาเรื่องของคนอื่นมาพูดเพ่งโทษ แม้แต่เด็ก แถมยังเพ่งโทษไปถึงแม่ของเด็กด้วย
เรา : เฮ้ยมาร ตอนนี้เอ็งกำลังเพ่งโทษถือสาพี่เขาเหมือนกันนะ ที่เอ็งเป็นแบบนี้ ก็มีวิบากร้ายเหมือนกันนะเว้ย หรือว่าเอ็งอยากเป็นเหมือนเขา
มาร : ก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นหรอก แต่สงสารเขาจะได้รับวิบากหนัก เพราะเขาไปเพ่งโทษ ผู้มีศีล เพ่งโทษสัตบุรุษ วิบากจะแรง
เรา : ท่านอาจารย์บอกให้เราเคารพศรัทธา ส่วนดีของเขา และเมตตาส่วนด้อยของเขา คนทุกคนไม่มีใครอยากทุกข์ อยากโง่ อยากพร่อง ถ้าเราอยากช่วยเขา เราต้องเพิ่มศีล ลดกิเลสของเราก่อน จนกว่าจิตเราเป็นพุทธะแล้วเราจะมีปัญญา ช่วยเขา แต่ถ้าเรายังทุกข์ ยังโง่ ยังชั่ว และเพ่งโทษผู้อื่นอยู่ เราก็ต้องสอนตัวเองให้มากๆ ก่อน ไม่ฉะนั้นเราจะไม่มีปัญญาจะช่วยเขา ตรงกับ บทธ ข้อที่ 3 นับ 1 ที่เรา เริ่มต้นที่เรา ทำความดีที่เรา นี่คือ…เส้นทางเพื่อการพึ่งตน และช่วยคนให้พ้นทุกข์
สรุป : พอเราโยนเรื่องนี้เข้าหมู่ ได้ปัญญาจากหมู่มาสอนมารจนรู้เรื่องแล้ว ความอึดอัด ในใจก็คลายลงค่ะ ต้องขอบคุณพี่ท่านนั้นที่ช่วยขัดเกลากิเลสเรามาตลอด สาธุค่ะ
อริยสัจ 4
เรื่อง เพื่อนนั่งหลับในห้องเรียน
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเรามีความขยันและฉันทะในการเรียนเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา วิชาที่ชอบวิชานี้ เนื้อหาสาระก็น่าสนมากจนทำให้คิดไปถึงพี่น้องอีกท่านหนึ่งที่ท่านก็ชอบเรียนวิชานี้เช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า เลยมองหาภาพพี่น้องท่านนั้นในห้องเรียนโปรแกรมซูม
พอเห็นท่านปรากฏว่า ท่านนั่งหลับในห้องเรียน จึงเกิดความรู้สึกสงสารและเห็นใจเพื่อนท่านนั้นขึ้นมาทันที ว่าง่วงก็ง่วงแต่ก็ยังอดทนพากเพียรที่จะร่วมเรียนรู้เพือสานพลังทำความดีกับหมู่มิตรดี ช่างน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง
ทุกข์ : สงสารเพื่อนที่นั่งหลับในห้องเรียน
สมุทัย : ไม่อยากให้เพื่อนนั่งหลับในห้องเรียน ถ้าเพื่อนนั่งหลับในห้องเรียนจะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ
นิโรธ : แม้เพื่อนจะนั่งหลับในห้องเรียนก็จะไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เพื่อนคงเหนื่อย หรือไม่ก็อาจจะเพิ่งกินข้าวอิ่มมา แล้วก็มานั่งเรียน เลยทำให้เกิดอาการง่วงและนั่งหลับ เพราะตัวของข้าพเจ้าก็เคยนั่งหลับเหมือนกัน และบ่อยด้วย แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีพี่น้องทุกข์เหมือนข้าพเจ้าหรือไม่
เห็นเพื่อนนั่งหลับ ข้าพเจ้าก็เลยพยายามที่จะตั้งใจเรียนเพื่อจะได้นำไปถ่ายทอดให้เพื่อน แต่ก็เข้าใจได้ไม่หมดเพราะเนิ้อหาค่อนข้างยาก และต้องใช้เทคนิคและความชำนาญ พอสมควร
ทุกข์ในครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานเมื่อเข้าใจว่าที่ข้าพเจ้าทุกข์เพราะกำลังผิดศีลและมีความยึดมั่นถือมั่น อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ในเวลานั้น พอพิจารณาต่อเรื่อย ๆ จึงพบว่าเพื่อนจะหลับก็เป็นเรื่องของเพื่อนไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า แล้วจะมาทุกข์ใจอยู่ทำไม เลยไม่ทุกข์ใจ นั่งมองเพื่อนหลับ และนั่งเรียนต่อไปจนคุรุสอนเสร็จอย่างเบิกบานใจ ค่ะ
เรื่อง
เขียนการบ้านสั้นๆ
เนื้อเรื่อง
ในแต่ละวันจะมีกิเลสมาให้เห็นหน้าเป็นสิบเป็นร้อยตัว แต่เราก็เขียนการบ้านออกมาไม่สวยงามก็เลยไม่อยากเขียน
ทุกข์ มีความกังวลว่าจะเขียนการบ้านออกมาแล้วไม่รู้เรื่องสับสน
สมุทัย
ชอบที่เขียนการบ้านแล้วออกมาดูดีไม่สับสน
ชังที่เขียนการบ้านออกมาอ่านแล้วไม่เข้าใจอ่านแล้วสับสน
นิโรธ
เขียนการบ้าน ตามภูมิรู้ของตน เองอย่างเบิกบานแจ่มใสไร้กังวล
มรรค
มาพิจารณาว่าการเขียนการบ้านต้องเขียนตามที่เราทำได้จริงไม่ใช่แต่งภาษาให้สวยหรูหรือให้คนอื่นยอมรับและได้เอาเรื่องเขียนการบ้านเข้าหมู่ หมู่จึงแนะนำเขียนการบ้านส่งเพื่อให้เราพ้นทุกข์
สรุป
เขียนการบ้านเท่าที่ภูมิรู้ของเรามีหรือ ปรารถนาดีตามภูมิของแต่ละคนไม่เท่ากัน จึงทำให้คลายความกังวลลง
เรื่อง
เขียนการบ้านสั้นกระชับเข้าใจง่าย
เนื้อเรื่อง
ในแต่ละครั้งที่มีการเขียนการบ้านส่งหมู่มิตรดีก็จะหยิบข้อมาลัยจนมั่วไปหมด เพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจในการบ้านของเรา
ทุกข์
อึดอัดใจที่ต้องไปแต่งภาษาในการเขียนการบ้านแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานจนเหนื่อยใจ
สมุทัย
ชอบที่ต้องเขียนการบ้านเสร็จเร็ว
ชัง ที่เขียนการบ้านต้องใช้เวลานาน
นิโรธ
ไม่ชอบไม่ชังใช้เวลาเขียนการบ้านช้าหรือเร็วก็ได้ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค
มาพิจารณาว่าเราล้างกิเลสไม่ได้ทั้งหมดในการเขียนการบ้านแต่ละครั้งแต่เราก็ยินดีที่ได้ร่วมฝึกเขียนการบ้านกับหมู่มิตรดีก็ต้องใช้เวลาเพราะทำชั่วมาเยอะฝึกมาเยอะ(กิเลสคือทุกข์เท่าแผ่นดิน) ตอนนี้เรามาฝึกลดกิเลสเป็นเรื่องใหม่ก็เลยต้องฝึกเป็นเด็กอนุบาลไปก่อน
สรุป
มีความยินดีพอใจ100เปอร์เซ็นที่ได้ฝึกเขียนการบ้านจะเขียนช้าหรือเร็วก็ได้ด้วยความเข้าใจเรื่องกรรม
2/8/2564
เรื่อง : อยากเขียนการบ้านสั้นๆ
เหตุการณ์ : เวลาเขียนการบ้านอริยสัจ ๔ แต่ละเรื่องออกมาแล้วมันจะยาวเราก็พยายามเขียนให้สั้นลง แต่มันก็ยิ่งยาวขึ้น พอเขียนเสร็จบางเรื่องกิเลสก็ไม่กล้าส่ง
ทุกข์ : รู้สึกอึดอัด เกรงใจ เวลาเขียนการบ้านเสร็จบางเรื่องไม่กล้าส่ง
สมุทัย : ชอบถ้าเขียนการบ้านออกมาสั้นกะทัดรัด คุรุอ่านก็จบเร็ว ชังที่เขียนการบ้านออกมายาว เกรงใจว่าจะไม่มีใครอยากอ่าน
นิโรธ : เขียนการบ้านออกมา จะสั้นหรือยาวจะมีคนอ่านหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : การเขียนการบ้านอริยสัจ ๔ คือ เส้นทางที่จะพาเราพ้นทุกข์ ได้อย่างยั่งยืน ในเมื่อเราก็มีฉันทะ และพากเพียรที่จะเขียนเต็มที่แล้ว ผลออกมาจะยาวหรือสั้น ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่กิเลสมีเงื่อนไขใด ที่ไม่กล้าส่ง ส่วนคุรุจะสะดวกตรวจหรือไม่ จะมีผู้อ่านหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ เราพ้นทุกข์ในเรื่องนั้น แสดงว่าถูกพุทธะส่งได้ ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 83 ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิดความพร่อง ความพลาด ความทุกข์
สรุป พอเราเข้าใจวัตถุประสงค์ของ วิชาอริยสัจ ๔ ที่แท้จริง ก็มีความกล้าหาญขึ้น ส่งการบ้านด้วยใจที่เบาสบายค่ะ
2/8/2564
เรื่อง : ผิดศีลแล้วกลัววิบากร้ายซัด
เหตุการณ์ : ตัวเองได้ตั้งศีลไว้แล้ว ว่าจะเลิกเพ่งโทษผู้อื่น แต่ก็ยังทำไม่ได้ดีเท่าที่ควร พลาดแล้วพลาดอีก กิเลสตัวช้อนก็ออกมา
ทุกข์ : เศร้าใจ กลัวจะได้รับวิบากร้าย เพราะตัวเองผิดศีล
สมุทัย : ยึดว่าได้ตั้งศีลไว้แล้ว ต้องปฏิบัติให้ได้ ชังที่ตัวเองผิดศีลหลายครั้ง
นิโรธ : ในเมื่อเราพลาดไปผิดศีลมา ก็อย่าทำทุกข์ทับถมตน ต้องกล้าหาญ พลาดแล้วต้องรับผิดชอบ ด้วยใจที่ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาดูลีลาความซับซ้อนของมาร ที่พาเราผิดศีล ทำทุกข์ทับถมตน
มาร : เฮ้ย! ทำไมเวลาตั้งศีลข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมาแล้วก็ไปผิดศีลข้อนั้นแหละ ผิดแล้วผิดอีก
เรา : ใช่แล้วตั้งศีลขึ้นมาก็ต้องมีพลาดนั่นแหละถูกต้องแล้ว โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เคยพลาดเคยพร่องมาทั้งนั้นแหละ คนที่ตั้งศีลแล้วพลาดผิดศีลไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ถอย ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จะพากเพียรสู้ต่อไป
มาร : ก็ๆ..พลาดมาหลายๆครั้งแล้ว กลัววิบากร้ายซัดเอา พยายามเท่าไรก็ยังพลาดอยู่ จะทำไงดีหว่า
เรา : ไม่ต้องกลัววิบากร้ายซัดหรอก เพราะว่าความกลัวที่เกิดขึ้นตอนนี้มันทำให้ใจเป็นทุกข์นั้นก็คือ วิบากร้ายแล้ว เป็นการทำทุกข์ทับถมตน กล้าทำกล้ารับเว้ย เพื่อไม่ให้เกิดวิบากร้ายใหม่ ก็ต้องเพิ่มศีลข้ออื่นไปด้วย สู้เต็มที่ ตายก็แค่ตาย พลาดเมื่อไหร่ก็สำนึก แล้วรีบแก้ไข (ใช้ญาณเจ็ดพระโสดาบัน) และใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 82 จงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุขให้ได้
สรุป หลังจากที่ได้รับความเมตตาจากหมู่มิตรดีที่ให้ปัญญามา ก็สอนมาร จนมารเลิกกลัววิบากแล้ว กลับมามีพลังฮึกเหิมในการเพิ่มศีล และสู้กิเลสต่อไปด้วยใจเบิกบาน
