640725 การบ้าน อริยสัจ 4 (30/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 19-25 กรกฎาคม 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านทั้งหมด 31 ท่าน 44 เรื่อง
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- นางสาวสันทนา ประวงศ์
- นฤมล ยังแช่ม (2)
- น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี (2)
- น้องถนอม วิไลสัก (3)
- น้องสีอำไพ วิไลสัก (ปุ้ย) (3)
- ด.ญ กันติชา รัตนนิรันดร (นาเดีย)
- มงคลวัฒน์ รัตนชล (เพชรไพรพุทธ ) (2)
- ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล) (2)
- นางพรรณทิวา เกตุกลม (2)
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร) (2)
- พรทิพย์ อิ่มทุ่งน้อย
- ด.ญ จีระญาดา เรียนจันทร์ (2)
- จิตรา พรหมโคตร
- เรือนแก้ว สว่างวงษ์ ( นก แก้วเย็นศีล)
- อัญชลี พุ่มแย้ม (เย็นแสงธรรม)
- พรพิทย์ สามสี (เพื่อนพิทย์)
- สุมา ไชยช่วย (2)
- น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
- ก้าน ไตรยสุทธิ์
- น.ส กิรณา สุขสุดกุลธน
- พลัฏฐ์ รัตนวชิรินทร์
- สายพิมพ์ ลิ้มไพบูลย์
- มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)
- นปภา รัตนวงศา (2)
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- ด.ช.จิรวศิน เรียนจันทร์
- รมิตา ซีบังเกิด
- นางสาวนาลี วิไลสัก (นาดี)
- Ruam ketklom



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 155
อริยสัจ 4
เรื่อง ผิดนัด
เรื่องเวลาที่แตกต่างกันทำให้ผิดนัด ฤดูร้อนที่ประเทศเยอรมนี ช่วงนี้เวลาจะต่างจากเมืองไทยอยู่ 5 ชั่วโมง ทำให้ตัวข้าพเจ้าผิดนัดเพื่อนไปตั้ง 1 ชั่วโมง เพราะตอนที่รับปากนัดกับเพื่อนนับเวลาผิด เป็นสาเหตุต้องทำให้เพื่อนรอ แล้วยังทำให้เพื่อนเป็นห่วงกลัวว่าตัวข้าพเจ้าจะไม่สบายอีกด้วย
ทุกข์ : รู้สึกผิดที่เพื่อนตั้งรอนาน
สมุทัย : ไม่น่าพลาดเรื่องเวลาเลย น่าจะรอบคอบกว่านี้ ไม่อยากผิดนัดกับเพื่อน ถ้ามาตรงเวลาจะสุขใจพอใจ
นิโรธ : ก็มันพลาดไปแล้ว เวลาก็ผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือ ขอโทษและขออโหสิกรรมต่อตนเองและเพื่อน และครั้งต่อไปจะตั้งสติให้ดีกว่าครั้งนี้ สิ่งที่พลาดไปแล้วจะถือว่าเป็นครู จะพยายามไม่พลาดอย่างนี้อีก และจะไม่ทำทุกข์ทับถมตนเอง
มรรค : พอรู้ตัวว่าข้าพเข้ามาสายเพราะคำนวณเวลาผิด ก็เห็นอาการในใจคือตกใจ หน้าร้อนผ่าว ๆ เกิดขึ้นกับทางกาย มือก็เริ่มสั่น รีบจับโทรศัพท์ โทรหาเพื่อนทันที่รีบขอโทษเพื่อน อย่างเร็วและได้อธิบายถึงเหตุผลให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เข้าใจ และให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไรจ้ะ มันพลาดกันได้ ก็เลยเห็นใจที่กังวลเริ่มผ่อนคลายลง และสงบลงได้ในที่สุด
ทุกข์ที่มีทางใจและกายก็ค่อย ๆ คลายหายไปในที่สุด โชคดีที่มีหมู่มิตรดี ที่ไม่ซ้ำเติมและโกรธเคือง ทำให้ไม่มีการวิวาทกัน ขอบพระคุณเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ใช้วิบาก และได้ทำให้ข้าพเจ้าต้องรอบคอบมากขึ้น สาธุ
เรื่อง : น้องชายปวดหลัง
เหตุการณ์ : น้องชายวีดีโอมาคุยด้วย ไม่ได้คุยกันเลยมาประมาณ ๑ ปีกว่าแล้ว พอได้คุยกันก็ถามเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องความเป็นอยู่ การค้าขายที่ร้าน เรื่องหลานๆ มาตรงประเด็นที่น้องพูดเรื่องสุขภาพตัวเอง บอกว่ามีอาการปวดหลัง นอนบนที่นอนไม่ได้ ต้องนอนกับพื้น เห็นอาการใจเราแป๋ว หวั่นไหว ขึ้นมาเลย ไม่อยากให้น้องเป็น อยากให้เขาสุขภาพแข็งแรงดี (อยากเป็นกิเลส เป็นทุกข์) น้องมีน้ำหนักตัวเยอะ อ้วน ได้พูดแนะนำการกินอาหารกับการออกกำลังกายท่าโยคะไป เรารู้สึกว่า เราพูดได้ไม่เต็มปาก รู้สึกละอายใจ เพราะเราช่วงนี้ก็อ้วน น้ำหนักก็เพิ่ม กินมาก กินหลายมื้อด้วย แล้วจะไปบอกให้น้องชายลดความอ้วน ไม่มีพลังการพูดได้เต็มปากเลย ละอายใจอยู่ หลังจากคุยกับน้องเสร็จ ก็กลับมาคิดทบทวน ขอบคุณมาตลีเทพสารถีที่มาเตือนเราแล้ว ให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การกินได้แล้ว
จึงตั้งศีลกินมื้อเดียวให้มั่นคง ให้มากที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ เริ่มเย็นนี้เลย เพื่อตัวเราเองก่อน เริ่มต้นที่เรา นับ ๑ ที่เรา วันรุ่งขึ้นได้เล่าให้เพื่อนฟังว่าเรารู้สึกละอายใจ และพูดได้ไม่เต็มปากกับน้องชาย เพื่อนแนะนำว่าให้บอกในส่วนที่เราทำได้สิ เช่น เรื่องเลิกเนื้อสัตว์ ให้น้องชายลดละเลิกการกินเนื้อสัตว์ เพราะเป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆ เช่น ไขมัน ความดัน โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคมะเร็งตามมาอีก เรื่องอาหารที่ควรกิน หรือ ๑๐ อย่างอาหารอันตรายต่อสุขภาพ ให้บอกในสิ่งที่เราทำได้ ถ้าไม่งั้งเราจะได้ช่วยคนไหม? ถ้าจะรอให้เราสมบูรณ์ บริบูรณ์ก่อนน่ะ น้องชายเขาเห็นทุกข์แล้ว รู้สึกปวดหลังแล้ว เป็นโอกาสอันดีเวลานี้ บอกข้อมูลดีๆ ออกไป แล้วก็วางใจ เขาจะทำได้ไม่ได้ก็เป็นวิบากดีร้ายของเขา ก็ต้องวางใจเราให้ได้จริงๆ เรารู้สึกขอบคุณเพื่อนจริงๆ มาเติมเต็มให้เราได้ฝึกประมาณ ฝึกช่วยคน ทำกุศลไปด้วยล้างกิเลสไปด้วย ประโยชน์สูงสุดที่เราความทำ
ทุกข์ : ทุกข์ใจ ไม่อยากให้น้องชายปวดหลัง มีอาการใจเราแป๋ว หวั่นไหวเล็กๆ อยู่ในใจ
สมุทัย : เกิดจากตัณหาความอยาก อยากให้น้องชายสุขภาพแข็งแรงดี
ชอบ- (ใจ) ถ้าน้องชายสุขภาพแข็งแรงดี
ชัง- (ไม่ชอบใจ) ถ้าน้องชายสุขภาพไม่แข็งแรง มีอาการเจ็บป่วย ปวดหลัง ไม่สบาย
นิโรธ : น้องชายจะสุขภาพแข็งแรงดี หรือไม่แข็งแรง มีอาการเจ็บป่าย ปวดหลัง ไม่สบาย เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาโทษของกิเลส ได้เห็นว่า ความอยากเป็นกิเลสเป็นทุกข์ อยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน จับอากาศ ปั้นอากาศ เห็นทุกข์ใจ ใจแป๋ว หวั่นไหว ไม่ควรมีในตัวเรา ใจสงบ เบิกบาน แจ่มใสดีกว่า
พิจารณาเรื่องกรรม เชื่อชัดเรื่องกรรม กรรมของน้องชาย เขาจะเป็นอะไร? จะได้รับอะไร? ก็เพราะกรรมของเขา เขาทำเอง เป็นผู้กำหนดเอง ได้ดีก็เพราะเขาทำดีมา ได้ร้ายก็เพราะเขาทำร้ายมา เราไปขวางไม่ได้
ผล : ความทุกข์ใจคลายหายไปเป็น ๐ % กับเหตุการณ์นี้ เลิกทุกข์ เลิกอยากให้น้องชายมีสุขภาพแข็งแรง สาธุค่ะ
อ่านได้แต่ยังไม่ชัด
จากการลด ละ เลิก การกินขัาวเหนียวด้วยพิจารณาโทษว่ากินแล้วมีอาการท้องอืด ง่วงนอน และอาการทุกข์ใจ ไม่แช่มชื่นใจ ที่ไม่ได้กิน และกิเลสมาชวนให้กินทุกวัน แต่ก็ต่อสู้ไม่กินพิจารณาโทษซ้ำ ๆ จน ณ ขณะนี้ไม่กินข้าวเหนียวโดยที่ไม่ทุกข์ใจเหมือนครั้งก่อน ๆ แล้ว เมื่อเลิกกินข้าวเหนียว แล้วเราจะกินอะไรดี กินข้าว กินกล้วยดีกว่า อย่างน้อยก็ร้อนน้อยกว่าข้าวเหนียว เมื่อกิเลสไม่ได้กินข้าวเหนียว ก็กินข้าว แต่กินในปริมาณ ที่เกินอยู่ กินแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง แน่น อึดอัด และง่วงนอนอีกด้วย รู้สึกว่าเราต้องตั้งศีลลดปริมาณของการกินข้าวให้น้อยลงกว่าเดิมอีก
ทุกข์ คือ ทุกข์ใจที่ต้องกินข้าวในปริมาณลดลง
สมุทัย คือ ชอบที่ได้กินข้าวปริมาณมาก ชังที่ได้กินข้าวในปริมาณที่ลดลง
นิโรธ คือ จะได้กินข้าวในปริมาณมากก็สุขใจ ได้กินข้าวในประมาณลดลงก็สุขใจ
มรรค คือ พิจารณาจากอาการทุกข์ใจ ไม่สดชื่น ในวันที่ตั้งศีลลดการกินข้าว และในระหว่างวันยังสังเกตได้ว่ามีอาการหงุดหงิด เพ่งโทษคนโน้น คนนี้ ได้ยินเสียงใครพูดอะไรก็ไม่ชอบใจ เห็นคนโน้นทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เห็นตัวเองว่ากำลังเป็นคนพาล มารกำลังครอบงำให้เป็นคนโง่ คนบ้าแล้ว เห็นโทษของกิเลสที่ปรุงความชังมาทำทุกข์ได้เป็นเรื่องราว กิเลสมีโทษอย่างนี้ ถ้าเรายังมีกิเลสอยู่เราก็ยังทุกข์อยู่แบบนี้ แล้งเราจะยังกินเกินอยู่หรือ เมื่อวานห้องเรียนอริยสัจ 4 ตอนอาจารย์บรรยาย ก็มีอาการง่วงจนต้องนอนก็ไม่ได้ฟังธรรมเพราะเสพกิเลส คือกินเกิน เราต้องพลาดจากโอกาสดี ๆ มีกิเลสมันไม่ดีแบบนี้ แล้วเราจะเลือกอะไร กินเกินทำมานานแล้ว แต่กินพอดียังไม่ได้ฝึก จะไม่บลองฝึกดูบ้างหรือ เมื่อได้พิจารณาอย่างนี้แล้วความทุกข์ในใจลดลง แต่ยังไม่หมด ไม่หมดก็ไม่เป็นไร มาเมื่อไรเราก็พิจารณาอีก
เรื่อง เจ้าหน้าที่เป็นเอง
เหตุการณ์ : เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาขายน้ำปั่นซึ่งมีแม่ค้าน้ำปั่นอยู่แล้ว 2 ร้าน และโรงพยาบาลมีสัญญาไว้ว่าห้ามแม่ค้าอื่นที่ไม่ใช่แม่ค้าประจำมาขาย รู้สึกขุ่นใจ เพราะเราขายประจำอยู่แล้ว แถมโต๊ะบริเวณร้านเราด้วย
ทุกข์ : รู้สึกขุ่นใจ ที่มีเจ้าหน้าที่มาขายน้ำปั่น
สมุทัย : ยึดตามสัญญาที่โรงพยาบาลทำไว้ว่าไม่ให้คนอื่นมาขายนอกจากแม่ค้าประจำ ชอบถ้าไม่มีคนอื่นโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่มาขาย ชังที่เจ้าหน้าที่มาขาย
นิโรธ : เจ้าหน้าที่มาขายน้ำปั่น หรือไม่ ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : วางความยึดในสัญญาและยอมรับความจริงที่เกิดในขณะนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่มาขายเราก็ต้องทำใจนึกถึงกรรมและผลของกรรมมีจริง เกิดเรื่องนี้ขึ้นไม่มีอะไรบังเอิญแน่ ชาติหนึ่งชาติใดหรือในชาติเราเคยทำผิดสัญญาแบบนี้มา เราจึงได้รับสิ่งนี้ ต้องขอบคุณที่มาให้เราได้เห็นตัวยึด ตัวขี้เหนียว มาให้เราได้ใช้วิบากก็ดีแล้ว
