At bagon.is you can Buy webshells, phpmailer, Combo list
การบ้าน อริยสัจ 4 (26/2564) [35:51] | สถาบันวิชชาราม
Skip to content

การบ้าน อริยสัจ 4 (26/2564) [35:51]

640627 การบ้าน อริยสัจ 4 (26/2564)

นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 21 – 27 มิถุนายน 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)

สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านทั้งหมด 35 ท่าน 51 เรื่อง

  1. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
  2. นัฏฐา พิมาพันธุ์ศรี (นัท ยินดี)
  3. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
  4. สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ) (4)
  5. นปภา รัตนวงศา (2)
  6. นางสาวนาลี วิไลสัก (5)
  7. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
  8. จิรานันท์ จำปานวน (4)
  9. น.ส.นมลชนก แก้วเกษ
  10. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์
  11. นฤมล ยังแช่ม (2)
  12. น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร) (4)
  13. ทีมแอดมิน รวงข้าว
  14. ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล)
  15. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว))
  16. นางจิราภรณ์ ทองคู่
  17. สำรวม แก้วแกมจันทร์
  18. สุมา ไชยช่วย (2)
  19. นางพรรณทิวา เกตุกลม
  20. น.ส อุบล พลรบ (เกื้อบัวแก้ว)
  21. พรพิทย์ สามสี
  22. น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี
  23. มงคลวัฒน์ รัตนชล
  24. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)
  25. นายรวม เกตุกลม
  26. ศิริพร ไตรยสุทธิ์
  27. ศิริขวัญ แซ่ลิ่ม
  28. น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
  29. รมิตา ซีบังเกิด
  30. วิภาวัลย์ ถนัดธรรมกุล
  31. พรทิพย์ อิ่มทุ่งน้อย (ก้อย ใจร่มเย็น)
  32. สรสิชา สายหยุดทอง(ตรงเติมศีล)
  33. ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล)
  34. ภาคภูมิ ยอดปรีดา (สร้างแก่นศีล)
  35. ปิ่น คำเพียงเพชร

Tags:

53 thoughts on “การบ้าน อริยสัจ 4 (26/2564) [35:51]”

  1. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์

    อริยสัจ 4

    เรื่อง รู้สึกอย่างไร

    เมื่อคืนวันที่ 19 มิถุนายน เวลาที่เยอรมนี มีการแข่งขันฟุตบอลระดับยุโรป โดยประเทศเยอรมนี แข่งขันกับประเทศโปรตุเกสก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้มาพบแพทย์วิถีธรรมเป็นคนที่ชอบดูฟุตบอลมาก เยอรมนีแข่งเมื่อไรต้องดูเมื่อนั้น แต่เมื่อเข้าใจเรื่องศีลจากที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถ่ายทอดให้ทราบโดยละเอียด จึงเลิกการดูฟุตบอลตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ทุกข์ : เกิดความหวั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเชียร์ฟุตบอลจากเพื่อนบ้าน

    สมุทัย : อยากให้เพื่อนบ้านได้เห็นโทษของการเสียพลังงานจากการเชียร์ฟุตบอล เสียงเชียร์ฟุตบอลฟังแล้วทำให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ลึก ๆ มีก็ความสุขกับเพื่อนบ้านไปด้วย ก็ขอส่งกำลังใจช่วยเพื่อนบ้าน ขอให้ท่านสนุกสนาน มีความรื่นเริงและมีความสุขนะ ส่วนข้าพเจ้าจะขอเป็นแรงเหนี่ยวนำการไม่ดูฟุตบอลและขอส่งพลังงานนี้ไปสู่เพื่อนบ้าน ขอให้ท่านได้พบสิ่งที่ดี ที่จะพาให้ท่านมีความสุขอย่างแท้จริงและยั่งยืนด้วยเทอญ

    นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชังกับความรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนบ้านเชียร์ฟุตบอล

    มรรรค : พิจารณาถึงโทษของความรู้สึกหวั่นไหวว่ามันบั่นทอนพลังงานในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเกิดความกระสับกระส่ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียพลังงาน นั้นว่าคือโทษ และได้นึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวว่า แต่ละคนมีฐานจิตต่างกันต้องระวังความเข้าใจผิดและอคติของเรากับผู้อื่น คิดดี พูดดี ทำดีไว้ก่อนดีที่สุด ซึ่งก็ทำให้อาการหวั่นไหวที่กำลังเป็นอยู่นั้นหายไปทันที ขออนุโมทนาบุญกับตัวเองและขอส่งความเมตตาและปรารถดีไปยังเพื่อนบ้าน ขอให้ท่านคิดดี และคิดถูกได้ไว ๆ แล้วก็สามารถนั่งทำงานต่อในท่ามกลางเสียงเชียร์ฟุตบอลจากเพื่อนได้อย่างมีความสุข ไม่มีอาการหวั่นไหวอีกเลย สาธุ

  2. นัฏฐา พิมาพันธุ์ศรี (นัท ยินดี)

    เรื่อง ขุดหาถั่ว ไม่ได้ถั่ว แต่ได้ทุกข์
    ทุกข์ ขุดหาถั่วแล้วไม่ได้ถั่ว
    สมุทัย อยากได้ถั่ว ได้ถั่วจะสุขใจชอบใจ ไม่ได้ถั่วจะทุกข์ใจไม่ชอบใจ
    นิโรธ จะหาถั่วได้หรือไม่ได้ก็สุขใจได้
    มรรค ไม่อยากได้ถั่ว เพราะอยากแล้วมันทุกข์ ไม่อยากได้ก็ไม่ทุกข์

    เรื่องคือว่า ได้บำเพ็ญขุดถั่วลิสงลายเสือกับพี่น้องที่แปลงสันโดษภูผาฟ้าน้ำ แล้วขณะที่ขุดถั่วไปก็ได้พบว่ามีหนูมากินถั่วลิสงตัดหน้าไปก่อนซะแล้ว ทำให้ขุดหาถั่วไปก็เจอแต่ต้นถั่วที่แทบไม่มีเมล็ดถั่วเหลือติดต้นขึ้นมาเลย และหญ้าก็รกมาก ๆ หาต้นถั่วก็ยาก พอหาต้นถั่วเจอก็ไม่มีเมล็ดหรือมีเมล็ดถั่วให้เก็บเล็กน้อยเท่านั้น
    เราและเพื่อน ๆ ต่างก็บ่นกันว่า หนูมากินไปหมดแล้ว ขุดไปก็แทบไม่เจอถั่ว คราวหน้าถ้าปลูกถั่วอีกจะต้องมาถากหญ้าให้โล่ง ๆ หนูจะได้ไม่มากินอีก หรือบ้างก็ว่าต้องเปลี่ยนไปปลูกแปลงอื่นดีกว่า
    ตอนนั้นก็ได้อ่านอาการในใจตัวเอง รู้สึกไม่ขอบใจที่แทบไม่มีเมล็ดถั่วให้เก็บ รู้สึกรำคาญหญ้าที่รก ๆ รู้สึกไม่ยินดีที่จะหาถั่วต่อ หมดแรง อยากพัก ไม่อยากขุดแล้ว อยากกลับแล้ว
    ก็ได้พยายามหาข้อดีว่า หนูเขามากิน ก็กินไม่หมดนะ เขายังเหลือให้เราได้เก็บไปกินวันก่อนตั้งเยอะนะ แม้วันนี้ก็ยังเหลือให้เก็บบ้าง แล้วเราก็ได้ใช้วิบากนะ ความรู้สึกก็ยังไม่ดีขึ้น ยังไม่มีแรงขุดอยู่เหมือนเดิม
    จึงได้ถามตัวเองว่า อยากได้อะไร? ก็ได้คำตอบว่าอยากได้ถั่ว อยากขุดแล้วเจอถั่ว ใจมันปักมั่นมาก่อนแล้วว่ามาขุดถั่วจะเจอถั่วลิสงติดรากขึ้นมาเป็นพวง ๆ ตั้งเป้าไว้แบบนี้เลย
    จึงได้รู้ว่า เราอยากเจอถั่วนี่เอง พอไม่เจอตามที่อยากก็เลยทุกข์ ใจก็เสียพลังไปดันทุกข์ออก ก็หมดแรงสิ ถ้าอย่างนั้นเราลองดูสิ ถ้าเราไม่อยากได้ถั่วจะเป็นอย่างไร
    ว่าแล้วก็คิดใหม่ว่า เราไม่ได้มาขุดเอาถั่วนะ เรามาออกกำลังกาย มาสูดโอโซน ที่นี่อากาศดี้ ดี บริสุทธิ์มาก ๆ ด้วย ได้ออกกำลังกาย ได้ถอนพิษ จะขุดแล้วเจอถั่วหรือไม่เจอถั่วก็ได้เพราะเราไม่ได้มาเอาถั่ว
    พอคิดได้แบบนี้ ใจก็รู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิมทันที รู้สึกยินดีที่จะได้ออกกำลังกาย ยินดีที่ได้มาอยู่ตรงนี่ที่ ๆ อากาศบริสุทธิ์มาก ๆ ยินดีที่ได้มาทำกุศลร่วมกับหมู่กลุ่ม มันดีจะตาย ฮึกเหิม ๆ ขึ้นมาทันที รู้สึกเบิกบานใจ แรงก็กลับมาเต็ม จนแม้บำเพ็ญจนถึงสองทุ่มก็ยังรู้สึกว่ายังมีแรงเหลืออยู่อีก
    อยากเป็นทุกข์ ไม่อยากจึงไม่ทุกข์ สุขสบายใจ ไร้กังวล

  3. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)

    ชื่อเรื่อง:ตั้งใจ(อย่างยึดมั่นถือมั่น)
    เนื้อหา:จากการที่อาจารย์มีนโยบายให้พี่น้องที่มีฉันทะได้มีส่วนร่วมในการส่งบทความเข้าไปร่วมในการจัดทำวารสารที่เป็นปกิณกะกึ่งวิชาการ ก็ได้เขียนส่งเข้าไปและอาจารย์ก็เมตตาชี้แนะจุดบกพร่องให้กลับมาแก้ไข และก็ใด้นำกลับมาแก้ ก็ตั้งใจเขียนอยู่เกือบ 2 วันจนบทความใกล้จะเสร็จสมบูรณ์อยู่แล้ว พอมาดูอีกทีบทความที่เขียนไว้ข้อมูลหายไปหมดเลย(ยังไม่ได้กดบันทึกข้อมูล)เพราะไม่ค่อยถนัดไม่มีความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีเท่าที่ควร แว่บแรกที่รู้ว่าข้อมูลหายใจมันก็หายวูบไปเลย หมดแรง จับความรู้สึกที่แว่บขึ้นมาได้ว่ามันเป็นความรู้สึกท้อในการที่จะเขียนใหม่ เพราะมีความตั้งใจสูงมาก(ที่จะให้มันเสร็จ)แต่พอข้อมูลหายก็เลยหมดแรง ก็ไปไล่ถามพี่น้องคนนั้นคนนี้เผื่อว่าจะมีท่านใดรู้วิธีกู้ข้อมูลคืนได้บ้าง แต่สรุปก็ทำไม่ได้เพราะยังไม่ได้บันทึกข้อมูล พี่น้องแต่ละท่านก็ให้กำลังใจ บ้างก็บอกว่าดีแล้วเราจะได้ฝึกหลายๆรอบจะได้เขียนได้คล่องและดีขึ้นเรื่อยๆ ไง ซึ่งฟังแต่ละท่านก็ทำให้คลายความรู้สึกอาการเหมือนใจหล่นลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกแช่มชื่นได้ไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าไหร่ จึงตรวจดูใจตัวเองว่าทำไมยังไม่สดชื่นอยู่อีก ก็พบสาเหตุที่ทำให้ตัวเองรู้สึกผิดหวังว่าเพราะอะไร เพราะใจเข้าไปยึดว่าข้อมูลที่หายไปน่ะเราเขียนไว้ดีมากๆแล้ว กลั่นกรองจากสภาวะจริงของเราได้ดีสุดๆ พอรู้ว่าต้องได้เขียนใหม่ก็เกิดความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีเท่าเดิม ต้องเขียนเยอะมากด้วย(กิเลสหลอก)
    ทุกข์:ใจหาย รู้สึกผิดหวัง(อย่างแรง)
    สมุทัย;ยึดมั่นถือมั่นว่าข้อมูลที่หายไปน่ะเราเขียนดีที่สุดแล้ว กลัวเขียนได้ไม่ดีเหมือนเดิม
    นิโรธ:บอกตัวเองว่าจะเขียนได้ดีเท่าเดิมหรือไม่ดีเท่าเดิมก็ไม่ทุกข์ใจให้โง่
    มรรค:บอกตัวเองว่าในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้วก็จบแล้ว ถึงเขียนใหม่จะได้ไม่ดีเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมมันก็คือสิ่งที่เราทำได้จริงในตอนนั้นๆ กุศลเราให้ทำดีได้แค่นั้นก็เอาแค่นั้น แล้วที่เราคิดจะไปอยากได้ดีมากกว่านั้นมันก็ทุกข์นะสิเพราะมันไม่ใช่สมบัติของเราที่ควรจะได้ พี่น้องพูดก็ถูกแล้วว่าเขียนใหม่หลายๆรอบน่ะดีแล้วจะได้เขียนดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการได้ฝึกทำอะไรซ้ำๆบ่อยๆจะทำให้เกิดความชำนาญ เชี่ยวชาญขึ้นเป็นลำดับ เหมือนที่เราฝึกล้างกิเลสยิ่งทำมากก็ยิ่งเก่งในการล้างกิเลสได้มากขึ้นเท่านั้น

  4. สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ)

    เรื่อง ออกกำลังกายเห็นกิเลส
    เนื้อเรื่อง ช่วงนี้ตั้งศีลว่าจะออกกำลังกายให้ได้เยอะๆจะได้สู้กับ ผัสสะ เพราะว่าวิธีการนี้ยังไม่เคยฝึกเราก็ติดถ้ำอยู่ไปวันๆไม่อยากจะออกกำลังกายเพราะติดความสบาย
    ทุกข์ อาการทางใจเบื่อหน่ายอาการทางร่างกาย จะลุกจะเดินก็หนักเนื้อหนักตัว เหตุการณ์ไม่อยากจะทำอะไรอยากจะนอนมากๆ
    สมุทัย
    ชอบที่ได้ออกกำลังกาย เยอะๆ ชังที่ออกกำลังกาย ได้น้อย
    นิโรธ
    ยินดีเต็มใจออกกำลังกายอย่างรู้เพียรรู้พัก
    มรรค
    พิจารณาว่าถ้าเราไม่ออกกำลังกาย ตั้งแต่วันนี้ ก็เข้าทางกิเลสมารที่จะเลื่อนไปวันหน้าเรื่อยๆ
    มาร
    งานเยอะไม่ต้องออกกำลังกายหรอกได้ประโยชน์น้อย
    เรา
    การที่นับหนึ่งที่เราโดยการออกกำลังกายวันละนิดวันละหน่อยจะทำให้จิตใจเบิกบานร่างกายแข็งแรงได้สู้กับผัสสะที่รออยู่ข้างหน้า
    มาร
    ออกกำลังกายเดี๋ยวก็ กลัวเจ็บปวดตามเนื้อตัว จะกังวลว่าจะเป็นภาระให้กับหมู่
    เรา
    ชีวิตคือการฝึกฝึกตั้งแต่วันนี้จะได้วันละ 1 แต้มถ้าเราไม่ฝึกวันนี้วันพรุ่งนี้เราก็จะผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆก็เป็นแรงเหนี่ยวนำให้กับผู้อื่นเสียประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เราต้องฝึกทำสิ่งใหม่จึงจะเจอสิ่งดีๆ และสิ่งใหม่ๆจะเกิดที่เรา เราจะไม่หลงเชื่อกิเลสอีกแล้วเราต้องเด็ดขาดและเอาจริง กับกิเลส โดยการออกกำลังกายเช้าเย็น( ไม่รอไม่หวังแต่เราทำ)
    สรุปถ้าเรารู้จักกิเลสและเห็นหน้ากิเลสแล้วก็เถียงกิเลสบ่อยๆเหมือนออกกำลังกายเพียงวันละนิดเราก็จะชำนาญในการสู้กิเลสทำให้ผลของการออกกำลังกายสู้กิเลสได้อย่างสบายเบาใจสบายกายมีกำลังอาการง่วงนอนหรือเบื่อหน่ายที่จะออกกำลังกายก็ลดลง

  5. นปภา รัตนวงศา

    เรื่อง ให้กล้วยเห็นกิเลส

    เหตุการณ์ ขณะพ่อบ้านเอากล้วยน้ำว้าที่สุกบนต้นลงมามีอยู่ 9หวีแต่มีส่วนที่สุกงอมมากมีสัตว์มาขอกินด้วย ที่สมบูรณ์มีอยู่ 6หวี เพื่อนบ้านเดินเข้ามาก็แบ่งให้เพื่อนบ้านไป 2หวีครึ่ง กิเลสมันบอกว่าทำไมให้เยอะจัง แถมเป็นหวีต้นๆด้วย ยังจะไปให้พ่อ เพื่อนบ้าน น้องสาวอีก คนละหวีก็พอแล้วมั่ง ความคิดนี้เข้ามาคิดแว้บเดียว ก็ได้วิปัสสนาล้างทันทีในขณะแบ่งปันนั้น

    ทุกข์ ขุ่นใจ พ่อบ้านแบ่งกล้วยให้มากไป แบ่งให้บ้านอื่นไม่ทั่ว

    สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้านแบ่งปันกล้วยให้ 1หวีตามที่เราคิด ชังถ้าให้เกินตามที่เราคิด

    นิโรธ พ่อบ้านจะแบ่งปันกล้วยกี่หวีกับบ้านไหนอย่างไร ไม่ทำตามที่เราคิด ก็ยินดี ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสที่ทำให้ทุกข์ใจ ที่ใจมันยึดมั่นถือมั่นว่าต้องแจกจ่ายให้เท่าๆกัน จะได้กระจายได้ทั่วถึง เมื่อใจขุ่นๆไม่ใช่พุทธะแล้ว ผิดทางแล้ว ก็กลับใจมาคิดใหม่ ถ้าคิดจะให้ ก็ให้โดยคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้ ให้ใครก็ได้บนโลกใบนี้ ให้แล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติเรา ให้ใครกาละไหนที่จะให้ได้โดยไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น ใครได้รับมากน้อยก็เป็นเพราะกุศล อกุศลของเราของเขาที่สังเคราะห์กันดีที่สุดแล้ว ให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ดีที่สุดแล้วไม่ไปยึดมั่นถือมั่นให้ใจเป็นทุกข์ พิจารณาประโยชน์ของการแบ่งปันว่าดี เพราะจะได้เป็นพลังสันนิทานสูตรให้ทุกคนทำตาม ปฎิบัติตาม ทำให้โลกที่มีแต่ความแก่งแย่ง มีการแบ่งปัน มีการให้กัน ทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น พิจารณาโทษของการแบ่งปันแล้วรู้สึกเสียดายที่มายึดมั่นถือมั่นว่าต้องเท่าๆกัน ก็มีพลังเหนี่ยวนำที่ไม่ดี ดูดดึงเอาของโลกมาเป็นสมบัติส่วนตัวทำให้โลกขาดแคลน โลกเดือดร้อน ทะเลาะ แย่งชิง ทำร้ายกัน และวิบากนั้นเราต้องรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใจก็ผ่อนคลายลง ไม่มีเงื่อนไขแล้ว ใจที่คิดจะให้ดีที่สุดแล้ว
    เมื่อพิจารณาแล้ว ยินดีที่เห็นการแบ่งปันของพ่อบ้านที่ให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ดีกว่าเราเสียอีกที่คิดว่าตัวเองเป็นนักปฎิบัติธรรมแต่มาคิดเล็กคิดน้อยในการให้ ก็ขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมที่คิดไม่ดีอันนั้น จะทำดีให้มากๆ จะลดกิเลสให้มากเกื้อกูลผองชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ
    ใช้บททบทวนธรรมข้อ 113 สุขจากการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ สุขสบายใจที่สุดในโลก เป็นสุขที่สุดในโลก

    สรุป หลังจากพิจารณาแล้ว เห็นได้ชัดเจนเลยว่า แต่ก่อนจะตระหนี่ไม่ค่อยแบ่งปัน เก็บไว้เกินความจำเป็น ทำให้ทุกข์ ทำให้โง่แต่เมื่อเริ่มแบ่งปันจะเห็นความสุข ความสบายขึ้นชัดเจน แต่ครั้งนี้กิเลสเข้ามาก็สามารถขจัดออกไปได้ทันทีขณะกำลังตัดแบ่งกล้วยนั้นเอง สุขจากการให้ที่บริสุทธิ์ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่จริงๆ ให้แล้วใจก็เบิกบาน แจ่มใส..สาธุ

  6. นางสาวนาลี วิไลสัก

    เรื่อง : ชังน้องสะใภ้ที่ไม่ดี…เอ๊ะๆๆมีคนไม่ดีเพิ่มอีกคน

    เหตุการณ์ : ช่วงนี้พ่อไม่สบาย ตัวเองทำน้ำสมุนไพรเก็บในตู้เย็นเพื่อใช้ในการดูแลพ่อ พอมาช่วงเช้าแม่ก็พูดความจริงแบบตรงๆ ต่อหน้าเรากับน้องชายว่า ให้เราดูของที่เก็บในตู้เย็น อันไหนเอาออกได้ให้เอาออก เพราะเมื่อกี้น้องสะใภ้บ่นว่า ใครเอาอะไรมาเก็บในตู้เย็นทำให้ตู้เย็นเละเทะ มีกลิ่น น้องชายก็พูด ตอบโต้กับแม่ ส่วนตัวเอง อ่านใจแล้วยิ้มเดินไปดูแลพ่อ

    ทุกข์ : รู้สึกหงุดหงิด อึดอัด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่พอใจที่ได้ยินแม่เล่าเรื่องที่น้องสะใภ้บ่นให้ฟัง

    สมุทัย : ยึดว่าน้องสะใภ้ ต้องเป็นคน ที่รู้จัก เจียมเนื้อเจียมตัวเวลาอยู่บ้านคนอื่น ชังที่น้องสะใภ้ ไม่เป็นดังใจเราหมาย