31/07/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง: โกรธแม่ค้า
คนที่บ้านไหว้วานให้ผู้เขียนไปซื้อถุงพลาสติกที่ตลาดให้ แต่ผู้เขียนจำขนาดไม่ได้ จึงขอคำแนะนำจากแม่ค้า เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนขุ่นใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่โต้ตอบเขากลับไป
เมื่อกลับถึงบ้านคนที่บ้านก็บอกว่าไม่ใช่ขนาดที่เขาต้องการ(ยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้เปิดออกมา) ผู้เขียนจึงกลับไปขอเปลี่ยน แต่แม่ค้าไม่ยอมให้เปลี่ยน และตอบกลับมาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเช่นเคย แต่คราวนี้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกไม่ยอมขึ้นมา จึงสวนกลับเขาไปด้วยคำพูดที่ปนด้วยอารมณ์โกรธแล้วก็เดินออกมาจากร้าน ตอนนั้นเห็นอาการของร่างกายมีความร้อนขึ้นหัว ใจเต้นแรง มือสั่น รู้สึกตัวว่าถ้าแม่ค้าพูดมากกว่านี้เราก็พร้อมจะมีเรื่อง พร้อมจะสวนกลับแบบไม่คิดที่จะกลัวอะไรเลย คิดในใจว่าเราซื้อของที่ตลาดนี้มานาน แม่ค้าก็รู้จักเราเกือบทั้งตลาด ไม่เคยมีแม่ค้าคนไหนที่ไร้มารยาทแบบนี้เลย
ทุกข์ : โกรธแม่ค้า
สมุทัย : ชอบถ้าแม่ค้าจะพูดจาให้ดีกว่านี้ ชังที่แม่ค้าพูดจาไม่ดีและไม่ให้คืนของ
นิโรธ : แม่ค้าจะพูดกับเราดี ๆ หรือพูดไม่ดีก็ได้ จะให้คืนของหรือไม่ให้คืนของก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค : ผู้เขียนสังเกตุว่าตัวเองไม่ค่อยได้โกรธใครบ่อย แต่เมื่อไหร่ถ้าโกรธขึ้นมาแล้วจะเอาไม่ค่อยลง จึงไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในรถอยู่สักพัก เมื่อความไฟโกรธค่อย ๆ สงบลง จึงเข้าไปพิจารณาว่า ความโกรธคือไฟที่เผาใจเรา เขาพูดไม่ดีกับเราแล้ว เขาอาจไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่เรากลับเก็บเอาสิ่งที่เขาพูดมาเผาทำร้ายใจเราทำไม พิจารณาอาการที่ร้อนรนด้วยไฟโทสะ ตัวร้อน ห้วร้อน ใจสั่น มีทำให้เกิดความทุกข์ใจทุกข์กาย มันไม่ใช่สภาพที่เราต้องการเลย จะโง่ปล่อยให้ไฟลุกไหม้อยู่ในใจเราทำไม และพิจารณาต่อด้วยเรื่องของวิบากร้ายที่เราต้องรับ เพราะเราเคยพลาดทำไม่ดีเช่นนั้นมา เขาคือเรา เราก็เคยเป็นแบบนั้น แทนที่จะโกรธ ก็ให้เปลี่ยนเป็นขอบคุณเขา ที่มาให้เราได้ใช้วิบาก
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 8 “ สิ่งที่เราได้รับ คือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา”
บทสรุป พิจารณาแบบนี้แล้วความโกรธที่มีต่อแม่ค้าคนนั้นก็สลายไป เพราะคิดว่าแล้วจะโง่ให้ไฟโทสะเผาใจเราทำไม อยากมีความสุข ก็ต้องทำเหตุที่จะให้เกิดสุข ไม่ใช่ไปทำตรงกันข้าม ว่าแล้วก็เดินไปซื้อถุงจากอีกร้าน แล้วก็ได้ตามที่ต้องการ ถุงราคาเพียงแพ็คละ 35 บ. คิดในใจว่า “ดูซิ!! เราไม่น่าโง่ เอาความสุขของเราไปแลกกับถุงราคาเพียง 35 บ. นั้นเลย ”
เรื่อง รางวัลของคนคู่
วันนี้ตื่นมาดูโทรศัพท์ แล้วเฟสบุคก็ขึ้นมา ว่าวันนี้วันครบรอบวันแต่งงาน พ่อบ้านตื่นขึ้นก็มาเร่งเร้าว่ามีอะไรเสร็จแล้วกินได้บ้าง ฉันต้องรีบกินรีบไปเดี๋ยวจะไปรับเพื่อนไปเล่นแบตมินตันไม่ทัน วันนี้ฉันไม่เล่นเพราะเหนื่อยเล่นเมื่อคืน เมื่อยไปทั้งตัวเลย วันนี้ไม่ไหว แต่ต้องรีบไปรับเพื่อนเพราะสัญญากับเธอไว้แล้ว เราหันหน้าไปมองหน้าพ่อบ้านทั้งงงทั้งไม่พอใจ ทำไมไม่โทรไปบอกเขาล่ะ ทำไมต้องขับรถไปตั้ง 20 กม. แล้วบ้านเพื่อนก็อยู่ใกล้สนามกีฬาด้วย พ่อบ้านยืนยันจะไปเช่นเดิม เพราะว่ารับปากเพื่อนไว้แล้ว ท่านว่าฉันกำลังทำความดีนะ(เราเห็นเป็นความชั่ว) ทีเราขอให้ทำอะไรไม่เห็นกระตือรือร้นอย่างนี้เลย ทีกับเพื่อนล่ะกุลีกุจอ
ทุกข์ ไม่พอใจที่พ่อบ้านรับเพื่อนไปเล่นแบตมินตัน ถ้าทำความดีอื่นจะไม่ว่าเลย
สมุทัย ไม่อยากให้พ่อบ้านไปรับเพื่อนไปเล่นแบตมินตัน ถ้าพ่อบ้านไม่ไปรับจะสุขใจชอบใจ เราเห็นว่าการละเล่นไม่ดี
นิโรธ พ่อบ้านจะไปรับเพื่อนไปเล่นแบตมินตันหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค พอได้ยินพ่อบ้านว่าฉันกำลังทำความดีนะ เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่เรากำลังทำชั่ว กำลังไม่พอใจเห็นอาการนี้ชัดเจนเลยว่าเรากำลังจะเอา(เรื่อง)จากพ่อบ้าน พอไม่ได้ดังใจเราก็เกิดความไม่พอใจ รู้สึกดีใจได้เห็นกิเลสหันมาหาตัวเองถามกิเลสว่ากำลังทำอะไรอยู่กำลังคิดอะไร นี่เรากำลังสร้างวิบากร้ายนะ เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี โลภมากผิดศีล อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่กุศลของเรา อยากได้มาก ๆ ก็ทำชั่วได้ทุกเรื่อง (มีแอบคิดน้อยใจเขาด้วยว่า ทีเราขอให้ทำอะไรไม่เห็นกระตือรือร้นอย่างนี้เลย ทีกับเพื่อนล่ะกุลีกุจอ)
พ่อบ้านจะรับเพื่อนไปเล่นแบตมินตัน หรือทำอะไรก็เป็นวิบากดีร้ายของพ่อบ้านและเพื่อน ส่วนเรากำลังสร้างทุกข์ความไม่พอใจไม่ชอบใจ เราสร้างให้เราเอง คิดถึงบททบทวนธรรมที่ว่า ไม่มีใครสร้างทุกข์ใจให้เราได้ นอกจากใจของเราเองเท่านั้น ใจที่หลงยึดมั่นถือมั่น เรายึดมั่นถือมั่นว่าพ่อบ้านต้องเชื่อเรา ต้องทำตามเรา เราหรือใครได้รับอะไรก็เพราะเราทำมา ส่งเสริมมา อย่าไปเพ่งโทษถือสากันดีกว่า เราเชื่อกิเลสทำตามกิเลสทำให้ทุกข์ใจ รู้สึกละอายและสำนึกผิด เลยตั้งจิตขอโทษพระพุทธเจ้า อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน และหมู่มิตรดี ที่พาเราฝึกลดกิเลส ฝึกยอม ยินดีรับใช้วิบากด้วยใจไร้ทุกข์ รู้สึกขอบคุณพ่อบ้านสำหรับของขวัญอันล้ำค่า ในวันครบรอบวันแต่งงาน
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เห็นว่าเรายังติดยังยึดอยู่มาก พอมีผัสสะกิเลสยังพาให้หลงได้อยู่ จะพากเพียรลดละเลิกต่อไป สาธุ
เรื่อง ยังไม่ใช่เวลา
เหตุการณ์ เนื่องจากน้องสะใภ้ทำน้ำเต้าหู้ขายอาทิตย์ละ 3วัน จึงสนใจที่จะลองทำปลาเค็มเจ ได้บอกน้องเพื่อขอกากถั่วเหลือง ครั้งแรก ไม่ทันทิ้งไปเสียแล้ว วันนี้ครั้งที่ 2 น้องเอามาวางไว้ให้ที่หน้าบ้านก่อนออกไปขายของ แต่น้องชายเข้าใจว่าให้เขาจึงเอาไปใส่ต้นไม้
ทุกข์ ขุ่นใจน้องชายเอากากถั่วเหลืองไปใส่ต้นไม้
สมุทัย ชอบถ้าน้องชายรู้ว่าเราจะเอากากถั่ว
เหลืองมาใช้ ชังถ้าน้องชายไม่รู้และเอาไปใส่ต้นไม้
นิโรธ น้องชายจะเก็บกากถั่วเหลืองไว้ให้ หรือจะเอาไปทิ้งเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ก็ได้ ใจไม่ทุกข์ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตน ในโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์ ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ในเมื่อความไม่ดี ความเข้าใจผิดหมดไป ก็ดีแล้ว โชคดีอีกแล้วร้ายหมดไปอีกแล้ว
พิจารณาโทษของการมีกิเลส ทำให้มีอาการขุ่นใจ ทำให้ใจเป็นทุกข์ ซึ่งทำลายตัวเอง เผาตัวเอง ทำให้เกิดร่างกายร้อน ต้องใช้พลังในการขับพิษออกอีก ทั้งยังเหนี่ยวนำให้คนอื่นเป็นตาม แล้วจะขุ่นใจให้ทุกข์ทำไม ให้โง่ ให้ทุกข์
พิจารณาประโยชน์ของการไม่มีกิเลส สุขสงบทั้งกายทั้งใจ ไม่ต้องเสียพลังในการขับพิษ
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 106 “ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ไม่ชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จะยังโง่อยู่ ชั่วอยู่ ทุกข์อยู่”
สรุป หลังพิจารณาก็เชื่อชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เราทำมา ทำมามากกว่านั้นด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะโกรธ และคงออกมาเป็นคำพูด แต่ครั้งนี้แค่ขุ่นๆใจ ดีแล้วของยังได้ใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ก็ยอมรับด้วยใจเบิกบาน ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้สิ่งนั้น ..สาธุ
พรนภา บุรณศิริ(เพียรเพชรพร)
เรื่อง การทำผิดอย่างแรงที่ได้ถอนต้นสมุนไพร
เนื้อเรื่อง ขณะที่ขึ้นไปอยู่บนภูผาฟ้าน้ำช่วงที่ covid ระบาดโดนกักตัวที่เฮือนยอดขืนอาจารย์ตั้งชื่อให้ว่าชุมชนเบิกบานตอนที่ไปอยู่ที่อื่นมีต้นไม้หญ้าต้นดอกไม้จีนและต้นสมุนไพรมากๆโดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรก็ได้รับหน้าที่ให้ถอนหญ้าหน้าบ้านมีต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนต้นดาวกระจายและดาวเรืองทนอยู่กับต้นหญ้าไม้จีนจำนวนมากขณะที่ถอนก็ดมกลิ่นใบเขามีกลิ่นหอมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์เมื่อมีแรงกระทำหรือใครๆที่คิดว่าน่าจะรู้ชื่อต้นไม้อะไรก็ถามเขาแต่ก็ไม่มีใครบอกชื่อต้นไม้ได้ก็เลยทำการถอนทิ้งทั้งหมดแต่ก็เหลือต้นใหญ่ๆไว้บ้างต้นเพราะอยากจะดูดอกเขาแต่ก็ไม่เห็นมีดอก