ส่วนเรื่องที่เขามาใช้พื้นที่โต๊ะเก้าอี้และทิ้งให้เราทำความสะอาดก็ไม่เป็นไรเพราะเราต้องเก็บทำความสะอาดอยู่แล้ว ได้ใช้ บททบทวนธรรมข้อที่12 มาพิจารณาคือ “วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไรก็เกิดจากการกระทำ ของเราเองทั้งหมด เจอเรื่องดี เพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดี เพราะทำไม่ดีมา ทั้งในปัจจุบัน และอดีตสังเคราะห์กันอย่างละ 1ส่วน”หลังจากพิจจารณาแล้ว ความรู้สึกขุ่นใจจางลงและหายไป ใจกลับมาเบิกบาน
อย่าหวังพึ่งสิ่งอื่่น
วันจันทร์ มีเรียนวิชา โภชนปฏิบัติ มีโอกาสได้บำเพ็ญเป็นผู้จัดบันทึกข่าวในชั้นเรียน แต่เนื่องด้วยตัวเองเป็นคนช้า จึงได้ซื้อเครื่องบันทึกเสียงมาช่วยในการทำงาน ตอนเริ่มต้นก็กดบันทึกแล้ว ในขณะเดียวกันก็พิมพ์สิ่งที่ได้ฟังที่ notebook ด้วย ส่วนไหนที่เราพิมพ์ไม่ทันก็จะฟังที่เครื่องบันทึกเสียงอีกครั้งหนึ่ง ตอนใกล้จบรายการก็อยากมีส่วนร่วมในการถ่ายรูป เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ว่าจะวางไว้ที่ไลน์ส่วนตัว สิ่งที่ทำคือวางไว้ที่ห้องนักศึกษาวิชชาราม ไม่ได้ตั้งใจจะวางภาพไว้ที่นี้ แต่ก็ไม่เป็นวางแล้วก็วางใจ เผื่อพี่น้องท่านจะได้ดูภาพ จากนั้นก็จะเริ่มพิมพ์งานข่าวต่อ จับเครื่องบันทึกเสียงมาเพื่อจะกดฟัง กดปุ่มผิดไปกดปุ่มปิดเครื่อง ไฟส์เสียงที่บันทึกไว้จึงไม่ได้ save ข้อมูลในเครื่องขึ้นว่า empy file คือความว่างเปล่า ทำไงดี
ทุกข์ คือ ทุกข์ใจที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในเครื่อง จึงเกิดความไม่แน่ใจว่าเราจะเขียนข่าวได้ถูกต้องไหม
สมุทัย คือ ชอบถ้ามีข้อมูลอยู่ในเครื่องบันทึกเสียง ทำให้เขียนข่าวได้อย่างมั่นใจ
ชังถ้าไม่มีข้อมูลอยู่ในเครื่องบันทึกเสียง เพราะทำให้เขียนข่าวแบบไม่มั่นใจ
นิโรธ คือ จะมีข้อมูลในเครื่องบันทึกเสียงก็สุขใจ ไม่มีข้อมูลในเครื่องบันทึกเสียงก็สุขใจ
มรรค คือ พิจารณว่าในเมื่อเครื่องบันทึกเสียงไม่มีข้อมูล เราก็จะเขียนข่าวเท่าที่เราจะทำได้ อาจจะถูกหรือผิดไปบ้าง ท่านที่ได้อ่านข้อมูลแล้วก็จะแจ้งมา เราก็แก้ไขตามที่มีพี่น้องแจ้งมาแล้วกัน คงไม่มีอะไรดีมากไปกว่านี้ ใจไม่ทุกข์ ถึงแม้เรามั่นใจว่าเราจะมีเครื่องมือช่วยในการทำข่าว วิบากร้ายมาทำให้กดผิด ข้อมูลก็หายได้ เราคงต้องพึ่งตนเองให้มากกว่านี้ อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอก วันนี้ก็ได้ฝึกแบบฝึกหัดอีก 1 ข้อ
20/7/2564
ชื่อ น้องถนอม วิไลสัก อายุ 9 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : ขี้เกียจเขียนการบ้าน
เหตุการณ์ : แม่กับน้องชวนเขียนการบ้าน แต่กิเลสบอกว่าไม่ต้องเขียนหรอกเสียเวลา ไปกินขนมดีกว่า
ทุกข์ : อึดอัด ไม่อยากเขียนการบ้าน
สมุทัย : ชังที่แม่กับน้องชวนเขียนการบ้าน
นิโรธ : ยินดีเต็มใจเขียนการบ้านด้วยใจเป็นสุข
มรรค : โทษจากการขี้เกียจเขียนการบ้านทำให้หนูไปกินขนมแล้วปวดท้อง หนูรู้สึกว่า วิบากเข้า ก็รีบกลับมาสารภาพกับแม่ แล้วเขียนการบ้าน ด้วยใจเป็นสุข อาการปวดท้องก็ลดลงค่ะ
20/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : ไม่อยากสารภาพบาป
เหตุการณ์ : วันที่นักเรียนวิชชารามพบลุงหมอเขียว หนูมีกิเลส ไม่อยากสารภาพบาปว่าตัวเองผิดศีลกินเนื้อสัตว์มา 2 ครั้ง
ทุกข์ : ใจไม่เบิกบาน อายที่จะสารภาพบาป
สมุทัย : ชังที่จะสารภาพบาปต่อหน้าลุงหมอเขียว
นิโรธ : เมื่อเราทำพลาด ต้องกล้าสารภาพบาป ด้วยใจเบิกบาน
มรรค : หนูรู้สึกว่ามันทุกข์ และเป็นบาปด้วย ก็เลยคิดว่าถ้าสารภาพ บาปจะลดลง เลยตัดสินใจสารภาพแล้วความทุกข์ใจก็หายไป
20/7/2564
ด.ญ กันติชา รัตนนิรันดร (นาเดีย)
เรื่อง : ฆ่ามด
เหตุการณ์ : หนูกำลังนั่งในห้องนอนแล้วก็มีมดแดงมากัดหนู หนูรู้สึกเจ็บและทุกข์ใจพอหนูดูรอบๆห้องก็เห็นมดแดงเต็มไปหมดหนูเลยไปบอกแม่ แม่ก็ให้น้ำหมักไล่มดต่อมาหนูเอาไปฉีดพอผ่านไปไม่กี่นาที บางตัวก็ตาย บางตัวไม่ตาย หนูเลยทุกข์ใจที่เห็นมดตาย
ทุกข์ : โมโหมดเลยไปเอาน้ำหมักไปฉีดใส่มัน
สมุทัย : ชอบที่มดไม่มากัดและไม่ทำให้มดตาย ชังที่มดไม่มากัดและไม่ทำให้มดตาย
นิโรธ : ไม่โมโหที่มดมากัดและไม่ฆ่ามดและใจเบิกบาน
มรรค : พิจารณาผลแล้วผลจากการไม่ฆ่ามดหรือสัตว์ต่างๆจะทำให้เราไม่ทุกข์ ไม่ทำให้สัตว์อื่นๆตายและทำให้เรามีความสุขและคนข้างๆเราก็จะทำแบบอย่างตามเราด้วยใจเบิกบาน
๑๘ก.ค ๒๕๖๔
ชื่อ มงคลวัฒน์ รัตนชล
yak.sa5422@gmail.com
ชื่อทางธรรม: เพชรไพรพุทธ
สังกัดสวนป่านาบุญ๒ชะอวด
เรื่อง จิตไม่ผ่องใสเพราะไม่ได้ทำการบ้าน
เหตุการณ์: สองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่ได้ทำการบ้านทุกข์อริยสัจ เมื่อตรวจจิตดูรู้สึกไม่ผ่องใสเท่าที่ควร มีหมองๆให้เห็นได้อยู่
ทุกข์: ไม่ได้ส่งการบ้านอริยสัจ
สมุทัย: ถ้าได้ส่งการบ้านจะสุขใจ ไม่ส่งการบ้านจะหมองใจ
นิโรธ: ไม่ทุกข์ใจแม้ว่าจะได้ส่งการบ้านหรือไม่
มรรค: พิจารณาเรื่องพร่องเรื่องพลาด เมื่อผ่านไปแล้วอย่าไปทำทุกข์ทับถมตนในเรื่องพร่อง เรื่องพลาดที่พลาดไปแล้ว และตั้งศีลขึ้นมาทำใหม่ และเอาประโยชน์ต่อเรื่องที่พร่องที่พลาด ทำให้กิเลสทับถมตนโผล่มาให้เห็นได้ล้างกิเลสตัวยึดดี ที่ควรทำเมื่อทำไม่ได้มักจะไม่โทษคนอื่น ก็จะทำทุกข์ทับถมตน ซึ่งถ้าไม่มีปัญญาที่ชัดมักจะเกิดทุกข์ทับถมตนขึ้นมาเสมอ ทำให้ทุกข์ใจ หมองใจ เมื่อพิจารณาเสร็จ ความหมองก็คลายไปกลับมาเบิกบาน ทำดีที่ทำได้ด้วยใจผ่องใส ผาสุข ล้างทุกข์ ล้างสภาวะจิตหมองไปได้ ใจก็เบิกบาน
๑๙ก.ค ๒๕๖๔
ชื่อ มงคลวัฒน์ รัตนชล
yak.sa5422@gmail.com
ชื่อทางธรรม: เพชรไพรพุทธ
สังกัดสวนป่านาบุญ๒ชะอวด
เรื่อง: จิตห่วงกังวลว่าอาจทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
เหตุการณ์:ในโรงเรียนของเรา รายการอริยสัจขจัดมาร ปกติจะมีคุรุขวัญเป็นผู้ดำเนินรายการ
แต่เนื่องจากในช่วงวันที่20ก.ค64 คุรุขวัญต้องไปดูแลผู้ป่วยโควิดสูงอายุที่ กทม. หมู่ได้มอบหมายให้ผม
เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ก็รู้สึกมีความกังวลว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าควร
ทุกข์: กังวลว่าจะทำหน้าที่พิธีกรในการดำเนินรายการได้ไม่ดีเท่าที่ควร
สมุทัย: ยึดว่าจะต้องทำหน้าที่ได้ดีเป็นประโยชน์ต่อหมู่และผู้ร่วมรับชม ถ้าทำได้ดีจะสุขใจ ถ้าไม่ดีจะทุกข์ใจ
นิโรธ: สุขใจ เบิกบานใจได้ไม่ว่าจะทำได้ดีหรือไม่
มรรค: เมื่อหมู่มอบหมายให้ทำ และเราก็ยินดีทำอย่างเต็มที่เต็มใจ ตามสภาวะที่มีจริงๆ ณ.โอกาสนั้นได้ก็สุขใจ และแม้ว่า เราทำได้ไม่ดีในแง่มุมบางมุมบกพร่องไป หมู่ก็สามารถช่วยเติมเต็มในเหลี่ยมมุมอื่นได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง กังวล ตัดคลายความกังวลและเบิกบานที่จะดำเนินรายการด้วยความยินดี เบิกบาน
เรื่อง..ฉีดวัคซีน
มีญาติที่ทำงานอยู่ที่ร.พ รามา ได้ติดต่อแจ้งให้เราขึ้นมา กทม มาหลายรอบแล้วเพื่อที่จะจัดคิวฉีดวัคซีนพิเศษไว้ให้ ถ้าขึ้นมาฉีดวัคซีนในช่วงนี้ เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานของเชื้อไวรัสโควิดที่กำลังระบาดหนักอยู่ ณ.ตอนนี้
ทุกข์..ใจ กังวลใจ ที่จะต้องเดินทางไปฉีดวัคซีนที่ กทม เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงสีแดง
สมุทัย..ชอบสภาพที่ไม่ต้องเดินทางไปฉีดวัคซีน ชังสภาพที่จะต้องเดินทางไปฉีดวัคซีน
นิโรธ..เป็นวิบากที่จะต้องใช้ในเรื่องของการเดินทาง มีเหตุปัจจัยได้รอบที่จะต้องเดินทางและรับการฉีดวัคซีน ไม่ชอบไม่ชัง ในสภาพจะได้เดินทางไปฉีดวัคซีน หรือไม่ได้เดินทางไปฉีดวัคซีน ใจก็ไร้ทุกข์ในทุกสถานการณ์ได้
มรรค..ได้ฟังธรรมจาก อ.จ หมอเขียวที่ท่านได้ชี้แนวทางในเรื่องนี้ว่า เป็นการได้ใช้วิบาก
ถ้ามีเจตนาดี ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นกุศลดีต่อตนเองและผู้อื่น
ใจไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะได้ ภูมิคุ้มกัน
ใจไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าใครจะวิจารณ์เรา
ใจไม่ยึดมั่นถือมั่น และไม่กลัว ไม่หวั่นไหว ใจไร้กังวล ในทุกๆสถาณการณ์ พลังไร้กังวลจะเป็นพลังบุญ ถ้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องกังวลใจ เมื่อเหตุปัจจัยวิ่งชน ถึงรอบกาละแล้วก็ต้อง”ยอม”
ได้ทำใจไว้ว่า ใครที่มีโอกาสเสี่ยงก็ควรจะฉีดก่อน การที่ได้มาใช้วิบากในรอบที่ได้กลับบ้านครั้งนี้ ในทุก(ทุกข์) สถานการณ์ที่เข้ามา ได้ใช้ธรรมะจากพ่อครู และ อ.จ และได้คุยสถาวะธรรมกับหมู่มิตรดี กับลูกชายที่ภูผาอยู่เรื่อยๆ และได้นำมาปฎิบัติในชีวิตประจำวัน ทุกข์ที่มีเท่าแผ่นดิน ก็เป็นเหมือนฝุ่นปลายเล็บ
นอกเหนือกว่านั้นคือ การปฎิบัติตัวให้มีวินัยกับคนเอง คือ การเว้นระยะห่าง สวมแม็กซ์ ล้างมือ ถือศีล ทำสมดุลย์ร้อย เย็น ด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ทำประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสัตว์อื่น ล้างความกังวล ล้างความชั่ว ในการไม่เบียดเบียนตนเอง สัตว์อื่น
วัคซีนเป็นแค่วัตถุ10-30%
จิตวิญญาณมีฤทธิ์70%+เกิน100.
สภาวะจิตบวกกุศล บวก อกุศลไปด้วย
ทำใจไว้ว่า ถ้าวิบากร้ายถึงขั้นจะต้องตาย ..
