640718 การบ้าน อริยสัจ 4 (29/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านรวม 31 ท่าน 48 เรื่อง
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- นางสาวสันทนา ประวงศ์
- ปิ่น คำเพียงเพชร
- ศิริขวัญ แซ่ลิ่ม
- ด.ช.สิรวิชญ์ ศรีอำนวย (2)
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
- ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) (4)
- ชวนชม คำท้วม (3)
- วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว))
- น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร) (2)
- นฤมล ยังแช่ม
- จิตรา พรหมโคตร (มั่นแก่นพุทธ)
- น้องบุญพิมพ์ไพร
- ด.ญ กันติชา รัตนนิรันดร (นาเดีย) (2)
- ด.ญ กานติมา รัตนนิรันดร (เจด้า)
- เรือนแก้ว สว่างวงษ์ ( (นก แก้วเย็นศีล)
- จิรานันท์ จำปานวน (5)
- รมิตา ซีบังเกิด
- นางสาวนาลี วิไลสัก (2)
- น้องถนอม วิไลสัก
- สุมา ไชยช่วย (2)
- นางพรรณทิวา เกตุกลม (3)
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- นปภา รัตนวงศา (2)
- พรพิทย์ สามสี (เพื่อนพิทย์)
- พิมพ์พศินา สิทธิประเสริฐ (น้าหมู-เพียรเย็นพุทธ)
- มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม
- ภาคภูมิ ยอดปรีดา (สร้างแก่นศีล)
- Ruam Ketklom



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 157
อริยสัจ 4
เรื่อง เพื่อนทำอะไรอยู่ ?
วิชาแอดมิน ได้เรียนจบคอร์สไปแล้ว ท่านคุรุและพวกเรานักศึกษาได้ปรึกษาหารือกันว่าน่าจะนำเสนอสิ่งที่ได้เรียนมา เกือบ 1 ปี ต่อท่านอาจารย์หมอเขียวและพี่น้องผ่านทางซูม จึงได้แบ่งหัวข้อกันว่ากลุ่มใดจะนำเสนอเรื่องใด สำหรับกลุ่มของข้าพเจ้ามีพี่น้องที่ท่านถนัดและคล่องในการนำเสนองานอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้กังวลใจเรื่องการรวบรวมข้อมูลและนำเสนอ
พอถึงวันซ้อมใหญ่ ท่านคุรุก็ถามขึ้นมาว่าพี่น้องท่านใดจะอาสาเป็นตัวสำรอง เผื่อไว้กรณีพี่น้องเราไม่สามารถมารายงานในวันพรุ่งนี้ได้ (ข้าพเจ้ามองเพื่อนในห้องซูมอยู่แว่บหนึ่ง ไม่มีใครยกมือ) จึงยกมือ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่พวกเราต้องนำเสนองานผ่านซูม ปรากฏว่าพี่น้องซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มยังไม่มา เอาละซิ ! ข้าพเจ้าเกิดอาการใจสั่นขึ้นมาทันทีเลย
ทุกข์ : กังวลใจที่เพื่อนยังไม่เข้าห้องเรียน ถ้าเพื่อนมาช้า ข้าพเจ้าต้องได้นำเสนอแน่นอน !
สมุทัย : อยากให้เพื่อนเข้าห้องเรียนเร็ว ๆ หากเพื่อนเข้าห้อนเรียนตรงเวลาจะสุขใจ หากเพื่อนมาช้าจะทุกข์ใจ
นิโรธ : เพื่อนจะเข้าห้องเรียนสายหรือไม่มาเลยก็จะไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เมื่อเริ่มเห็นอาการใจสั่น ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เลยตั้งสติและถามตัวเองว่าเป็นอะไรน่ะ ! กิเลสก็บอกว่า กลัวได้พูดรายงานแทนเพื่อน อ่อ เธอกลัวเรื่องแค่นี้น่ะ พอคิดและ พูดถึงประโยคนี้ใจที่สั่น ก็เบาลงอย่างเห็นได้ชัด เรื่องไม่เป็นเรื่องก็หาเรื่องมาให้ทุกข์จนได้น้อ เหมือนท่านอาจารย์หมอเขียวกล่าวไว้ว่า ทุกข์เพราะเราไม่ได้สิ่งที่อยาก มันเป็นอย่างนี้นี่เองข้าพเจ้าอยากนี่เองเลยทำให้ทุกข์ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลาก็คงไม่ทุกข์เช่นนี้ กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ท่านอาจารย์หมอเขียว และพี่น้องหมู่มิตรดี ตลอดจนเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่ทำให้ได้เห็นกิเลสตัวนี้ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าได้ล้างเกลี้ยงไปแล้ว ทุกข์ที่มีอยู่หมดเกลี้ยงแล้วค่ะ สาธุ
เรื่อง : โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์
เหตุการณ์ : ไปขุดดินทำแปลงนากับหมู่พี่น้อง เห็นความหมองใจ ขุ่นใจ ขัดเคืองใจ ไม่พอใจ มีอาการดิ้นอยู่ในใจ ขลุกขลักๆ ดิ้นๆ เพื่อนทำไม่เรียบเสมอกัน ไม่เรียบร้อย ใจอยากไปแก้ไขตรงที่เพื่อนขุดให้เรียบร้อย ให้เป็นแปลงนาที่สมบูรณ์ ยืนมองแล้วมองอีก แต่ล้างกิเลสเราก่อนดีกว่า
ทุกข์ : หมองใจ ขุ่นใจ ขัดเคืองใจ ไม่พอใจ มีอาการดิ้นอยู่ในใจ ขลุกขลักๆ ดิ้นๆ เพื่อนขุดแปลงนาไม่เรียบเสมอกัน
สมุทัย : อยากได้สมใจเราหมาย เกิดจากตัณหาความอยาก อยากให้เรียบร้อย
ชอบใจ-ถ้าเพื่อนทำเรียบร้อย ดั่งใจเราหมาย
ชัง-ไม่ชอบใจ ถ้าเพื่อนทำไม่เรียบร้อย
มีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ยึดว่าทำเรียบร้อยอย่างเราดี มีอุปกิเลส มานะ (ถือดี) อติมานะ (ดูหมิ่นเพื่อน) มักขะ (ลบหลู่คุณเพื่อน) คิดถือดี ว่าเราทำดีกว่า เพื่อนทำไม่ดีไม่เรียบร้อย เดี๋ยวก็ต้องมาตามปรับแก้ เราทำเรียบร้อยเสร็จแล้วเสร็จเลยไม่ต้องปรับแก้
นิโรธ : เพื่อนจะทำเรียบร้อย หรือไม่เรียบร้อยเราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาโทษของการกิเลส ได้เห็นว่า อยากได้สมใจหมาย นั้นทำให้เกิดความทุกข์ใจ อาการอยากได้ในสิ่งที่ชอบนี้เป็นทุกข์ รู้ว่าชอบเป็นกิเลสตัณหาความอยาก เห็นความยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องทำเรียบอย่างเราเป็นอัตตาตัวตน เป็นอุปกิเลส มานะ (ถือดี) อติมานะ (ดูหมิ่นเพื่อน) มักขะ (ลบหลู่คุณเพื่อน) เป็นวิบากร้ายเพ่งโทษถือสากล่าวร้ายพระอริยะ วิบาก ๑๑ ประการ เป็นทุกข์ เห็นลีลาอาการทุกข์ใจ หมองใจ ขุ่นใจ ขัดเคืองใจ ไม่พอใจ อาการกิเลสดิ้น ดิ้น ๆ ขลุกขลักๆ อยู่นี้เป็นทุกข์ ไม่ควรมีในใจเรา ปรับใจสำนึกผิด ที่มีจิตคิดเพ่งโทษดูหมิ่นเพื่อน ยอมรับผิด เต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรมเพื่อนในใจกับสิ่งที่คิดไม่ดีไป ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี จะคิดดี คิดเป็นกุศล มีสติตามความคิดให้มากขึ้น
เห็นทุกข์ในใจชัด เป็นทุกข์ชัดๆ กองทุกข์ทั้งมวลแถมด้วยวิบากร้าย ๑๑ ประการอีก ไม่เอาแล้ว เหมือนกำลัง กำถ่านไฟร้อนอยู่ จะรีบปัดออกทันที ไม่เราร้อนๆ
ผล : ความทุกข์ใจ ความอยากได้สมใจหมายให้แปลงนาต้องเรียบร้อย คลายหายไปเป็น ๐ % กับเหตุการณ์นี้ ถามเพื่อนว่าอย่างนี้ดีไหม? ควรจะขุดปรับตรงไหนอีกไหม? เพื่อนบอกว่าที่ทำอยู่นี้ดีแล้ว เราก็ตัดรอบได้ ไม่มีใจอยากแก้ไขอีก เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์ สาธุค่ะ
พฤติกรรมของใครกันแน่ที่ไม่ดี
ร่วมบำเพ็ญกิจกรรมนักศึกษาชวนทำการบ้าน อริยสัจ 4 กับพี่น้องหมู่มิตรดีสัปดาห์ก่อน มีพี่น้องท่านหนึ่งร่วมแสดงความคิดเห็นเหมือนรู้ไปหมดทุกอย่าง หลายครั้งติด ๆ กัน เกิดความรู้สึกขัดใจ จนหลุดไปพูดเบรค ทิ่มแทงท่านด้วยหอกปากหนึ่งครั้ง เพราะรู้สึกว่าท่านไม่จริงใจ
ทุกข์ : รู้สึกขัดใจจนหลุดไปพูดเบรคท่าน ทิ่มแทงท่านด้วยหอกปาก เมื่อเห็นท่านแสดงความคิดเห็นเหมือนรู้เข้าใจไปหมดทุกเรื่องทุกครั้ง ออกไปเชิงอวดรู้และดูไม่จริงใจ
สมุทัย : ไม่ชอบ คนอวดรู้และไม่จริงใจ ยึดว่าถ้าท่านพูดหรือแสดงความคิดเห็นด้วยความจริงใจจะดี ยึดต่อไปอีกว่าคำพูดหรือพฤติกรรมของท่านไม่จริงใจ ไม่รู้จริงแต่อวดรู้ ยึดต่ออีกว่าถ้าท่านรู้จริงแล้วค่อยพูดจะดี
นิโรธ : ไม่ว่าท่านจะพูดจะแสดงความคิดเห็นเหมือนรู้ทุกเรื่องทุกครั้งด้วยความจริงใจหรือไม่ ท่านจะไม่รู้จริงแต่อวดว่ารู้หรือไม่ เราก็ไม่ทุกข์ใจ วางใจไม่ชอบไม่ชังให้ได้
มรรค : พิจารณาเห็นความจริงว่า ความชังคนไม่จริงใจชังคนขี้อวดขี้โม้ที่อยู่ในใจเรา ความที่เรายึดว่าถ้าท่านรู้จริงท่านไม่อวดรู้จะดี ยึดว่าสิ่งที่ท่านพูด พฤติกรรมของท่านไม่ดี นี่มันคือกิเลสของเรา เรากำลังหลงไปตามกิเลสอยู่นะ เห็นไหมมันทำให้เราเป็นทุกข์จนคุมตัวเองไม่ได้จนต้องหลุดไปเบรคท่านไปพูดจาทิ่มแทงท่านเบียดเบียนท่านด้วยหอกปากด้วยจิตใจที่อคติลำเอียงอยู่นี่ไง สร้างวิบากให้ตนเองเลยเห็นไหม
ถ้าเราไม่ชอบไม่ชัง ไม่มีกิเลสตัวชังคนขี้อวดขี้โม้ คนไม่จริงใจ ไม่ว่าเราจะเห็นคนที่มีพฤติกรรมขี้อวดขี้โม้หรือไม่ จะจริงใจหรือไม่ เราก็ไม่ต้องทุกข์ใจ แล้วเราก็ไม่ต้องมารู้สึกขัดใจจนต้องไปพูดจาทิ่มแทงท่าน ไม่ต้องเบียดเบียนท่าน เพราะไปยึดว่าคำพูดหรือพฤติกรรมของท่านไม่ดี เราก็ไม่ต้องสร้างวิบากเพิ่ม จิตใจเราก็ปกติ ไม่บิดเบี้ยวไปตามกิเลสแบบนี้
เราไปมองว่าพฤติกรรมของท่านไม่ดี แท้จริงใครกันที่ไม่ดี ก็เรานี่แหละไม่ดี หน้าไม่อายเลย ส่วนท่าน ท่านอาจจะพูดด้วยความจริงใจหรือไม่จริงใจ ท่านจะขี้โม้ขี้อวดหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับเรา หากท่านพูดด้วยความจริงใจพูดเพราะท่านรู้เข้าใจตามที่ท่านพูดจริง ๆ ก็เป็นความดีเป็นบุญกุศลของท่าน หากท่านพูดด้วยความไม่จริงใจ พูดด้วยความอยากอวดรู้โดยไม่ได้รู้จริงมันก็เป็นกิเลสของท่านเป็นวิบากที่ท่านต้องไปรับเอง
อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน สอนไง ว่าให้แต่ละชีวิตได้มีฐานให้ได้อาศัยไง เมื่อทบทวนและพิจารณาดังนี้ ก็รู้สึกสำนึกผิดขอโทษขอขมา และตั้งจิตเคารพในส่วนดีเมตตาในส่วนด้อยของพี่น้อง และต่อไปจะพยายามมีสติไม่ให้ไปเพ่งโทษถือสาพี่น้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
สรุป ความรู้สึกขัดใจ ความทุกข์ใจ ความเพ่งโทษถือสาพี่น้องในครั้งนี้ก็คลายลงได้
เรื่อง เสียชีพไม่ยอมเสียศีล
เหตุการณ์ ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ กรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมบำเพ็ญฉีดวัคซีนให้พี่น้องที่สถานีกลางบางซื่อ
กิเลสก็มาทันที
ทุกข์ ใจไม่แช่มชื่น ที่ต้องไปทำงาน ณ พื้นที่ สีแดง
สมุทัย ชอบถ้าไม่ต้องไปทำงานที่พื้นที่สีแดง ชังที่ต้องไป
นิโรธ ยินดี เต็มใจ ตั้งใจ ไปทำงานพื้นที่สีแดงตามหน้าที่ โดยไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มารมาทันทีที่รู้ข่าวต้องไปพื้นที่สีแดง
มาร: โอ้ย ..ตายๆพื้นที่สีแดง ติดแน่ๆ คนแน่นขนาดนั้น ติดแน่ๆๆๆ