ทุกข์ชีวิตทำผิดโดยไม่รู้ว่าต้นไม้ที่เราถอนทิ้งเป็นสมุนไพรที่มีค่าจุฬาลัมพา
สมุทัยชอบที่จะได้รู้ชื่อต้นโกฐจุฬาลัมพาและไม่ทำลายต้นไม้นี้ช่างที่ไม่มีความรู้ชื่อต้นไม้โกฐจุฬาลัมพาและไปถอนเขาทิ้งทั้งหมด
นิโรธพอรู้ว่าต้นไม้นี้ชื่อโกฐจุฬาลัมพาก็สำนึกผิดสารภาพผิดยอมรับผิดกับที่ประชุมหมู่กลุ่มเมื่อคืนนี้วันที่ 30 สิงหาคม 60 ก็สารภาพผิดที่เราได้ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้น
มักมีความทุกข์ใจว่าเราเคยทำผิดอย่างมากมาก่อนทำหน้าที่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการทำความทำตามคำสั่งของผู้อื่นที่สั่งให้ถอนหญ้าหน้าเฮือนต่อมาจึงรู้ว่าเป็นต้นไม้ที่เราถอนทิ้งไปนั้นเป็นต้นโกฐจุฬาลัมพาก็ทำให้เห็นความทุกข์ในใจอย่างมากมันมาบอกว่าเราทำลายต้นสมุนไพรโกฐจุฬาลัมพาเป็นพันๆต้นมีความผิดที่ร้ายแรงก็ได้สารภาพผิดกับหมู่กลุ่มเมื่อคืนนี้ 30 สิงหาคม 60 หมู่กลุ่มก็บอกว่าไม่มาเพราะเราทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทำให้มีความทุกข์หายไปได้บ้างแต่ก็ยังพอมีความทุกข์อยู่ตามบททดชนทำข้อ 8 12 จงอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่ต้องอยู่เป็นนิจอย่างผาสุกให้ได้
ชื่อเรื่อง:สงสารแม่
เนื้อหา :แม่โทรมาบอกว่าจะส่งผลไม้ที่บ้านขึ้นมาให้เราและพี่น้องจิตอาสาที่ภูผาฟ้าน้ำได้กินกัน แต่ก็ส่งไม่ได้เพราะไปรษณีย์ย่อยหลายที่ก็ปิดทำการ ศูนย์ใหญ่ที่ยังทำงานอยู่ก็งดรับส่งของสด เพราะเกรงว่าจะเกิดการเน่าเสีย ทำให้เป็นปัญหาแก่ทางเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เองและเกรงว่าจะเกิดความเสียหายกับสิ่งของของผู้ส่งด้วย จึงได้ยินแม่พูดเปรยๆด้วยเสียงหงอยๆว่า
ว่า น่าเสียดายที่ส่งไม่ได้เพราะท่านตั้งใจอยากให้เราและพี่น้องได้กินผลไม้ไร้สารพิษที่ท่านปลูกเองที่บ้าน พอได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนผิดหวังของแม่ก็รู้สึกสงสารห่วงใยความรู้สึกของท่านขึ้นมา ที่ตั้งใจจะส่งของขึ้นมาให้เรากินแต่ก็ส่งไม่ได้
ทุกข์: ห่วงใยความรู้สึกของแม่ กังวลใจกลัวท่านผิดหวังและทุกข์ใจที่ส่งผลไม้มาให้เราไม่ได้
สมุทัย:ยึดมั่นถือมั่นในความชอบชังอยู่ ชอบที่จะเห็นแม่มีความสุขสมหวัง ชังไม่อยากให้แม่ผิดหวังและทุกข์ใจในเรื่องใดๆ
นิโรธ:แม่จะได้รับความสุขสมหวังหรือได้รับความผิดหวังหรือความทุกข์ใจบ้างเราก็ต้องสุขใจให้ได้
มรรค: พออ่านเวทนาเห็นกิเลสตัวยึดมั่นถือมั่นในความชอบชัง เห็นความทุกข์ที่เกิดจากความรักแบบยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ก็รู้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ใจเราทุกข์จึงพิจารณาทบทวนถึงธรรมะและคำสอนของพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์เพื่อมาล้างความชอบชัง โดยพิจารณาลึกเข้าไปถึงในใจจนเห็นจริงตามความเป็นจริงว่าความรักแบบยึดมั่นถือมั่นทำให้ใจเราเกิดทุกข์เพราะทำให้เกิดอคติ 4 หรือความลำเอียงจากเหตุ 4 อย่างขึ้น คือเกิดความลำเอียงเพราะรักเพราะชังเพราะหลงและเพราะกลัว ที่เป็นเหตุ ทำให้ใจเราเกิดความไม่ยุติธรรม ไม่ยอมรับในเรื่องของกรรมและวิบากกรรมว่า ทุกชีวิตที่เกิดมาต่างมีกรรมเป็นของของตนมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นผู้ให้ผล และคนแต่ละคนก็เคยทำดีทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาที่แต่ละชีวิตจะได้รับทั้งความสุขสมหวังในยามที่วิบากดีจากการทำดีส่งผล และได้รับความผิดหวังและทุกข์ใจในคราวที่วิบากร้ายจากการทำชั่วส่งผลสลับกันไปมา และเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปแบกรับหรือแบ่งเบาวิบากดีร้ายหรือความสุขความทุกข์ความผิดหวังหรือความสมหวังของใครได้
เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากช่วยแม่ให้ลดความทุกข์ ความกังวลใจจากการที่ท่านรักและเป็นห่วงเราลงได้ เราต้องล้างความชอบชัง ความยึดมั่นถือมั่นในใจเราให้ได้เสียก่อน จึงจะเป็นพลังของการปล่อยวางได้จริงของเราไปเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ท่านได้พลังแห่งการปล่อยวางนั้นตาม
วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (ใจพอแล้ว)
เรื่อง 37.5 องศา
เหตุการณ์ ไปส่งของที่บริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง หลังจากส่งของเรียบร้อย ก่อนออกจากร้านก็เอามือไปจ่อที่เครื่องวัดอุณหภูมิ ปรากฏว่า เครื่องร้องเตือนขึ้นว่า อุณหภูมิสูงเกินปกติ 37.5 องศา หลังสิ้นเสียง ในร้านก็เงียบเสียงลงเลย ทุกคนหันมามองที่เราคนเดียว เจ้าของร้านถามว่า อุณหภูมิสูงกว่าปกติเหรอคะ
ทุกข์ กลัวว่าคนในร้านจะคิดว่าเรามีความเสี่ยง และจะกลัวเราไหม
สมุทัย ชอบถ้าคนในร้านจะไม่กลัว ระแวง ว่าเรามีความเสี่ยง ชังถ้าคนในร้านจะกลัว ระแวง ว่าเรามีความเสี่ยง
นิโรธ คนในร้านจะกลัว หรือ ระแวงเรา ก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่ทำให้ทุกข์ใจ
มรรค พิจารณาความวิปลาส ความยึดมั่นถือมั่นว่า เราต้องมีสภาพที่ดีเสมอตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ การที่เครื่องวัดอุณหภูมิร้องเตือนออกมา ก็เป็นเครื่องมือตรวจใจเราว่า ความกลัวว่าคนจะเข้าใจเราผิด นั่นเป็นวิบากที่เราต้องได้ชดใช้ รับแล้วก็หมดไป เราเคยทำมาเช่นกัน ที่ไปเพ่งโทษ กลัว ระแวง สงสัย และอาจลามถึงรังเกียจคนอื่นมา เราก็ยอมรับความเข้าใจผิดนั่นมาด้วยความยินดี ใจไร้ทุกข์
สรุป ถ้าแต่ก่อนอาจจะกลัวว่าตัวเองมีความเสี่ยงด้วย และอาจจะพาลโกรธว่าคนอื่นที่เข้าใจเราผิดด้วยแน่ๆ แต่พอวางใจได้ ไม่กลัว กังวล หวั่นไหว เราก็ไม่มีความโกรธ ไม่เพ่งโทษ และไม่ทำทุกข์ทับถมตัวเอง พอเรามองเห็นลีลากิเลสที่จะล่อลวงเรา เราก็รู้แล้วว่าทุกข์ใจ อยู่ที่เราปรุงไปเอง ไม่ปรุงก็ไม่ทุกข์ หลังจากเจ้าของร้านถามว่าเราโอเคไหม เราก็ตอบกลับไปว่า เราโอเคดีค่ะ วางใจลง ยิ้มให้ทุกคนในร้านตามปกติ เสียงพูดคุยในร้านก็กลับมาเป็นปกติ กลับมาที่รถเล่าให้พ่อบ้านฟัง ว่าเรารู้สึกสบาย เบากาย มีกำลังปกติ พ่อบ้านลองวัดอุณหภูมิ ก็บอกว่าตัวไม่ร้อน เครื่องคงจะรวน มาทดสอบใจเรานั่นเอง
ส่งการบ้านอริยสัจ4
เรื่อง. คำสั่งล้างทุกข์
เหตุการณ์.เนื่องจากที่บ้านได้ปลูกผักไร้สารพิษเพื่อแบ่งปันพี่น้องเพื่อนบ้าน แล้วเมื่อตอนเย็นมีพี่ชาย(ลูกของลุง)มาที่บ้าน ท่านบอกว่าจะขอเอาผักไปทำกับข้าว (แต่สั่งเหมือนจะบังคับให้เราเก็บให้) แบบไม่ได้ถามว่าเราจะสะดวกรึปล่าว
ทุกข์.ไม่พอใจมากที่พี่มาสั่งให้เก็บผักให้แบบบังคับ
สมุทัย.ไม่ชอบใจพฤติกรรมของพี่ถ้าท่านมาเก็บผักเองหรือพูดแบบสุภาพ เราจะชอบใจจะสุขใจ แต่เมื่อท่านไม่มาเก็บผักเอาเองและพูดใช้เราเหมือนออกคำสั่งจึงทุกข์ใจไม่ชอบใจ
นิโรธ. พี่จะทำพฤติกรรมท่าทางคำพูดแบบไหนอย่างไรก็ยินดี ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค. ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ ความวิปลาสของอาการกิเลสที่เกิดขึ้นทำให้เราทุกข์ใจไม่ชอบใจ จับได้ทันทีเลยว่ามันรู้สึกไม่พอใจมาก เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น
กิเลสบอกว่า เราให้แล้วมาเก็บเองจะดีมั้ย เราไม่ว่างจะเก็บให้หรอกนะ
เห็นถึงความยึดมั่นถือมั่นเมื่อมีกิเลส ทำให้ไม่มีสติยับยั้งกิเลส ไม่ใช่แค่คิดแต่ออกมาทางวาจา เพราะตามไม่ทันกิเลส ยิ่งมาใช้ให้เก็บให้แบบออกคำสั่งอีก
พุทธะเลยบอกว่า ให้ไม่จริงนี่ ไหนบอกว่าจะให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ แต่ยังมีข้ออ้างมากมาย แสดงว่าผิดทางพุทธะ พุทธะต้องให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ไม่มีเงื่อนไขให้ใจเป็นทุกข์
ลองระลึกดูเมื่อก่อนเราก็ทำพฤติกรรมไม่ดีแบบนี้มาเหมือนกัน เคยใช้เคยออกคำสั่งกับพี่กับน้องมา นี่แค่เศษเสี้ยวที่เรารับกับสิ่งที่ทำมา
ต้องยินดีรับวิบากจะได้หมดไป
และได้ใช้บททบทวนธรรมข้อที่8 มาพิจารณาร่วมด้วยคือ สิ่งที่เราได้รับคือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา
สรุปว่า เมื่อพิจารณาล้างความชอบชังความยึดมั่นถือมั่นลงได้ ความไม่พอใจก็ลดลงไปเรื่อยๆได้ตามลำดับค่ะ
และยินดีวางงานที่ทำอยู่ แล้วไปเก็บผักให้พี่อย่างเต็มใจ เปรียบเทียบจากเมื่อก่อน เราจะไม่ทำให้แน่นอน กิเลสจะบอกว่า ถ้าเราทำให้เค้าเดี๋ยวเค้าจะได้ดั่งใจอัตตาจะโตนะ แต่ตอนนี้ยินดีค่ะวางอัตตาตัวเองได้ยอมได้ ทำให้ใจผาสุกขึ้นมากค่ะ
สาธุค่ะ.