จะฉีด หรือไม่ฉีด ก็ตาย
ถ้าวิบากไม่ถึงขั้นตาย..จะฉีดหรือไม่ฉีดก็ไม่ตาย
“ทำความเข้าใจให้ชัด”
เจตนาที่ดี จะเป็น ประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ยินดี พอใจ ไร้กังวล ..สาธุ
เรื่อง แค่ฝุ่นปลายเล็บ
เหตุการณ์ : วันอาทิตย์ที่ผ่านมาช่วยกันยกกระถางปูนปลูกต้นไม้ขึ้นรถ สองใบแรกผ่านไปจนใบที่สามยกกันอย่างทุลักทุเล ยกยากมาก เหมือนจะหมดแรง จึงรู้สึกขัดใจที่ไม่มีแรงยก คิดว่าเป็นแบบนี้อาจพลาดตกลงได้ แต่ยังฝืนยก ทันใดนั้นกระถางเลื่อนลงเกือบตกจากรถช่วงชุลมุนรีบใช้มือคว้าอย่างเร็ว พ่อบ้านก็ช่วยรับไว้ด้วยเข่าเจ็บเพราะแขนเจ็บอยู่เช่นกัน มารู้ตัวว่าถูกกระถางครูด มีอาการเจ็บและเห็นแผลที่นิ้วกลางเนื้อขาดมีเลือดออกเยอะ
ทุกข์ : รู้สึกขัดใจ เพราะแรงไม่พอที่จะยกได้โดยไม่ลำบาก
สมุทัย : อยากโดยไม่ประมาณตัวเองว่ากำลังไม่พอจะยกกระถางสบายๆโดยไม่ต้องฝืน ชอบที่ยกได้ง่าย สบายๆ ชังที่ยกยากอย่างทุลักทุเล
นิโรธ : จะยกได้อย่างง่ายๆหรือยากก็สุขใจได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : เมื่อรู้ว่าบาดเจ็บรีบมาดูใจก่อนอื่นพบว่าที่เรารู้สึกขัดใจเป็นความคิดอกุศล พาให้ทุกข์ และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ว่าเพราะความอยากที่ไม่ประมาณตัวเองว่าแรงไม่พอที่ช่วยกันยกกระถางปูนสามใบแต่ก็ฝืนยกกันจนพลาดแล้วบาดเจ็บ เป็นวิบากของเราเอง เจ็บก็รู้ว่าเจ็บ เราทำชั่วมามากหาที่ต้นที่สุดไม่ได้นี่ เจ็บแค่นี้เดี๋ยวก็หาย รับแล้วก็หมดไป ซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 25 ว่า”เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อ…ให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก” หลังจากได้พิจารณาแล้วได้เห็นว่าเป็นจริงตามนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเราไม่ประมาณแล้วประมาทจนพลาด บาดเจ็บ พอเราได้คิดและสำนึก ความรู้สึกขัดใจก็หายไปใจกลับมาเบิกบาน ไร้ทุกข์ เหมือนเดิม
ส่วนแผลที่นิ้วไม่ได้เป็นทุกข์ใจ เป็นทุกข์กายแค่ฝุนปลายเล็บ แต่ก็ดูแลด้วยการใช้น้ำปัสสาวะล้างแผลทันทีพอเลือดก็หยุด ใช้น้ำมันสาบเสือหยอด ทา ที่แผลสองวันก็หายเจ็บและ แผลแห้ง
21/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : อยากกินขนมจีนน้ำยาหมู
เหตุการณ์ : ที่บ้านของน้าทำขนมจีนน้ำยาหมู น้องปุ้ยเห็นแล้ว กิเลสสั่งการว่า เราแค่ตั้งศีลลดเนื้อสัตว์ กินได้เพราะเรายังไม่ได้ตั้งศีลเลิก
ทุกข์ : ใจร้อนรน อยากไปกินขนมจีนน้ำยาหมู
สมุทัย : ชังที่ไม่ได้กินขนมจีนน้ำยาหมู
นิโรธ : เลิกอยากกินขนมจีนน้ำยาหมู ใจจะเป็นสุข
มรรค : พอหนูรู้ว่ากิเลสกำลังสั่งการให้เราไปทำบาป หนูก็เลยโยนเรื่องนี้เข้าหมู่มิตรดี เมื่อได้ปัญญาจากหมู่แล้ว หนูก็คิดได้ว่าหากเนื้อหมูนี้เป็นเนื้อพระโพธิสัตว์ เราต้องรับวิบากหนักเป็นแน่ แล้วหนูก็ตั้งศีลเลิกกินเนื้อหมูด้วยใจเป็นสุข
ส่งการบ้านอริยสัจ4
เรื่อง. ซื้อขายได้ล้างทุกข์
เหตุการณ์.เนื่องจากที่บ้านมีทุเรียนอยู่1ต้นแล้วปีนี้เป็นลูกประมาณ15ลูก ได้แบ่งปันที่เหลือก็ขาย กิเลสบอกว่าเราจ้างคนขึ้นตัดเราต้องขายบ้างแต่จะขายในราคาบุญนิยม คือต่ำกว่าท้องตลาด เป็นทุเรียนไร้สารพิษที่เราคิดว่าเหลือจากแบ่งปันแล้วก็จะขายแบบไม่แพงให้ทุกคนที่ซื้อไปได้กินทุเรียนคุณภาพดีแบบปลอดภัยและราคาไม่แพง(ความคิดเรา)แต่คนซื้อกลับพูดบอกว่า (แพง)เขาบอกอยากได้ลูกเล็กๆแต่ขอแบบกินกันได้ทั้งบ้าน ก็เลยเริ่มจับอาการได้ว่าเราเริ่มขุ่นๆใจแล้ว
ทุกข์.มีอาการขุ่นใจที่ได้ยินคนซื้อทุเรียนบอกว่าแพงไป
สมุทัย.อยากได้สภาพดีๆคำพูดที่ดีๆตามที่ใจเราอยากให้เป็น ถ้าเขาบอกว่าไม่แพงเราจะชอบใจ แต่เมื่อเขาบอกว่าแพงจึงไม่ชอบใจ
นิโรธ.วางใจว่าเขาจะบอกว่าแพงก็สุขใจบอกว่าไม่แพงก็สุขใจ
มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ เห็นอาการของกิเลสที่ทำให้เราทุกข์ใจไม่ชอบใจ และก็ได้มาพิจารณาคุยกับกิเลสว่าต้องการอะไร
กิเลส.บอกว่าเราก็ให้แล้วนะ ทุเรียนก็ไร้สารพิษ แถมขายต่ำกว่าท้องตลาดลดราคาให้แล้วนะจะเอาอะไรอีกละ (คิดอยู่ในใจ)ถ้าเมื่อก่อนจะพูดออกมาเลย ไม่ใช่แค่คิดค่ะ
คิดเหมือนจริงแต่ไม่จริง เพราะคิดแล้วทุกข์ และเมื่อเราโดนกระแทก มาด้วยคำว่าแพง เรายังขุ่นใจยังทุกข์อยู่ อีกอย่างอยู่ที่วิบากกรรมของเรา ต่อให้เราให้ฟรี ถ้าวิบากร้ายเราออกฤทธิ์เขาก็จะบอกว่าไม่ดีไม่ชอบ แล้วนี่ยิ่งเราขายอีกเขาก็ต้องหาข้อแม้อะไรมาพูดเพื่อให้เขาได้ในสิ่งที่ดีแล้วถูกที่สุด เราก็เคยเป็นเคยพลาดหลงคิดทำอย่างนั้นมาเหมือนกัน และได้ตั้งจิตสำนึกผิดขอโทษขออโหสิกรรมในสิ่งที่เราเคยพลาดทำมา เมื่อเราเชื่อชัดและพิจารณาในเรื่องวิบากกรรมอย่างแจ่มแจ้ง ก็ทำให้ลดความทุกข์ใจลงได้ตามลำดับค่ะ
สรุปว่า.เมื่อมาพิจารณาแล้วใจก็คลายลงได้ และก็ได้โทรไปบอกป้าที่ซื้อทุเรียนว่า มาเอาทุเรียนได้เลยค่ะที่บ้าน หนูให้ฟรีค่ะ เพราะคิดอีกทีนึงว่า ท่านก็เคยแบ่งปันของมาให้เราในสิ่งที่เราไม่มีก็หลายๆครั้ง แล้วครั้งนี้จึงคิดว่าเราก็น่าจะแบ่งปันในสิ่งที่ท่านไม่มีให้ท่านบ้างน่าจะดี ท่านก็ลูกมาเอาพร้อมกับเอาผักหวานมาฝากเราด้วยค่ะ และได้คุยกับอาว่าเราให้ป้าฟรีนะคะ ไม่ได้ขาย อาจึงถามว่า แล้วทำไมไม่ให้เลยตั้งแต่ตอนแรก จึงตอบอาไปว่า ถ้าให้ฟรีตั้งแต่ตอนเเรก ก็ไม่ได้เห็นกิเลสส่วนเหลือของเราสิ และไม่ได้เห็นพฤติกรรมคำพูดที่ไม่ถูกใจเรา โชคดีที่เขาได้มาเป็นกระจกส่องกรรมให้เราได้เห็นกิเลส ได้เห็นทุกข์ ได้ใช้วิบบากกรรม เราจึงผาสุกได้ตามลำดับค่ะ สาธุค่ะ
เรื่อง อีกแล้วหรือ
เหตุการณ์ :ไปร้านทำฟันกับพ่อบ้านมีคนรอหลายคนจึงเลี่ยงไปตลาดใกล้ๆไม่เปิดจึงกลับมาเห็นพ่อบ้านลงจากรถจะเดินไปที่ร้าน แต่ชะงักหันกลับมาที่รถพร้อมพูดว่า กุญแจอยู่ในรถ พอได้ยินคิดในใจว่า อีกแล้วหรือ รู้สึกเซ็งเล็กน้อยแว็บหนึ่ง
ทุกข์ : รู้สึกเซ็งเล็กน้อย ที่พ่อบ้านลืมกุญแจ
สมุทัย : ยึดมั่นถือมั่นว่าพ่อบ้านต้องไม่ลืมกุญแจ ชอบถ้าพ่อบ้านได้เอากุญแจออกมาจากรถ ชังที่ลืมไว้ในรถ
นิโรธ : ใจไร้ทุกข์ตลอดเวลาไม่ว่าพ่อบ้านจะได้เอากุญแจออกมาจากรถ หรือไม่ ก็ได้
มรรค : เมื่อรู้สึกเซ็งเล็กน้อยรีบสลัดออกโดยการพิจารณาด้วยบททบทวนธรรมข้อที่ 138 ว่า “จงเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค ที่มีอยู่คู่โลกตลอดกาลนาน อย่างมีชีวิตชีวาให้ได้ “ใช่สินะปัญหาไม่เคยหมดไปจากโลกและเราเหมือนการลืมก็เป็นเรื่องธรรมดาใครๆก็ลืมได้ เราเองยังลืมนั่นลืมนี่บ่อยไป ไม่ได้เพ่งโทษ หรือซ้ำเติมพ่อบ้านเลย เมื่อไม่ได้เอาออกมาก็ต้องช่วยกันคิดหาวิธีเอากุญแจออกมาจากรถสิ เพราะปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เซ็ง อาการเซ็งเล็กน้อยก็หายไป แล้วก็เดินไปที่ร้านหลังจากคนวายแล้ว บอกน้องเจ้าของร้านเขาอาสาช่วยทำให้แต่ไม่ได้ เขาจึงช่วยจัดการหาช่างมาไขประตูรถใช้เวลานานพอควรในที่สุดก็เอากุญแจออกจากรถได้สำเร็จ
สรุป พอสลัดความรู้สึกเซ็งเล็กน้อยออกได้ใจไร้ทุกข์คืนมาจึงมีทางออกในการเอากุญแจออกมาจากรถได้ในที่สุด
21/07/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง: ทำไมไม่ยอมทำตาม
วันนี้ในขณะที่กำลังเอาน้ำให้ป้าดื่ม(อายุ 85 ปี) ท่านก็อมไว้ในปากไม่ยอมกลืนลงไป เวลาผ่านไป 5 นาทีแล้ว ป้าก็ยังอมน้ำอยู่ จึงบอกให้ท่านกลืน แต่ก็ไม่ยอมกลืนสักที กลัวป้าจะหายใจไม่ออก เริ่มจะหงุดหงิด ความคิดกิเลสก็เข้ามาทันที(คิดในใจ) “ บอกให้กลืนทำไมไม่กลืน จะอมไว้ทำไม เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก เดี๋ยวถ้าเผลอคงต้องบ้วนทิ้งเรี่ยราดอีกแน่ ๆ เลย ดูแลป้าก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเช็ดสกปรกอีก ชอบทำความยุ่งยากให้ทุกทีเลย ” เรื่องนี้มีเหตุแห่งทุกข์อยู่ 2 ประเด็นคือ
ทุกข์ : หงุดหงิดที่ป้าไม่ยอมกลืนน้ำ
สมุทัย : 1.ชอบใจถ้าป้าทำตามที่เราบอก ชังที่ป้าอมน้ำไว้หลายนาทีไม่ยอมกลืน (กลัวป้าจะหายใจไม่ได้)
2.ชอบใจถ้าไม่ต้องทำความสะอาดพื้น ชังถ้าป้าบ้วนน้ำทิ้งเรี่ยราดพื้นสกปรก
นิโรธ : 1.ป้าจะทำตามที่บอกหรือไม่ทำตามก็ไม่ทุกข์ใจ
2.ป้าจะบ้วนน้ำทิ้งเรี่ยราดก็ไม่เป็นไร ยินดีทำความสะอาดและช่วยเหลือท่านด้วยความเบิกบานใจ (เข้าใจในสภาพของคนชรา)
มรรค : พิจารณาว่า
เรา : เวลาคนอื่นใช้ให้แกทำอะไร แกยังไม่เชื่อและไม่ทำตามเลย…มาร
แล้วพอทีกับป้า พอท่านไม่ทำตามบ้าง ก็ไปหงุดหงิดใส่
โกรธได้แม้กระทั่งกับคนแก่ แต่ความชั่วของตัวเองไม่เคยเห็น
มาร : แต่ป้าแกแก่แล้ว อมไว้นาน ๆ เดี๋ยวป้าเหนื่อยหายใจไม่ออก ใครจะช่วย
เรา : แกไม่ต้องเอาความหวังดีมาอ้าง
เป็นห่วงท่านจริง ๆ หรือขี้เกียจเช็ดทำความสะอาดกันแน่?
