640404 การบ้าน อริยสัจ 4 (14/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 29 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านทั้งหมด 33 ท่าน 73 เรื่อง
- สมพงษ์ โขงรัมย์(สู่สวนสงบ) (8)
- น.ส จาริยา จันทร์ภักดี
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- จิรานันท์ จำปานวน (6)
- น.ส.ทิษฏยา โภชนา (นุ้ย)(ในสายธาร) (3)
- นปภา รัตนวงศา (7)
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้าน้อมศีล)
- savitree manovorn (4)
- รมิตา ชีบังเกิด
- นางสาวนาลี วิไลสัก (5)
- นางจีรวัลย์ วัฒนสิน Cheerawan Wattasin (2)
- น.ส สำรวย รัตตนะ
- นางจิราภรณ์ ทองคู่
- สุมา ไชยช่วย (3)
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- นวลนภา ยุคันตพรพงษ์ (6)
- นางพรรณทิวา เกตุกลม (2)
- สาคร รอดรัตน์(ป้าหนุ่ย)
- นางภัคเปมิกา อินหว่าง (3)
- อภินันท์ อุ่นดีมะดัน (ก๊อบ สื่อศีล)
- Sureenart ratchapan สุรีนารถ ราชแป้น
- Ruam Ketklom
- ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- ปิ่น คำเพียงเพชร (2)
- ภาคภูมิ ยอดปรีดา (สร้างแก่นศีล)
- เสาวรี หวังประเสริฐ
- พรพิทย์ สามสี
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- นฤมล ยังแช่ม
- ประคอง เก็บนาค
- จิตรา พรหมโคตร
- ศิริพร คำวงษ์ศรี



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 158
เรื่องไม่แช่มชื่นใจ
เนื้อเรื่อง
ได้มาอยู่กับหมู่ หมู่เขาก็จับกลุ่มคุยกันและทำงานร่วมกันอย่างสนุกสนานแต่เราไม่มีพวกไม่มีหมู่ ทำให้น้อยใจไม่ฉ่ำชื่นใจ เว้าใจทำไมเขาไม่มาคุยกับเราทำไมเขาไม่มองหน้าเรา มีจิตตัวกลัว กังวลระแวงหวั่นไหว
ทุกข์
อยากให้คนอื่นเห็นเราอยู่ในสายตา คนอื่นเข้าใจเรา
สมุทัย ชอบที่คนอื่นเข้าใจเรา ชังที่เขาไม่เข้าใจเรา
นิโรธ
ไม่ชอบไม่ชังใครจะเข้าใจเราหรือไม่เข้าใจเราก็ใจไร้เรื่องไม่แช่มชื่นใจ
เนื้อเรื่อง
ได้มาอยู่กับหมู่ หมู่เขาก็จับกลุ่มคุยกันและทำงานร่วมกันอย่างสนุกสนานแต่เราไม่มีพวกไม่มีหมู่ ทำให้น้อยใจไม่แช่มชื่นใจ เว้าใจทำไมเขาไม่มาคุยกับเราทำไมเขาไม่มองหน้าเรา มีจิตตัวกลัว กังวลระแวงหวั่นไหว
ทุกข์
อยากให้คนอื่นเห็นเราอยู่ในสายตา คนอื่นเข้าใจเรา
สมุทัย ชอบที่คนอื่นเข้าใจเรา ชังที่เขาไม่เข้าใจเรา
นิโรธ
ไม่ชอบไม่ชังใครจะเข้าใจเราหรือไม่เข้าใจเราก็ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค
มาพิจารณาดูว่ามารมันจะเอาอะไรจากหมู่หลายเหลี่ยมหลายมุม
มาร
ไม่รู้หรือไงว่าการทำงานต้องใช้ระบบหมู่ ต้องสามัคคีกัน ไม่มีแยกพรรคแยกพวก
เรา
ฟังธรรมะจากอาจารย์หมอเขียวบอกว่าดีแล้วที่เขาไม่ด่าเราแค่เขาไม่มองหน้าเราเขาไม่เอาเราเป็นพวกดีกว่าเขาด่าเขาฆ่า
มาร
ไม่เอาไม่เอาแค่ไม่เข้าใจเราเราก็ทุกข์แทบตายแล้ว
เรา
สภาพของกิเลสก็เหมือนเด็กงอแงจะเอาแต่ใจ ร้องกระจองอแงเรียกร้องความสนใจ (เห็นพลังงานชั่วๆ ของกิเลสหรือยัง)
มาร
ก็ไหนบอกว่าหมู่มิตรดีต้องสามัคคีกันต้องคุยกัน
เรา
ก็ช่วงนี้เป็นการใช้วิบากไปก่อนก็ทำชั่วมาเยอะไม่ใช่หรือจะไม่ยอมรับความลำบากเลยจิตใจก็อ่อนแอสิ
มาร ก็เขามีแรงแค่นี้จิตใจเขาเข้มแข็งอยู่แค่นี้เขาสู้ได้แค่นี้ มันติดแป้นแล้ว
เรา
ก็เขาหาโจทย์ให้เราโจทย์ที่อยู่ปัจจุบันนี้คือดีที่สุดแล้วเรามาฝึกเป็นผู้ยอมเป็นผู้มีศีลระเบิดแดงออกไปก็คือตายเป็นตายจะไม่ผิดศีลจะเบิกบาน แจ่มใส แช่มชื่นอิ่มอกอิ่มใจข้อที่13 ไม่มีใครทำดีกับเราได้ นอกจากตัวเราเองไม่มีใครทำร้ายเราได้
นอกจากตัวเราเอง เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจัก
ทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ตัวก็ตาม เราจับได้รับผลของกรรมนั้น อย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้เราได้
นอกจากวิบากดีร้ายของเราเท่านั้นพี่ดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้เราได้เราทำดีก็ได้รับผลดีเราทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว
พอพิจารณาแบบนี้ซ้ำๆ อ่านทบทวนการบ้านที่เขียนบ่อยๆ ทำให้เห็นกิเลสที่มีตัวจากเอาจากหมู่มิตรดีลดลงใจเบาลงใจเบิกบานมากขึ้น เพราะเข้าใจเชื่อและชัดเรื่องกรรมใครทำไม่ดีก็ได้สิ่งไม่ดีใครทำดีก็จะเบิกบานแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆทุกข์ไร้กังวล
มรรค
มาพิจารณาดูว่ามารมันจะเอาอะไรจากหมู่หลายเหลี่ยมหลายมุม
มาร
ไม่รู้หรือไงว่าการทำงานต้องใช้ระบบหมู่ ต้องสามัคคีกัน ไม่มีแยกพรรคแยกพวก
เรา
ฟังธรรมะจากอาจารย์หมอเขียวบอกว่าดีแล้วที่เขาไม่ด่าเราแค่เขาไม่มองหน้าเราเขาไม่เอาเราเป็นพวกดีกว่าเขาด่าเขาฆ่า
มาร
ไม่เอาไม่เอาแค่ไม่เข้าใจเราเราก็ทุกข์แทบตายแล้ว
เรา
สภาพของกิเลสก็เหมือนเด็กงอแงจะเอาแต่ใจ ร้องกระจองอแงเรียกร้องความสนใจ (เห็นพลังงานชั่วๆ ของกิเลสหรือยัง)
มาร
ก็ไหนบอกว่าหมู่มิตรดีต้องสามัคคีกันต้องคุยกัน
เรา
ก็ช่วงนี้เป็นการใช้วิบากไปก่อนก็ทำชั่วมาเยอะไม่ใช่หรือจะไม่ยอมรับความลำบากเลยจิตใจก็อ่อนแอสิ
มาร ก็เขามีแรงแค่นี้จิตใจเขาเข้มแข็งอยู่แค่นี้เขาสู้ได้แค่นี้ มันติดแป้นแล้ว
เรา
ก็เขาหาโจทย์ให้เราโจทย์ที่อยู่ปัจจุบันนี้คือดีที่สุดแล้วเรามาฝึกเป็นผู้ยอมเป็นผู้มีศีลระเบิดแดงออกไปก็คือตายเป็นตายจะไม่ผิดศีลจะเบิกบาน แจ่มใส แช่มชื่นอิ่มอกอิ่มใจข้อที่13 ไม่มีใครทำดีกับเราได้ นอกจากตัวเราเองไม่มีใครทำร้ายเราได้
นอกจากตัวเราเอง เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจัก
ทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ตัวก็ตาม เราจับได้รับผลของกรรมนั้น อย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้เราได้
นอกจากวิบากดีร้ายของเราเท่านั้นพี่ดลบันดาลสิ่งดีสิ่งร้ายให้เราได้เราทำดีก็ได้รับผลดีเราทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว
พอพิจารณาแบบนี้ซ้ำๆ อ่านทบทวนการบ้านที่เขียนบ่อยๆ ทำให้เห็นกิเลสที่มีตัวจากเอาจากหมู่มิตรดีลดลงใจเบาลงใจเบิกบานมากขึ้น เพราะเข้าใจเชื่อและชัดเรื่องกรรมใครทำไม่ดีก็ได้สิ่งไม่ดีใครทำดีก็จะเบิกบานแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆ
การบ้านอริยสัจ4
ชื่อนส.จาริยา จันทร์ภักดี
ระหัสนศ.6012007003
อายุ49 ปีเป็นจิตอาสาพวธ.สังกัดสวนป่านาบุญ2อ. ชะอวดจ. นครฯ
เรื่อง ไม่มีเน็ต
จะเรียนภาษาอังกฤษของวชช. แต่เน็ตไม่มีต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ในตัวอำเภอเพื่อจะได้มีเน็ตใช้ ในการเข้าเรียน แต่กลับบ้านไม่ทันเข้าเรียน
ทุกร์ : กังวลใจไม่มีเน็ต จะเข้าเรียนไม่ทัน
สมุทัย :ชอบที่มีเน็ตใช้ แล้วได้เข้าเรียนทันเวลา
ช้งที่ไม่มีเน็ตใช้
นิโรธ : จะมีเน็ตใช้ หรือไม่ใจก็ไร้ทุกข์ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค :พอรู้ว่า กลับไปเรียนที่บ้านไม่ทันทำใจสงบๆ แล้วคิดว่าในเมื่อไปเรียนที่บ้านไม่ทันก็ปรับเปลี่ยนแล้วกัน จึงตัดสินใจนั่งเรียนหน้าธนาคาร ซึ่งมีสถานที่สะดวกเช่นกัน พอเรียนเสร็จ ตรงกับบททบทวนธรรม ข้อ 56ว่า”ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถึงอมกั่น ต้องพร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน ตลอดเวลา จากที่ได้ พิจรณาทำใจ ได้ว่าแม้ไม่ได้เรียน ที่บ้านก็ไม่เป็นไร เรียนทีไหนก็ได้เพราะ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในที่สุดความกังวลหายไปใจไร้ทุกข์ก็กลับมา
อริยสัจ 4
เรื่อง เสียดายที่ไม่ได้วิวสวย ๆ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เรียนวิชาการตัดต่อภาพด้วยคอมพิวเตอร์และคุรุท่านให้การบ้านมา 1 ข้อคือการทำคลิปวีดีโอเรื่องบททบทวนธรรมที่ประทับใจสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที ตัวเองตั้งใจว่าวันศุกร์เช้าหลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปทำการอัดวีดืโอเพื่อจะนำมาทำเป็นการบ้านส่งคุรุ ต้องการอัดวีดีโอในสวนหย่อมเพราะวิว และต้นไม้ใบหญ้าสีสดใสดี จึงเตรียมอุปการณ์ทุกอย่างพร้อม แต่พอออกจากนอกตัวอาคารรุู้สึกได้ว่าเสียงรถยนต์ (ที่ทำงานติดกับทางด่วน) ดังรบกวนมากขณะอัดวีดีโอพยายามตะโกนเสียงให้ดังอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็สู้เสียงดังของรถยนต์ไม่ไหว จึงต้องกลับเข้าไปอัดวีดีโอในตัวอาคารเสียดายที่ไม่ได้วิวสวย ๆ ในสวนหย่อม
ทุกข์ : รำคาญเสียงรถยนต์
สมุทัย : ไม่อยากให้มีเสียงรถยนต์มารบกวนขณะอัดวีดีโอของตัวเอง อยากให้บรรยากาสเงียบ ๆ สงบ ๆ เพื่อเสียงของตัวเองในวีดีโอจะได้ชัดเจน ไม่ชอบที่มีเสียงรถยนต์รบกวนในขณะอัดวีดีโอ
นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชังที่มีเสียงรถยนต์รบกวนขณะอัดวีดีโอ หากเสียงรถยนต์ดังมากก็ไม่ต้องอัด หรือไม่ก็เข้าไปอัดในตัวอาคารที่ทำงานก็ได้
มรรค : ขณะทำการบ้านพยายามตั้งสติโดยการพูดให้ดัง ๆ เพื่อจะแข่งกับเสียงรถยนต์ที่สนไปมาพยายามอยู่ประมาณ 3 คร้ังเลยตัดสินใจเข้าไปอัดวีดีในตัวอาคารดีกว่า คิดว่าเทวดาคงอยากให้เข้าไปในอาคารมากกว่า ไม่เป็นไรถึงแม้จะไม่ได้วิว และสีสันของต้นไม้แต่ก็ได้วีดีโอที่ไม่มีเสียงรบกวน และเสียงพูดที่ชัดเจนมากกว่าข้างนอก และผลงานที่ออกมาก็เกินความคาดหวัง คืออัดวีดีโอรวมทั้งหมด 9 คลิปสามารถนำไปใช้ได้จริง 3 คลิปถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว ยอมรับในสิ่งที่ได้ในขณะนั้น ยินดีพอใจกับผลงานของตัวเอง เพราะนั้นคือสมบัติของตัวเอง พอนึกถึงคำสอนของท่าอาจารย์หมอเขียวประโยคนี้ ทุกข์ที่เหลือเพราะความเสียดาย 20 เปอร์เซนต์ก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ สาธุ
เรื่อง : อยากฟังคำอธิบาย
เหตุการณ์ : เราไปถามพี่ที่ทำงานว่าในระหว่างเราออกไปธุระนอกห้อง ที่ประชุมเขาพูดเรื่องอะไรบ้าง พี่ก็ตอบมาว่า ก็ไม่มีอะไร
ทุกข์ : หงุดหงิดที่พี่ไม่อธิบาย
สมุทัย : ชอบที่พี่อธิบาย ชังที่พี่ไม่อธิบาย
นิโรธ : พี่จะอธิบาย หรือไม่อธิบายก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาพิจารณาตรวจใจกัน
มาร : หงุดหงิดๆ ทำไมไม่อธิบายเลย ตอบมาได้ว่า ก็ไม่มีอะไร
เรา : เอ๊ะ แล้วเธอจะหงุดหงิดทำไม
มาร : ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะถามพี่ให้รู้เรื่อง ว่าที่ประชุมพูดอะไรกันไปบ้างแล้ว แต่ตอบมาแค่สั้นๆ จะไปรู้เรื่องไหมเนี่ย เฮ้อ อยากฟังคำอธิบาย
เรา : นั่นไง สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี เป็นไงไม่ได้ดั่งใจทุกข์ไหมล่ะ ใครบอกให้เธอไปยึดว่าพี่คนนั้นต้องอธิบายอย่างที่เธออยากจะฟัง โง่ชะมัดเลยเจ้ากิเลสเอ๋ย
มาร : อ้าว นี่ฉันโง่เหรอ
เรา : ก็โง่น่ะสิ ที่ไปคิดแบบยึดมั่นถือมั่น เธอควรจะคิดแบบพุทธะนะ คิดแล้วสบายใจไร้กังวล คือ พี่คนนั้นจะอธิบาย หรือไม่อธิบายก็ไม่ชอบไม่ชัง
มาร : ตกลงๆ
สรุป สบายใจได้แม้ว่าพี่คนนั้นจะไม่อธิบายก็ตาม ขอบคุณที่ไม่อธิบายเพราะมันช่วยงัดกิเลสตัวนี้ออกมา สาธุค่ะ
29/03/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : ของถูกเลื่อนที่
ล้างหม้อวางไว้ใกล้ซิ้งค์ล้างจานรอให้สะเด็ดน้ำ ผ่านไป 10 นาที กลับไปจะหยิบหม้อแต่ปรากฏว่าหม้อไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เดินหาตรงที่คว่ำจานอีกจุดก็ไม่มี ก็เริ่มหงุดหงิด หันไปถามคนที่อยู่ในบ้านก็ไม่มีใครเห็น น้าอีกคนก็ออกมาช่วยหา เดินวนรอบบ้านก็ยังไม่เจอ ความโกรธก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา ก็เริ่มบ่นออกมาว่า “ประจำเลย เผลอวางอะไรไว้ไม่ได้ต้องช่วยย้ายให้ทุกที คนกำลังรีบๆ” ในใจก็ไปเพ่งโทษป้า คือผู้เขียนจะถูกป้าคนนี้ย้ายของที่วางไว้เป็นประจำ เรียกว่าเป็นคู่วิบากกันเลย แล้วก็ไม่ผิดคาด ป้าเป็นคนเอาหม้อไปวางที่อื่นจริง ๆ กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลานานพอสมควร ปรากฎว่าไปเจอหม้อวางผึ่งลมอยู่ตรงสวนข้างบ้านไม่ใช่ตรงพื้นที่ใกล้ ๆ ครัว
ทุกข์ : โกรธที่ของถูกย้ายที่
สมุทัย : ชอบใจถ้าป้าไม่มาย้ายของๆ เรา ไม่ชอบใจที่ป้าต้องย้ายของเราทุกที โดยเฉพาะเวลาที่กำลังรีบเร่ง
นิโรธ : ป้าจะย้ายของหรือไม่ย้ายของเราก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค: เมื่อรู้ว่าของถูกย้ายที่ ความโกรธก็มาเยือน หน้าของป้าจ้าวประจำก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที และเมื่อรู้ว่าคนที่ย้ายของเป็นป้าจริง ๆ ดังที่คาดการณ์ไว้ ยิ่งโกรธทวีคูณขึ้น
มาร : “ เอาอีกแล้ว ย้ายของอีกแล้ว”
“งานอื่นขอให้ช่วยไม่ช่วย แต่ต้องมาช่วยย้ายของให้หายากทุกที”
“กว่าจะหาเจอแต่ละครั้ง รู้มั๊ยว่าเหนื่อย เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยชอบย้ายของคนอื่นสักที? “
กิเลสมันซัดรัวมาเป็นชุดเลย ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ตอบกลับมันไปว่า
เรา “ สมบัติของแก วิบากของแกก็ต้องรับ จะไปโทษป้าทำไม “
พอกิเลสมันได้ฟัง มันก็ยังไม่ยอม มันแก้ตัวว่า
มาร “เท่าที่จำความได้ไม่เคยทำพฤติกรรมนี้เลยนะ”
“ถ้าเป็นของเก่าที่เราเคยทำมาในอตีด แล้วเมื่อไหร่จะจบซะที”
“นานมากแล้วที่ต้องทนกับเรื่องแบบนี้ เหนื่อยกับเรื่องแบบนี้ของป้าแกแล้วนะ “
เรา “ ก็ถ้าแกยังไม่สำนึกให้ได้ ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกได้รับ คือสิ่งที่แกทำมา” มันก็ไม่จบหรอก”
มาร “ เรามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ (นึกย้อนถึงพฤติกรรมของป้าที่เราไม่ชอบ) ชอบย้ำคิดย้ำทำ ชอบย้ายของคนอื่น บอกแล้วว่าอย่าก็ย้าย ไม่บอกก็ย้าย ฯลฯ ”
เรา “ เออ!! ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะ!! ชิงชังอะไร คือ เราเคยทำมาทั้งนั้นแหละ”
“หลงคิดว่าป้าไม่ดี แต่แท้จริงแกนั่นแหละที่ชั่วมาก่อน”
กิเลสพอมาได้ฟังพุทธะสวนหมัดเข้าอย่างแรง ก็ยอมสงบลงเลย
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 46 “เกิดอะไร จงท่องไว้ กู-เรา-ฉัน ทำมา” และ
ข้อที่ 43 “ ทำร้ายเขามาตั้งมากตั้งมาย ยังมีหน้ามาโกรธมาเกลียดเขาอีก มันชั่วเกินไปแล้วเรา ”
ยอมรับในผลของกรรมที่เราเคยทำมา ตั้งจิตขออโหสิกรรมที่ไปเพ่งโทษป้า ขอบคุณที่ป้ามาให้เราได้ใช้วิบาก พิจารณาแบบนี้แล้ว ความโกรธ ความขุ่นในใจ สลายไปเลย
เรื่อง กังวลกลัวต้นไม้ตาย
เหตุการณ์ 3 วันมาแล้วที่สวนใช้ไฟไม่ได้ ต่อไฟจากบ้านพ่อแต่พอสับสวิตซ์ก็จะใช้ไม่ได้ ก็หาสาเหตุกันมาจากบ้านน้องไหม? จากสวนน้องไหม? หรือจากสวนตัวเอง? ตอนนี้หน้าร้อน แดดแรงมาก ฝนก็ไม่ตก กังวลต้นไม้จะตาย
ทุกข์ ไม่ได้รดน้ำ กลัวต้นไม้จะตาย
สมุทัย ชอบถ้าต้นไม้รอด ชังถ้าต้นไม้ตาย
นิโรธ ต้นไม้จะรอดหรือจะตายก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มาตรวจดูใจกัน
มาร :ต้นไม้ตายแน่ๆ อากาศร้อนอย่างนี้
เรา :ตายแล้วเป็นไง
มาร :มันเหนื่อยนะสิ ปลูกแล้วปลูกอีก เบื่อจะตาย
เรา :ถ้าต้นไหนมันไม่แข็งแรงมันก็ต้องตาย ถึงจะอยู่มันก็ไม่แข็งแรง ตายไปก็ดีแล้ว ตอนนี้ผิดศีลอะไรไหมละ วิบากจึงเข้ามา ตรวจดูสิ
มาร :ผิดศีลใช่ไหม ก็ผิดอยู่นิดเดียวเอง ไม่อยากตื่นตอนเสียงนาฬิกาปลุก อยากนอนต่อสักนิดหนึ่ง
เรา :เฮ้ย! ตรวจดูใหม่ ผิดนิดเดียวได้ไง ผิดศีลมากเลย อาจารย์ท่านก็สอนอยู่”เสียชีพอย่าเสียศีล เสียศีลคือเสียทั้งหมด เสียอะไรไปก็ตาม อย่าเสียศีล แล้วชีวิตเราจะได้สิ่งดีทั้งหมด”
มาร :ผิดศีลนี่ผิดมากอย่างนั่นเลยหรือ?
