รายงานข่าว
รายการ รวมพลัง ภาคกลางสู้กิเลส
ประจำวันพุธที่ 21 เมษายน 2564
เวลาประมาณ 19.00-21.30 น.มีผู้เข้าร่วมประมาณ 29 ท่าน
ช่วงแรกได้แจ้งข่าวการวางร่างวางขันธ์ของพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม อาคิม บ้านโป่ง (ใจถึงพุทธ เสียงแจ่ม) เมื่อเข้าสู่รายการ ตรวจการบ้านอริยสัจ นับเป็นโอกาสอันดีที่อาจารย์หมอเขียวและปัชฉา (อาป้อมและน้องบ่าว) ได้ร่วมให้สัมมาทิฏฐิแก่จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม
มีรายชื่อจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ที่ส่งการบ้านอริยสัจจำนวน 3 ท่าน
- 1. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (ต่าย เมฆ ลม ฟ้า) เรื่อง กลัวโดนตำหนิ
- 2. พันธุ์ทิพา นุชทิม (กุ้ง บุญยาใจ) เรื่อง ความทุกข์ในเรื่องงาน
- 3. สมทรง (ป้าติ๋ม สวน9) เรื่อง อาการเจ็บป่วย ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรา
อาจารย์หมอเขียวได้ให้ธรรมะ…
ทุกขอริยสัจคือ ความกลัวไม่ได้ดังใจหมาย พอไม่ได้เลยเป็นทุกข์ เหตุคือ ความอยากได้ เพราะมันมีสุขลวง เก็บไม่ได้ ไม่มีสาระ ถ้าเราชัดเจนว่า มันเป็นทุกข์ เราก็ไม่อยากได้มัน สรุป ทุกข์เกิดจากการไม่ได้ดังใจหมาย วิธีดับทุกข์คือให้เลิกความอยากได้ดังใจหมายนั้น ให้ตั้งศีลมากำจัดทุกขอริยสัจนั้น คำนินทาเป็นอนัตตา มันไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มันไม่มี อนัตตามันไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา มรรคคือการคลายสุขลวง ทุกข์จริงออกไป อยากได้อะไร ให้เลิกอยากได้สิ่งนั้น ให้ยินดีให้ได้ การยินดีมี 2 ชั้นคืออุเบกขา ไม่ได้อยากได้อะไร จิตเป็นกลาง อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ยินดีในชั้นที่ 2 คือ เอาประโยชน์ให้ได้ เราเข้าใจเรื่องวิบาก จะเต็มใจรับ นี่คือสภาพนิโรธ
แม้เหตุการณ์ทุกข์นั้น ยังไม่ได้เกิดขึ้น ความทุกข์จริงเกิดขึ้นในใจแล้ว แสดงว่าทุกขอริยสัจเกิดขึ้นแล้ว เป็นทุกข์จริง ณ ปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นการคิดในอดีตหรือเป็นการปรุงไปเองในอนาคตก็ตาม พอมีเหตุการณ์มากระทบ มาตลีเทพส่งจดหมายมาบอกว่า เรามีทุกข์ในเรื่องนี้ เราจึงต้องรีบตั้งศีลกำจัดมัน เพราะมันเป็นทุกข์ หน้าที่เราแต่ละวันคือ กำจัดทุกข์ เราเป็นบริษัทกำจัดทุกข์ “พุทธบริษัท” กำจัดทุกข์ที่ไม่ได้ดังใจหมาย ให้ตรวจสอบแต่ละวัน ในเรื่องชั่ว เรื่องดี ไม่ได้ดังใจหมาย พระพุทธเจ้าให้อยู่กับปัจจุบัน คือจิตในปัจจุบัน การทำงาน ทำกุศล หน้าที่ของเราคือ เราไม่ได้เลิกทำดี แต่เราเลิกทุกข์จากดี
ช่วงท้าย อาจารย์ได้ให้สัมมาทิฏฐิเรื่องการใช้กัญชา ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคน แต่ให้ยึดหลักการพึ่งตน ประหยัด เรียบง่าย แม้จำเป็นต้องพึ่งการแพทย์ศาสตร์อื่น ให้ดูเหตุปัจจัย ชีวิตแต่ละชีวิตไม่เหมือนกัน
เรื่องความสูญเสียของพี่น้อง แต่ละชีวิตมีวิบากดี วิบากร้ายไม่เหมือนกัน วิบากเป็นเรื่องซับซ้อน ชีวิตแต่ละชีวิต เอาแน่ไม่ได้ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ให้เราอุเบกขา ให้ล้างสุขลวง ทุกข์จริงและเอาประโยชน์ เกื้อกูลกัน เพราะเราไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย
ปัจฉา (อาบ่าว)ได้ให้สัมมาทิฏฐิ : เวลาเกิดผัสสะ สังขารขึ้นมาแล้วเราจับอาการทางใจ ว่าใจเราทุกข์หรือไม่ทุกข์ตรงนี้คือเวทนาจริง มันจะสังขารว่าอย่างไรก็ได้ ที่นี่ปัญญาก็ต้องรู้ว่าสังขารนั้นให้ผลอย่างไร ก็ต้องเห็นราก สมุทัยคือความกลัว กลัวคนจะตำหนิ มันคิดปรุงไปลวงหน้า และสร้างทุกข์ได้จริง มันเป็นวิปลาสจริงแต่พอรู้เท่าทัน มันจะหายไปจริงและให้ตรวจสอบต่อไปว่ายังมีหลงเหลืออยู่ไหม
ปัจฉา (อาป้อม) การปฏิบัติในศีลต้องตั้งมั่น สำรวจอินทรีย์และจับอาการของตัวเอง พอเราตั้งศีลอะไร จะเห็นอาการตรงนั้นและจะได้ไม่ประมาท ความไม่ประมาท จิตเราต้องไม่มีบาป ให้แววไวกับการไม่ทำบาป คือไม่ทำให้เกิดสุข-ทุกข์ในใจให้เกิดขึ้น จิตต้องแววไวไม่ทำให้เกิดสุข-ทุกข์ในใจให้เกิดขึ้น ต้องเริ่มต้นที่ศีล จรณะ15