บอกไปแล้ว ป้าเชื่อรึป่าวล่ะ?
ถ้าป้าหายใจไม่ออกจริง ๆ เดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องกลัวไปล่วงหน้า
มาร : หลายครั้งแล้วที่พอเผลอ แกก็บ้วนทิ้งลงพื้น
เรา : คราวที่แล้วป้าอาจเคยทำ แต่คราวนี้ท่านบ้วนแล้วยังล่ะ? คิดไปล่วงหน้าอีกแล้ว
บางทีคนแก่อาจจะบังคับตัวเองไม่ได้
ในเมื่อป้าไม่ยอมกลืน ไหนลองเอากระโถนไปให้ท่านบ้วนทิ้งสิ อย่าไปเสียเวลาคาดคั้นในเรื่องที่ท่านทำไม่ได้
(ว่าแล้วก็เอากระโถนมาให้ป้า ปรากฏว่าท่านยอมบ้วนน้ำลงกระโถน) จึงบอกกับมารไปว่า
เรา : เห็นมั๊ยล่ะ? ป้าบ้วนน้ำลงกระโถนพื้นก็ไม่สกปรกด้วย จะไปยากอะไร
จะไปหงุดหงิดใส่คนแก่ที่ไม่รู้เรื่องให้มันได้อะไร
หงุดหงุดก็มีแต่โง่ ไม่มีปัญญามาแก้ปัญหา
เรื่องแค่นี้ง่ายนิดเดียวทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้
(พอทำตามนี้แล้วป้าก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี มารมันเลยยอมสลายตัว)
พิจารณาต่อว่า ป้าท่านก็เหมือนเด็กที่ไร้เดียงสานั่นแหละ จะไปหงุดหงิดใส่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นการสร้างทุกข์ เพิ่มวิบากให้ตัวเองเปล่า ๆ ตอนเราเป็นเด็กก็เคยทำเลอะเทอะให้ผู้ใหญ่ต้องคอยตามเช็ด ตอนนี้ก็ต้องมารับวิบาก เบียนเบียนเขามามากก็ต้องรับไป
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 9 “ ถ้าเราไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่ายังเราไม่เข้าใจตนเอง”
บทสรุป พิจารณาแบบนี้แล้วความหงุดหงิดใจที่มีต่อป้าก็หายไปเลย โล่งสบาย เปลี่ยนสภาพจากความหงุดหงิดเป็นความเมตตาท่านได้ ขอบคุณป้าที่มาให้บทเรียนหลาย ๆ อย่าง เช่น ได้เห็นเรื่องความชรา ให้เราได้เตรียมตัว อย่าได้เผลอไปชิงชังสภาพนี้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นเหมือนท่าน ให้เราได้ชดใช้วิบากที่เราเคยพลาดทำมา ให้ได้ล้างกิเลส ความใจร้อน ความอยากให้ป้าทำตาม ให้ท่านตอบสนองเราให้ได้โดยเร็ว (ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้) ในที่สุดเมื่อเราใจเย็นลง รอให้เวลาผ่านไปสักพัก ก็ได้ลองเอาน้ำให้ท่านดื่มอีกครั้ง คราวนี้ท่านก็ยอมกลืนน้ำด้วยดี
เรื่อง ทุกข์ที่โรคโควิด-19 ระบาด
ในสังคมทุกวันนี้มีการระบาดของโรค covid รุนแรงมากขึ้นในหลายพื้นที่ ทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ระวังการติดเชื้อจากผู้อื่น ผู้อื่นก็ต้องระวังเรา เว้นระยะห่างและใส่แมส ทำตัวเหมือนไม่ไว้ใจใครๆเลย เป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal เป็นกังวลกลัวว่าทางบ้านจะติดเชื้อ ล้มป่วย คอยดูข่าว ติดตามสถานการณ์ covid ทุกวัน มีผู้คนล้มตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ทำให้จิต ใจหดหู่ ตั้งแต่โรค covid ระบาดมีความทุกข์เกิดขึ้นเสมอ เมื่อไหร่จะหมดเสียที
ทุกข์ : (ไม่สบายใจ ไม่สบายกาย) เป็นห่วงทางบ้าน กลัวว่าจะติดเชื้อล้มป่วย ตาย
สมุทัย : (เหตุแห่งทุกข์) ชอบที่จะรับรู้ถึงสภาพดีของทุกคนทางบ้าน และไม่ชอบถ้ารู้ข่าวว่าการติดเชื้อของคนที่บ้าน
นิโรธ : (สภาพดับทุกข์) ทางบ้านติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ก็เป็นไปตามกุศลอกุศลของแต่ละคน
มรรค : (วิธีดับทุกข์) ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะทำวันนี้ให้ดีที่สุดและอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ตั้งสติ ทำสมาธิ ด้วยใจที่ไร้ทุกข์ ล้างความยึดมั่นถือมั่นของใจได้สำเร็จคือความสำเร็จที่แท้จริง
สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษขออโหสิกรรม สิ่งที่เคยทำไม่ดีเอาไว้กับผู้คนหรือต่อสัตว์ใด
ขอตั้งจิตทำความดี ลดกิเลสพากเพียรปฏิบัติศีล หมั่นทำความดี ลด ละ เลิกการเบียดเบียน
ลด ละการทำชั่วให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ เพื่อไม่เพิ่มวิบากร้ายใหม่ และเพียรทำกุศลเพื่อเพิ่มวิบากดี
สาธุ
22/7/2564
ชื่อ น้องถนอม วิไลสัก อายุ 9 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : อยากไปเล่นมือถือ
เหตุการณ์ : ตอนเย็นหนูอยากไปเล่นมือ กิเลสก็โกหกแม่ว่า จะไปเล่นกับหลาน แต่แม่บอกว่ามันมืดแล้วไม่ให้ไป
ทุกข์ : ใจหงุดหงิด อยากแอบไปเล่นมือถือ
สมุทัย : ชังที่แม่ไม่ให้ไปเล่นมือถือ
นิโรธ : แม่ไม่ให้ไปเล่นมือถือก็ไม่ชังแม่ ใจเป็นสุข
มรรค : หนูนึกได้ว่า ถ้าไปเล่นมือถือ กิเลสจะโต แล้วหนูก็สารภาพกับแม่ ว่าที่จริงหนูอยากไปเล่นมือถือ จากนั้นก็รอฟังนิทานชาดก และส่งการบ้าน ด้วยใจเป็นสุขค่ะ
22/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : ขี้เกียจทิ้งเปลือกกล้วย
เหตุการณ์ : แม่ใช้ให้หนูไปทิ้งเปลือกกล้วย กิเลสเลยขึ้น
ทุกข์ : ไม่พอใจ คนทิ้งเปลือกกล้วยทำไมต้องเป็นเรา
สมุทัย : ชอบถ้าพี่ไปทิ้งเปลือกกล้วย ชังที่แม่ใช้ให้เราไปทิ้งเปลือกกล้วย
นิโรธ : แม่ใช้ให้ไปทิ้งเปลือกกล้วย ก็ไม่ชังแม่ ยินดีแบ่งเบาภาระแม่ ด้วยใจเบิกบาน
มรรค : หนูยอมไปทิ้งเปลือกกล้วย เพื่อเป็นการตอบแทน บุญคุณแม่กับพี่ ที่คอยเอาภาระหนู ด้วยใจเบิกบาน
22/7/2564
ชื่อ ด.ญ.จีระญาดา เรียนจันทร์ อายุ10ปี
นักเรียนวิชชาราม ภาคสมทบ
เรื่อง ฝืนไม่กินไข่
เหตุการณ์ : พี่ทำไข่เจียวเอามากินกับข้าว พอหนูเห็นก็อยากกิน แต่ ก็คิดในใจว่า แม่เคยบอกว่า จะให้ลองไม่กินเนื้อสัตว์ดู แล้วจะให้อาศัยขนมแทน พอคิดได้ก็มีความชัง ที่ไม่อยากกินไข่และก็มีความชอบ ที่อยากกินอยู่บ้าง
ทุกข์ : รู้สึกอึดอัดอยากกินไข่
สมุทัย : ได้กินจะสุขใจไม่ได้กินจะทุกข์ใจ
นิโรธ : เราตั้งศีลไม่กินเนื้อสัตว์ความอยากก็หายไป
มรรค : พิจารณาว่า เรากำลังตั้งศีลไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้วความอยากกินก็หายไป
อยากปฏิบัติธรรมได้
เมื่อได้ยินอาจารย์ชมผู้ฟังธรรมทางบ้านปฏิบัติล้างกิเลสได้ รู้สึกอิจฉาผู้ชมทางบ้านปฏิบัติได้ แต่เรายังปฏิบัติไม่ได้
ทุกข์: รู้สึกอิจฉาผู้ชมทางบ้านที่ปฏิบัติธรรมได้ มีอาการไม่แช่มชื่นเบิกบานแจ่มใส หดหู่ห่อเหี่ยว
สมุทัย: อยากปฏิบัติธรรมได้ ถ้าปฏิบัติได้แล้วจะสุขใจ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ทุกข์ใจ
นิโรธ: จะปฏิบัติธรรมได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: เมื่อจับได้ว่าเป็นความอยากของกิเลสจึงพิจารณาด้วยไตรลักษณ์ว่าความอยากไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันเป็นทุกข์ เป็นจิตมารปรุงแต่งให้เราทุกข์ และให้เราเข้าใจผิดว่าเราปฏิบัติธรรมยังไม่ได้ ใครว่าเราปฏิบัติไม่ได้ ในความเป็นจริงเราปฏิบัติได้เท่าที่ได้ เมื่อได้ฟังธรรมก็นำคำสอนของอาจารย์หมอเขียวไปฝึกล้างกิเลสด้วยการ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับอยู่ แต่เนื่องจากกิเลสมันมีมากจนมักถูกหลอกให้หลงทาง ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยากไ้ด้ น่าได้ น่ามีมันเป็นทุกข์ ยังมีวิปลาส ทุกข์ก็หลงว่าสุข มันอวิชชามาก่อน ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ยังปฏิบัติได้ทีละเล็กน้อย แกไม่ต้องมาหลอกเราหรอกมาร! เมื่อพิจารณาดังนี้ความรู้สึกอิจฉาผู้ฟังธรรมที่อยู่บ้านแล้วปฏิบัติได้ก็หายไป รู้สึกเบิกบานแจ่มใสขึ้นมาทันที แล้วพิจารณาต่ออีกว่า คนที่ฟังธรรมแล้วปฏิบัติได้นั้นอยู่ที่บุญบารมีของแต่ละท่านที่ได้สั่งสมมาก่อนเมื่อมาได้ฟังธรรมอาจารย์ก็ปฏิบัติได้ทันทีเพราะแต่ละท่านมีของเก่า ของใครของเขา เหมือนตัวเราเองเช่นเดียวกัน ขณะนี้เราสามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้เป็นมหาทานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เท่านี้ก็ดีมากแล้ว
ในปัจจุบันก็กำลังพากเพียรปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงยิ่งขึ้นเท่าที่ทำได้ตามฐานบารมีของตนเองต่อไป
สรุปล้างความอยากของการอยากปฏิบัติธรรมได้จาก 100% ปฏิบัติได้ 50 % ยังคงพากเพียรปฏิบัติต่อไปเพราะมันยังไม่โล่งเบิกบานแจ่มใส ใจยังรู้สึกทุกข์อยู่
23/7/2564
ชื่อ ด.ญ .จีระญาดา เรียนจันทร์ อายุ10ปี
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : หยิบของให้พี่ช้า
เหตุการณ์ : พี่ให้หยิบของให้แล้วหยิบช้าพี่จึงตะคอกใส่ เลยรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ
ทุกข์ : โกรธ ที่พี่ตะคอกใส่
สมุทัย : ชังที่พี่ตะคอกใส่ ชอบที่พี่ไม่ตะคอกใส่
นิโรธ : พี่ตะคอกใส่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : พิจารณา ว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เมื่อได้รับวิบากแล้วก็หมดไป เพราะเราเคยตะคอกใส่น้องมาก่อน
พอพิจารณาจบความโกรธก็หายไป
ทุกข์ : รู้สึกหวั่นไหว เมื่อเห็นข่าวกทม.ติดเชื้อโควิดจำนวนมาก เพราะเป็นห่วงกลัวลูกที่ทำงานในกทม.จะติดโควิด
สมุทัย : ถ้าลูกปลอดภัยจากโควิดจะสุขใจ ถ้าลูกติดโควิดจะทุกข์ใจ
นิโรธ : ลูกจะติดโควิด หรือไม่ติดโควิดก็ต้องไม่ทุกข์ ทำใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน วันนี้ไม่ติดโควิด พรุ่งนี้หรือวันอื่น ๆ ก็อาจติดได้ ติดแล้วก็อาจตายหรือไม่เป็นอะไร ทุกอย่างไม่เที่ยง ปล่อยให้เป็นไปตามวิบากของเขา เราจะทุกข์ใจไปทำไม เราทำหน้าของเราให้ดี ให้ข้อมูลที่ถูกที่ควร แล้วอะไรจะเกิดก็ยอมรับด้วยใจที่เบิกบาน
อริยสัจ 4
เรื่อง: จำไม่ได้สักที
เนื้อเรื่อง: ในช่วงเย็นเราจะมีบำเพ็ญบนห้องสื่อ ปิดและเปิดรายการหมู่มิตรดีปลูกปัญญาพาพ้นทุกข์ เราก็ได้บำเพ็ญ มานาน น้องๆก็จะสอนเราทุกครั้งที่ขึ้นไปบำเพ็ญ บางวันน้องๆก็ลงฐานงานกับท่านอาจารย์ เราก็จะต้องปิดและเปิดรายการเองคนเดียว บางวันเราก็ทำได้ตลอดรายการ แต่บางวันที่หน้าจอไม่เหมือนที่น้องๆสอนเรา เราก็จะต้องคิดเองทำเอง ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่สามรถทำได้ ทำให้ต้องเสียเวลา ทำให้เรารู้สึกผิดและทุกข์ใจมากที่ไม่สามารถทำได้ ทำให้รายการเค้าล่าช้า
ทุกข์: น้องๆก็สอนงานเราหลายครั้งแต่พอเราอยู่คนเดียวจำไม่ได้สักทีลืมนี่นั่นตลอด
สมุทัย: อยากจำได้ทุกๆขั้นตอนในการเปิดและปิดรายการได้ก็จะสุขใจ
นิโรธ: จะจำได้หรือไม่ได้ในการปิดและเปิดรายการ เปิดได้ปิดได้ก็เป็นวิบากดีหากปิดและเปิดไม่ได้ก็คิดว่าเราผิดศีลทำให้เรามีวิบากไม่สามารถที่จะจำในการที่จะเปิดและปิดได้ เมื่อคิดได้เราก็วางใจ ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: เราเชื่อในเรื่องของวิบากดีร้ายและในการผิดศีล จะทำให้เราเกิดวิบากร้ายเพิ่ม ตามที่ท่านอาจารย์สอน ว่าถ้าหากวิบากดีออกฤทธิ์ และเราไม่ผิดศีลเพิ่มเราก็จะสามารถที่จะจำที่น้องๆสอนเราในแต่ละวันได้ หากยังไม่ถึงเวลานั้นๆเราก็ไม่สามารถที่จะจำไม่ได้ลืมโน่นนี่ เมื่อเรามานั่งคิดทบทวนตามที่ท่าน อาจารย์สอน ว่ากาลนั้นๆเค้ายังไม่ให้เราจำได้ เราก็ เบาใจ วางใจ ด้วยใจที่ไรทุกข์ว่ากาลนั้นๆ ยังไม่ถึงเวลาของเรา ดังบททบทวนธรรม ข้อที่ 78: คือความสมบูรณ์หรือความสำเร็จ ของกิจกรรมการงานคือความลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ ส่วนความสำเร็จของใจที่พ้นทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่น คือความจริง