    นิโรธ : น้องสะใภ้ จะเป็นตามที่เรายึด หรือ ไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : พิจารณาความลวงของมาร เมื่อคนอื่นบ่น มารก็ยังนำไปบ่นต่อ
    มาร : เป็นสะใภ้ ภาษาอะไรหว่า มาอยู่บ้านรวมกับคนอื่น ก็ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว พ่อแม่ไม่สั่งสอนรึไง เออ เขาเป็นลูกสาวหล่า (มีพี่ 8 คน) เขาคงเป็นคนที่เคยชินกับการถูกเอาอกเอาใจมาตลอดอะดิ จึงไม่มีใครกล้าว่ากล้าสอนเขาได้ คนแบบนี้น่าเขกกระบาลเลยจริงๆ เรื่องแค่นี้ก็ยังบ่นอยู่ได้ ไม่น่าจะเอามาเพิ่มภาระให้ครอบครัวเราเลย
    เรา : โอ้โห ช่างซาบซึ้งกับความชั่วของมารจริงๆ เห็นเขาบ่น ก็นำมาปรุงเพิ่ม บ่นหนักกว่าเขาอีก (ขุดจนถึงรากถึงโคนเลย) คนที่น่าเขกกระบาลตอนนี้ต้องเป็นมาร ไม่ใช่น้องสะใภ้ เขาก็แค่บ่น เขายังไม่ได้ฆ่าเราซะหน่อยเลย เราก็เคยบ่นคนอี่นไว้เยอะ ดีแล้วที่เขาอุตส่าห์เสียสละ มาเอาภาระช่วยเราดูแลคนในครอบครัว และยังช่วยขัดเกลากิเลสให้เราได้เลื่อนฐานตัวเองด้วย ตราบโลกแตก เราก็ไม่สามารถควบควบคุม และเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้เป็นไปดังใจเราหมายได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เห็นคนอื่นชั่วอย่าชั่วตามเขา ต้องเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เมตตา ปรารถนาดีต่อเขา ขอให้เขาคิดดี พูดดี ทำถูกต้องได้เร็วๆนะ ส่วนน้องสะใภ้ จะเป็นคนนิสัยใจคอยังไง เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็น ถ้าเราไม่เอาใจไปยึดว่าเขาต้องเป็นดังใจเราหมาย เราก็ไม่ทุกข์ใจเพราะเขา ตรงกับ บทธ ข้อที่ 89 ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้

    สรุป พอพิจารณาแบบนี้แล้ว มารสลายตายคาที่เลย อาการหงุดหงิด อึดอัดหายไป หัวใจเต้นปกติ ใจก็เบิกบานแจ่มใส ต้องขอบคุณน้องสะใภ้ ที่มาเป็นผัสสะขัดเกลากิเลสตัวนี้จนดับสนิทเลย สาธุค่ะ

  7. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)

    ส่งการบ้านอริยสัจ4

    เรื่อง.ขึ้นพูดลดกิเลส

    เหตุการณ์.เนื่องจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้เข้าซูมร่วมรายการ นักศึกษาชวนกันทำการบ้าน
    หลังจากจบการบันทึกรายการแล้ว พี่จิตอาสาก็ถามว่าสัปดาห์ต่อไปมีใครจะจองคิวเพื่อนำเสนอการบ้านของตัวเองให้พี่น้องช่วยกันวิพากษ์บ้าง ตัวเองจึงขอโอกาสจองคิวด้วย แต่ก็พูดต่อไปว่า แทมไม่ขอพูดคนแรกนะคะ ณ.ตอนนั้นจับได้ทันทีเลยว่ามัน คือกิเลสของเรา ตัวเองก็มีฉันทะ ยินดีที่จะขึ้นพูดอยู่นะคะ แต่กิเลสมาหลอกว่า ไม่ต้องพูดคนแรกก็ได้ พูดคิวหลังๆก็ได้ ดูพี่ๆท่านอื่นก่อน เผื่อจะลดอาการตื่นเต้นลงได้บ้างก็ได้นะ เพราะทุกครั้งที่จะพูดต่อหน้าคนเยอะๆตัวเองจะมีอาการตื่นเต้น ประหม่า จึงรู้ว่าตัวเองยังมีส่วนเหลือของกิเลสตัวนี้อยู่และจะพากเพียรฝึกฝนล้างกิเลสตัวนี้ต่อไปค่ะ
    แล้วจึงมีพี่จิตอาสาท่านนึงพูดบอกว่า เดี๋ยวพี่เป็นคิวแรกให้เอง รับรู้ได้ว่าพี่ๆท่านก็เมตตานะ แล้วกิเลสจะเอาอะไรอีกละ ก็รอถึงวันพุธว่าอาการตื่นเต้นจะลดลงระดับไหนค่ะ

    ทุกข์.มีความกลัว มีความประหม่า ตื่นเต้นที่จะพูดต่อหน้าผู้คนเยอะๆ

    สมุทัย.ที่เรากลัวเพราะเรายึดที่จะพูดออกมาดีๆ ไม่ตะกุกตะกัก คนฟังเข้าใจดีแล้วเราจะชอบใจสุขใจ และเมื่อกลัวประหม่าตื่นเต้นมากๆก็ทำให้พูดออกมาฟังยาก ตะกุตะกักไปหมด จึงทำให้เราทุกข์ใจไม่ชอบใจ

    นิโรธ.เราจะพูดออกมาอย่างไร ฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ยินดีพอใจไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติ พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ความวิปลาส ความไม่มีตัวตนของกิเลส ที่กำลังหลอกเรา ที่ทำให้เราทุกข์ใจอยู่ พิจารณาโทษของความยึดมั่นถือมั่นที่อยากให้เป็นดั่งใจหมาย อยากได้ เมื่อไม่ได้ก็ทุกข์ ทำให้เกิดอาการทางกาย คือ หัวใจเต้นแรง มือสั่น พูดตะกุกตะกัก อาการทางใจคือ กลัว กังวลใจ ประหม่า เพราะยึดว่าต้องดีต้องเป๊ะ ติดในโลกธรรมอัตตา อยากพูดออกมาดีแล้วจะดี เพราะจิตเราไปปรุงแต่งว่าต้องพูดให้ดีให้ชัด ให้ทุกคนฟังเข้าใจง่าย ถ้าเราพูดผิดพูดไม่ชัดนี่คนจะไม่ชอบ ต้องพูดยังไงให้คนตั้งใจฟัง ยิ่งอยู่ในองค์ประกอบของหมู่มิตรดีด้วยนะ มันคิดเหมือนจริงแต่ไม่จริง เพราะคิดแล้วทุกข์ แล้วมาพิจารณาประโยชน์ของการวางใจ ล้างความยึดมั่นถือมั่นได้ ทำให้มีสติใช้ปัญญาส่องให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า เราจะพูดออกมาแบบไหนอย่างไร
    ใครจะได้รับประโยชน์จากการออกมาพูดของเราแค่ไหนอย่างไร มันก็เป็นไปตามกุศลอกุศลของเราของผู้อืนและคนที่เกี่ยวข้อง ได้แค่ไหนแค่นั้น สำคัญคือมาล้างทุกข์ใจของเราให้ได้ก่อน และโชคดีที่มีผัสสะกับเหตุการณ์นี้ ได้ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 82 คือ จงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุกให้ได้ และระลึกได้ว่าที่เราต้องมาใช้วิบากเรื่องนี้อยู่ เพราะเราเคยไปเพ่งโทษเรื่องการพูดของพี่น้องท่านอื่นมาเหมือนกัน จึงตั้งจิตสำนึกผิดหรือยอมรับผิด ขอรับโทษเต็มใจรับโทษ หรือขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดที่สิ่งไม่ดีอันนั้น ตั้งจิตทำความดีให้มากๆ คือ
    ลดกิเลสให้มากๆ เกื้อกูลผองชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ

    สรุปว่า.เมื่อพิจารณาอาการของกิเลสไปเรื่อยๆใจก็โล่งลงได้ตามลำดับค่ะ เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนเห็นได้ชัดเจนว่าลดลงค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่คิดเลยค่ะว่าจะออกมาพูดเพราะไม่มีใครบังคับ อยู่ที่ตัวเองที่จะประมาณว่ามีความยินดีที่จะทำดีเอาภาระแค่ไหน แต่ตอนนี้ยินดี และจะพากเพียรสู้กิเลสฝึกฝนตัวเองต่อไปเรื่อยๆค่ะ สาธุค่ะ

    1. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้าน้อมศีล)

      แก้ไข

      ส่งการบ้านอริยสัจ4

      เรื่อง.ขึ้นพูดลดกิเลส

      เหตุการณ์.เนื่องจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมาได้เข้าซูมร่วมรายการ นักศึกษาชวนกันทำการบ้าน
      หลังจากจบการบันทึกรายการแล้ว พี่จิตอาสาก็ถามว่าสัปดาห์ต่อไปมีใครจะจองคิวเพื่อนำเสนอการบ้านของตัวเองให้พี่น้องช่วยกันวิพากษ์บ้าง ตัวเองจึงขอโอกาสจองคิวด้วย แต่ก็พูดต่อไปว่า แทมไม่ขอพูดคนแรกนะคะ ณ.ตอนนั้นจับได้ทันทีเลยว่ามันเป็นกิเลสของเรา ตัวเองก็มีฉันทะ ยินดีที่จะขึ้นพูดอยู่นะคะ แต่กิเลสมาหลอกว่า ไม่ต้องพูดคนแรกก็ได้
      พูดคิวหลังๆก็ได้ ดูพี่ๆท่านอื่นก่อน เผื่อจะลดอาการตื่นเต้นลงได้บ้างก็ได้นะ เพราะทุกครั้งที่จะพูดต่อหน้าคนเยอะๆตัวเองจะมีอาการตื่นเต้น ประหม่า จึงรู้ว่าตัวเองยังมีส่วนเหลือของกิเลสตัวนี้อยู่และจะพากเพียรฝึกฝนล้างกิเลสตัวนี้ต่อไปค่ะ
      แล้วจึงมีพี่จิตอาสาท่านนึงพูดบอกว่า เดี๋ยวพี่เป็นคิวแรกให้เอง รับรู้ได้ว่าพี่ๆทุกท่านก็เมตตานะคะ แล้วกิเลสจะเอาอะไรอีกละ ก็รอถึงวันพุธว่าอาการตื่นเต้นจะลดลงระดับไหนค่ะ

      ทุกข์.มีความกลัว มีความประหม่า ตื่นเต้นที่จะพูดเป็นคนแรกหรือต่อหน้าผู้คนเยอะๆ

      สมุทัย.ที่เรากลัวเพราะเรายึดที่จะพูดออกมาดีๆ ไม่ตะกุกตะกัก คนฟังเข้าใจดีแล้วเราจะชอบใจสุขใจ และเมื่อกลัวประหม่าตื่นเต้นมากๆก็ทำให้พูดออกมาฟังยาก ตะกุตะกักไปหมด จึงทำให้เราทุกข์ใจไม่ชอบใจ

      นิโรธ.เราจะพูดคนแรกหรือพูดตอนไหน พูดออกมาอย่างไร ใครจะฟังเข้าใจได้แค่ไหน หรือจะฟังไม่เข้าใจ ก็ยินดีพอใจไร้กังวลไม่ชอบไม่ชัง

      มรรค.ตั้งศีลมาปฏิบัติ พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ ความวิปลาส ความไม่มีตัวตนของกิเลส ที่กำลังหลอกเรา ที่ทำให้เราทุกข์ใจอยู่
      พิจารณาโทษของความยึดมั่นถือมั่นที่อยากให้เป็นดั่งใจหมาย อยากได้เมื่อไม่ได้ก็ทุกข์ ทำให้เกิดอาการทางกาย คือ หัวใจเต้นแรง มือสั่น พูดตะกุกตะกัก อาการทางใจคือ กลัว กังวลใจหวั่นไหว ประหม่า เพราะยึดว่าต้องดีต้องเป๊ะ ติดในโลกธรรมอัตตา อยากพูดออกมาดีแล้วจะดี เพราะจิตเราไปปรุงแต่งว่าต้องพูดให้ดีให้ชัด ให้ทุกคนฟังเข้าใจง่าย ถ้าเราพูดผิดพูดไม่ชัดนี่คนจะไม่ชอบ ยิ่งอยู่ในองค์ประกอบของหมู่มิตรดีด้วยนะ มันคิดเหมือนจริงแต่ไม่จริง เพราะคิดแล้วทุกข์
      แล้วมาพิจารณาประโยชน์ของการวางใจ
      ล้างความยึดมั่นถือมั่นได้ ทำให้มีสติใช้ปัญญาส่องให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่าเราจะพูดออกมาแบบไหนอย่างไร ใครจะได้รับประโยชน์จากการออกมาพูดของเราแค่ไหนอย่างไร มันก็เป็นไปตามกุศลอกุศลของเราของผู้อืนและคนที่เกี่ยวข้อง ได้แค่ไหนแค่นั้น สำคัญคือมาล้างทุกข์ใจของเราให้ได้ก่อน และโชคดีที่มีผัสสะกับเหตุการณ์นี้ ได้ใช้บททบทวนธรรมข้อที่82. คือ จงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุกให้ได้
      และระลึกได้ว่าที่เราต้องมาใช้วิบากเรื่องนี้อยู่ เพราะเราเคยไปเพ่งโทษเรื่องการพูดของพี่น้องท่านอื่นมาเหมือนกัน จึงตั้งจิตสำนึกผิดหรือยอมรับผิด ขอรับโทษเต็มใจรับโทษ หรือขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดที่สิ่งไม่ดีอันนั้น ตั้งจิตทำความดีให้มากๆ คือลดกิเลสให้มากๆ เกื้อกูลผองชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ

      สรุปว่า.เมื่อพิจารณาอาการของกิเลสไปเรื่อยๆใจก็โล่งลงได้ตามลำดับค่ะ
      เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนเห็นได้ชัดเจนว่าลดลงค่ะ
      ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่คิดเลยค่ะว่าจะขึ้นพูดเพราะไม่มีใครบังคับ อยู่ที่ตัวเองที่จะประมาณว่ามีความยินดี
      ที่จะทำดีแค่ไหน แต่ตอนนี้ยินดี และจะฝึกฝนตัวเองต่อไปเรื่อยๆค่ะ สาธุค่ะ

  8. จิรานันท์ จำปานวน

    เรื่อง : เขียนหรือไม่เขียน
    เหตุการณ์ : พอได้เล่าสารภาพผิด สำนึกผิด ว่าสัปดาห์ที่แล้วเราหายไป ไปทำอะไรมา ใจก็เบาสบายโล่งขึ้น และตั้งใจจะไม่ดื้อจะเขียนการบ้านส่ง ในขณะที่เขียนมารก็มาหลอกว่า ไม่ต้องเขียนหรอกก็เล่าหมู่ไปแล้ว ไปทำอย่างอื่นเถอะ
    ทุกข์ : ใจอิดออดขี้เกียจไม่อยากเขียนการบ้านส่ง
    สมุทัย : ชอบถ้าไม่เขียนการบ้านส่ง ชังถ้าเขียนการบ้านส่ง
    นิโรธ : เขียนการบ้านด้วยความยินดี เต็มใจ สบายใจ
    มรรค : มาพิจารณาตรวจใจ
    มาร : สบายใจแล้ว ไม่ต้องเขียนการบ้านส่งหรอก ไปเตรียมงานสอนดีกว่า
    เรา : โอ้โห ดื้อด้านชะมัดเลย เมื่อคืนก็พูดอยู่หยกๆ ว่าจะตั้งใจไม่ดื้อ จะส่งการบ้าน มาบ่นอยู่ได้ จะอิดออดขี้เกียจอะไรกันนักกันหนา ทุกข์ยังไม่พอหรือไง
    มาร : ทุกข์มากพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ไปเขียนการบ้านดีกว่า
    สรุป : ใจยินดีเขียนการบ้านส่ง ตรงกับ บทธ ข้อ 4 ต้องกล้าในการทำสิ่งดี ละอาย และเกรงกลัวในการทำสิ่งชั่ว ชีวิตจึงจะพ้นทุกข์ได้ สาธุค่ะ

  9. จิรานันท์ จำปานวน

    เรื่อง : ทำผิดศีลแล้วไม่กล้าเข้าหมู่
    เหตุการณ์ : สัปดาห์ที่แล้วได้ตั้งศีลไว้เรื่อง จะยินดีตั้งใจสอนนักเรียนโดยไม่ใช้อารมณ์ แต่ตัวเองทำไม่ได้ ไปโมโห นักเรียนจริงๆ แล้วก็รู้สึกผิด ไม่กล้าเข้าหมู่
    ทุกข์ : กลัวไม่กล้าเข้าหมู่
    สมุทัย : ชอบถ้าไม่เข้าหมู่ ชังถ้าเข้าหมู่
    นิโรธ : กล้าหาญเข้าหมู่ไปสารภาพผิด ด้วยความยินดี เต็มใจ สบายใจ
    มรรค : มาพิจารณาทำไมถึงไม่กล้าเข้าหมู่
    มาร : ไม่ต้องเข้าหมู่หรอกทำผิดขนาดนี้ ก็เปิดเทอมใหม่ก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งแหละ
    เรา : ไม่ได้นะ ทำผิดก็ต้องยอมรับ ไปสารภาพกับหมู่ ไปบอกหมู่ว่าเราสู้แล้วเป็นไง ไปรับพลังจากหมู่ เห็นไหมเด็กๆ ในกลุ่มไลน์กล้าหาญมาก ทำผิดเด็กก็บอกว่าทำผิด
    มาร : เฮ้อ หมู่ก็คงเบื่อแล้ว ก็เป็นเรื่องซ้ำๆ ยังสู้ไม่ได้ ยังผ่านไม่ได้สักที
    เรา : ยิ่งสู้ไม่ได้ยิ่งต้องเอาเข้าหมู่ ให้หมู่ช่วย ไปรับพลังจากหมู่สิ
    มาร : เอาไว้ก่อน แต่ละวันเหนื่อยก็เหนื่อย ง่วงก็ง่วง ไปนอนเถอะ
    สุดท้ายก็ยังไม่เอาเรื่องเข้าหมู่เชื่อมาร จนมาถึงวันจันทร์พี่ท่านหนึ่งทักมา “ยังสู้กิเลสไหวอยู่หรือ” พอได้อ่านก็ขำเลย ทักบอกพี่กลับไป “ไม่ไหวค่ะ” จนเลิกเรียนก็เลยโทรหาพี่และเล่าให้พี่ฟัง พี่ก็ช่วยเอาภาระเรามากๆ จนเราได้เอาเรื่องเข้าหมู่ เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
    เรา : เห็นไหมมาร เข้าหมู่แล้วโล่งสบายใจอะไรอย่างนี้ แถมได้พลังไปสู้ต่อด้วย จำไว้นะคราวหลัง
    สรุป : ใจที่ไม่กล้า ก็กลับมากล้าหาญอีกครั้ง ขอบคุณหมู่ทุกท่านที่เอาภาระช่วยดึงขึ้นมาจากกิเลส สาธุค่ะ

  10. น.ส.นมลชนก แก้วเกษ

    เรื่อง”ใจยอมได้ ทุกอย่างก็ง่าย”
    มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำครัว มีความคิดว่าน่าจะลวกผักเพิ่มนะวันนี้เพราะเห็นว่าผักลวกน้อยกว่าทุกวัน กลัวพี่น้องจะไม่พอรับประทานกัน ก็เลยเสนอหมู่มิตรดีที่ทำงานร่วมกัน แต่ท่านเห็นต่างว่าไม่ควรลวกเพิ่ม พอท่านมีความคิดที่ไม่ตรงกับความคิดเราเกิดอาการไม่ปกติเกิดขึ้นในใจ มีพลังต้านเล็กๆเกิดขึ้นในใจ ถามกิเลสว่าอยากได้อะไร กิเลสอยากทำตามใจที่คิดหลงว่าความคิดดีคิดถูก ถามกิเลสว่าเธอ”ยอม”ที่จะทำตามท่านได้มั้ยล่ะ? ทำตามใจตัวเองทำเป็นแล้วไม่ใช่เรอะ มาฝึกทำอะไรไม่ตามใจตัวเองดีกว่ามั้ยยังไม่ชำนาญควรฝึกอันนี้ นรกใหญ่คือตามใจตัวเองไปเรื่อยๆจะเอามั้ยล่ะ? พอพิจารณาบอกสอนกิเลสทำใจในใจคิดตามพุทธะสอน ให้ยอม ยอมได้หมด ลดอัตตา ไม่ถือสา อาการที่ต้านในใจหายไปเลยค่ะ ยอมทำตามท่านไม่ทำตามใจตัวเอง พอใจยอม ผลที่ได้คือ บรรยากาศ การอยู่ร่วมกันก็สงบ ร่มเย็น ฝึกแพ้ ฝึกยอม ที่จะไม่ทำตามใจตัวเอง ดีกว่าทำตามใจตัวเอง
    ขอบคุณเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่มากระแทกกิเลสตัวอยากได้ดั่งใจออกมาให้ได้เห็นว่าอยากเป็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ ได้หมดทุกข์ ได้หมดวิบากร้าย ได้เพิ่มวิบากดี

    ทุกข์:อยากลวกผักเพิ่มกลัวว่าผักจะ
    ไม่พอแบ่งกันกิน

    สมุทัย:หลงยึดมั่นถือมั่นคิดตาม
    กิเลสว่าถ้าได้ลวกผักเพิ่ม
    ตามที่อยากสุขใจ ชอบใจ

    นิโรธ:จะลวกผักเพิ่มหรือไม่ลวกผัก
    ก็ได้ สุขสบายใจไร้กังวล ทุก
    อย่างที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้วตาม
    กุศล อกุศลของเราและคนที่
    เกี่ยวข้อง ซื่อสัตย์ต่อกรรม

    มรรค:ตั้งจิตพากเพียรฝึกทำอะไรไม่ตามใจตัวเองเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องตามธรรม เลือกทำดีที่ทำได้ ดีที่ควรทำไม่วิวาท อย่างรู้เพียร รู้พัก ล้างความยึดมั่นถือมั่นให้ถึงที่สุด

    ความลวง กิเลสหลอกให้กลัวว่าผักจะไม่พอกันรับประทาน ถ้าได้ลวกผักเพิ่มตามที่คิดไว้จะดี พอไม่ได้ทำตามที่คิดเกิดทุกข์ใจ ความจริงที่ซ่อนอยู่คือยึดไม่ยอมวางความคิดตัวเอง อยากทำตามใจตัวเอง พอเพื่อนเห็นต่างเกิดไม่พอใจ มีอัตตาไม่ยอมวางความคิดตัวเอง ยึดตามที่อยาก(ยึดดี ถือดี หลงดี) เกิดทุกข์เพราะไม่ได้ดั่งใจ ผลคือทุกข์ใจแสดงว่าคิดผิด
    คิดผิดคิดใหม่เปลี่ยนมาคิดตามพุทธะดีกว่า พุทธสอนให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งเราทำมาทั้งนั้น ไม่โทษใครหรือสิ่งใดๆในโลกใบนี้ ยินดีรับ เต็มใจรับ เต็มใจให้หมดไป เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัยก่อนที่ทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น
    ขอบคุณโจทย์ทุกโจทย์เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เป็นเครื่องมือฝึกจิตของเราให้คิดเป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม.
    กราบสาธุค่ะ

  11. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์

    ใจร้อนด่วนตัดสินใจเองเพราะความอยาก

    คืนวันเสาร์หลับไปพร้อมกับเศร้าดุจเดียวกับฝนที่กระหน่ำเทลงมาช่วงหัวค่ำแรงจนต้องขอออกจากซูมที่เข้าพบปะหมู่กลุ่มไม่ได้อยู่จนจบรายการเหมือนเช่นเคย เหนื่อยอ่อนไปทั้งกายและใจที่ทำร้ายจิตใจสมาชิกในกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษที่แจ้งจองการรายงานเสาร์ถัดไปเนื่องจากตัวเองอาจติดภารกิจการเรียนป.เอกในเดือนกรกฎาคมโดยไม่ถามความเห็นหมู่กลุ่มว่าพร้อมหรือไม่ ความอยากของตัวเองที่จะรายงานให้เสร็จหมดภาระโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วโดยไม่รอการตัดสินใจจากมติหมู่