เรา:คิดแบบนี้เบิกบานไหม กลัวอะไร
มาร:ไม่ ก็……ก็…..และก็…..กลัวติด
เรา: ติดก็ติด ตายก็ตาย คุ้มน่า เอาน่า เสียชีพ ไม่ยอมเสียศีล ไป ข้าจะพาเอ็งลุยเอง ทำในสิ่งที่ขาดแคลน คุ้มที่สุด
มาร:ได้ๆๆๆเสียชีพไม่ยอมเสียศีล คุ้ม คุ้มจริงๆๆ
…ว่าแล้วมารก็จากไป..ใจก็ได้พลังกลับมาเบิกบานเช่นเดิม ….ไปไหนก็ได้ถ้ากิเลสตาย แม้ต้องตาย ก็คุ้ม กุศลหยดเดียวที่ไม่กลัว เพิ่มพลังมากมายทีเดียวค่ะ
การบ้าน น้องปังปอนด์
ด.ช.สิรวิชญ์ ศรีอำนวย อายุ10ขวบ
เรื่อง น้อยใจพ่อเฒ่า(ตา)
เหตุการณ์:จากที่ผมไปดูพ่อเฒ่าเจาะบ่อบาดาล แต่เครื่องยังไม่ทำงาน ผมได้ขึ้นไปเล่นเกียร์บนเครื่องเจาะ แล้วโดนพ่อเฒ่าดุ
ทุกข์:น้อยใจพ่อเฒ่า
สมุทัย:ชอบที่พ่อเฒ่าไม่ดุ
นิโรธ:พ่อเฒ่าจะดุหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค:พอมาคิดได้ว่าผมผิด ถูกพ่อเฒ่ดุก็ถูกต้องแล้ว เพราะผมผิดจริงจึงไม่โกรธพ่อเฒ่าแล้วครับผม
เรื่อง จะบอกยังไงดี
ญาติธรรมท่านหนึ่งมาขอความช่วยเหลือจากเรา ให้ช่วยสอนและช่วยทำงานบางอย่างให้ท่าน เราเห็นความตั้งใจและพยายามทำสิ่งดีของท่าน เราก็ยินดีเต็มใจที่จะช่วย แต่เมื่อได้ลงมือช่วยไปบ้างแล้ว จึงได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานและศักยภาพของตัวท่านมากขึ้น และเห็นได้ชัดว่างานนี้คงจะไปไม่รอด โอกาสที่จะสอนหรือทำงานให้สำเร็จได้นั้น เราประเมินดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่เวลานี้ที่จะทำได้ อยากจะบอกความจริงกับท่าน แต่ก็มีความกังวลใจ กลัวว่าท่านจะไม่เข้าใจ
ทุกข์ – ความลังเลในใจ กลัวและกังวลว่าเมื่อบอกความจริงไปแล้วท่านจะไม่เข้าใจ
สมุทัย – ตัณหา คือความอยากให้ท่านเข้าใจ ยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าท่านเข้าใจ เราจะสบายใจ ถ้าท่านไม่เข้าใจ เราจะทุกข์ใจ
นิโรธ – ตัณหาดับ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ท่านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค – พิจารณาจี้ลงไปที่เหตุแห่งทุกข์ คือความอยากให้คนเข้าใจ พิจารณาให้เห็นชัด ๆ ว่าความอยากแบบนี้แหละคือเงื่อนไขที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ เมื่อมีความอยากให้เขาเข้าใจก็จะเกิดความกลัว กังวล หวั่นไหวขึ้นมาทันที คือกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ หรือกลัวว่าจะไม่ได้สมใจอยากนั่นเอง ดังนั้น วิธีดับทุกข์ก็ง่ายนิดเดียว คือเลิกอยากซะ ไม่ต้องไปอยากในเรื่องที่เรากำหนดอะไรไม่ได้ เพราะเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจขึ้นอยู่กับวิบากดีร้ายของเขาและของเราในเวลานั้น เมื่อพิจารณาจนเห็นชัดเจนแล้วว่าต้นเหตุที่แท้จริงคือความอยาก ก็ทำใจในใจว่าไม่ต้องอยากก็หมดเรื่อง
เมื่อพิจารณาตามมรรคจนเข้าใจชัดเจนแล้ว ความกลัว กังวล หวั่นไหวว่าท่านจะไม่เข้าใจก็เบาบางลงไปมาก จนเราตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลว่า จะบอกความจริงกับท่าน และจะเสนอแนะให้ท่านปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานบางอย่างของท่านเล็กน้อย ก็จะทำให้ท่านยังคงได้ทำประโยชน์ในงานนั้นอยู่ตามศักยภาพที่แท้จริงของท่าน และเราก็จะสามารถช่วยเหลือท่านได้ดีขึ้นด้วย
ชื่อเรื่อง: ความกลัวเกิดจากความชอบความชัง
เนื้อหา: ได้เข้าร่วมการฝึกเขียน ฝึกเล่าอริยสัจ 4 ก่อนที่จะขึ้นสอบในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และมีพี่น้องช่วยวิพากษ์ชี้แนะจุดบกพร่องที่ควรแก้ไขให้ และได้นำมาแก้ไขใหม่ พอมานั่งเขียน ก็เห็นความวนที่จบไม่ลงของตัวเองรู้สึกว่าเขียนออกมายังไงก็ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกใจไม่ตรงใจสักทีจนเพื่อนแซวว่าเขียนอริยสัจยังไงดูทุกข์จัง จึงได้สติกลับมาอ่านอาการวนของตัวเอง จนเห็นเหตุที่ทำให้ตัวเองวนไม่จบ จนต้องนั่งยิ้มขำกิเลสตัวเอง
ทุกข์: รู้สึกไม่แล้วใจ(ไม่สมใจ) รู้สึกว่าตัวเองยังกังวลใจ วนอยู่กับการที่จะเขียนอริยสัจ 4 ออกมาให้สมบูรณ์ ให้ถูกใจ ให้ได้ดั่งใจ ให้ตรงใจ
สมุทัย: กลัว กังวลว่าเวลาขึ้นไปสอบการเล่าอริยสัจแล้วจะถูกคุรุหรือเพื่อนวิพากษ์
นิโรธ: วางใจ ไม่กลัวไม่กังวลใจว่าจะถูกวิพากษ์หรือไม่ถูกวิพากษ์ ก็จะไม่กังวลใจ
มรรค: พอเห็นว่ามีความกลัวกังวลเกิดขึ้นในใจ ก็พิจารณาจนเห็นว่าความกลัว ความกังวลมันเป็นกิเลสที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ และมันมีรากเหง้ามาจากความชอบชัง อย่างยึดมั่นถือมั่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของเรา เช่นที่เรากลัวว่าจะถูกเพื่อนหรือคุรุวิพากษ์เพราะเราชอบที่จะไม่ถูกวิพากษ์หรือชอบที่จะให้คนอื่นคิดหรือเข้าใจว่าเราเขียนหรือเล่าอริยสัจ 4 ได้ถูกต้องนั่นเอง และจะเกิดความกลัวว่าจะมีเพื่อนหรือคุรุมาวิพากษ์เรา เพราะเราชังไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่เข้าใจหรือเขียนอริยสัจไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นการจะล้างความกลัว กังวลในเรื่องใดๆได้เราต้องฝึกล้างความชอบความชังในทุกเรื่องให้ได้ โดยทำทีละเรื่องไปเป็นลำดับ เพราะถ้าไม่ล้างมันออกมันก็จะทำให้ใจเราทุกข์ กลัว กังวลไม่มีสิ้นสุดอยู่อย่างนั้นเพราะถ้าเราชอบสิ่งใดเราก็จะกลัวว่าสิ่งที่เราชอบนั้นจะไม่เกิดอย่างใจเราหมาย หรือถ้าเราชังสิ่งใดเราก็จะกลัวว่าสิ่งที่เราชังนั้นจะเกิดทำให้เราทุกข์ใจตลอดเวลาไม่รู้จบ หมุนวนอยู่อย่างนั้นจนกว่าเราจะล้างความชอบชังในเรื่องต่างๆลงได้และการจะล้างความกลัวที่เกิดจากชอบชังได้ก็ต้องพิจารณาถึงโทษของการมีความกลัวว่าทำให้ใจเราทุกข์ กังวล พิจารณาถึงประโยชน์ของการไม่มีความกลัวที่เกิดจากความชอบชังว่าจะทำให้เราเป็นสุข เป็นอิสระจากความกลัว กังวลหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง พิจารณาซ้ำๆจนเห็นว่าความกลัว มีแต่โทษมีแต่ทุกข์ไม่มีสุขเลยพิจารณาจนเราเชื่อชัดอย่างนั้นจริงๆจนเกิดเป็นปัญญาที่ชัดเห็นความจริงตามความเป็นจริงจนสามารถกำจัดความกลัวนั้นให้ลดหรือจางคลายลงไปได้ในที่สุด
ส่งการบ้านอริยสัจ4
เรื่อง.ได้จับเวลาฆ่ากิเลส
เหตุการณ์.เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้ร่วมทำรายการกับพี่น้องสวนสอง และมีพี่ให้โอกาสบำเพ็ญจับเวลาดูเวลา เพื่อได้แจ้งเวลาให้กับพิธีกรได้ทราบได้ว่ายังเหลือเวลาอีกกี่นาที ใจยินดีมาก แต่กิเลสมีข้อต่อรองมากมาย ค่ะ
ทุกข์.ใจกังวลกลัวว่าการบอกเวลาของเรากลัวว่าจะผิดพลาดเหมือนคราวก่อนแล้วจะทำให้เสียเวลาพี่น้องมาแก้ไขอีก
สมุทัย.อยากได้สภาพดีๆอยากให้งานหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายออกมาดีแล้วจะชอบใจสุขใจ ถ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายออกมาพร่องหรือพลาดก็จะไม่ชอบใจทุกข์ใจ
นิโรธ.วางใจยินดีได้ว่าเมื่อทำดีเต็มที่แล้วผลจะออกมาอย่างไรก็พอใจไร้กังวลไม่ชอบไม่ชัง
มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ พิจารณาโทษของกิเลสที่ทำให้ทุกข์ใจ กลัวจะผิดพลาด เพราะย้อนไปตอนที่ไปทำอัดรายการกันที่สวนสองแล้วเหมือนเหตุการณ์เดียวกันมีพี่ท่านเดิมนั่นแหละค่ะให้โอกาสเราบำเพ็ญบอกเวลา แต่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทำหน้าที่ จึงทำผิดพลาดบอกเวลาผิด จึงทำให้พี่น้องต้องมาแก้ไขใหม่ พอมาครั้งนี้จึงจับได้ว่ามีอาการกังวลนิดๆค่ะ และกิเลสบอกว่าเวลาตอนเริ่มก็เริ่มเวลา 19.55ด้วยสิ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ นาฬิกาก็ไม่มี แหม!มันช่างขัดสนไปหมดเลยนะ แต่ก็มาคุยกับกิเลสว่า
เราต้องยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้กับทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะดีจะร้ายเมื่อเราได้ทำเต็มที่แล้ว อุปสรรคที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น การกำหนดเวลามาให้เราคิดว่ายาก หรือจะขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นแค่เหตุการณ์ ที่ให้เรามาดูที่ใจว่าวางความยากความยึดลงได้แค่ไหน ที่ทำให้คลายทุกข์ใจลงได้ และได้ใช้บททบทวนธรรมข้อที78มาพิจารณา คือ ความสมบูรณ์ หรือ ความสำเร็จของกิจกรรมการงาน คือ ความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ ส่วนความสำเร็จของใจที่พ้นทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่น คือ ความจริง
สรุปว่า. เมื่อถึงเวลาได้มาทำหน้าที่จริงๆก็ไม่ได้ยากอะไรเลยค่ะ ผ่านไปได้สบายๆ และคิดว่าเราโชคดีที่ได้ทำหน้าที่นี้ เพราะปกติ ถ้าแค่เข้าร่วมรายการเฉยๆเราก็จะไม่ได้ตั้งใจฟังมัวแต่ทำโน้นนี้ไปด้วย แต่พอมาทำแบบนี้เพราะการที่คอยบอกเวลาต้องมีสติอยู่กับปัจจุบันตลอด ก็ทำให้นิ่งฟังพี่น้องแชร์สภาวะได้ต่อเนื่องได้ความรู้ ไม่ง่วง ทำหน้าที่จนจบรายการได้อย่างไร้กังวล ผาสุกมากๆเลยค่ะ สาธุค่ะ
13/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย)
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : โดนแม่ด่า
เหตุการณ์ : น้องปุ้ยทำจานข้าวคว่ำ แม่ก็มาด่า น้องปุ้ยก็น้อยใจ
ทุกข์ : ไม่เบิกบาน น้อยใจที่แม่ด่า
สมุทัย : ชังที่แม่ด่า
นิโรธ : แม่จะด่าก็ไม่ชังแม่ ใจเบิกบาน
มรรค : ที่แม่ด่าเป็นเพราะเราเคยด่าคนอื่นมาก่อน และปัจจุบันเราก็ทำพลาดตัวจริงๆ ยินดีรับวิบากด้วยใจเป็นสุข
13/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : ขี้เกียจล้างจาน
เหตุการณ์ : แม่ใช้ให้น้องปุ้ยไปล้างจาน กิเลสมันขี้เกียจไปล้างจาน
ทุกข์ : รู้สึกอึดอัด ไม่อยากไปล้างจาน
สมุทัย : ชังที่แม่ใช้ให้ไปล้างจาน
นิโรธ : ยินดีไปล้างจานตามแม่บอก ด้วยใจเบิกบาน
มรรค : น้องปุ้ยคิดว่า ถ้าขี้เกียจกิเลสจะโต และเกิดวิบากร้าย ก็เลยตัดสินใจ ไปล้างจานซะเลย กิเลสตาย ใจก็เบิกบาน