ส่งการบ้าน
ชื่อนางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสาสวนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง เห็นเลยค่ะว่านั่นคือตัวเรา
เหตุการณ์ ได้วานให้พ่อบ้านหยิบถาดข้าวเหนียวปิ้ง ที่บ้านอีกหลังหนึ่งค่ะ ตอนนั้นหนูโทรไป แล้วพ่อบ้านมาถึงก็โวยวาย ว่าเขากำลังนอนหลับอยู่ ทำไมต้องใช้เขาด้วย ขุ่นใจค่ะ กิเลสมาเลย แม้ใช้แค่นี้ทำเป็นโวยวาย แต่ก็นึกขึ้นมาได้ นั่นคือตัวเราชัดๆเลยค่ะ เมื่อเขาใช้ก็เราก็ไม่ทำ เราก็ชอบโวยวาย ทำอะไรก็จะเห็นเราสำคัญตลอด
ทุกข์ ไม่ชอบใจที่พ่อบ้าโวยวาย
สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้านไม่โวยวาย ชังที่พ่อบ้านโวยวาย
นิโรธ พ่อบ้านจะโวยวายหรือไม่โวยวายเราก็พอใจ ไร้กังวล
มรรค พอเราเห็นพ่อบ้านโวยวาย เราก็รู้เลยว่านั่นคือตัวเรา เราทำมาเยอะเลย ก็รับผลไป วิบากกรรมจะได้หมดไป ตรงกับบททบทวนธรรม คือทำร้ายเขามาตั้งมากตั้งมาย ยังมีหน้ามาโกรธ มาเกลียดเขาอีก มันชั่วเกินไปแล้วเรา พอเราจับกิเลสได้เราก็วางใจทันที หายทุกข์ทันทีเลยค่ะ ว่านั่นคือตัวเรา สบายใจ
ชื่อเรื่อง ใจร้อนอยากเจริญในธรรมเร็วๆ
ตัวเองได้ตั้งศีลตั้งแต่วันเกิดท่านอาจารย์หมอเขียวว่าจะกินมื้อเดียว ทุกวันจันทร์พุธศุกร์ ปรากฏว่าทำได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยตัดสินจากผล ลัพธ์ตอนเย็นว่าวันนี้ทำได้วันนี้ทำไม่ได้ และวันไหนที่ทำไม่ได้ก็รู้สึกเซ็ง กับตัวเอง เพราะได้กำหนดหมายว่าเรื่องอาหาร เป็นเหมือนกามที่ยังหยาบๆอยู่ ถ้าทำ เรื่องนี้ไม่ได้ แล้วจะเจริญในธรรมได้หรือ ใจลึกๆ อยากปฏิบัติได้ แบบเสถียร ทำไม่ได้สักที แล้วจะก้าวหน้าในธรรมได้แค่ไหนกัน
ทุกข์ : เกิดอาการ เซ็งๆกับตัวเอง ถ้าวันไหนที่กินมื้อเดียวไม่ได้ ตีตนเองว่าปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า เดินหน้า ถอยหลังอยู่ได้
สมุทัย : ใจร้อนอยากกินอาหารมื้อเดียวได้อย่างสบายๆ ชิวด์ๆทำได้เร็วๆ เพราะกำหนดหมายว่าการกินอาหารมื้อเดียวได้คือการเจริญในธรรมจึงอยากที่จะการเจริญในธรรมเร็ว ๆ
นิโรธ : การเจริญในธรรมเรื่องกินอาหารมื้อเดียวทำได้บ้าง หรือทำไม่ได้บ้างก็ไม่ทุกข์ทำได้แค่ไหนก็ยินดีพอใจ
มรรค:
1.พิจารณา ประโยชน์และโทษ ของการกินอาหารมื้อเดียว ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เหตุการณ์
2.ให้วิเคราะห์ว่าที่กินข้ามมื้อแต่ละครั้งเกิดจากกามคุณ5 ตัวไหน ถ้าจะแพ้ตบะที่ตั้งไว้อย่างน้อยก็ต้องต่อสู้ก่อนไม่ใช่กินโดยไม่วิเคราะห์สาเหตุ อ่านเวทนาที่เกิดก่อนกิน ขณะกินและหลังกิน
3.การปฏิบัติธรรมต้องเป็นไปตามลำดับ ยอมรับในอินทรีย์พละ ของตัวเองว่าทำได้แค่นี้ ให้เพียร พยายาม ต่อไป 4.ยินดีที่เราต้องต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นการเห็นเหลี่ยมมุมของกิเลสที่ จะเข้ามาหลอกล่อให้เราผิดศีล ทำให้เราแข็งแกร่งซึ่งเป็นประโยชน์ ในการให้คำแนะนำกับคนใหม่ ๆ ที่อยากตั้งศีลข้อนี้
5.เข้าใจเรื่องกรรมที่ทำมาในการที่เราเป็นแม่ครัว และเป็นสาเหตุ ทำให้คนผิดศีลลักษณะเช่นนี้มาก่อน เช่นการเชิญชวน พี่น้องจิตอาสาที่เดินเข้ามาในครัวตอนเช้าให้กินข้าวต้ม พอเห็นพี่น้องจิตอาสาเดินเข้ามาในครัวก็จะเรียกทันที “มากินข้าวต้มร้อน ๆ ค่ะ เสร็จใหม่ ๆ “เป็นการสร้างความอยากให้คนอื่น
6.หางานที่เป็นประโยชน์ทำช่วงเวลา 7-11.00น. กินอาหารช่วง 12.00-13.00น. ช่วงบ่าย 14.00-18.00น. ไม่พยายามเดินเข้าครัว
เรื่อง ถ้าเขารู้เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา องค์กรแพทย์วิถีธรรมได้เริ่มขับเคลื่อนงานการช่วยเหลือสังคมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตโควิด 19 อย่างเร่งด่วน ทำให้จิตอาสาหลายคนต้องระดมกำลังมาช่วยกันผลักดันงานในส่วนต่าง ๆ ทั้งด้านการสื่อสารและวิชาการ ทำพร้อม ๆ กันหลายเรื่อง หลายคนต้องรับภาระงานหลายอย่าง และทำให้เราได้เห็นความพร่องความพลาดของพี่น้องหลาย ๆ ท่าน
ทุกข์ – อึดอัดใจที่เห็นพี่น้องบางท่านทำพลาดทำพร่องแล้วเราไม่สามารถช่วยบอกให้เขาเห็นข้อพลาดข้อพร่องนั้นของเขาได้
สมุทัย – อยากจะช่วยบอกให้เขาเห็นความพลาดความพร่อง อยากให้เขารู้ตัวและแก้ไขได้ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ถ้าบอกให้เขารู้ตัวได้เราจะสุขใจ
นิโรธ – หมดความอยากแบบยึดมั่นถือมั่น จะบอกให้เขารู้ตัวได้ก็สุขใจ บอกไม่ได้ก็สุขใจ
มรรค – มองให้เห็นโทษของความอยากแบบยึดมั่นถือมั่นนั้นว่า มันแค่อยากจะบอกเขาให้ได้สมใจเราเท่านั้น ถ้าได้บอกให้เขารู้ตัวสมดั่งใจเราแล้วมันก็สุขแค่แป๊บเดียว มันก็แค่สุขที่ได้สมใจชั่วคราวเท่านั้น หาสาระอะไรไม่ได้ สู้เราเอาประโยชน์จากการไม่ต้องมีความยึดมั่นถือมั่นดีกว่า คือจะบอกเขาให้รู้ตัวได้ก็สุขใจ หรือไม่สามารถบอกเขาให้รู้ตัวได้ก็สุขใจ สุขทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้เป็นประโยชน์กว่า เอาแบบนี้ดีกว่า
นอกจากนี้ เราก็ทำความเชื่อชัดเรื่องกรรมให้แจ่มแจ้งด้วยว่า การที่เขาพลาดเขาพร่องก็เพราะวิบากกรรมของเขา และการที่เราต้องมารับรู้หรือได้รับผลกระทบจากความพลาดความพร่องของเขาก็เพราะวิบากกรรมของเรา ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เราจึงยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสบายใจ ยินดี พอใจ ไร้กังวล วิบากเบาบางลงเมื่อไหร่ ความพลาดความพร่องก็จะน้อยลงไปเอง หน้าที่เรามีแค่ทำสิ่งที่เราทำได้ให้ดีที่สุดเท่านั้น ปล่อยวางในสิ่งที่เรายังไม่สามารถทำได้ ทำเต็มที่ก็สุขเต็มที่ได้แล้ว ไม่มีอะไรคาใจ
เรื่อง ทำดี….ไม่มีเดี๋ยว
ชีวิตที่ผ่านมาทำงานหาเงิน เก็บสะสมเงินให้มากๆ อยากได้สิ่งของต่างๆมากมาย ซื้อสิ่งของเครื่องใช้เก็บไว้มากเกินความจำเป็น เพราะจิตยึดมั่นถือมั่นว่า เราจะต้องทำไว้ให้มากๆ เพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงตน ทำเช่นนี้มาตลอดชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งรู้สึกทุกข์ที่มีสิ่งของมากเกินไป ทำให้ชีวิตไม่ลงตัวไม่พอเพียง เพราะอยากมี อยากเป็น อยากได้และสะสมไว้มากเกินพอดี จึงรู้สึกทุกข์ที่ต้องเก็บดูแลรักษา
ทุกข์ : ไม่สบายใจที่มีสิ่งของหลายอย่างมากเกินจำเป็น
สมุทัย : ชอบที่จะมีสิ่งของเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ชอบใจถ้าไม่มีสิ่งนั้น
นิโรธ : สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆจะมากก็ได้น้อยก็ได้ เพราะเราเก็บสะสมมาแล้ว
มรรค : เมื่อร่างกายเรายังแข็งแรงมีกำลัง มีสวนผักสมุนไพรที่ปลูกเองได้ มักแบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้และอื่นๆที่เก็บสะสมไว้ให้แก่ผู้อื่นเสมอ แม้ทำได้มากบ้างน้อยบ้างก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราได้ลงมือทำแล้ว คือ สละออกอย่างสุขใจ สบายใจและรู้จักพอ
จะไม่มีคำว่า “เดี๋ยว”….ด้วยต้องการทำดี การคิดดี มีศีล และทำทุกครั้งที่มีโอกาส
ทำดีเต็มที่ทุกวัน ก็สุขใจเต็มที่ได้ทุกวัน เหมือนเก็บสะสมกุศลเป็นเสบียงเลี้ยงตนสืบต่อไป
เรื่อง คันหัวใจ
พ่อบ้านแอบทิ้งขยะพลาสติกที่เราแยกสะอาดไว้แล้ว
ทุกข์ : คัน โกรธ โมโห ที่พ่อบ้านแอบทิ้งพลาสติกที่เราแยกสะอาดไว้แล้ว ทิ้งลงถังขยะ
สมุทัย : ยึดว่าขยะพลาสติกที่เราแยกไว้ ต้องอยู่ในสภาพเดิม จะนำไปทำประโยชน์
นิโรธ : สุขใจที่จะได้ไปเป็นประโยชน์ ขยะที่คัดแยกไว้อย่างสะอาด จะถูกใครเคลื่อน ใครย้ายไปไหนก็สุขใจ จะถูกใครเอาไปทิ้ง ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง
เราเคยเอาของอะไรที่ลูกชอบไปทิ้ง ไม่ให้กินไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ถูกใจเราหรือขัดใจเรา เราเคยโดนขัดใจ ไม่ให้ทำในสิ่งที่เราชอบ
บททบทวนธรรมข้อ 38 กิเลส โลภ โกรธ หลงเป็นสิ่งที่คนโง่ คนชั่ว คนทุกข์ คนบ้าหวงแหนที่สุดในโลก
บททบทวนธรรมข้อ 151 เราจะทำ ในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก
เราจะเป็น ในสิ่งที่คนอื่นเป็นได้ยาก
เราจะสละ ในสิ่งที่คนอื่นสละได้ยาก
เราจะพ้นทุกข์ ในสิ่งที่คนอื่นพ้นทุกข์ได้ยาก
ชนะกิเลส เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
เรื่อง หยุดงานกระทันหัน
เหตุการณ์ เนื่องจากพ่อบ้านทำงานร่วมกับประเทศสิงคโปร์และจีน ช่วงนี้มีปัญหาทางการเงิน ขอปิดโรงงานก่อน 2 อาทิตย์ จึงมีความกังวลที่ของต้องค้าง และระบบติดขัดเป็นลูกโซ่
ทุกข์ กังวลกลัวงานพ่อบ้านไม่ราบรื่น
สมุทัย ชอบถ้างานราบรื่น ชังถ้างานไม่ราบรื่น
นิโรธ งานจะราบรื่นหรือไม่ราบรื่นก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสความยึดมั่นถือมั่นว่า ทุกอย่างต้องราบรื่น ลื่นไหล ไม่มีปัญหาใดๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกุศล อกุศล ของเรา ของผู้ที่เกี่ยวข้อง งานถ้าทุกอย่างราบรื่นได้ก็ดี ก็เป็นประโยชน์ จะได้ใช้ปัญญาใช้ความรู้ ใช้เทคนิคได้เต็มที่ ถ้างานไม่ราบรื่นก็ดี จะได้ใช้วิบาก ใช้แล้วก็หมดไปจะได้โชคดีขึ้น โชคดีอีกแล้วร้ายหมดไปอีกแล้ว รับเต็มๆหมดเต็มๆ เอาประโยชน์ให้ได้ในทุกสถานการณ์ เมื่อท่านมาปรึกษาก็ได้พูดคุยโดยใช้หลักธรรมะของท่านอาจารย์หมอเขียว ท่านจะนำไปใช้ได้ประมาณไหนหรือไม่นำไปใช้ก็แล้วแต่วิบากดีร้ายสังเคราะห์กัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว เราก็วางใจในทุกเรื่องให้ได้
ใช้บททบทวนธรรมข้อ 25 เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อให้เราได้ชัดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ใหเราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก
สรุป หลังพิจารณา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทุกข์และกังวลมาก แต่เมื่อทั้งเราและพ่อบ้านปล่อยวาง งานจะเดินต่อหรือจะหยุด เมื่อได้ทำทุกวินาทีอย่างเต็มที่แล้ว งานที่หยุดนิ่ง ไม่มีช่องให้เดิน ก็เริ่มมีแสงจากปลายอุโมงค์ค่อยสว่างขึ้นบ้าง ทำให้เข้าใจเชื่อชัดในการทำใจเราที่ไม่เอา ไม่อยากก็จะไม่ทุกข์ ทุกอย่างปล่อยให้วิบากดีร้ายจัดสรร ด้วยใจไร้ทุกข์..สาธุ
เรื่อง อยากพูด
เหตุการณ์ : รายการตอบปัญหา สายด่วน แพทย์วิถีธรรม ฝ่าวิกฤตโควิด 19 ตัวเองเป็นคนหนึ่งที่ถูกวางตัวให้พูด หลังเปิดรายการมีพี่น้องท่านอื่นๆพูดในหลายประเด็นล้วนมีประโยชน์ใช้เวลานานพอควร รู้สึกกังวลใจขึ้นมาว่าเราจะได้พูดหรือเปล่าเพราะเรื่องอาหารก็มีความสำคัญเหมือนกัน
ทุกข์ : รู้สึกกังวลใจ ที่ไม่ได้พูดสักที
สมุทัย : มีตัณหา อยากให้เกิดดีจนหลงยึดมั่นถือมั่นว่าต้องพูด ชอบถ้าได้พูด ชังที่ไม่ได้พูด
นิโรธ : จะได้พูด หรือไม่ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : วางใจ ปล่อยวางความอยาก ที่หลงไปยึดมั่นถือมั่นจะให้เกิดดีด้วยการทำใจว่าได้พูดหรือไม่ได้พูดก็ไม่เป็นไร หากเราไม่ได้พูดก็เป็นวิบากของเราไม่ถึงรอบที่จะได้บำเพ็ญ ส่วนผู้ฟังก็ไม่ถึงเวลาจะได้รับความรู้เรื่องการปรุงอาหารที่จะไปทำด้วยตัวเองได้ สำหรับตัวเองทำได้แค่ร่วมฟังรายการด้วยใจสงบ เมื่อรู้แล้วเราจะโง่กังวลใจให้ทุกข์ทำไม เลยพิจารณาล้างความกังวลด้วยบททบทวนธรรมข้อที่ 101 ว่า”ต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นให้ได้ ” จึงจะได้ “ร่วมกับข้อที่ 102 คือ”ทำตามจริงที่เป็นได้จริง ชีวิตก็ไม่มีอะไรทุกข์” หลังจากได้พิจารณาตามแล้วได้พบความจริง เมื่อเราวางความยึดมั่นถือมั่น พร้อมทั้งทำตามจริงที่เป็นได้ในขณะนั้น ความรู้สึกกังวลใจได้หายไปกลับมาเบิกบาน ผ่องใส ดังเดิม ในที่สุดก็ได้พูด
สรุป เมื่อ ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ จึงได้
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ทุกอย่างไม่เที่ยง
เหตุการณ์ : ช่วงนี้มีเรื่องต้องใช้เงินในการซื้อและซ่อมของใช้ในบ้านหลายอย่าง เนื่องจากใช้งานมานานหลายปี บางอย่างอายุการใข้งาน 20 ปีขึ้นไปแล้ว
ทุกข์ : เสียดายเงินที่ใช้ในการซื้อและซ่อมของใช้ในบ้าน
สมุทัย : ชอบใจที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อหรือซ่อมของในบ้าน ชังที่ต้องเสียเงินซื้อและซ่อมของในบ้าน
นิโรธ : จะเสียเงินซื้อหรือซ่อมของใช้ในบ้านก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ของใช้ในบ้านทุกชิ้นจะใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้แตกหักเสียหายถ้าไม่จำเป็น แต่ละชิ้นใช้นานจนลืมว่าซื้อหามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอมาปีนี้เริ่มทยอยเสีย ต้องซ่อม ต้องเปลี่ยน ต้องรื้อทำใหม่หลายอย่าง จึงมีรายจ่ายมากพอควร เกิดความรู้สึกเสียดายเงินที่มีอยู่ไม่มากนัก
เริ่มอึดอัดขัดใจขึ้นมา บางอย่างทนไม่ยอมเปลี่ยน ไม่ยอมซ่อมผลัดมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องยอมทำเพราะหมดสภาพการใช้งาน ก่อนจะยอมเปลี่ยน ยอมซ่อม มาคิดทบทวนว่าเราก็เริ่มอายุมากขึ้นสุขภาพก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม ของใช้ก็เหมือนกันต้องชำรุด แตกหัก เสียหายบ้างเป็นเรื่องธรรมดา จึงเต็มใจ ที่จะจ่ายเงินเพื่อปรับปรุงของใข้ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใข้งาน ด้วยความเต็มใจและผาสุก ดังบททบทวนธรรมข้อที่ 53 ว่า “ศีล คือ ไม่เบียดเบียนตนเอง คนอื่น สัตว์อื่น เป็นประโยชน์ ต่อตนเอง ต่อคนอื่น ต่อสัตว์อื่น”
เมื่อใจยอมทำตามเหตุผลดังกล่าว ของใช้ก็มีสภาพดีพร้อมใช้งาน เราเองก็ได้รับความสะดวก สบาย เงินที่ใช้ไปก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นจะดีกว่า
เรื่อง : เมื่อลูกหมาน้อยป๋วย (สุนัจ)
ที่บ้านเลี้ยงสุนัจพันธ์เตี่ยตัวเขาเล็กๆน่ารัก
เราได้เคยบอกย้ำกับพ่อบ้าน และลูกว่า เลี้ยงเขาเท่าที่เลี้ยงนะ ไม่ต้องไปสรรหามาเพิ่มอีก
แม่เหนื่อยแล้วนะ ต้องต้มปลาให้น้องหมา(จะให้กินอาหารพ่อบ้านก็ไม่ยอม) ต้องล้างภาชนะใส่อาหารน้องหมาด้วย หลายครั้งหลายคราที่เราต้องพบเรื่องสะเทือนใจ เกี่ยวกับน้องหมา ครั้งหนึ่งน้องหมาเขาถูกรถมอเตอร์ไซด์ชน ชนข้างบ้านแต่เขาวิ่งกลับมาบ้านหาเรา เราลูบหัวเขาจนเขาสิ้นใจ และหลายๆคราที่น้องหมาเขาไม่สบาย เราก็ดูแลรักษาเขาจนเขาจากเราไป และคราครั้งล่าสุดนี้ 2-3 ที่ผ่านมาเราทำแบบไม่ได้ตั้งใจ เราเอาน้ำในถังสาดน้องหมา หวังจะล้างตัวให้เขาสะอาด พอเรากลับมาจากสวนตอนเย็น น้องหมาตัวที่เราเอาน้ำสาด ไม่วิ่งออกมารับเราไม่มาแสดงความดีใจ ที่เจ้าของกลับมาบ้าน มีแต่ตัวอื่นๆ 4 ตัว วิ่งออกมาแสดงความดีใจ วันนี้น้องหมาตัวนั้นก็ยังไม่สบายอยู่ เราก็รู้สึกสะเทือนใจ และกังวล สงสารเขา ว่าที่เขาไม่สบายเป็นเพราะเราไปสาดน้ำเขา หรือเขาไม่สบายเอง
ทุกข์ : น้องหมาไม่สบาย
สมุทัย : อยากให้น้องหมาหายป๋วยเป็นปรกติมาวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม
นิโรธ : คิดไปอีกแง่หนึ่งก็ดี น้องหมาเขาได้ใช้วิบาก เพราะทุกคนเคยเกิดมาเป็นสัตว์กันทั้งนั้น
มรรค : ตอนนี้เลี้ยงอยู่ 5 ตัว ตอนนี้พยามเพิ่มศีลให้มากๆ ตอนนี้ได้ใช้วิบากกับน้องหมา
บททบทวนธรรม ๕๐
อดีตที่ผิดพลาด ให้สำนึก
ปัจจุบันที่ผิดพลาดจากกิเลส
หรือจากการประมาณที่ไม่พอเหมาะ
ให้แก้ไข
บททบทวนธรรม ๗๒
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทุกข์ใจ
ความทุกข์ใจไม่ได้แก้ปัญหา
มีแต่เพิ่มปัญหา
สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องดับไป
จะทุกข์ใจไปทำไม
เบิกบานแจ่มใสดีกว่า
6 สิงหาคม 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญคบคุ้นสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง จะคบมิตรดี หรือจะคบมาร ดี
ได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ที่จะไปที่ทำงาน แทนที่จะทำงานอยู่ที่บ้าน เลยบอกพ่อบ้านให้เตรียมตัวไปส่ง แต่พ่อบ้านตอบกลับ (น้ำเสียงไม่ค่อยดี) ว่ามาบอกตอนนี้ ได้นัดทำธุระในเวลานั้นพอดี เรารู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้บอกพ่อบ้านไว้ก่อน ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที พ่อบ้าน
มาบอกว่า จะไปอีกไหม (น้ำเสียงดีปกติแล้ว) เดี๋ยวจะไปส่ง แต่ว่าเราอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว จึงตอบปฏิเสธไป
ทุกข์ ไม่พอใจพ่อบ้าน ที่พูดกับเราน้ำเสียงไม่ดี และบอกว่าไปส่งเราไม่ได้
สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้าน พูดจากับเราดี ๆ และไปส่งเราได้ ชัง พ่อบ้าน พูดจาไม่ค่อยดี และไปส่งเราไม่ได้
นิโรธ พ่อบ้าน จะพูดจาดีหรือไม่ดี จะไปส่งเราได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ชอบไม่ชัง เบิกบานใจได้
มรรค มารอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว จึงออกอาการ
มาร : เดี๋ยวไปได้ เดี๋ยวไปไม่ได้ เสียอารมณ์แล้วตอนนี้ ไม่ต้องมาพูดแล้ว รำคาญ (คิดในใจ)
เรา : นิสัยแย่ ๆ แบบนี้ เก็บไว้นานมากแล้ว ควรจะล้างออกไปได้แล้วยังมาร
มาร : ก็มันหงุดหงิด ไม่ชอบเวลาใครมาทำแบบนี้
เรา : เมื่อคืนตั้งศีลว่า จะคบมิตรดี จะไม่คบมาร ตอนนี้กำลังคบอะไรอยู่
มาร : (เริ่มคิดได้) กำลังคบมาร เวลาทำแบบนี้ มันทุกข์ทั้งตัวเอง และทำความลำบากใจให้คนรอบข้าง ทำชั่วซ้ำซาก ไม่มีดีอะไรเลย ทำไมต้องมาอยู่กับอารมณ์แบบนี้ เสียพลังจริง ๆ
ได้พิจารณาซ้ำไปซ้ำมาอยู่ประมาณ 15 นาที มารจึงยอมและสลายไป อาการหงุดหงิดไม่พอใจพ่อบ้านก็หายไป เกือบ 90 % ได้พลังกลับคืนมาและมีความกระตือรือร้นในการทำงานอยู่ที่บ้านมากกว่าวันก่อน ๆ
(ตรงกับบททบทวนธรรรมข้อที่ 29 “วิธีการ 5 ข้อในการแก้ปัญหาทุกปัญหาในโลกคือ 1.คบและเคารพมิตรดี 2. มีอริยศีล 3. ทำสมดุลร้อนเย็น 4. พึ่งตน 5. แบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์)
2 สิงหาคม 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญคบคุ้นสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง ไม่อยากเขียนการบ้าน
เขียนการบ้านมาได้ระยะหนึ่ง แล้วก็โดนมารหลอกไม่ให้เขียนการบ้านด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง รู้สึกไม่อยากเขียนการบ้านเสียแล้ว
ทุกข์ ไม่อยากเขียนการบ้าน
สมุทัย ชอบ ถ้าไม่ต้องเขียนการบ้าน ชัง ถ้าต้องเขียนการบ้าน
นิโรธ แม้พลาดไม่เขียนการบ้านไปแล้ว ก็ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ทุกข์ใจ เริ่มต้นใหม่ได้
มรรค พิจารณาว่า
1.เราได้ประโยชน์จากการบ้านของหมู่ หลายครั้ง ไปเจอเหตุการณ์ที่เหมือนกัน เราได้นำสภาวะที่ท่านเดินมรรค มาล้างทุกข์ได้เลยโดยไม่ต้องคิดเอง ดังนั้นเราจึงควรเป็นผู้ให้ โดยการเขียนการบ้านส่งด้วย ไม่ใช่เป็นผู้รับอยู่ฝ่ายเดียว
2. ได้สารภาพกับหมู่เรื่องที่ไม่เขียนการบ้าน จึงได้ปัญญาในเรื่องประโยชน์ของการเขียนการบ้านและโทษของการไม่เขียนการบ้าน ได้เทคนิคในการเขียนการบ้านว่า ให้เขียนตามสภาวะจริง ถ้าพิจารณาสั้น
ก็เขียนเพียงสั้นๆ ไม่ต้องตกแต่งภาษา
ได้ตั้งศีลต่อหมู่ว่าจะเริ่มกลับมาเขียนการบ้านใหม่
พิจารณาอย่างนี้แล้ว จากที่ไม่อยากเขียนการบ้าน ก็มีความยินดีที่จะกลับมาเขียน ประมาณเกือบ70%
(ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 37 ปัญหาทั้งหมดในโลกเกิดจาก คน… โง่… กว่ากิเลส)
การบ้านอริยสัจ 4
เรื่อง : มีความอยากเอารถไปเครมประกันและซ่อม
เนื้อเรื่อง : รถที่ใช้ในปัจจุบัน ประกันกำลังจะหมดอีก 2 เดือนข้างหน้า รถมีรอยขีดข่วนหลายจุด ต้องเครม และทำก่อนประกันจะหมด ด้วยเหตุการณ์โควิทกำลังระบาดมากจึงไม่สามารถลงจากภูผานำรถไปเครมประกัน และนำรถไปซ่อมได้ เพราะถ้าหากว่าเราจะลงจากภูผา เอารถไปทำ หากเกิดติดโคริท ก็จำทำให้ท่าน อาจารย์ และพี่น้องเราอีกหลายท่านจะต้องพลอยติดไปด้วย ซึ่งจะเป็นวิบากร้ายแก่เรา