    ทุกข์: ขุ่นใจ ไม่ได้นำเสนอรายงานวิชาภาษาอังกฤษตามเวลาสะดวกของตัวเอง

    สมุทัย: สุขใจถ้าได้นำเสนอรายงานวิชาภาษาอังกฤษตามแผนของตัวเอง ทุกข์ใจถ้าไม่ได้นำเสนอตามระยะเวลาที่คาดไว้

    นิโรธ: สุขใจไม่ว่าจะได้นำเสนอรายงานตามวันที่ตัวเองสะดวกหรือไม่ก็ตาม

    มรรค: ย้อนพิจารณาว่ายังมีความอยากใจร้อนทำงานให้เสร็จโดยไม่ปรึกษาหมู่กลุ่มหลังจากได้คำคมจากหมู่มิตรดีในกลุ่มที่สะท้อนให้เห็นกิเลสตัณหาความอยากในดีจนผิดศีลเบียดเบียนหมู่กลุ่มเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเช่นเคย ขอบคุณการทำงานกลุ่มทีมาช่วยขัดเกลากิเลสความได้ดังใจหมายถ้าได้ทำงานคนเดียวก็จะมองไม่ออก ไม่มีเหตุการณ์จริงมากระแทกให้อ่านความรู้สึกเวทนาทางใจที่หมองใจ ขุ่นใจ เศร้าใจ ไม่เปล่งวาจาหยาบเหมือนเช่นเคยแต่ออกอาการมาทางใจจนน้ำตาไหลเสียใจสำนึกผิดยอมรับในการกระทำของตนเองว่าขอนำเสนอรายงานไปโดยหมู่กลุ่มไม่พร้อมจึงแจ้งเลื่อนการนำเสนอไปอย่างไม่มีกำหนด ตัดความอยากของตนเองที่จะขอนำเสนอในเวลาที่ตนเองสะดวกและวางใจว่าจะได้นำเสนอเมื่อไรก็ได้เมื่อหมู่กลุ่มพร้อมไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เมื่อฝืดฝืนเกินทรมานเกินก็เลิกทำ เมื่อเหตุและปัจจัยพร้อมฟ้าเปิดก็คงให้ได้บำเพ็ญ แม้ในเรื่องดีเมื่อทำไม่ได้ก็พร้อมวางในความยึดดีด้วยความยินดี

    ขอบคุณหมู่มิตรดีสหายดีเป็นเครื่องมือตรวจทุกข์ว่าวางใจเป็นอุเบกขาได้จริงหรือไม่ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะโทษแต่คนอื่น พอตอนนี้เมื่อเกิดความหมองในใจก็มาตรวจตัวเองด้วยธรรมวิจัยว่าผิดศีลอีกแล้วเกิดผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่น พบว่ายังมีความอยากยึดมั่นถือในความที่เคยได้ดังใจหมาย การได้มาเขียนทำให้มองเห็นกิเลสที่ยังนอนเนื่องอยู่ในตัวเองชัดขึ้นคลายความเศร้าใจเข้าใจกฏไตรลักษณ์ความไม่เที่ยงให้พร้อมรับปรับเปลี่ยนตลอดเวลาตามที่หมู่กลุ่มให้สัมมาทิฏฐิ จนเกิดความสุขใจได้กับทุกสถานการณ์พร้อมลุยต่อไป

    สิ้นอยาก สิ้นทุกข์ สุขยั่งยืน

    เย็นน้อมพุทธ
    640619

  12. นฤมล ยังแช่ม

    ไม่มั่นใจ

    วิชาภาษาอังกฤษมีการนำเสนอการ power point และในกลุ่มได้ประชุมแบ่งงานกันเรียบร้อยว่าใครจะอ่านในช่วงไหน และนัดกันว่าจะนำเสนองานในวันเสาร์ เมื่อถึงเวลาคุรุก็ถามว่าวันนี้มีใครจะนำเสนองานบ้าง มีกลุ่มหนึ่งกำลังนำเสนองาน ระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็พิมพ์ชื่อกลุ่มต้นกล้าขอโอกาสนำเสนองาน คุรุได้ถามว่านำเสนอในหัวข้ออะไรคะ ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า sum and any ค่ะ เป็นสำเนียงของข้าพเจ้า คุรุออกเสียง sum and any ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษถูกต้อง จึงมีสมาชิกในกลุ่มกล่าวว่า ออกเสียงไม่ถูก ข้าพเจ้าตอบไปว่า ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงค่ะ ท่านนั้นกล่าวว่ายังไม่ได้ซ้อมเลยจะหักดิบเลยเหรอ ข้าพเจ้าก็ถามท่านว่าพร้อมไหมคะ ท่านก็ตอบว่าท่านพร้อมแต่เป็นห่วงแต่พวกเราเท่านนั้นที่ยังไม่ได้ซ้อม ซึ่งจริง ๆ แล้วเราได้แบ่งหัวข้อกันไปฝึกออกเสียงด้วยตนเอง พอได้ฟังคำพูดว่าหักดิบ ก็เลยรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที ตนเองก็ได้พิจารณาแล้วว่าน่าจะฝึดฝืน จึงพิมพ์ข้อความส่งให้คุรุว่า กลุ่มต้นกล้าขอโอกาสไปฝึกซ้อมก่อนและนำเสนองานในอาทิตย์ถัดไปค่ะ ระหว่างนั้นสมาชิกในกลุ่มก็เสนอความเห็นว่าเราได้แบ่งงานกันแล้ว ถ้าไปซ้อมใหม่ก็คงไม่ดีไปกว่านี้ แล้ววันที่จะไปฝึกก็อาจจะมีสมาชิกบางท่านที่เข้าร่วมกันฝึกได้ ในห้องนักศึกษาชวนทำการบ้าน แต่ละท่านก็เสนอมา และจะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ แล้วแต่หมู่ สรุปมติหมู่คือ ขอนำเสนอการบ้านเหมือนเดิม แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจว่ามื่อถูกทักว่าออกเสียงไม่ถูกและคำพูดว่าหักดิบ

    ทุกข์ คือ มีอาการไม่สบายใจที่จะนำเสนอการบ้านทั้ง ๆ ที่มีสมาชิกในกลุ่ม เสนอให้ไปฝึกซ้อมด้วยกันก่อน

    สมุทัย คือ ถ้าสมาชิกในกลุ่มเห็นเหมือนกันทั้งหมดก็จะสุขใจ ถ้าสมาชิกในกลุ่มเห็นต่างจะทุกข์ใจ

    นิโรธ คือ สมาชิกในกลุ่มจะเห็นด้วยก็สุขใจ สมาชิกในกลุ่มไม่เห็นด้วยก็สุขใจได้

    มรรค คือ ได้พิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าน่าจะฝึดฝืน จึงขอที่จะนำเสนอการบ้านในครั้งถัดไป แต่มติกลุ่มคือ ทุกคนได้ไปฝึกซ้อมในส่วนที่ตนเองได้รับมอบหมายแล้ว ก็นำเสนองานในวันนี้ดีกว่า เมื่อเป็นมติหมู่ก็ทำตามมติหมู่ จะเกิดอะไรก็เป็นสิ่งที่เราได้ฝึก ได้เรียนรู้ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีอะไรบังเอิญ และสำรวจศีลของตนเองในวันนั้นว่า พร่องศีลอะไร แล้วพบว่าวันนั้นกินอาหารเกินทำให้เป็นวิบากร้าย ดูดดึงเหตุการณ์ร้าย ๆ มาให้ได้ฝึกด้ล้างกิเลส ร้ายมาเพื่อจะหมดไป ในเมื่อเราประมาณการกระทำของตนเองแล้ว ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เราออกเสียงภาษาอังกฤษได้ไม่ชัด แต่เราอ่านกิเลสในใจของเราชัดก็พอแล้ว ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

  13. น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร)

    23/06/64
    ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
    ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
    จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
    เรื่อง: รำคาญคนขี้บ่น
    เมื่อวานในขณะที่ผู้เขียนกับแม่กลับมาจากทำธุระนอกบ้าน ก็พบว่ามีจานแตก 2 ใบวางอยู่ตรงที่ล้างจาน แม่ก็ถามกับผู้เขียนด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวว่า “ใครทำจานแตก? ” ผู้เขียนก็ตอบไปว่า “จะให้ทราบได้ไง ก็กลับมาเจอจานแตกพร้อมกัน ” เมื่อแม่ได้ฟังก็เงียบไป
    วันนี้แม่ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แม่พูดในทำนองบ่นว่า “ แม่พยายามหาคนทำจานแตก แต่ก็ไม่มีใครยอมรับสักคน อยู่ดี ๆ จานมันจะแตกเองได้ไง ทำแตกแล้วก็ไม่ยอมเอาไปทิ้ง ต้องให้แม่ซึ่งไม่ได้เป็นคนทำเอาไปทิ้งอีก” แล้วแม่ก็บ่นไปเรื่อย
    ทำให้ผู้เขียนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาว่า ทำไมแม่ไม่ไปพูดกับคนอื่น มาบ่นกับผู้เขียนทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ทำ มาพูดเหมือนกับว่าผู้เขียนเป็นคนทำ ทำให้รู้สึกรำคาญ ไม่อยากฟัง เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน ผู้เขียนเองก็ลืมไปแล้ว ก็ยังจะขุดขึ้นมาพูดอีก
    ทุกข์ : รำคาญที่แม่บ่น
    สมุทัย : ชอบใจถ้าแม่ไม่บ่น ชังที่แม่บ่นผิดคน แม่ควรจะไปบ่นกับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่กับเรา
    นิโรธ : แม่จะบ่นหรือไม่บ่นก็ได้ จะบ่นถูกคนหรือบ่นผิดคนก็ได้ ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์
    มรรค : ผู้เขียนสำนึกได้ว่า ตนเองก็เคยเป็นคนขี้บ่นมาก่อน เห็นอะไรไม่พอใจก็บ่นไปเรื่อย บ่นข้ามวันเช่นนี้เลย พอต้องฟังแม่บ่นเข้าหน่อยกลับไม่พอใจ ทีตัวเองทำไม่ดีมาตั้งมากมายกลับไม่สำนึก ทำให้เห็นความชั่วในตัวเอง ขอบคุณที่แม่มาให้เราได้เห็นและได้ใช้วิบาก
    จึงตั้งจิตขออโหสิกรรมที่คิดไม่ดีต่อแม่ ยินดีรับวิบากที่เคยพลาดทำมา
    ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 8 “ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา ”
    บทสรุป เมื่อได้พิจารณาถึงเรื่องกรรมที่เราได้เคยพลาดทำมา จึงรับวิบากด้วยความยินดี โชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดอีกแล้ว พิจารณาแบบนี้แล้วโล่งขึ้น ความรำคาญที่อยู่ในใจจึงสลายไปจนหมด

  14. จิรานันท์ จำปานวน

    เรื่อง : รำคาญเด็ก

    เหตุการณ์ : เวลาพักเที่ยงเด็กๆ ก็จะไปกินข้าว เราก็ไปตักข้าวให้เด็ก ดูแลเด็กกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็เดินกลับมาที่ห้องเรียนพอเราถึงห้องเรียนปุ๊บ เด็กๆ ก็มาปั๊บ มาเล่นในห้องเรียน บ้างก็เล่นของเล่น บ้างก็ทำงานอ่านหนังสือ บ้างก็วิ่งเล่น บ้างก็มาชวนเราคุย ไม่ยอมพากันไปเล่นไหนเลย เคยบอกเด็กๆ ให้พากันลงไปเล่นข้างล่าง ไปเล่นที่สนาม เด็กๆ ก็เฉย ไม่ยอมไป อยู่กับเราตลอดเช้า เที่ยง บ่าย จนเลิกเรียน

    ทุกข์ : รำคาญที่เด็กๆ อยู่กับเราตลอด

    สมุทัย : ชอบถ้าเด็กๆ ไม่อยู่กับเราตลอด ชังถ้าเด็กๆ อยู่กับเราตลอด

    นิโรธ : อยู่กับเด็กๆ ด้วยความยินดี เต็มใจ สบายใจ

    มรรค : มาพิจารณาตรวจใจ
    มาร : โอ้โห มาเร็วจังเลย พากันกินข้าวเสร็จแล้วรึ ทำไมเร็วอย่างนี้ ยังไม่ได้พักเลย มาอีกแล้ว
    เรา : ใครกันที่มาอีกแล้ว เธอนั่นแหละมาอีกแล้ว ไปรำคาญเด็กอีกแล้ว
    มาร : ก็จะไม่ให้รำคาญได้ไง เสียงดังก็เสียงดัง วุ่นวายก็วุ่นวายมาฟ้องนั่นฟ้องนี่ มาเล่นใกล้ๆ เรา มาชวนคุยถามนั่นถามนี่ จะไม่ให้พักอยู่เงียบๆ เลยหรือไง
    เรา : โง่จังเลยมาร ดีแล้วที่เด็กๆ มาเล่นกับเรามาอยู่กับเรา
    มาร : ดียังไงไม่เห็นจะดีเลย บอกไปเล่นที่อื่นก็ไม่ไป
    เรา : ก็ดีน่ะสิ นั่นคือ ลูกหลานพุทธะ ดีแล้วที่เด็กๆ อยากอยู่กับเรา มาเล่นกับเรา มาคุยกับเรา ถือโอกาสบำเพ็ญพาเด็กๆ ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ คุ้มกว่ากันเยอะเลย ดีกว่ากันเยอะเลย ยังมีหน้าไปไล่เด็กๆ อีกนะ คนที่น่าไล่ให้ไปไกลแสนไกล คือ มาร ต่างหากล่ะ ถ้ามารไปไกลๆ จะไม่มีปัญหาอะไรเลย อยู่กับเด็กๆ ได้สบายๆ

    สรุป : ใจที่รำคาญ เบาลงด้วยปัญญาพุทธะ และพลังหมู่มิตรดี จะเพียรสู้กิเลสตัวนี้ต่อไป ตรงกับ บทธ ข้อ 148 ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีข้อดี มีข้อดีได้หมด มีประโยชน์ได้หมด ต้องหาข้อดี หาประโยชน์ให้ได้ในทุกเรื่อง สาธุค่ะ

  15. จิรานันท์ จำปานวน

    เรื่อง : ใครกันที่พูดมาก

    เหตุการณ์ : ในชั้นเรียนมีเด็กหนึ่งคนชอบพูดมาก พูดเยอะ พูดตั้งแต่เช้า จนเลิกเรียน พูดไปเรื่อย เราสอนอยู่ก็พูด ให้ทำงานก็พูด แต่เวลาให้อ่านหนังสือ หรือตอบคำถาม พูดเสียงเบามากแทบจะไม่ได้ยิน งานที่ให้ทำก็ไม่เสร็จ

    ทุกข์ : หงุดหงิดใจที่เด็กคนนี้พูดมาก

    สมุทัย : ชอบถ้าเด็กคนนี้พูดน้อย ชังถ้าเด็กคนนี้พูดมาก

    นิโรธ : เด็กคนนี้จะพูดน้อย หรือพูดมาก ก็ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : มาพิจารณาตรวจใจ
    มาร : อีกแล้ว คนเดิมประจำเลย มาถึงห้องปุ๊บ ก็พูดปั๊บเลย พูดน้ำไหล ไฟดับ จริงเลยเด็กคนนี้
    เรา : ยังจะโทษเด็กอีก ทุกข์ไหมนี่ เห็นเด็กคนนี้พูดปุ๊บ เธอก็พาฉันทุกข์ปั๊บเหมือนกันนั่นแหละ
    มาร : อะไร ไม่ได้ทุกข์ซะหน่อย หวังดีนะเนี่ย ถ้าเด็กคนนี้พูดน้อยลง พูดให้ถูกเวลา งานก็จะเสร็จ จะฟังที่เราอธิบายเข้าใจ และก็ไม่ไปชวนเพื่อนคนที่นั่งข้างๆ พูดอีก จะเป็นประโยชน์เยอะกว่า
    เรา : นี่แหละทุกข์ หงุดหงิดทุกครั้งที่อยากให้เด็กคนนี้พูดน้อยลง ใครกันแน่ที่พูดมากที่สุด พูดซะดังเชียว พูดก่อกวน ดังกึกก้องในใจ ไม่ใช่ไปสั่งให้เด็กเลิกพูดมาก คนที่ควรเลิกพูดมากได้แล้ว คือ มาร ต่างหากล่ะ พุทธะ คือ ให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่ไปบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนแปลง แก้ไข ล้างกิเลสที่ตนดีที่สุด
    มาร : อย่างนั้นรึ
    เรา : ใช่เลย อีกอย่างนะเด็กคนดีเขาก็เป็นเด็กดีนะ ใช้ง่ายเวลาที่เราให้ช่วยไปหยิบของ ช่วยแยกขยะ ช่วยเอาขยะไปทิ้ง ช่วยทำความสะอาดห้องเรียน แล้วเด็กคนนี้ยังวาดรูปได้ดีด้วย

    สรุป : ใจที่หงุดหงิดก็เบาลง คลายลง จนสามารถมองเห็นข้อดีของเด็กคนนี้ ตรงกับ บทธ ข้อ 42 ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ได้พลังสุดๆ ได้สุขสุดๆ ยินดีในความชอบชัง เสียพลังสุดๆ ได้ทุกข์สุดๆ สาธุค่ะ

  16. ทีมแอดมิน รวงข้าว

    เรื่อง ปิดหน้ากล้องด้วย
    ขณะที่ร่วมประชุมออนไลน์ผ่านซูมกับพี่น้องหมู่มิตรดี และเราก็ได้ชวนน้องสาว เข้ามาฟังพี่น้องร่วมกันทำการบ้านอริยสัจ 4 น้องสาวเข้ามาแล้วเปิดหน้ากล้องทิ้งไว้ แต่ไม่ได้นั่งอยู่เดินไปเดินมา แล้วเด็กเองก็เดินไปเดินมา เห็นแล้วเกิดอาการกังวล ว่าจะรบกวนพี่น้องที่อยู่ในห้อง ก็พยายามติดต่อน้องเพื่อบอกให้ปิดกล้อง แต่น้องก็ไม่อ่านไลน์

    ทุกข์ เกิดความกังวล เกรงว่าเด็กเดินไปมาทำให้เกิดการรบกวนพี่น้องท่านอื่น ๆ

    สมุทัย อยากให้น้องปิดหน้ากล้องถ้าไม่สะดวกนั่งฟัง ยึดว่าน้องปิดหน้ากล้องจะสุขใจชอบใจ กลัวกังวลจะได้ไม่รบกวนผู้อื่น

    นิโรธ น้องจะปิดหน้ากล้องหรือไม่ปิดหน้ากล้อง ก็ไม่ทุกข์ใจกังวลใจ

    มรรค พอจับอาการกังวลใจที่เกิดขึ้นได้ ก็พิจารณาเห็นโทษภัยของความอยากที่ไม่ได้ดั่งใจ จนทำให้เราเเกิดความกังวลใจ เป็นทุกข์ เป็นวิบากใหม่ ที่เกิดจากความอยากใหม่ของเรา เกิดความไม่สบายใจเป็นการเบียดเบียนตนเอง ที่ไม่ยินดีรับวิบากดีร้ายของเราและคนที่เกี่ยวข้อง ผิดศีล พอคิดได้อย่างนี้ก็วางใจ ปล่อยให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของเราและคนที่เกี่ยวข้อง ยอมรับความจริงตามความเป็นจริง พอเราวางใจได้น้องสาวก็ได้ปิดหน้ากล้อง ขอบคุณเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่า เรายังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ คิดถึงบททบทวนธรรมที่ว่า ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ใจได้นอกจากใจของเราเองเท่านั้น ใจที่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่ต้องการให้สิ่งดีเกิดขึ้นดั่งที่ใจเราหมาย ถ้ายึดจะไม่ได้ อยากได้อย่ายึด สาธุค่ะ

  17. ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล)

    เรื่อง..เจ้าหนี้
    ลูกโทรมาขอเงิน เพื่อที่จะเอาไปลงทุนเริ่มธุระกิจใหม่ ผัสสะแรกที่มากระทบ ทำไม!!??
    กิเลสไม่ได้ดังใจ ตั้งคำถาม ทำไม ต้องมาลงทุนในช่วงสถานการณ์แบบนี้ด้วย?
    ทำไม ไม่รอก่อน
    ทำไม ไม่ประหยัด
    ทำไม ไม่มาปฎิบัติธรรมกับแม่
    ทำไม ทำไม ๆๆๆๆๆ??
    ทุกข์..ใจที่ลูกมาขอเงินเพื่อไปลงทุน
    สมุทัย..ชอบสภาพที่ลูกไม่ต้องขอเงิน ชังสภาพที่ลูกชอบมาขอเงิน
    นิโรธ..ลูกจะขอเงินแล้วจะเอาไปทำธุระกิจใหม่ ธุระกิจของลูกที่จะทำ จะดีสำเร็จหรือไม่สำเร็จในธุรกิจนั้น ใจเราก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่ชอบไม่ชัง รีบทำ รีบล้ม รีบเลิก พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน ในกระบวนการคิดของตัวเอง
    มรรค..คิดถึงเรื่องกรรม ที่เราเคยเป็นฝ่ายชอบและอยากได้เงิน ขอเงินจากพ่อบ้านบ่อยครั้งและบังคับขู่เข็ญพ่อบ้านทุกครั้งที่มีเงินเเดือนออก และขอทุกครั้งที่อยากจะได้เงินมา ตอนวัยรุ่นขอเงินแม่โกหกแม่เพื่อจะได้เงินมา บางครั้งขอและยืมเงินกับเพื่อนซื้งเพื่อนก็ไม่เต็มใจจะให้ ซึ่งตอนนี้เข้าใจในความทุกข์ และความรู้สึกที่เป็นผู้ให้เงินโดยไม่ยินยอม(ทุกข์) ยอมรับผิด สมนึกผิด ขอโทษ ขอขมากรรม ขออโหสิกรรม ต่อกรรมการกระทำที่ไม่ดีที่ผ่านมา ได้ฟังธรรมะจาก อ.จ หมอเขียว ในเรื่องความอยาก..เป็นทุกข์!! ใช้บททบทวนธรรมขัอ ๘ สิ่งที่เราได้รับ คือ สิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา..ได้ประโยชน์จากการให้เงินลูก โดยขอแลกเปลี่ยน ให้ลูกทำความดีมาแลก โดยทุกวันที่ลูกโทรหา เมื่อลูกโทรมา อ่านบททบทวนธรรมให้แม่ฟัง วันละ2หน้า และ เขียนมาส่งแม่ วันละ2หน้า ทุกๆวัน เท่าที่ลูกจะทำได้ ใจไร้ทุกข์…สาธุ

  18. น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร)

    23/06/64
    ชื่อ : นางศุทธินี พรมเล็ก (ป้าเนียร )
    ชื่อทางธรรม : ขวัญน้ำฟ้า
    จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2

    เรื่อง : หิวจนได้เห็นกิเลส

    เหตุการณ์:วันนี้มีวิทยากรมาอบรมเรื่องการเพาะเห็ด ทำให้สมาชิกยุ่งตลอดช่วงเช้าของวัน ต้องไปเตรียมตัวหลายอย่าง ไม่มีเวลาจัดเตรียมอาหารกลางวัน พอถึงเวลาจะกิน อาหารก็ยังทำไม่เสร็จ รู้สึกหิวจนหงุดหงิดขึ้นมาทันที่