เรา :ใช่ ผิดมากมายเลย จะทำผิดศีลอีกไหม?
มาร :ไม่แล้วละ ตื่นแล้วจะลุกขึ้นเลยนะ ขอสัญญา ผิดศีลมันน่ากลัว
สรุป ใจก็ไม่ทุกข์ ไม่กังวล ถึงไฟจะใช้ไม่ได้ ต้นไม้จะตายหรือไม่ตาย ก็ยังมีน้องไปช่วยดู ช่วยหาจุดที่เป็นสาเหตุให้ ถ้าศีลดีทุกอย่างก็ดีแน่..สาธุ
ส่งการบ้าน อริยสัจ
เรื่อง.เครื่องตัดหญ้าตัดกิเลส
เหตุการณ์.เนื่องจากไปสวน ไปตัดหญ้าเครื่องตัดหญ้าสตาทร์ติดดีแต่พอเร่งคันเร่งเริ่มจะตัดเครื่องก็ดับ ทำอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ได้จึงตัดสินใจโทรถามอา เพราะอาเป็นช่าง อาบอกวิธี ลองทำตาม จึงใช้ได้ตามปกติ
ทุกข์.ขุ่นใจเครื่องตัดหญ้ามีปัญหาดับบ่อย
สมุทัย.ยึดที่จะตัดหญ้าให้เสร็จตามที่ตั้งใจ ชอบที่จะให้เครื่องตัดหญ้าอยู่ในสภาพดี ตัดหญ้าได้ตามที่เราต้องการ ไม่ชอบใจเมื่อเครื่องตัดหญ้ามีปัญหาดับบ่อยครั้ง
นิโรธ.วางใจไม่กังวลเครื่องตัดหญ้าจะดับจะติดก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค.ตั้งศีลมาพิจารณาความชอบชังล้างความยึดมั่นถือมั่น พิจารณาเห็นถึงโทษของความยึดมั่นถือมั่น ของความชอบชัง ทำให้ความขุ่นใจทำให้เราทุกข์ใจไม่มีสติขาดปัญญาที่จะแก้ปัญหา พิจารณาประโยชน์ของการล้างความยึดมั่นถือมั่น ล้างความชอบชังได้ ทำให้มีสติใช้ปัญญาแก้ปัญหาได้ จึงตัดสินใจโทรหาอา ถ้าเมื่อก่อนถ้าเครื่องตัดหญ้ามีปัญหาก็เอาไปที่ร้านซ่อม เสียทั้งเวลาเสียทั้งเงิน งานก็ไม่ได้ กิเลสก็หนา แต่เมื่อเราวางใจได้ จะได้ก็ได้หรือไม่ได้ก็ดี
ได้ทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
และใช้บททบทวนธรรม บทที่78 มาพิจารณาร่วมด้วย คือ ความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จ ของกิจกรรมการงาน คือ ความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ ส่วนความสำเร็จของใจที่ไร้ทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่น คือ ความจริง
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อก่อน ถ้าไม่ได้ดั่งใจอารมณ์จะขึ้นจะขาดสติ ใจก็ยึด ใจก็ทุกข์ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเมื่อเราวางใจได้ ใจไร้ทุกข์ โล่งโปร่งสบายค่ะ
28 มีนาคม 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญคบคุ้น สวนป่านาบุญ
เรื่อง รำคาญเพื่อน
เห็นเพื่อน ๆ ที่สนิท ตอนยังทำงานด้วยกัน แต่ตอนนี้ได้ลาออกจากงานกันหมดแล้ว ส่งภาพอาหารตามร้านที่ไปกินมาบ้าง สถานที่ไปเที่ยว แต่งตัวโพสท์ท่าถ่ายรูป แล้วก็ผลัดกันชมไปมาอยู่แบบนี้ทุกวัน กิเลสมันรู้สึกรำคาญ อยากจะออกจากกลุ่มไลน์ แต่ไม่รู้จะบอกเหตุผลว่าอย่างไร เพราะไลน์กลุ่มก็มีกันอยู่แค่ 3 คน
ทุกข์ รำคาญเพื่อน
สมุทัย ชอบ ถ้าเพื่อนส่งไลน์เรื่องที่ถูกใจเรา ชัง เพื่อนส่งไลน์เรื่องไร้สาระ
นิโรธ เพื่อนจะส่งไลน์เรื่องอะไร เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค กิเลสมันรำคาญ มันบอกส่งอยู่ได้ทุกวัน มีแต่เรื่องไร้สาระ
พิจารณาว่า แล้วแกมีสาระตรงไหน เพื่อนแค่ส่งภาพที่เป็นวิถีชีวิตของเขา แกก็ไปรำคาญเขาเสียแล้ว เขาไม่ได้ตำหนิหรือขอความช่วยเหลืออะไรให้แกลำบากซะหน่อย ไม่เคยทำรึแบบนี้ เงาแกชัดๆ คนอื่นทำอะไรก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น แกดีอยู่คนเดียวสินะกิเลส ถ้าแกดีจริงทำไมถึงได้ทุกข์อยู่แบบนี้
พิจารณาอย่างนี้แล้ว กิเลสมันละอาย และได้สลายไป อาการรำคาญเพื่อนก็หายไป
บททบทวนธรรม ข้อที่ ๒ เราต้องรู้ว่า แต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจึงควรประมาณการกระทำ ให้เหมาะสมกับฐานจิตของเรา และฐานจิตของผู้อื่น “คิดดี พูดดี ทำดีไว้ก่อน” ดีที่สุด
29 มีนาคม 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญคบคุ้น สวนป่านาบุญ
เรื่อง เสียดาย ไม่ได้กินของที่ชอบ
ตั้งแต่ตั้งศีลไม่ทานมื้อเย็น ก็มีกิจกรรมที่จะต้องไปร่วมโต๊ะการกินอาหารมื้อเย็นของคนอื่นตลอด แต่การตั้งศีลต่อหมู่กลุ่ม มีพลังมาก แม้กิเลสจะหาจังหวะที่อ่อนแอ เช่นเวลาหงุดหงิด มันจะรีบมาฉวยโอกาสชวนไปผิดศีลโดยบอกให้ไปกินมื้อเย็นจะได้หายหงุดหงิด แต่ครั้งนี้พยายามสู้กับกิเลสจริง มันเลยจำยอม จนมาเย็นวันนี้ไปงานมีอาหารที่ชอบหลายอย่าง เห็นคนอื่นเขากินกันอย่างสนุกสนาน กิเลสมันหงอย ๆ กิเลสมันคิดว่า ชีวิตเราน่าเสียดาย ของอร่อย ๆ ทั้งนั้น แต่ไม่มีโอกาสได้กินอีกแล้ว มื้อเย็นก็งด เมนูปลาที่ชอบก็กินไม่ได้ เพราะตั้งศีลไว้เสียแล้ว
ทุกข์ เสียดาย ไม่ได้กินของที่ชอบ
สมุทัย สุขใจ ได้กินของที่ชอบอย่างอิสระ ทุกข์ใจ ไม่ได้กินของที่ชอบอีกแล้ว
นิโรธ จะได้กิน หรือไม่ได้กินของที่ชอบ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค มาเจอการตั้งศีลครั้งนี้กิเลสมันเศร้า มันเสียดายสุขลวงที่เคยทำมาตลอด
พิจารณาว่า ไม่เคยกินรึยังงัย มื้อเย็นกับของอร่อยพวกนั้น ก็กินมาตลอด แล้วชีวิตพ้นทุกข์มั้ย เห็นแต่ยิ่งทุกข์
เรื่องปลาที่ชอบนั่นก็ชีวิตของเขา เราเองเวลามีแผลุแค่เลือดออกซิบ ๆ ก็เจ็บแสบทรมาน นี่ปลาเขาถูกฆ่า เจ็บปวดจนตาย คิดจะอร่อยบนความทุกข์สัตว์อื่นอีก ทำมาแล้วทั้งนั้นสุขลวง ลองทำตรงข้ามดูบ้าง ความทุกข์ทรมานของชีวิตจะได้ลดลง ลองดู
พิจารณาอย่างนี้แล้ว อาการเศร้า และอาลัยอาวรณ์อยากกินของที่ชอบ อยากกินมื้อเย็น ได้สลายไป อาการไม่สบายตัวก็หายไป แต่กลับมีความเบาสบายตัวและมีเรี่ยวแรงมาแทน
บททบทวนธรรม ข้อที่ ๓ “นับ ๑ ที่เรา เริ่มต้นที่เรา ทำความดีที่เรา นี่คือ…เส้นทางเพื่อการพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุก
รมิตา ซีบังเกิด
เรื่อง : ไม่สวยแต่ไม่ผิดศีล
เหตุการณ์ :
พี่ข้างบ้านมาแปลงผักบุ้งที่เราเพิ่งปลูก แต่เตรียมดินได้ไม่ดี ต้นจึงไม่อวบ ไม่เขียว เขาแนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมี แต่เราบอกเขาว่าไม่ใส่หรอกมันไม่ดี เพราะผิดศีลที่ตั้งไว้กับอาจารย์หมอเขียวและหมู่กลุ่ม เขาหยุดพูดเลย
ทุกข์ :
ไม่ชอบที่พี่ข้างบ้านมาแนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมี
สมุทัย :
ชอบถ้าพี่ข้างบ้านไม่แนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมี ชังที่เขาแนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมี
นิโรธ :
เขาจะแนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมีหรือไม่ ก็สุขใจ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค :
พอรู้ตัวว่าไม่ชอบ รีบหันมาปรับใจ ไม่ถือสาเขาๆจะใช้วิธีแบบไหนก็เป็นเรื่องของเขา แต่เรายินดี พอใจที่จะใช้หลักกสิกรรมไร้สารพิษของเรา ต่อมาเขามาปรึกษาว่า จะทำอย่างไรให้ถั่วฝักยาวมีฝักยาว และมะเขือเทศมีลูกโตๆอย่างของเรา เราได้แบ่งปันความรู้และวิธีการของเราให้ด้วยความยินดี แต่เขาจะทำตามหรือไม่ก็อยู่ที่เขา สำหรับเรา ยินดี พอใจในกสิกรรมไร้สารพิษของเราตลอดไปตามบททบทวนธรรมข้อที่ 33 ว่า”ทำดีเต็มที่ได้ทุกวัน ได้เท่าไหร่ พอใจเท่านั้น พอใจเมื่อไหร่ ก็สุขใจเมื่อนั้น” หลังจากพิจารณาแล้วความไม่ชอบใจก็หายไป
สรุป: เมื่อเราได้ทำเต็มที่ทั้งตัวเอง และให้ความรู้กับเขาแล้ว ใจก็เป็นสุข
เรื่อง ต่อบ้านฆ่ามาร
เหตุการณ์ เนื่องจากมีพื้นที่ว่างพ่อบ้านจึงคิดที่จะทำโรงเก็บรถ และจะทำออฟฟิศให้ลูกชายด้วย งบประมาณตอนแรกคิดว่าประมาณไม่มาก แต่ทำไปทำไปยิ่งเยอะ พื้นกระเบื้องต้องเป็นแบบรถเข้าจอดได้ ต้องมีเหล็กดัดด้วยกลัวขโมย ทำรั้วหน้าบ้านให้สวยงาม จะมากไปไหน
ทุกข์ ขุ่นใจสิ้นเปลืองมากเกินไป
สมุทัย ชอบที่ไม่สิ้นเปลืองมาก ชังถ้าสิ้นเปลืองมาก
นิโรธ จะสิ้นเปลืองมากหรือน้อยก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มาดูการล้างใจกัน
มาร :จะเยอะไปถึงไหน คนอื่นเขามีแต่สละออก แต่เรามีแต่มากขึ้นๆ แล้วเมื่อไหร่จะหมด เหล็กดัดไม่เห็นต้องติดเลย รั้วก็ไม่เห็นต้องทำ จะเก็บผักดูแลผักก็ยาก
เรา :เฮ้ย!มารชั่ว โง่ อีกแล้ว มองออกนอกตัวอีกแล้ว หันตาดำกลับมามองตัวเองสิ ใครกันแน่ที่เยอะ
มาร :พ่อบ้านไง ทำเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด
เรา :มองใหม่สิ ใครกันแน่ที่เยอะ แกนั่นแหละที่เยอะ แถมมาโกหกหมู่อีก วิบากหนักนะโว้ย ถ้ารู้แล้วจะยังทุกข์อยู่อีกทำไม ทุกข์คือคิดผิดนะ สุขใจสิถึงจะคิดแบบพุทธะ ก็พ่อบ้านเขาก็บอกว่ามาทำบ้านก็ดีกว่าไปกินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยว ก็ดีแล้ว
มาร :อ้าว! นี่มองผิดหรือเนี่ย
เรา :ใช่ผิดมากๆเลย มองที่ตัวเอง มองกลับมาข้างใน ไม่มองออกไปนอกตัว เขาจะต่อเติมบ้านแบบไหน ใช้งบมากแค่ไหนก็เรื่องของเขา แกยิ่งกว่าต่อเติมบ้านอีก แกนะต่อเติมกิเลสยิ่งชั่วกว่าพ่อบ้านอีก อาจารย์ท่านสอนให้เอาออก ให้สละออกแต่แกมีแต่เอาเข้ามา ไอ้ตัวถ่วง ไอ้ตัวชั่ว ไอ้ตัวโง่ ยังจะถ่วงอาจารย์ ถ่วงพ่อครูอีกไหม?