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิดอาสาสวนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง ยังจะเอาอีก
เหตุการณ์ อาจารย์มหาลัยได้โทรมาถาม ว่าทำไมหนูเงียบหายไป ก็บอกเหตุผลว่าเออ ยังไม่พร้อม พ่อบ้านเป็นห่วงไม่อยากให้หนูเรียน กลัวหนูเหนื่อย ทั้งเรียน ทั้งค้าขาย ทุกข์ที่เบียดเบียนเพ่อบ้าน เลยเราบอกอาจารย์ประมาณนี้ อาจารย์เสนอว่าเรียนต่อ เข้าไปฟัง ก็ได้ไหนๆเสียค่าเทอมแล้ว และ สามารถดอปเอาไว้ได้ด้วยกิเลสมาเลยค่ะ น่าจะเรียนต่อนะ
ทุกข์ รู้สึกรำคาญกิเลสที่มาตอแยไม่เลิกเรื่องเรียน
สมุทัย ชอบถ้ากิเลสไม่มาตอแยเรื่องเรียน ชังที่กิเลสมาตอแยเรื่องเรียน
นิโรธ กิเลสมาตอแยเรื่องเรียนก็ได้หรือไม่มาตอแยเรื่องเรียนก็ได้ใจเราไร้ทุกข์มรรค เมื่อเรารู้ว่ากิเลสมา หนูก็รีบบอกกิเลส ว่าไม่เรียนอีกแล้ว จะไม่เบียดเบียนพ่อบ้าน อีกแล้ว ไปเลยไป อย่ามารำคาญ อย่ามาตอแย เราเลยเราไม่เรียนแล้วเราไม่เสียดายค่าเทอมหรอก เราเอาวิญญาณ ห่วงจิตวิญญาณของพ่อบ้านดีกว่า แล้วก็หายทกข์ใจค่ะ
วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
เรื่อง ก็มันเป็นของเรานั่นแหละ ถูกแล้ว
เหตุการณ์ คือ เคยเขียนการบ้านเรื่องชังน้ำพริก ซึ่งความจริงคือไม่ชอบของฤทธิ์ร้อน ของปรุงรสจัดจ้าน และของใช้น้ำมันเยอะๆ ในการปรุงอาหาร หลังจากวันที่ส่งการบ้านนั้นก็เริ่มมีพี่น้องทยอยส่งน้ำพริกมาให้ แบบที่ส่งมาก็จะมีแบบน้ำมันเยิ้มมาก แบบเผ็ดมาก ซึ่งเวลาที่เราได้มาก็จะทยอยแบ่งปันพี่น้องหรือคนรู้จักไปเสมอ ทุกครั้งที่ได้รับมาก็จะพยายามอ่านใจลดความชังลงไปทีละนิด จนเมื่อ 2 วันนี้มีเพื่อน 3 คนแบ่งน้ำพริกมาให้ 3 กระปุก (เยอะเกิน)
ทุกข์ – กังวลใจเล็กน้อยว่าเราจะทำอย่างไรกับน้ำพริกที่ได้รับมา เพราะทุกครั้งที่เอาน้ำพริกมาทำกับข้าว มีอาการไม่ค่อยสบายตัว และยิ่งเอาน้ำพริกไปแบ่งปัน ยิ่งได้รับน้ำพริกแบบอื่นๆ แบ่งปันกลับมา
สมุทัย – ชังที่ได้รับการแบ่งปันน้ำพริกมา ชอบถ้าไม่ได้รับการแบ่งปันน้ำพริกมา
นิโรธ – จะได้รับน้ำพริกมาก็ไม่ต้องชัง ไม่ได้รับน้ำพริกมาก็ไม่ต้องชอบ ไม่ต้องอยากได้สภาพที่ตัวเองชอบ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นลง ใจไร้ทุกข์
มรรค – พิจารณาให้ลึกลงไปว่าความอยากแบบนี้แหละคือเงื่อนไขที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ถ้าอะไรที่เราชอบ เราได้รับเราจะดีใจ อะไรที่เราไม่ชอบ แม้จะเป็นของฟรี ของที่เค้าว่าดี มันก็สร้างทุกข์ใจเช่นกัน เราเองก็เคยยัดเยียดดีแบบนี้ให้คนอื่น วิบากนี้มาให้เราได้เห็นว่าเราเบียดเบียนคนอื่นด้วยคำว่าหวังดีไปเท่าไหร่ เราก็รับมาเท่านั้น เราได้ชดใช้วิบากกรรม เราได้ล้างความชังในสิ่งที่ไม่ชอบ เราได้เห็นโทษของความอยาก ความยึดว่าต้องได้ในสิ่งที่ชอบเท่านั้น ว่ามันเป็นทุกข์ เราเห็นประโยชน์ของการได้ละวางความอยาก ความยึด เห็นความผาสุกในใจ รับแล้วก็หมดไป ชดใช้อย่างเบิกบาน
สรุป – หลังจากคลายใจ วิบากน้ำพริกนี้ ทุกกระปุกที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา มันเป็นของเรานั่นแหละ ถูกแล้ว เพราะผู้ที่เข้าใจ เชื่อและชัดในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จะเอาทุกข์มาจากไหน
13/07/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง: คันมือแต่หายคันใจ
กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่ามีอาการแสบๆ คัน ๆที่หลังมือขวา พร้อมกับได้ยินเสียงหวี่เข้ามาใกล้ ๆ หันไปดูพบว่ากำลังจะถูกฝูงแตนจู่โจม จึงรีบวิ่งหนีออกมา โชคดีที่โดนไปเฉพาะที่ข้อมือ พบว่ามีฝูงแตนไปทำรังใกล้ ๆ กับกระถางต้นไม้ที่เราปลูก เมื่อถูกต่อยเข้าก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา ความคิดกิเลสมันก็ทำงาน “ เมื่อวานก็มารดน้ำตรงนี้ก็ไม่เห็นว่าจะแตนสักตัว ผ่านไปแค่วันเดียว ก็มาทำรังตรงนี้ได้ ที่ตั้งมากมายทำไมถึงมาทำรังตรงนี้ ”
ทุกข์ : ไม่พอใจที่ถูกแตนต่อยมือ
สมุทัย : ชอบใจถ้าแตนไปทำรังที่อื่น ชังที่แตนมาทำรังใกล้ๆ กระถางต้นไม้ พอเข้าไปใกล้ก็ถูกต่อยโดยไม่ทันตั้งตัว
นิโรธ : แตนจะทำรังตรงไหนก็ไม่ทุกข์ใจ ยินดีรับวิบากด้วยใจที่ไร้ทุกข์
มรรค : เมื่อจับอาการของกิเลสได้ว่าเรากำลังโกรธได้แม้กระทั่งกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ จึงพิจารณาว่า
เรา : แตนมันจะรู้ได้ไงว่าตรงนี้ห้ามทำรัง มันเลือกที่ทำรังไปตามสัญชาติญาณของมัน
ตรงไหนที่มันรู้สึกว่าปลอดภัย อยู่ใกล้แหล่งอาหารมันก็ไปทำรังตรงนั้นแหละ
แกนั่นแหละไม่รู้จักดูให้ดีเอง ถูกต่อยแค่ที่มือก็ดีแล้ว แตนต่อยก็ดีกว่าโดนต่อต่อย
มาร : ไม่ถูกอะไรต่อยเลยก็จะดีกว่านะ
เรา : ก็เที่ยวไปต่อย ไปวีน ไปเหวี่ยง ใส่คนอื่น ทำให้คนอื่นเขาแสบเขาคันที่ใจมาเยอะ
วิบากร้ายเขาก็เลยส่งแตนมาต่อยเข้าให้ไงบ้างแล้วเป็นไง?
ได้รู้รสชาติของความแสบ ๆ คัน ๆ บ้างแล้วเป็นไง?
ทำผิดมาเยอะ ก็ต้องยอมรับวิบาก
มาร : นึกขึ้นได้ว่าเคยเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เลยยอมสำนึกผิด ยินดีรับวิบาก
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 95 “ การไม่ยอมรับผิด ไม่สารภาพผิด จะเพิ่มฤทธิ์วิบากร้าย แต่การยอมรับผิด การสารภาพผิด จะลดฤทธิ์วิบากร้าย และเพิ่มฤทธิ์วิบากดี”
บทสรุป เมื่อพิจารณาแบบนี้แล้วความไม่พอใจที่แตนที่มาทำรังตรงนั้น จนเป็นเหตุให้ถูกแตนต่อยก็ลดลง เมื่อใจยอมรับผิดได้ วิบากร้ายก็ลดลงจริง หลังมือขวาที่บวมเป่ง ก็ค่อย ๆ ลดบวมลงจนเห็นได้ทันตาภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยฤทธิ์ของยาเม็ดที่ 8
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสาส่วนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง กิเลสยังมาตอแย
เหตุการณ์ เมื่อวันอาทิตย์ คือเมื่อวานที่ผ่านมา คือยอมถอยไม่เรียน ปโท และวันนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวันเรียน และวันเริ่มเข้าโครงการวิปัสสนากรรมฐาน หนูก็ไม่เข้าค่ะ เพราะตั้งใจไม่เรียนแล้วค่ะ กิเลสมาเลยค่ะ มันยังห่วงหาอาลัยอาวรณ์ยังรู้สึกอยากเรียน ไปคอยพูด กับพ่อบ้านว่า น่าเสียดายจัง เสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ เสียดายเงินที่ต้องผ่อนชำระ พ่อบ้านบอกดีแล้ว ดีใจ ที่หนูไม่เรียนหนูต่อ หนูได้ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องมาทะเลาะกับพ่อบ้าน เวลาทำงานเหนื่อยเรียนเหนื่อย ได้มีเวลาช่วยแม่ทำงานบ้าน แล้วพ่อบ้านเขาบอกว่า ไม่ต้องเสียดายเงินที่ผ่อนไป มันเล็กน้อย ดีแล้วได้ใช้วิบากเรื่องเงิน เราได้ไปชาติก่อนแน่นอน เราคงไปโกงใครไว้ ชาตินี้เลยได้ใช้เวรใช้กรรมไป ได้หมดเวรหมดกรรมไปด้วย
ทุกข์ ขุ่นใจที่เราต้องยังห่วงหาอาลัยอาวรณ์ยังอยากเรียนอยู่อีก
สมุทัย ชอบใจถ้าเราไม่ห่วงหาอาลัยอาวรณ์อยากเรียนอีก ชังที่เรายังห่วงหาอาลัยอาวรณ์อยากเรียนต่ออยู่อีก
นิโรธ จะห่วงหาอาลัยอาวรณ์เรื่องอยากเรียนดูอีกก็ได้ ใจเราไร้ทุกข์
มรรค กิเลสคอยมาหลอกว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้เรียนต่อ ก็บอกกืเลสไปว่า ใกล้จบปรัญญาตรีแล้ว เดี๋ยวก็ต่อปรัญญาโท มันยังมาหลอกให้ คิดถึงห้องเรียน คิดถึงอาจารย์ คิดถึงเพื่อนร่วมชั้น ยังอยากได้สภาพดีๆ อยู่อีก น่าสงสารจริงๆกิเลสที่คอยมาหลอกหลอนเรา นี่แสดงให้เราเห็นว่า เรายังแพ้กิเลส กิเลสยังเป็นนายเราอยู่ เราต้องกำจัดกิเลสตัวนี้ออกไปให้ได้ ต่อไปก็จะเข้าอปริหานิยธรรมต่อไป จะได้ให้เพื่อนคอยช่วยสังเคราะห์กิเลสเหตุแห่งทุกข์ แล้วช่วยกำจัดกิเลสช่วยกำจัดกิเลสตัวนี้ออกไปค่ะ ตรงกับบททบทวนธรรมข้อ 85 จงเบิกบาน..เบิกบาน…และเบิกบาน…จงเบิกบาน อย่างเป็นอมตะธรรม และใจไร้ทุกข์แล้วค่ะ สาธุ
ส่งการบ้าน
นางชวนชม คำท้วม
ชื่อทางธรรม สู่ร่มศีล
จิตอาสาส่วนป่านาบุญ 2
ชื่อเรื่อง ยังไม่อยากไลน์กลุ่ม ปโท ออก
เหตุการณ์ ในเมื่อเราตั้งใจจะ ไม่เรียน ปโท แล้วก็ควรจะ ลบไลน์กลุ่มทั้งหมด ที่เกี่ยวกับการเรียน ปโท แต่เมื่อเราจะเข้าไปกดออกจากกลุ่ม มันก็ทำใจไม่ได้ มันยังอยากรู้ข้อมูลข่าวสาร ของปโท แต่ก็บอกกิเลส จะรู้ไปทำไม เขาพูดเรื่องเรียนกัน เราไม่รู้เรื่องหรอก ออกจากกลุ่มดีกว่าไหม
ทุกข์ รู้สึกรำคาญใจที่ยังไม่ยอม ออกจากกลุ่มไลน์
สมุทัย ชอบได้ออกจากกลุ่มไลน์ โดยไม่กังวลใจ ชังที่ออกจากกลุ่มไลน์ไม่ได้ โดนกิเลสหลอก
นิโรธ ออกกลุ่มไลน์ก็ได้หรือไม่ออกจากกลุ่มไลน์ก็ได้ใจเราต้องไร้ทุกข์
มรรค กิเลสยังไม่อยากออกจากกลุ่มไลน์ แต่ใจเราอยากออกจากกลุ่มไลน์แล้ว อยากตัดขาดจาก อารมณ์ที่ยังอาลัยอาวรณ์ ที่ยังอยากเปิดดูกลุ่มไลน์ที่เรียนปโทอยู่ หลังจากทำการบ้านนี้ ก็จะบอกเหตุผลกิเลส เราไม่อาลัยอาวรณ์แล้ว เราจะออกจากกลุ่มไลน์แล้วนะจ๊ะได้เวลาออกจากกลุ่มแล้ว เดี๋ยวก็จะไปออกจากกลุ่มไลน์ทั้งหมดค่ะ.ที่เกี่ยวกับกลุ่มไลน์ ปโท ใจไร้ทุกข์แล้วค่ะ สาธุค่ะ
Internet
เนื่องจากที่บ้านไม่มี Internet แต่มีงานที่ต้องใช้ Internet ในการทำงาน ที่บ้านอาน้องสาวของพ่อท่านติด Internet จึงเดินไปบอกท่านว่าคืนนี้จะไปทำงานที่บ้านของท่านนะ ป้า(พี่สาวของพ่อ) นั่งอยู่ข้าง ๆ อา ท่านก็พูดว่า ก็ไปนั่งที่เปลก็ได้ (เปลจะอยู่ด้านนอกของบ้าน ถ้าทำงานตอนกลางคืนก็จะไม่สะดวก) พอได้ฟังคำพูดนี้ตัวเองรู้สึกว่ามันมีอาการขุ่น ๆ และไม่สามารถจับกิเลสได้ทัน จึงพูดกลับไปว่า นี้หลานนะ จะใจร้ายกับหลานเลยเหรอ แล้วก็เดินกลับมา ขณะเดินกลับมานั้นก็พิจารณาถึงคำพูดของตัวเอง แล้วถามตัวเองว่าอยากได้อะไร
ทุกข์ คือ ทุกข์ใจกับคำพูดของป้า
สมุทัย คือ ชอบถ้าป้าไม่พูดแบบนี้ ชังถ้าป้าพูดแบบนี้
นิโรธ คือ ป้าจะพูดแบบไหนก็สุขใจได้