    ทุกข์ : หงุดหงิดที่แม่ครัวทำอาหารเสร็จช้า

    สมุทัย : ชอบใจที่จะได้กินอาหารตรงเวลา ชังที่ไม่ได้กินตรงเวลา

    นิโรธ : จะได้กินอาหารตรงเวลาหรือไม่ก็ได้ จะกินเร็วกินช้าก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : พิจารณาเห็นใจที่กำลังหงุดหงิด ไม่ชอบใจแม่ครัวที่ทำกับข้าวไม่เสร็จ มารมันบอกว่าสายป่านนี้แล้วยังไม่เสร็จอีกเหรอ จึงเข้าไปพิจารณาดังนี้
    เรา : ก็เห็นอยู่ว่าเขากำลังทำกันไม่วางมือเลย
    มาร: จะทำอะไรกันนักหนา จะทำสักกี่อย่าง
    เรา : ก็เขาจะทำอาหารดีๆ ให้เรากินไม่ดีอีกเหรอ
    มาร: ก็เราหิว ๆ ๆ
    เรา : กินไม่ตรงเวลาบ้างแล้วจะเป็นไรไป จะตายมั๊ยถ้าไม่ได้กินตอนนี้
    ถ้าทนไม่ไหวก็หาอะไรกินรองท้องไปก่อนซิ
    ก็แม่ครัวเขายังทำไม่เสร็จ เขาก็ทำเต็มที่อยู่แล้วนี่ไงจะหงุดหงิดให้โง่ทำไม
    เข้าไปพิจารณาหาประโยชน์ของการกินอาหารไม่ตรงเวลาบ้างในบางครั้ง ก็เป็นการฝึกร่างกายให้แข็งแรง อดทนต่อความยากลำบาก ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี ร่างกายจะเอาส่วนเกินที่สะสมไว้ออกมาใช้ มีแต่ได้ประโยชน์ ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 135 “โลกนี้มีสิ่งดีให้เราได้อาศัย มีอุปสรรคให้เราได้ฝึกฝน มีอุปสรรคให้เราได้ใช้วิบาก มีอุปสรรคให้เราได้ล้างทุกข์ใจ”
    สรุป ความหิวทำให้เราขาดสติ ทำร้ายตัวเอง ทำให้ทุกข์ และไปโทษคนอื่นที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำอาหารให้เรากิน มันชั่วเกินไปแล้วเรา พิจารณาแบบนี้แล้วใจก็โปร่งโล่งขึ้นทันที

  19. สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ)

    เรื่อง
    อยู่กับหมู่แบบตั้งภพ
    เนื้อเรื่อง
    เวลาที่หมู่คุยกัน ผมจะไม่ตั้งใจฟังจะเปิดธรรมะหัวข้ออื่นๆฟังร่วมไปด้วย หลังๆมานี้ผมตั้งอกตั้งใจฟังหมู่ ใครจะพูดอะไรเราตั้งใจวิเคราะห์ตามคำพูดของหมู่มิตรดีทำให้เห็นกิเลสมารที่เคยหลอกมาหลายปี
    ทุกข์
    ไม่อยากฟัง หมู่ เบื่อ รำคาญไม่ตรงกับจริตที่เราอยากฟัง
    สมุทัย
    ชอบที่จะได้ฟังธรรมะ ที่ตั้งภพไว้ ชัง ที่ได้ฟังธรรมะที่เราไม่ได้ตั้งภพไว้
    นิโรธ
    ยินดีเต็มใจ พอใจที่ได้ฟังธรรมะจากหมู่
    มรรค
    มีความอยากมากๆ ยึดแรงมาก ๆจึงตั้งภพไว้ตลอด เวลาทำ ให้ถูกมาร หลอกไปติดถ้ำติดภพ
    มาร
    อยากฟังธรรมะที่บรรลุธรรมเร็วๆธรรมะที่เราอยากฟังมากๆก็หาไม่เจอเจอแต่ธรรมะที่เราไม่อยากฟังก็เลยไปหลงว่าเปิดดูเรื่องไร้สาระบ้างแก้เครียด เพลิดเพลินตามกิเลส
    เรา
    เราหรือใครจะได้อะไรต้องฝึกอดฝึกทนรอให้เหตุปัจจัยวิ่งชนก็เราหลงอยากจนสิ่งดีไม่เข้าเพราะรู้ตัวว่าเราชั่วมาเยอะเลยกลัววิบากหนักจะเข้ามารู้แล้วเอามาทำทุกข์โง่ซ้ำอีก วิบากที่เราได้รับหนักก็ดีจะได้หมดเร็วๆหนีไม่พ้นหรอกให้รู้จักยินดีเต็มใจพอใจ ใจอิ่ม ใจเต็ม เบิกบาน เช่นเราจะได้ฟังธรรมะจากใครก็ไม่ต้องไปตั้งภพไว้ ทำให้ว้าวุ่นใจ
    มาร
    ถ้าเราไม่ตั้งภพเราก็ไม่ต้องฟังธรรม เราก็อยู่เฉยๆ
    เรา การอยู่เฉยๆก็เป็นความอยากก็เป็นภพ เราต้องพากเพียรขยันหาข้อมูล จากหมู่หลายๆ จริตนิสัย( ธรรมะที่เข้ากับเราได้และเราเจริญ) ถึงแม้คนนั้นจะมีธรรมะน้อยธรรมะมากๆเราก็ต้องฝึกฟังฟังเพื่อเลือก
    สรุปเราต้องฝึกฟังคนอื่นให้มากเพราะเราไม่มีเวลาไปทำได้ทุกอย่างในเวลาเดียวกันผลของการทำใจแบบนี้ทำให้เบาสบายเพราะว่าฟังใครก็ได้ประโยชน์หมด ใครพูดก็เอาประโยชน์ได้หมด ทำไมเราโง่อยู่ตั้งนาน ผลของการติดถ้ำไม่ออกมาพบหมู่มิตรดี ทำให้เสียเวลาลดกิเลสไปตั้งหลายตัววิบากเราก็เยอะอยู่แล้วยังจะประมาทอีก

  20. วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว))

    วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ (เอ ใจพอแล้ว)
    (วิบาก) ดีหรือร้ายอยู่ที่เราคิดอะไร

    เหตุการณ์ คือ หลายวันก่อนเราสั่งซื้อสินค้าที่จีนไป ร้านค้าในจีนแจ้งว่าของส่งถึงโกดังที่จีนตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน เป็นของ 2 กล่องใหญ่ พอเราเข้าไปเช็คสถานะสินค้า กลับไม่มีรายละเอียดขึ้นในแอฟติดตามสินค้าว่า โกดังจีนรับของ ผ่านไป 10 วัน เราได้สอบถามไปที่กลุ่มไลน์โกดังชิปปิ้ง ก็ไม่มีใครมาตอบคำถาม จนผ่านไปอีก 3 วัน เราจึงตัดสินใจโทรไปที่โกดังชิปปิ้งด้วยตัวเองเพิ่มสอบถาม เจ้าหน้าที่ตอบว่าให้เราส่งรายละเอียดสินค้าและหมายเลขจัดส่งสินค้ากลับไปที่ไลน์กลุ่มนั้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเราส่งข้อมูลกลับไปใหม่ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบกลับมาเหมือนเดิม

    ทุกข์ * กังวัลใจเล็กน้อยที่ไม่รู้สถานะสินค้าว่าตอนนี้เป็นอย่างไร สูญหาย หรือเกิดอะไรขึ้น

    สมุทัย * ชอบถ้าหาสินค้า 2 กล่องนั้นเจอ ชังถ้าหาสินค้า 2 กล่องนั้นไม่เจอ

    นิโรธ *สินค้าจะสูญหาย เสียหาย หรือ ปลอดภัย (หาสินค้าเจอ) ก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์

    มรรค * พิจารณาความไม่เที่ยงของทุกข์ที่เกิดในใจ จากเหตุการณ์นี้เราทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากรอคำตอบจากทางประเทศจีน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อมาให้เราเห็นความต่างทางอารมณ์เปรียบเทียบกับในตัวเราในอดีต ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงไม่รอเป็น 10 วันก่อนจะติดตามของที่หายไป ทันทีที่ร้านจีนแจ้งว่าส่งของแล้ว และเราไปเช็คไม่เจอของในแอฟ เราคงจะรีบติดต่อกับทางจีนให้ตามหาสินค้า เพราะความกลัว ความร้อนใจครอบงำ กิเลสตัวนี้จะปรุงแต่งให้เรากังวลไม่สิ้นสุด ไม่เชื่อร้านค้าว่าส่งของจริงไหม คิดไปเองว่าโกดังแอบเอาของเราไปหรือทำหาย สารพัดที่กิเลสจะหลอกเราให้ยิ่งทุกข์มากขึ้น

    แต่หลังจากเราเจอธรรมะ มองความจริงตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างมีพลาดมีพร่องได้ เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่วิบากร้าย แต่เป็นวิบากดีที่มาให้เราเรียนรู้ถึงความต่างของเราในอดีตกับปัจจุบัน เรียนรู้ถึงข้อดีของความใจเย็น ใจไร้กังวัล เรียนรู้ที่เอาประโยชน์ในเหตุการณ์มาเป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเองให้อธิศีลยิ่งขึ้นไป เห็นประโยชน์ของใจไร้ทุกข์ สิบกว่าวันที่ผ่านมา ใจเราไม่ได้ไปผูกกับเรื่องของหายนี้เลย เราไม่ทุกข์ ไม่ไปเร่งผลหรือเร่งรัดคนอื่น ให้เป็นวิบากรรมเพิ่ม ทุกเหตุการณ์จะดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเราคิดเอง

    สรุป * หลังจากที่เราวางใจลง คลายความกังวล เราก็เข้าเช็คสถานะของสินค้ารอบอื่นๆ ที่จัดส่งมาหลังจากสินค้า 2 กล่องนั้นตามปกติ ก็เห็นว่าสินค้า 2 กล่องที่หายไป มีการรับเข้าระบบโกดังพร้อมส่งมาไทยแล้ว ตอนนี้ก็รอรับสินค้า 2 กล่องนั้นด้วยใจไร้ทุกข์

  21. นางจิราภรณ์ ทองคู่

    เรื่อง ไม่อยากเตรียมการสอน เพราะเคยทำมามันเหนื่อย

    เนื้อเรื่องได้รับมอบหมายจากหมู่กลุ่มให้สอนฟิสิกส์นักเรียนวิชชาราม ชั้นม. 4 เข้าใจผิดคิดว่าต้องสอนแบบทางโลกที่เคยทำมา 38 ปีคือต้องเตรียมการสอน เตรียมเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้าซึ่งมันเหนื่อยและเสียเวลา แต่พออาจารย์ให้ปัญญาว่าการสอนทางโลกกับทางธรรม(โลกุตระ)มันต่างกัน การสอนของเรา(โลกุตระ) จะให้คะแนนดังนี้ จากคะแนน 100 คะแนนเน้นศีลเด่น 40 คะแนน เป็นงาน 35 คะแนน ชาญวิชา 25 คะแนนคือเวลานักเรียนและคุรุ ลงฐานงานร่วมกับหมู่มิตรดี นักเรียนไปเพิ่มหรือไปลดกิเลสเวลาทำงาน ถ้ามีผัสสะแก้ปัญหาอย่างไร ใจเป็นอย่างไร สำหรับคุรุก็นำสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้ในฐานงาน มาบูรณาการกับสาระวิชาที่ตนรับผิดชอบอีก 25 คะแนน พอฟังเข้าใจ มันโปร่งโล่ง สบายใจ ไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า เอาตามสถานการณ์จริงเลย หลังจากเด็กลงฐานงาน คุรุที่รับผิดชอบในแต่ละวัน ในแต่ละกลุ่มสาระก็วางแผนร่วมกันก่อนสอน เพื่อให้เด็กชาญวิชาต่อไป

    ทุกข์ ขุ่นใจเพราะรู้สึกว่าการเตรียมการสอนมันยุ่งยาก เป็นภาระ

    สมุทัย ถ้าสอนแบบไม่ต้องเตรียมล่วงหน้าจะสุขใจ ถ้าได้เตรียมล่วงหน้าจะทุกข์ใจ

    นิโรธ จะได้เตรียมการสอนล่วงหน้าหรือไม่ต้องเตรียมล่วงหน้าก็สุขใจ

    มรรค เป็นวิบากกรรมของเราที่เคยทำมา จึงทำให้เราหลงทาง เข้าใจผิด คิดเอาเองว่าที่เราเคยทำมาดีแล้วควรทำต่อไป นี่เพราะเคยไปมอมเมาคนอื่นมาหลายภพหลายชาติ จึงต้องมารับวิบาก แต่พอวิบากดีออกฤทธิ์ไปดลใจให้อาจารย์มาพูดเรื่องการสอนแบบบูรณาการ ทำให้เข้าใจ รู้สึกว่า ปัญหาต่างๆหมดไปและไม่มีอะไรเป็นภาระเลย จิตก็โปร่ง โล่ง เบา สบาย

  22. สำรวม แก้วแกมจันทร์

    25/06/64
    ชื่อ นางสำรวม แก้วแกมจันทร์
    ชื่อเล่น “ป้ารวม”
    ชื่อทางธรรม “ร้อยแสงศีล”
    จิตอาสา สวนป่านาบุญ 2

    เรื่อง “อยากให้เพื่อนเข้าใจถูก”

    เหตุการณ์
    เพื่อนโทรศัพท์มาถามว่า ทำไมไม่พูดบ้าง เงียบไปนะ ตามปกติเวลาประชุมผ่านซูม ตัวเองแสดงความคิดเห็นบ่อย 2-3 เดือนนี้ ปิดกล้อง ปิดไมค์ พูดน้อย/ไม่พูด แต่ก็ไม่ได้บอกสาเหตุให้เพื่อนทราบ มีความกังวลอยู่ ที่ต้องปิดกล้อง ปิดไมค์ ไม่พูด เพราะ “ตาป่วยมาก” ตาทำงานหนักมาตลอด ร่างกายดันพิษร้อนออกมาทางตาทั้งสองข้าง กลายเป็นต้อเนื้อขยายแผ่กว้าง หนาขึ้น ตาแดงบ่อย ต้องดูแล ถนอมสายตาให้ใช้งานได้เป็นปกติ ช่วงนี้ต้องสวมแว่นตาตลอด ถ้าไม่สวมจะมองไม่เห็น เห็นไม่ชัด จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ โน้ตบุ๊ค ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องปิดกล้อง ปิดไมค์ ฟังอย่างเดียว การเพ่งจ้องมองหน้าจอ ทำให้น้อยลง เป็นลำดับๆ แต่ยังไม่ได้แจ้งให้เพื่อนในหมู่กลุ่มทราบ ยังทุกข์อยู่ เพราะ “อยากให้เพื่อนเข้าใจถูก” ไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด

    ทุกข์ : อยากให้เพื่อนเข้าใจถูก ไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด กังวลที่ไม่ได้บอกความจริงให้เพื่อนทราบ

    สมุทัย : ยึดว่า อยากให้เพื่อนเข้าใจถูก ถ้าเพื่อนเข้าใจถูก ชอบ พอใจ สุขใจ ถ้าเพื่อนเข้าใจผิด ชัง ไม่พอใจ ทุกข์ใจ

    นิโรธ : เพื่อนจะเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด ก็วางใจได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางได้ หมดอยาก หมดทุกข์ ด้วยความยินดี พอใจ ไม่อยาก ไม่ชอบ-ไม่ชัง ไม่กังวล เบิกบาน ผาสุก ไร้ทุกข์

    มรรค : พิจารณา ถึงความจริงตามความเป็นจริง ด้วยความที่มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ของอาจารย์หมอเขียว ด้วยจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ จึงไม่ยอมปล่อยให้เป็นไปตามใจอยากของกิเลส ตามความต้องการของมารร้าย แม้ว่าจะได้บอกความจริงให้เพื่อนรู้ก็ได้ ไม่ได้บอกก็ได้ ใครเข้าใจถูก-เข้าใจผิด ไม่สำคัญ สำคัญที่สุด คือ ใจที่ไม่ทุกข์ ใจที่รู้ตื่น รู้เบิกบาน ซึ่งตอนแรกๆ ทำใจในใจได้ เบิกบานได้ แต่ทำได้เพียงบางครั้งบางคราว ใจยังหม่นหมองอยู่ ยังไม่สบายใจอยู่ จึงได้ใคร่ครวญซ้ำๆ อีก คุยกับตัวเอง ถามตัวเองด้วยใช้ปัญญาว่า ทำไมลึกๆ ยังทุกข์อยู่ ยังมีความอยากให้เพื่อนเข้าใจถูก ยังกังวลว่า ควรต้องบอกเหตุผล ความเป็นจริงให้เพื่อนทราบ เพื่อไม่ให้เพื่อนเข้าใจผิด ใคร่ครวญ ซ้ำทวนอยู่นานเป็นเดือนๆ ขังทุกข์อยู่ได้ตั้งนาน แม้วางได้แล้วระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สิ้นเกลี้ยง ยังมีความกังวลลึกๆ อยู่นิดๆ คือ อยากให้เพื่อนเข้าใจถูก “กิเลสแม้น้อย ก็เหม็นมาก” ใจหมองๆ อยู่ ยังไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบาน เพราะกิเลสมารร้ายตัวยึดมั่นถือมั่นอยู่ในความคิดที่ผิดๆ จะเบิกบานได้อย่างไร ถึงวันนี้ได้ยินเสียงธรรมที่อาจารย์หมอสอน ลอยมากระทบหูตรงๆ ฟังได้ยินชัดเจนว่า “หมดอยาก หมดทุกข์” เปิดฟังซ้ำๆ อีก 3-4 รอบ พุทธะคุยกับกิเลสอยู่นาน ปัญญาญาณของพุทธะจึงเกิดขึ้น สามารถรู้แจ้งได้ด้วยตัวเองว่า สาเหตุแห่งทุกข์ ก็เพราะในใจลึกๆ คือ ในใจชั่วกิเลสมารร้าย+อัตตาตัวยึดมั่นถือมั่น ที่ต้องการให้เพื่อนเข้าใจถูก ยังยึดอยู่ ยังวางไม่ได้จริง นั้นคือ การคิด พูด เขียน ที่ผ่านมาเป็นเดือนๆ ได้แค่ภาษาเท่านั้น สภาวะยังไม่เกิดขึ้นได้จริง แต่วันนี้ ได้สภาวะนั้นมาเต็มๆ เพราะ “วิบากหมด หมดวิบาก” จึงเชื่อและชัดในวิบากกรรม ตรงกับบทบททวนธรรม

    บทที่ 1 : เรื่องการเข้าใจผิดของเรากับผู้อื่น มันเป็นวิบากกรรมเขา วิบากกรรมเรา แก้ไขด้วยการทำดีไม่มีถือสาไปเรื่อยๆ วันใดวันหนึ่ง ในชาตินี้ หรือชาติหน้า หรือชาติอื่นๆ สืบไป ความเข้าใจผิดนั้น ก็จะหมดไปเอง”

    บทที่ 75 : ถ้าเราดับทุกข์ใจได้ ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่ดับไม่ได้

    สรุปว่า เพื่อนจะเข้าใจถูก หรือ เข้าใจผิด วางใจได้ ไม่ยึดไม่ถือแล้ว ปล่อยวางได้ “หมดอยาก หมดทุกข์” ด้วยความยินดี พอใจ ไม่อยาก ไม่ชอบ-ไม่ชัง ไม่กังวล เบิกบาน ผาสุก แต่ก็ยังไม่สิ้นเกลี้ยงเสียที่เดียว เห็นความทุกข์ลดลงได้มากเป็นลำดับๆ ได้แล้ว สามารถทำใจไม่ให้ทุกข์ได้แล้ว ประมาณ 95 เปอร์เซนต์

  23. สุมา ไชยช่วย

    เรื่อง บอกช้าจัง

    เหตุการณ์ ทุกวันจะไปเดินออกกำลัง สูดอากาศรับแสงแดดที่สวนหลวงร.๙ทุกวันแต่วันนี้เราก็เตรียมตัวเหมือนเช่นเคย แต่พ่อบ้านมา
    บอกว่าวันนี้ไม่ไปน่ะ เพราะวันก่อนไปนวดมาเลยเกิดอับเสบตามร่างกาย ไปไม่ไหว

    ทุกข์ ขุ่นใจทำไมบอกช้าจังเราอุตส่าห์เตรียมตัวพร้อมแล้ว

    สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้านบอกเร็วกว่านี้ ชังบอกช้าจัง

    นิโรธ พ่อบ้านบอกช้าหรือเร็วก็ได้ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค เมื่อพ่อบ้านบอกไม่ไปเกิดอาการขุ่นใจจึงมาพิจารณา ความไม่ได้ดั่งใจถ้ายังมีอยู่แม้นิดเดียวก็ทำให้ใจเราทุกข์ได้ การที่จะได้ไปหรือไม่ได้ไปเป็นเหตุการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว ไปก็ได้ประโยชน์ ไม่ไปเราก็ทำประโยชน์ได้แม้อยู่บ้าน แล้วจะขุ่นใจไปทำไม เขามาให้เราได้ล้างความไม่ได้ดั่งใจ ตราบใดยังล้างไม่เกลี้ยงเขาจะมาทดสอบอีก
    บททบทวนธรรม21
    การได้พบกับเหตุการณ์
    ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเรา
    เป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า
    ทีทำให้ได้ล้างกิเลส
    คือ ความหลงชิงชังรังเกียจ
    หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา
    และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
    พิจารณา ตามความเป็นจริงอาการขุ่นใจก็หายไป

  24. สุมา ไชยช่วย

    เรื่อง ความคิดต่าง

    เหตุการณ์ ลูกชายคนเล็กคิดจะเปิดร้านที่เขาถนัด มาบอกเราๆจึงตอบไปว่าอย่าพึ่งคิดลงทุนทำอะไรเลยตอนนี้ เพราะแต่ละคนก็ลำบากเงินทองหายาก ให้ดูปีหน้าดีกว่า เขาก็รับฟัง พอดีลูกชายคนโตมาที่บ้านจึงได้ เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเพื่อจะได้เตือนน้องอีกแรง แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เขากลับว่าเรา น้องจะเปิดร้านก็ให้เปิดเลยไปห้ามทำไม จึงเกิดอาการขุ่นใจ

    ทุกข์ ขุ่นใจทำไมความคิดลูกชายคนโตไม่เหมือนเรา

    สมุทัย ชอบถ้าลูกชายคนโตเห็นคล้อยตามเรา ชังความคิดเขาตรงข้ามกับเรา

    นิโรธ ลูกชายคนโตเห็นคล้อยตามเราหรือขัดแย้งก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค เกิดอาการขุ่นใจขึ้นมาเมื่อความคิดลูกชายคนโตขัดแย้งกับเรา จึงมาพิจารณาความไม่เที่ยง ควา มคิดเห็นต่าง เพราะแต่ละคนต่างมีเหตุผลหรือความคิดที่แตกต่าง เราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเขาต้องคิดแบบเรา จะเอาดีจากเขา เป็นการผิดศีลจึงทุกข์ เลยวางใจว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ได้ จะพูดอย่างไรก็ได้ ให้อิสระแก่ทุกคน ไม่ไปเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เราก็เคยทำมาทั้งนั้น จึงตั้งจิตสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
    บททบทวนธรรม12
    วิบากกรรมมีจริง
    ทำอะไร ได้ผลอะไร
    ก็เกิดจากการกระทำ
    ของเราเองทั้งหมด
    เจอเรื่องดี เพราะทำดีมา
    ทั้งในปัจจุบันและอดีค
    สังเคราะห์กันอย่างละ ๑ ส่วน
    พิจารณา เชื่อชัดในวิบากกรรมอาการขุ่นใจก็หายไป