มาร ไม่แล้ว จะไม่เติมกิเลสให้ใจเป็นทุกข์อีกแล้ว
เรา ดีๆ เรามาขอโทษครูบาอาจารย์ ขอโทษหมู่มิตรดีที่ไม่ปฎิบัติตามคำสอนของท่าน และขอบคุณพ่อบ้านที่มอบผัสสะตัวนี้ให้ได้ล้าง
สรุป หลังเอาเรื่องเข้าหมู่ กิเลสตัวขุ่นใจนี้กระเด็นออกไปเสียไกล…ขอบคุณหมู่มิตรดีค่ะ..สาธุ
เรื่อง เล่นไม่เลิก
เหตุการณ์ เข้าสวนกับลูกชาย ไฟในสวนใช้ได้แล้ว เปิดปั้มรดน้ำต้นไม้ ระหว่างนั้นก็ช่วยกันตัดต้นไม้จนเสร็จ ลูกบ่นรู้สึกจะอาเจียน เขาก็มาพัก ระหว่างนั้นก็เล่นโทรศัพท์ เราก็ตัดแต่งต้นไม้ รดน้ำในส่วนที่เปิดน้ำไม่ถึงทั้งผักกูด หญ้าแฝก จนครบ 2ชั่วโมง ลูกก็ยังอยู่กับโทรศัพท์ไม่เลิก
ทุกข์ ขุ่นใจเล่นแต่โทรศัพท์ ไม่มาช่วยงาน
สมุทัย ถ้าลูกมาช่วยงานจะสุขใจ ลูกไม่มาช่วยงานจะทุกข์ใจ
นิโรธ ลูกจะช่วยงานหรือไม่ช่วยงานก็สุขใจ
มรรค มาตรวจดูใจกัน
มาร :เล่นโทรศัพท์อยู่ได้ จะเล่นไปถึงไหน โตแล้วนะไม่รับผิดชอบ พูดหลายครั้งแล้ว ไม่อยากเตือนแล้ว เหนื่อยแล้วนะ
เรา :เฮ้ย! มาร จะเอาอีกแล้ว มองออกไปนอกตัวอีกแล้ว จะเอาในสิ่งที่ไม่ใช่เวลาอีกแล้ว แค่นี้ไม่พอใช่ไหม เขามาช่วยก็ดีหนักหนาแล้ว ดีกว่ามาคนเดียว จะโง่ จะบ้า จะทุกข์ไปถึงไหนเนี่ย แกก็เคยไม่ช่วยงานพ่อแม่ หนีเรื่อยเลย อ้างเป็นผู้หญิง ไม่ต้องทำงาน หนีไปนอนเรื่อยเลย แต่นี้ลูกมาช่วยตั้งแต่เช้า จะเอาอะไรอีกเขาบอกแล้วว่า รู้สึกคลื่นไส้ก็ให้เขาพักบ้าง
มาร :พักเป็นชั่วโมงแล้ว มาช่วยกันต่อสิ
เรา :เฮ้ย! ก็ทำมาไม่ใช่หรือ ทำมาแล้วไม่รับสิวิบากเพิ่มนะ แถมยังเหนี่ยวนำให้คนอื่นเป็นตามอีก แค่ที่มีอยู่ยังน้อยไปใช่ไหม จะเอาเพิ่มใช่ไหม
มาร :ไม่เอาแล้ว แค่นี้ก็แก้กันไม่ไหวแล้ว
เรา :ใช่ ทำมาก็ต้องรับ รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น เรามาสำนึกผิดที่ไปเพ่งโทษลูก และขอบคุณที่ช่วยกระทุ้งกิเลสตัวนี้ออกมาอีก
สรุป ตอนเดินออกมาจากสวน และตอนนั่งรถกลับบ้านก็ยังไม่หมด แต่คุยกับมารมาตลอด ถึงบ้านก็หายไป ทำน้ำผลไม้ปั่น พูดคุยกันได้ปกติ ใจผ่องใส แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่พูดด้วย ไม่ทำให้กินด้วย..สาธุ
เรื่อง : ไม่ชอบที่เขาดูถูกสัตว์
เหตุการณ์ : ในขณะที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมจะไปสอนนักเรียน ก็พบว่าในบทนั้นที่เขียนในหนังสือเล่มนั้น ก็จะยกตัวอย่างในนั้นมี 2 ตัวอย่าง ที่อ่านแล้วมันขัดกับกิเลสเรา คือ 1. ควายเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่มีกำลังแรง เยอะ แต่โง่ ยอมให้คนใช้แรงงานตนเพื่อไถนา 2. หมาเป็นสัตว์ชั่วช้าไม่ดี เพราะสอนหลายครั้งแล้ว แต่ไม่จำ
ทุกข์ : ไม่พอใจทำไมคนเราจึงไปดูถูกสัตว์เหล่านั้น
สมุทัย : ชอบที่จะไม่ให้มีใครดูถูกคนอื่น สัตว์อื่น ชังที่เห็นสังคมปัจจุบันยังมีคนดูถูกเหยียดหยามคนอื่น สัตว์อื่น
นิโรธ : ใครจะดูถูกคนอื่น สัตว์อื่น ก็แล้วแต่วิบากของใคร ส่วนเราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาตรวจใจดูว่าทำไมเราจึงทุกข์กับเหตุการณ์นี้ล่ะ
มาร : เอ!! มันยังไงน่ะ คนยุคนี้มีแต่ดูถูก ดูแคลนกันไม่พอ ก็ยังจะไปดูถูก ดูหมิ่นสัตว์เหล่านี้ด้วยล่ะ
เรา : ก็มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนทางโลก แล้วมารจะเก็บมาคิดให้ทุกข์ใจทำไม
มาร : รู้สึกไม่ชอบ อะไรที่คนทางโลกเขาบอกว่า เขารักสัตว์นะ เอาสัตว์มาเลี้ยง แล้วใช้แรงงานสัตว์ ยังไม่พอ ก็ดูถูกว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์ที่โง่ ชั่วช้า …
เรา : อะแฮ่ม แล้วมารล่ะ เคยไปดูถูกคนอื่น สัตว์อื่นไหม
มาร : เอ่อๆ!!เคยค่ะ (ตอบแบบอายๆ เขินๆ)
เรา : นั่นไงมาร แกเคยไปดูถูกเขามาเหมือนกัน ไม่ใช่ดูถูกธรรมดานะ ยังเคยไปด่าเขาด้วย 555 เป็นไงล่ะแก เคยทำมาแท้ๆ แล้วยังมีหน้าไม่พอใจที่เห็นเงาตัวเองงั้นรึ มันชั่วเกินไปแล้วมาร ที่เขาทำนั้นน่ะ เป็นส่วนของเขาที่จะต้องไปรับ แล้วที่แกเก็บเอามาคิดให้ใจเป็นทุกข์นั้น ก็ผิดศีล เบียดเบียนตนเอง เพ่งโทษคนอื่น บาปแรงนะเว้ย
มาร : ออ! ที่คิดมานี้มันผิดศีลเหรอ บาปแรงขนาดนั้นเลยรึ ไม่เอาแล้วตายดีกว่า
สรุป พอมารตายใจก็เบาโล่งเลยค่ะ ต้องขอบคุณคนที่เขียนหนังสือเล่มนั้นด้วยนะ ที่สามารถกระชากกิเลสเราออกมา ให้เราได้เชือดคอมันจนตายเลยค่ะ เขายอมเสียสละทั้งร่างกายและสติปัญญาของเขา มาเป็นผัสสะให้เราเจริญขึ้น ที่เขาเขียนมาก็เพราะเขาไม่รู้ว่ามันเป็นวิบาก และเขาก็เข้าใจในมุมของเขาแบบนั้นจริงๆ แต่เราก็มีความเข้าใจในอีกมุมหนึ่งแตกต่างจากเขา มันไม่มีอะไรมากหรอกแค่คน 2 คนมีความคิดที่ไม่ตรงกันแค่นั้นเอง ตรงกับ บทธ ข้อที่ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเอง สาธุค่ะ
.เรื่อง จะส่งสินค้าไม่ทัน
เหตุการณ์ : สั่งสินค้าปกติจะมาถึงไม่เกิน 3 วันแต่รอบนี้ผ่านไป 5 วันยังไม่ได้รับ อีก 2 วันจะถึงวันนัดส่งสินค้าให้ลูกค้า สอบถามไปที่ต้นทางได้รับคำตอบว่ารถเสียส่งสินค้าไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกไม่พอใจมาก มารเข้ามาทันที แล้วทำไมไม่แจ้ง อย่างนี้ไม่รับผิดชอบเลย ถ้าส่งของไม่ทันตามนัด ลูกค้าตำหนิเราแน่ๆ ปรุงไปเรื่อย
ทุกข์ : กังวลใจ ว่าจะส่งสินค้าไม่ทันตามนัด
สมุทัย : ชอบ ถ้าส่งสินค้าได้ตามนัด ไม่ชอบถ้าส่งไม่ทัน
นิโรธ : จะส่งสินค้าทัน หรือไม่ ก็ได้ ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พอรู้ตัวว่ามารพาปรุงไปเรื่อย รีบกระชากใจออกจากมารแล้วคิดว่า จะกังวลใจไปทำไม สินค้ามาไม่ทันก็บอกความจริงไป ส่วนลูกค้าจะเข้าใจหรือไม่ ก็วางที่ใจเราสิ และมาพิจารณาด้วยบททบทวนธรรมข้อ 10 ที่ว่า”เมื่อเกิดสิ่งแล้วร้ายกับเรา ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น เมื่อได้รับแล้วก็หมดไป เราจะโชคดีขึ้น”ใช่นะมันยุติธรรมจริงๆ เราเองเคยทำผิดนัด ไม่ตรงเวลามามากกว่านี้ด้วยซ้ำ จึงยินดี เต็มใจรับ จะได้หมดไปแล้วโชคจะดีขึ้น
สรุป เมื่อวางใจได้แล้ว ก็เบิกบาน ใจไร้ทุกข์ทันที
เรื่อง ถักผมไร้ทุกข์
เหตุการณ์ วันนี้หยุดเข้าสวน ลูกขออนุญาตไปถักผม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3แล้ว ไม่อยากให้ลูกถักผม อยากให้เขาตัดผมปกติ
ทุกข์ ขุ่นใจลูกไปถักผม
สมุทัย ชอบใจถ้าลูกไม่ถักผม ตัดผมปกติ
ชังถ้าลูกถักผม
นิโรธ ลูกจะถักผม จะตัดผม จะทำอะไรกับผมก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มาดูลีลามารที่หาเรื่องให้ทุกข์ใจ ขุ่นใจ
มาร :ไปทำผมอีกแล้ว ทำอะไรไม่ทำจะถักผมอีก ทำมากี่รอบแล้ว ไม่เห็นได้เรื่องเลย
เรา :เฮ้ย!! กระบาลใคร กระบาลใคร ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นทำไม นั่นมันเรื่องของเขา เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาไม่ได้เกี่ยวกับแก แกไม่เคยทำผมเลยหรือไง ก็ทำมาหลายครั้งแล้ว บางครั้งก็ขัดใจพ่อแม่เหมือนกัน แต่พอลูกจะทำบ้าง ไม่ชอบ จะบ้า จะโง่ จะทุกข์ไปถึงไหน มันหนักตรงไหนของแก ใจขุ่นๆคิดผิดแล้วนะ
มาร :ถ้าเขาตัดผมปกติ ตัดสั้นๆ ดูดีจะตาย
เรา :ไอ้โง่ ที่เขาลงทุนไปถักผมมา เขาก็คิดว่าดูดีที่สุดแล้ว เขาชอบแบบนั้น ก็แค่ไปถักผมไม่ได้ไปขายยาบ้า ไม่ได้ไปฆ่าคนตายเสียหน่อย จะโวยวายไปไหน เรื่องของคนอื่นไม่ต้องไปยุ่ง ยุ่งเรื่องของตัวเองก็เกินพอแล้ว มองกลับมาดูตัวเองอย่ามองออกไปนอกตัว เขาจะทำครั้งที่เท่าไหร่ก็เรื่องของเขา เข้าใจไหม
มาร :เข้าใจแล้ว วันนี้ดุจัง ยอมแล้วๆ
ใช้บททบทวนธรรมข้อ 8 สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา และข้อ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่นแสดงว่า เรายังไม่เข้าใจตนเอง
สรุป หลังพิจารณา ใจก็เบิกบาน แจ่มใส คุยกันกับลูกปกติ และขอขอบคุณลูกด้วยที่งัดกิเลสตัวนี้ออกมาให้แม่ได้ล้าง และให้สำนึกผิดด้วย…สาธุ
เรื่อง เพื่อนหญิงลูก
เหตุการณ์ ลูกคนโตจะกลับมาบ้านตอนสงกรานต์นี้ เพื่อนผู้หญิงลูกโทรมาอวยพรวันเกิด และแจ้งความประสงค์จะมาเยี่ยมด้วย ใจมันขุ่นๆ ไม่อยากต้อนรับเพื่อนผู้หญิงของลูก
ทุกข์ ไม่ชอบให้เพื่อนผู้หญิงลูกมาบ้าน
สมุทัย ชอบถ้าลูกมาบ้านคนเดียว ชังถ้าลูกพาเพื่อนผู้หญิงมาด้วย
นิโรธ ลูกจะมาคนเดียวหรือจะมากับเพื่อนหญิงก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มาดูลีลาของมารที่มาทำให้ทุกข์ใจ
มาร :พาเพื่อนหญิงมาอีกคนแล้ว ยังดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย คบเพื่อนหญิงอีกแล้ว
เรา :ก็ลูกยังเป็นคนแบบโลกๆ ที่เขาบอก เขาสอนมาตั้งกี่ภพกี่ชาติล่ะ เรียนจบก็ต้องมีเพื่อนหญิงบ้าง ไม่มีสิแปลกใช่ไหม ก็เขายังไม่ได้ศึกษาแบบแพทย์วิธีธรรม ที่ท่านอาจารย์สอนว่า “คนฉลาดให้ครองตนเป็นโสด” ก่อนไปว่าลูกลองหันกลับมาดูตัวเองสิ ก็แต่งงานเหมือนกัน มีคู่ครองเหมือนกัน แล้วพอลูกจะมีเพื่อนหญิงบ้างกลับโวยวาย เขาแค่คบกันยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย ไม่อยากให้ลูกคบเพื่อนหญิงจะบ้าจะทุกข์ไปถึงไหน วิบากใครก็วิบากคนนั้น เขาจะดำเนินชีวิตเขาอย่างไรก็เรื่องของเขา
มาร :กลัวเขาทุกข์ไง ทุกข์เหมือนเราไง
เรา :ก็ต้องให้เขาทุกข์ เห็นทุกข์จึงเห็นธรรมไง ยิ่งทุกข์หนักมากแค่ไหนเขาก็จะเห็นธรรมเร็วขึ้นเท่านั้น นี่เขาแค่พาเพื่อนมาบ้าน เขาบอกล่วงหน้าด้วย 2-3คนก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้บอกกล่าว ครั้งนี้บอกกล่าวให้รู้ก็ดีแล้ว ลูกทำถูกต้องแล้ว คราวนี้มีอะไรโต้แย้งอีก
มาร :ยังไม่พร้อมเลยสักอย่าง จะมีเพื่อนหญิงแล้ว
เรา :ไอ้โง่ คิดแทนเขาทำไม เขาจะทำอะไรก็เรื่องของลูกไม่ใช่เรื่องของแก มองแต่คนอื่น มองแต่ข้างนอก หันกลับมามองตัวเองสิ อาจารย์ท่านให้คิดแบบนี้หรือ คิดแล้วทุกข์แบบนี้หรือ จะถ่วงศาสนา ถ่วงอาจารย์ไปถึงไหน วิบากหนักนะโว้ย! ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ วิบาก11ประการ รับอีกไหม
มาร :ไม่แล้ว ไม่เอาแล้ว
เรา :ดีแล้วเรามาขอบคุณเพื่อนหญิงลูกที่มากระทุ้งกิเลสตัวนี้ให้เราได้ล้าง และขอโทษขออโหสิกรรมที่ทำตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะแม่เพิ่งมาพบธรรมะแท้ๆเช่นกัน
ใช้บททบทวนธรรมข้อ 66 กายนี้มีไว้เพื่อดับทุกข์ใจเท่านั้น กิจอื่นนอกจากนี้..ไม่มี
สรุป ใจไม่ขุ่น ไม่ทุกข์แล้ว ทำที่ตนเอง ไม่ใช่ที่คนอื่น..สาธุ
น.ส.สำรวย รัตตนะ เรื่อง. ชังกลิ่น
เหตุการณ์. มีโรงจอดรถ อยู่ใกล้ๆบ้าน ทุกเช้าเวลาประมาณ 05.30น.ถึง 06.00 น.เจ้าของจะมาเปิดประตูเอารถออก แต่ก่อนที่จะขับออกไปจะต้องสตาร์ททิ้งไว้แล้วก็สูบบุหรี่ทุกครั้งใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ซึ่งมันทำให้ใจรู้สึกขุ่นมัว กับการที่เราเดินออกกำลังกายสูดอากาศที่บริสุทธิ์ ลมเย็นสบายๆ อย่างเบิกบานอยู่ แล้วมีกลิ่นที่ไม่ชอบเกิดขึ้น
ทุกข์. ขุ่นใจเมื่อมีกลิ่นบุหรี่ และกลิ่นท่อไอเสียรถ สมุทัย. ชอบที่ไม่มีกลิ่นบุหรี่และกลิ่นท่อไอเสียรถ ชังที่มีกลิ่นบุหรี่และกลิ่นท่อไอเสียรถ
นิโรธ. จะมีกลิ่นบุหรี่ กลิ่นท่อไอเสียรถ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค. พิจารณาตามควมเป็นจริง ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เขาใช้เวลาแค่ 5-10 นาที แล้วเราจะทำใจให้ขุ่นมัวไปทำไม อุตส่าห์ออกกำลังให้สุขภาพกายดีแต่สุขภาพใจกลับแย่ลงเราโง่ไปหรือเปล่าเห็นแก่ตัวมากไปหมู่บ้านนี้ไม่ใช่ของเราคนเดียวนะ แค่เดินหนีก็ผ่านพ้นได้แล้ว เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ก็มาแก้ที่ตัวเองซิ เคร่งครัดที่ตนผ่อนปรนที่ผู้อื่น ใช้บททบทวนธรรม ข้อที่ 42 ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ได้พลังสุดๆ ได้สุขสุดๆ ยินดีในความชอบชัง เสียพลังสุดๆ ได้ทุกข์สุดๆ สรุป หลังจากพิจรณาแล้วใจก็ไร้ทุกข์ในทุกๆวันที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็ออกกำลังกายได้อย่างเบิกบาน ความขุ่นมัวในใจก็ไม่มีอีกเลย
เรื่อง : ญาติมาตัดฟืนตัดกิเลส
เหตุการณ์ : ได้ขนไม้ท่อนใหญ่หลายท่อนมากองไว้ เพื่อจะเอามาทำเป็นเสาค้างมะระ แต่พอกลับจากโรงเรียนมาก็มาเห็นไม้ดังกล่าวกลายเป็นท่อนฟืนไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกข์ : เศร้าใจใครว่ะมาตัดท่อนไม้ของเรา