มรรค คือ ขณะเดินกลับมาก็พิจารณาถึงคำพูดของตัวองว่าอยากได้อะไรจากป้า ขณะเดียวกันก็สังเกตุอาการในใจว่ามีสภาพไม่เบิกบาน เป็นเพราะอยากได้คำพูดดี ๆจากป้า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ส่งเสริมมา ดูถูก ชิงชัง ไม่ให้อภัยมา ป้าเป็นเพียงกระจกเงาให้เห็นในสิ่งที่เราเคยทำมา ใครจะได้รับอะไร ก็เพราะทำสิ่งน้ัน คำพูดของอาจารย์ ลอยมาอยู่ในหัว ต้องขอบคุณป้าที่ทำให้เราไม่ได้สมใจ ทำให้เห็นกิเเลสตัวนี้ ความขุ่นในใจค่อย ๆ ลดลง แล้วก็พิจารณาว่าจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องทำงานนี้ ลองใข้Internet ที่มือถือแล้วปล่อยเข้า Notebook ดูว่าวันนี้จะสามารถทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ทำส่วนอื่นที่ไม่ต้องใข้ Internet ไปก่อน ทำตามธรรมที่เขาจะจัดสรรให้ว่าเราจะได้ทำอะไร ่เหมือนวันนี้ที่เราจะได้ฝึกล้างกิเลสตัวนี้ ถ้าไม่มีป้าเป็นผัสสะเราก็ได้สมใจ ก็ไม่เห็นกิิเลส ไม่ได้ล้างกิเลส
ดูหมิ่นพ่อบ้านว่าขี้เกียจ : จิตรา พรหมโคตร (ตา ลพบุรี)
เนื้อเรื่อง พ่อบ้านฝากซื้อกาแฟ รู้สึกไม่พอใจ ขุ่นอยู่ในใจไม่อยากรับฝากเพราะดูหมิ่นเขาว่าขี้เกียจ
ทุกข์ : ไม่พอใจ ขัดเคืองอยู่ในใจไม่อยากรับฝาก
สมุทัย : ไม่อยากรับฝากซื้อกาแฟเพราะดูหมิ่นเขาว่าขี้เกียจ สุขใจถ้าพ่อบ้านไม่ฝากซื้อ ทุกข์ใจเมื่อพ่อบ้านฝากซื้อ
นิโรธ : พ่อบ้านจะฝากซื้อหรือไม่ฝากซื้อก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาความอยากว่ามันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันทุกข์ มันไม่มี มันเกิดจากการปรุงแต่งจิตของเราเองที่ไปดูหมิ่นว่าที่เขาใช้เราเพราะเขาขี้เกียจ พ่อบ้านเห็นว่าเธอกำลังจะออกไปพอดีก็เลยฝากซื้อ ในเมื่อเธอปฏิเสธไม่ได้ก็เต็มใจรับฝากยินดีไปเลย นี่เธอมาโมโห คิดขุ่นเคืองในใจทำให้จิตทุกข์ เป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นทำตาม เป็นวิบากร้ายต่อตนเองและผู้อื่น ที่เห็นปัจุบันต่อตัวเองก็คือทำให้เราทุกข์ ไม่แจ่มใสเบิกบานเป็นพลังสันนิทานเชื่อมต่อวนไปมาไม่มีที่สิ้นสุดที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองอยู่นี่ไง เมื่อคิดได้ใจค่อยๆผ่อนคลายความทุกข์ใจไปได้50%
เรื่อง ผิดศีล
เหตการณ์ ไปเล่นเกมส์และไปกินเนื้อสัตว์
ทุกข์ ใจไม่เบินบาน
สมุทัย ชอบที่จะไม่เล่นเกมส์ไม่กินเนื้อสัตว์ชังที่ยังทำไม่ได้
นิโรธ แม้ทำไม่ได้ก็ปล่อยวางไม่ชอบไม่ชัง
มรรค แม่มาช่วยเติมพลังปัญญาทำให้เบรคอยู่สำนึกผิดต่อหน้าแม่และกราบแม่ในขณะสนทนากับหมู่
ใจเป็นสุขได้พลังสู้ต่อค่ะ
4/7/2564
ด. ญ กันติชา รัตนนิรันดร (นาเดีย) อายุ 11 ปี ป. 6
เรื่อง : ชังน้อง
เหตุการณ์ : ตอนดึกหนูมานั่งดูหนังอยู่ด้านล่างแล้วน้องก็มานอนเล่นตรงขาหนูทำให้หนูโมโหและก็ชังน้องมากๆ เพราะหนูปวดขาต่อมาหนูปวดขามากหนูเลยผลักน้องออกไปและต่อมาหนูรู้สึกทุกข์ใจแล้วหนูก็ไปขอโทษน้อง
ทุกข์ : โมโหที่ไปชังน้องและทุกข์ใจที่ไปผลักน้อง
สมุทัย : ชังที่ใจไปชังน้องและผลักน้อง
นิโรธ : ไม่โมโหใส่น้อง ไม่ชังน้องและใจเบิกบาน
มรรค : พิจารณาแล้วผลที่จะได้จากการไม่โมโหน้องและไม่ชังน้องจะทำให้เราไม่ทุกข์ ไม่ทำให้น้องเจ็บและยังทำให้ใจเบิกบานเหมือนดอกไม้ที่มีความสุข
5/7/2564
ชื่อ ด.ญ กานติมา รัตนนิรันดร (เจด้า) อายุ 7 ปี ป. 2
เรื่อง : ไม่พอใจแม่
เหตุการณ์ : ตอนเช้าหนูไม่พอใจแม่ แม่เลยให้หนูนั่งสมาธิแล้วหนูทุกข์ใจ
ทุกข์ : หนูไม่พอใจกับแม่หนูเลยทุกข์ใจ
สมุทัย : แม่ให้นั่งสมาธิแล้วหนูไม่พอใจ
นิโรธ : ไม่ทำนิสัยไม่พอใจและใจเบิกบาน
มรรค : ผลจากการไม่ทำนิสัยไม่ดีจะทำให้หนูไม่โดนนั่งสมาธิ ไม่ทุกข์และใจเบิกบาน
เรื่อง ผิดศีล
เหตการณ์ ไปเล่นเกมส์และไปกินเนื้อสัตว์
ทุกข์ ใจไม่เบินบาน
สมุทัย ชอบที่จะไม่เล่นเกมส์ไม่กินเนื้อสัตว์ชังที่ยังทำไม่ได้
นิโรธ แม้ทำไม่ได้ก็ปล่อยวางไม่ชอบไม่ชัง
มรรค แม่มาช่วยเติมพลังปัญญาทำให้เบรคอยู่สำนึกผิดต่อหน้าแม่และกราบแม่ในขณะสนทนากับหมู่
ใจเป็นสุขได้พลังสู้ต่อค่ะ
เรื่อง ขัดแย้งเพราะการเมือง
เนื้อเรื่อง ลูกโทรมาคุย เราเลยถามเขาจะฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ เขาก็บ่นว่ารัฐบาลที่จัดหาวัคซีนไม่มีคุณภาพ เราฟังแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจ ก็เตือนเขาว่าอย่าเอาแต่บ่นเลย เห็นใจคนทำงานบ้าง บางครั้งมันไม่สามารถตัดสินใจนะเวลานั้นได้ เค้าบอกว่าน่ะไม่เป็นไร ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง เราเลยตัดบท ไม่คุยกันต่อ คืนนั้นเราก็เจอะข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนของรัฐบาลเราจึงส่งให้เค้าอ่าน วันรุ่งขึ้นเขาโทรมา เราก็เตือนว่าไม่ชอบไม่พอใจอะไรอย่าใช้คำไม่สุภาพในโซเชียล เราเป็นปัญญาชนมีการศึกษา เพราะเราเห็นคนอื่นทำจึงเตือนไว้ก่อน เขาก็บอกไม่ไม่เคยทำอย่างนั้นหรอก แล้วบอกว่าข้อมูลที่แม่ส่งให้มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เค้าเข้าถึงข้อมูลดิบที่เป็นความจริง ไม่อยากให้แม่แชร์ เลยเลยบอกว่าเรื่องการเมืองเราไม่เคยแชร์ต่อให้ใคร เห็นว่าเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง เลยวางสาย แล้วก็มาทบทวนดู รู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ว่าลูกบริโภคข้อมูลจนทำให้เค้าเกลียดชังรัฐบาลได้ขนาดนี้เลยเหรอ จะทำอย่างไรดี
ทุกข์ มีความไม่สบายใจ เป็นห่วงลูกที่รับข้อมูลจนเกิดความเกลียดชัง ต่อต้านรัฐบาล กลัวเค้าหลงผิด
สมุทัย ทุกข์เกิดจากความยึดของเรา ที่อยากให้ลูกคิดเหมือนเรายึดว่าคิดแบบเราถูก คิดต่างจากเราผิด ถ้าลูกคิดเหมือนเราจะสุขใจ คิดต่างจะทุกข์ใจ
นิโรธ ลูกจะคิดเหมือนเรา หรือคิดต่างก็ได้ ลูกจะคิดถูกหรือคิดผิดก็ได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่ทุกข์
มรรค ต้องยอมรับในความเห็นต่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่น โลกนี้ไม่อะไรถูกเสมอไป หรือผิดเสมอไป ยอมรับความคิดเห็น รับฟังโดยไม่มีอคติ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วใช้บททบทวนธรรมในข้อ ที่ว่า เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัย ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น เราทำดีด้วยการช่วยไม่ให้คนอื่นทำผิดได้ ก็ช่วย แล้ว วาง ให้เป็นไปตามวิบากเีร้ายของเขา ช่วยไม่ได้ ก็ วาง ให้เป็นไปตามวิบากร้ายของเขา เมื่อเขาเห็นทุกข์จนเกินทน จึงจะเห็นธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์
เรื่อง : ยายบ่น หรือกิเลสบ่น
เหตุการณ์ : เวลาที่ไปนั่งเล่นกับยาย ยายจะชอบบ่น อันโน้นไม่ดี อันนั้นไม่ดี ไม่ถูกใจ ยายก็บ่นทุกวัน ทุกครั้งที่เราไปนั่งเล่นด้วย
ทุกข์ : หงุดหงิดใจไม่อยากฟังยายบ่น
สมุทัย : ชอบถ้ายายไม่บ่น ชังถ้ายายบ่น
นิโรธ : ยายจะบ่นหรือไม่บ่น ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาตรวจใจกันค่ะ
มาร : อีกแล้วยายบ่นอีกแล้ว นั่งปุ๊บ ยายก็บ่นปั๊บเลย จะมีวันไหนที่ยายไม่บ่นบ้างเนี่ย เมื่อไหร่ยายจะเลิกบ่นสักที ไม่อยากฟังโว๊ย
เรา : หุบปากไปเลยไอ้มาร หนอยแน่ ยังมีหน้าไปบอกว่ายายบ่น เอ็งนั่นแหละบ่น บ่นอยากให้ยายเป็นอย่างที่เอ็งต้องการ โง่หรือเปล่าใครจะมาเป็นอย่างที่เอ็งต้องการได้วะ ขนาดตัวเองยังทำตามที่ตัวเองต้องการไม่ได้ โง่ชะมัดเลย อยากได้ในสิ่งที่มันไม่มี สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ทุกข์ไหมล่ะ
มาร : ทุกข์สิ เวลาที่ไปนั่งเล่นกับยายก็ทุกข์ใจทุกครั้งนั่นแหละ
เรา : ทุกข์ใจขนาดนี้ก็ยังจะโง่ทำต่อเนาะ เอาไงทีนี้จะโง่ทุกข์ต่อ หรือจะเอาพุทธะ
มาร : เอาพุทธะดีกว่า เบิกบาน สบายใจกว่า
เรา : เยี่ยมมาก
สรุป : ใจที่หงุดหงิดก็เปลี่ยนมายินดีมากขึ้น จะสู้ต่อไปค่ะ สาธุ
เรื่อง : ยายใช้เรา หรือกิเลสใช้เรา
เหตุการณ์ : ยายใช้ให้เราไปตักปลาในสระที่ลอยขึ้นมาตาย เน่าเหม็นจนแมลงวันไปตอม พอเราได้ยินดังนั้นกิเลสก็โผล่เลยค่ะ
ทุกข์ : หงุดหงิดใจที่ยายใช้เรา
สมุทัย : ชอบถ้ายายไม่ใช้เรา ชังถ้ายายใช้เรา
นิโรธ : ยินดี พอใจ เต็มใจไปตักปลาให้ยาย
มรรค : มาตรวจใจกันค่ะ
มาร : โอ้โห วันนี้ยายใช้เราไปตักปลาเลยหรือ ใช้ทั้งวันเลย เราอยากพักแล้วอ่ะ
เรา : จะพักอะไรกันนักกันหนา
มาร : ก็ไม่ได้บอกให้ยายไปทำปลาตายหนิ
เรา : นั่นๆ ยังจะไปโทษยายอีก ยายได้ทำจริงๆ ไหมก็ไม่รู้ เอ็งนี่จริงเลย ชอบโทษคนนั้นคนนี้ วิบากของการโทษคนอื่นแรงนะโว๊ย ที่หงุดหงิดใจอยู่นี้ก็ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ
มาร : พอแล้วจ้า
สรุป : อาการหงุดหงิดใจลดลง ไปตักปลาขึ้นจากสระ แล้วเอาไปฝังจนเสร็จ สาธุค่ะ
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ชีวิตต้องเดินต่อไปให้ได้
เหตุการณ์ : ได้รับข่าวว่าน้องชายคนสุดท้องเสียชีวิตที่กทม. จึงเดินทางมาร่วมงาน สาเหตุเพราะมีโรคประจำตัวหลายโรค ปัญหาคือมีภาระที่ภรรยาและลูกต้องรับผิดชอบคือการต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนหลายหมื่นในแต่และเดือน
ทุกข์ : กังวลใจว่าหลานจะผ่อนบ้านและรถไม่ได้
สมุทัย : ชอบถ้าหลานจะผ่อนบ้านและรถได้ ชังที่หลานจะผ่อนรถและบ้านไม่ได้
นิโรธ : หลานจะผ่อนบ้านและรถได้หรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อได้ฟังปัญหาจากน้องสะใภ้และหลานว่า น้องชายได้ทำภาระหนี้สินไว้หลายล้านบาท
ด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถ กู้จากสถาบันการเงินหลายแห่ง หนี้สินติดชื่อหลานทั้งสองคน คนโตมีงานทำ คนที่สองกำลังหางาน น้องสะใภ้มีเงินบำนาญแต่รวมรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ฟังแล้วกังวลใจว่าจะทำอย่างไรดี หลานชายพอจะมีความสามารถขายของออนไลน์ เราจึงเสนอตัวว่าจะช่วยผลิตสินค้าสุขภาพด้วยการลงทุนหาวัตถุดิบสมุนไพรจากสวนซึ่งไร้สารพิษส่งให้และถ้าทำสำเร็จจะปลูกเพิ่มและส่งให้ไม่ต้องกังวล หลานชายแสดงออกว่ามีความหวังขึ้นมาจากการเสนอตัวให้การช่วยเหลือ ระยะเวลาต่อจากนี้ต้องใช้ถึงอย่างน้อย 5 ปีภาระถึงจะเบาบางลงได้ เราเสียสละและแบ่งปันผู้อื่นมาพอสมควร ตอนนี้ก็หันมาช่วยเหลือคนใกล้ตัวดูบ้าง จะเป็นไปได้เพียงใดต้องคอยเวลา หลานบอกว่าจะเสียเงินค่าส่งของให้ เราบอกว่าทำงานให้สำเร็จไม่ต้องกังวลเราจะคอยช่วยเพราะเรายึดมั่นในบททบทวนธรรมข้อที่61ว่า”ให้แล้วไม่คิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้” ทำให้น้องสะใภ้และหลานแสดงออกว่ามีกำลังใจในการสู้ต่อไป และคงจะเป็นทางออกให้หลานสามารถผ่อนบ้านและรถได้