สรุป: เมื่อเราเข้าใจในบททบทวนธรรม ของท่าน อาจารย์ และเชื่อในเรื่องของการผิดศีล และในวิบากดีร้าย ณ กาลเวลานั้นๆทำให้เราคลายทุกข์ลงได้ 90%
อัญชลี พุ่มแย้ม (เย็นแสงธรรม)
23/07/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง: โลภงาน
ช่วงนี้มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบกับทางบ้านหลายอย่าง แต่ก็ทำด้วยความเบิกบาน พอทำงานแต่ละอย่างสำเร็จ ก็มีความคิดที่จะทำโน่นทำนี้เพิ่มขึ้นมามากมาย อยากทำให้ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นจนหลับแทบไม่ได้นั่งพักเลย ที่ผ่านมาก็ทำได้สมดังใจทุกอย่าง แต่วันนี้ในขณะที่ทำงานอยู่ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา จับอาการของกิเลสได้ว่า ตัวเองกำลังเร่งรีบเกินไป หายใจสั้นและเร็ว เห็นความใจร้อน อยากทำงานที่ทำอยู่ตรงนี้ให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อจะไปทำอย่างอื่นอีก ระยะหลังที่ผ่านมาเราทำงานสำเร็จได้ดั่งใจทุกอย่าง กิเลสมันหลอกให้ภูมิใจว่า เรานี้เก่ง เรานี้ทำได้ทุกอย่าง เรานี้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า แต่ถึงตอนนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเรากำลังเดินผิดทาง
ทุกข์ : ทำงานจนเหนื่อย
สมุทัย : 1.ชอบใจถ้าทำงานได้สำเร็จทุกอย่างที่คิด ชังถ้าทำไม่ได้ตามที่ใจต้องการ
นิโรธ : จะทำงานได้สำเร็จทุกอย่างตามที่คิดไว้ก็ได้ หรือ ทำไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาว่า การงานที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ เราได้ทำหน้าที่ทุกอย่าง ๆ เต็มที่แล้ว เราไม่ได้เกียจคร้าน ออกจะทำเกินเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยแล้ว นั่นคือสัญญาณเตือนให้เรารู้พัก เรามีแค่ 2 มือ และกำลังเพียงเท่านี้ ก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว ต้องรู้จักปล่อยวาง แม้จะทำทุกอย่างไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นไร ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จึงตั้งศีล จะลดความใจร้อนอยากให้งานเสร็จเร็ว ๆ ลงไปเป็นลำดับ
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 76 “ ความสำเร็จของงาน ไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ ใจที่ยินดี ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อเราได้พยายามเต็มที่แล้ว เพราะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง” และ ข้อที่ 77 “ ระวังกิเลส มักจะลวง ให้ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่สำคัญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
บทสรุป พิจารณาแบนี้แล้วใจโล่งขึ้น ความรู้สึกเหนื่อย ค่อย ๆ คลี่คลายลงไปด้วย
เรื่อง : ไม้ฟืน
วันไหนพอจัดสรรเวลาได้ เราจะใช้ไม้ฟืนในการ
ปรุงอาหารเป็นหลัก เตาถ่านที่บ้านมี 2-3 เตา
2-3 วัน ที่ผ่านมา พ่อบ้านบอกจะแกงปลาช่อนจะแกงเอง ปรกติส่วนมากเราจะแกงให้
เราก็ก่อไฟให้ ไฟติดดีแล้วเราก็บอกพ่อบ้าน
เขาบอกว่าจะแกงกับเตาแก๊ส เขาว่าแกงกับไม้ฟืนขี้เกียจกินดิน(เตาบ้านเราวางอยู่บนพื้นดิน)
ทุกข์ : อุส่าห์หาไม้ฟืนมาไว้ตั้งเยอะ
สมุทัย : ชอบที่จะให้พ่อบ้าน เห็นคุณค่า
ของถ่าน ของไม้ฟืน ว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณค่า
ที่ดีที่สุด ชังมากที่ไม่รู้ค่า
นิโรธ : เขาจะรู้คุณค่าก็ได้ ไม่รู้คุณค่าก็ได้
ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อครั้นสมัยก่อน ตอนที่เรายังไม่เข้ามา แพทย์วิถีธรรม เราเห็นคนแก่ ที่หุ้งต้มกับไม้ฟืนเรายังคิดว่าเชย คิดต่อไปอีกว่า บ้านนี้เขาคงมีฐานะยากจนแน่ๆ ตอนนี้เรารู้แล้วว่า
ไม้ฟืน ถ่าน อันดับหนึ่ง แก๊ส อันดับสอง
ไมโครเวป อันดับสาม
กิเลส : ก็สมควรแล้วที่พ่อบ้านจะต้านเราบ้าง
เรื่องไม้ฟืน
ดีที่ทำได้ไม่วิวาท คือเส้นทางทำดีนั้น
ไม่ปิดกั้นกั้นเกิน ไม่ฝืดฝืนเกิน
ไม่ลำบากเกิน ไม่ทรมานเกิน
ไม่เสียหายเกิน ไม่แตกร้าวเกิน
ไม่เสี่ยงเกิน
บททบทวนธรรม ๑๔๑
ความผิดความถูก อยู่ที่การยึดหรือไม่ยึด
ถ้ายึดคือผิด ถ้าไม่ยึดคือถูก
ผิดถูกไม่ได้อยู่ที่เหตุผล ใครเลิศยอดกว่าใคร
ผิดถูกมันอยู่ที่ยึดหรือไม่ยึด ยึดคือผิด
ถ้าไม่ยึดคือถูก ยึด คือ
ยึดมั่นถือมั่นตามความคิดของเรา
เอาดีแบบเราหมายจึงจะเป็นสุข
ไม่เอาดีแบบเราหมายจะทุกข์ใจ
นี่แหละยึด นี่แหละกิเลส นี่แหละบาป
ใจเราก็โปร่งโล่งสบาย
เรื่อง โทรมาทำไมตอนนี้
เหตุการณ์ กำลังเข้าซูม ได้สักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า สองครั้ง เราก็ตัดสายทิ้งทั้งสองครั้งเลย
ทุกข์ ขุ่นใจทำไมโทรมาตอนนี้
สมุทัย ชอบถ้าโทรมาเวลาไม่ได้เข้าซูม ชังโทรมาเวลาเข้าซูม
นิโรธ โทรมาตอนไหนก็ได้ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เกิดอาการขุ่นใจขึ้นมา
มาร จะโทรมาอะไรตอนนี้
เรา ก็ต้องโทรมาเวลานี้แหละ ถึงได้รู้ว่ามีแกอยู่ไงล่ะ แกไม่เคยสร้างความรำคาญให้ใครหรือไงชอบพูดแซงคนอื่น ต้องขอบคุณคนที่โทรมาต่างหาก ไม่ใช่ไปว่าเขา สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมาน่ะ แล้วเห็นไหมกดโทรศัพท์ทิ้งเลยทำให้ เสียงในซูมเบาลงมาก ฟังไม่ค่อยได้ยินเท่าไร พยายามทำแล้วก็ไม่ดังเหมือน
เดิม ก็เลยยินดี ฟังแบบได้ยินไม่ค่อยชัดจนจบเพื่อใช้วิบากกรรมที่ไม่ดี
บททบทวนธรรม119
ปัญหา คือ
เครื่องมือฝึกใจที่ดีที่สุดในโลก
สรุปใจก็คลาย
เรื่อง ต้นไม้เสียหาย แต่ใจไม่หาย
เหตุการณ์ จ้างช่างมาทาสีบ้าน ช่างทำสีหกเลอะเทอะ ต้นไม้ที่ปลูกไว้ จึงต้องตัดต้นไม้ทิ้งถึงโคนเลย
ทุกข์ เสียดายต้นไม้ที่ต้องตัดทิ้งเพราะเลอะสี
สมุทัย ชอบถ้าต้นไม้ไม่เลอะสี ชังต้นไม้เลอะสีและต้องตัดทิ้ง
นิโรธ ต้นไม้เลอะสีและต้องตัดทิ้งก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค เกิดความเสียดายต้นไม้ที่เลอะสี แล้วเราต้องตัดทิ้ง เพราะต้นไม้กำลังงามมาก
มาร บอกแล้วช่างคนเนี้ย ทำงานไม่เรียบร้อย
เรา คนที่ทำงานไม่เรียบร้อยน่ะคือแก แกเรียบร้อยไหมล่ะ
มาร แฮะๆๆ
เรา ก็นี่ไงเขาถึงส่งช่างคนนี้แหละมาให้แก เขาคือเงาแกไง แล้วจะไปตำหนิ ไปโทษเขาอีกไหมล่ะ ไปเพ่งโทษเขาด้วย สำนึกผิดเลยแล้วตั้งศีล มาปฏิบัติเลย นับแต่นี้จะไม่ไปเพ่ง
ใครๆอีก ต้นไม้เสียหายเดี๋ยวก็งอกใหม่ มันเรื่องเล็ก ข้อสำคัญใจต้องไม่ทุกข์ เท่านั้นพอ
บททบทวนธรรม 9
ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น
แสดงว่า เรายังไม่เข้าใจตนเอง
สรุป ใจก็คลายความเสียดาย
เรื่อง ผอม
เหตุการณ์ : เนื่องจากตัวเองน้ำหนักตัวลดลง 3 กิโลกรัม แม่และเพื่อน หลายคนทักว่า ผอม ไปนะรู้สึกกังวลใจ แต่รู้ตัวเองว่าสบายตัว คล่องแคล่วดี อาจเป็นเพราะเดินกลับจากร้านขายน้ำปั่นวันละ 5-6 กิโลเมตรเกือบทุกวันและยัง
ทำงานในสวนเกือบค่ำอีก แถมรับประทานอาหารวันละ 2 มื้อด้วย
ทุกข์ : กังวลใจ ทึ่ถูกเพื่อนทักว่าผอม
สมุทัย : ยึดว่าอ้วนหรือผอมก็ไม่มีใครทัก ชอบถ้าเพื่อนไม่ทักว่าผอม ชังที่เพื่อนทักว่าผอมไป
นิโรธ : จะโดนเพื่อนทักว่าผอม หรือไม่ ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : วางใจว่าเพื่อนหรือใครๆจะทักว่าผอมก็ไม่เป็นไร แต่พอออกไปนอกบ้านโดนทักหลายๆครั้งเริ่มกังวลใจ เพื่อนว่าผอมแต่เราสบายตัว คล่องตัวดี เราได้แต่ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วง ได้ใช้บททบทวนธรรมมาพิจารณาคือข้อที่ 63 ว่า”ยินดี พอใจ ไร้กังวล”เมื่อพิจารณาแล้วได้รู้ว่าร่างกายจะอ้วนหรือผอมก็ได้ ถ้าใจเราไม่ทุกข์ ความกังวลได้หายไป ใจเราก็เบิกบาน
ส่งการบ้านอริยสัจ4
น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
เรื่อง.หยุดทำ(ไม่)หยุดทุกข์
เหตุการณ์.มีพี่น้องท่านหนึ่ง มาบอกกับเราว่าให้เราหยุดทำอาหารที่มีผักชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ เพราะท่านรู้มาจากจิตอาสาอีกท่านนึงว่า อาจารย์เคยแพ้ผักชนิดนี้ เราเลยบอกกับท่านว่า เราก็ไม่ได้ทำเมนูนั้นมาหลายวันแล้ว และบอกท่านว่า ถึงอาจารย์ท่านเคยแพ้แต่ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด เพราะอาจารย์ท่านทานเมนูนี้มาเป็นปีแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไร ท่านก็ตอบมาว่า “แล้วแต่” ท่านแค่มาบอก เราจะหยุดทำไม่หยุดทำก็แล้วแต่เรา
ทุกข์.รู้สึกอึดอัดที่พี่น้องท่านนึงมาพูดเหมือนจะต้องการให้เราทำตามอย่างที่ท่านคิด
สมุทัย.ไม่ชอบใจที่ท่านพูดแบบนั้นกับเราถ้าท่านไม่พูดแบบนั้นกับเรา เราจะชอบใจจะสุขใจ
นิโรธ.ไม่ว่าท่านจะพูดแบบไหนเราก็ชอบใจสุขใจได้
มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาไตรลักษณ์ให้เห็นอาการของกิเลสที่ทำให้เราทุกข์ใจ ที่เกิดจากความยึดว่าตัวเราของเรา ไม่มีตัวเราของเราก็ไม่ทุกข์ รู้ชัดเรื่องกรรมวิบากกรรมว่าสิ่งที่มากระทบเราทั้งดีและไม่ดี เป็นสิ่งทีเราเคยพลาดทำมาทั้งนั้น เราต้องยินดีรับ รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น
สรุปว่า.เมื่อมาพิจารณาอย่างนั้นแล้วก็ทำให้ความอึดอัดใจหายไปลดความทุกข์ใจลงได้ และเมื่อเราตั้งศีลมาปฏิบัติทำให้เรามีปัญญามองเห็นความจริงตามความเป็นจริง
มองเห็นถึงเจตนาที่ดีเข้าใจ
เรื่อง..ความอยาก(ที่ไม่สิ้นสุด)
การได้กลับบ้าน และได้มาบำเพ็ญดูแลแม่ครั้งนี้ ทำให้ได้เห็น กิเลสตัวน่าเกลียดของตัวเองในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเยอะมาก
เรื่องของครั้งนี้ แม่หารีโมท ทีวีไม่เจอ(อีกแล้ว)ความไม่ได้ดังใจของกิเลสในตัวเอง ได้ สำแดงฤทธิ์เดช ของความมีอำนาจ(อีกแล้ว) สั่งการให้แม่หาเอง เพราะแม่ถืออยู่คนเดียว ทำไมแม่ไม่หาให้ดีก่อน และเราก็เริ่มจับอาการ เสียงที่สูงขึ้น หน้ามีอาการร้อนขึ้น เป็นอาการองกิเลสที่ทำให้เราทุกข์และมีอาการที่ไม่ ยินดี ไม่ผาสุก ทันที
ทุกข์..ที่แม่ใช้ให้หารีโมททีวี
สมุทัย..ชอบสภาพ ที่แม่ไม่ทำรีโมททีวีหาย
ขังสภาพที่แม่ต้องหารีโมททีวีบ่อยๆ
นิโรธ..การเปลี่ยนความคิด ด้วยความเข้าใจ
ไม่ชอบ…ไม่ชัง แม่จะทำรีโมรทีวีหาย
สักกี่ครั้ง ใจก็ไม่ทุกข์ได้
มรรค..การปฎิบัติฟังธรรม ในแนวทาง อ.จ หมอเขียว ได้นำคำสอนชี้แนวทางพ้นทุกข์และได้นำมาปฎิบัติในชีวิตประจำวันในเหตุการณ์นี้ได้ทัน โดยการ ลด ล้างความ ยึดมั่นถือมั่น จะพยายามล้างตัวติดดีให้ละเอียดขึ้น นึกถึงกรรมที่เราชอบไปกดดันและใช้อำนาจใช้คนที่เค้ายอมเต็มใจทำในเรื่องนั้นๆ
ตั้งศีลเพิ่มทันที จะไม่อยากเอาอะไรจากแม่อีก ท่องบททบทวนธรรม ในข้อที่ ให้..แล้วคิดจะ”ไม่เอาอะไร”จากใคร ให้ได้!! ให้ได้!!ให้ได้!!