สมุทัย : ชอบที่ท่อนไม้ของเรายังอยู่เหมือนเดิม ชังที่มีญาติมาตัดท่อนไม้กลายเป็นฟืนหมดแล้ว
นิโรธ : ท่อนไม้ที่เราหามานั้น จะถูกตัดหรือไม่ถูกตัดเราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาดูลีลามารหาเรื่องให้เราทุกข์ใจ มารคิดแล้วหมดแรง มึน จึง ไปนั่งคุยกับมาร
มาร: โอ้โห!! ท่อนไม้ของเราตอนนี้กลายเป็นฟืนไปเรียบร้อยแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ ญาติคนไหนว่ะ มาตัดฟืนให้เรา ทำไมไม่บอกเราก่อน เราจะได้แนะนำเขาว่า เราจะเอาไม้เหล่านี้ ไปทำเป็นเสาค้างมะระไง
เรา : 555 มารแกนี่โง่ได้ที่เลยจริงๆ ญาติเขามาเอาภาระเราอย่างมากเลย แกยังจะไปโทษเขางั้นรึ ถ้าปล่อยให้แกตัดคนเดียวแกก็จะบ่นว่า “เหนื่อยอ่ะดิ” ถ้าญาติไม่มาตัดฟืนให้เราก็จะไม่เห็นแก แล้วแกก็โตเอาๆๆสิ เขามาตัดฟืนและตัดแกด้วย โชคดีจริงๆ ที่มีญาติคอยช่วยเหลืองานข้างนอก และขัดเกลามารออกจากจิตเรา
มาร : แล้วจะเอาไม้ที่ไหนมาทำค้างต้นมะระ จะหาใหม่ก็ต้องยุ่งยากมากสิ
เรา : ถ้าไม่มีมารสักตัว มาขวางชีวิตเราก็ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก ต่อให้ได้ไม้ใหญ่ๆ มาทำเสาค้างมะระ แล้วกิเลสโตก็โคตรซวยไปเลย แต่ถ้ามีแต่ไม้เล็กๆ มาทำค้างมะระหรือไม่มีค้างมะระเลย แต่กิเลสตายโคตรคุ้มเลยว่ะ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากเลย ก็มีแต่คิดแบบมารนั่นแหละยุ่งยาก เป็นทุกข์ ลองหันมาคิดแบบพุทธะสิ หายทุกข์เลย
มาร : แฮ่ๆๆ…จริงด้วย คิดแบบเธอทีไรก็หายทุกข์ทุกทีเลย งั้นจะเปลี่ยนจิตดีกว่า มาคิดแบบพุทธะจะได้หายโง่
สรุป พอมารเปลี่ยนจิตเป็นพุทธะ ใจก็เบิกบานนั่งดูท่อนฟืนด้วยความยินดีเลยค่ะ ตรงกับ บทธ ข้อที่ 58 เย่ๆๆ ดีใจจัง ไม่ได้ดั่งใจ วิบากหมด กิเลสตาย ได้กุศล แย่ๆๆ ซวยแน่เรา เอาแต่ใจ วิบากเพี่ม กิเลสพอก งอกอกุศล
เรื่อง ฟังคลิปภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง
เนื้อเรื่อง วันนี้่ เปิดคลิปภาษาอังกฤษดู ส่วนมากจะฟังไม่รู้เรื่องฟังแล้วฟังเล่าหลายรอบจนปวดหัว ก็ฟังไม่รู้เรื่องและพูดตามไม่ได้ มีเพียงคลิปเดียวที่พอฟังแล้วพูดตามได้บ้างก็คือบททบทวนธรรมภาคภาษาอังกฤษ พยายามฝึกฝนตามที่คุรุเอ๋ให้การบ้านเท่าที่ทำได้ คลิปไหนฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ดูแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เบียดเบียนตัวเอง
ทุกข์ ฟังไม่รู้เรื่องและพูดตามไม่ได้
สมุทั ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องและพูดตามไม่ได้จะทุกข์ใจ แต่ถ้าฟังแล้วรู้เรื่องและพูดตามได้จะสุขใจ
นิโรธ จะฟังรู้เรื่องหรือไม่ก็สุขใจ เพราะไม่ใช่ภาษาของเรา เราเลือกฟังเฉพาะที่เราฟังออกและพูดตามได้บ้างก็สุขใจพอใจแล้ว
มรรค เราเชื่อเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่าในอดีตเราเคยชอบภาษาอังกฤษแต่พอมาเจอครูสอนภาษาอังกฤษที่ใจร้ายดุเก่งและลงโทษนักเรียนรุนแรงจึงทำให้ไม่ชอบและเกลียดภาษาอังกฤษไปเลย เมื่อมาเจอคุรุเอ๋ ยอมรับว่าสอนดีมาก แต่พอฟังคลิปภาษาอังกฤษกลับไม่รู้เรื่อง ถึงคราวที่ต้องมารับวิบากกรรม ที่เคยเกลียดภาษาอังกฤษมาก่อน รับแล้วก็หมดไปแล้วจะโชคดีขึ้นจึงไม่มีอะไรต้องทุกข์ใจ เบิกบานแจ่มใสดีกว่า เหตุการณ์ดีๆจะได้เกิดขึ้น และไม่ผิดศีลเพราะไม่ได้เบียดเบียนตัวเอง
31/04/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : คนงานไม่เอารถมาคืน (2)
ได้คนงานใหม่มาช่วยงานในสวน ทางครอบครัวเราก็จัดหาที่พักให้ และให้รถมอเตอร์ไซด์ไว้ใช้ 1 คัน พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 คนงานไม่อยู่บ้านพร้อมกับเอารถไปด้วย ผู้เขียนจึงรู้สึกไปพอใจมาก นึกโกรธน้าเพราะผู้เขียนเคยเตือนน้าคนที่ให้รถไปแล้วว่า “อย่าเพิ่งเอาอะไรไปประเคนให้เขามากเกินไป เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ รอดูท่าทีเขาก่อน “ แต่น้าก็ตอบกลับมาในทำนองตำหนิผู้เขียนว่า “ ใจดำไม่นึกถึงใจคนต่างถิ่นที่เขามาพึ่งเรา เราควรช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้เขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา “ และแล้วเรื่องที่คิดไว้ก็ไม่เกินคาด คนงานหายตัวไปพร้อมกับรถคันที่ให้ไปใช้
ทุกข์ : เสียใจที่น้าไม่ฟังคำเตือนของเรา จนเป็นเหตุให้รถหาย
สมุทัย : ชอบใจถ้าน้าจะฟังสิ่งที่เราเตือน ไม่ชอบใจที่น้าไม่ฟังเรา สุดท้ายก็เกิดปัญหาจนได้
นิโรธ : น้าจะฟังหรือไม่ฟังเราก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค: พอรู้ว่าคนงานเอารถไป ก็รู้สึกไม่พอใจ ใจก็นึกโทษน้าขึ้นมา
มาร “ โดนแบบนี้มาไม่รู้กี่หนแล้วเรื่องเอาคนมาทำงานนี่ ก็ยังไม่รู้จักจำ แล้วยังมาว่าเราอีก”
” เวลาคนที่บ้านจะใช้รถ ต้องมาแย่งรถกันใช้ แต่คนงานขี่รถสบายใจเฉิบไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“รถคันนึงราคาไม่ใช่บาทสองบาท โดนเชิดไปแล้วใครจะรับผิดชอบ รถของแม่ไม่ใช่รถของน้า”
เพราะคิดแบบนี้แล้วทุกข์ จึงใช้ปัญญาแบบพุทธะตอบกลับไปว่า
เรา “เป็นวิบากของครอบครัวที่เราจะต้องรับร่วมกัน”
“เราทำมาเราก็ต้องรับสิ จะไปโทษเขาทำไม”
“เตือนแล้วน้าไม่ฟัง จะทำไงได้ ”
กิเลสมันยังไม่ยอม
มาร “ เรื่องคนงานขโมยของนี่ไม่รู้กี่หนแล้ว แล้วทำไมเขาไม่เชื่อกันบ้าง”
“ถ้ายอมฟังคนอื่นบ้างรถคงไม่หาย ”
“ไม่ชอบที่เวลาใครเตือนแล้วชอบทำเป็นเก่งเป็นรู้ดี มีเหตุผลมาหักล้างตลอด สุดท้ายก็
ต้องเกิดปัญหาเพราะไม่เชื่อคนอื่นนี่แหละ”
“พอเกิดปัญหาแล้วไม่ใช่ตัวเองที่เดือดร้อน แต่เดือดร้อนกันทั้งบ้าน ซ้ำซากจริง ๆ ”
กิเลสมันไม่ชอบที่เตือนแล้วน้าไม่ฟัง
เรา “ เราไม่ชอบที่เราบอกเราเตือนน้าแล้วไม่ฟังงั้นเรอะ?
“งั้นเราก็ต้องไปพิจารณาตัวเองก่อน ว่าเราทำดีพอถึงขนาดที่จะทำให้ใครเชื่อเราได้แล้วยัง”
“อยากจะให้คนเชื่อ แต่ตัวเองยังไม่มีความน่าเชื่อถือพอ กลับไปพิจารณาตัวเองก่อน”
“อย่าไปขโมยความดีจากน้า อย่าไปอยากให้น้าเชื่อตามเรา”
“วิบากมาก็ต้องรับ อย่าไปโทษใครเลย”
“วัตถุเสียหายได้ แต่ใจเสียหายไม่ได้”
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 128 “ถ้าเราสอนเขาให้ดีขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ต้องสอน แสดงว่า ณ เวลานั้น เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา ก็ให้ “สัตบุรุษของเขา หรือ “ทุกข์ของเขา” สอนแทน”
พิจารณาแบบนี้แล้ว ความโกรธ ความไม่พอใจน้า ลดลงไปเลย
เรื่อง ไม่มั่นใจหมู่พูด
เนื้อเรื่อง ได้ยินหมู่พูดก็ไม่แน่ใจว่าจะเอามาดับทุกข์ใจได้อย่างไร ก็เลยงง ลังเลสงสัยอยู่บ่อยๆๆ บางครั้งก็ชัง ทำไมเขาพูดไม่ชัดเจนอยากจะเชื่อแต่คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร
ทุกข์ ไม่เชื่อคำพูดของหมู่
สมุทัย ชอบที่หมู่พูดชัดเจน ชังที่หมู่พูดแล้วฟังไม่ออก
นิโรธ หมู่จะพูดชัดเจนหรือไม่ก็ไม่ชอบไม่ชัง ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค ฟังหมู่แล้วมีกิเลสร่วมฟังด้วยมันคิดอย่างไร
มาร เบื่อคำพูดเขาฟังแล้วไม่รู้เรื่อง พูดอยู่ได้ไม่รู้รึเราฟังไม่ออก
เรา อดีต คุ้นๆ เอ เอ ใครนะ ทำเป็นลืมตอนมึงพูดกูก็ทุกข์คนฟังเขาเอื่อมระอาใจ (สภาพปากที่อมของเน่ามาพูด) แทนในคำพูดปนไปด้วยกิเลส
มาร ที่พูดไปหวังดีนะอยากให้ได้ดี อยากให้รู้ จะได้พ้นทุกข์ไปด้วยกัน (คนอื่นทุกข์สงสารเขา)
เรา ไอ้สารเลว (กิเลส) มึงอยากพูดสิแต่มาหลอกกูว่าหวังดี ธรรมะเหมาะสำหรับคนที่เอาจริงเด็ดขาดกับกิเลสเข็ดแล้ว หลาบแล้ว (เชื้อกิเลสเป็นเชื้อที่เหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตามเรา) หมู่พูดมึงหลอกกูไม่ให้ตั้งใจฟัง (มีจิตเพ่งโทษเวลาฟังธรรมะ)
มาร คิดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันสบายใจดีนะ เขาไม่รู้จริงๆ
เรา พอฝึกตั้งใจฟังหมู่มากๆ หมู่พูดดีหรือไม่ดีอย่าไปตัดสินแค่สิ่งที่มองเห็น (ตานอกมองเห็น) เป็นธรรมะอย่างดีแต่เราโง่แปลไม่ออกหลงเชื่อมาร บททบทวนธรรมข้อที่77ระวัง กิเลสมักจะหลอก ให้ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่สำคัญยิ่งๆ ขึ้นไป
พอคิดแบบนี้ทำให้มั่นใจในคำพูดหมู่มากขึ้นเอาประโยชน์ได้ทุกข์คนที่เสียสละพูดแทนเรา
จะได้ฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี ใครจะพูดอะไรก็ฟังได้หมดกิเลสลดลง10เปอร์เซ็น
มาร เบื่อคำพูดเขาฟังแล้วไม่รู้เรื่อง พูดอยู่ได้ไม่รู้รึเราฟังไม่ออก
เรา อดีต คุ้นๆ เอ เอ ใครนะ ทำเป็นลืมตอนมึงพูดกูก็ทุกข์คนฟังเขาเอื่อมระอาใจ (สภาพปากที่อมของเน่ามาพูด) แทนในคำพูดปนไปด้วยกิเลส
เรา อดีต คุ้นๆ เอ เอ ใครนะ ทำเป็นลืมตอนมึงพูดกูก็ทุกข์คนฟังเขาเอื่อมระอาใจ (สภาพปากที่อมของเน่ามาพูด) แทนในคำพูดปนไปด้วยกิเลส
มาร ที่พูดไปหวังดีนะอยากให้ได้ดี อยากให้รู้ จะได้พ้นทุกข์ไปด้วยกัน (คนอื่นทุกข์สงสารเขา)
เรา ไอ้สารเลว (กิเลส) มึงอยากพูดสิแต่มาหลอกกูว่าหวังดี ธรรมะเหมาะสำหรับคนที่เอาจริงเด็ดขาดกับกิเลสเข็ดแล้ว หลาบแล้ว (เชื้อกิเลสเป็นเชื้อที่เหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตามเรา) หมู่พูดมึงหลอกกูไม่ให้ตั้งใจฟัง (มีจิตเพ่งโทษเวลาฟังธรรมะ)
มาร คิดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันสบายใจดีนะ เขาไม่รู้จริงๆ
เรา พอฝึกตั้งใจฟังหมู่มากๆ หมู่พูดดีหรือไม่ดีอย่าไปตัดสินแค่สิ่งที่มองเห็น (ตานอกมองเห็น) เป็นธรรมะอย่างดีแต่เราโง่แปลไม่ออกหลงเชื่อมาร บททบทวนธรรมข้อที่77ระวัง กิเลสมักจะหลอก ให้ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่สำคัญยิ่งๆ ขึ้นไป
พอคิดแบบนี้ทำให้มั่นใจในคำพูดหมู่มากขึ้นเอาประโยชน์ได้ทุกข์คนที่เสียสละพูดแทนเรา
จะได้ฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี ใครจะพูดอะไรก็ฟังได้หมดกิเลสลดลง10เปอร์เซ็น
เรื่อง : เสียงไก่ใช้กรรม
เหตุการณ์ : มีคนมาเลี้ยงไก่ข้างบ้าน เสียงไก่ขันทำให้เกิดความรำคาญ
ทุกข์ : รำคาญเสียงไก่
สมุทัย : ชอบถ้าไม่ได้ยินเสียงไก่ ชังได้ยินเสียงไก่
นิโรธ : จะได้ยินเสียงไก่หรือไม่ได้ยินก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาร เสียงไก่หนวกหูจัง ขันอยู่ได้
เรา เอาอีกแล้วเสียงไก่ขันมันก็เป็นธรรมดาของไก่ที่มันต้องขันป่ะ ถ้ามันไม่ขันนี่ซิแปลก มาร แหม ! แต่ดันมาขันตอนเรากำลังฟังธรรมะอยู่น่ะซิมาขัดจังหวะเรา
เรา คิดดี ๆ น่ะ ต้องเป็นวิบากกรรมไม่ดีของเราแน่ ๆ เลย เราคงไปขัดจังหวะ หรือขัดขวางอะไรใครมาสักอย่างแหละ ถึงต้องมารับวิบากอันนี้ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมาน่ะ จงท่องไว้เลย ใส่ใจไว้ด้วย ไม่งั้นเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน เชื่อเรื่องวิบากกรรมไหมล่ะ เคยทำมาไหมล่ะ
มาร ใช่ๆเราต้องเคยทำมาอย่างแน่นอนเลย
เรา งั้นจงรับซะ ได้ยินเสียงไก่เมื่อไรคือยินดีรับผลกรรมนั้นด้วยความยินดีน่ะ รับแล้วก็หมดไป เข้าใจไหม ท่องไว้ ๆ ๆ เราจะไปนิพพาน เราจะไปนิพพาน พิจารณาใจก็เบา
บททบทวนธรรมข้อ 8
สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา
บททบทวนธรรมข้อ12
วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไร ก็เกิดจากการ
กระทำของเราเองทั้งหมด เจอเรื่องดี เพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดี เพราะทำไม่ดีมา ทั้งในปัจจุบันและอดีค สัง เคราะห์กันอย่างละ ๑ ส่วน
เรื่อง : หวงทำไม
เหตุการณ์ :
เตรียมแกงไว้ให้ลูกมื้อเช้า และของพ่อบ้านคนละอย่างกัน แต่พ่อบ้านดันไปกินของลูกด้วย
ทุกข์ : ขุ่นใจทำไมต้องไปกินของลูกด้วย
สมุทัย : ชอบถ้าพ่อบ้านไม่กินของลูก ชังพ่อบ้านกินของลูก
นิโรธ : พ่อบ้านจะกินหรือไม่กินของลูกก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาร อ้าวของตัวเองก็มีทำไมไปกินของลูกด้วยล่ะ
เรา พ่อบ้านกินก็ไม่แปลกเขาอาจอยากกินก็ได้ ก็ให้เขากินจะเป็นไรไปล่ะ แกนี่โรคหวงกำเริบอีกแล้วน่ะ หวงแล้วใจเป็นไงไหนบอกซิ