เมื่อได้เสนอตัวและช่องทางในการช่วยแก้ปัญหาทางด้านการเงินในครั้งนี้แล้ว น้องสะใภ้และหลานดูมีความสุข ตัวเราก็คลายความวิตกกังวลในที่สุด ส่วนผลจะออกมาอย่างไรต้องใช้เวลา และผลของวิบากดีร้ายของแต่ละคนเป็นบทพิสูจน์
14/7/64
ด.ญ กันติชา รัตนนิรันดร (นาเดีย)
เรื่อง : เกีอบไปโมโหน้อง
เหตุการณ์ : หนูกำลังใส่รหัสเข้าเรียนออนไลน์ให้น้องพอหนูเข้าไม่ได้หลายๆครั้งหนูก็ให้น้องไปเรียนในมือถือแทน พอขึ้นบ้านมาหนูเห็นครูสอนอยู่ตอนนั้นหนูโมโหน้องมาก หนูว่ากำลังจะตะโกนลงไปว่าน้องแต่มันเหมือนมีสติเข้ามาทำให้หนูไม่ได้ไปว่าน้อง
ทุกข์ : ใส่รหัรไม่ได้คิดที่จะไปโมโหน้อง
สมุทัย : กิเลสมันพาไปคิดที่จะโมโหน้อง
นิโรธ : ไม่คิดที่จะโมโหน้องและใจเบิกบาน
มรรค : พิจารณาแล้วผลที่จะได้จากการไม่คิดที่จะไปโมโหน้องจะทำให้เราไม่กิเลสโต ทำให้เราไม่ทุกข์และยังทำให้ใจเบิกบานและทุกๆคนที่อยู่ข้างๆเราเบิกบาน สาธุ
ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2
เรื่อง : รำคาญคนที่พูดมาก ไม่รู้จักลง
เหตุการณ์ : มีพี่น้องโทรมาปรึกษา เรื่องทุกข์ใจ ทุกข์เหตุการณ์ แต่ว่าพูดเยอะกิเลสก็เลยมา
ทุกข์ : รู้สึกอึดอัด รำคาญ เหนื่อย ที่จะคุยกับคนพูดมาก
สมุทัย : ยึดว่าคนที่มาคุยกับเราต้องเป็นคนที่คุยกันรู้เรื่อง ชังไม่อยากคุยกับคนที่ พูดมาก และคุยแต่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่พ้นทุกข์
นิโรธ : จะคุยกันรู้เรื่อง หรือไม่ เขาจะคุยเรื่องอะไร ก็ไม่ชอบไม่ชัง ยินดีใช้วิบาก
มรรค : มาดูว่า มารคิดชั่วอยางไร
มาร : เมื่อไหร่เขาจะวางสายวะ คุยแต่เรื่องทั่วๆไป ไม่ใช่จะมาลดกิเลสเลย
เรา : เมื่อไหร่เอ็งจะพูดน้อยลงล่ะมาร นี้คือลีลาของเอ็งทั้งนั้นไม่ใช่เขา เอ็งนั่นแหละเป็นคนพูดมาก ไม่รู้จักประมาณ เขาก็แค่มาเป็นกระจกสะท้อนเงาให้เอ็งเห็น จะทำไมล่ะ ทำเป็นรับไม่ได้ซะงั้น วันนี้ฉันจะรีบจัดการให้เอ็งเลิกพูดมาก ไม่เกี่ยวกับเขา
มาร : ก็ตอนนี้งานเราเยอะไม่มีเวลาจะฟังคนพูดมากไร้สาระ อยากให้เขามาพูดแต่เรื่องชวนลดกิเลสเท่านั้น
เรา : แหม..เมื่อก่อนคิดจะไปทำชั่วนะทุ่มเททุ่มทุน ทุ่มแรงเต็มที่เลย แต่ตอนฟ้ายังให้โอกาสทำความดีบ้าง ส่งเคสนี้ให้เราได้บำเพ็ญถึงที่ ก็มาทำเป็นบ่น ถ้าเราจะช่วยเขา เราต้องดู และประมาณฐานของเขาแล้วก็ยินดีเต็มใจช่วยเหลือตามฐานเขา นี่คือสมบัติของเรา ที่ต้องได้ฝึก จะหนีไปไหน ก็หนีไม่พ้นหรอก ยินดีเต็มใจฝึกบำเพ็ญ ถ้ายังชังเขาจะกลายเป็นวิบากร้ายใหม่ ตรงกับ บทธ ข้อที่ 44 ทีทำชั่ว ยังมีเวลาทำ ทีทำดี ทำไมไม่มีเวลาทำ
มาร : จริงด้วยเงาเราชัดๆ ตอนนี้ยินเต็มใจที่ได้บำเพ็ญตามธรรมค่ะ
สรุป ต้องขอบคุณพี่น้องท่านนี้ที่มาเป็นกระจกสะท้อนเงาให้ได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ และขออโหสิกรรม จะตั้งจิตเลิกเพ่งโทษผู้อื่นด้วย สาธุค่ะ
15/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : อยากกินเนื้อเป็ด
เหตุการณ์ : เห็นเมนูเนื้อเป็ดแล้วอยากกิน พอดีแม่มาชวนหนูกลับบ้าน หนูก็รีบกลับบ้านพร้อมแม่ โดยที่ไม่ได้กินเนื้อเป็ด
ทุกข์ : ใจไม่เบิกบาน เพราะอยากกินเนื้อเป็ด
สมุทัย : ชังที่ไม่ได้กินเนื้อเป็ด
นิโรธ : เลิกอยากกินเนื้อเป็ดใจก็เบิกบาน
มรรค : ถ้ากินเนื้อเป็ดจะผิดศีล เกิดวิบากร้าย เป็นทุกข์ ไม่กินดีกว่า กลับบ้านพร้อมแม่ด้วยใจเบิกบาน
15/7/2564
ชื่อ น้องถนอม วิไลสัก อายุ 9 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : โกรธแม่
เหตุการณ์ : น้องถนอมกำลังอยู่ในผัสสะ เมนูเนื้อเป็ด แม่ก็มาแซวว่า”ไม่กลับบ้านเพราะรอเสพเนื้อเป็ดหรือเปล่าน่ะ”
ทุกข์ : ใจหงุดหงิด โกรธที่แม่มาว่าเรา
สมุทัย : ชังที่แม่มาว่าเรารอเสพกิเลส
นิโรธ : แม่จะว่าเรายังไง ก็ไม่ชังแม่ ด้วยใจเป็นสุข
มรรค : ถ้าโกรธแม่จะเกิดวิบากร้าย หนูมาสารภาพกับหมู่กลุ่ม ขอโทษ ขออโหสิกรรมจากแม่ หายโกรธแม่แล้ว ใจก็เป็นสุข สาธุค่ะ
เรื่อง โดน กิเลสขโมยไปก่อน
เหตุการณ์ มีหลายบ้านที่อยู่ใกล้บ้านเรา โดน
ขโมยของ กันหลายบ้าน
ทุกข์ กังวลว่าบ้านเราจะโดนด้วยไหม
สมุทัย ชอบถ้าบ้านเราไม่โดนขโมยของ ชังถ้าบ้านเราโดนขโมยของ
นิโรธ บ้านเราจะโดนขโมยของหรือไม่โดนเราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค กังวลใจเมื่อรู้ข่าวว่า แถวๆบ้านมีการลักขโมยของกัน
มาร บ้านเราจะโดนด้วยไหมนี่ ถ้าบ้านเราโดนด้วยล่ะจะทำยังไง
เรา แล้วเขามาขโมยของเราหรือยังล่ะ ฟุ้งซ่าน อีกแล้วน่ะ
ที่แน่ๆแกนี่แหละ กำลังขโมยพุทธะอยู่น่ะ
มาร อ้าว
เรา การที่จะโดนขโมยของหรือไม่โดน มันเป็นเรื่องวิบากกรรม ของใครของเรา ถ้าเราเคยทำมาก็ต้องยอมรับ ตามความเป็นจริง สิ่งของก็ เป็นแค่สมบัติของโลก อย่ายึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนั้นจะอยู่กับเราตลอด ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ไม่ยึดไม่ทุกข์ ถ้าไม่เคยทำมาจะไม่มีใครมาเอาของๆเราได้ จริงๆสมบัติยังไงๆก็ต้องเปลี่ยนมืออยู่ดี จากของๆเรา อีกหน่อยก็เป็นของลูก ของหลานหรือใครๆสืบทอดกันไป ไม่มีวันสิ้นสุด
จงอยู่กับความเป็นจริง ของชีวิต
บททบทวนธรรม37
ปัญหาทั้งหมดในโลก เกิดจาก
คนโง่ กว่ากิเลส
สรุปความฟุ้งหายใจก็คลายความกังวล
เรื่อง พูดมากจัง
เหตุการณ์ ไปธุระกับลูกสะใภ้ๆ พูดตั้งแต่ขึ้นรถ ยันไปถึงจุดหมาย
ทุกข์ รำคาญพูดมากจริงๆ
สมุทัย ชอบถ้าลูกสะใภ้ พูดแต่พอดี ชังลูกสะใภ้พูดมาก
นิโรธ ลูกสะใภ้จะพูดมากหรือพูดน้อยก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ลูกสะใภ้พูดไม่หยุดสักที จึงเกิดความรำคาญ
มาร ทำไมพูดมากจังเลย
เรา ต้องเข้าใจเขาน่ะ เขายังลดกิเลสไม่เป็น เขายังมีกิเลสเยอะ เขาต้องระบายมาทางคำพูดบ้าง ก็ถูกแล้ว เราต้องเข้าใจเขา คิดถึงเราตอนที่เรายังลดกิเลสไม่เป็น ก็มีสภาพเหมือน
กับเขานั่นแหละ ต้องเมตตาเขา เต็มใจรับฟังเขาด้วยความยินดี การที่เราไปรำคาญเขาเท่ากับเรามีกิเลสเขาก็มีกิเลส เท่ากับเราเป็นแรงเหนี่ยวนำเขา ยิ่งอยากให้เขาหยุดพูดเขายิ่งไม่หยุด ทำให้ยิ่งพูดมากขึ้น เขาจึงไม่หยุดพูดสักที เราต้องเพิ่มศีลเราให้เพิ่มขึ้น จึงเพิ่มศีลว่า จะไม่รำคาญ และเพ่งโทษ ลูกสะใภ้อีก
เข้าใจหรือยัง
มาร เข้าใจ
บททบทวนธรรม9
ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น
แสดงว่าเรายังไม่เจ้าใจตนเอง
สรุป ความรำคาญหายไป
การบ้านน้องปังปอนด์
ด.ช.สิรวิชญ์ ศรีอำนวย อายุ10ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง หงุดหงิดยาย
เหตุการณ์ ช่วงฟังซูมผมอยากเปิดไมค์พูด แล้วยายไม่ให้พูด
ทุกข์ หงุดหงิดที่ยายไม่ให้พูด
สมุทัย ชอบที่ได้เปิดไมค์ ชังที่ไม่ได้เปิดไมค์
นิโรธ จะได้เปิดไมค์หรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค เมื่อได้ฟังยายอธิบายว่า บางช่วงไม่ใช่เวลาของเรา เราก็ควรนั่งฟังด้วยใจที่ยินดี เราได้เรียนรู้ธรรมะ ได้วิธีลดกิเลส เราก็จงยินดีที่มีโอกาสได้เข้ามาฟัง เมื่อได้ฟังยายพูด ผมก็เข้าใจยาย ไม่โกรธยายแล้วครับสาธุครับ
16/7/2564
ชื่อ : นางสาวจิรานันท์ จำปานวน (แพม)
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2
เรื่อง : ขุดแปลงผัก ขุดกิเลส
เหตุการณ์ : ตอนเช้าเราเปิดประตูออกมา ยายก็เรียกให้ไปขุดแปลงผักเลย เรารู้สึกว่ายังไม่อยากขุดแปลงผักตอนนี้ เพราะเราอยากทำโยคะมากกว่า
ทุกข์ : ขุ่นใจไม่อยากขุดแปลงผักตอนนี้
สมุทัย : ชอบถ้าไม่ขุดแปลงผักตอนนี้ ชังถ้าขุดแปลงผักตอนนี้
นิโรธ : จะขุดแปลงผักตอนไหนก็ได้ ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ทำไมใจขุ่นต้องมาตรวจใจค่ะ
มาร : เปิดประตูออกมาปุ๊บก็ใช้ปั๊บเลย คนว่าจะทำโยคะสักหน่อย ไม่ถามเราเลยว่าสะดวกทำไหม เฮ้อ
เรา : นี่สิดี โดนขัดใจซะบ้างจะได้เจริญขึ้น แต่ก่อนจะทำอะไรก็ได้ ทำตามใจตัวเองหมด เป็นไงมียายมาอยู่ด้วย เซ็งล่ะสิที่ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง ขอบอกนะมารนี่คือดีที่สุดแล้ว ขุดแปลงผักแต่เช้า ก็ได้ขุดกิเลสออกด้วย คุ้มชะมัดเลยว่าไหม
มาร : ก็ดีนะ แต่ว่าจะดีกว่านี้ถ้าทำโยคะก่อน
เรา : เมื่อก่อนใครกันนะที่ปลูกอันนั้น อันนี้ เยอะแยะเต็มไปหมดเลย ทำเกินกำลังตัวเอง แล้วก็ไปเดือดร้อนให้แม่ต้องมาทำช่วยเรา โดยที่ไม่ได้ถามแม่สักคำว่าแม่อยากทำหรือเปล่า นี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาแล้วที่ต้องรับ ยินดีรับซะ จะโชคดีขึ้น และอีกอย่างเราตั้งศีลกับหมู่ไว้แล้วด้วย ใช้ บทธ ข้อ 8 สิ่งที่เราได้รับ คือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา
สรุป มีความยินดีที่จะขุดแปลงผักมากขึ้น สาธุค่ะ
เรื่อง วิบากมาทันควัน
เหตุการณ์ : วานให้พ่อบ้านถ่ายต้นตรวจในขณะช่วยกันถอนหญ้า พ่อบ้านก็ช่วย ผ่านไปสักพัก บอกว่าต้องถ่ายใหม่เพราะถ่ายไม่ติด ตัวเองได้ยินแต่เงียบ ในใจรู้สึกขุ่นๆ แล้วหันไปแต่งผักหวานทันใดนั้นรู้สึกเจ็บที่แก้ม ส่องดูเห็นตัวแตนรังรังใหญ่มีตัวเยอะมาก
ทุกข์ : รู้สึกขุ่นใจ พ่อบ้านถ่ายภาพแล้วไม่มีภาพ
สมุทัย : ยึดว่าถ่ายแล้วต้องได้เห็นภาพเลย ดีใจสุขใจ ถ้าพ่อบ้านถ่ายภาพได้ แต่ถ่ายแล้วไม่เห็นภาพ เลยขุ่นใจ