  25. สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ)

    เรื่อง
    พูดกับกิเลสคนอื่นเก่ง แต่พูดกับกิเลสตัวเองไม่เก่ง
    เนื้อเรื่อง
    วันๆผมคิดหาแต่จับผิดคนอื่นหาข้อไม่ดีคนอื่นทำอยู่หลายปีโง่อยู่หลายปีแต่ตอนนี้เปลี่ยนมาจับผิดกิเลสตัวเอง แล้วก็ฝึกคุยกับกิเลสตัวเองทำได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะฝึกมาน้อยในชาตินี้
    ทุกข์
    น้อยใจตัวเองที่ทำทุกทำชั่วมาตั้งหลายปี
    สมุทัย
    ชอบที่จะคุยกับกิเลส
    ตัวเอง ได้คล่องขึ้น
    ชังตัวเองที่ผ่านมาชอบคุยแต่กับกิเลสคนอื่น
    นิโรธ ยินดีเต็มใจสำนึกผิด พร้อมให้โอกาสตัวเองเปลี่ยนความคิดใหม่
    มรรค
    มาฟัง ความคิดของมาร มันหลอกยังไงให้จับผิดคนอื่นจับกิเลสคนอื่น
    มาร
    เขาทำไมไม่ทำแบบที่เราอยากสิ่งที่เราชอบเขาทำตรงกันข้ามกับใจที่เราอยากอยู่เป็นประจำ
    เรา
    ก็ทำมาแล้วไม่ใช่หรือไปจับผิดคนอื่นไปมองกิเลสคนอื่นเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ตอนนี้ได้หมู่มิตรดีแนะแนวทางชี้ทางให้ก็เลยกลับตัวกลับใจหันมาพูดกับกิเลสตัวเองมากขึ้นส่วนคนอื่นก็เป็นเงามาให้เราได้ฝึกได้เห็นสิ่งที่เราเคยทำชั่วมาต้องขอบคุณท่านที่มาแสดงให้เราเห็น
    สรุป
    ยังมีน้อยใจตัวเองบ้างเป็นครั้งคราว แต่โชคดีทิศทางกิเลสกำลังลดลงไปเรื่อยกำลังฝึกอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหาผู้มีศีลก็เลยทำให้ ความโง่ ลดลงบ้างก็จะต้องฝึกภาคเพียรอาจจะทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องขอฝึกร่วมกับหมู่มิตรดีครับ

  26. นปภา รัตนวงศา

    เรื่อง หนังสือล้างกิเลส

    เหตุการณ์ เนื่องจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ท่านได้เขียนหนังสือเล่มใหม่ “เปิดยุคบุญนิยมเล่ม2” ซึ่งทางสำนักพิมพ์กลั่นแก่นได้ทำการให้ด้วยราคาบุญนิยมระดับ4 คือแจกฟรี ก็โทรศัพท์ไปขอรับบริการ แต่รอสัปดาห์กว่าแล้วยังไม่ได้รับหนังสือ รู้สึกหงุดหงิด ใจขุ่นเล็กๆ

    ทุกข์ หงุดหงิด ใจขุ่นเล็กๆที่ไม่ได้รับหนังสือ หรือได้รับแต่หนังสือมาช้า

    สมุทัย ชอบถ้าได้รับหนังสือและหนังสือมาเร็วดั่งใจเราหมาย ชังถ้าไม่ได้รับหนังสือ หนังสือมาช้าหรือหนังสือไม่มา

    นิโรธ จะได้รับหรือไม่ได้รับหนังสือ หนังสือจะมาเร็ว มาช้า หรือไม่มาก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์

    มรรค ตั้งศีลมาพิจารณาไตรลักษณ์ ความวิปลาสความยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องได้รับหนังสือเร็วอย่างใจเราหมาย เป็นความลวง ซึ่งความจริง เป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกใบนี้เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้ มีแต่ใจของเราเท่านั้นที่เราควบคุมได้ เมื่อใจเริ่มหงุดหงิด ใจขุ่นๆ มีความอยาก ก็ผิดทางพุทธะแล้ว ก็มาพิจารณาใหม่ว่า เราจะได้รับหนังสือหรือไม่ได้รับหนังสือก็เป็นไปตามกุศลอกุศล ตามวิบากดีร้ายของเราของโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องสังเคราะห์กันอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้าได้หนังสือก็ดีเป็นกุศล ได้อ่าน ได้ศึกษาเพิ่มเติมง่ายขึ้น ถ้าไม่ได้ก็ดีเพราะมีอกุศลมากั้นจะได้ล้างวิบากความใจร้อน ความอยากได้ดั่งใจให้ลดน้อยลงโชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดไปอีกแล้ว แต่ที่ดีที่สุดคือวางใจจะไม่ได้รับหนังสือเล่มนี้ก็ได้ เพราะมีหนังสือเล่มอื่นที่พ่อครูท่านได้เขียนอีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน หรือยังอ่านไม่จบ ก็มาตั้งใจอ่านหนังสือที่มีอยู่ก็ดีที่สุดแล้ว จะหงุดหงิด จะขุ่นใจไปทำไมให้ทุกข์ ไม่อยากก็ไม่ทุกข์แล้ว
    พิจารณาเรื่องโทษของความใจร้อน ความอยากได้ดั่งใจที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ไม่ใช่เผาแต่ที่ใจเราเท่านั้น ยังมีพลังร้ายทำร้ายคนรอบตัวเรา และยังเป็นพลังสันนิทานให้คนอื่นเป็นตาม และวิบากนั้นเราก็ต้องรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความใจร้อนยังทำให้ทุกข์กายเกิดอาการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อที่ต้องมาถอนพิษออกจากร่างกายอีก พิจารณาประโยชน์ของความไม่ใจร้อน ไม่ผิดศีล ใจเบาสบาย สุขสงบ ร่างกายเบาสบาย โล่ง ปลอดโปร่ง ไม่หนักเนื้อหนักตัว
    พิจารณาเรื่องกรรมที่ได้รับหนังสือช้า เพราะยังมีความอยากอยู่ จึงมีอกุศลมากั้นไว้ อีกอย่างเรื่องการแบ่งปัน ซึ่งแต่ก่อนไม่ค่อยแบ่งปัน จนมาเริ่มแบ่งปันแต่ยังมีใจที่ไม่บริสุทธิ์ ยังหวง ยังคิดเล็กคิดน้อยอยู่ ก็ต้องพากเพียรปฏิบัติไป แบ่งปันแม้เล็กแม้น้อยก็ฝึกบำเพ็ญด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ดั่งที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า “ให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้”
    ใช้บททบทวนธรรม
    ข้อ 25 เมื่อเกิดทุกข์ใจ ทุกข์กายเรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต เขามาเพื่อให้เราได้ชดใช้ ให้เราไม่ประมาท ให้เราเพิ่มอริยศีล ให้เราได้สำนึก ให้เราได้หมดวิบาก
    ข้อ 45 อยากได้สิ่งใด จงคิดสิ่งนั้นกับผู้อื่น
    สรุป หลังพิจารณาแล้ว ยังเห็นความใจร้อน อยากได้ดั่งใจอยู่ถึงแม้จะลดลงมาเป็นลำดับๆแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะต้องโทรกลับไปที่สำนักพิมพ์เพื่อสอบถามหรือต้องขอหนังสืออีกรอบเป็นแน่ ใจจะร้อนรุ่ม วุ่นวายกว่านี้มาก แต่เมื่อมาพบทางพุทธะก็เข้าใจชัดในวิบากกรรม จะได้รับหนังสือหรือไม่ก็ตามกุศลอกุศลอย่างแน่นอน ชัดเจน ใจขุ่นแค่เล็กน้อยเมื่อพิจารณาความขุ่นก็หายไป และขอขอบคุณเหตุปัจจัยที่หนังสือมาช้าที่ได้ล้างกิเลสตัวนี้อีกครั้ง เมื่อวางใจ ไม่อยากได้ ก็ทำให้ได้รับหนังสือและจะแจกจ่ายต่อไปค่ะ..สาธุ

  27. นางพรรณทิวา เกตุกลม

    เรื่อง ปิดกล่องติดมาร
    เหตุการณ์ : จัดของส่งให้เพื่อนตอนปิดกล่องตัวเองช่วยจับ พ่อบ้านติดสก๊อตเทปเขาลงมือติดด้านแรกยังปกติด้านสองมารเริ่มมา ติดไม่เรียบเลย ด้านสามยิ่งขัดตาแถมรู้สึกขัดใจ แต่ยังไม่พูด พอด้านสี่มารออกเต็มตัว ส่งเสียงเชิงประชดว่า ติดเรียบดีจัง

    ทุกข์ : รู้สึกขัดใจ ที่เห็นพ่อบ้านติดสก๊อตเทปไม่เรียบ

    สมุทัย : หลงยึด ในความ เป็นระเบียบเรียบร้อย ชอบถ้าพ่อบ้านติดสก๊อตเทปเรียบ ชังที่ติดไม่เรียบ

    นิโรธ : พ่อบ้านจะติดเรียบ หรือไม่ ก็ได้ ใจเป็นสุข ไม่ชอบ ไม่ชัง

    มรรค : พอรู้ตัวว่าหลงเชื่อมาร ลวงให้ยึด รีบหันมาปรับใจ วางความยึดด้วยบททบทวนธรรมข้อที่ 78 ว่า”ความสมบูรณ์ หรือ ความสำเร็จของกิจกรรมการงาน คือ ความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ ส่วนความสำเร็จของใจที่พ้นทุกข์ พ้นความยึดมั่นถื อมั่น คือ ความจริง” หลังจากพิจารณาได้รู้ความจริงว่าตัวเองหลงเชื่อมารที่ลวงให้ยึดกับความสมบูรณ์ เรียบร้อยพอพ่อบ้านติดไม่เรียบจึงขัดใจยังสร้างวิบากเพิ่มที่พูดประชดไปอีก เพราะความเรียบร้อย ความสมบูรณ์เป็นความลวง เราไปยึดจึงเป็นทุกข์ แล้วจะไปยึดทำไม ต้องอยู่กับความจริงคือไม่ทุกข์ ไม่ขัดใจ แม้พ่อบ้านจะติดเรียบหรือไม่เรียบก็ได้นี่ แค่ติดแล้วสนิทของในกล่อง ไม่ร่วง หล่นเสียหายก็ดีแล้ว คิดได้ดังนี้ความรู้สึกขัดใจได้หายไป ใจก็เป็นสุข
    สรุป เมื่อรู้ว่า หลงเชื่อที่มารลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ รีบล้างใจด้วยบททบทวนธรรมข้อ 78 แล้วความรู้สึกขัดใจก็หายไป ใจกลับมาเป็นสุขดังเดิม

  28. น.ส อุบล พลรบ (เกื้อบัวแก้ว)

    เรื่อง ชังน้ำผักปั่น

    เหตุการณ์ เนื่องจากที่อาจารย์มีดำริให้กินน้ำผักปั่นตัวเองรู้สึกชังขยะแขยงรู้สึกพะอืดพะอมไม่อยากกิน

    ทุกข์ รู้สึกทุกข์ใจที่เราจะต้องกินน้ำผักปั่นทั้งๆที่เราไม่อยากกิน

    สมุทัย ถ้าต้องกินจะทุกข์ใจ ถ้าไม่ต้องกินจะสุขใจ

    นิโรธ คือวางใจว่าต้องกินก็สุขใจ ไม่กินก็สุขใจได้

    มรรค พิจารณาให้เห็นโทษของความคิดแบบมีกิเลส ว่าถ้าต้องกินน้ำผักปั่นเราจะกลืนลำบากพะอืดพะอม พิจารณาให้เห็นประโยชน์ของความคิดแบบพุทธะ โดยพิจารณาให้เห็นประโยชน์ของน้ำผักปั่น คือเราไม่ต้องเคี้ยวเยอะไม่ต้องปรุงเยอะได้ล้างภพของการติดรูปติดรสในอาหาร

    สรุป เมื่อพิจารณาตามนั้น แล้วล้างความชอบจังของน้ำผักปั่นได้เราก็ได้ไปทดลองกิน กินด้วยความยินดีไม่ชอบไม่ชังพอกินแล้วก็รู้สึกดีไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนแรกที่คิว่าน่าจะกินไม่ได้

  29. สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ)

    เรื่อง
    หาข้อมูลเพื่อลดกิเลส
    เนื้อเรื่อง
    ตอนนี้ได้ฟังธรรมะจากหมู่มิตรดีและส่งการบ้านแต่ก็ต้องหาข้อมูลจากท่านผู้รู้อื่นๆด้วยเช่นตอนนี้ก็มาอ่านหนังสือดั่งเผาใจให้เป็นผุยผง โดย สิเนรุ ว่าด้วยเรื่องความโกรธของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จะต่างกันหรือเสริมหนุนกันในบางส่วนก็ทำให้ได้องค์ความรู้ในการเข้าใจทุกข์อริยสัจมากขึ้นโดยการหาข้อมูลจากหมู่มิตรดีและท่านผู้รู้อื่นๆด้วยเพื่อเสริมกำลังปัญญาเพื่อจัดการเผากิเลสให้ลดลงอ่านตอนแรกก็ไม่เข้าใจแต่พอเขียนการบ้านมากขึ้นทำให้อ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจทุกข์อริยสัจมากขึ้น
    ทุกข์
    เบื่อหน่าย ไม่อยากหาข้อมูลในการเขียนการบ้านเพิ่มขึ้นเพราะปวดหัว
    สมุทัย
    ชอบที่จะไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่ม
    ชังที่ต้องวิ่งหาข้อมูลเพิ่มจากท่านผู้รู้อื่นๆ
    นิโรธ
    ยินดีพอใจหาข้อมูลเพิ่มเติมปัญญาอย่างไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค
    มาดูตอนที่หาข้อมูลเพิ่ม มาร ขี้เกียจและคิดไม่ดีอย่างไร
    มาร
    ทำไมต้องหาข้อมูลเพิ่มจากผู้รู้อื่นๆแค่นี้ก็คิดจนหัวจะระเบิดอยู่แล้วไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนหรือผ่อนคลายหรือออกกำลังกายทำไมชีวิตต้องลำบากขนาดนี้
    เรา
    ตอนนี้มีกำลังมีสายตาที่ดีก็ต้องฝึกลำบากเข้าไว้ปัญหาและอุปสรรคมีไว้ให้ต่อสู้เพื่อฟันฝ่าให้ถึงจุดหมายเพื่อฝึกเพื่อเห็นความอดทนและไม่ขี้เกียจของเราสู้วันละเล็กละน้อยดีกว่าไม่ได้สู้
    มาร
    เออคิดแบบนี้ก็ดีตู้วันละเล็กละน้อยพอไหวอยู่แต่สู้มากๆไม่ไหวปวดหัวอยากจะไปนอน
    เรา
    เกิดมาเป็นคนหนึ่งชาติก็ต้องลองฝึกให้รู้จักธรรมะให้รู้จักข้อดีของการได้ฝึกเพราะว่าชาติหน้าไม่รู้จะได้เกิดมาเป็นอะไรจะมีโอกาสได้ฝึกเหมือนชาตินี้หรือเปล่าเราต้องสะสมความดีฝากธนาคารความดีไว้เยอะๆ
    สรุป
    การที่เราได้หาข้อมูลจากผู้รู้ท่านอื่นๆก็ทำให้เกิดมีวันนี้ได้คืออ่านหนังสือดังเผาใจให้เป็นผุยผงเข้าใจ 80 เปอร์เซ็นต์ครับความทุกข์ใจก็ลดลงอาการปวดหัวก็ลดลงครับ

  30. พรพิทย์ สามสี

    เรื่อง : เก็บหาง
    นานมากแล้วที่ พ่อบ้าน ชอบทำอะไรไม่เรียบร้อย ทิ้งเรี่ยราด สะเปะสะปะ ให้เราตามเก็บ อย่างเช่น บนโต๊ะกินข้าว กินเสร็จแทนที่ว่าจะเก็บกวาดให้ เรียบร้อยก็ไม่ทำ ที่บ้านเราวางถังขยะไว้หลายที่ หลายแห่ง ที่บ้านวางถังไว้ 4 จุด เพื่อให้ความสะดวกกับพ่อบ้าน ก็ไม่ทิ้งอีก เราตามเก็บอีก สูปใบจากยาเส้นหมดม้วนตรงไหนก็โยนตรงนั้น ยังยังไม่หมด วันไหนพ่อบ้านห่อข้าว ห่อของกิน ไปกินที่สวน
    กินเสร็จก็โยน ไว้ตรงไหน เราก็ต้องตามเก็บอยู่เป็นกิจวัตร (เราจะคดข้าวใส่ปิ่น หรือใส่กล่องก็ไม่เอา)
    ทุกข์ : เบื่อคนนิสัยแบบนี้
    สมุทัย : ชอบที่จะให้พ่อบ้าน ทิ้งขยะ ทำสิ่งใดเสร็จก็ให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย ชังนานแล้วก็เป็นแบบเดิมๆ
    นิโรธ : เขาจะทิ้งขยะตรงไหนก็ได้ ทำสิ่งใดเสร็จ เขาจะเก็บไม่เก็บก็ได้ ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ยินดี เต็มใจ เก็บหาง อย่างเบิกบาน
    มรรค : นานมากแล้ว ที่พ่อบ้าน ชอบทิ้งขยะ
    ไม่เป็นที่เป็นทาง ย้อนไปสมัยก่อน ตอนที่เรายังไม่เข้าใจละเอียด เรื่องของกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เราก็เคยทิ้งขยะลงข้างทาง นั่งรถโดยสารเอ๋ย นั่งรถไฟเอ๋ย ก็กินของเสร็จ เราก็โยนข้างทางมาเหมือนกัน ทุกวันนี้เราก็เห็นบ่อยเวลาที่เรานั่งรถไฟ พี่น้องพอกินของเสร็จ ส่วนมากเขาก็จะโยนลงข้างทางรถไฟ เขายังไม่เข้าใจเรื่องวิบากกรรมว่ามีจริง เมื่อได้พิจารณาชัดเรื่องของวิบากกรรม เราก็ทำหน้าที่ เก็บหางไป ไม่โทษพ่อบ้าน ยินดีเต็มใจทำไป ไม่รอไม่หวังว่าเมื่อไหร่ พ่อบ้านจะเปลี่ยน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น บททบทวนธรรม ๘๒ จงฝึกอยู่กับ
    ความเป็นจริงของชีวิต ที่พร่องอยู่เป็นนิตย์
    อย่างผาสุขให้ได้

  31. น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี

    เรื่อง หวั่นไหว
    เหตุการณ์ : เนื่องจากตอนตื่นเช้าเตรียมตัวจะลุกขึ้น แต่เกิดอาการมือขวาชาและปวดมาก เคลื่อนไหวไม่ได้เลย ทั้งๆที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อนเลยัd
    ทุกข์ : หวั่นไหว
    สมุทัย : ยึดว่ามือขวาคือมือที่แข็งแรง ชอบถ้ามือขวาแข็งแรง ไม่ชา จะได้ทำงานได้ตามปกติ ชังที่มือขวาชาและปวด
    นิโรธ : มือขวาจะปวด ชาและอ่อนแรง หรือไม่ก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง
    มรรค : อะไรมันก็ไม่เที่ยง ยอมรับวิบากร้ายที่เราทำมาเพราะใช้มือขวาทำงานมามาก อีกอย่างมาให้เราได้ชดใช้ เต็มใจรับ รับแล้วก็หมดไป กิเลสบอกว่ามือขวาสำคัญนะ แต่ตอนนี้จับอะไรไม่ได้เลย จับไม่ได้เป็นไงล่ะ จึงสวนกิเลสไปว่าจับไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนี่ ดีเหมือนกันจะได้พักแขนบ้าง เจ็บก็ให้มันเจ็บ ปวดก็ให้มันปวดจะหวั่นไหวไปทำไม ทั้งๆที่ใจเราก็ไม่ได้ทุกข์ตามเธอ ระหว่างที่นอนอยู่ได้กดจุดลมปราณ ทำโยคะกายบริหาร พร้อมลุกขึ้นเพื่อช่วยเหลือตัวเอง ทำให้อาการดังกล่าวหายไปซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 154 ว่า”หมอที่ดีที่สุดในโลก คือ ตัวเราเอง” พิจารณาแล้วความหวั่นไหวก็จางลงแล้วหายไป สุดท้ายได้ความสบายใจ สบายกาย กลับคืนมา

  32. มงคลวัฒน์ รัตนชล

    21 มิถุนายน 2564
    ชื่อ มงคลวัฒน์ รัตนชล จิตอาสาสวนป่านาบุญ 2 อ.ชะอวด
    ชื่อทางธรรม เพชรไพรพุทธ yak.sa5422@gmail.com

    เรื่อง ฉุนลูก

    เหตุการณ์ : ให้ลูกสาวเข้าอบรมทางสื่อออนไลน์ในงานที่ทำประจำเพื่อเรียนรู้การทำงาน ถึงช่วงที่เขาขอให้แสดงตัวตนเพื่อยืนยัน ลูกสาวก็ไม่ยอมเปิดกล้อง บอกให้เปิดกล้องเขาก็อิดออดไม่ทำตาม เกิดความรู้สึกฉุนจิ๊ดขึ้นมาในใจและหลุดปาก ทำไมไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมเปิดกล้อง

    ทุกข์ ฉุน โกรธ เพราะลูกไม่ทำตามหลักการที่ถูกต้อง

    สมุทัย ยึดว่าลูกจะทำตามที่บอกจะยินดี ไม่ทำตามจะทุกข์

    นิโรธ ลูกทำตามก็ได้ ไม่ทำตามก็ได้ ไม่ทุกข์

    มรรค เดินมรรคด้วยบททบทวนธรรมข้อที่ 21 “การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเรา เป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา” ได้เห็นกิเลสตัวโกรธที่เราคิดว่ามีน้อยลงแล้ว แต่กับเหตุการณ์นี้ มันโผล่มาให้เราได้ล้าง เรื่องดื้อของลูก เรื่องยึดของเรา ว่ายังมีอีกเยอะ แม้จะไม่แรงเท่าเดิมก็ตาม รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์ สำนึกผิดว่า เราทำมา ความฉุนโกรธก็หายไป แล้วมาจบที่ข้อ 123 “เจอผัสสะไม่ดี ได้โชค 3 ชั้น คือ ได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ และได้ใช้วิบาก ได้ใช้วิบากกรรมที่ไม่ดี ร้ายนั้นก็จะหมดไป ดีก็จะออกฤทธิ์ได้มากขึ้น ” ใจก็เบาสบาย หายทุกข์ สุขเบิกบาน

  33. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)