มาร ก็มันว้าวุ่นใจ กังวลใจสารพัดเลยอ่ะ เครียดด้วย
เรา สมน้ำหน้า คิดหวงมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ จะหวงอีกไหมล่ะ เขาพ่อลูกกันจะกินของกันและกันมันจะเป็นไรล่ะ โง่จริงเลยแกเนี่ย ทำเรื่องทุกข์ให้ตัวเอง มันผิดศีลน่ะรู้ไหม
มาร เห็นเธอพูดแต่ผิดศีลๆอยู่เรื่อยเลย ย้ำบ่อยมากๆทำไมอ่ะ
เรา ก็ฉันอยากให้แกพ้นทุกข์ไงอย่าทำผิดศีล ใจจะได้ไม่ทุกข์ เข้าใจไหมล่ะ พร่ำสอนจนปากเปียกปากแฉะจะตาย
อยู่แล้ว ไม่จำสักที ก็ต้องพร่ำเรื่องศีลอยู่จนกว่าจะทำได้แหละ เข้าใจไหมอยากไปนิพพานไหมล่ะถ้าอยากไปจงอย่าผิดศีล
มาร เข้าใจก็ได้
พิจารณา ใจก็หายความหวง
บททบทวนธรรมข้อ 83 ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิดความพร่อง ความพลาด ความทุกข์
เรื่อง : ไปรษณีย์ส่งผิด
เหตุการณ์ : มีจดหมายค่าไฟบ้านเลขที่เดียวกับเรา แต่ที่อยู่ไม่ใช่
ทุกข์ : แย่จังทำไมส่งผิด
สมุทัย : ชอบถ้าส่งถูกที่ตามที่ระบุ ชังส่งผิดที่
นิโรธ : จะส่งผิดที่หรือถูกที่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาร จดหมายใครนี่ อ้าวไม่ใช่ของเรานี่นา แย่จังเลย เรา แย่จังเลยน่ะคือแก ไปเพ่งโทษเขาอีกแล้วนะ
มาร ก็ทำไมไม่ดูให้ดี ๆ ล่ะ ส่งผิดแบบนี้เสียหายนะ
เรา ใครเสียหาย มาร ก็เจ้าของจดหมายไง รับช้าไปอีก
เรา ที่เสียหายน่ะแก เพราะแกผิดศีล คิดแล้วทุกข์ เราต้องเห็นใจคนส่งน่ะ งานเยอะอาจจะต้องรีบส่งให้ทันต้องมีผิดพลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดา หรือแกไม่เคยผิดพลาด มาร ก็เคยบ่อยนะ เรา จงให้อภัยทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีใครอยากผิดพลาดหรอก แต่เป็นวิบากกรรมของเจ้าของบ้านที่ต้องได้รับจดหมายช้าเองต่างหาก
พิจราณาแล้วใจก็เบา บททบทวนธรรมข้อ121
โจทย์ทุกโจทย์ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ เป็นเครื่องมือฝึกจิตของเรา ให้เป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม
เรื่อง : ถามอยู่ได้
เหตุการณ์ : มีพี่ที่ทำงานเวลาจะทำอะไร ถามเราตลอดเลย พอเราตอบก็ไม่เอา ก็ถามใหม่
ทุกข์ : หงุดหงิดที่พี่ถามบ่อย
สมุทัย : ชอบที่พี่ไม่ถามบ่อย ชังที่พี่ถามบ่อย
นิโรธ : พี่จะถามบ่อยหรือถามไม่บ่อยก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาตรวจใจกัน
มาร : โอ๊ยๆๆๆ ถามบ่อยจริงเลยพี่คนนี้ หงุดหงิดๆ แล้วนะ
เรา : อ้าวมาร จะหงุดหงิดทำไมเนี่ย
มาร : ก็หงุดหงิดนะสิ ถามมาเป็นสิบรอบแล้วก็ไม่เอา เมื่อไหร่จะตัดสินใจได้สักที
เรา: เดี๋ยวๆๆ มาร ตอบคำถามแค่นี้จะตายหรือไง ตอบไม่ได้งั้นหรือ พี่เขาก็ถามดีๆ หงุดหงิดทำทุกข์อะไรเนี่ย ไอ้มารโง่เอ๋ย แค่นี้ก็หงุดหงิดให้ทุกข์ใจ
มาร : ก็คนจะทำงาน ถามอยู่นั่นแหละ ไม่มีสมาธิทำงานแล้วนี่
เรา : ไม่มีสมาธิก็ไม่ต้องทำงานสิ มาทำงานใจนี่ อะไรกันนักกันหนามาร ไม่เบื่อหรือไงพาคิดทุกข์ได้ทุกสถานการณ์เลยนะ ก็คิดแบบมารไม่พ้นทุกข์อยู่แล้ว หลอกเก่งจริง หลอกนั่นหลอกนี่ มานึกๆ ดูแล้วลีลานี้ก็คุ้นๆ นะ เมื่อก่อนใครกันที่พาเราเป็นแบบนี้ ถามอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ตรงใจ ไม่ได้คำตอบก็จะถามอยู่นั่น แล้วก็ไม่ตัดสินใจสักที เป็นไงล่ะมารเคยทำมาทั้งนั้น
มาร : อ๋อ นึกออกแล้วฉันก็เคยเป็นแบบนี้มา
สรุป สบายใจ เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ และยอมรับความจริงว่าตัวเองก็เคยเป็นมาเหมือนกัน สาธุค่ะ
เรื่อง : ใจร้อนอยากฟังเร็วๆ
เหตุการณ์ : ตื่นขึ้นมาตอนตีสาม เห็นไลน์พี่นาลีส่งข้อความเสียงมา กิเลสก็ดิ้นเลยค่ะ
ทุกข์ : ใจร้อนอยากฟังข้อความเสียงเร็วๆ
สมุทัย : ชอบถ้าได้ฟังข้อความเสียงเร็วๆ ชังถ้าได้ฟังข้อความเสียงช้าๆ
นิโรธ : จะได้ฟังข้อความเสียงเร็ว หรือช้า ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาดูผีกิเลสหลอกกันค่ะ
มาร : ว้าวๆๆ มาแล้ว อยากฟังข้อความเสียงเร็วๆ จังเลย วันนี้พี่นาลีจะเล่าสภาวะอะไรนะ ตื่นเต้นจังเลย
เรา : จะว้าวอะไรล่ะมาร ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอน่ะใจร้อน อยากฟังเร็วๆ นี่ขนาดสิ่งดีนะนี่ ยังจะรีบฟังขนาดนั้นเลยรึ
มาร : ก็รีบน่ะสิ ฟังสภาวะพี่นาลีสนุกมาก แถมได้ปัญญา ได้เหลี่ยมมุมการสู้กับกิเลสด้วย
เรา : โอ๊ย ไอ้มาร ก็รู้ว่ามันดี แต่เราจะจัดการกับเธอก่อน จะใจร้อน เร่งรีบไปถึงไหน รู้ไหมมันสั่งสมเป็นวิบากร้าย เหนี่ยวนำให้คนใจร้อนตามด้วย ร่างกายก็ต้องมาดันพิษออกด้วยเนี่ย ใจร้อนก็มีแต่เพิ่มพิษ เพิ่มโรคเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรดีเลยนะความใจร้อนเนี่ย จะสะสมความใจร้อนอย่างนั้นเหรอ ไม่ทุกข์หรือไง
มาร : อ้าว ใจร้อนในสิ่งดีก็เป็นทุกข์งั้นรึ
เรา : ก็ทุกข์น่ะสิมาร ทำไมโง่อย่างนี้ มิน่าแหละถึงไม่พ้นทุกข์สักที มานี่เลยมาคิดแบบพุทธะดีกว่าสุข สบายใจ ไร้กังวล มีแต่วิบากดี มีโอกาสได้เกิดมาเป็นคนก็ควรฝึกฝน สะสมทำสิ่งดีหน่อยสิ จะสะสมไปทำไมความใจร้อน ตรงกับ บทธ ข้อ 131 ถ้าชนะความโกรธ กลัวเป็น กลัวตาย กลัวโรค เร่งผล กังวลได้ อย่างอื่น…ง่ายหมด
มาร : ตกลง จะไม่สะสมความใจร้อน ไปสะสมพุทธะดีกว่า
สรุป พอมารตัวใจร้อนสลายไป ก็ฟังสภาวะพี่นาลีอย่างสบายใจ ฟังไปขำไป นั่งพิมพ์ถอดเทปไปยิ้มไปจนแก้มจะแตกแล้วค่ะ ขอบคุณพี่นาลีที่ส่งข้อความเสียงนี้มากระทุ้งมารตัวใจร้อนนี้ออกไป อีกอย่างได้ฝึกแบ่งปันแรงกายด้วยค่ะ สาธุ
เรื่อง : ต้นกล้วยหักแต่ใจไม่หัก
เหตุการณ์ : กลับมาถึงบ้านสวน ตาก็มองไปเห็นต้นกล้วยที่ออกเครือแล้วหักลง กิเลสก็ออกอาการเลยค่ะ
ทุกข์ : ใจห่อเหี่ยวที่ต้นกล้วยหัก
สมุทัย : ชอบที่ต้นกล้วยไม่หัก ชังที่ต้นกล้วยหัก
นิโรธ : ต้นกล้วยจะหัก หรือไม่หักก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : พอมารคิดผิดร่างกายก็เสียพลัง รู้สึกหัวตื้อๆ กายก็เหี่ยว ใจก็เหี่ยว แถมมีอาการจะไปเพ่งโทษแม่อีกนะว่าทำไม แม่ไม่เอาไม้มาค้ำต้นกล้วยนะ มาดูลีลาผีหลอกกันค่ะ
มาร : เฮ้อ เสียดายจังเลย กล้วยยังไม่ทันแกก็หักซะแล้ว
เรา : อ้าวๆๆ มาร จะเสียดง เสียดายอะไรกัน
มาร : ก็เสียดายน่ะสิ ปลูกกล้วยมาตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีที่แล้ว ออกลูกออกเครือ ว่าจะได้กิน ได้แบ่งปัน ก็มาหักก่อนซะงั้น
เรา : เสียดาย แล้วใจห่อเหี่ยว ใจเป็นทุกข์แบบนี้ มันช่วยให้กล้วยกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิมได้ไหมล่ะ
มาร : จะบ้าเหรอ หักแล้วมันก็หักเลยสิ จะมาตั้งตรงได้ยังไงกัน ถามแปลกๆ
เรา : เธอน่ะสิแปลก กล้วยหักก็คือกล้วยหัก แต่ใจที่มีเธอพาไปหักตามกล้วยนี่แหละมันแปลก มันทุกข์ เธอนี่ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยนะ แค่กล้วยหัก เธอก็มาหลอกให้ใจเราหักตามกล้วย เอาใจเข้าไปยึดกับกล้วย แถมยังจะไปเพ่งโทษแม่อีกนะ ใจห่อเหี่ยว ไม่เบิกบาน ใจเพ่งโทษ ก็เป็นวิบากร้าย ก็นำโรค เรื่องร้าย มาได้ทุกเรื่องเลยนะทีนี้ โง่จริงๆ เลยมาร
มาร : ก็เคยคิดมาแบบนี้ จะให้เปลี่ยนง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ
เรา : ก็ฝึกฝนเปลี่ยนมาคิดแบบพุทธะสิ ฝึกฝนอะไรก็จะได้อย่างนั้น สะสมอะไรก็จะได้อย่างนั้น ถ้าเธออยากสุข เธอก็มาคิดแบบพุทธะสิ ไม่ชอบไม่ชังทำเป็นไหม
มาร : ตกลง ลองฝึกก็ได้
สรุป พอมารได้ปัญญา ก็เบิกบานใจ ใจไม่หัก ไม่ห่อเหี่ยวไปกับต้นกล้วยแล้วค่ะ กายก็มีพลังขึ้น คิดออกว่าจะนำต้นกล้วยที่หักนั้นไปหั่นเป็นปุ๋ย เพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินต่อไปค่ะ แล้วเราก็ได้คำตอบว่าแม่เอาไม้ไปค้ำกล้วยไว้อยู่นะ แต่ว่าลมมันพัดแรงต้นกล้วยก็เลยหัก เมื่อรู้เช่นนี้ก็ได้ตั้งจิตสำนึกผิดที่เพ่งโทษแม่ โดยที่ไม่ได้ถามท่านก่อน ตรงกับ บทธ ข้อ 118 ทุกอย่างล้มเหลวได้ แต่ “ใจ” ล้มเหลวไม่ได้ สาธุ
เรื่อง ชังกลิ่นบุหรี่
เหตุการณ์ น้องใกล้บ้านท่านยังสูบบุหรี่ สูบหลายมวนต่อวัน ลมก็จะพัดมาให้เราได้กลิ่นตลอด นั่งหน้าบ้านไม่ได้ จะเหม็นเวียนหัว รู้สึกขุ่นใจ
ทุกข์ ขุ่นใจ ปวดหัว เหม็นกลิ่นบุหรี่
สมุทัย ชอบถ้าไม่มีกลิ่นบุหรี่ ชังที่มีกลิ่นบุหรี่
นิโรธ จะมีกลิ่นบุหรี่หรือไม่มีกลิ่นบุหรี่ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค พอได้กลิ่นบุหรี่ ใจมันขุ่นๆ อาการปวดหัวก็ตามมา เจ้ามารเธอมาอีกแล้ว มาดูลีลามารกัน
มาร :สูบบุหรี่อีกแล้ว วันหนึ่งสูบกี่มวน เหม็นจะตาย
เรา :มารคิดชั่วอีกแล้ว คิดให้ทุกข์อีกแล้ว น้องเขาสูบก็เรื่องของเขา แกไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย แส่ไปทุกเรื่อง แกคิดว่าเขาอยากสูบเหรอ เขาก็รู้ว่ามันไม่ดี มันอันตราย เขาพยายามเลิกอยู่แต่ทำไม่ได้ แต่ที่ร้ายคือแกนี่แหละ ร้ายมากมายหาที่ต้นที่สุดไม่ได้จริงๆ คิดให้ใจทุกข์อยู่เรื่อย ถ่วงครูบาอาจารย์อยู่นั่นแหละ ทุกข์ไม่พอหรือที่ได้รับมา
มาร :พอแล้ว แต่มันเหม็น ไม่ชอบ
เรา : แล้วแกละไม่เคยทำอะไรเหม็นๆไปรบกวนน้องเขาเลยหรือไง
มาร :ก็เคย และบ่อยด้วย ใช่ๆโดยเฉพาะตอนกลั่นน้ำปัสสาวะ กลิ่นตลบยิ่งกว่ากลิ่นบุหรี่อีก
เรา :นั่นไง แกร้ายยิ่งกว่าเขาอีก เผาใจให้ทุกข์ได้ทุกเรื่องจริงๆ มาสำนึกผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมน้องเขา มันแค่กลิ่นบุหรี่ เขาไม่ได้เสพยาบ้าหรือเป็นโจรเป็นผู้ร้ายเสียหน่อย แถมน้องเขาใจดีช่วยเหลือเราทุกอย่าง มีน้ำใจ ข้อดีเขาเยอะแยะไปหมด เสียแค่สูบบุหรี่ให้แกเหม็นแค่เนี่ย ไม่เห็นตายเลย ยังอยู่กินแรงฉันอยู่เนี่ย ตกลงเอาอย่างไงยังขุ่นน้องเขาอีกไหม
มาร :ไม่แล้ว ไม่ขุ่นแล้ว
ใช้บททบทวนธรรมข้อ 21 การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่าที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงความยึดมั่นถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
สรุป หลังพิจารณาใจก็หายขุ่น เบิกบาน และต้องขอบคุณน้องที่ช่วยงัดกิเลสตัวนี้ออกมาให้ได้ล้าง อีกอย่างอาการปวดหัวก็หายไปด้วย คิดแบบพุทธะดีจริงๆเลย..สาธุ
เรื่อง ยินดีเต็มใจทำตามแรง
เนื้อเรื่อง เวลาทำงานเราเป็นผู้ชายทำไมแรงน้อย ทำไมๆๆๆกลัวเขาว่า เขาตำหนิ ว่าเป็นผู้ชายแต่ทำไมมีแรงน้อย
ทุกข์ อยากให้คนเข้าใจ
สมุทัย ชอบที่มีคนเข้าใจ ชังที่หมู่ไม่เข้าใจ
นิโรธ หมู่จะเข้าหรือไม่เข้าใจก็ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค มาดู มารหลอกให้น้อยใจ
มาร เป็นผู้ชายต้องทำงานได้เยอะซิ
เรา เฮ้ยใครสอนให้คิดแบบนี้ แบ่งแยกชาย หญิง เราก็ทำตามแรงซิ เหลือแรงไว้30 เปอร์เซ็น เก็บแรงเหลือไว้ดูแลตนเองบ้างซิ
มาร อากาศก็ร้อน ฝุ่นก็เยอะ งานก็หนัก
เรา แต่เป็นกุศลที่เห็นว่าดีหมู่จึงพาทำได้ล้างตัวขี่เกียจ ไม่อยากทำตามหมู่ แต่กิเลสก็เป็นผีหลอกกลัวฝุ่นกลัวร้อนทำให้เราล้างผิดตัว แถมหนักกิเลสอีก
มาร ทำตามความคิดของเราสิ ชื่นใจ
เรา ทำมากี่ครั้งแล้ว พ้นทุกข์ไหมละ
มาร อ๋๋อ อ๋อ เขินๆอายๆ ใช่ไม่พ้นทุกข์ แล้วเขาจะทำยังไงละ
เรา ทำตามความคิดคนอื่นนี่ไง มติหมู่มีแต่เจริญอย่างเดียวไม่มีเสื่อมเลย เราจะได้เห็นพลังฉันทะยินดีที่จะเอาภาระหมู่ได้สานพลังกับหมู่มิตรดี ยังไม่เคยฝึกเลย เราก็ทำเท่าที่มีแรง
มาร ทำความสะอาดแล้ว เขาไม่มาพักหรอกเสียเวลา
เรา สวนหมัดกิเลส มารมึงรู้แต่เรื่องไม่พ้นทุกข์ รู้แต่ข้อไม่ดีของคนอื่นตอนนี่กูเห็นมึงมาพักที่ใจกู (เถียงมารกูจะทำตามหมู่) จริงๆ มารไม่อยากทำตามความคิดหมู่ เพราะมันไม่ได้เสพมันเป็นผีหลอกให้เราเชื่อ
พอพิจารณาแบบนี้ทำให้ทำความสะอาดบ้าน2หลังได้เกือบเสร็จแถมได้พลังเต็มๆๆ ออกกำลังกายต่อจนถึงเวลาคุยกันกับหมู่ในห้องลายก็ไม่ง่วงมารก็หายไปซะแล้ว
พบเจอกันเพื่อจากกัน
ในมุมหนึ่งของปัจจุบันขณะที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ได้พบเจอทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย ที่มีดีกรีหลากหลาย คาดเดาอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ในส่วนของตัวเราเอง ก็เช่นกัน ดูผิวเผินเหมือนเราจะบงการชีวิตเราได้ และอาจเผลอไผลไปบงการชีวิตผู้อื่นเข้าด้วย แต่แท้จริง แล้ว มันคืออะไรกัน แน่?