นิโรธ : พ่อบ้านถ่ายแล้วจะเห็นภาพ หรือไม่ ก็สุขใจ ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เมื่อเจ็บที่แก้มเห็นว่าเป็นตัวแตนมาต่อย รู้ทันทีว่าวิบากมาเอาคืนแล้วแค่คิดอกุศลกับพ่อบ้านนิดเดียว รีบสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ยินดี และเต็มใจรับโทษทันที เห็นได้ชัดว่าวิบากกรรมไล่ล่าติดๆดั่งหมาล่าเนื้อ ตามกรรมที่เราทำมาซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 12 คือ”วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไร ก็เกิดจากการกระทำของเราเองทั้งหมด เจอเรื่องดี…เพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดี…เพราะทำไม่ดีมา ทั้งในปัจจุบันและอดีตสังเคราะห์กันอย่างละ 2 ส่วน” เห็นได้ชัดเลยว่าเพราะขุ่นใจพ่อบ้านใจเป็นอกุศลแตนจึงต่อยเตือนให้เรารู้ว่าผิดทางพุทธะแล้วนะ รีบยอมรับผิด สำนึกผิดขอโทษ ขออโหสิกรรมความรู้สึกขุ่นๆในใจ ก็หายไป แก้มที่ปวดจากแตนต่อยหายไปด้วย
สรุป เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมแล้วความขุ่นๆในใจหายไป ใจกลับมาเบิกบานสดชื่นดังเดิม อาการปวดก็หายไปเช่นกัน
เรื่อง กรรมมีจริง
เหตุการณ์ : วานให้พ่อบ้านถ่ายต้นตรวจในขณะช่วยกันถอนหญ้า พ่อบ้านก็ช่วย ผ่านไปสักพัก บอกว่าต้องถ่ายใหม่เพราะถ่ายไม่ติด ตัวเองได้ยินแต่เงียบ ในใจรู้สึกขุ่นๆ แล้วหันไปแต่งผักหวานทันใดนั้นรู้สึกเจ็บที่แก้ม ส่องดูเห็นตัวแตนรังรังใหญ่มีตัวเยอะมาก
ทุกข์ : รู้สึกขุ่นใจ พ่อบ้านถ่ายภาพแล้วไม่มีภาพ
สมุทัย : ยึดว่าถ่ายแล้วต้องได้เห็นภาพเลย ดีใจสุขใจ ถ้าพ่อบ้านถ่ายภาพได้ แต่ถ่ายแล้วไม่เห็นภาพ เลยขุ่นใจ
นิโรธ : พ่อบ้านถ่ายแล้วจะเห็นภาพ หรือไม่ ก็สุขใจ ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เมื่อเจ็บที่แก้มเห็นว่าเป็นตัวแตนมาต่อย รู้ทันทีว่าวิบากมาเอาคืนแล้วแค่คิดอกุศลกับพ่อบ้านนิดเดียว รีบสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ยินดี และเต็มใจรับโทษทันที เห็นได้ชัดว่าวิบากกรรมไล่ล่าติดๆดั่งหมาล่าเนื้อ ตามกรรมที่เราทำมาซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 12 คือ”วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไร ก็เกิดจากการกระทำของเราเองทั้งหมด เจอเรื่องดี…เพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดี…เพราะทำไม่ดีมา ทั้งในปัจจุบันและอดีตสังเคราะห์กันอย่างละ 2 ส่วน” เห็นได้ชัดเลยว่าเพราะขุ่นใจพ่อบ้านใจเป็นอกุศลแตนจึงต่อยเตือนให้เรารู้ว่าผิดทางพุทธะแล้วนะ รีบยอมรับผิด สำนึกผิดขอโทษ ขออโหสิกรรมความรู้สึกขุ่นๆในใจ ก็หายไป แก้มที่ปวดจากแตนต่อยหายไปด้วย
สรุป เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมแล้วความขุ่นๆในใจหายไป ใจกลับมาเบิกบานสดชื่นดังเดิม อาการปวดก็หายไปเช่นกัน
15/07/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง: นางมารอวตาร
หน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนต้องทำคือ การดูแลป้า อายุ 85 ปี ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว วันนี้ในขณะที่พยุงตัวป้าไปอาบน้ำ ป้าจะเกร็งมือเกร็งขา ตัวจะแข็งเหมือนท่อนไม้ กว่าจะงัดมืองัดเท้าให้คลายความเกร็งได้ก็ใช้เวลามากแล้ว พอจะยกตัวท่านขึ้นจากเตียง ไปนั่งรถเข็น (ระยะห่างเพียง 1 ก้าว) ท่านก็ไม่ยอมก้าวขา เกร็งตัว และทิ้งน้ำหนักตัวให้ผู้เขียนต้องใช้แรงอย่างมากในการพยุงไว้ ในขณะที่กำลังต้านแรงกันอยู่ รู้สึกว่าตัวเราเองก็กำลังจะรับน้ำหน้กของป้าไม่ไหวแล้ว จึงเกิดอาการโกรธ(ไม่ได้ดังใจ) ขึ้นมาว่าทำไมป้าถึงไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก และกลัวจะทำให้ป้าล้มลงได้ ในเมื่อท่านไม่ให้ความร่วมมือและคิดว่าถ้าช้าไปอีกนิดนึงก็จะล้มกันจริง ๆ ทั้งคู่ จึงใช้แรงกระชากป้าอย่างแรง เพื่อให้ทัน (ถ้าช้าอีกนิดจะรับน้ำหนักไม่ไหว้แล้ว)
แต่เมื่อทำแบบนี้ไปป้าก็หน้าเสีย เพราะท่านสัมผัสได้ว่าเราใช้ความแรงกระชาก พอเห็นป้าหน้าเสียก็รู้สึกผิดที่เราทำกับท่านรุนแรงเกินไป รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางมารร้ายที่ทำไม่ดีได้แม้กระทั่งกับคนแก่ เรื่องนี้มีความทุกข์อยู่ 2 ประเด็น คือ
ทุกข์ : 1. รู้สึกผิดที่กระชากตัวป้าอย่างแรง (เหมือนว่าตัวเองทำร้ายป้า)
2.ไม่ได้ดั่งใจที่ป้าไม่ให้ความร่วมมือ
สมุทัย : 1.ชอบใจถ้าได้ดูแลป้าอย่างอ่อนโยน ชังที่โกรธและใช้ความรุนแรงกับป้าซึ่งแก่มากแล้ว
2.ชอบใจถ้าป้าให้ความร่วมมือในการอาบน้ำแต่ละครั้ง ชังที่ป้าไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้รู้สึกหนักและเหนื่อย กลัวจะทำป้าล้ม
นิโรธ : 1.เมื่อได้เห็นว่าเราโกรธและใช้ความรุนแรงกับป้าก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่ตีตัวเองซ้ำ
2.ป้าจะให้ความร่วมมือหรือไม่ให้ความร่วมมือก็ได้ ยินดีพอใจในการทำหน้าที่ดูแลท่าน ด้วยใจที่ผาสุก
มรรค : พิจารณาว่า
มาร : กว่าจะได้อาบน้ำแต่ละครั้ง กว่าจะเสร็จใช้เวลาเป็นชั่วโมง ทั้งเหนื่อยทั้งหนัก
ทำไมต้องเกร็งตัวซะแข็งขนาดนี้ ทำไมต้องกลัวด้วย เราไม่ปล่อยให้ป้าล้มหรอก
แต่ถ้าเกร็งอยู่แบบนี้ก็จะพากันล้มแน่ ๆ
อยู่กับเราแท้ ๆ ดูแลมากันมาตั้งนาน แต่ไม่เคยไว้วางใจกันเลย
ถ้ายอมให้ความร่วมมือเสียดี ๆ ก็จะได้ไม่ต้องใช้แรงกันแบบนี้
เรา : การเกร็งตัวเป็นสัญชาติญานในการป้องกันตัวของป้า
คนแก่เขาสมองเขาทำงานไม่ดีแล้ว เขาบังคับให้ร่างกายตอบสนองตามที่บอกยากแล้ว
ไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป
มาร : ไม่รู้การดูแลป้าจะได้กุศลหรือได้บาป แกเป็นแบบนี้ทุกวัน เราก็โกรธแกทุกวัน
เรา : การทำหน้าที่ของลูกหลานในการดูแลผู้มีพระคุณได้กุศลอยู่แล้ว
แต่มันก็ต้องมีบ้างที่พลาดทำไม่ดีต่อกัน ลิ้นกับฟันมันก็มีการกระทบกันเป็นธรรมดา
แกไม่ได้จะทำร้ายท่านหนิ ที่ใช้แรงกระชากเพราะกลัวท่านจะพลาดล้ม
ก็ปรารถนาดีต่อท่านไม่ใช่เหรอ?
มาร : ใช่
เรา : แล้วจะรู้สึกผิดทำไม พลาดไปแล้วก็เริ่มใหม่ คราวต่อไปเวลาจะอาบน้ำให้ป้าก็มีสติให้มาก ๆ
เมตตาต่อท่านให้มาก ๆเมตตาต่อท่านให้มาก ๆ
ตั้งจิตสำนึกผิดที่ได้กระทำการรุนแรงกับท่าน ขอบคุณป้าที่มาให้เราได้บำเพ็ญ ตอนเราเป็นเด็กท่านได้เคยเลี้ยงดูเรา ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้วที่ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน เวลาสำหรับท่านเหลือน้อยแล้ว ทำให้ดีที่สุด
ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 121 “ โจทย์ทุกโจทย์ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เป็นเครื่องมือฝึกจิตของเราให้เป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม”
บทสรุป พิจารณาแบบนี้แล้ว อาการไม่ได้ดั่งใจก็สลายไป ความรู้สึกผิดก็ลดลงไปแต่ยังไม่หมด หลังจากอาบน้ำป้าเสร็จแล้วก็ไปบอกกับป้า ขอโทษท่าน ท่านก็ไม่ได้โกรธเรา และได้เอาเรื่องนี้ไปสารภาพกับหมู่กลุ่มที่บ้านด้วย ที่บ้านก็เข้าใจ และไม่ได้ว่าอะไร
16/7/64
ชื่อ : นางสาวจิรานันท์ จำปานวน (แพม)
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : เหยียบลวดหนาม เจอกิเลส
เหตุการณ์ : ในระหว่างที่เก็บสาหร่ายหางกระรอกในสระ เราก็เหยียบอะไรก็ไรรู้ไม่ได้สนใจ แต่สักพักหนึ่งน้องชายก็เหยียบเข้าไปเต็มๆ แล้วหยิบขึ้นมา ปรากฏว่ามันคือลวดหนามเก่าๆ ขึ้นสนิมดำๆ แต่กระนั้นเราก็ยังไม่ได้ดูแผลที่เท้าเรา จนตอนเช้ารู้สึกเจ็บๆ ที่เท้าก็เลยดูมีสนิมที่ดำๆ ติดอยู่ในแผลด้วย
ทุกข์ : ใจกลัวจะเป็นบาดทะยัก
สมุทัย : ชอบถ้าไม่เป็นบาดทะยัก ชังถ้าเป็นบาดทะยัก
นิโรธ : จะเป็นบาดทะยัก หรือไม่เป็นก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ทำไมต้องกลัวให้ใจเป็นทุกข์ มาตรวจใจกันค่ะ
มาร : โอ้โห เศษลวดหนามรึ ดำก็ดำ เก่าก็เก่า อยู่ในแผลที่เท้าเราหรือเนี่ย จะเป็นบาดทะยักไหมน้อ
เรา : นั่นไง จะกลัวทำไม บาดทะยักก็ยังไม่ได้เป็นจริงๆ จะไม่ป่วยเพราะเป็นบาดทะยักหรอก แต่จะป่วยเพราะมารตัวกลัวนี่แหละ
มาร : งั้นรึ
เรา : ใช่ๆ เพราะใจเป็นใหญ่ ถ้าใจกลัวก็จะทุกข์ใหญ่เลยนะคราวนี้
มาร : ไม่กลัวดีกว่า
สรุป ใจที่กลัวก็เบิกบานขึ้นค่ะ สาธุ
16/7/64
ชื่อ : นางสาวจิรานันท์ จำปานวน (แพม)
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : จุลลินทรีย์
เหตุการณ์ : เราอยากเอาจุลินทรีย์ขึ้นไปรดต้นกล้วย แต่ถังหนักและต้องหิ้วไกล จึงไปเรียกให้น้องมาช่วยยก น้องบอกเดี๋ยวนะ ยังไม่สะดวก เราก็เต็มใจจะไปทำอย่างอื่นรอ พอมองเห็นว่าที่น้องไม่สะดวก ก็เพราะเล่นเกมอยู่ก็เกิดกิเลสทันที
ทุกข์ : ขุ่นใจที่น้องเล่นเกมตลอดเวลา
สมุทัย : ชอบถ้าน้องเล่นเกมน้อยลง ชังถ้าน้องเล่นเกมตลอดเวลา
นิโรธ : น้องจะเล่นเกมน้อยลง หรือตลอดเวลาก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เมื่อมองเห็นน้องเล่นเกมก็ขุ่นใจ และต้องตรวจใจตัวเอง
มาร : เล่นเกมอีกแล้วรึ จะเล่นอะไรนักหนา น่าจะทำงานที่มีประโยชน์กว่านี้
เรา : แล้วไง น้องเล่นเกมแล้วจะทำไม ทำเป็นว่าน้องเอาแต่เล่นเกม น่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่านี้ ใครกันแน่ที่ยังเล่นเกมอยู่
มาร : ใครเล่นเกม ก็เห็นๆ อยู่ว่าน้องเอาแต่เล่นเกม
เรา : ผิดถนัดเลย เธอนั่นแหละเล่นเกมอยาก เกมขุ่นใจ เกมทุกข์ใจอยู่นี่ อยากเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น
มาร : นี่ฉันเองรึที่เล่นเกม
เรา : ใช่แล้ว ฟังให้ชัดเจนแจ่มแจ้งไปเลย มัวแต่ไปอยากให้น้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จนลืมดูว่าตัวเองกำลังทุกข์เพราะความอยาก เธอต้องทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ให้ได้ก่อนสิ เลิกอยากให้ได้ก่อน
มาร : ตกลง
สรุป : ความขุ่นใจก็โล่งขึ้น สักพักหนึ่งน้องก็มาถามว่า ไหนจะให้ยกอะไรไปที่ไหน เรากับน้องเลยช่วยกันยกถังจุลินทรีย์ไปรดต้นกล้วยจนเสร็จ สาธุค่ะ
เรื่อง กลัวเสียหาย
ได้ทำน้ำพริกแจ่วบองแล้วอยากบำเพ็ญส่งให้พี่น้องที่อยู่ทางไกล การส่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันเลยเกิดอาการหวั่นไหว ลังเลใจเล็กน้อย กลัวว่าอย่าส่งแล้วของเสียกินไม่ได้เสียดายของ