ปัญญาพุทธะ ค่อยๆทำให้จิตวิญญาณ นิ่ง สงบ ยอมรับผิด ขอโทษแม่ เห็นกิเลสชัดขึ้น เห็นถึงความไม่เที่ยง การจัดกระบวนการ คิด พูด ทำ ลำดับใหม่ มีปัญญา สอนและบอกกิเลสเป็นในทางพุทธะ ความยินดี ผาสุก ก็ได้เกิดขึ้น ณ,ปัจจุบัน ..สาธุ
เรื่อง เดาใจคนอื่น
เนื้อเรื่อง: เราไปตักอาหาร น้องที่บำเพ็ญงานฐานปั่นอาหารก็พูดขึ้นมาว่า “พวธ.ยุ่ง กินยาก เดี๋ยวคนนั้นต้องการแบบนั้นแบบนี้” เราก็กำลังพูดเรื่องท้องอืด จึงคุยกับเขาว่า “แก่มาจะรู้เอง โบราณพูดว่า แก่มาก็รู้เอง” เขาเลยตอบว่า “หาว่าเราแช่งเขา พูดว่าเขาเป็นทายาทอสูร” เราเลยรู้สึกแปร้บที่ใจ
ทุกข์: รู้สึกแปร้บที่ใจ ไม่พอใจ ว่า “เขาทำไม ๆ ต้องพูดแบบนี้”
สมุทัย: อยากให้เขาเข้าใจว่าเราหวังดีนะ ไม่มีอะไร ไม่ได้สวน
นิโรธ: เมตตาถึงอุเบกขา เราเคยทำมาทั้งนั้น จึงได้พบเจอ เขาจะเป็นเรื่องของเขา เราทำที่เรา เปลี่ยนที่เรา เราเอาดีมาชม เอาจุดด้อยทิ้งไป เขาเดาผิดพลาดเราก็ไม่ทุกข์ใจ เขาไม่เดาก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: อยากให้เขาเข้าใจว่าเราหวังดีนะ ไม่มีอะไร ไม่ได้สวน เลยเงียบฟังและคิดในใจว่า “เรา ๆ เราเห็นเราในตัวเขา หน้าเกลียดมาก ๆ โอ้เรา ๆ เพราะเหตุที่เคยไปเบียดเบียน คนและสัตว์ไว้ตั้งนาน พอหยุดทำแล้ววิบากก็จัดให้รับเต็ม ๆ ยอม ๆ รับผล พอเข้าใจเรื่องกรรม อย่างแจ่มแจ้งก็สุขสบาย หมดอยากหมดทุกข์ทันที เข้าใจคนอื่น จะเข้าใจตัวเอง
สรุป ตั้งศีล: ไม่เดาใจคนอื่น เราไม่ทำ จบที่เรา ดับเหตุจบง่าย สบาย ๆ เบากาย มีกำลัง สุขทันที ช่วยเขา คือ ไม่ชัง เป็นตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน
ชื่อเรื่อง อยากช่วย เรื่องอยากช่วยพี่น้องที่ป่วยด้วยการบอกกดจุดลมปราณ 3เส้นที่ข้อมือที่ทำให้เรารอดตายและจะช่วยผู้อื่นได้จึงยกมือช่วงยกมือก็คิดในใจว่าเขาให้พูดก็ได้ไม่ให้พูดก็ได้ ผ่านไปครั้งที่1 คิดว่าพี่น้องคงไม่เห็นจึงยกอีกครั้งก็ไม่เห็นจึงวางใจตั้งใจฟังการแชร์ประสบการณ์ของท่านอื่นด้วยใจเป็นสุข
ทุกข์:อยากช่วย
สมุทัย:ชอบอยากให้พี่น้องได้ประโยชน์ ชังถ้าพี่น้องไม่ได้ประโยชน์
มรรค:พอจบรายการก็มาคิดทบทวนเหตุการณ์และความคิดเห็นจึงเห็นตัวอยากถึงจะไม่ดิ้นแต่ยังมีแม้น้อยก็เหม็นมาในเหลี่ยมอยากช่วย อยากพูด อยากทำดีโอ้โห!!!!มันคือกิเลสเต็มๆต้องกำจัดออกขอบคุณพี่ๆจิตอาสาที่ทำให้เราเห็นกิเลสที่เหลือแม้มันไม่ดิ้นตรงคำสอนของอาจารย์ว่าการทำความดีต้องดูกุศลและอกุศลของเรา ณ เวลานั้นๆด้วยต้องพร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยนตลอดเวลาด้วยใจเป็นสุขตรงทบทวนธรรมข้อที่ 80 อ่านจบเบาโล่งสบายใจไร้ทุกข์ไร้กังวนสาธุคะ
เรื่อง : ทะเลาะกับแม่บ้านที่จะไปซื้อสมุนไพรเข้าบ้านทั้งที่ควรจะกักตัว
เนื้อเรื่อง: ครอบครัวลูกไปซื้อนกมาเลี้ยงแล้วคนขายนกโทรม าแจ้งว่าเขาติดโควิทบ้านเราก็ควรกักตัวดูอาการแต่แม่บ้านต้องการไปซื้อสารพัดสมุนไพรมาใช้สู้โควิทผมไม่ให้ไปเลยทะเลาะกัน
ทุกข์ : โกรธที่แม่บ้านดื้อจะไปซื้อเองตอนนั้นให้ได้
สมุทัย : อยากให้เขาเชื่อฟังแต่ เขาไม่ยอมฟังจึงโกรธ
นิโรธ : เขาจะทำตามหรือไม่ก็ไม่โกรธ
มรรค : พิจารณาว่าเราก็ดื้ออย่างนี้มา,วิบากโลกเป็นอย่างนี้แหละใครต้องได้รับก็จะได้ใครไม่ต้องได้ก็จะไม่ได้เองโกรธไปทะเลาะไปก็ก่อทุกข์ใจให้ตัวเองเปล่าๆ
เรื่อง ข้อสอบสุดท้าย
เนื้อเรื่อง จากการได้มาเป็นจิตอาสาทั้งก่อนหน้าที่จะเข้ามาแพทย์วิถีธรรม รวมๆ 24 ปี (กรรมการชุมชนฯ กรรมการวัด พิธีกร ธรรมะบริกรและจิตอาสา พวธ. ฯลฯ) ทำให้เราเรียนรู้และได้ประสบการณ์ชีวิตมากมาย บวกกับประสบการณ์การเจ็บป่วยที่เฉียดตาย การผ่านห้องผ่าตัดหลายรอบจนบางครั้งเราได้ฉายาจากเพื่อนๆ ว่า “มนุษย์ห้องเขียว” ซึ่งต้องขอบคุณพ่อของตัวเองที่จับหรือยัดเยียดธรรมะในรูปแบบต่างๆให้เราตั้งแต่เด็ก บังคับให้ตื่นเช้าหุงข้าวใส่บาตรทุกวัน เปิดธรรมะดังๆ ให้เข้าหู (ช่องยานเกาะ มีท่านเจ้าคุณโชดกสอนกรรมฐาน) ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้เรามาเห็นผลตอนที่เราโตขึ้นมาต้องรับผิดชอบหลายอย่างและเจอกับความทุกข์ เราจะได้สิ่งที่พ่อสอนเราให้ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ นำมาใช้แก้ปัญหาชีวิตบางช่วงบางตอนเท่านั้น การต้องพบเจอกับคนเจ็บป่วยล้มตาย ความทุกข์ทรมานในช่วงที่จะทิ้งร่างวางขันธ์ ของคนที่เรารู้จักและใกล้ชิด ทำให้เราเกิดความกลัว ซึ่งทุกคนมีหมดจะมากจะน้อยต่างกัน เก็บความรู้สึกได้เก่งแค่ไหนเท่านั้น เห็นคนที่เรารักทรมาน(คุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาว คุณยาย) ซึ่งแต่ละคนก็มีลีลาช่วงสุดท้ายของชีวิตต่างกันออกไป แต่รู้ว่าทุกข์ทรมานทั้งคนป่วยและคนเฝ้าไข้ กว่าท่านจะจากไป เช่น ยังอย่าอยู่กับลูกหลาน กลัวลูกหลานลำบาก ยังห่วงสมบัติ ยังห่วงแฟน แต่ลึกๆ เราคิดว่าผู้ป่วยกลัวเควงคว้างในจุดหมายข้างหน้ามากกว่า ไม่รู้ที่จะไป เพราะครูบาอาจารย์บางท่านจะ พูดถึงกระบวนการตาย 4 ขั้นตอน คือ
1.ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไรๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับเต็มไปหมด
2.ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชาๆ ตื้อๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน
3.ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น
4.ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆความรู้สึกสัมผัส หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น
ทั้งสี่ระยะนี้คือทุกข์ล้วนๆ ยิ่งได้มาเรียนเรื่องการวางร่าง วางขันธ์กับอาจารย์หมอเขียวและเราได้มีโอกาสได้ใช้วิชานี้จริงกับผู้ป่วยที่ยังไม่ตายและใกล้ตายทำให้เราเข้าใจชัดขึ้น
เข้าหมวดอริยสัจ
ทุกข์ : จากการที่ได้ศึกษาและใช้ประสบการณ์ให้คำแนะนำกับผู้ป่วยรวมถึงได้วางร่างวางขันธ์กับญาติ พี่สาว เพื่อน ผู้ป่วยและผู้ที่ปฏิบัติธรรมหรือนักบวช(แม่ชี) ทุกคนเมื่อเจ็บหนักรู้ว่าตนใกล้ถึงวาระสุด สิ่งที่พบเจอคือ ความกลัว จิตที่สัดส่ายควบคุมยาก จะด้วยจากเวทนาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเข้ามากระทบจิต กระทบกาย ซึ่งยากที่ทน และจากประสบการณ์ของตนเองที่เคยฝึกกรรมฐานมาก่อนในช่วงแรกๆ และช่วงที่เคยเจ็บป่วยจากการให้เคมีบำบัด ทำให้เรารู้ชัดเจนยิ่งขึ้น(ปริญญายะธรรมในขั้นที่ 1 ญาตปริญญาคือ กำหนดรู้ขั้นรู้จักมีประสบการณ์ตรง) ว่าไม่ใช่ของง่ายที่ข้ามเวทนาแห่งสังขาร กลัวข้ามไม่ผ่านจิตดับก่อน
สมุทัย : ตามเข้าไปพิจารณาความกลัวของจิตแต่ละบุคคลที่เราต้องประสบหรือต้องให้ความช่วยเหลือ(สมุฏฐาน คือที่เกิด สาเหตุ ต้นตอ) ว่าลึกๆ โดยแท้นั้นเขาและเรากลัวหรือวิตกกังวลกับอะไรแน่ สำหรับเราเอง คือกลัวสอบไม่ผ่าน ตายด้วยทนกระแสแห่งเวทนาไม่ได้ กลัวเจอวิบากอสันนกรรมคือกรรมจวนเจียนจะตาย หรือใกล้ตายแสดงเป็นอกุศลจิตที่แทรกเข้ามา(กรรมดำ) ซึ่งมันก็เป็น วิภวตัณหา คือ อยากหนีจากสิ่งที่ต้องเจอ ( ตัณหา 3 คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) สรุปตัวสมุฏฐานที่ต้องกำจัดของเราที่จับได้คือ กลัวอกุศลเข้าแทรก (ปหานะ = ทำลาย)
นิโรธ : เน้นไปที่จุดหมายที่แก้ ความกลัวอกุศลกรรมเข้าแทรกจิตสุดท้าย ก็คิดว่าถ้ากรรมในหลักมี 2 ประเภท กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่เราทำมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถ้าในปัจจุบันเราคิดว่า 2 ประเภทนี้สูสี อาจจะกุศลมากกว่าอกุศลก็ได้ แต่ในอดีตชาติเราไม่รู้เลยถึงที่มาที่ไป จึงต้องตั้งหน้าตั้งตาฝึกบำเพ็ญเพียรและฝึกข้ามเวทนาในฌาน เจริญสมถและวิปัสณาให้บ่อยขึ้น เพื่อสร้างความคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดในกายตามธรรมชาติแห่งธาตุขันธ์ ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้ง 5” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้(สัจฉิกิริยา= ทำให้แจ้ง)
มรรค : การได้ฝึกทำความดี มีเมตตาทุกขณะจิต ช่วยเหลือทุกสรรพสัตว์ สังเกตกิเลสตนและกิเลสท่าน ตามดูใจโดยไม่เข้าข้าง หมั่นเตือนตนทุกครั้งที่รู้สึกตัวหรือทบทวนสิ่งที่ทำมาในแต่ละวันและแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสัตว์ เจริญสติเข้าสมถะเพื่อดูกิเลสที่สะสมมาให้เขาแสดงออกให้เราดู และวิปัสสนาตามในสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างกุศลจิตให้คุ้นชิน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกของสมุฏฐานและนิโรธเพื่อเดินไปสู่มรรคคือฝึกให้ชิน สร้างให้สูง ล้างความกลัว พร้อมไปทุกเมื่อ
เรื่อง พ่อบ้านไม่ได้ดังใจ