ในกลุ่มที่เราร่วมทำกิจกรรมบำเพ็ญกุศลในการทำสื่อเผยแพร่งานกลุ่ม คำคมเพชรจากใจเพชร ที่เราอยู่ร่วมกันมาราว 8 เดือนแล้ว มีสัจจะความจริงที่ปรากฏให้ได้เรียนรู้มากมาย รู้สึกอยากกราบขอบพระคุณอาจารย์หมอเขียว คุรุ และพี่น้องทุกท่าน ตลอดจนครอบครัว เครือญาติที่ผ่านเข้ามาพบเจอกันในทุกมิติ
ทุกข์ : เมื่อเห็นพี่น้องในกลุ่มโพสต์คำในห้องไลน์มาว่าขอออกจากกลุ่ม รู้สึกใจมีตัวเสียดายเล็กน้อย และมีอาการถอนหายใจเกิดขึ้น
สมุทัย :ทันทีที่เห็นตัวหนังสือ จิตตัวยึดสภาพดี ๆ ที่ยังมีเหลือ เขาก็เริ่มทำงาน เห็นอาการกระเพี่อมในจิตเกิดชึ้นน้อย ๆ กำลังทำงานอยู่
นิโรธ : พี่น้องจะอยู่หรือจากไป จากตอนเป็น จากตอนตาย ใจเราก็ไม่หวั่นไหว เป็นปกติและผาสุกได้
มรรค : จากบททบทวนธรรม ข้อ 56 ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถือมั่น ต้องพร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน ตลอดเวลา พิจารณาว่ามีพบก็มีจาก เป็นสัจจะความจริงที่ทุกชีวิตต้องพบเจอ อาจจากกันแบบตอนยังมีชีวิตอยู่ หรือ อาจจากกันแบบตายจากกันไปเลย ก็ได้ เราเจอมาแล้วทั้งนั้น อ่านใจกับสภาพที่เจอทั้งสองแบบ เออ!! น้ำหนักมันยังหวั่นไหวแบบที่ไม่เหมือนกันเลยนะ จากกันแบบเป็นมันยังมีอุ่นใจอยู่ลึก ๆ จากกันแบบตายใจมันหวิว ๆ หวั่นไหวกว่า รู้เห็นความต่างในน้ำหนักที่เกิดขึ้น แต่สุดท้าย ก็มาจบที่การทำใจในใจของเราให้สิ้นเกลี้ยงต่อไป
ทุกชีวิตเหมือนอยู่บนสานพานที่กำลังขับเคลื่อน เพียงแต่ช่วงที่ได้มาเจอกันส้นสายพานนั้นมาทาบเคียงกันพอดีเท่านั้น อาจเป็นเพียงชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือทั้งชีวิต ช่วงเวลาจะสั้นหรือยาวนานเท่าใด ไม่มีใครรู้ได้ เพราะมีคลื่นพลังวิบากดีร้ายมหึมาเป็นพลังที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่ เราเพียงตั้งสติเกาะยืนบนสายพานนั้นอย่างผาสุกให้ได้ เป็นการขับเคลื่อนนี้เราไม่สามารถที่จะไปผูกติดกับสิ่งใดได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นอย่าไปโง่!!เสียเวลาไปผูกติด ยึดมั่นถือมั่นให้เสียเวลาอีกเลย
เพราะระหว่างทางที่เรากำลังพากเพียรลด ละ เลิก ความโง่เขลาในตัวตนอยู่นั้น ทุก ๆ เรื่องมันต้องใช้เวลา บางเรื่องต้องผ่านด่านเรื่องอื่น มาให้ได้ก่อน มันเป็นลำดับขั้น การเจอกับปัญหาและอุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องก้าวข้าม รีบผ่านไปเจอเรื่องราวต่อไป เพราะผ่านได้แล้วก็ผ่านไปเลย อาจารย์มักพูดเสมอว่า ทุกอย่าง ผ่านแล้วผ่านเลย ๆ ๆ เห็นใจที่หวั่นไหว เสียดาย ก็กลับมาเป็นปกติได้
เรื่อง ทำความสะอาดบ้าน2หลัง
เนื้อเรื่อง มติหมู่ให้ไปทำความสะอาดบ้านรอ จะมีคนมาพักแต่กิเลสก็ไม่ยอมเถียงในใจ ฟังมันบ่น ร้อน ฝุ่นเยอะ
ทุกข์ ไม่อยากทำตามหมู่คิดว่าจะไม่ดี ไม่ถูกใจ
สมุทัย ชอบที่ทำตามความคิดเรา ชังที่ทำตามมติหมู่
นิโรธ ทำตามหมู่มิตรดีด้วยใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค มารจะมาแทรกแซงใจเราเป็นประจำ
มาร อากาศก็ร้อน ฝุ่นก็เยอะ งานก็หนัก
เรา แต่เป็นกุศลที่เห็นว่าดีหมู่จึงพาทำได้ล้างตัวขี่เกียจ ไม่อยากทำตามหมู่ แต่กิเลสก็เป็นผีหลอกกลัวฝุ่น กลัวร้อนทำให้เราล้างผิดตัวงานหนักไม่น่ากกลัวแต่หนักกิเลส แถมเหนี่ยวนำให้คนอื่นหนักใจด้วย หนักข้ามภพข้ามชาติ(กิเลส)
มาร ทำตามหมู่ดีจริงรึ
เรา ทำมากี่ครั้งแล้ว พ้นทุกข์ไหมละ
มาร เขินๆๆ อาย ใช่ไม่พ้นทุกข์ แล้วจะทำยังไงละ
เรา ทำตามความคิดคนอื่นนี่ไง มติหมู่มีแต่เจริญอย่างเดียวไม่มีเสื่อมเลย เราจะได้เห็นพลังฉันทะยินดีที่จะเอาภาระหมู่ได้สานพลังกับหมู่มิตรดี ยังไม่เคยฝึกเลย เราก็ทำเท่าที่มีแรง
มาร ทำความสะอาดแล้ว เขาไม่มาพักหรอกเสียเวลา
เรา สวนหมัดกิเลส มารมึงรู้แต่เรื่องไม่พ้นทุกข์ รู้แต่ข้อไม่ดีของคนอื่นตอนนี่กูเห็นมึงมาพักที่ใจกู (เถียงมารกูจะทำตามหมู่) จริงๆ มารไม่อยากทำตามความคิดหมู่ เพราะมันไม่ได้เสพมันเป็นผีหลอกให้เราเชื่อ
พอพิจารณาแบบนี้ทำให้ทำความสะอาดบ้าน2หลังได้เกือบเสร็จแถมได้พลังเต็มๆๆ(ออกแรงได้แรง ความลำบากทำให้ร่างกายและจิตใจแข้มแข็ง) ออกกำลังกายต่อจนถึงดึกก็ไม่ง่วงมารก็หายไปซะแล้ว
การรับประทานมัำผักปั่นวันที่25ก็ยังคันอยู่อีก
วัตถุดิบที่ทำผักปั่นแบบสดหรือแบบลวก ล้วนแต่เลือกสรรไร้สารพิษเก็บในสวน โดยเฉพาะแบบสุกได้ความหวานจากเปลือกแตงโมไร้สารพิษ ความจริงควรจบมื้อเดียวที่น้ำผักปั่นแบบสุกและข้าวสวยถั่ว แต่กิเลสตัณหาความอยากให้กินต่อที่แกงส้มผักรวมจากตลาดที่พี่เค้าแช่น้ำซาวข้าวแต่พร้อมกับเห็ดที่เรารู้ว่าแพ้ ก็ยังกินอกงส้มนั้นตบท้ายแม้ไม่กินเห็ด
ทุกข์ : คัน เลิม และริดสีดวงกำเริบ
สมุทัย : หายคันจะสุขใจ ไ่ม่หายคันทุกข์ใจ
นิโรธ : คันก็สุขใจ ไม่หายคันก็สุขใจ ไม่เข็ดเองรู้ทั้งรู้ว่ามีสารพิษจากเห็ดผักตลาดมากมายกินที่ไรก็มีผลยังโดนลวงให้เกินหลังปรุงแต่งอย่างดีเป็นแกงส้มที่ปรุงธรรมชาติรสอ่อนพริกแกงตำเองปรุงด้วยเกลือ ผิดศีลที่ตั้งว่าจะกินแต่ผักผลไม้ถั่วไร้สารพิษ ทั้งยังกินเกินที่ร้างกายต้องการ อิ่มแล้วยังไม่ยอมหยุด ระลึกการทำชั่วที่ต่อแมลงสัตว์ต่างที่เคยทำตอนเป็นเด็กถือเป็นการชดใช้วิบากกรรมคงมีสักวันที่ดีขึ้นแม้กินสิ่งปฏิกูลก็ไม่มีโทษ
มรรค : หนทางดับทุกข์ แก้ทุกข์ที่ใจ พิจารณาไตรลักษณ์ ไม่มีอระไรยั่งยีน คันได้ก็หายได้แก้คนอื่นไม่ได้บอกหลายหลายหนแล้วให้พี่เค้าแยกแช่เห็ดก็ไม่ฟังทำเดิมๆไม่เห็นโทษภัย ก็ต้องแก้ที่ตัวเราตั้งศีลไม่กินวัตถุดิบที่มีพิษก็ยังกินอยู่และเกิน สติไม่ดีเองยังวิปลาสเห็นกวจักรเป็นดอกบัวสมควรรับโทษด้วยอาการคัน แก้อาการทางกายด้วยน้ำปัสสาวะชะโลมพร้อมน้ำมันเขียวยุบบวมคลายความคัน ยอมรับโทษพิษต่างๆพร้อมสำนึกผิดขอโทษขออโหสิกรรมต่อสัตว์หรือแมลงที่เคยทำร้ายทารุณเค้ามาก่อน อาการหายได้ในวันรุ่งขึ้น ใจผ่อนคลายเป็นอุเยกขาไม่ขอบชังในความคันเห็นประโยชน์ได้ชดใช้เวรกรรมเป็นส่วนๆโชคดีแล้ว
สุดท้ายถ้ามีสติสัมปชัญะดีควบคุมกรรม3ได้ก็จะไม่โดนกิเลสหลอกให้กินตามใจมัน คงมัสักวันที่ไม่ต้องพึ่งหอกร้อยเล่มทิ่มเช้ากลางวันเย็นเหมือนในมาคันทิยะสูตร แล้วสมารถชนะกิเลสได้แท้จริงว่า”กิเลสแม้น้อยก็เหม็นมาก” ตัดตัณหาความอยากได้จริงเหมือนตาลนยอดด้วน
เย็นน้อมพุทธ
640329
เรื่อง : ใจร้อน อยากกลับมาเปิดร้านค้ากองบุญเร็วๆ
วันออกไปสงการบ้านที่ มจร. วังน้อย ออกไปพร้อมกันหมด จึงต้องปิดร้านค้ากองบุญ ช่วงเช้า เพียงแค่นำการบ้านไปวางส่งกับเจ้าหน้าที่ไม่น่าเสียเวลามาก จึงไม่ได้ประกาศทางสื่อต่าง ๆ แต่กาลไม่เป็นดังใจหมาย เริ่มตั้งแต่ลุงนำพัสดออกไปส่งด้วยหลายกล่องไม่ใช่ที่เดียว หรือผ่านที่ใกล้อีกที่ก็ไม่ส่ง ต้องไปแวะอีกที่ จิตใจเริ่มกังวลว่าเจ้าหน้าที่จะไปพักกลางวันหรือเปล่า แต่ไม่ได้เอ่ยยับยั้งให้ลุงแบะจนจบกิจ หารู้ไม่ว่าความไม่แช่มชื่นเข้าครอบงำ
ทุกข์ : ความขุ่นใจในความชักช้าของพี่ ที่ไปส่งการบ้านด้วยกัน
สมุทัย : ทุกข์ใจ ที่พี่เค้าพูดคุยปลื้มใจกับนิสิตที่จบใหม่ไปส่งเล่มไม่ยอมกลับเสียทีแม้จะได้ส่งการบ้านเรียบร้อยแล้ว จะสุขใจถ้าพี่เค้ายอมฟังและตัดบทการสนทนาแล้วกลับเสียที
นิโรธ : สุขใจแม้พี่เค้าจะรีบกลับหรือไม่รีบกลับก็ตาม เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญไม่ทุกข์ใจแม้พี่เค้าโอ้เอ้สักเพียงใด (เพราะความยึดมั่นในเวลาอ้างว่าพี่เค้าไม่รู้ประมาณเวลา บอกลุงว่าจะขึ้นมาส่งแป๊บเดียว แต่กินเวลาไปเป็นชั่วโมง แล้วท่านยังต้องแวะตลาดก่อนกลับอีกด้วย มัวยึดความสำเร็จของงานว่าจะต้องทำเวลา อ่านกิเลสไม่ทัน จากขุ่นมัว ไม่แช่มชื่นออกมาเป็นวาจาเร่งให้กลับ ๆ โดยเดินไปกดประตูลิฟท์รอก็ยังไม่มาเลยลงไปก่อน รอที่รถกับลุงสักพักท่านจึงมาระหว่างนั้น นึกเสียใจว่าพี่เค้าจะกดลิฟท์ลงมาคนเดียวได้หรือเปล่า ความขุ่นใจไปหมดจากการรอในรถระหว่างที่พี่ลงไปซื้อผักตลาดด้วยใจที่คิดว่าท่านจะกินผักในสวน ความไม่พอใจกรุ่นอยู่ในใจ ยิ่งมีคนโทรมาว่ารออยู่หน้าร้านค้ากองบุญ ก็ยิ่งใจร้อนเพิ่มความโกรธสร้างบรรยาาศความอีดอัดออกมา ลืมนึกถีงคำว่าความสำเร็จของงานคือความสำเร็จของใจ》ท่อนในวงเล็บเป็นสมุทัยนะคะ กว่าจะรู้ว่าตกอยู่ในความครอบงำของกิเลสก็เมื่อมาฟังหมู่มิตดีในตอนค่ำ
มรรค : หนทางดับทุกข์ ความไม่แช่มชื่นที่เพิ่มเป็นลำดับจนถึงขั้นพยาบาทในใจลดดีกรีลงจากการฟังเสียงอาจารย์ยอดวิทยุในรถเล่าเรื่องวิบากกรรมและนิทานชาดกที่ให้แง่คิดสอนใจให้ใส่แว่นตาเขียวจะได้มองกลับมาที่ตัวเองสดชื่นได้เปรียบ เหมือนมีแว่นส่องธรรมกำกับความคิดพูดกระทำให้ถูกศีลด้วยสัมมาทิฏฐิจึงทำให้คิดได้ว่าตัวเองผิดศีลอีกแล้ว ยิ่งเข้ารายการทบทวนธรรมฟังเรื่องความโกรธเริ่มจากความไม่แช่มชื่นก็ยิ่งเจ้าใจชัดว่าเรามัวเสียพลังกับเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยๆมองไม่ออกว่าตัวเองก็เคยทำมา
เมื่อก่อนนัไม่ล้างใจได้แท้จริงก็ยังมีพลังเหนี่ยวนำจากเราให้พี่แสดงออกมาให้เราได้ล้างใจจริงๆเสียที ใจเย็นให้ได้สมชื่อเย็นน้อมพุทธเห็นความสำคัญในการเปิดเผยกับหมู่มิตรดีสร้างพลังวิบากดี ณ.ปัจจุบันคือทีวีที่ลุงดูอยู่ระหว่างที่แชร์สภาวะธรรมได้ดับทำให้ทั้งลุงและป้าฟังรายการทบทวนธรรมไปด้วยกันจนจบ เกิดความแข่มชื่นเข้าใจในญาน7พระโสดายันข้อ4ที่กบ้าปิดเผยความจริงสำนีกผิด สารภาพผิดกับหมู่มิตรดีได้พลังเพ่งเผากิเลสให้ตื้นเขินออกจากตัวเราและบุคคลรอบด้านได้ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ไม่เก็บสะสมไว้ในใจก่อเป็นกองกิเลสอุปทานที่โตรอวันระเบิดให้เกิดโทษภัยจนประหารผู้อื่นและตนเองในที่สุด ถ้าไม่ได้รีบกำจัดในขณะปัจจุบันจะเป็นโทษมหันต์เข้าครอบงำ ดังคำที่ว่า “อย่าปล่อยให้กิเลสลอยนวล”
หมายเหตุ : น้ำผักผลไม้ปั่นตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ต้องเดินทางไม่เกิดอาการหิวของกายเลย ได้ลองกินเต้าหู้และคุ้กกี้ทำเองไม่มีสารกันบูดรสไม่หวานได้เพีบงอย่างละชิ้นเพราะอิ่มจากการดื่มน้ำผักผลไม้สดและสุกปั่น ก่อบรรยากาศแช่มชื่นกลับคืนมาได้ระดับนึงหลังจากเหตุการณ์ในช่วงเช้าเพิ่มเติมด้วยหมู่มิตรดีจากสวน9มาเวะได้แบ่งปันต้นชะพลูและมัน5นาทีไปปลูกที่สวน9
เย็นน้อมพุทธ
640330
ร่วมถวายฉันเพลด้วยน้ำสมุนไพรเก็บสดจากสวน
เนื่องด้วยพุทธที่7 เมษายน 2564 นิสิตป.เอก และป.โท คณะพุทธศาสตร์ สาขาพระไตรปิฎกได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงภัตตาหารเพลพระผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ นิสิต มจร.ทั้งมหาวิทยาลัย แผนเดิมทั้งพี่จิตอาสาที่เรียนป.โทและเราจะร่วมกันเตรียมน้ำสมุนไพรไปถวาย แต่เมื่อพี่เค้าแจ้งไม่ร่วมเป็นเจ้าภาพในวันที่7เนื่องจากมี่จัดในวันที่6นิสิตป.โทเป็นเจ้าภาพและจะถวายปัจจัยในนามส่วนตัว
ทุกข์ : เกิดความกังวลว่าจะทำน้ำสมุนไพรไปร่วมงานได้ตามรับปากได้หรือไม่ถ้าพี่เค้าไม่ช่วย
สมุทัย : ทุกข์ใจกลัวกังวลที่ต้องทำน้ำสมุนไพรเพียงลำพัง สุขใจถ้าพี่เค้าจะช่วยทำน้ำสมุนไพร หวั่นไปถึงขั้นที่ว่าถ้าพี่เค้าไม่ไปด้วยในวันที่7ก็คงไม่มีรถไปส่งที่มหาวิทยาลัย เพราะเมื่อพี่เค้าไปในฐานะเจ้าภาพวันที่6แล้ว วันที่7ก็คงไม่ไป
นิโรธ : สุขใจแม้ต้องทำน้ำสมุนไพรเพียงลำพัง ไม่ทุกข์ใจแม้ไม่มีโอกาสไปร่วมงานแม้รับปากไปแล้ว พิจารณาถึงความไม่เที่ยง เมื่อฟ้าเปิดก็คงมีโอกาสทำความดี สำคัญที่ใจไร้ทุกข์เมื่อคิด พูด กระทำดีที่สุดแล้วทานที่ให้แล้วย่อมมีผล เนื่องด้วยเราไม่มีปัจจัยที่จะแค่โอนเงินทำได้ง่ายเข่นผู้อื่น มีเพียงความเพียรที่พร้อมจะเตรียมน้ำสมุนไพรที่เก็บสดได้ในสวนแม้ไม่เคยลงมือทำตั้งแต่เก็บสมุนไพรล้างตัดปั่นหัวน้ำสมุนไพรเนื่องด้วยพี่เค้าชำนาญกว่าก็จะไม่ท้อใจถือเป็นโอกาสที่จะได้ลงมือทำจริงด้วยคัวเองและจะไม่เสียใจถ้าไม่มีโอกาสไปถวาย อย่างน้อยได้ลงมือปฏิบัติ ถ้าฟ้าเปิดคงได้มีโอกาสทำความดี