    เรื่อง คันหัวใจ คนอื่นไม่เข้าใจ

    เนื้อเรื่อง ได้ร่วมจัดรายการ ชวนกันทำการบ้านอริยสัจ 4 ของภาคกลาง มีช่วงหนึ่ง ได้นำเสนอประชาสัมพันธ์ ชวนพี่น้องทำการบ้านอริยสัจ 4 เพราะเห็นภาคกลาง ทำการบ้านส่งกันน้อย ได้ยกตัวอย่างของพี่ท่านหนึ่งที่เล่าเรื่อง ลูก แล้วหายทุกข์จริง แล้วมีพี่ท่าน ท่านติงเรื่องการพูดคำว่า คนโลก ๆ แล้วเราอยู่โลกไหน โลกเดียวกันไหม มีอาการคันหัวใจ ที่พี่ท่านนั้นมีคำถาม คำตินั้น

    ทุกข์ : มีอาการคันหัวใจ เคือง ๆ เหมือนจะไม่ทุกข์ แต่มีจิตคิดอยู่ บางช่วงเวลาระลึกถึงเรื่องนั้น

    สมุทัย : อยากให้พี่น้องเข้าใจ ไม่มีคำถามใด ๆ ไม่โต้แย้ง จะสุขใจ มีอาการคันหัวใจ โทษตัวเอง โดนอีกแล้ว พี่น้องแย้งอีกแล้ว มีอุปาทาน ยึดมั่นถือมันว่าต้องไม่ผิดพลาด อยากที่จะไม่พลาดในทุก ๆ เรื่อง

    นิโรธ : พี่น้องจะมีคำถามหรือ โต้แย้งใด ๆ หรือไม่ก็ ไม่ทุกข์ใจ เราจะพลาดบ้าง พร่องบ้างก็ผาสุกให้ได้

    มรรค : ตอนแรกก็นึกว่า เอาแล้ว โดนแล้วเรา วิบากมาแล้ว เราเคยเป็น ไปยึดเอาคำนั้น มีข้อแม้ ความคิดเห็นที่ต่างไม่เหมือนใครแบบนี้ เราก็เคยเป็นในอดีต ปัจจุบันคือ ยอมรับสภาพพร่องของตนเอง จะปรับปรุงใช้คำอื่นที่พี่น้องไม่ถือสา พอคิดมาถึงตอนนี้ แต่ถ้าช่วงไหนมีวิบากเข้า จะใช้คำไหน ก็โดนอีกนั้นล่ะ เลยพิจารณาต่อไปว่า อาการที่เราเรียกว่า โดน เพราะเรารู้สึกว่าเราพร่อง เราผิดพลาด ลึก ๆ จริง ๆ คือ เราอยากที่จะไม่พลาดต่อหน้าคนอื่น พิจารณาว่าพร่อง จะพลาดบ้าง ก็ต้องยอมรับและผาสุกไม่ทุกข์ใจให้ได้ ยอมที่จะพลาดจะพร่องต่อหน้าคนอื่นให้ได้

  34. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)

    เรื่อง คันหัวใจ คนอื่นไม่เข้าใจ (แก้ไข)

    เนื้อเรื่อง ได้ร่วมจัดรายการ ชวนกันทำการบ้านอริยสัจ 4 ของภาคกลาง มีช่วงหนึ่ง ได้นำเสนอประชาสัมพันธ์ ชวนพี่น้องทำการบ้านอริยสัจ 4 เพราะเห็นภาคกลาง ทำการบ้านส่งกันน้อย ได้ยกตัวอย่างของพี่ท่านหนึ่งที่เล่าเรื่อง ลูก แล้วหายทุกข์จริง แล้วมีพี่ท่าน ท่านติงเรื่องการพูดคำว่า คนโลก ๆ แล้วเราอยู่โลกไหน โลกเดียวกันไหม มีอาการคันหัวใจ ที่พี่ท่านนั้นมีคำถาม คำตินั้น

    ทุกข์ : มีอาการคันหัวใจ เคือง ๆ เหมือนจะไม่ทุกข์ แต่มีจิตคิดอยู่ บางช่วงเวลาระลึกถึงเรื่องนั้น

    สมุทัย : อยากให้พี่น้องเข้าใจ ไม่มีคำถามใด ๆ ไม่โต้แย้ง จะสุขใจ มีอาการคันหัวใจ โทษตัวเอง โดนอีกแล้ว พี่น้องแย้งอีกแล้ว มีอุปาทาน ยึดมั่นถือมันว่าต้องไม่ผิดพลาด อยากที่จะไม่พลาดในทุก ๆ เรื่อง

    นิโรธ : พี่น้องจะมีคำถามหรือ โต้แย้งใด ๆ หรือไม่ก็ ไม่ทุกข์ใจ เราจะพลาดบ้าง พร่องบ้างก็ผาสุกให้ได้

    มรรค : ตอนแรกก็นึกว่า เอาแล้ว โดนแล้วเรา วิบากมาแล้ว เราเคยเป็น ไปยึดเอาคำนั้น มีข้อแม้ ความคิดเห็นที่ต่างไม่เหมือนใครแบบนี้ เราก็เคยเป็นในอดีต ปัจจุบันคือ ยอมรับสภาพพร่องของตนเอง จะปรับปรุงใช้คำอื่นที่พี่น้องไม่ถือสา พอคิดมาถึงตอนนี้ แต่ถ้าช่วงไหนมีวิบากเข้า จะใช้คำไหน ก็โดนอีกนั้นล่ะ เลยพิจารณาต่อไปว่า อาการที่เราเรียกว่า โดน เพราะเรารู้สึกว่าเราพร่อง เราผิดพลาด ลึก ๆ จริง ๆ คือ เราอยากที่จะไม่พลาดต่อหน้าคนอื่น พิจารณาว่าพร่อง จะพลาดบ้าง ก็ต้องยอมรับและผาสุกไม่ทุกข์ใจให้ได้ ยอมที่จะพลาดจะพร่องต่อหน้าคนอื่นให้ได้และพิจารณาความอยากจะพร่องนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีก ทุกคนต้องมีพลาดบ้างเป็นธรรมดา ยอมรับให้ได้ว่า มันต้องมีตราบโลกแตก พิจารณาความอยากในเรื่องนี้ มันโง่จริง ๆ เสียพลังด้วย อยากไม่พร่องนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ยอมรับว่ามันต้องมี ความพลาด ความพร่องเป็นเรื่องธรรมดา

  35. นายรวม เกตุกลม

    เรื่อง ประชดทำไม

    เหตุการณ์ : ได้ช่วยกันห่อกล่อง เพื่อส่งของไปให้กับเพื่อนต่างจังหวัด ห่อเสร็จแม่บ้านพูดขึ้นมาว่า ห่อเรียบร้อยจัง ในใจเราก็รู้ได้ทันทีว่าแม่บ้านพูดประชด จึงเกิดอาการไม่ชอบใจ

    ทุกข์: ไม่ชอบใจคำพูดของแม่บ้าน
    สมุทัย : ยึดมั่นถือมั่นว่า ชอบใจถ้าแม่บ้านไม่พูดประชด ชังที่แม่บ้านพูดประชด
    นิโรธ: แม่บ้านจะพูดประชดหรือไม่ประชด เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค : ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แม่บ้านจะพูดถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ได้ เราก็ทำใจปกติไม่ชอบไม่ชัง ซึ่งถ้าแม่บ้านพูดถูกใจ ก็จะได้ดั่งใจกิเลสเพิ่ม แต่ถ้าแม่บ้านพูดไม่ถูกใจ เราก็จะไม่ได้ดั่งใจ ความไม่ได้ดั่งใจ ก็จะทำให้เรารู้ว่า เรามีกิเลสตัวชังเรื่องนี้อยู่ ต้องขอขอบคุณแม่บ้าน ที่ช่วยคุ้ยกิเลสตัวนี้ขึ้นมา ทำให้เราได้ฝึกล้างกิเลสตัวนี้ต่อไป เราจะไม่ยึดทั้งชอบและชัง เพราะความยึดมั่นถือมั่นจะทำให้เกิดความทุกข์ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา รับแล้ววิบากเก่าก็หมดไป ไม่ก่อวิบากใหม่เพิ่ม ตามบททบทวนธรรมข้อที่ 83″ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิด ความพร่อง ความพลาดความทุกข์ และบททบทวนธรรมข้อที่ 84 “ล้างความยึดมั่นถือมั่นของใจได้สำเร็จ คือความสำเร็จที่แท้จริง” เมื่อได้พิจารณาตามบททบทวนธรรมดังกล่าวแล้ว อาการไม่ชอบใจก็หายไป จิตใจก็เบิกบาน แจ่มใสเป็นปกติตามเดิม

  36. ศิริพร ไตรยสุทธิ์

    เรื่อง รู้สึกผิด

    เนื่องจากวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2564 กลุ่มต้นกล้าได้นัดหมายที่จะนำเสนองาน PowerPoint วิชาภาษาอังกฤษ แต่ข้าพเจ้าตื่นสายเพราะนอนดึกและไม่รอบคอบ ในการตั้งนาฬิกาปลุก ลืมกดปุ่มปลุกทำให้นาฬิกาไม่ปลุกตามเวลาที่ตั้งไว้
    เมื่อสะดุ้งตื่นก็เห็นว่า สายมากแล้ว จึงรีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าห้องเรียน และเขียนข้อความขออภัยหมู่กลุ่ม แล้วรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จให้เร็วที่สุด เมื่อพร้อมที่จะนำเสนองาน จึงได้เขียนข้อความเข้าไปในห้องแชทของห้องเรียนและในกลุ่มไลน์ ปรากฏว่าสมาชิกท่านหนึ่ง ท่านไม่สะดวกแล้ว ท่านต้องไปทำธุระ และเวลาในการเรียนก็เหลือไม่มาก ทำให้ไม่สามารถนำเสนองานได้ในวันนี้

    ทุกข์ : รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ไม่ได้นำเสนองานกลุ่ม

    สมุทัย : ไม่ชอบที่ตัวเองตื่นสาย

    นิโรธ : จะได้นำเสนองานกลุ่มหรือไม่ได้นำเสนอก็จะไม่ทุกข์ใจ ไม่ทำทุกข์ทับถมตน

    มรรค : เมื่อรู้ว่า วันนี้ไม่มีโอกาสนำเสนองานกลุ่มแล้ว จึงแจ้งให้พี่น้องท่านหนึ่งในกลุ่มช่วยเปิดห้องซูมให้ หลังจากจบการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อขออภัยหมู่กลุ่มด้วยตนเองอีกครั้ง พี่น้องหมู่มิตรดีก็ปลอบใจ ทำให้ทุกข์คลายลง
    ได้พิจารณาโทษของการตื่นสายว่า “ทำให้กลุ่มไม่ได้นำเสนองานตามที่กำหนดไว้ ทำให้ตัวเองรู้สึกผิดและเป็นทุกข์”
    ส่วนประโยชน์ที่ได้จากการตื่นสายในครั้งนี้คือ “ต่อไปจะระมัดระวังให้มากขึ้นในการตั้งนาฬิกาปลุก จะไม่ปิดมือถือ เผื่อเพื่อนโทรศัทพ์มาตาม เพื่อที่จะไม่ให้ตื่นสายอีกในครั้งต่อไป”

  37. ศิริขวัญ แซ่ลิ่ม

    เรื่อง พลังกุศลหยดเดียว
    เหตุการณ์ สถานการณ์โควิด ทำให้พยาบาลที่หน่วยงานได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ รพ.สนาม แห่งที่ 5 ของจังหวัด เราก็ต้องไปแน่แล้วคราวนี้ ระบาดรอบ 1 รอบ 2 ไม่ได้ไป มารอบ3 จังหวัดที่เราอยู่ระบาดอย่างหนัก เราห่างหายการขึ้นเวร Day 08.00-20.00 น.และเวร Night 20.00-08.00 น.มานานกว่า 10 ปีแล้ว มารก็มาทันที
    ทุกข์ : ไม่แช่มชื่นใจ ไม่โปร่งไม่โล่งใจ ที่ต้องไปขึ้นเวรสนาม
    สมุทัย : ชอบที่ไม่ต้องไปขึ้นเวรรพ.สนาม ชัง ที่ต้องไปขึ้นเวรรพ.สนาม
    นิโรธ : ยินดี เต็มใจ ตั้งใจ ไปขึ้นเวร รพ.สนาม โดยไม่ชอบ ไม่ชัง
    มรรค มารมาในยามยาก ในยามที่ต้องทำงานหนัก
    มาร:โอ้ยๆๆ ตายแน่ๆ ห่างหายการขึ้นเวรมากว่า 10 ปี จะไหวไหมเนี่ย ทำไมต้องเป็นเรา
    เรา:555 ต้องเป็นเรา ถูกต้องแล้ว
    มาร:อ้าว ทำไมต้องเป็นเรา คนอื่นหละ ทำไมไม่ได้ไป เราคนแรกเลย
    เรา:555 ต้องเป็นเราถูกแล้ว ไม่งั้นจะเห็นเธอรึ…คุ้มจะตายได้เห็นหน้าเธอ อันนี้สมบัติเรา อย่าไปพูดถึงคนอื่นเลย แล้วคิดแบบเธอมันสบายใจไหม มีแรงไหม
    มาร:ไม่มีแรงอะดิ ไม่สบายใจอะดิ
    เรา:แล้วมันถูกทางไหม ลองคิดแบบนี้ดูน่ะ จะสอนให้ ..เอ้า!!! คิดตามน่ะ พูดตามดังๆด้วย เย้ๆๆๆๆ กุศลหยดเดียว ทำงานท่ามกลางความขาดแคลน ความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ขอบคุณมากที่ให้ได้เรียนรู้ ภาวะวิกฤต ขอบคุณๆๆๆๆ
    ….ว่าแล้วมารก็ตะโกนดังๆตาม ว่า
    มาร:เย้ๆๆๆๆ กุศลหยดเดียว ทำงานท่ามกลางความขาดแคลน ความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ขอบคุณมากที่ให้ได้เรียนรู้ ภาวะวิกฤต ขอบคุณๆๆๆๆ
    เรา :เป็นไง คิดแบบนี้แล้วเป็นไง
    มาร:โอ้โห..แรงมาเต็มเลย กุศลหยดเดียว พลังมหาศาลเลย ว้าว ไม่น่าเชื่อ
    เรา:เชื่อเถอะ นี่แหละคือการระเบิดพลัง ยินดีรับ นี่คือการเพิ่มศีล สูงสุด คือยินดี เต็มใจ ตั้งใจรับ กุศลหยดเดียว หยดนี้ พลังปัญญา พลังแรงกาย ไม่ธรรมดาน่ะ รู้ยัง
    มาร:รู้แล้ว …ขอบคุณมาก ขอบคุณๆๆๆๆ
    สรุป
    มารก็จากไปเปลี่ยนเป็นมวลพุทธะ ความไม่แช่มชื่นใจหายไปฉับพลัน ได้พลังกลับมาทำงานต่ออย่างเบิกบาน ไปพบทีมที่แข็งแรง เปลี่ยนสถาการณ์ที่เศร้าหมองให้เป็นสถาการณ์ที่สดใส เติมกำลังใจ กำลังปัญญาให้เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยอย่างสนุกสานค่ะ

  38. น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)

    เรื่อง ความอยากในความไม่อยาก
    เหตุการณ์ ตอนที่เรากำลังล้างผักอยู่ก็มีพี่น้องท่านหนึ่งพูดขึ้นว่าไม่รู้ใครเอาตะกร้าใบเล็กไปใช้หมด แล้วเดินมาที่เรากำลังล้างผักอยู่
    แล้วบอกกับเราว่าตะกร้าใบที่เราใช้อยู่ท่านซื้อมาไว้ใช้ เราก็ไปหยิบใบอื่นมาให้ท่านแทน ท่านก็พูดว่าแล้วทำไมเราไม่เอาใบนั้นไปใช้ เราก็คิดในใจว่าตอนที่จะเอามาใช้เราไม่ได้เลือกว่าจะเอาใบไหนเห็นใบไหนก็หยิบใบนั้นมาใช้ ก่อนจะไปท่านก็พูดว่าถ้าเราอยากได้ให้บอกท่านจะซื้อมาให้
    พอได้ยินแบบนั้นเราก็คิดว่าทำไม่ต้องพูดแบบนั้นมันมีความรู้สึกขุ่นในใจ ทำไมต้องพูดว่าเราอยากได้เราไม่ได้อยากได้ที่เราเอามาใช้เพราะคิดว่าเป็นของส่วนรวมไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาของท่านมาใช้

    ทุกข์ รู้สึกขุ่นใจไม่พอใจที่ท่านพูดเหมือนว่าเราอยากได้ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดแบบนั้น

    สมุทัย ไม่ชอบใจที่ท่านพูดว่าเราอยากได้ชอบใจถ้าท่านใช้คำอื่นที่ดีกว่านั้น

    นิโรธ วางใจไม่ว่าท่านจะใช้คำพูดแบบไหนเราต้องไม่ชอบไม่ชังไม่ทุกข์ใจได้

    มรรค ตั้งศีลมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ให้เห็นความวิปลาสของความคิดแบบกิเลส ที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ความอยากแบบยึดมั่นถือมั่นว่าท่านจะต้องพูดในสิ่งที่ตรงกับใจเรา เราถึงจะสุขใจชอบใจ พิจารณาให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่เราได้รับเกิดจากกรรมและผลของกรรมที่เราเคยทำมาก่อน ทุกครั้งที่กิเลสถามว่าทำไมให้รู้ว่าเราทำมาเราเคยใช้วาจาทำให้คนอื่นต้องทุกข์ใจไม่ชอบมาเราก็ต้องได้รับ ส่วนท่านเป็นเพียงกระจกที่ส่องให้เห็นในสิ่งที่ตัวเราเคยทำมา และให้เราได้เห็นกิเลสและได้ใช้วิบากเท่านั้น

    ใช้บททบทวนธรรมข้อที่8
    สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา

    สรุป หลังจากที่ได้พิจารณาแล้ว ก็รู้สึกเบาใจสบายใจ ต้องขอบคุณท่านที่เข้ามาเป็นผัสสะ ให้เราได้เห็นกิเลส ได้ล้างกิเลส และได้ใช้วิบากสาธุค่ะ

  39. รมิตา ซีบังเกิด

    รมิตา ซีบังเกิด
    เรื่อง : ให้แล้วไม่คิดจะเอาอะไรจากใครให้ได้
    เหตุการณ์ : พี่สาวของพ่อบ้านผ่อนบ้านจัดสรรต่อจากเรา ซึ่งส่วนที่เราผ่อนไปแล้วหกแสนกว่า เราไม่เคยขอจากเขา เพราะคิดว่าพี่น้องกันและเขาก็ไม่เคยให้ ผ่านมาแล้ว15 ปีตอนนี้เราขอให้เขาช่วยเราประมาณห้าหมื่นบาท เพราะลูกต้องใช้เงินในการซื้อบ้านใหม่ เขาบอกให้เราไปกู้มาก่อนค่อยให้ปลายปี64 ที่ไปขอเพราะเห็นพี่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ไปเที่ยวบ้าง ซื้อของแจกเพื่อนๆตามที่ต่างๆบ้าง
    ทุกข์ : ลำบากใจที่จะต้องไปขอเงินจากพี่สาว
    สมุทัย : ขอเงินจากพี่สาวจะลำบากใจ ไม่ขอเงินจากพี่สาวจะสุขใจ
    นิโรธ : ยินดีที่ได้เห็นความทุกข์ใจ จากจิตที่คิดจะเอาแบบไม่ชอบไม่ชัง
    มรรค : ความจริงเวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว พี่สาวก็คงไม่คิดว่าเราจะมาขอเงินในส่วนที่เราได้จ่ายไปแล้ว ซึ่งภาพที่เราเห็นการใช้เงินของเขา ไม่รู้ว่าเขาจะมีมากน้อยอย่างไรก็ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้คือเขาได้รับจากการเสียชีวิตของลูกชายมาล้านกว่าบาทเมื่อสามปีที่แล้ว แต่เราไม่ควรจะไปขอเงินจากพี่สาวเลย เพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ความลำบากใจที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราเองทั้งสิ้น
    พี่เขาก็คงลำบากใจเหมือนกัน
    เราต้องหาหนทางแก้ปัญหาของเราเองไม่ใช่ทำให้คนอื่นลำบากใจ เพราะด้วยความตั้งใจแต่แรกว่าจะให้กลับมาคิดจะเอา ผิดแล้วเรา พอคิดจะเอาลำบากใจสิ้นดี ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 112 ว่า”สุขจากการให้ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่กว่าการเอา”
    วันต่อมาเราก็ไปบอกพี่สาวว่าถ้าไม่มีเงินก็ไม่เอาแล้วนะ ไม่อยากทำให้พี่ต้องมาลำบาก เมื่อได้บอกพี่สาวแล้วเราก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ความสัมพันธ์ก็ยังเหมือนเดิม สุขจากการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ สุขสบายใจ เป็นสุขที่สุด พี่สาวจะให้เงินเราหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ขัง

  40. วิภาวัลย์ ถนัดธรรมกุล

    เรื่อง เพื่อนไม่ถาม

    เนื้อเรื่อง เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาในช่วงที่จะนำสิ่งของไปมอบให้ทางโรงพยาบาลโพธารามในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ ด้วยสถานการณ์ระบาดโรคโควิดได้มีการนัดหมายกับหมู่มิตรจิตอาสาไว้ไม่เกิน 4 ท่านรวมตนเอง เป็น 5 ท่านที่จะไปส่งมอบอาหารเครื่องดื่ม ในคืนวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 หมู่มิตรจิตอาสาได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลสวดอภิธรรมศพของคุณแม่จิตอาสาท่านหนึ่ง ได้มีการชักชวนเพื่อนในงานว่า จะไปมอบสิ่งของกันหลายท่าน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการในงาน ต่างคนก็กลับไป ในคืนนี้มีเพื่อนท่านหนึ่งได้โทรมาบอกว่า เขาไม่ไปร่วมงานแล้ว (คิดว่าเขาไม่สะดวก) ก็ไม่ได้คิดอะไรแต่อีกสักครู่ มีเพื่อนอีกท่านหนึ่งโทรมาถามว่ารู้เรื่องอะไรเปล่าที่เพื่อนหลายท่านไม่ไปด้วย (ใจไม่ได้คิดอะไรเพราะเรามีเหตุผลของโรคโควิดระบาด) เมื่อท่านนี้บอกสาเหตุ งงมาก คุยกับท่านเมื่อครู่เพื่อนไม่ถามแต่ตอบไปในทางเดียวกับความคิดเราเรื่อง สุขภาพและครอบครัวเขา สุดท้ายได้โทรนัดกับหมู่มิตรที่นัดไว้และบอกว่าเหตุการณ์แท้ มีเนื้อหาเป็นมาอย่างไร สรุปได้ว่าท่านที่นัดไว้ไปขาดเพียงท่านที่เป็นสะพานบุญของเราท่านว่าท่านไม่สะดวก เรื่องลูกแต่คุณพ่อ เราเข้าใจกันด้วยดีถึงเหตุผลเพราะก็เป็นสิ่งที่คิดเตรียมการไว้