เนื้อเรื่อง ฝนตกตลอดตั้งแต่เช้า พื้นที่ชื้นแฉะ ดอกแรก หงุดหงิดพ่อบ้านฉี่ในถัง ส่งกลิ่นเหม็นเพราะสภาพพื้นที่ชื้นแฉะทำให้ส่งกลิ่นแรงกว่าปกติ บอกพ่อบ้านไปแล้ว พ่อบ้านก็ย้อน หงุดหงิดแต่ก็ไม่ได้พูดวิวาทะต่อ แต่ก็ไม่ได้พูดด้วย 2 วัน 1 คืน จิตตอนนั้น คิดฟุ้งไปต่าง ๆ นานา ไม่อยากจะอยู่แล้วอยากจะกลับบ้านที่นนทบุรี นึกภาพขับรถกลับไป แล้วจะอยู่ยังไง โควิด ล็อคดาวน์ด้วย ลำบากแน่ ๆ อยู่บ้านนี้ก็ปลอดภัยกว่า
ดอกที 2 กำลังทำกับข้าว วานพ่อบ้านให้หั่นหัวปลีให้หน่อย วานพ่อบ้านในขณะที่พ่อบ้านกำลังทำงานศิลปะของท่านอยู่ กิเลสมารบอก ชอบที่พ่อบ้านมาช่วยหั่นหัวปลี เพราะพ่อบ้านหั่นสวย เหมือนมืออาชีพ มีกิเลสเสพอยากให้คนอื่นมีส่วนร่วม เสพความเอาแต่ใจ อยากให้คนสนใจ(เดี๋ยวไปล้างทำการบ้านอันต่อไป) พ่อบ้านตอบว่า ให้เขางานอื่นที่ใหญ่กว่านี้ดีไหม อย่างแบกต้นไม้หรืองานหนัก ๆ ยื้อกันอยู่สักพัก สุดท้ายเราก็ต้องมาหั่นเอง จิตตอนนั้นกิเลสแว้บมาบอก แกแพ้แล้วอย่ายอม เลยไปเปิดดูว่าพ่อบ้านทำอะไรทำไมไม่มาช่วย สักพัก เลยคิดว่า หั่นเองก็ได้ ที่ให้พ่อบ้านหั่นเพราะเราหั่นหัวปลีทีไร ดำทุกที กลัวหัวปลีดำเสียหาย เลยปรับจิตใหม่ช่างมัน ถ้ามันจะดำ ก็กินทั้งแบบนั้นล่ะ หั่นเองก็ได้ สรุป ทำต้มยำหัวปลีออกมา ขาวสวยดี
ทุกข์ : หงุดหงิดพ่อบ้านทำพฤติกรรมไม่ถูกใจเราไม่ได้ดังใจเรา
สมุทัย : ชอบ ถ้าพ่อบ้านฟังและทำตามเรา ยึด อยากให้พ่อบ้านฟังเรา อยากให้เขาทำตามที่เราพูด
ชัง เวลาพ่อบ้านทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกใจเรา พฤติกรรมที่เรามองว่าไม่ดี
นิโรธ : พ่อบ้านจะทำพฤติกรรมอะไรที่ไม่ถูกใจ เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณา ความอยาก ทำให้เบียดเบียนคนอื่น พ่อบ้านก็อึดอัด ทำตัวไม่ถูก ต่อต้าน เริ่มวิวาทะ พาลไปเรื่องอื่น ๆ
พิจารณาความเอาแต่ใจ ต้องฝึกขัดใจตัวเอง คอยตามรู้ความอยากจะได้ ความเอาแต่ใจตนเอง ไม่เห็นจะดีเลย มีแต่โทษ มีแต่นรก พอได้วันนี้ วันหน้าก็จะเอาอีก เติมไปเรื่อย ๆ สรุปความเอาแต่ใจไม่ดีเลย
ความลวง กิเลสบอกมันเหม็น กิเลสบอกพ่อบ้านทำพฤติกรรมอะไรก็ ไม่ดี ผิดไปหมด เพ่งโทษพ่อบ้านทำความเดือดร้อนให้เรา พ่อบ้านพาเรามาลำบาก
ความจริง พฤติกรรมพ่อบ้านก็เป็นของท่าน ใจเราต่างหากไปผูก คอยไปจ้องว่าเขาทำแบบนั้นแบบนี้ไม่ดี ใจเราก็ทุกข์
กลิ่นเหม็น มันก็จะเหม็น แรงแบบนั้นเขาเรียกว่าเหม็น กลิ่นก็เป็นไปตามนั้น แต่ใจเราไปผูกว่าพอได้กลิ่นนี้ แล้วใจก็ทุกข์ทันที เราไปได้กลิ่นนั้นเพราะเราไปอยู่บริเวณนั้น ก็จะมีกลิ่น ถ้าไม่อยากได้กลิ่น ก็ไปอยู่ที่อื่น เด๋วกลิ่นก็หายไปเอง
เรื่อง นอนรพ.หรือบ้านดี
เหตุการณ์ ช่วงนี้พ่อเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบอีก พ่นยาที่บ้าน 2-3วันแต่อาการไม่ดีขึ้น จึงไปรพ. หมอได้พ่นยาและฉีดยาให้ แต่อาการไม่ดีขึ้น หมอจึงให้นอนรพ. แต่เมื่อเข้าตึกผู้ป่วยใน ที่อำเภอเป็นรพ.30เตียง ได้แยกเป็น 2 ฝั่งโดยใช้พลาสติกกั้นแยกอีกฝั่งรับผู้ป่วยโควิด 10กว่าราย อีกฝั่งเป็นคนไข้ทั่วไปอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง จึงกังวลกลัวพ่อติดโรคโควิด
ทุกข์ ปวดตึงศรีษะ พร้อมกลัว กังวลใจ พ่อจะติดเชื้อโควิด
สมุทัย ชอบถ้าพ่อไม่ติดเชื้อโควิด ชังถ้าพ่อติดเชื้อโควิด
นิโรธ พ่อจะติดเชื้อโควิดหรือไม่ติดเชื้อโควิดก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสความยึดมั่นถือมั่นว่า ถ้าพ่อนอนรพ.แล้วไม่ติดเชื้อโควิดเพิ่มก็น่าจะดี ซึ่งเป็นความลวง เพราะถ้าวิบากร้ายมาพร้อมร้อนเย็นไม่สมดุล ก็สามารถจะได้รับเชื้อได้ตลอดเวลา จึงเริ่มมีความกังวลให้ใจเป็นทุกข์ มีอาการปวดตึงศรีษะร่วมด้วย ซึ่งผิดทางพุทธะแล้ว ก็กลับมาคิดใหม่ว่า ถ้าวิบากร้ายเข้ามาไม่ว่าจะอยู่ที่รพ.อยู่ที่บ้านหรือที่ไหนๆ ก็สามารถติดเชื้อได้ แต่ถ้าวิบากดี บวกสมดุลย์ร้อนเย็นที่ดีพอ ไม่ว่าโรคอะไรก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายพ่อได้เลย แล้วจะกังวล ฟุ้งซ่านไปทำไมให้ทุกข์ ให้โง่ ในเมื่อตอนนี้พ่อยังไม่ได้ติดเชื้อโควิดเลย จึงหมดความกังวล
หลังจากคลายความกังวลลง น้องๆพยาบาลได้พูดคุยปรึกษากับคุณหมอให้ ท่านยินดีให้พ่อกลับมานอนรักษาตัวที่บ้านได้โดยให้ยากิน ยาฉีดพร้อมอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยที่ดีกว่าต้องนอนรพ.
ใช้บททบทวนธรรมข้อ 37 “ปัญหาทั้งหมดในโลก เกิดจากคน..โง่..กว่ากิเลส”
สรุป หลังพิจารณาแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้ารู้ว่ารพ.รับคนไข้และวิกฤติขนาดนี้ คงจะรีบไปปรึกษาน้องๆ หมอเจ้าของไข้ให้วุ่นวาย แต่ครั้งนี้มีน้องๆพยาบาล มาให้คำแนะนำและพูดคุยที่เตียงคนไข้ ทำให้ตนเองและพ่อก็ได้รับคำแนะนำและช่วยกันหาทางออกได้อย่างดี นี่คืออานิสงค์ของศีลที่ใจไม่ทุกข์ และวางใจทุกอย่างก็จัดสรรให้อย่างลงตัว รวมทั้งอาการทางกายก็หายไปด้วย..สาธุ
เรื่อง อย่ามานะ
เหตุการณ์ ช่วงนี้ช่วยลูกสอยมังคุด ส่วนใหญ่ก็ไว้กิน ไว้แจกจ่ายพี่น้อง ส่วนที่เหลือก็ได้ขายเพื่อลูกจะได้ใช้จ่าย จุดขายจะมีหลายจุด บางจุดก็จะเลือกบ้างแต่ราคาถูก บางจุดจะคัดเกรดหัว ลูกต้องสวย ผิวสวย หูสวยจะคัดเยอะราคาก็จะสูงกว่า จุดนี้มีน้องที่คัดออกเยอะไม่อยากเจอแต่ก็ต้องเจอ
ทุกข์ ขุ่นใจ ไม่ชอบใจไม่อยากให้น้องคนนี้มาคัดมังคุด
สมุทัย ชอบใจถ้ามีคนอื่นมาคัดมังคุด ชังถ้าน้องคนนี้มาคัดมังคุด
นิโรธ ใครจะมาคัดมังคุดก็ได้ ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ว่า ไม่อยากเจอน้องคนนี้ซึ่งเหมือนจะจริงแต่ก็ไม่จริง ซึ่งปกติทุกคนที่อยู่ในแผงมังคุดได้รับการฝึกฝนมาแบบเดียวกันเหมือนกัน ไม่เจอคนนี้ก็เจอคนอื่นที่เหมือนเดิมหรือแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ชอบใจ จะทุกข์ใจไปทำไมให้โง่ ให้บ้า ให้ทุกข์ ก็มาคิดใหม่ ใครจะคัดมังคุดก็ได้ ราคาจะแบบไหนก็ได้ จะขายที่ไหนก็ได้ โชคดีที่สุดแล้วที่ยังมีแม่ค้า มีแผงมังคุดให้เราได้ขายออกไป ถ้ายังมีจิตไม่ชอบใจแม้เพียงเล็กน้อยก็ผิดทางพุทธะแล้ว
พิจารณาเชื่อและชัดในเรื่องวิบากกรรม สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา นี่คือสมบัติของเรา เต็มใจรับด้วยใจที่ยินดี เบิกบาน นั่นมันตัวเราเวลาไปซื้อของแต่ละครั้งเราก็เลือกแล้วเลือกอีกเหมือนกัน ต้องขอบคุณน้องที่ได้เห็นกิเลสส่วนเหลือ และขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
สรุป หลังพิจารณายังไม่ได้ออกจากแผงซื้อมังคุด ได้บอกลูกไปว่า แม่ไปเพ่งโทษพี่เขา ไม่อยากให้เขามาคัดมังคุด พี่เขามาทันทีที่ใจคิดเลย วิบากกรรมเห็นชัดๆ ไม่ต้องรอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่กล้าสารภาพกับลูก จะอายมาก แต่ครั้งนี้ยอมรับด้วยใจเบิกบาน..สาธุ
เรื่อง ความอยากเป็นทุกข์
อยู่ที่ทำงานเห็นขนมปังย่างแล้วอยากกิน หลังจากที่จัดอาหารให้ผู้สูงอายุเรียบร้อยแล้ว มีอาหารเหลืออยู่ต้องทำความสะอาดครัว อาหารที่เหลือต้องทิ้ง เกิดอาการอยากกิน ก็พิจารณาอย่ากินเลยเพราะเราก็ไม่ได้หิว มันเป็นความอยากความเสียดายเป็นกิเลส กินเถอะเล็กน้อยเชควิมุติ ว่าเราติดขนมปังหรือเปล่า เพราะอย่างอื่นเราไม่อยากกินแต่อยากกินขนมปัง ก็เลยตัดสินใจกิน กินไป 2 แผ่น จึงหยุดกิน หลังจากกินไป ประมาณ 30 นาที เกิดอาการกรดไหลย้อน ร่างกายส่งมาตาลีเทพสารถีมาทันที แสดงให้เห็นว่าเราประมาณผิดเสียแล้ว ไม่น่าเลย
ทุกข์ ชังที่ตัวเองพลาดท่าให้กิเลส ต้องไม่สบายกายเพราะความโลภความอยากของเรา
สมุทัย ไม่อยากผิดพลาด ชอบถ้าประมาณได้ดีไม่ผิดพลาด ยึดว่าถ้าประมาณได้ดีไม่ผิดพลาดจะสุขใจชอบใจ
นิโรธ จะประมาณได้ดีไม่ผิดพลาดหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ทุกข์ใจ ยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ได้ใช้วิบาก
มรรค ตอนที่รู้สึกไม่สบายนั้น มีใจคิดทำทุกข์ทับถมตน คือว่าเราไม่น่าพลาดเลย เราน่าจะประมาณการกระทำของเราได้ดีกว่านี้ พอเห็นจิตคิดไม่ดีจึงได้สวนลำกิเลสไปว่าดีแล้วจะได้ชัดเจนเสียที ว่าทำตามอยากตามกิเลสเป็นทุกข์ และทำให้เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่า ทุกอย่างที่เราได้รับล้วนเกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น แต่ถ้าเราไปอยากไม่ให้มันผิดพลาดอีก มันก็จะยิ่งสร้างวิบากร้ายเพิ่มขึ้น ก็มันพลาดไปแล้ว ก็ยอมรับผิด สำนึกผิด ยินดีรับโทษ ยินดีชดใช้ ยินดีที่ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ยินดีแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีนั้น