มรรค : หนทางดับทุกข์ จากความเครียดกังวลในวินาทีแรกที่พี่เค้าปฏิเสธไม่ร่วมทำน้ำสมุนไพรด้วยเหมือนฟ้าผ่ามาที่กลางใจว่าเราจะทำภารกิจนี้ได้เพียงลำพังหรือ อาการปวดท้องลมขึ้นที่สะดือทันที ความเครียดมาเยือนโดยพลัน จากนั้นค่อยๆพิจารณาความไม่เที่ยงของไตรลักษณ์ว่าไม่มีอะไรแน่นอนอีกตั้งอาทิตย์การคาดคะเนล่วงหน้าไม่มีประโยชน์ทำในปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ จึงวางใจไม่ขอร้องยับยั้งการตัดสินใจของพี่เค้าแล้วตั้งสติใหม่ว่าเมื่อมีโอกาสได้ทำความดีแค่คิดและลงมือรับปากออกตัวเป็นเจ้าภาพการถวายน้ำสมุนไพรถือเป็นอานิสงค์ ส่วนจะได้ปฏิยัติจริงหรือไม่ย่อมไม่มีปัญหา เมื่อเราได้พยายามเต็มที่แล้า ก็สุขใจไร้กังวล สุขให้ได้กับทุกสถานการณ์ ความแข่มชื่นกลัยคืนมาไม่ผิดศีลที่คิดกังวลแบบมาร อาการปวดท้องไม่สบายจากความเครียดหายไป ปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ความดี ไม่ประพฤติตนเป็นขโมยในเหตุการณ์ดีๆ ถ้ามีบุญกุศลที่จะได้ร่วมทำความดี แล้วจะมีเหตุและปัจจัยดีมาหนุนเสริมเอง
เมื่อไม่ผิดศีลจากการไม่ทำความไม่แข่มชื่น ไม่ท้อใจ ไม่กังวลใจ พลังเต็มกลับมาอีกที มีพลังใจและปัญญาปฏิบัติภาระกิจเต็มที่ดังเดิมด้วยใจที่บริสุทธิ์ ขอบคุณบททดสอบที่มีคุณค่าในกานล้างกิเลสในทุกๆวัน (ยังคงดื่มน้ำผักผลไม้ปั่นมื้อเดียววันที่27 เป็นสิ่งควรปฏิบัติที่ยึดได้ด้วยความเพียร)
เย็นน้อมพุทธ
640331
เรื่อง ทำตามสั่ง
เหตุการณ์ : พ่อบ้านโทรบอกให้ช่วยเตรียมวัตถุดิบ พร้อมแนะวิธีทำคร่าวๆคือเอาทั้งสามอย่างคนรวมกันให้เป็นน้ำด้วยการเอาหนึ่งกับสองคนกันก่อน ก็ทำตามนั้น คนเป็นชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของน้ำมารเริ่มผลุบๆโผล่ๆ แต่ก็พากเพียร คนไปพักไป ก็ยังเฉย มารกระโจนใส่ทันที อย่างนี้ต้องหงุดหงิด
ทุกข์ : หงุดหงิด ที่คนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นน้ำ
สมุทัย : ชอบ ถ้าคนแล้วเป็นน้ำตามที่พ่อบ้านบอก แต่คนจนเหงื่อตกก็ไม่เห็นน้ำจึงหงุดหงิด ไม่ชอบ
นิโรธ : คนแล้วเป็นตามที่พ่อบ้านบอก หรือไม่ ก็ได้ ใจต้องไร้ทุกข์
มรรค : พอรู้ว่ามาร บ่งการให้หงุดหงิด ยังยุให้เพ่งโทษพ่อบ้านว่าไม่รู้จักบอกให้หมด คนไม่ได้รู้ไหม จากนั้นสติเริ่มมาจึงย้อนศรมาร อ้าวนี่ จะพาลไปใหญ่แล้วนะ มัวแต่โทษคนอื่นนั่นแหละ ย้อนดูตัวเองบ้างสิ เออ ใช่ๆเราผิดเองที่ไม่ถามให้ชัดเจน คนไปเถอะ วิบากร้ายหมด วิบากดีจะเข้ามา โชคจะดีขึ้น อย่างนี้ต้องพึ่งบททบธรรมข้อ 76 ที่ว่า “ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจ คือ ความสำเร็จของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ ใจที่ยินดี ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้ว เพราะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง” ใช่นะ เราทำเต็มที่เต็มกำลังแล้ว ที่คนไม่เป็นน้ำเป็นกรรมของเรานี่แหละที่ไม่ถามให้ชัด และแล้วความหงุดหงิดหายไป ใจก็ไร้ทุกข์ แล้วตั้งใจคนต่อด้วยความยินดี คนได้ก็ดี คนไม่ได้ก็หยุดเท่านั้น
ในขณะนั้นคุยกับเพื่อนได้ขัอมูลว่าเอาทั้งสามอย่างคนรวมเลยจะเป็นน้ำเร็ว จึงทำตามเป็นอย่างนั้นจริงๆในที่ก็คนได้สำเร็จ
สรุป พอใจเราไร้ทุกข์ ก็มีทางออกที่แก้ปัญหาให้สำเร็จได้ด้วยดี
เรื่อง ถูกตัวเห็บกัด
เหตุการณ์ : รู้สึกแปล๊บๆที่คอเอามือลูบออกแต่ติดแน่น ใจนึกทันทีว่าตัวเห็บแน่ๆ จึงหยิบออกมาวางที่พื้นคลานได้ด้วยเท่านั้นแหละมารตาลีตาเหลือกเข้ามาเลย
ทุกข์ : เคือง ที่ตัวเห็บมากัด
สมุทัย : ชอบ ถ้าตัวเห็บไม่กัด ชัง ตัวเห็บที่มากัด
นิโรธ : ไม่ชอบ ไม่ชัง แม้ตัวเห็บกัด หรือไม่กัด ใจก็ไร้ทุกข์
มรรค : หลงเชื่อมารจนเกิดอาการเคือง ในขณะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร มารรีบบอกว่า อย่างนี้ต้องบี้ จึงบอกมารว่านั่นมันเมื่อก่อนยังโง่อยู่ก็ทำชั่วมาเหมือนเจ้าแหละ จะบี้ทันทีที่ตัวเห็บกัด ตอนนี้เรามีปัญญาไม่ฆ่าสัตว์แม้ตัวเล็กๆอย่างตัวเห็บแล้ว มารยังไม่หยุดยุต่อ ก็มันกัดมิใช่หรือ ถามมารว่า เอาให้ถึงตายเลยหรือ มารบอกเอาเลยบี้เลย ชักเบื่อมารช่างยุให้เราทำชั่ว ทำทุกข์อยู่ตลอดจึงตะเพิดออกไปเลย แล้วมาปรับใจด้วยบททบทวนธรรมข้อ 97 คือ”การยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ด้วยการสำนึกผิด สารภาพผิด ยอมรับผิด เต็มใจรับโทษ ขอโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตั้งจิตทำสิ่งที่ดี คือลดกิเลส และช่วยเหลือผู้อื่น”หลังจากพิจารณาเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง ที่เห็บมากัดมันทำให้เราได้สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษที่เคยทำมา แต่ครั้งนี้ตั้งจิตหยุดสิ่งไม่ดีจะทำแต่ดีด้วยการลดกิเลสและช่วยผู้อื่นไปด้วย จากนั้นอาการเคืองก็หายไปเหลือแต่ความเมตตาจึงเอาตัวเห็บไปปล่อยในที่ๆเหมาะสมกับมัน สุดท้ายใจก็เบิกบาน ผ่องใส ตามปกติ
สรุป พอเราเข้าใจว่าทำผิดรีบสำนึกผิด ยอมรับผิดขอโทษ พร้อมตั้งจิตแต่ทำดีหยุดทำชั่ว ใจก็เบิกบาน ผ่องใส เป็นสุข ส่วนรอยแผลจากตัวเห็บกัดก็ใช้วิธีกัวซา เอาพิษออกค่ะ
เรื่อง ขุ่นใจ
เนื้อเรื่อง
ได้ฟังคลิปเสียงที่น้องอัดเสียงให้ ใน LINE โรงเรียนของหนูที่หมู่คุยกันฟังแล้วก็ไม่มีสภาวะตามที่พี่น้องคุยกันก็อยากฟังอยากอ่านอยากเข้าใจแต่ใจมันก็ดิ้นรน สับสน ใจร้อน อยากรู้เท่าทันหมู่เร็วๆ
ทุกข์
ขุ่นใจฟัง เสียงหมู่ แล้วไม่เข้าใจ
สมุทัย
ชอบที่ฟังหมู่เข้าใจ ชัง ที่ฟังหมู่ไม่เข้าใจ
นิโรธ
จะฟังหมู่เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค
ฟังหมู่แล้วมีเงื่อนไขให้ใจทุกข์เพราะมีกิเลสมาร่วมฟังด้วย
มาร
อยากรู้อยากมีสภาวะตามที่ได้ฟังหมู่พูดคุยกัน จะสุขใจ
เรา
รู้แล้วไงล่ะ รู้แล้วก็จะเอาไปพูด ไปอวดรู้ ไปอวดเก่งว่าตนเองรู้มากใช่ไหมมาร
มาร
อยากรู้เร็วๆ อยากรู้เยอะๆ
เรา
การรู้ที่ดีคือรู้ว่าตนเองเจริญขึ้นวันละนิด(เอามาเปรียบเทียบกับอดีตของเรา) รู้แล้วเอามาแก้ไข รู้แล้วทุกข์ทำมากี่ครั้งแล้ว ผิดทางแล้ว(ขยันสอนมารในตัวเรามากๆๆ)
มาร
ไม่ได้เราต้องรู้เยอะๆ เราต้องใจร้อนสิของดีธรรมะดีๆทั้งนั้นเลย
เรา
การฟังธรรมะรู้แล้ว เอามาฝึก (ชีวิตนี้โชคดีที่มีโอกาสได้ฝึก และฝึก ท่ามกลางหมู่มิตรดี) ทำให้ได้ ก่อน ต้องรู้ว่าเอามาดับทุกข์ที่ใจได้คือรู้ทุกขอริยสัจ4 รู้แล้วทำใจในใจว่าจะต้องล้างกิเลสบ่อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปไม่ใช่รู้แล้ว เอาไปใจร้อนเอาไปทำทุกข์ทับถมตน เอาไปตีตน ว่าทำไม่ได้ (ไม่ได้ทำ) ชีวิตฝึกได้ เราจะขอฝึกให้โอกาสตนเองบ้าง(เมตตาสัตย์คือตัวเราเองบ้างสิ)ตัวเราก็เป็น1ชีวิตขอร่วมฝึก กับหมู่มิตรดีโชคดีที่สุดในโลก ให้กำลังใจตัวเอง ให้เวลาตนเอง อย่าโง่กว่ากิเลสทำทุกข์ทำชั่วซ้ำอีก ทุกข์แค่นี้ไม่พออีกหรือ
มาร
อะไรกันเนี่ยธรรมะดีๆ ก็ไม่อยากฟังเยอะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
เรา
มารต้องให้ปัญญา (ต้องสอนมารเพราะมารมันโง่ แต่อวดฉลาด) ฟังทางนี้ตั้งใจฟังให้ดีหลงมาหลายปีแล้วการปฏิบัติธรรมคือการใช้หนี้ ใช้วิบาก คือการทำใจในใจไม่ให้มีเงื่อนไขให้ใจเป็นทุกข์ เพราะว่ากิเลสไม่ใช่เรื่องล้างออกง่ายๆ เป็นเรื่องที่ต้องฝึก(วิบากร้ายมันมาแน่ๆจะได้ไม่ทุกข์มาก)
ยอมรับความจริงว่าเราจะสู้เต็มที่ แต่เราก็ต้องมีทั้งแพ้ทั้งชนะ (เกิดเป็นคนทำชั่วมาเยอะ ฝึกยอมรับความจริง) แต่เราก็ต้อง
ฝึกทำใจในใจให้เป็น ว่าถ้าแพ้เราก็ไม่ทุกข์ใจ ก็ดีเอาประโยชน์ให้ได้ทุกเหตุการณ์เราจะได้ไม่ทำชั่วอีก เราจะได้เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม
พอเราเขียนการบ้าน 1 เรื่องก็แปลว่าเราล้างกิเลสได้ เสี้ยวหนึ่งก็ดีแล้วหรือ ทำไม่เลยแต่ได้เห็นหน้ามารก็ดีมากแล้ว ทำได้1 เรื่องก็ดีแล้ว อย่าไปโลภมาก ฝึก ล้างกิเลสแบบพอเพียงบ้างสิตรงกับ บทธ ข้อที่88คนลดกิเส คือ คนฉลาด คนดีคนสุข คนไม่ลดกิเลส คือคน โง่ คนชั่ว คนทุกข์อยากฉลาด อยากสุข อยากดีต้องลดกิเลส
พอพิจารณาแบบนี้ ทำให้เข้าใจและเห็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมมากขึ้นความใจร้อนลดลงเข้าใจตนเองและเป็นการเข้าใจผู้อื่นด้วย ทำให้เบาใจ
สบายใจ แต่ร่างกายก็ต้องฝึก ฝึกฟัง ฝึกอ่าน ต้องฝึกให้มาก ต้องลำบากบ้างจะตรงข้ามกับร่างกาย คือใจที่สงบ เบา เย็นตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง
2/4/64
การบ้าน
สาคร รอดรัตน์ สังกัดสวนป่านาบุญ2
เรื่อง : หนอน กินยอด กินใบต้นข้าวโพด
เหตุการณ์ : หลังจากลุงฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ป้องกันแมลงกัดกินต้นข้าวโพดและต้นมะเขือได้2วัน ปรากฏว่าหนอนมากินใบ กินยอดข้าวโพดและ เพลี้ยลงกินใบมะเขือ โอนี้แค่ 2 วันเองนะ เพิ่งจะปลูกข้าวโพดเป็นครั้งแรก ตรวจใจวิบากตามมาเอาคืนเร็วจริงมันเป็นอาหารของเขานี้ เขาขอแบ่งปันบ้าง ทีเราชอบกินข้าวโพดเขาแค่กินยอดกินใบใช่ไหม วางความขุนใจ ได้เท่าไหร เอาเท่าที่ได้ สบายใจสุขใจดี
ทุกข์ : ขุ่นใจที่หนอนมากินยอดข้าวโพดและใบมะเขือ
สมุทัย: ชอบ ภาพถ้าหนอนไม่มากินใบข้าวโพด ชัง ที่หนอนมากินใบข้าวโพดและใบมะเขือ
นิโรธ : หนอน จะกินใบข้าวโพด ใบมะเขือก็ได้ ไม่กินก็ได้ เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : เห็นอาการขุ่นใจที่หนอนมากินใบข้าวโพดและใบมะเขือ คิดได้จึงวางใจทุกอย่างมันไม่เที่ยง เห็นว่าออใช่มันเป็นอาหารของเขานี่เพื่อความอยู่รอดของเขาเขามาขอแบ่งส่วนบุญ ให้เขาไปซิเราสุขใจ เราต้องการสละลดกิเลสอยู่แล้ว เหมือนกันกับเรานั้นแหละต้องการอาหารดีๆกิน จะไปชังเขาทำไม ความขุ่นใจ จากหนอนที่มากินใบข้าวโพด ก็หายไปไม่ชังเขากลับมีความเอ็นดู แบ่งปันกันไป เบิกบานใจดี รู้สึกโล่งโปร่งไม่ทุกข์ใจ ของทุกอย่างไม่เที่ยงตั้งอยู่ดับไป ;/ ใช้บทบทวนธรรมข้อ21
การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเราไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่าที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลสคือความหลงชิงชังรังเกียจหลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา /( เขียนเมื่อ30/3/64)
เรื่อง ตัดกล้วย
เหตุการณ์:ทุกวันอังคารจะถึงรอบตัดกล้วยเพื่อมาบ่มให้สุกพร้อมขายตลาดนัดทุกวันเสาร์
และจะตัดปลีกล้วยในวันศุกร์ตอนเย็น
หรือไม่ก็วันเสาร์ตอนเช้า พ่อบ้านจะต้องเป็นคนเตรียมตัดกล้วย ตัดปลี
ทุกข์: ไม่ได้ดั่งใจ ที่พ่อบ้านไปตัดปลีกล้วยมาผิดวัน
สมุทัย: ชอบถ้าพ่อบ้านตัดปลีกล้วยมาถูกวัน ชังที่พ่อบ้านตัดปลีกล้วยมาผิดวัน
นิโรธ: พ่อบ้านจะตัดปลีกล้วยมาถูกวันหรือไม่ก็ได้ ใจไร้ทุกข์ ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค: พอรู้ว่า พ่อบ้านตัดปลีกล้วยมาผิดวันก่อนถึงวันตลาด มารก็มาทันที อ้าว!รีบตัดมาทำไมอีกหลายวันกว่าจะถึงวันเสาร์ ปลีกล้วยเหี่ยวแน่ๆ เลยต้องรีบงัดบททบทวนธรรมมาพิจารณาด้วยข้อ๒๑ ว่า” การพบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือ ความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างกิเลสคือ ความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา”ใจเราก็สงบเมื่อได้ล้างวิบากร้ายที่ไม่ได้ดั่งใจยินดีรับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อพ่อบ้านตัดปลีกล้วยมาแล้ว