    ทุกข์ : อยากให้เพื่อนถาม พูดคุยกัน ได้ทำสิ่งดีๆร่วมกัน

    สมุทัย : ไม่ชอบใจถ้าเพื่อนไม่ถาม ชอบถ้าเพื่อนถาม

    นิโรธ : เพื่อนจะถาม/บอก หรือไม่ถาม/บอก เราก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : เมื่อได้ไปส่งมอบกับหมู่มิตรดีก็สุขใจยินดีกับการบำเพ็ญที่ให้ผลกับคนหมู่มากและได้ทำสิ่งที่ตั้งใจในคราวนี้ 4 ประการแล้ว ความกตัญญูเป็นสิ่งดีงาม เมื่อมีโอกาสได้ทำแม้น้อยก็มีค่าสูงสุดที่ใจเรา สุขที่ใจเราวางใจเรา ไม่ยึดทั้งดีและไม่ติดในดีนั้น สรุป เมื่อได้บอกกล่าวในความจริงที่ถูกตรงแล้ว ใจยินดีได้ไม่ว่าจะมองในด้านถูกหรือไม่ถูกได้ ใจไร้ทุกข์หมดอยากหมดทุกข์ผาสุกยั่งยืน บททบทวนธรรมข้อที่ 89 ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้นที่เรากำหนดได้

  41. พรทิพย์ อิ่มทุ่งน้อย (ก้อย ใจร่มเย็น)

    เรื่อง รำคาญ เกลียด ชัง มด ยุง แมลง

    ทุกข์ : รำคาญแมลง ยุง ทุกข์มากเพราะมดยุงแมลงมากัด ทุกข์มาก เพราะมดยุงแมลงมากัด มาตอมตัวใจเรา ทำให้เกิดความทุกข์กายใจ

    สมุทัย : เหตุแห่งทุกข์ คือมดยุงแมลงมากัดมาตอมตัวเรา ทำให้เกิดอาการคันผิวหนังขึ้น เกิดโรคภูมิแพ้ สร้างความเจ็บปวด ทุกข์ทั้งกายและใจ ชอบมากที่มดยุงแมลงไม่มากัดมาตอมตัวเรา เราจะสุขใจสุขกาย

    นิโรธ : สภาพดับทุกข์ มดยุงแมลง จะกัดหรือไม่กัดเรา เราก็จะไม่ทุกข์ รับวิบากกรรม ชดใช้ด้วยใจที่ยินดี เราเคยทำมาไม่พยาบาทต่อ วางอุเบกขาให้อภัยตัวเอง-ผู้อื่น-สุตว์อื่นด้วยใจที่เป็นสุข บริสุทธิ์

    มรรค : วิธีดับทุกข์ ลดละการทำชั่ว ลดละการเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่นให้ได้มากที่สุด หันมาทำแต่ความดี รักษาศีล ด้วยจิตใจที่ยินดีเต็มใจที่จะปฎิบัติ สาธุ

  42. สรสิชา สายหยุดทอง(ตรงเติมศีล)

    เรื่อง โดนกิเลสหลอกซะเนียนเลย

    เหตุการณ์ ขณะที่ช่วยจิตอาสาท่านหนึ่งทำความสะอาดชั้นแบ่งปัน ก็เกิดอาการสั่นทั้ง
    ตัวเหมือนจะเป็นลม ก็เกิดความกลัว กังวลและสงสัยว่าเป็นอาการของโรค
    อะไร

    ทุกข์. กลัว กังวลว่าจะป่วยเป็นอะไรอีก
    สมุทัย. ถ้าป่วย ก็จะทุกข์ใจ
    ถ้าไม่ป่วย ก็จะสุขใจ
    นิโรธ. จะป่วยหรือไม่ป่วยก็สุขใจได้

    มรรค เมื่อพิจารณา เห็นว่าอาการเหมือนหิวข้าวจัด คิดว่าถ้าไปกินข้าวน่าจะหาย
    แต่เริ่มสงสัยว่าท้องไม่ได้มีอาการหิวข้าว ตอนเช้าก็กินข้าวแล้ว และขณะนั้น
    เวลาประมาณ11.10น.ไม่น่าเป็นอาการหิวข้าว พออาการลดลงจึงไปทำดี
    ท็อกซ์ ก็เริ่มเห็นกิเลสชัดเจนขึ้น กิเลสบอกว่า เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ต้องลองไป
    กินข้าวน่าจะหาย เลยบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเสียเวลา
    ค้นหา วิบากมาก็ต้องรับๆแล้วก็จะหมดไป จะรีบกินไปไหน ถ้าอย่างนั้นจะไม่รีบ
    กิน กิเลส บอกว่ากลัวตาย เลยบอกไปว่า ไม่เป็นไรถ้าตาย อาจารย์ก็เผาศพ
    เองแหล่ะ แล้วก็ทำดีท็อกซ์ต่อไม่สนใจกิเลส พิจารณาอีกทีหายเงียบทั้งอาการ
    และกิเลส เมื่อมาเล่าให้จิตอาสาท่านนั้นฟัง ท่านบอกว่าน่าจะถูกกิเลสหลอกพอ
    มีโอกาสจึงถามอาจารย์หมอเขียว ท่านก็ยืนยันว่า ” ใช่ ” สรุปว่า กิเลส
    หลอกได้เนียนเลย ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 82 จงฝึกอยู่กับความเป็นจริง
    ของชีวิตที่พร่องอยู่เป็นนิตย์อย่างผาสุกให้ได้

    สรสิชา สายหยุดทอง (ตรงเติมศีล)
    ภูผาฟ้าน้ำ

  43. ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล)

    เรื่อง..อยาก ยึด(อยู่)
    เป็นเวลา6เดือน ที่ได้อยู่บำเพ็ญที่ ภูผาฟ้าน้ำ และคิดว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะกลับบ้าน เพราะการได้มาอยู่ที่นี่ ได้ฝึกตัวเองหลายอย่างได้ฝึกการ ลด ละเลิก ในอัตตามานะที่มีอยู่ในตัวเองออกไปได้หลายตัว ทำให้ตัวเองเจริญในธรรม ได้อยู่กับมิตรดีสหายดี และได้ฟังธรรมะจาก อ.จ หมอเขียวทุกวัน ได้อากาศดี ได้อาหารอุดมสมบูรณ์ ได้ฝึกทำงานเกษตรที่ไม่เคยทำ แต่เมื่อถึงเวลา ทางบ้านเรียกกลับให้มาทำหน้าที่ดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียง ทำให้จิตใจ เศร้าหมอง
    ทุกข์..ใจที่จะต้องกลับบ้าน
    สมุทัย..ชอบสภาพยึดที่จะได้อยู่ต่อที่ภูผา ชังสภาพที่จะต้องกลับบ้าน
    นิโรธ..พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน กระบวนการคิดใหม่ ไม่ชอบไม่ชัง จะได้กลับบ้านก็สุขใจ จะไม่ได้อยู่ค่ายต่อก็สุขใจ..คิดถึงประโยชน์ในการได้กลับไปบำเพ็ญต่อที่บ้านดููแม่ ได้เชื่อมกับที่บ้านที่เราตอบตกลงในการได้แบ่งเบาภาระที่บ้าน ได้ใช้สัมภาระวิบากใช้หนี้ การเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้กับแม่
    มรรค..การได้ฟังธรรมจาก อ.จ หมอเขียว และได้นำมาใช้ปฎิบัติ และได้ประโยชน์จริง นำคำสอนเรื่องความ”ยินดี”ในทุกสถานการณ์ ความ ยินดี..คือ พลัง
    ยินดี..ที่ได้ใช้วิบาก รับเต็มๆ หมดเต็มๆ
    ยินดี..ที่ให้โอกาส คน หรือสิ่งของที่เข้ามากระทบเรา นั่นคือสมบัติเรา และเราก็ได้ใช้วิบากในเรื่องนั้นๆ”ยึดที่ไม่ผิด”คือ”ยึดความไม่ยึดมั่นถือมั่น “สาธุ

  44. ภาคภูมิ ยอดปรีดา (สร้างแก่นศีล)

    #ใจร้อนเร่งผลอยากให้ผลเลือดออกเร็วๆ

    สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 22/6/64 ที่ผ่านมา ผมไปเจาะเลือดเพื่อติดตามผลโรคมะเร็งมา ซึ่งการเจาะในครั้งนี้ผมคิดว่าผมสามารถล้างความทุกข์ใจจากเรื่องผลเลือดให้ลดลงไปได้จนเกือบจะสิ้นเกลี้ยงแล้ว แต่หลังจากวันที่เจาะเลือด ผมก็ยังสามารถสัมผัสความทุกข์ใจจากเรื่องการเจาะเลือดได้อยู่ ก็เลยลองมาตรวจใจดูว่าเป็นความทุกข์ใจในประเด็นไหน จนในที่สุดก็พบว่าประเด็นที่ทำให้ผมทุกข์ใจเพราะไปใจร้อนเร่งผลอยากที่จะให้ผลเลือดออกมาเร็วๆ

    ทุกข์ : ทุกข์ใจเพราะใจร้อนเร่งผลอยากที่จะให้ผลเลือดออกมาเร็วๆ

    สมุทัย : จะรู้สึกทุกข์ใจถ้าผลเลือดออกมาช้ากว่าที่ใจหมาย แต่จะสุขใจถ้าผลเลือดออกมาเร็วตามใจหมาย

    นิโรธ : สามารถผาสุกใจได้ไม่ว่าผลเลือดจะออกมาเร็วหรือช้าเพียงใดก็ตาม

    มรรค : กรณีนี้ผมเดินมรรคโดยนำการพิจารณาประโยชน์และโทษของการใจร้อนเร่งผล โดยพิจารณาว่าถ้าใจร้อนเร่งผลก็จะทำให้ใจเป็นทุกข์เป็นการสร้างความทุกข์ทั้งแผ่นดินมาทับถมตนเอง และก็เป็นสร้างแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดีที่จะส่งผลเหนี่ยวนำไปถึงผู้อื่นด้วย

    แต่ถ้าผมไม่ใจร้อนไม่เร่งผล แล้วก็รอผลเลือดที่จะออกแบบใจเย็นข้ามชาติ ก็จะทำให้ใจเบา โล่ง โปร่ง สบาย และก็จะเป็นการสร้างแรงเหนี่ยวนำที่ดีไปถึงผู้อื่นได้ด้วย

    นอกจากนั้นผมก็ได้นำเทคนิคทำใจให้หายโรคเร็วในประเด็นของเรื่องการเร่งผลมาประยุกต์ใช้ด้วย โดยผมบอกตัวเองว่า ถ้าที่ผ่านมาได้ดูแลตัวเองทั้งทางใจและร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้แล้ว ไม่ว่าผลเลือดจะออกช้าหรือเร็ว ผลเลือดที่ออกมานั้นก็เกิดมาจากกระทำที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าผลเลือดจะออกเร็วหรือช้าเพียงใด ก็ช่างหัวมัน

  45. นางสาวนาลี วิไลสัก

    23/6/2564
    ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
    เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2

    เรื่อง : พ่อป่วย

    เหตุการณ์ : พ่อของผู้เขียนเองมีอายุประมาณ 65 ปี แต่ท่านป่วยมาได้ 4 ปีแล้ว เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะ เวลาที่พ่อแม่ป่วยเรามักจะทุกข์ใจมาก ร้องไห้ทุกครั้งที่หมอตรวจพบว่า พ่อแม่เป็นโรคนั้นโรคนี้ ตั้งแต่ได้ศึกษาธรรมะกับ พวธ ความทุกข์ใจที่มีต่อเหตุการณ์เดิมๆ นั้นจะค่อยๆ ลดลงๆ เรื่อยๆ จนมาถึงช่วงนี้ พ่อก็ป่วยแบบอาการไปในทางเสื่อมลงๆ แต่ความทุกข์ใจของเรามันไม่มีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กิเลสก็ยังมาหลอกเราอยู่

    ทุกข์ : ระแวง ว่าพ่อและคนในบ้านจะว่าเราเป็นลูกอกตัญญู

    สมุทัย : ชอบถ้าพ่อและญาติๆ เข้าใจ และยอมรับว่าเราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ชังถ้าพ่อและญาติๆ ไม่เข้าใจ แล้วมองว่าเราเป็นลูกอกตัญญู

    นิโรธ : พ่อและญาติๆ จะเข้าใจเราหรือไม่เข้าใจ เขาจะคิดยังไงกับเรา ก็ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : พิจารณาอาการของกิเลสที่พาเราทุกข์ใจ
    มาร : เอ๊ะ การที่เราเป็นคนเบิกบานแบบนี้ทุกวันมันก็ดีอยู่ สำหรับนักปฏิบัติธรรม แต่ช่วงนี้ญาติๆ เรา เขากำลังกังวลเคร่งเครียด เพราะพ่อไม่สบาย และมีอาการแตกต่างจากที่ผ่านๆ มาด้วย เวลาที่เราแสดงพฤติกรรมร่าเริงอยู่ต่อหน้าพ่อ (เวลาพ่อป่วย) รู้สึกว่าคนอื่นๆ เขาสังเกตพฤติกรรมเรานะ และตัวเองก็รู้สึกว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนมากด้วย แบบนี้เขาจะว่าเราเป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่านะ
    เรา : อาการแบบนี้ เรียกว่า โง่ ได้ที่จริงๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังหามาปรุงให้ตัวเองทุกข์ใจอยู่ ถ้าเราบรรลุธรรมในเรื่องนี้จริง ก็ต้องไม่ระแวงไม่หวั่นไหวสิ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะว่าอะไรเรามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าเราก็เคยไปเข้าใจผิด เพ่งโทษคนอื่นไว้ ว่าเขาเป็นอกตัญญู ไม่รู้จักดูแลพ่อแม่ในเวลาเจ็บป่วย เพราะวิบากตรงนี้แหละ มารจึงได้เข้าใจผิด หวาดระแวงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดมัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครว่าอะไรเราเลย ก็มีแต่มารนั่นแหละที่พยายามหาเรื่อง ให้ตัวเองโง่อยู่นี่ คิดเอง ปรุงเอง เออเอง ทุกข์เอง มารต้องหันมาทำความเข้าใจกับเราก่อน ว่าถ้ามารยังคิดระแวงแบบนี้จะทำให้ทุกข์ เป็นวิบากร้ายใหม่ เป็นโทษ ก็ให้เกิดโรคได้ทุกโรค ถ้ามารเปลี่ยนจิตเป็นพุทธะ ด้วยการคิดใหม่ว่า ตลอดเวลาที่พ่อป่วยเราก็พยายามทำหน้าที่ของลูกที่ดีเต็มที่ตามกำลังเราแล้ว เราก็จงเต็มใจพอใจในสิ่งดี (ประโยชน์มาก) ที่เราสามารถทำได้ ก็จะไม่ทุกข์ใจกับเหตุการณ์นั้น ตรงกับ บทธ ข้อที่ 75 ถ้าเราดับทุกข์ใจได้ ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่เราดับไม่ได้

    สรุป พอพิจารณาแบบนนี้ ความระแวงก็หายไป ใจเบาสบาย ต้องขอบคุณพ่อที่ท่านมาเป็นเหตุปัจจัย มาเป็นผัสสะให้ลูกได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ในเหตุการณ์นี้มาเป็นลำดับๆ และได้ใช้วิบากด้วย ส่วนพ่อก็มีเหตุปัจจัยของท่านที่ทำให้ท่านต้องป่วยแบบนั้น ก็เพราะวิบากกรรมของท่าน ส่วนที่เราทุกข์ก็เพราะ เราเคยทำวิบากกรรมร่วมกันมา ใช้แล้วก็หมดไป จะได้โชคดีขึ้น สาธุค่ะ

  46. นางสาวนาลี วิไลสัก

    25/6/2564
    ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
    เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2

    เรื่อง : โดนดุอย่างแรง จนกิเลสตาย

    เหตุการณ์ : ปกติที่โรงเรียนจะพานักเรียนทำกสิกรรมหลังจากเลิกเรียน แต่วันนั้นเขามีแผนที่จะทำแปลงผัก เริ่มแต่บ่ายโมงครึ่ง และช่วงสัปดาห์นี้พ่อก็ป่วย อาการไม่ค่อยจะดีเลย เราก็ต้องทำหน้าที่ของลูกดูแลพ่อ ก็เลยตกข่าวของโรงเรียน พอถึงเวลาจะเริ่มทำงาน เราก็ยังอยู่ที่บ้านก็มีครูรุ่นพี่ท่านหนึ่งโทรมา
    พี่ : นาลี อยู่ไหน ป่านนี้ทำไมยังไม่มา เขาเริ่มทำงานกันแล้ว
    เรา : หนูยังอยู่ที่บ้านค่ะ ติดภารกิจดูแลพ่อ เพราะพ่อป่วยอาการแย่ลงมากค่ะ อีกอย่างหนูก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มทำงานเร็วกว่าปกติ หนูขอเวลาแป๊บหนึ่งนะพี่ เดี๋ยวหนูจะรีบออกไปค่ะ
    พี่ : โอ้ยวันนี้เขาเปลี่ยนแผนจะมาก็รีบๆ มา ทำให้เสร็จน้าที่(ตอนนั้นกิเลสยังไม่เขามา)
    พอเราไปถึงหน้างาน ในกลุ่มของเรามีครู 4 คน และนักเรียน 40 คน ในกลุ่มของเราไม่มีใครว่าอะไรเรา ทุกคนเห็นใจเราหมด ทำงานเสร็จไปประมาณ 70% และของกลุ่มอื่นก็ยังไม่เสร็จ ครูท่านนั้นโทรมาตะโกนใส่เราอีก
    พี่ : นาลีเห็นไหม ผลของการมาช้า งานก็จะเสร็จช้าแบบนี้แหละ ดูสิของกลุ่มอื่นใกล้จะเสร็จแล้ว
    เรา : พี่คะ ยังไงพวกเราก็จะทำให้เสร็จวันนี้จ้ะ ตอนนี้ก็พึ่งบ่ายสามเอง(ตอนนั้นกิเลสก็ยังไม่เข้ามา)
    พี่ : คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ต้องมาให้ตรงเวลา งานของพวกเรา จะได้เสร็จพร้อมๆ กับกลุ่มอื่น
    เรา : พี่คะ หนูไม่ได้อยากมาช้านะคะ ที่หนูมาช้าก็เพราะหนูติดภารกิจดูแลพ่อ ตอนนี้พ่อของหนูมีอาการเผลอพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ถ้าจะพูดแบบนี้ ก็ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างสิ ว่าเวลาคนในครอบครัวตัวเองป่วย จะรู้สึกอย่างไร(จับได้ว่าเป็นคำพูดของกิเลส)
    ทำงานไปจนถึงบ่ายสามครึ่ง งานก็เสร็จเราก็ไปนั่งพูดคุยกับพี่ท่านนั้นตามปกติ

    ทุกข์ : หัวใจเต้นเร็ว มีอาการร้อนขึ้นที่ใบหน้าไม่พอใจที่เขาด่าเรา แล้วด่าอีก

    สมุทัย : ชอบถ้าพี่ท่านนั้นเข้าใจและไม่ด่าเราหลายรอบ ชังที่พี่ท่านนั้นไม่เข้าใจเราและมาด่าเราต่อหน้าผู้คนเยอะ

    นิโรธ : พี่ท่านนั้นจะเห็นใจเรา หรือไม่เห็นใจเรา เขาจะด่าเรากี่รอบก็ไม่หวั่นไหว ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : พิจารณาความลวงของกิเลส ตอนที่สวนกลับไปที่พี่เขา เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส พอพูดออกไปจบก็รู้ตัวทันทีเลยว่ากิเลสเข้า เพราะอาการแสดงออกมาชัดเจน เราก็รีบตรวจใจว่ากิเลสคิดยังไง จึงได้พูดออกไปแบบนั้น
    มาร : ทำไม พี่ท่านนั้น ไม่เห็นใจเราเลย ด่าอย่างกับเราเป็นคนเกเรไม่เอางานเอาการอะไร ทำไมเขาไม่นึกตอนที่ลูกเขาป่วย เขาก็ลาโรงเรียนไปรักษาลูกเขาตั้งหลายเดือน ครูในโรงเรียนก็เห็นใจเขา เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นใจเขาอะไรที่เรา พอจะช่วยเขาได้เราก็ลงมือช่วยเลยนะ
    ที่พูดออกไปนี้ก็เพื่ออยากให้ครูท่านอื่น และน้องนักเรียนได้รู้สาเหตุที่เรามาช้า เขาจะได้ไม่มองเราไปในแง่ไม่ดี

    เรา : ยังมีหน้ามาถามอีกว่า ทำไม ผลของวิบากกรรมไง เราก็เคยไปด่าไปว่าคนอื่นไว้เยอะนับไม่ถ้วน คนที่เราเคยด่ามานั้นบางคนเขาก็มีเหตุผลของเขา แต่โดยที่เราหน้ามืด เราก็เลยไม่สนใจจะฟังเหตุผลของเขา เอาแต่เหตุผลของตัวเองมาด่าๆๆ เขา แบบไร้ความเมตตา ตอนนี้วิบากร้ายก็เลยยืมร่างพี่ท่านนี้แหละ มาให้เราได้ใช้หนี้ ถ้าไม่อยากรับอีกก็อย่าหาหนี้มาเพิ่ม เท่าที่เคยทำมานั้นก็เยอะมากแล้ว ขอให้พี่คิดถูก คิดดีได้เร็วๆนะ จะได้หายทุกข์หายเครียด สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ คือ ยินดี พอใจในการใช้วิบาก ร้ายนั้นก็จะหมดไป เราจะได้โชคดีขึ้น ถ้าเราไม่พอใจที่จะใช้วิบาก วิบากร้ายเก่าก็ไม่หมด แถมยังบันทึกเป็นวิบากร้ายใหม่อีก ตรงกับ บทธ ข้อ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเอง

    สรุป มาเทียบเคียงเมื่อก่อน เวลาโดนแบบนี้จะทุกข์มาก ทุกข์นาน และจะโกรธคนที่ด่าเรานั้นไปอีกหลายเดือนเลย แต่เหตุการณ์นี้เราใช้เวลาพิจารณาประมาณเกือบ 10 นาที อาการร้อนที่ใบหน้าก็หายไป หัวใจเต้นปกติ เบิกบานแจ่มใส ต้องขอบคุณพี่ท่านนั้นที่มาเป็นผัสสะให้เรา ได้ทดสอบว่ากิเลสตัวนี้ยังเหลือมากน้อยแค่ไหนและเราก็ได้ล้างมันไปแล้ว แต่ก็ยังต้องตามมันอีกต่อไป สาธุค่ะ

  47. นางสาวนาลี วิไลสัก

    26/6/2564
    ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
    เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2