ทุกข์ หวั่นไหว ลังเลใจ ที่จะส่งน้ำพริกให้พี่น้องทางไกล กลัวของเสียหาย
สมุทัย อยากให้ของที่ส่งไปอยู่ในสภาพดี ไม่เสียหาย ยึดว่าถ้าของเสียหายจะไม่สุขใจไม่ชอบใจ
นิโรธ ของจะเสียหายหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ ยินดีรับได้ตามความเป็นจริง
มรรค ได้พิจารณาโทษภัยของความกลัวหวั่นไหว ลัเลใจ ทำเกิดการเบียดเบียนตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ปิดกั้นตนเองจากการทำกุศล พิจารณาประโยชน์ของการไม่มีความกังวล หวั่นไหว ลังเลใจ ทำให้มีความกล้าที่จะเผชิญกับความจริงตามความเป็นจริง ยอมให้สิ่งที่ร้ายที่สุดเกิดขึ้นได้ ในกรณีนี้ของจะเสียหายเท่าไรก็เป็นของภายนอก แต่ใจที่เสียหายเสียยิ่งกว่า เมื่อเราตั้งใจทำดีเต็มที่แล้วก็ยอมรับได้ ถ้าของเสียหายก็เป็นวิบากดีร้ายของเราและคนที่เกี่ยวของ ยินดีรับวิบากดีร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยใจไร้ทุกข์ เราก็ได้เรียนรู้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้ใจก็ยินดีและได้ส่งน้ำพริกไปฝากพี่น้อง สาธุ
เรื่อง ไม่เป็นไร
เหตุการณ์ : ช่วยกันทำปุ๋ยแห้งใช้ในสวนจึงคิดกันว่าถ่ายวีดีโอด้วยเลย ซึ่งพ่อบ้านรับหน้าที่แล้วส่งให้น้องช่วยตัดต่อเผื่อเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจ เสร็จเรียบร้อยถึงขั้นตอนส่ง พ่อบ้านบอกว่า ส่งไม่ได้ เพราะวีดีโอขนาดใหญ่เกินไป
ทุกข์ : รู้สึกเสียดาย ที่ถ่ายแล้วส่งไม่ได้
สมุทัย : มีตัณหาล้ำหน้าถ่ายเสร็จอยากให้ส่งได้เลย ชอบถ้าถ่ายเสร็จส่งได้ทันที ชังที่ส่งไม่ได้
นิโรธ : ถ่ายเสร็จส่งได้หรือไม่ ก็ได้ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : พอรู้ว่าส่งวีดีโอไม่ได้ แวปนิดหนึ่ง” อีกแล้วหรือ” รีบสลัดออกทันที เกือบเพ่งโทษพ่อบ้านอีก ดีที่สลัดได้เร็ว ช่างเถอะส่งไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแสดงว่าฟ้ายังไม่ให้ทำเรื่องนี้แค่เราได้ลงมือทำ ได้เรียนรู้ร่วมกันก็ดีมากแล้วอย่างน้อยเราก็ได้ความรู้เรื่องนี้ ถึงเวลาได้ใช้ประโยชน์แน่นอน เรายังเสียดายอีกหรือ ในเมื่อเรายินดี เต็มใจทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว เราก็เป็นสุขได้แล้วนี่สอดคล้องกับบททบทวนธรรมข้อที่ 36 ว่า”จงทำดีเต็มที่ สุขเต็มที่ ไม่มีอะไรคาใจ ไม่เอาอะไร คือ สุดยอดแห่ง”ความอิ่มเอิบ เบิกบาน แจ่มใส”หลังจากพิจารณาดังนี้แล้วความอยากล้ำหน้าที่จะให้คนอื่นได้ประโยชน์จากวีดีโอที่ถ่าย ความรู้สึกเสียดายก็จางคลายและหายไปในที่สุด “ความอิ่มเอิบ เบิกบาน แจ่มใส “กลับคืนมา
16/7/2564
ชื่อ น้องสีอำไพ วิไลสัก(ปุ้ย) อายุ 7 ขวบ
นักเรียนวิชชารามภาคสมทบ
เรื่อง : โมโหอย่างแรง
เหตุการณ์ : พี่สวมรองเท้าของหนูไป แล้วหนูไม่พอใจ บ่น และญาติๆ ก็บอกให้หนูไปตามเอาเอง
ทุกข์ : โกรธ โมโหพี่ และญาติๆ
สมุทัย : ชอบถ้าพี่ เอารองเท้ามาคืน ชังที่ญาติๆ บอกเราไปตามเอาเอง
นิโรธ : พี่จะเอารองเท้ามาคืน หรือเราต้องไปตามเอง ก็ไม่ชอบไม่ชังใจไร้ทุกข์
มรรค : มันเป็นวิบากที่เราเคยชอบเอาของคนอื่นมาใช้ ถ้าโกรธจะเบียดเบียนตนเอง และญาติๆจะเดือดร้อนด้วย ไม่โกรธดีกว่า แล้วหนูก็ไปขอโทษพี่ และญาติๆด้วยใจเป็นสุข พร้อมทั้งตั้งศีลต่อหน้าหมู่กลุ่มว่า “จะตั้งศีลแบ่งปันของใช้ และไม่โมโหคนรอบข้างด้วย” สาธุค่ะ
16/7/2564
ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2
เรื่อง : เพ่งโทษผู้อื่น
เหตุการณ์ : ในขณะที่นั่งประชุมก็มีครูรองผู้อำนวยการโรงเรียน พูดว่า “คนที่ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะไม่มีโอกาสเข้าสมัครตำแหน่งต่างๆ ทางด้านการเมือง-การปกครอง เพราะทางการเราถือว่าเป็นคนที่ไม่น่าไว้เนื้อเชื่อใจ” กิเลสเราเลยขึ้น
ทุกข์ : อึดอัด รำคาญ ไม่อยากฟังครูท่านนั้นพูด
สมุทัย : ชอบถ้าครูท่านนั้นไม่พูดเรื่อง เสริมลาภ ยศ สรรเสริญ ชังที่ครูท่านนั้นพูดกระแทกเรา
นิโรธ : ครูท่านนั้นจะพูดเรื่องอะไรยังไง เราก็ฟังด้วยใจไร้ทุกข์ ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาตรวจใจตัวเองที่ไปรำคาญเขา
มาร : เมื่อไหร่เขาจะพูดจบสักทีวะ รำคาญจังเลย อยากออกจากห้องประชุมตอนนี้
เรา : เอ็งจะรีบไปไหนมาร เอ็งน่ารำคาญมากกว่า แล้วเมื่อไหร่เอ็งจะเลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีวะ
มาร : ก็เราเลิกหลงในลาภ ยศ สรรเสริญแล้ว แต่ครูท่านนี้ก็ยังพยายามพูดเสริมกิเลสคนให้หลงนรกอยู่นี่แหละ
เรา : เอ๊…เท่าที่จำได้เมื่อก่อนเราก็เป็นคนหนนึ่งที่มุ่งจะไขว่คว้าลาภ ยศ สรรเสริญ ถือเป็นเป้าหมายหลักของชีวิตเลย และยังไปสอนให้หลานๆ และน้องๆ นักเรียน มุ่งไขว่คว้าสิ่งนั้นด้วย เพราะเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เลิศยอดที่สุดของมนุษย์ ครูท่านนั้นก็มีเจตนาดี พยายามที่จะเอาสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดไปสอนลูกศิษย์ มันก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆ ไป แต่ถ้ามารไม่ไปเสือกเรื่องเขา ก็คงไม่มีอะไรเสียหายมากหรอก อันที่เสียหายก็เพราะมารไปเดาว่าเขาพูดกระแทกมันนั่นเอง ใช้ บทธ ข้อ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตัวเอง
มาร : ใช่ๆ เมื่อก่อนเราคิดตรงกันกับครูท่านนั้นเลย ต้องขอโทษที่เราไปเพ่งโทษท่าน ตอนนี้สำนึกผิดแล้วค่ะ
สรุป พอมารเข้าใจว่าการเพ่งโทษคนอื่น จะก่อให้เกิดวิบาก 11 ประการ มารก็สลาย ใจก็เบาสบาย สาธุค่ะ
เรื่อง เจ็บหน้าอก
เหตุการณ์ 1 อาทิตย์มานี้ มีอาการเจ็บที่ชายโครงด้านขวา เจ็บมากถ้าเอี้ยวตัว ไอ ออกแรงยกของหนัก หรือออกกำลังกาย
ทุกข์ ขุ่นใจที่มีอาการไม่สบายตัว
สมุทัย ชอบถ้าร่างกายสุขสบาย ชังถ้าร่างกายไม่สุขสบาย
นิโรธ ร่างกายจะสุขสบาย ไม่สุขสบายก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายจะสุขสบายดีตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้ เพราะเราทำทั้งกุศลและอกุศลมาอย่างหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ จึงมีทั้งความสุขสบาย และไม่สุขสบายควบคู่กันไปมา ที่สำคัญมาพิจารณาที่ใจว่าทุกข์หรือไม่ เมื่อใจเริ่มมีความขุ่นใจขึ้นมาซึ่งผิดทางพุทธะแล้ว พุทธะต้องไม่ทุกข์ใจ ก็กลับมาคิดใหม่ ทำใหม่ “ใจเราต้องไม่ทุกข์”
พิจารณาในเรื่องวิบากกรรม เราเชื่อชัดในวิบากกรรมว่ามีอยู่จริง เราทำมาจริง เราทำร้ายสัตว์ กินสัตว์มาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ทุกตัวต้องเจ็บปวด ต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน เราจึงต้องรับผลทั้งดีและร้ายนั้นด้วยความยินดี เต็มใจ เราแค่เจ็บที่ชายโครงเพียงเล็กน้อย ยังไม่ถึงตายก็โชคดีมากแล้ว ยินดีเต็มใจที่ได้ใช้วิบากกรรม
ส่วนเรื่องร่างกายก็ค่อยๆแก้ไขไปโดยใช้ยา 9เม็ด ปฎิบัติไปโดยใช้เทคนิคทำใจให้หายโรคเร็วคือ อย่าโกรธ อย่ากลัวเป็น อย่ากลัวตาย อย่ากลัวโรค อย่าเร่งผล อย่ากังวล เมื่อได้แก้ไขทั้งใจและกายควบคู่กันไป ก็ค่อยๆดีขึ้นจนค่อยๆหายเป็นปกติ
สรุป หลังพิจารณาเห็นชัดว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะใจร้อน จะเร่งรีบให้หายปวดเร็วๆ ถ้าหายช้าจะทุกข์ใจมาก และจะคิดฟุ้งซ่านเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือเปล่า? จะลนลานที่จะปรึกษากับผู้รู้ หรือรีบไปหาหมอให้วุ่นวาย แต่เมื่อมาเป็นหมอดูแลตัวเองก็ค่อยๆปฎิบัติไปด้วยใจไร้ทุกข์ เปรียบเทียบได้ชัดกับแต่ก่อนกว่าจะหายใช้เวลาเป็นเดือน แต่ครั้งนี้ อาทิตย์กว่าๆก็หายเป็นปกติแล้ว จึงเชื่อชัด เชื่อมั่นในอานิสงส์ของศีลอย่างไม่ลังเล สงสัย..สาธุ
เรื่อง ทำไมลูกไม่ช่วยแม่
เหตุการณ์ วันนี้หลังทำภาระกิจที่บ้านเสร็จก็จะเข้าสวน ได้ชักชวนลูกชายแต่ลูกชายปฏิเสธไม่ไปด้วย
ทุกข์ ขุ่นใจ ที่ลูกไม่เข้าไปช่วยทำสวน
สมุทัย ชอบถ้าลูกไปช่วยทำสวน ชังถ้าลูกไม่ไปช่วยทำสวน
นิโรธ ลูกจะช่วย จะไม่ช่วยทำสวนก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาส ความยึดมั่นถือมั่นว่า เมื่อแม่ชักชวนลูก ลูกน่าจะเข้าสวนด้วย แต่ลูกปฏิเสธ ทำไมถึงไม่อยากเข้าสวน ทำไมถึงไม่ช่วยเหลือกัน ซึ่งเป็นความลวง เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ใจเริ่มขุ่นแล้วถึงแม้จะขุ่นเล็กน้อยก็ผิดทางพุทธแล้ว ไม่ใช่แล้ว ผิดทางแล้ว เมื่อไม่ทุกข์ใจก็มาคิดใหม่ว่าลูกก็ช่วยทำสวนวันเว้นวันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ได้ช่วยงานก็ทำเต็มที่ตามกำลังตามความสามารถของลูกแล้ว แต่กิเลสยังอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่เวลา อยากได้เกินกว่าที่ควรจะได้ เป็นความลวง ลวงให้ทุกข์ ลวงให้โง่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว ให้เป็นไปตามกุศล อกุศลของเราของลูกสังเคราะห์กันอย่างดีที่สุดแล้ว ดีแล้วที่ลูกปฎิเสธจึงได้เห็นกิเลสส่วนที่ยังเหลือ ถ้าลูกทำตามทุกครั้ง ความได้ดั่งใจที่สะสมมาก็จะยิ่งพอกพูนไม่จบ ไม่สิ้น ทั้งยังเหนี่ยวนำให้คนอื่นเป็นตาม ขอขอบคุณลูกชายที่ช่วยแม่ให้ได้ล้างกิเลส โชคดีอีกแล้วร้ายหมดไปอีกแล้ว
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 53 “ศีล คือไม่เบียดเบียนตนเอง คนอื่น สัตว์อื่น เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อคนอื่น ต่อสัตว์อื่น”
พิจารณาเรื่องวิบากกรรม เชื่อชัดในวิบากกรรมว่ามันมีอยู่จริง เราทำมาจริง กระจกเงาเราจริงๆ เมื่อก่อนจะไม่ค่อยช่วยงานสวนเลย จะหาข้อแก้ตัวกับแม่มากมายยิ่งกว่าลูกชายอีก ขี้เกียจ หนีงาน ยังมีเหตุผลโกหกอีกมากมาย ไม่สบายบ้าง ปวดท้อง ปวดหัว สารพัด เราทำมามากกว่านั้น ไม่ต้องถามว่าทำไมๆๆ ก็ทำมาๆๆ ขอน้อมรับด้วยความยินดี เต็มใจ รับแล้วก็หมดไป ก็จะโชคดีขึ้น