ทุกข์ : หากไม่ได้เอารถไปเครมประกันและซ่อม ก่อนประกันจะหมดอายุ เราจะต้องจ่ายเงินค่าซ่อมรถเองเพราะเมื่อหมดประกันๆจะไม่รับผิดชอบ
สมุทัย : เกิดความกังวลว่าจะไม่ได้เอารถไปเครมประกันและซ่อมก่อนประกันจะหมด
นิโรธ : เราก็วางใจว่าหากเราจะเครมประกันทันหรือไม่ทันก็ต้องแล้วแต่กาลละเวลานั้นๆ ก็วางใจ และรอให้โควิท ลดลงอีกหน่อยจะดีกว่าเพราะหากเราลงไปแล้วเกิดติดโควิทจะต้องทำให้ ท่านอาจารย์ และหมู่มิตรดี ต้องติดโควิทไปกับเรา ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก และจะเกิดวิบากร้ายกับเราอย่างมากอีกด้วยเมื่อคิดได้ก็วางใจ ถึงแม้ว่าเราจะเสียเงินก็ยินดี เต็มใจและวางใจ อย่างใจไร้ทุกข์
มรรค : เราคิดในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่ว วิบากดีร้าย ตามกาลเวลานั้นๆ หากเราจะไปเครมประกันไม่ทันจะต้องทำให้เราต้องเสียค่าซ๋อมรถเองก็คิดว่าเป็นวิบากของเราที่จะต้องเสียเงิน แต่หากเราลงไปแล้วติดโควิท จะต้องทำให้ ท่านอาจารย์และหมู่มิตรดี ต้องมาติดโควิทไปกับเรา ก็จะทำให้ท่านเกิดความลำบากแก่ทุกท่านเพราะความเห็นแก่ตัวเราและจะทำให้เราเกิดวิบากร้ายอย่างรุนแรง อีกด้วยเมื่อคิดได้ดังนั้น เราก็วางใจที่จะยังไม่เอารถไปเครมประกันและซ่อม ยอมใช้วิบากหากเราจะต้องเสียเงินซ่อมรถเอง ดังบททบทวนธรรมของท่านอาจารย์ ข้อที่ 83
ดังนี้ : ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิด
ความพร่อง ความพลาด ความทุกข์
สรุป: เราโชคดีที่มีเหตุการณ์ที่มีโควิทระบาดอีกรอบ
พอดีกับที่ประกันรถจะหมดพอดี ซึ่งทำให้เราได้
รู้จักการวางและทำใจว่าหากเราจะต้องเสียเงิน
เองเราก็จะไม่ทุกข์ใจ สาธุ ค่ะ
อัญชลี พุ่มแย้ม (เย็นแสงธรรม)
3/8/2564
ชื่อ นางสาวนาลี วิไลสัก
ผู้บำเพ็ญคบคุ้นสวนแ่านาบุญ2
เรื่อง : ใช้วิบากร้ายอีกชุดหนึ่ง
เหตุการณ์ : เวลาเราพิมพ์การบ้านจะช้าใช้เวลาหลายชั่วโมง แม่ก็ไม่พอใจ ที่เราไม่เอาเวลานั้นไปทำงานอื่น ท่านก็มาด่าเรา
ทุกข์ : หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดหัว นอนไม่หลับ เศร้าใจแอบร้องไห้ เพราะโดนแม่มาขู่
สมุทัย : ชอบถ้าแม่ให้อิสระ และไม่ยุ่งเรื่องของเรา ชังที่แม่ทำทุกวิถึทางเพื่อขัดขวางแนวทางการปฏิบัติของเรา
นิโรธ : แม่จะให้อิสระเราหรือไม่ ด้วยลีลาไหนเราก็ยินดีรับด้วยใจเบิกบาน
มรรค : มาดูลีลามารสะกดจิตจนเราร้องไห้
มาร : ไปเถอะ รีบพาลูกหนีจากที่นี่
เรา : เอ็งอยากหนีก็เชิญหนีเถอะมาร แต่ฉันไม่ไปไหน สถานการณ์โควิดระบาดแบบนี้ ฉันจะอยู่เพื่อใช้วิบากตรงนี้แหละ
มาร : (ปรุงไป ร้องไห้ไป) ก็เมื่อกี้เราพลาดไปสวนคำพูดแม่ เราก็แค่อยากไปตั้งหลักที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้จิตเราแกร่งกว่านี้ แล้วค่อยกลับมา จะได้ไม่ทำร้ายจิตใจแม่มากกว่านี้
เรา : ผิดทางแล้วมาร เราไม่ใช่สายหลับตา จะโง่หนีผัสสะอย่างงั้นรึ ไม่เอาหรอก เพราะเราเป็นสายปัญญา ปฏิบัติธรรมต้องอยู่กับผัสสะคือ เครื่องมือฝึกให้จิตเราแกร่งขึ้น
มาร : เออ ครั้งนี้หนักหนาจนหืดขึ้นคอเลย ทำไมแม่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมาขู่ให้เราเลิกปฏิบัติธรรมด้วยล่ะ มาก็พูดแต่คำโกหกล้วนๆ
เรา : เอ็งหุบปากน่ะมาร วิบากร้ายเก่าเราไปยืมร่างแม่มาแสดงให้เราเห็นเงาตัวเองเท่านั้น เขาไม่เอามาเกินที่เราทำไว้หรอก เราก็เคยไปขู่ให้ลูกทำตามที่เราต้องการมาเหมือนกัน
มาร : เอ! เราก็พยายามฝึกยอมแม่อยู่นา แต่น๊อตก็ยังหลุดไปได้ นี่เราทำให้เเม่เจ็บปวดอีกแล้วนี่
เรา : ก็มันพลาดไปแล้ว ต้องรีบแก้ไข สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษแม่ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดทำ และตั้งศีลยอมแม่
สรุป เรื่องนี้ทำให้ทุกข์ใจอยู่สองวัน หลังจากหมู่มิรติดีให้ปัญญาก็มาคุยกับมารต่อ จนมารเปลี่ยนจิตเป็นพุทธะ ความทุกข์ใจก็คลายลงไปค่ะ
2/8/2564
ชื่อ นางสาวนาลี วิไลสัก
ผู้บำเพ็ญคบคุ้นสวนแ่านาบุญ2
เรื่อง : ท้อเพราะกิเลสมาขวาง
เหตุการณ์ : เวลาจับกิเลสได้ ถ้าสะดวกตัวเองมักจะเอามาเขียนเป็นการบ้านใส่กระดาษเลย แต่ก็มีวิบากตรงที่ มาพิมพ์เป็นภาษาไทยไม่ถนัด วันนี้พอได้พิมพ์เรื่องที่สองกิเลสก็มา
ทุกข์ : ปวดหัว ตาเหนื่อยล้า ใจร้อน เบื่อ เซ็ง เพราะพิมพ์การบ้านหนึ่งเรื่องใช้เวลาหลายชั่วโมง
สมุทัย : ชอบถ้าพิมพ์การบ้านเป็นภาษาไทยถนัด ชังที่แปลภาษาลาวมาเป็นภาษาไทยบางคำแปลไม่ออก จนทำให้พิมพ์การบ้านช้ามาก
นิโรธ : ในเมื่อเราได้พากเพียรเต็มที่แล้ว ได้เท่าไร เอาเท่านั้น ไม่ชอบไม่ชัง ใจอย่าโลภ
มรรค : หันมาตรวจใจทำไมถึงป่วยในขณะที่พิมพ์การบ้าน
มาร : เอ๊ยๆๆ พิมพ์การบ้านช้าปานหอยไต่ เมื่อไหร่จะเสร็จ
เรา : จะรีบไปไหน การบ้านจะเสร็จเมื่อไหร่ไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือ มารต้องเสร็จฉันก่อน
มาร : ก็มันเหนื่อยล้า เวลาแปลภาษา บางคำก็แปลไม่ออกเลยจริงๆ หลังจากพิมพ์เสร็จ ก็ต้องหาผู้มาแก้คำผิดอีก แปลยากพิมพ์ยากขนาดนี้เลิกทำดีกว่า เซ็งเว้ย
เรา : อันไหนที่เราทำไม่ได้ ก็ข้ามไปเลย ไม่เห็นจะยาก แต่มายากก็ตรงที่มารมาขวางนี่แหละ
มาร : จะเป็นแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ ต้องรีบทำ รีบเสร็จ จะได้ไปทำอย่างอื่น ไม่งั้นโดน(…)มาเอาเรื่องเราแน่ๆ
เรา : จะกลัวโดนทำไม ก็เราโดนทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีงานใดในโลกนี้ ที่ยากกว่างานฆ่ากิเลสหรอก เพราะงานนี้คือ วาระเร่งด่วนที่ต้องรีบทำ พิจารณาด้วยบททบทวนธรรมข้อที่ 71 ปัญหาและอุปสรรค ไม่เคยหมดไปจากโลก มีแต่ทุกข์ใจเท่านั้นที่หมดไปจากเราได้
มาร : ออ วาระเร่งด่วนเลยเหรอ ถ้างั้นทำต่อไปเลย
สรุป พอมารเข้าใจวาระเร่งด่วน อาการปวดหัว ปวดตา เบื่อ เซ็ง ก็หายไป จึงได้มาเขียนการบ้านเรื่องที่ 3 ด้วยความใจเย็นค่ะ
5/8/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : ล้างหม้อล้างใจ
เหตุการณ์ : น้องปุ้ยล้างหม้อไม่ถนัด แม่ก็มาสาธิตวิธีล้างหม้อให้ดู กิเลสก็บ่นว่าอุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่พอใจก็ล้างเอาเองสิ
ทุกข์ : โกรธ ไม่พอใจ ที่แม่มาตำหนิ
สมุทัย : ชอบถ้าแม่ชม ชังที่แม่ว่าเราล้างหม้อไม่ถูกวิธี ไม่สะอาด
นิโรธ : ยินดีรับคำตำหนิของแม่ เพื่อมาพัฒนาตัวเองด้วยใจเบิกบาน
มรรค : ขอบคุณแม่ที่ช่วยสอนหนู ต่อไปหนูจะฝึกล้างหม้อให้ถูกวิธี และสะอาดกว่าเดิม หลังจากล้างใจได้หนูก็ขอโทษที่โกรธแม่ ด้วยใจเบิกบาน
เพราะเราเคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน
ช่วงนี้แม่มีอาการหงุดหงิด โมโหง่าย ไม่เหมือนเดิม ตอนเช้าจะต้องพาแม่อาบน้ำ กินข้าว แล้วก็กินยา ก่อนไปทำงาน แม่ก็จะมีอาการหงุดหงิดทุกครั้งที่จะต้องอาบน้ำ บางครั้งก็พูดแรง ๆ ให้กิเลสตัวไม่พอใจได้ออกมาทำงาน เวลาอาบน้ำให้แม่ ต้องตั้งสติดี ๆ ถึงแม้จะพูดอะไร เราก็จะอ่านใจตัวเองว่าเรามีกิเลสตัวไม่พอใจ ไม่ชอบที่แม่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า
ทุกข์ คือ ไม่ชอบอาการที่แม่หงุดหงิดเวลาต้องอาบน้ำ
สมุทัย คือ ชอบถ้าแม่ไม่มีอาการหงุดหงิดเวลาอาบน้ำ ชังถ้าแม่มีอาการหงุดหงิดเวลาอาบน้ำ
นิโรธ คือ แม่จะมีอาการหงุดหงิดก็สุขใจ แม่จะไม่มีอาการหงุดหงิดก็สุขใจได้
มรรค คือ พิจารณาว่าอาการที่แม่เป็นอยู่นี้แม่ก็ไม่ได้อยากเป็น แต่เพราะทุกคนมีวิบากร้ายที่ต้องชดใช้ รับแล้วก็หมดไป เวลาอาบน้ำให้แม่จะนึกถึงตอนที่เรายังเด็กยังดูแลตัวเองไม่ได้ ก็มีแม่นี้แหละที่อาบน้ำให้เรา คอยดูแลเราทุกอย่าง นี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ดูแลท่าน เราก็ต้องเคยเป็นแบบนี้มาก่อน เราจะได้ฝึกอ่านกิเลสในใจตัวเองทุกวัน เพราะแม่ก็เปลี่ยนไปทุกวัน แม่เป็นครูสอนเราตั้งแต่เด็ก และในตอนนี้แม่ก็มาเป็นแบบฝึกหัดในการล้างกิเลสของเราด้วย
วันไหนที่ตั้งสติดี ๆ ก็จะไม่คล้อยตามกิเลสที่จะไม่พอใจในอาการที่แม่เป็น แต่วันไหนที่สติไม่สมบูรณ์ก็จะมีอาการไม่พอใจแม่ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แต่ก็จะพากเพียรทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชื่อเรื่อง ไปถึงภูเก็ตแล้ว ทำไมไม่พาลูกไปเที่ยวทะเล
ญาติ ๆ ทางเยอรมนีโทรมาพูดคุยสารทุกข์สุกดิบด้วย ทุกคนมีคำถามที่เหมือนกันคือ “ไปเล่นน้ำทะเล เป็นอย่างไรบ้าง” เราก็ตอบไปว่า “ยังไม่ได้พาลูกไปทะเลเลย” ญาติ ๆ ก็พูดต่อไปว่า “ไปถึงภูเก็ตแล้ว ทำไมไม่พาลูกไปเที่ยวทะเล”
ทุกข์ : รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ญาติ ๆ อยากให้เราพาลูกไปเล่นน้ำทะเล แต่เรายังมีเวลาไป
สมุทัย : ญาติ ๆ อยากให้เราพาลูกไปเที่ยวทะเล แต่เรายังไม่ได้พาลูกไป
นิโรธ : ญาติ ๆ จะเข้าใจเราหรือไม่ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : ได้บอกญาติ ๆ ไปตามความเป็นจริงว่า ขับรถมอเตอร์ไซค์ยังไม่คร่อง ขอเวลาซ้อนก่อนอีกสักวันสองวัน และช่วงนี้ฝนตกเป็นบางวัน น้ำทะเลไม่น่าเล่น มีความเสี่ยงเกี่ยวกับสัตว์ทะเลด้วย
ช่วงเช้าเราออกกำลังกาย-ไปเดินบาง ช่วงสายถึงบ่ายที่มีเวลา อากาศก็ร้อนเกินไป ส่วนช่วงบ่าย ๆ ของแต่ละวันก็มีกิจกรรมของแพทย์วิถีธรรมที่เราอยากเข้าร่วม กว่ากิจกรรมจะจบก็ค่ำแล้ว ไม่เหมาะที่จะออกไปทะเล
ลูกชายก็ได้พูดเสริมว่า ที่โรงแรมมีสระว่าย ซึ่งเล่นน้ำและว่ายน้ำได้ดีไปลงทะเล และข้าพเจ้าก็ได้บอกญาติ ๆ ไปว่า วันจันทร์ที่จะถึงนี้ จะพยายามไปชมทะเล แล้วจะถ่ายภาพไปให้ดู ทำให้ญาติ ๆ เกิดความยินดี ไม่ถามเรื่องนี้อีก
ได้พิจารณาเพิ่มเติมว่า เราก็คงเคยไปเจ้ากี่เจ้าการคนอื่นแบบนี้แน่ ๆ เลย เราถึงได้มาเจอแบบนี้ (ญาติ 4 คน ถาม-บอกในประเด่นเดียวกัน) ก็ยอมรับวิบากที่เกิดขึ้น รับแล้วก็หมดไป ต่อไปเราก็ต้องระมัดระวังการกระทำของตนเองให้มากขึ้นกว่านี้ จะได้ไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป
เรื่อง เป็นห่วงแม่
เหตุการณ์ : เช้านี้ได้ยินเสียงพ่อเรียกและบอกว่าแม่ล้มจึงรีบออกไปดู แม่อายุ 80 ปีแล้วแม่มีอาการมึนหัว ปวดเข่าและข้อมือมาก ก่อนแม่จะลุกขึ้นได้ช่วยกดจุดลมปราณจนหายใจสะดวกแล้วค่อยลุกขึ้น
ทุกข์ : กังวลใจ ที่แม่ล้ม
แล้วมีอาการเจ็บ
สมุทัย : เป็นห่วงแม่ที่ล้มและมีอาการเจ็บเข่า และข้อมือมาก ชอบที่แม่แข็งแรงไม่ล้ม ชังที่แม่ล้ม
นิโรธ : แม่จะล้มแล้วมีอาการเจ็บ หรือไม่ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : ยอมรับความจริงว่าที่แม่ล้มและมีอาการเจ็บ เป็นวิบากที่แม่ต้องรับไม่ล้มวันนี้ก็ล้มวันอื่นได้ เมื่อเห็นแม่เจ็บก็คิดจะช่วยตำสมุนไพรฤทธิ์เย็นพอกที่เจ็บ แต่แม่บอกเจ็บมากต้องซื้อยามากิน ดูแล้วแม่ไม่รับวิธีที่จะช่วย จึงวางใจยอมให้แม่เลือกที่จะรักษาเอง ไม่ยัดเยียดองค์ความรู้ของเราให้แม่ เราทำได้แค่เอาน้ำมันเขียวฤทธิ์เย็นทาบริเวณที่เจ็บให้แม่ สอดคล้องกับบททบทวนธรรมข้อที่ 17 ว่า”เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ให้โลกและเราได้อาศัย ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น” หลังจากพิจารณาความกังวลใจก็หายไป ใจกลับมาเบิกบาน ความเป็นห่วงแม่ก็จางคลายลงมากพร้อมทำหน้าที่ลูกดูแลแม่เต็มที่ เต็มกำลัง
เรื่อง ผู้ดำเนินรายการคนใหม่
เหตุการณ์ :ได้รับมอบหมายจากหมู่กลุ่มให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ในรายการสายด่วน แพทย์วิถีธรรม ฝ่าวิกฤตโควิด 19 ทั้งที่เราเองไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อโอกาสมาถึง ก็เต็มใจที่จะบำเพ็ญ เต็มที่ เต็มกำลัง ตามความสามารถที่มี
ทุกข์ : มีความกังวลใจ
สมุทัย : ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องทำหน้าที่ออกมาดี ชอบใจที่ทำหน้าที่ได้ดี ชังที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดี
นิโรธ : จะทำหน้าที่ออกมาดีหรือไม่ ก็ไม่กังวลใจ
มรรค : ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วลงมือทำตามความสามารถที่มี ส่วนงานจะออกมาดีหรือไม่ เราก็เต็มใจรับขุมทรัพย์จากมิตรดี พร้อมปรับปรุงแก้ไข พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน เพราะเข้าใจวิบากดีวิบากร้ายอย่างแจ่มแจ้งว่า เราจะทำอะไรออกมาดีหรือไม่ดี มันก็แล้วแต่วิบากดีร้ายของเรา และของโลก แต่สัจจะคือโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แม้งานจะสำเร็จ แต่ในความสำเร็จของงาน ก็ยังมีข้อบกพร่อง ที่จะต้องนำมาทบทวน พัฒนาให้ดีกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงว่าความสำเร็จของงานคือความลวง แต่ใจที่ไร้ทุกข์ ไม่ติดยึดในงานคือความจริงตามบททบทวนธรรมข้อที่ 78 ว่า “ความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จของกิจกรรมการงาน คือความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ ส่วนความสำเร็จของใจที่พ้นทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่นคือความจริง” เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้ว ความกังวลในใจก็หายไป แล้วลงมือทำหน้าที่ด้วยใจที่เบิกบาน
เรื่อง คุ้มจริงๆ
เหตุการณ์ ตั้งใจไว้ว่ายังไงๆก็จะไม่ฉีดวัคซีน ปรากฏว่าลูกไปจอง แล้วขอร้องให้ฉีด
ทุกข์ ไม่อยากฉีดวัคซีน
สมุทัย ชอบถ้าไม่ต้องไปฉีดวัคซีน ชังต้องไปฉีดวัคซีน
นิโรธ ต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีดก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค เมื่อเหตุการณ์บังคับ จึงจำยอมเพื่อความสบายใจของลูก เมื่อถึงวันฉีดก็ไม่ได้กลัว แต่ฉีดแล้วมีผลข้างเคียง วันแรกตกเย็นเป็นไข้หนาวสั่น แล้วเกิดอาการคันปาก คันคอ คันหัวด้วย วันที่สองอาการหนาวสั่นหาย แต่อาการคันยังอยู่ และมีอาการไม่ถ่าย ปกติจะถ่ายทุกวัน จึงใช้หลักยา 9 เม็ด แก้อาการโดยดื่มน้ำปัสสาวะทั้งวัน ดื่มน้ำสามสหาย กัวซา พอกทา ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ดื่ม
น้ำสมุนไพรกลั่นผสมน้ำเปล่า เพราะร่างกายร้อนมาก
ส่วนอาการคันก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มาพิจารณาผลของวิบากกรรม เราโดนบังคับทั้งๆที่เราก็ไม่เต็มใจ แต่ต้องจำยอม สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราเคยบังคับใครต่อใครมามากมาย ตอนนี้เข้า
ใจความรู้สึกนี้เลย ได้ใช้วิบาก ส่วนผลข้างเคียงก็เป็นสิ่งดี มาให้เราได้เรียนรู้ และได้นำยา ๙ เม็ดมาใช้ จะได้ชำนาญ เพื่อมีใครมีผลข้างเคียงแบบเรา จะได้แนะนำได้
บททบทวนธรรมข้อ8
สิ่งที่เราได้รับคือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา
สรุป ใจก็เบาสบาย
เรื่อง ไม่ได้ดั่งใจ
เหตุการณ์ พ่อบ้านชวนให้ไปซื้อผลไม้ ธรรมดาพ่อบ้านผ่านทางนี้ประจำ และก็จะแวะซื้อมาเอง แต่วันนี้ชวนเราไปด้วย ปรากฏว่ามีของอยู่ แต่พ่อค้าดันไม่อยู่ ซึ่งปกติ พ่อบ้านจะรู้เวลาที่พ่อค้าขาย แต่วันนี้ชวนเรามาแต่พ่อค้าไม่อยู่
ทุกข์ ขุ่นใจพ่อบ้านพามาผิดเวลาเลยไม่ได้ซื้อผลไม้
สมุทัย ชอบถ้ามาถูกเวลาแล้วได้ซื้อผลไม้ ชัง มาผิดเวลา เลยไม่ได้ซื้อ
นิโรธ มาผิด หรือมาถูก เวลา ได้ซื้อผลไม้ หรือไม่ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ไปถึงร้านขายผลไม้แล้วพ่อค้าไม่อยู่ แม่ค้าข้างๆร้านบอกแกพึ่งกลับไปบ้านเมื่อกี้เอง ประมาณชั่วโมงกว่า ถึงมาแหละ จึงเกิดความขุ่นใจพ่อบ้านขึ้นมา สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราก็เคยนัดกับใคร แล้วก็มาผิดเวลา ก็ได้ชดใช้ เราต้องขอบ
คุณพ่อบ้านที่พามาผิดเวลา จึงได้เห็นความไม่ได้ดั่งใจของตัวเอง แล้วไปเพ่งโทษพ่อบ้านอีก จึงตั้งจิตยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
สรุปใจก็คลายลง ถ้าเป็นเมื่อก่อน จะพาลโมโหพ่อค้าด้วย แต่เที่ยวนี้ไม่โมโหพ่อค้าเลย และปากจะบ่นพ่อบ้านไม่หยุด แต่ตอนนี้บ่นในใจนิดหนึ่ง วาจาไม่ออกมา แล้วสำนึกผิดได้เร็วกว่าที่ ผ่านมา
#แม่ซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากอาหารจากสัตว์
เมื่อวันพฤหัสฯ (5/8/64) ที่ผ่านมา ไปซื้อของที่ร้านขายของชำกับแม่ หลังจากซื้อของที่ตั้งใจไว้เสร็จแล้ว แม่ก็ไปหยิบขนมปังไส้ไก่หยองน้ำพริกเผามา 2 ถุงด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว ผมก็สัมผัสถึงความทุกข์ใจได้โดยทันที เพราะรู้สึกไม่ได้ดั่งใจที่แม่จะซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากอาหารจากสัตว์ไปกิน
ทุกข์ : ทุกข์ใจเพราะไม่ได้ดั่งใจที่แม่จะซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากอาหารจากสัตว์ไปกิน
สมุทัย : จะรู้สึกทุกข์ใจถ้าแม่ซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากอาหารจากสัตว์ แต่จะรู้สึกสุขใจถ้าแม่ไม่ซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากอาหารจากสัตว์
นิโรธ : สามารถผาสุกใจได้ไม่ว่าแม่จะซื้อขนมที่มีส่วนผสมจากสัตว์หรือไม่
มรรค : กรณีนี้ผมเดินมรรคโดยการพิจารณาว่า สิทธิที่ผมสามารถทำได้ในเรื่องนี้คือ ผมสามารถแนะนำแม่ได้เตือนแม่ได้แค่เพียงเท่านั้น แต่ผมไม่สามารถที่จะไปตัดสินใจแทนแม่ได้ ส่วนสิทธิในการตัดสินใจเป็นของแม่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
นอกจากนั้นก็นำเรื่อง พรหม 3 หน้า พรหม 4 หน้า มาพิจารณา ว่า ถ้าผมเป็นพรหมได้เพียงแค่ 3 หน้า แต่ไม่ยอมวางดีไม่อุเบกขา สุดท้ายผมก็จะเป็นได้แค่เพียงคนดีที่โลกไม่ต้องการ และในที่สุดผมก็จะต้องตกนรกของคนดี ซึ่งนรกของคนดีเป็นนรกที่น่ากลัวกว่านรกของคนชั่ว
นอกจากนี้ผมก็ยังได้นำบททบทวนธรรมบางบทมาร่วมพิจารณา เช่น บทที่ 3 ที่มีเนื้อหาใจความว่า “นับ ๑ ที่เรา เริ่มต้นที่เรา ทำความดีที่เรา นี่คือ เส้นทางเพื่อการพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์”
เรื่อง กังวลว่าน้องจะใช้ชีวิตลำบาก
เหตุการณ์ โทรไปหาน้องเหมือนที่เคยโทรทุกวันแต่วันนี้โทรไม่ติดมีฝากหมายเลขโทรกลับโทรไปมาอีกครั้งก็ไม่ติดก็มีความกังวลว่าที่บ้านจะมีปัญหาอะไรไหมเพราะวันก่อนน้องโทรบอกว่าน้าเขยไปงานศพแล้วคนที่ไปงานติดโควิชแล้วเขาอาจจะให้คนที่ไปงานไปกักตัวก็ได้
เราก็เลยกังวลว่าที่บ้านจะมีปัญหาอะไรไหมจะต้องไปกักตัวกันหรือเปล่ากลัวกังวลว่าจะใช้ชีวิตกันยังไง
ทุกข์ คิดกังวลว่าคนที่บ้านจะโดนกักตัวมั้ยใช้ชีวิตกันลำบากหรือเปล่า
สมุทัย ถ้าคนที่บ้านไม่ต้องลงกักตัวไม่ต้องลำบากเราจะสุขใจ ถ้าคนที่บ้านต้องโดนกักตัวต้องใช้ชีวิตลำบากเราจะทุกข์ใจ
นิโรธ คนที่บ้านจะโดนกักตัวหรือไม่โดนกักตัวจะใช้ชีวิตลำบากหรือไม่ลำบากเราก็ต้องยินดีสุขใจให้ได้
มรรค ตั้งศีลมาปฏิบัติให้เห็นความทุกข์จากความคิดแบบกิเลสความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเกิดดีดังใจหมายเราจึงจะสุขใจ ให้เห็นชัดถึงเรื่องกรรมเรื่องวิบากกรรมว่าใครจะได้รับอะไรเกิดจากกุศลอกุศลที่คนนั้นได้ทำมา
สรุป เมื่อคิดได้ตามนั้นก็รู้สึกวางใจคลายใจได้
เรื่อง ได้คะแนนสอบน้อย
รู้สึกตัวเองโชคดีมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสมาเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม และทำให้ได้เชื่อมไปรู้จักกับชาวอโศกด้วย ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่ดีต่าง ๆมากมาย รวมถึงกิจกรรม เรื่อง การสอบต่าง ๆ สอบทีแรก ๆ เราก็ได้เห็นกิเลส ที่รู้สึกหวั่นไหวกับผลสอบที่ออกมา เห็นความอยากได้คะแนนมาก ๆ จะสุขใจ ได้คะแนนน้อย ๆ จะทุกข์ใจ และได้สู้กับกิเลสตัวนี้มาตามลำดับ เห็นน้ำหนักมันจางคลายลงเรื่อย ๆ แต่ยังไม่สิ้นเกลี้ยง จึงตั้งศีลสู้กับกิเลสตัวนี้มาเรื่อย ๆ ยิ่งในช่วงนี้ พวกเรามีการเรียนรู้ที่ได้มีโอกาสสอบบ่อยขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะได้จัดการ กับกิเลสตัวนี้เป็นยิ่งนัก สอบวิชาโน่นนี่นั่น บางวิชาที่สอบผ่าน google form ก็จะรู้คะแนนเลยทันทีที่สอบเสร็จ เมื่อวันก่อนที่สอบปลายภาค วิชา อริยสัจ 4 ไปก็จะรู้คะแนนเลย พอทำข้อสอบเสร็จเห็นตัวผลักที่ไม่อยากดูคะแนนขึ้นมาแว๊บนึง ไม่ทันได้คุยกันก็หายไปซะก่อน ดูอาการต่อไป จึงกดดูคะแนนด้วยใจปกติ เห็นคะแนนเกือบเต็ม และเห็นความอยากรู้ในข้อที่ผิด เห็นอาการกิเลสที่เกิดขึ้นในใจแล้ว จึงนึกถึงศีลที่ตั้งไว้ เริ่มสำรวมกาย วาจา ใจ ในเรื่องนี้มากขึ้น และก่อนนอนก็ทบทวนดูอีกครั้ง และคิดไปถึงขั้นที่ว่า อยากรู้ว่าถ้าได้คะแนนน้อย ๆ จะมีอาการเวทนาเป็นอย่างไรจะทุกข์แค่ไหน รู้สึกสนุกกับการอยากเห็นอาการนี้จัง จึงนึกไปว่า ถ้ามีสอบสอบคราวหน้า และเราจะตั้งใจตอบในข้อที่ผิดเลยให้คะแนนออกมาให้น้อย ๆ เลย แค่คิดเท่านั้น วันต่อมาวิชาที่สอบอัตนัยไป มาประกาศผลคะแนน ให้ทราบพอดี ก็ได้เจอโจทย์นี้เข้าแล้ว
ทุกข์ : เห็นอาการหมอง ๆ เกิดขึ้นในใจ ตอนที่เห็นว่าได้คะแนนน้อย
สมุทัย : มีความอยากได้คะแนนมากจะสุขใจ ได้คะแนนน้อยจะทุกข์ใจ ที่ยังเหลืออยู่จริง ทำให้ใจเราหมอง ๆ ไม่ปกติ
นิโรธ : จะได้คะแนนมากหรือน้อย ใจก็เป็นปกติได้ ผาสุกใจได้ ได้ร่วมกิจกรรมกับหมู่มิตรดีก็ดีมากแล้ว
มรรค : เมื่อเห็นกิเลสตัวนี้โผล่ขึ้นมาแสดงอาการที่ส่งผลต่อใจให้หมอง ๆ ไม่สดชื่นเหมือนปกติ จึงพิจารณาถึงโทษภัยที่ปล่อยให้หลงเหลืออยู่มาทำให้ใจเราหม่นหมองเกิดขึ้น และพิจารณาประโยชน์ของการตั้งศีลเรื่องนี้ต่อ เราโชคดีมากที่ได้มีโอกาสเห็นกิเลสที่เหลืออยู่โผล่ขึ้นมา เดาเอาไม่ได้จริง ๆ และได้พิจารณาต่อไปอีกว่าที่เรามาร่วมพากันทำกิจกรรมกับหมู่มิตรดีก็เป็นการเอาความสามารถที่มีมารวมกันร่วมบำเพ็ญกิจกรรมดี ๆ ที่แต่ละท่านบำเพ็ญตามความถนัดของตน ตามวาระโอกาสที่มี พิจารณา ว่าคะแนน เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาเพื่อสะท้อนความจริงเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเทียบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ณ เวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นตั้งขึ้นเท่านั้น ทำให้ได้รู้และเข้าใจได้ว่ายังมีความพร่องในเรื่องใด และโลกนี้ก็พร่องอยู่เป็นนิตย์ และท่านใดทำได้ดีในเรื่องใด ณ เวลานี้ จะพัฒนาข้อพร่องต่อก็เรียนรู้ฝึกฝนมุมนั้นต่อไปเท่าที่ทำได้ เหมือนกับที่เริ่มมาเรียนรู้ตอนแรก ๆ ในแต่ละเรื่องเท่านั้นเอง แต่สุขทุกข์ที่เกิดขึ้นนี่แหละคือความลวงที่เราไม่ควรไปหลงเสพอีกต่อไป เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำให้ระลึกสำนึกผิด ยอมรับผิด ที่เราเคยไปพลาดหลงใหลจมปลัก อยู่กับความลวง เรื่อง คะแนนมานาน เหนี่ยวนำให้ผู้คนทั้งโลกต้องเสียพลังงานไปสุขทุกข์กับเรื่องสมมุติโลกที่ตั้งขึ้นมา ให้ผู้ที่หลงติดยึดวนสุขวนทุกข์อยู่ไม่รู้จบ และตั้งจิตหยุดสิ่งไม่ดี สำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ไปเหนียวนำผู้ใดอีกต่อไป เราโชคดีที่ได้พบหมู่มิตรดี ที่พากันทำกิจกรรมกันมา เป็นผัสสะมากระทบให้เห็นกิเลสได้ล้างตัวติดยึดที่หลงเหลืออยู่ เมื่อพิจารณาไปใจที่หมอง ๆ พลันหายไป ความสดชื่น เบิกบาน เป็นปกติก็กลับมา
เรื่อง : กลัวตาย
เนื้อเรื่อง : ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ครบทั้ง 2 เข็มแล้ว แต่ผลข้างเคียงของแต่เข้มช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คือเข็มแรกมีอาการเพียงเล็กน้อยเจ็บบริเวณที่ถูกฉีดเท่านั้น ยังสามารถไปทำงานประจำและใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่เข็มที่ 2 ซึ่งเป็นวัคซีนคนยี่ห้อกัน กลับมีอาการผลข้างเคียงมากมายเหลือเกิน เป็นทุกอาการที่คนอื่น ๆ ที่เขาฉีดวัคซีนแล้วมาเล่าให้เราฟัง เช่น ไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน มีผื่นแดง เป็นจุดจ้ำเลือด และที่ทรมานมากที่สุด คือ การปวดบั้นเอว ซึ่งระดับการปวดนี่เหมือนจะปวดเข้าไปถึงกระดูกเลยเชียว ดังนั้นจิตจึงแว๊บคิดถึงเรื่องความตายเข้ามา
ทุกข์ : กลัวว่าตนเองจะตาย
สมุทัย : ไม่อยากตายด้วยความทรมาน
นิโรธ : จะตายอย่างสงบหรือทุกข์ทรมาน เราก็ไม่ควรกลัวหรือทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาเห็นเวทนาทางกายที่หนักหน่วงจนถึงขั้นที่เราอาจจะตายได้เลยหรือนี่ ความเจ็บปวดนี้มีสาเหตุเกิดจากอะไรหนอ พิจารณาเห็นเหตุมาจากการกระทำในปัจจุบันของเราเองนั่นแหละ ที่ประมาทไม่ยอมเตรียมพืชผัก สมุนไพร วัสดุอุปกรณ์การถอนพิษไว้เลย เราจึงควรยอมรับผลกรรมครั้งนี้ เราทำเองเราก็ต้องรับเองสิ พิจารณาต่อไปว่าตายก็ได้นะ ก็ได้เตรียมตัวไว้แล้วนี่นา ทรัพย์สิน/หนี้สินก็เขียนบอกรายละเอียดไว้แล้ว รหัสโทรศัพท์ รหัสแอปพลิเคชันธนาคารออนไลน์ก็บอกพ่อบ้านไว้แล้ว ลูกชายก็โตพอสามารถช่วยเหลือดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนี่ การบำเพ็ญกับครูบาอาจารย์หมู่มิตรดี เราก็ทำเต็มที่ดีเท่าที่เราทำได้แล้ว ไม่มีเราท่านอื่น ๆ ก็ยังบำเพ็ญกันต่อไปได้ กุศลวิบากดีร้ายเราจะมีเท่านี้ก็รับเท่านี้ล่ะ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ใจเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ ณ ปัจจุบัน จนผลอยหลับไปได้ในที่สุด แม้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งอาการเวทนาทางกายจะไม่ลดน้อยลง แต่ใจเราที่ยินดีพร้อมรับวิบากร้ายครั้งนี้ด้วยความเต็มใจ วางใจกับลมหายใจ ณ ปัจจุบัน เวทนาทางกายก็เป็นแค่กับกายขันธ์ ไม่สามารถสร้างเวทนาให้เกิดขึ้นในใจเราได้ ความกลัวตาย ความหวั่นไหวก็หายไปได้ในที่สุดค่ะ
ชื่อเรื่อง : เกร็งกำไรในยุคโควิด ?
สมาชิกในครอบครัวมาแจ้งว่า จะนำเงินที่มีไปซื้ออาคารพาณิชย์อีกหลังพร้อมที่ดินในกรุงเทพฯ เพื่อให้เราได้สามารถทำกสิกรรมในกรุงเทพฯได้ จึงแจ้งกลับว่าในกรุงเทพฯมีพื้นที่น้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม เพราะบ้านพักที่อยู่ปัจจุบันในกรุงเทพฯก็ไม่ต่างกัน พูดคุยไปมาจึงทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า ท่านต้องการซื้อเพื่อนำมาเกร็งกำไร เหมือนที่เคยทำได้ในอดีตก่อนช่วงโควิด และพูดความจริงในใจของท่านอีกเรื่อง คือ ท่านต้องการให้เราไปสานต่อการขายสินค้าแฟชั่นของท่าน เพื่อจะได้นำเงินมาทำสิ่งนั้นนี้ที่ท่านวาดฝันไว้เพิ่ม และอ้างว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำให้ท่าน (ท่านขึ้นเสียง) เราจึงบอกด้วยความเป็นห่วงว่า ในช่วงสถานการณ์นี้ แม้แต่ดาราที่มีกำลังซื้อมาก ยังขายของเก่าและไม่สามารถซื้อขายกันได้เหมือนในอดีตแล้ว ทำไมท่านจึงกล้าเสี่ยงเช่นนี้ ในใจไม่อยากให้ท่านนำเงินที่น่าจะเก็บไว้ใช้ทั้งชีวิตมาลงทุนแบบนี้ จากนั้นเสนอสินค้าที่เป็นมิตรดีต่อโลกให้ท่านได้พิจารณา แต่ท่านยังไม่สนใจ จึงแจ้งความจำนงไปว่า จะไม่ขอสานต่ออะไรก็ตามที่ไม่ได้สนใจ และจะขอเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดด้วยตนเองเท่านั้น (พิจารณาแล้ว ไม่สามารถพูดได้ว่า สินค้านี้ผิดศีล และเป็น “มิจฉาอาชีวะ” มอมเมาผู้อื่นด้วยแฟชั่น เพราะท่านทำงานนี้มานานมากและประสบความสำเร็จ จึงแตะไม่ได้) ขอร้องท่านว่า “อย่าบังคับกันเลยค่ะ!”
ทุกข์ คือ หงุดหงิด ไม่พอใจ จนมีน้ำเสียงที่แข็ง ดูประชดเพิ่มขึ้น แต่ไม่มาก ยังควบคุมได้พอสมควร
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) คือ เป็นห่วงสมาชิกในครอบครัว เพราะไม่อยากให้ท่านลงทุนอะไรในช่วงโควิดและยังขายสินค้าผิดศีล เป็นห่วงตนเอง เพราะไม่ชอบให้ใครบังคับ และไม่อยากทำงานที่เป็นมิจฉาอาชีวะ
นิโรธ (สภาพดับทุกข์) คือ ไม่ชอบไม่ชังท่านจะลงทุนหรือไม่ก็ได้ ยินดี พอใจ ไร้กังวล ยอมรับที่ท่านจะพูดเหมือนบังคับ ให้ต้องทำงานที่เป็นมิจฉาอาชีวะ ใจก็ไม่ทุกข์
มรรค (ทางเดินสู่ความพ้นทุกข์) คือ พิจารณาวิบากกรรมที่ในอดีตได้ประกอบอาชีพที่มอมเมาผู้อื่นไว้เยอะมาก เช่น ขายบุหรี่ ขายเหล้า ขายขนมที่ไม่มีประโยชน์ ขายน้ำอัดลม ขายอสังหาริมทรัพย์ ขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ฯลฯ รวมกับวิบากกรรมที่เราก็หลงกิน ใช้ มอมเมาตนเองด้วย จึงไปเหนี่ยวนำให้สมาชิกในครอบครัวยังหลงคิดว่า สินค้าที่ไม่เป็นประโยชน์นั้น ยังดีสำหรับชีวิตท่าน และตนเองก็เคยหลงคิดว่า การที่เราได้ใช้ชีวิตที่ดี พอเพียงเรียบง่าย ก็ย่อมดีสำหรับทุกท่าน จึงหลายครั้งเผลอโน้มนาว เผลอบังคับให้ผู้อื่นต้องทำดีตามที่เราชอบ เราจึงไม่ต่างจากสมาชิกในครอบครัว ที่ท่านก็อยากให้ผู้อื่น ได้ทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีสำหรับท่านเช่นกัน เชื่อชัดในกรรม สำนึกผิด ตั้งใจพากเพียรจะไม่ทำอีก เท่าที่นี้ ตระหนักว่าท่านก็คงเป็นห่วงเราเช่นกัน ไม่โทษที่ท่านมาพูดหรือมาทำเช่นนี้กับเรา ส่งความปรารถนาดีให้ท่าน พยายามใช้คำพูดที่เป็นลักษณะของความห่วงใย และเจรจากับท่านให้เห็นใจกันและกัน เพราะท่านเองก็เคยโดนบังคับมาในช่วงวัยเด็ก จากนั้นไม่นานได้ทราบข้อมูลมาจากน้องสาวว่า ท่านพูดว่า ถ้าไม่อยากสานต่องานของท่าน ก็ไม่เป็นไร ท่านจะให้ผู้อื่นมาทำแทนได้ พิจารณาต่อให้สุดว่า หากท่านต้องพบสถานการณ์ที่ท่านขาดทุน หมดตัว หรือสภาพไม่ดีอะไรก็ตาม เราจะรู้สึกอย่างไร? ก็ได้คำตอบว่า ก็ดีเหมือนกัน คนเราบางครั้งต้องไปพบกับสถานการณ์ที่เป็นจุดทุกข์ที่สุดในชีวิตก่อน จึงจะมีความคิดและชีวิตที่มาถูกสัมมา และใจพร้อมน้อมรับ หากท่านยอมรับที่จะให้เราช่วยประยุกต์งานให้เป็นไปในแบบ “สัมมาอาชีวะ” เราก็ยินดีช่วยทำ ช่วยผ่อนไป ในทางที่โลกยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่ไม่ผิดจนมอมเมา
Comments are closed.