    เรื่อง : อยากให้น้องโยนกิเลสเข้าหมู่กลุ่ม

    เหตุการณ์ : มีน้องคนหนึ่งเขามักจะโทรมาคุยสภาวธรรมกับเราบ่อยๆ ในระหว่างที่คุยกันเรื่องกิเลส บางตัวของน้องเขา กำลังมันยังแรงมาก ตามลำพังเราสองคนเอามันไม่อยู่ เราก็ต้องคุยเรื่องกิเลสตัวเก่านั้นเป็นเวลาหลายอาทิตย์เลย แต่น้องเขาก็ยังทุกข์กับกิเลสตัวนั้นอยู่ เราก็เลยแนะนำน้องว่า เวลาที่เรามีกิเลสแล้วพิจารณามันไม่ลงเรามักจะโยนเข้าหมู่ใหญ่ แทบจะทุกข์เรื่องเลย เพราะเราไม่ชอบกักเก็บกิเลสไว้ เราเป็นคนมักจะเปิดเผยกิเลสทุกตัวเลย(ไม่ติดโลกธรรม)พอเปิดเผยเสร็จ ก็จะพ้นทุกข์ในเรื่องนั้นๆ แต่น้องเขาก็ยังไม่ยอมเอาเรื่องเข้าหมู่สักที พอมาช่วงหลังๆนี้น้องเขาก็เงียบหายไป ไม่ทำหน้าที่ของนักศึกษาวิชชาราม ไม่เข้าหมู่กลุ่ม และไม่คุยสภาวธรรมกับเราเหมือนเดิม ผ่านไปหลายสัปดาห์น้องก็โทรมาสารภาพว่า น้องมีกิเลสตอนนั้นเรายังคุยกันไม่จบ แต่สายหลุดไป เย็นวันนั้นทางหมู่กลุ่มเราจะมีการประชุมอปริหานิยธรรมร่วมกัน เราเองก็ไปคาดหวังว่า เย็นนี้น้องเขาต้องเอากิเลสตัวนั้นเข้าไปแฉให้หมู่กลุ่มช่วยฆ่ากิเลส

    ทุกข์ : รู้สึกอึดอัด เมื่อไหร่น้องจะยอมเอากิเลสตัวนี้เข้าหมู่สักทีวะ

    สมุทัย : ยึดว่าน้องต้องยอมโยนกิเลสตัวนั้นเข้าหมู่ใหญ่ น้องจะได้พ้นทุกข์ในเรื่องนั้น ชังที่น้องยังกั๊กกิเลสตัวนั้นไว้แล้วยังทุกข์อยู่

    นิโรธ : ในเมื่อเราได้แนะนำข้อมูลให้น้องแล้ว น้องจะเอาแบบไหนก็ได้ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : หันมาตรวจใจดูว่ากิเลสจะเอาอะไรจากน้อง
    มาร : โอ้โห กิเลสตัวหยาบใหญ่ แรง ซะขนาดนั้น เห็นน้องบอกว่า ทุกข์มากจนน้ำตาไหลเลย มีโอกาสเข้าหมู่กลุ่มใหญ่แล้วทำไมน้องจึงไม่ยอมแฉให้หมู่ช่วยล้างกิเลสวะ จะเก็บทำทุกข์ให้ตนทำไม จะเก็บไว้เสพทำไม ไอ้นรกแบบนี้
    เรา : ปัดโธ่เอ๊ย! มาร จะเอาอะไรกับน้องกันนักกันหนาวะ ที่น้องเขาอุตส่าห์มาขนาดนี้แล้วยังโลภอีกรึ เท่าที่น้องเขาทำได้ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ดีกว่าคนทางโลก ที่ยังติดอบายมุข ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรม ที่น้องยังไม่เอากิเลสตัวนั้นเข้าหมู่ ก็เพราะมารยังอยากนี่ไง วาระเร่งด่วนตอนนี้ก็คือ รีบเอามารออกจากใจฉันก่อน ถ้ามารออกเดี๋ยวน้องจะโยนกิเลสตัวนั้นเข้าหมู่เอง ไม่ต้องห่วงเขาหรอกเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คนน่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือ ตัวเองที่ไปคาดหวังอะไรในตัวน้อง เมื่อผิดหวังก็มาทุกข์เอง(ทุกข์พร้อมกันสองคน)
    มาร : ก็หวังดีกับน้องน่ะ อยากให้น้องพ้นทุกข์ในเรื่องนั้น สงสารเพราะน้องยังต้องอยู่กับผัสสะเดิมๆ นั้นทุกๆวัน
    เรา : นี่แหละความลวงของมาร อยากให้น้องพ้นทุกข์ แต่กับทำเรื่องไม่พ้นทุกข์ ยิ่งเป็นแรงเหนี่ยวนำให้น้องทุกข์ไปอีก(กอดคอกันทุกข์อ่อมล่อมๆนะดิ) ถ้าจะปรารถนาดีกับน้องพอได้ แต่ดันไปคาดหวังจะเอาดีน่ะไม่ได้ เพราะมันเป็นสุขลวง
    มาร : งั้นเปลี่ยนจิตคิดแบบพุทธะดีกว่า น้องจะได้คิดถูกพุทธะไปด้วยกัน
    เรา : ใช่ตอนนี้น้องยังไม่พร้อม อดทน รอคอย ให้โอกาสน้อง อย่าใจดำ เดี๋ยวน้องพร้อมเมื่อไหร่ เขาจะมาเอง ตรงกับ บทธ ข้อที่ 35 ยึดอาศัย”ดี”ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง”นั้นดี”แต่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องเกิด”ดีดังใจหมาย ทั้ๆ ที่องค์ประกอบเหตุปัจจัย ณ เวลานั้น ไม่สามารถทำให้ดีนั้นเกิดขึ้นได้จริง”นั้นไม่ดี”

    สรุป พอเราวางใจได้ความอึดอัดก็คลายลง ใจก็เบาสบาย เหตุการณ์ดีๆ ก็เกิด คือ น้องเอากิเลสตัวนั้นโยนเข้าหมู่ สาธุค่ะ

  48. นางสาวนาลี วิไลสัก

    27/6/2564
    ชื่อ : นางสาวนาลี วิไลสัก
    เป็นผู้คบคุ้นสวนป่านาบุญ2

    เรื่อง : เขาไม่ฟังมติหมู่ หรือเราไม่ฟังมติพุทธะ

    เหตุการณ์ : หลังจากที่น้องชายพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลมา(ได้รับยาให้กินประจำ)พ่อก็มีอาการป่วยแย่ลงกว่าเดิม(เผลอ จำอะไรไม่ค่อยได้ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง) 3 วันต่อมา ญาติๆ พวกเราก็หารือกันว่า พ่ออาจจะแพ้ยา ลองให้พ่อหยุดกินยาตัวนี้สักสองสามวันเพื่อดูอาการ ญาติๆ เกือบทุกคน เห็นดีจะเอาแบบนั้น แต่ยังเหลือน้องชายหนึ่งคนไม่เห็นด้วยกับญาติๆ ถึงเวลาจะกินยาพ่อก็ใช้สิทธิ์ตัวเอง ด้วยการไม่กินยา แต่น้องชายก็เอายาไปป้อนเข้าปากพ่อในขณะที่พ่อนั่งทานข้าว

    ทุกข์ : กล้ามเนื้อเกร็งตัว รู้สึกอึดอัดชิงชังทำไมน้องชายไม่ฟังมติหมู่

    สมุทัย : ชอบถ้าน้องชายฟังมติหมู่และไม่บังคับพ่อกินยา ชังที่น้องชายกร่างไม่ฟังมติหมู่และบังคับให้พ่อกินยา

    นิโรธ : น้องชายจะฟังมติหมู่หรือไม่ฟัง เขาจะมีพฤติกรรมยังไงเราก็ไม่ชอบไม่ชัง

    มรรค : หันมาตรวจใจเราจะเอาอะไรจากน้องชาย

    มาร : ทำไมน้องชายเราต้องเป็นคนแบบนี้ด้วยวะ เอาแต่ใจตัวเองไม่ฟังใครเลย และญาติๆ ก็ไม่มีใครกล้าตำหนิ กล้าหยุดความคิดของเขาเลย

    เรา : ยังมีหน้ามาบ่นอีก อันนี้ คือ ฝีมือเอ็งทั้งนั้น ที่เคยไปบังคับยัดเยียดให้คนรอบข้าง กินเยี่ยวกินสมุนไพร ใช้วิธีการต่างๆ ที่เอ็งไปเรียนมากับ พวธ ทั้งๆ ที่เขาน่ะ ไม่ยินดีที่จะเอาด้วย แต่เราก็ไปพูดหว่านล้อมให้เขาไม่มีทางจะเถียงเราได้เลย ส่วนที่พ่อถูกบังคับให้กินยานั้นก็เป็นวิบากของท่านที่จะต้องได้รับ

    มาร : เออ มันก็จริงอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่ชอบตรงที่น้องชายกร่าง เขามักจะพูดออกมาเต็มปาก เต็มคำต่อหน้าญาติๆ พวกเราที่เป็นพี่ของเขาว่า เขาเป็นคนฉลาด เก่ง หาเงินด้วยมันสมอง(สบาย)ได้เงินเยอะกว่า…คนในตระกูลเราไม่เคยมีใครเป็นแบบนั้นเลย น้องเราเป็นแบบนั้นเสียหน้าตระกูลหมดเลย

    เรา : โอ้โหมาร เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นคนดีมากงั้นรึ ที่เห็นเขาทำไม่ดีแล้วไปชังเขาซะงั้น เอ็งยิ่งชั่วกว่าเขาอีก ที่เขาเป็นแบบนั้นก็เพราะเขามีวิบาก 11 ประการมาบังเขาไว้ เลยเกิดวิปลาส ทำให้เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นคือนรก ตอนนี้น้องเรากำลังจมอยู่ในนรก เอ็งจะไปชังน้องได้ไง ชั่งใจดำจริงๆ(เห็นเขาล้มก็ไปเหยียบซ้ำเขาอีก)สิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือ เมตตาน้อง ขอให้น้อง คิดดี คิดถูก ได้เร็วๆ นะ สักวันหนึ่งเขาเห็นทุกข์เกินทน เขาจะเห็นธรรม

    มาร : แต่ตอนนี้อยากอุเบกขาน้อง ให้น้องรู้ตัวว่า เขากำลังเล่นกับนรก ก่อนที่น้องจะทำนรกเพิ่มหนักกว่านี้อีก

    เรา : ตอนนี้เอ็งสามารถอุเบกขาน้องได้ด้วยการ ทำตัวอย่างที่ดีให้เขาดู อดทน รอคอย ให้อภัย ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ ส่วนน้องจะมีพฤติกรรมแบบไหน เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขา ถ้าเราไม่เอาใจไปยึดอะไรจากเขา เราก็จะไม่ทุกข์ใจ ส่วนเหตุการณ์ไหนเราแก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็วาง การวางนี่แหละ คือ การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด พอเข้าใจไหมมาร

    มาร : โอ๊ย ไปโง่มาตั้งนาน ตอนนี้เข้าใจแล้ว ขอบคุณๆๆ ถ้ารู้ว่าคิดแบบพุทธะแล้วจะโล่ง สบาย แบบนี้ จะเลิกโง่ตั้งนาน

    เรา : นี่แหละมารหลงทาง คราวหน้าถ้าเอ็งทุกข์ใจเพราะเรื่องอะไร ก็มาเอาปัญญาจากข้าก่อนนะ อย่าไปเพ่งโทษแต่เหตุการณ์ข้างนอก มันจะเป็นวิบากร้ายใหม่แก่ตนเอง ตรงกับ บทธ ข้อ 40 วิธีแก้ปัญหาง่ายนิดเดียว อันไหนแก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้

    สรุป พอเราวางใจได้ กล้ามเนื้อก็คลายตัว จิตใจก็โล่ง เบา สบาย ขอสำนึกผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ที่ไปชิงชังน้องชาย จะตั้งจิตหยุดทำ และคิดว่าน้องชายเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งเท่านั้น สาธุค่ะ

  49. นฤมล ยังแช่ม

    เปลี่ยน

    จากการตั้งศีลลด ละ เลิก การกินข้าวเหนียวที่ชอบ ทำให้เกิดวิธีที่จะออกมาจากข้าวเหนียว แล้วเราจะกินอะไรแทนดี ก็เลยคิดว่ากินข้าวสวยดีกว่า มีเหตุผลคือข้าวสวยร้อนน้อยกว่าข้าวเหนียว แต่พอเปลี่ยนมากินข้าวก็รู้สึกว่ายังกินเกินอยู่ดี อย่างไรเสียก็ต้องลดข้าวลงอีก

    ทุกข์ใจ คือ รู้สึกทุกข์ใจที่จะต้องลดการกินข้าวลงอีก

    สมุทัย คือ มีความอยากได้ดั่งใจหมายที่จะได้กินข้าวมากจะสุขใจ ถ้าได้กินข้าวน้อยลงจะทุกข์ใจ

    นิโรธ คือ ได้กินข้าวมากก็สุขใจ ได้กินข้าวน้อยก็สุขใจได้

    มรรค คือ พิจารณาความอยากกินข้าวมากเป็นทุกข์ ที่ทำให้เราป่วยได้ทุกโรค เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี เป็นวิบากร้ายที่จะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต นี้ขนาดเเราชอบกินข้าวยังทุกข์ขนาดนี้ แล้วถ้าชอบอีกหลาย ๆ เรื่องจะทำให้เกิดทุกข์มากขนาดไหน กิเลสลดได้ยาก ทำได้เรื่องหนึ่งก็มีคุณค่ามหาศาล ถึงแม้เราจะยังทำไม่ได้ แต่เราก็ได้พยายามที่จะตั้งศีลเพื่อลดการกินข้าวแล้ว ก็ถือได้ว่าเราได้สู้แล้ว ส่วนผลแพ้ชนะก็เป็นไปตามจริง ณ ปัจจุบัน อย่าอยากได้ในสิ่งที่ไม่ได้ จะทำให้เป็นทุกข์

  50. สรสิชา สายหยุดทอง(ตรงเติมศีล)

    เรื่อง โดนกิเลสหลอกซะเนียนเลย

    เหตุการณ์ ขณะที่ช่วยจิตอาสาท่านหนึ่งทำความสะอาดชั้นแบ่งปัน ก็เกิดอาการสั่นทั้ง
    ตัวเหมือนจะเป็นลม ก็เกิดความกลัว กังวลและสงสัยว่าเป็นอาการของโรค
    อะไร

    ทุกข์ กลัว กังวลว่าจะป่วยเป็นอะไร

    สมุทัย ถ้าป่วย ก็จะทุกข์ใจ
    ถ้าไม่ป่วย ก็จะสุขใจ

    นิโรธ จะป่วยหรือไม่ป่วยก็สุขใจได้

    มรรค เมื่อพิจารณา เห็นว่าอาการเหมือนหิวข้าวจัด คิดว่าถ้าไปกินข้าวน่าจะหาย
    แต่เริ่มสงสัยว่าท้องไม่ได้มีอาการหิวข้าว ตอนเช้าก็กินข้าว และขณะนั้น
    เวลาประมาณ 11.10 น.เมื่ออาการลดลงจึงไปทำดีท็อกซ์ตามที่ตั้งใจไว้
    ขณะทำ เริ่มเห็นกิเลสชัดเจนขึ้น กิเลสบอกว่า เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ต้องลอง
    ไปกินข้าวน่าจะหาย เลยบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้อง
    เสียเวลาค้นหา วิบากมาก็ต้องรับๆแล้วก็จะหมดไป ยินดีที่ได้ชำระชดใช้
    วิบาก แล้วจะรีบกินไปไหน ถ้าอย่างนั้นจะไม่รีบกิน กิเลส บอกว่ากลัวตาย
    เลยบอกไปว่า ไม่เป็นไรถ้าตาย อาจารย์ก็เผาศพเองแหล่ะ แล้วก็ทำดีท็อกซ์
    ต่อไม่สนใจกิเลส พิจารณาอีกทีหายเงียบทั้งอาการ และกิเลส เมื่อมาเล่าให้
    จิตอาสาท่านนั้นฟัง ท่านบอกว่าน่าจะถูกกิเลสหลอก พอมีโอกาสจึงถาม
    อาจารย์หมอเขียว ท่านก็ยืนยันว่า ” ใช่ ” สรุปว่า กิเลสหลอกได้เนียน
    เลย ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 82 จงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่
    พร่องอยู่เป็นนิตย์อย่างผาสุกให้ได้

    สรสิชา สายหยุดทอง (ตรงเติมศีล)ว

  51. น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร)

    26/06/64
    ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
    ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
    จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
    เรื่อง: หยุดคิดแทนคนอื่น
    ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการขอเปลี่ยนสินค้าที่ไม่ตรงตามสเป็คให้เพื่อน ซึ่งฝ่ายแม่ค้ายินยอมให้เปลี่ยนได้ จึงแจ้งไปยังเพื่อนให้รับทราบ
    ผ่านไปครี่งวันความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า “เพื่อนน่าจะโทรไปแจ้งสเป็คสินค้าที่ต้องการล่วงหน้าให้เขาทำเตรียมไว้ให้ พอเสร็จแล้วให้เขาโทรมาบอก จะได้ไปรับของเลย ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมาหลายรอบ จะได้ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลา ” ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าเพื่อนน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้…
    ว่าแล้วก็ไปหยิบโทรศัพท์ เพื่อจะโทรไปบอกให้เพื่อนทำตามที่เราคิด ในขณะกำลังจะกดเบอร์ ก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า “เอ๊ะ!!! นี่เรากำลังก้าวก่ายเรื่องของเพื่อนมากเกินไปรึป่าว”
    ทุกข์ : คิดแทนเพื่อนจนฟุ้ง (ถ้าเพื่อนทำตามนี้จะได้ง่ายและประหยัด)
    สมุทัย : ชอบใจถ้าได้บอกให้เพื่อนทำตามแบบที่เราคิด ชังถ้าไม่ได้บอกเพื่อน
    นิโรธ : จะได้บอกหรือไม่ได้บอกเพื่อนก็ได้ ใจไร้ทุกข์
    มรรค : เมื่อจับอาการของกิเลสได้จึงเข้าไปพิจารณาว่า
    เรา : แกนี่จะทำไมชอบทำตัวจุ้นจ้าน ไปยุ่งอะไรกับเรื่องของคนอื่นนักหนา
    เรื่องของตัวเองยังยุ่งไม่พออีกรึไง
    เขาขอให้ช่วยแค่นี้ ยังจะคิดต่อไปเรื่องอื่น
    ถ้าใครมาบอกให้แกทำแบบนั่นแบบนี้…แกจะชอบมั๊ย???
    มาร : ไม่ชอบแน่นอน คิดเองได้
    เรา : ก็นั่นแหละ…ตัวแกเองยังไม่ชอบ….เพื่อนเขาก็ต้องไม่ชอบเหมือนกัน
    เขาก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่ต้องบอกให้ทำนั่นนี่ เขาก็มีสมอง เขาคิดเองได้
    แกก็ช่วยในสิ่งที่ควรช่วยแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เขาจัดการด้วยตัวเขาเอง
    หยุดเสียทีเถอะ!!! อย่าทำเกินหน้าที่
    เก็บพลังงานไปจัดการตัวเองให้ดีก่อนเถอะมาร
    ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 145 “ อย่าสร้างความสุขให้กับตน ด้วยการไปสร้างความทุกข์ให้กับคนอื่น ”
    บทสรุป ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่ายชีวิตมากเกินพอดี แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม เราควรเคารพในของเขตของแต่ละชีวิต เมื่อเห็นโทษของการยัดเยียดดีให้คนอื่น จึงตั้งจิตเลิกพฤติกรรมเช่นนี้ แม้เพียงเล็กน้อยก็จะสำรวมระวัง พิจารณาแบบนี้แล้ว ใจเราสบายขึ้น ปล่อยวางเรื่องเพื่อนให้เป็นเรื่องของเพื่อนได้อย่างไม่กังวลใจ

  52. น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร)

    25/06/64
    ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
    ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
    จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
    เรื่อง: ไม่ใช่หน้าที่ของเรา
    สมาชิกที่บ้านท่านหนึ่งได้รับอุบัติเหตุของตกใส่ตา ทำให้เลือดออกที่ตา ท่านเลือกที่จะใช้ยา 9 เม็ดอย่างเดียว ไม่ยอมไปพบแพทย์ ผู้เขียนจึงไปทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นมาให้ดื่ม และจะเอากากสมุนไพรให้ประคบเพื่อลดอาการปวด เขาก็เลือกที่จะดื่มน้ำสมุนไพรแต่ปฏิเสธที่จะเอากากสมุนไพรมาทำลูกประคบ ด้วยเหตุผลว่าเขาได้ใช้สำลีชุบน้ำปัสสาวะผสมน้ำสกัดไปประคบตรงตาแล้ว
    ด้วยความยึดดีของตัวเอง ผู้เขียนคิดว่าการเอากากสมุนไพรผสมน้ำปัสสาวะมาทำเป็นลูกประคบบริเวณรอบดวงตาจะช่วยบรรเทาปวดได้เร็วกว่าวิธีการที่เขาทำ แต่เมื่อเขาปฏิเสธความหวังดีของเรา จึงเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา คิดเพ่งโทษเขาในใจว่า “ทำไมถึงไม่ลดอัตตาตัวเองลงบ้าง ทำไมไม่เปิดใจยอมรับวิธีการของคนอื่นบ้าง มันอาจจะดีกว่าที่เขาคิดก็ได้”
    ทุกข์ : ชิงชังที่เขาปฏิเสธคำแนะนำของเรา
    สมุทัย : ชอบใจถ้าเขาจะยอมรับและปฏิบัติตามคำแนะนำของเรา ชังที่เขาไม่เชื่อตามเรา
    นิโรธ : เขาจะยอมรับและปฏิบัติตามคำแนะนำของเราหรือไม่ก็ได้ ไม่ทุกข์ใจ
    มรรค : เมื่อจับอาการของกิเลสได้จึงเข้าไปพิจารณาว่า
    มาร: ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลย อัตตาชัด ๆ จะฉลาดกว่ามั๊ยถามยอมเชื่อคนอื่นบ้าง
    เรา : แกนั่นแหละที่อัตตาจัด เขาไม่ยอมทำตามแกก็ไปโกรธเขา
    เที่ยวไปยุ่งกับชีวิตคนอื่น เขาขอร้องมึงรึป่าว
    มาร : ป่าวเลย เราเข้าไปให้เขาเอง
    เรา : เออนั่นไง แกเอาตัวเองให้รอดก่อน
    ตาก็เป็นตาของเขา เจ็บเขาก็เป็นคนเจ็บเอง เขาพอใจที่จะรักษาวิธีไหนมันก็เป็นเรื่องของเขา
    ไม่ต้องเอาสิ่งที่แกคิดว่าดีไปบีบคอให้เขาทำตา ชั่วจริง ๆ เลย
    ทำให้เห็นว่าแท้ที่จริงเราไม่ได้หวังดีกับเขาเลย แต่เรามีความอยากให้เขาทำตามสิ่งที่เราคิด แล้วไปอ้างว่าเป็นห่วงเขา มันชั่วจริง ๆ
    พิจารณาต่อว่า แม้สิ่งที่เราแนะนำจะเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ก็ตาม แต่ในเมื่อเขายังไม่พร้อมที่จะรับ แสดงว่านั่นไม่ใช่เวลา
    ตรงกับบททบทวนธรรมข้อที่ 130 “ อย่าแบกชีวิตคนอื่น อย่าทำผิดหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่ ถ้าเขาไม่ฟังเรา ให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการจะทำ ปล่อยวางให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ถ้าเราพยายามบอกแล้ว สอนแล้ว เตือนแล้ว แต่เขายังไม่ฟัง เราสอนเขาไม่ได้ แปลว่า การสอนเขาไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา หน้าที่เราคือ ทำเต็มที่เต็มแรงอย่างรู้เพียรรู้พัก แล้วปล่อยวางให้เป็นไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ”
    บทสรุป เมื่อปล่อยวางความอยากที่จะให้เขาเชื่อและทำตามเราได้แล้ว ใจเราก็โปร่งโล่งขึ้น สบายขึ้น

Comments are closed.