สรุป หลังพิจารณายิ่งเห็นชัดของอานิสงค์ของศีล ต้องไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เบิกบาน ยินดี ถ้าเป็นเราขอให้ทำโดยที่ไม่อยากทำก็จะพูดกระแทก หรือ ปฏิเสธไปเช่นกัน แสดงออกทางสีหน้าไม่พอใจชัดเจน แต่ครั้งนี้ ยินดีเต็มใจ สุขใจได้ใช้วิบาก เข้าสวนคนเดียวด้วยใจเป็นสุข..สาธุ
เรื่อง ความไม่ลับ
มีน้องท่านหนึ่ง ได้ไปแจ้งความที่ โรงพักใกล้บ้านว่า ลูกของเขาเสพยาเสพติด จุดประสงค์ของน้องท่านนั้น แจ้งเพื่อให้ตำรวจมาจับลูก
แล้วพาไป รักษาที่สถานบำบัดยาเสพติด น้องเขาเก็บเรื่องไปแจ้งความเป็นความลับไม่ให้ลูกเขารู้ เขาบอกว่าถ้าลูกรู้ลูกอาจจะไม่เข้าใจแม่
ลูกอาจจะเสียใจก็ได้ และปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ชาวบ้านรู้ด้วย น้องเขาว่า เล่าให้เราฟังคนเดียว
พี่ช่วยเก็บเป็นความลับด้วย เรามั่นใจในศีลของเราเต็ม 100 เลยว่าเป็นความลับ
น้องเขาคงเหลืออดแล้ว น้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
หาเงินเลี้ยงลูก ลูกโตแล้ว เลยวัยเบญจเพศ
มาแล้ว ไม่ทำงานเกาะแม่กินไม่ว่า ยังเอาเงินของแม่ ไปซื้อยามาเสพอีก ทั้งที่แม่นี่สู้ชีวิตสุดๆ แม่จึงใช้วิธีแจ้งความ ให้เอาลูกไปบำบัด
แต่อยู่ๆมา 4-5 วันนี้ น้องเล่าต่อว่า มีตำรวจท่านหนึ่งได้บอกกับชาวบ้านคนหนึ่งว่า
แม่เขาเป็นคนไปแจ้งความ ให้ตำรวจมาจับลูกเขาเอง น้องว่าทำไมตำรวจเป็นเสียแบบนี้
ไม่รักษาความลับ
ทุกข์ : สงสารน้องผู้เป็นแม่
สมุทัย : ชอบที่จะให้ผู้พิทักษ์สันติราษฐ์ ท่านนั้นเมตตาประชาชนบ้าง
นิโรธ : ตำรวจท่านนั้นท่านจะพูดแบบไหนก็ได้
ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : กิเลส เราบอกว่าไม่ชอบเลย ไหนบอกว่า ตามสโลแกน ตำรวจคือผู้พิทักษ์สันติราษฐ์ ไม่มีเมตตาต่อกัน สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ดี นั่นคือทรัพย์ของเรา เราต้องรู้รู้ว่า
แต่ละคนมีฐานจิตที่แตกต่างกัน เราบอกกิเลสว่า
จะเพ่งโทษเขาไม่ได้นะ ให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละบุคคล
บททบทวนธรรม ๖
การกระทำเดียวกัน มีเหตุผลในการกระทำ
กว่าล้านเหตุผล ต้องระวัง อคติ
หรือความเข้าใจผิด
จากการคาดเดาที่ผิดของเรา
บท ๑๗ เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง
ให้อยู่สภาพที่ดีที่สุด เท่าที่พึงทำได้
ให้โลกและเราได้อาศัย
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น
บท ๑๔ ไม่มีชีวิตใดหนีพ้น
อำนาจแห่งกรรมไปได้
ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
เรื่อง : ชังที่พูดไม่จบ
เนื้อเรื่อง :
วันเสาร์ที่ 3 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมาจะได้พรีเซนต์วิชาภาษาอังกฤษ เลยไม่ขอเข้าไปที่ทำงานเพื่อรอที่จะเข้าเรียนวิชาภาษาอังกฤษ และพรีเซนต์งานกับหมูกลุ่ม มีวิบากดีก็ได้ทำงานกลุ่มกับหมู่ได้ลงตัว กำลังเรียนอยู่พ่อบ้านก็โทรมาแจ้งว่าช่วยมาอยู่หน้าร้านให้หน่อย จะเข้าบ้านไปจัดของและทำธุระ น้าหมูก็รับทราบก็รีบไปทันที ช่วงนั้นเป็นเวลา 11:20 น. ท่านบอกว่าจะไปไม่นานขอเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ๆ ก็เก็บสมุดเครื่องเขียนไปเรียนต่อที่ทำงาน น้าหมูก็รอท่านจนถึง 14:30 น. ท่านก็ยังไม่มา น้าหมูก็หิวข้าวด้วยน้าหมูก็เลยโทรหาท่านว่าจะเสร็จเร็วไหม ถ้าเสร็จเร็วหมูจะไม่ให้ลูกเอาข้าวมาส่ง ถ้าเสร็จช้าก็จะให้ลูกเอาข้าวมาส่งเพื่อจะได้กินข้าวที่ทำงาน (นี่คือเจตนาของน้าหมู)
แต่พ่อบ้านไม่ฟังน้าหมูพูดจบเลย ท่านก็พูดตัดบทเสียงดังว่าก็ปิดร้านเลย พูดทางโลกก็คือพูดประชดนั่นแหละ ท่านก็คงจะจัดของทำธุระยังไม่เสร็จนั่นแหละ การกระทำแบบนี้น้าหมูรู้แล้ว จับกิเลสมันได้ทันทีเลยว่า กูทำมาอีกแล้ว น้าหมูก็เงียบ
ทุกข์ : ชังพ่อบ้านไม่ให้โอกาสพูดจนจบ
สมุทัย: ชอบ อยากให้พ่อบ้านฟังเราพูดให้จบ ชังที่พ่อบ้านไม่ฟังเราพูดให้จบ
นิโรธ : ท่านจะฟังเราพูดให้จบหรือไม่ฟังเราพูดให้จบ เราก็มีความสุขไม่ถือสาไม่ทุกข์ใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มรรค : เรามาพิจารณาว่าวิบากต้องรับ ถ้าเป็นแต่ก่อนที่เรายังไม่มีธรรมะเราต้องโต้กลับทันทีแต่เดี๋ยวนี้เราได้ปฏิบัติธรรมเจริญในศีลขึ้นมาตามลำดับ ๆ ใจไม่ทุกข์เพราะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสังเคราะห์การกระทำของเราเอง ที่เคยทำไม่ดีมาส่งเสริมทำชั่วมาจึงได้รับหรือวิบากร้าย เราทำมา ๆ ๆ
โดนใจในบททบทวนธรรมข้อที่ 121
“โจทย์ทุกโจทย์เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เป็นเครื่องมือ ฝึกจิตของเราให้เป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม”
และข้อ 123
“เจอผัสสะไม่ดีได้โชค 5 ชั้น คือได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ ได้ใช้วิบาก และเพิ่มวิบากดี ดีก็จะออกฤทธิ์ ได้มากยิ่งขึ้น”
ใจก็จางคลาย ไร้ทุกข์อย่างเบิกบาน
สาธุค่ะ ก็ขอให้คุรุทุก ๆ ท่านช่วยสังเคราะห์ให้ด้วยคะว่าต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง
ไม่ได้ดังใจ
เนื้อเรื่อง หงุดหงิดพ่อบ้าน ทำอะไร ก็ไม่ถูกใจเรา เขาพูดเฉยๆ กิเลสเราก็คิดว่าเขาบ่น หงุดหงิดไม่อยากฟัง พ่อบ้านทำอะไร เก้ๆ กังๆ ก็ไม่ถูกใจ ขับรถก็ช้า ทำอะไรไม่ค่อยเป็น
ทุกข์ : มีอาการหงุดหงิด เซ็งอยู่ในใจ พ่อบ้านทำอะไรก็ไม่ถูกใจเราสักที เวลาพ่อบ้านพูด ก็ไม่ถูกใจ หงุดหงิด มีอาการออกทางใจแต่ไม่ออกมาทางกายแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน ใจ มีอาการขุ่น ๆ ไม่เบิกบาน
สมุทัย : อยากให้พ่อบ้านทำอะไร สมบูรณ์ไม่พร่อง ไม่พลาด อุปาทาน จะเอาความสมบูรณ์แบบ ทำอะไรถูกใจเรา
นิโรธ : พ่อบ้านจะทำอะไร จะพร่องจะพลาด ก็ไม่ทุกข์ใจ ยินดี
มรรค : พิจารณาดู เราโง่ มองออกนอกตัว ต้องทำที่ใจเรา เขาจะทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับเรา ใจเรา จิตเราไปเพ่งโทษพ่อบ้านที่เขาทำอะไรพร่อง พลาด ตลอด กิเลสตัวเราจ้องจับแต่ความพร่อง ความพลาด วันนี้เพิ่งได้ฟังเรื่องความพร่อง ความพลาดที่อาจารย์พูด ความพร่องของตนเอง เรายอมรับได้แล้ว พอมารอบนี้ เขาให้ฝึกยอมรับความพร่อง ความพลาดคนอื่น เหมือนตอนเลิกเนื้อสัตว์ เราทำได้แล้ว เราก็มีจิตรังเกียจ ดูถูก คนกินเนื้อสัตว์
พิจารณาความพร่อง ความพลาด เรารู้สึกว่าพร่องพลาด แต่พ่อบ้านอาจจะทำเต็มที่ของเขาแล้ว เราไปมองว่าพร่องเอง
เพ่งโทษพ่อบ้าน ความพร่องพลาดมีตราบโลกแตก ล้างอุปาทานตัวจะเอาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ถ้าได้ดังใจก็ไม่ดี กิเลสโต จะเอาไปทำอะไร
#คนใกล้ตัวไม่ใส่แมส
ในขณะที่สถานการณ์ของโควิด-19 ในประเทศไทย ก็ยังไม่มีทิศทางที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ในขณะที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็ยังพบเจอคนหลายคนที่ไม่ยอมใส่แมส ซึ่งถ้าเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก ผมก็จะไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวบางคน (ญาติพี่น้อง) ผมจะทุกข์ใจเพราะรู้สึกไม่ได้ดั่งใจที่พวกเขาไม่ยอมใส่แมสกัน
ทุกข์ : ทุกข์ใจเพราะรู้สึกไม่ได้ดั่งใจที่ญาติพี่น้องบางคนไม่ยอมใส่แมส
สมุทัย : จะรู้สึกทุกข์ใจถ้าญาติพี่น้องบางคนไม่ยอมใส่แมส แต่จะรู้สึกสุขใจถ้าญาติพี่น้องทุกคนใส่แมส
นิโรธ : สามารถผาสุกใจได้ไม่ว่าญาติพี่น้องจะใส่แมสทุกคนหรือไม่
มรรค : กรณีนี้ผมเดินมรรคโดยการนำคำสอนเรื่อง “โลกนี้พร่องอยู่นิตย์ และเราก็ล้วนเป็นองค์ประกอบพร่องๆ ของโลกใบนี้” “ศรัทธาในส่วนดี เมตตาและอุกเบกขาในส่วนด้อย” มาพิจารณา
ดังนั้นเมื่อผมเจอเหตุการณ์นี้ ผมก็จะประมาณให้ดีก่อนว่า ผมจะสามารถเตือนได้หรือไม่ ถ้าประมาณแล้วว่าถ้าเข้าไปเตือนแล้วจะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ ผมก็จะเข้าไปเตือน แต่ถ้าประมาณแล้วมาถ้าเข้าไปเตือนแล้วจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ผมก็จะไม่เตือน
นอกจากนั้นในกรณีนี้ ผมยังได้นำบททบทวนธรรมบางบทมาพิจารณาเช่น บทที่ 3 ที่มีเนื้อหาว่า “นับ ๑ ที่เรา เริ่มต้นที่เรา ทำความดีที่เรา นี่คือ เส้นทางเพื่อการพึ่งตน และช่วยคนให้พ้นทุกข์”
เรื่อง คำตอบไม่ถูกใจ
เหตุการณ์ : ถามแม่บ้านว่า หว่านผักบุ้งหรือยัง แม่บ้านตอบว่า ผักยังอยู่ในตะกร้า แล้วพี่จะปลูกตรงไหน คิดในใจว่าจะถามอะไรอีก ก็คุยกันแล้วนี่ว่าปลูกได้เลย
ทุกข์ : ไม่ชอบใจคำตอบจากแม่บ้าน
สมุทัย : ยึดว่าจะได้รับคำตอบที่ถูกใจ ชอบใจถ้าแม่บ้านตอบถูกใจ ชังที่แม่บ้านตอบไม่ถูกใจ
นิโรธ : แม่บ้านจะตอบถูกใจหรือไม่ก็ได้ ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แม่บ้านจะตอบออกมาอย่างไร แบบไหนก็ได้ เพราะแต่ละคนก็จะมีลีลาการตอบ การแสดงออกแตกต่างกันไป ตามวิบากดีร้ายของใครของมัน มีความไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา การสะสมวิบากมาก็ไม่เหมือนกัน แล้วจะไปยึดว่าต้องให้ถูกใจเราได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ วิบากของใครคนนั้นก็ต้องแก้เอง เราไม่สามารถแก้วิบากคนอื่นให้ได้ดั่งใจเราได้ มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องมาแก้ที่เรา อะไรที่ไม่ถูกใจเรา นั่นแหละคือเครื่องมือที่เราได้เห็นกิเลสที่ยังยึดจะเอาดีกับคนอื่นอยู่ เราจึงต้องมาฝึกล้างใจที่ยังหลงชิงชังที่ฝั่งอยู่ภายในใจ และได้ล้างวิบากร้ายที่เคยทำพลาดมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ตามบททบทวนธรรมข้อที่ 21 “การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเรา เป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือความหลงชิงชังรังเกียจหลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา”
สรุป เมื่อพิจารณาแล้วปล่อยวางความหลงยึดมั่นถือมั่นในใจได้ ความรู้สึกไม่ชอบใจได้หายไปใจกลับมาเบิกบานและเป็นสุข
Comments are closed.