เพราะเราอยากได้มากเกินกว่าความเป็นจริง คิดว่าการได้กินสมใจอยากเป็นสุข ไม่ได้กินสมอยากเป็นทุกข์ เพราะเราหลงสุขลวง ร่างกายเขาไม่รับ เกิดการเบียดเบียนตนเอง ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยเกิดกรดไหลย้อน ได้รับความทรมาน ทำให้เราได้ใช้วิบากเพราะผิดศีล
จากเหตุการณ์ครั้งนี้พิจารณาเห็นโทษของความอยาก อยากเสพทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หิวและได้ตั้งศีลกินมื้อเดียวแล้วด้วย เราผิดศีลจึงได้รับวิบากทันตาเห็นเลย ตอนแรกที่รู้สึกไม่สบายก็เชื่อชัดเลยว่าความอยากเป็นทุกข์ โดยเฉพาะ อยากทำตามกิเลส ได้มาเสพสุขชั่วคราวแต่ที่เหลือเป็นทุกข์ สำนึกผิดเต็มใจรับโทษและตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้น คือกินนอกมื้อผิดศีล ต้องรับวิบากร้ายอยู่ 2 ชั่วโมง กว่าจะได้กลับบ้านมาทำสวนล้างลำไส้ และโชคดีมีผงกล้วยดิบที่ตากและบดไว้ ได้นำมาผสมน้ำดื่ม พร้อมกับดื่มน้ำผงถ่านด้วย อาการต่าง ๆ ก็หายไป
25/7/64
ด.ช. จิรวศิน เรียนจันทร์ (เฟิร์ส) อายุ 13 ปี
นักเรียนวิชชาราม ภาคสมทบ
เรื่อง อึดอัดใจ ที่สมัครแชทไม่ได้
เหตุการณ์ อึดอัดใจ ที่ลงทะเบียนโปรแกรม Messenger (แชท)ไม่ได้
ทุกข์ อึดอัดใจ ที่สมัครโปรแกรม Messenger ไม่ได้
สมุทัย ชอบที่สมัครได้ ชังที่สมัครไม่ได้
นิโรธ ไม่ชอบไม่ชัง สมัครได้ก็ได้ สมัครไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
มรรค ยอมวางใจ วางโทรศัพท์ ด้วยความยินดี ความอึดอัดจึงหายไป แล้วพักการสมัคร ไปเข้าหมู่ใน LINE กลุ่มก่อน ต่อมา
กลับมาลองสมัครใหม่ ผล สามารถทำได้สำเร็จ
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : หลานติดเชื้อโควิด
เหตุการณ์ : หลานทื่ กทมฯส่งข้อความมาว่าติดเชื้อโควิด กำลังรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้มีอาการป่วยจึงไปตรวจหาเชื้อโควิด ผลออกมาว่าติดเชื้อ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราและครอบครัวได้พบปะพูดคุยกันอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก แล้วเราก็เดินทางกลับใต้หลายวันแล้ว มารู้ว่าหลานติดเชื้อโควิด เกิดความกังวลว่าเราจะเป็นอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้เราก็กักตัวเองเป็นเวลา 14 วันอยู่แล้วเพราะมาจากพื้นที่เสี่ยง
ทุกข์ : กังวลใจว่าจะติดเชื้อโควิดจากหลาน
สมุทัย : ชอบถ้าไม่ติดเชื้อโควิด ชังถ้าติดเชื้อโควิด
นิโรธ : ติดเชื้อโควิดหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อทราบข่าวว่าหลานซึ่งได้พูดคุยกันที่ กทมฯ เนื่องจากช่วยกันจัดงานศพน้องชายของเราเอง ทำให้เราต้องมาทบทวนดูว่าจะใกล้ชิดกันในระดับใด พ่อบ้านใกล้ชิดกว่าเพราะหลานทำอาหารมาให้กิน เรามีความรู้สึกเป็นห่วงหลานได้สอบถามอาการและคำแนะนำตามหลักแพทย์วิถีธรรม ซึ่งเขาจะทำตามหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเขา เราแนะนำแล้วก็วางใจ ในตอนแรกเราก็กังวลใจว่าจะติดเชื้อจากหลานหรือไม่ ช่วงนี้อาจารย์หมอเขียวได้บรรยายเรื่องนี้เกือบทุกวัน เนื่องจากสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ ทำให้เราวางใจ สบายใจขึ้นมากเพราะจากการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์ของอาจารย์ แต่ถ้าจะติดจริงๆเราจะใช้หลักการของแพทย์วิถีธรรมดูแลตัวเองแน่นอน และยึดหลักบททบทวนธรรมข้อที่ 28 ว่า”ความกลัว กังวล ระแวง หวั่นไหว ทำให้เป็นได้ทุกโรค ใจไร้ทุกข์ ใจดีงาม เป็นสิ่งที่มีฤทธิ์มากที่สุดที่ทำให้หายหรือทุเลาจากโรค เป็นยารักษาโรคที่มีฤทธิ์เร็วและแรงที่สุดในโลก”
เมื่อได้นำธรรมะมาใช้ความกังวลใจก็หายไปเกิดความสบายใจในที่สุด “ตายก็ไปเกิดใหม่ อยู่ก็ทำดีต่อ”
23/7/2564
ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2
** กราบขออนุญาติคู่ผัสสะนะคะ*** กิเลสมันเข้าค่ะ ต้องมาล้างใจค่ะ
เรื่อง : เห็นเขาชั่ว เรากลับชั่วตามเขา
เหตุการณ์ : ที่ผ่านมาพี่ท่านนั้น จะโทรมาคุยเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาคุยว่าเด็ก เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ตัวเองก็พยายามอธิบาย ให้เขาเข้าใจเด็กคนนั้น และหาโอกาสจะพูดให้เขาฟังว่า สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เห็น น้องเขาอาจจะเป็นลิงลม อมข้าวพอง มาก็ได้ แต่เขาก็ไม่ให้โอกาสเรา จนกิเลสเราขึ้น ตรงที่เขาพูดเพ่งโทษ แม่ของเด็ก
ทุกข์ : อึดอัด เหนื่อยหัว ที่จะพูด กับคนไม่ยอมฟังเหตุผล
สมุทัย : 1. ชอบถ้าเขาให้โอกาสเรา ได้อธิบายเหตุผล ชังที่เขาพูดเยอะ ไม่ให้โอกาสเรา
2. ชอบถ้าเขาเข้าใจความรู้สึกของเด็ก ชังที่เขาเพ่งโทษเด็ก และเพ่งโทษแม่ของเด็กด้วย
นิโรธ : พี่เขาจะแสดงวาจา ออกมาแบบไหน เราก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แบบไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เราก็พยายามรักษาแผลเก่าเริ่มหายแล้ว แต่คราวนี้เขาทำให้จิตใจเราบอบช้ำ ไปหมดเลย
มาร : เอาอีกแล้ว ปัญหาส่วนตัวของเขาหมดแล้วหรือทำไมต้องหยิบเอาเรื่องของคนอื่นมาพูดเพ่งโทษ แม้แต่เด็ก แถมยังเพ่งโทษไปถึงแม่ของเด็กด้วย
เรา : เฮ้ยมาร ตอนนี้เอ็งกำลังเพ่งโทษถือสาพี่เขาเหมือนกันนะ ที่เอ็งเป็นแบบนี้ ก็มีวิบากร้ายเหมือนกันนะเว้ย หรือว่าเอ็งอยากเป็นเหมือนเขา
มาร : ก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นหรอก แต่สงสารเขาจะได้รับวิบากหนัก เพราะเขาไปเพ่งโทษ ผู้มีศีล เพ่งโทษสัตบุรุษ วิบากจะแรง
เรา : ท่านอาจารย์บอกให้เราเคารพศรัทธา ส่วนดีของเขา และเมตตาส่วนด้อยของเขา คนทุกคนไม่มีใครอยากทุกข์ อยากโง่ อยากพร่อง ถ้าเราอยากช่วยเขา เราต้องเพิ่มศีล ลดกิเลสของเราก่อน จนกว่าจิตเราเป็นพุทธะแล้วเราจะมีปัญญา ช่วยเขา แต่ถ้าเรายังทุกข์ ยังโง่ ยังชั่ว และเพ่งโทษผู้อื่นอยู่ เราก็ต้องสอนตัวเองให้มากๆ ก่อน ไม่ฉะนั้นเราจะไม่มีปัญญาจะช่วยเขา ตรงกับ บทธ ข้อที่ 3 นับ 1 ที่เรา เริ่มต้นที่เรา ทำความดีที่เรา นี่คือ…เส้นทางเพื่อการพึ่งตน และช่วยคนให้พ้นทุกข์
สรุป : พอเราโยนเรื่องนี้เข้าหมู่ ได้ปัญญจากหมู่มาสอนมารจนรู้เรื่องแล้ว ความอึดอัด ในใจก็คลายลงค่ะ ต้องขอบคุณพี่ท่านนั้นที่ช่วยขัดเกลากิเลสเรามาตลอด สาธุค่ะ
24/7/2564
ชื่อ น้องถนอม วิไลสัก อายุ 9 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : สงสารปู
เหตุการณ์ : ระหว่างที่เดินผ่านทุ่งนาเห็นน้าจับปู
ทุกข์ : รู้สึกเศร้าใจ สงสาร ที่เห็นปูจะต้องตาย
สมุทัย : ชังที่น้าจับปู
นิโรธ : น้าจับปูก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค : เมื่อก่อนหนูก็ชอบจับปู และชอบกินปูมากๆเลย ขอสำนึกผิดที่ไปเพ่งโทษน้า และขอสำนึกผิดที่เคยเบียดเบียนปู จะตั้งศีลเลิกกินปูค่ะ
เรื่อง เผลอใจ
เหตุการณ์ :ได้ไปทำฟันที่ร้านแห่งหนึ่ง พอไปถึงได้จอดรถลงไปที่ร้าน วันนั้นมีลูกค้ามาเข้าคิวรอทำฟันหลายคน จึงได้ย้อนกลับไปที่รถเพื่อทำธุระบางอย่าง ในขณะทำธุระอยู่ สติก็หลุดออกไปจากตัว มัวไปคิดเรื่องอื่นต่อ ทำให้สัญญาขาดจำไม่ได้ว่าได้เอากุญแจวางไว้ในรถ เมื่อทำธุระเสร็จก็ออกจากรถ แล้วปิดประตูรถทันที มารู้ภายหลังว่าลืมกุญแจไว้ในรถ มีผลทำให้เปิดประตูรถไม่ได้
ทุกข์ : กังวลใจว่าจะเอากุญแจออกมาจากรถได้อย่างไร
สมุทัย : ไม่มีสติในขณะนั้นจิตฟุ้งไปเรื่องอื่น ชอบใจถ้าได้เอากุญแจออกมาจากรถ ชังที่ลืมกุญแจไว้ในรถ
นิโรธ : จะลืมกุญแจไว้ในรถหรือไม่ เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : รีบดึงสติมาอยู่กับปัจจุบันแล้วทำการตรวจสอบใจตัวเอง จึงได้รู้ว่ามีความกังวลใจอยู่นิดๆ ว่าจะเอากุญแจออกมาจากรถได้อย่างไร ที่จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นกับรถ แต่ความกังวลใจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ รู้ได้ว่าความกังวลใจเป็นกิเลสมาร เพราะมันนำทุกข์มาให้ จึงได้พิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตนของกิเลส มันไม่ใช่ตัวเรา โทษของความกังวลใจ มีแต่จะทำให้เสียสุขภาพกายสุขภาพใจ ความกังวลใจไม่ได้แก้ปัญหา แต่เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ตามบททบทวนข้อที่ 72″ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทุกข์ใจ ความทุกข์ใจ ไม่ได้แก้ปัญหา มีแต่เพิ่มปัญหา สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องดับไป จะทุกข์ใจไปทำไม เบิกบาน…แจ่มใสดีกว่า”เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้ว ความกลัวกังวลในใจก็หายไป ส่วนกุญแจที่ลืมไว้ในรถ ก็ได้โทรตามช่างผู้ชำนาญการ ในการเปิดประตูรถ ปัญหาก็ผ่านไปได้ด้วยดีสามารถเปิดประตูรถ และเอากุญแจออกมาได้ จะเห็นได้ว่าปัญหาทุกอย่างมีไว้เพื่อแก้ ไม่ได้มีไว้ให้เรากังวลใจ
Comments are closed.