ก็คิดว่า ดีเหมือนกันได้ทำอาหารจนปลีกล้วยจะหมด ครั้นจะแบ่งปันให้เพื่อน ก็อยู่ไกล เลยวางใจ
จะได้ขายปลีกล้วยหรือไม่ ก็ไม่ชอบ ไม่ชัง ใจเป็นสุข
สรุป พอเราล้างความไม่ได้ดั่งใจที่หลงยึดมั่นถือมั่นออกได้ ใจเราก็เป็นสุข
เรื่อง : อยากพูดข้อมูลออกมาให้ได้เยอะๆ
เหตุการณ์ : จะต้องขึ้นไปกล่าวคำอำลา พอขึ้นไปยืนบนเวทีเท่านั้น มารก็มาทำหน้าที่เลยค่ะ
ทุกข์ : ฟุ้งซ่านอยากพูดข้อมูลออกมาให้ได้เยอะๆ
สมุทัย : ชอบที่ได้พูดข้อมูลออกมาให้ได้เยอะๆ ชังที่ไม่ได้พูดข้อมูลออกมาให้ได้เยอะๆ
นิโรธ : จะพูดข้อมูลออกมาได้เยอะ หรือได้น้อย ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : พอคิดแบบมารปุ๊บ ใจก็มีอาการฟุ้งซ่าน ฟังพิธีกรพูดแนะนำเราก็ไม่รู้เรื่อง กายมีอาการหัวใจเต้นแรง พลังงานพุ่งมาที่บริเวณใบหน้า แล้วน้องที่ยืนอยู่ข้างเราก็บอกว่าพี่ๆ น้องตื่นเต้นจังเลย มาดูลีลามารกันค่ะ
มาร : เอาไงดีเนี่ย จะถึงคิวเราพูดแล้วนะ เราจะพูดอย่างไรดี ข้อมูลที่จะพูดทำไมมันเยอะจังเลย จะพูดอันไหนก่อน อันไหนหลัง
เรา : เฮ้ยๆๆ ยากขนาดนั้นเลยเหรอ ก็พูดไปตามความจริงสิ จะคิดทำไมว่าต้องพูดแบบนั้นแบบนี้ ไม่ต้องคิดแล้วว่าต้องพูดออกมาได้เยอะๆ เสียพลังนะรู้ไหม
มาร : ก็โอกาสสุดท้ายแล้ว ก็อยากพูดให้ได้เยอะๆ น่ะ
เรา : อ้าว พูดข้อมูลได้ไม่เยอะก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย มีแต่เธอนั่นแหละที่มาเป็นเห็บเป็นไรในใจฉัน มาหลอกฉัน พาฉันคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นแหละ ทุกข์กับสิ่งไม่มี เสียพลังชะมัดเลย ก่อโรค ก่อวิบากเพิ่ม แถมเหนี่ยวนำให้น้องข้างๆ เป็นตามอีก เจ้ามารโง่เอ๋ย ถามจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ทุกข์ไหม
มาร ก็ทุกข์น่ะสิ โอ้โห มาเป็นชุดเลย งั้นไปดีกว่า
สรุป อาการใจที่ฟุ้งซ่านก็หายไป เราก็มีสติมากขึ้น ถึงคิวเราก็ออกไปพูดตามความรู้สึกเรา พูดตามความจริงที่เราจะสื่อสารออกมา แม้จะพูดได้ไม่ครบ เราก็สามารถพิมพ์แล้วก็ส่งเข้าไลน์ก็ได้ ด้านร่างกายหัวใจก็ไม่เต้นแรง พลังที่พุ่งมาบริเวณใบหน้าก็หายไป และเราก็ได้พูดให้กำลังใจน้องที่ยืนอยู่ข้างเราด้วย ตรงกับ บทธ ข้อ 102 ทำตามจริงที่เป็นไปได้จริง ชีวิตก็ไม่มีอะไรทุกข์ สาธุ
เรื่อง กลัว ชั่ว ทุกข์ ไม่กลัว ไม่ชั่ว ไม่ทุกข์
เหตุการณ์ :ไม่อยากส่งการบ้าน เพราะว่ากลัวเพื่อนตำนิ ขี่เกียจ อ้างงานเยอะไม่ว่าง มีข้ออ้างสารพัด
ทุกข์ :กลัว ไม่อยากเขียนการบ้าน
สมุทัย: ยึดมันถือมั่นว่า การส่งการบ้านเป็นเรื่องน่ากลัวทำให้เราอึดอัด
หากเราไม่ส่งการบ้านเราก็ไม่กลัวไม่อึดอัด
นิโรธ: จะเขียนการบ้านได้หรือไม่ เราก็ไม่กลัว ไม่ทุกข์
มรรค: การที่เรากลัว ทำให้กิเลสหนากิเลสร้ายเพิ่มขึ้น มารมันมาขวางทุกวิถีทาง มันอ้างว่าอย่าเขียนเลยการบ้านเดี่ยวเพื่อนจะดูถูก มันอ้างต่อว่ากลางวันไม่ว่างงานเยอะค่อยเขียนตอนกลางคืนก็ได้
พอค่ำลง มาร อ้างอีกว่าอย่าเขียนเลย ง่วงนอนดีกว่า เขียนไปก็ไม่ถูก ใช้ภาษาก็ไม่เป็น อายเพื่อนแย่เลย จะเขียนไปทำไมปฏิบัติได้แค่นี้ที่เป็นอยู่ก็พอแล้ว จะเอาอะไรหนักหนา ชีวิตก็เป็นสุขแล้วนี่
มารอ้างต่ออีกจะอาศัยเพื่อนช่วยชี้แนะก็เกรงใจ อย่ารบกวนเพื่อนเลย มารอ้างสารพัดเหตุผล
จนเราแพ้มารแพ้กิเลสมาหลายต่อหลายรอบ
พอเราคิดได้ คุยกับเพื่อนเรื่องส่งการบ้านอยู่บ่อยๆหลายครั้ง เอาละว้าวันนี้เราต้องชนะมารให้ได้
เป็นไงเป็นกัน มารก็มารเถอะ
เลยตัดสินใจส่งการบ้านเรื่องตัดกล้วย
และได้ร่วมสนทนา อปริหานิยธรรมกับหมู่กลุ่ม ความกลัวเลยจางคลาย แต่ยังติดขัดเล็กๆ เราใช้ภาษาไม่คล่อง คำไม่ชัด
กว่าจะเหลาออกมาได้ เสียพลังไปไม่น้อย คิดถึงบททบทวนธรรมข้อที่๙๒ ว่า”คนมีปัญญา จะไม่มีปัญญาหาเหตุผลให้ตน กลัว ชั่ว ทุกข์ แต่จะมีปัญญาหาเหตุผลให้ตน พ้นกลัว พ้นชั่ว พ่นทุกข์
คนไม่มีปัญญา จะมีปัญญาหาเหตุผลให้ตน กลัว ชั่ว ทุกข์ แต่จะไม่มีปัญญาหาเหตุผลให้ตน พ้นกลัว พ้นชั่ว พ้นทุกข์”
สรุปว่า พอเราล้างกลัว ล้างชั่ว ล้างทุกข์ได้ ปัญญาก็เกิด ไม่กลัว ไม่ชั่ว ไม่ทุกข์
เรื่อง
รำคาญถามเยอะจัง
เนื้อเรื่อง
ได้เข้ากลุ่มกับหมู่มิตรดี มีการปรึกษาสอบถามปัญหากัน ก็มีพี่น้องถามปัญหาอยู่บ่อยๆ กิเลสเราก็มาแทรกแซงมาเสี่ยมมาสอน เรา เขาถามเยอะเขาพูดเยอะเรื่องง่ายๆก็ยังไม่รู้
ทุกข์รำคาญ หมู่มิตรดี
สมุทัย ชอบที่หมู่ถามน้อย ชังที่หมู่ถามมาก
นิโรธ
ไม่ชอบไม่ชังหมู่จะถามมากหรือถามน้อยก็ได้ ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค
มาฟังเสียงมารมันบ่น เพราะมันอยากพูด จนตัวสั่น
มาร ถามเยอะจังเลย ถามแล้วเอาไปแก้ไขหรือเปล่าไม่รู้
เรา
ก็เขามีกิเลสเยอะ เขาก็ต้องถามเยอะ ก็ดีแล้วนี่ เราก็ได้ประโยชน์จากท่านอยู่นะเพราะบางคำถามเราก็คิดไม่ออก
มาร
เราก็อยากพูดเหมือนกันนะเราก็มีกิเลสเยอะเหมือนกันแบ่งเราพูดบ้างสิ
เรา
มารมันโง่มันชั่ว มันไม่รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี จึงจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ เอาประโยชน์จากการฝึกเป็นรู้จักฟังทุกคนให้ได้ เพื่อเอามาดับทุกข์ใจ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติตาม ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะพูด จะถามอย่างไรก็เลยไม่มีสติในการฟัง แล้วเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
มาร
อิจฉาเขาอ่ะ เขาถามเยอะเขารู้เยอะเขาพ้นทุกข์
เรา
ถ้าหมู่ไม่ถามเราจะเห็น กิเลสเรารึ มาร อิจฉาคนอื่น มารมันเขินอาย เพราะเราจับมันได้ รู้ทันความคิดของมัน
มาร ดูข้างนอกเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย เขาไม่เห็นรู้ธรรมะเลย(เดาใจ)
เรา
ต่อมาอีก 2 เดือนถัดไปอ้าวกว่าจะรู้ตัว เราต้องไปฟังเขาเราต้องไปลอกวิธีดับทุกข์จากเขา เราต้องพึ่งพาเขาแล้วทำไมเราโง่ไปอิจฉาคนอื่นที่เจริญกว่าเรา หมู่เจริญขึ้น แต่มารมันโง่ที่อยู่ในตัวเราเสี่ยมสอนให้เราไปเกลียดชังคนอื่นที่รู้มากกว่า
พอพิจารณาแบบนี้ทำให้ เห็นอกเห็นใจหมู่มิตรดีเราควรจะปรารถนาดีต่อกัน เพราะเป็นเพื่อนทุกข์ ทำให้จิตใจ เบาสบาย ไร้กังวล ทุกข์ก็ลดลง ตรงกับทบทวนทำข้อที่ 44 ทีทำชั่ว ยังมีเวลาทำ ทีทำดีทำไมไม่มีเวลาทำ
02/04/64
ชื่อ : น.ส.ทิษฏยา โภชนา
ชื่อทางธรรม : ในสายธรรม
จิตอาสาสังกัดสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง : ไปยื่นภาษี
พาแม่ไปยื่นภาษี พอส่งหลักฐานให้เจ้าหน้าที่แล้วเขาบอกว่าแม่แนบหลักฐานไม่ครบ บอกให้แม่กลับไปเอามาใหม่ ผู้เขียนก็รู้สึกขุ่นใจนิด ๆ เพราะทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาแม่ทำแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็ช่วยจัดการให้จนเสร็จทุกครั้ง เมื่อว่าต้องกลับมาใหม่ก็แอบบ่นกับแม่ในเชิงตำหนิเจ้าหน้าที่เรื่องเยอะทำให้เราต้องเสียเวลาในการเดินทาง
วันต่อมา จึงนำเอกสารตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำมายื่น เจ้าหน้าที่ก็อธิบายอย่างรวดเร็วแล้วให้แม่ไปกรอกหลักฐานเอง แม่ซึ่งอายุมากแล้วก็ยืนงง ๆ จนผู้เขียนต้องเข้าไปช่วยถามให้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบแบบงง ๆ เหมือนกัน ทำให้เกิดอาการขุ่นใจขึ้นมา ที่เจ้าหน้าที่ตอบเราแบบให้เสร็จไปที ดูเหมือนไม่ใส่ใจ เราต้องกลับมาถามอีกหลายรอบ เจ้าหน้าที่เองก็ดูเหมือนไม่พอใจที่ต้องบอกเราหลายรอบเช่นกัน
ทุกข์ : ขุ่นใจที่เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยใส่ใจ
สมุทัย : ชอบใจถ้าเจ้าหน้าที่อธิบายให้เราเข้าใจได้ง่ายกว่านี้ ไม่ชอบใจที่เจ้าหน้าที่ตอบคำถามไม่เข้าใจ แบบเสร็จไปที จนต้องกลับมาถามอีกหลายรอบ
นิโรธ : เจ้าหน้าที่จะตอบคำถามเราเข้าใจง่ายหรือไม่เข้าใจก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค: ครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่บอกให้กลับไปเอาหลักฐานมาใหม่ ก็มีแค่อาการขุ่นนิด ๆ ไม่ถึงกับแรงมาก แต่ก็พูดกับแม่ในเชิงตำหนิเจ้าหน้าที่ว่า
มาร “ แหม!!! ทีเงินเราล่ะอยากได้…ลองจ่ายช้าดูสิ…เป็นเสียค่าปรับเพิ่ม”
“ต้องให้เรากลับไปเอาเอกสารมาใหม่อีก…เสียทั้งเวลาทั้งค่าน้ำมันรถ ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะ”
“ทำแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว ไม่เห็นจะเคยมีปัญหา…เบื่อจริงพวกข้าราชการชอบทำเรื่องง่าย
ให้เป็นเรื่องยาก ”
บ่นไปเพียงแค่นี้ก็ไม่ได้พูดไรต่อ ก็ไม่ได้โกรธเจ้าหน้าที่ต่อ
แต่พอถึงวันที่ไปยื่นเอกสารอีกรอบ แล้วเจอกับเจ้าหน้าที่ที่อธิบายไม่เข้าใจ ผู้เขียนรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่เขารู้ของเขาอยู่คนเดียว ก็เกิดอาการขุ่นใจขึ้นมา จึงบ่นในใจว่า
มาร ” ถ้าอธิบายให้มันดีกว่านี้ ใส่ใจกว่านี้ (กู)จะเข้ามาถาม(มึง)หลายรอบมั๊ย “
“(กู)ก็เบื่อเหมือนกันนะ นี่ขนานกูเรียนมาก็สูงพอสมควร ก็ยังฟัง(มึง)ไม่ค่อยเข้าใจเลย”
“ แล้วถ้าเป็นชาวบ้านตาสีตาสาล่ะ ไม่แย่กว่านี้เหรอ”
และเมื่อต้องไปถามอีกครั้ง และได้คำตอบแบบเดิมกลับมาอีก จากที่คิดอยู่ในใจก็ออกมาเป็นพูดในเชิงตำหนิเจ้าหน้าที่ว่า
มาร “คุณต้องนึกถึงว่า ถ้าคุณต้องอธิบายให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องภาษีฟ้ง คุณควรจะต้องอธิบายแบบไหน
คุณจะได้ไม่ต้องมารำคาญคนที่เขาต้องเข้าไปถามคุณซ้ำหลายรอบ”
เจ้าหน้าที่ฟังแล้วก็หน้าเจ่อ ๆ ไม่ได้ตอบโต้ผู้เขียนแต่อย่างใด พอพูดออกไปแล้วผู้เขียนก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองกำลังมีอารมณ์ฉุนเฉียว จึงไปนั่งสงบสติอารมณ์ แล้วตอบกลับกิเลสไปว่า
เรา “เอาเรื่องเลยนะมึง เผลอไปเหวี่ยงเขาจนได้ ”
“ ไหนบอกว่าเป็นคนดี เป็นนักปฏิบัติธรรม เขาพูดไม่เข้าใจแค่นี้ก็ไปเหวี่ยงเขาซะแล้ว”
“ นี่เขาก็พูดจาสุภาพแล้วนะยังจะไม่พอใจอีก ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่พูดคำหยาบมา”
“เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขา งานเขาก็เยอะ จะให้เขามาช่วยแต่เราคนเดียวได้ไง “
“จะเอาดีจากคนอื่น เห็นแก่ตัวเกินไปมั๊ย ตัวเองยังทำดีไม่ได้เลย “
“เที่ยวไปเหวี่ยงเขา แบบนี่นี่ดีแล้วเหรอ”
” โทษตัวเองซะบ้าง ที่ไม่รู้จักเตรียมตัวมาให้ดี ไม่ใช่ไปมองแต่ขอเสียของเขา ”
กิเลสมันจึงสำนึกได้ว่า…มันนั่นเองที่ชั่ว ที่ไปคิดและพูดไม่ดีใส่เจ้าหน้าที่ จึงตั้งจิตขออโหสิกรรมที่พลาดทำไม่ดีกับเขาไป
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 135 “ โลกนี้มีสิ่งดีให้เราได้อาศัย มีอุปสรรคให้เราได้ฝึกฝน มีอุปสรรคให้เราใด้ใช้วิบาก มีอุปสรรคให้เราได้ล้างทุกข์ใจ” และ ข้อที่ 136 “ ชีวิตที่ลงตัวคือชีวิตที่มีแต่ความเสื่อม ”
เราไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่เขาบอกข้อมูลเราไม่เข้าใจ เราอยากจะเอาดีจากเขา อยากให้เขาใส่ใจเราให้มากกว่านี้ เราไปชังเขา แต่เราลืมชังกิเลสในตัวเราที่ชอบพาเราทุกข์ พิจารณาแบบนี้แล้วโล่งขึ้นเลย ความขุ่นใจหายไปทันที
เรื่อง : อยากคุยกับหมู่
เหตุการณ์ : เวลามีประชุมอปริหานิยธรรมกับหมู่กลุ่ม ตนเองก็อยากเล่าสภาวะของตนด้วย เพราะเราพึ่งเข้ามาใหม่ก็ยังมีกิเลสเยอะ ทุกข์เยอะ ร่วมประชุมแต่ละครั้ง กิเลสมักจะลุ้นอยู่นั่นแหละ ว่าวันนี้จะได้พูดไหม
ทุกข์ : กังวลว่าเราจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่านะ
สมุทัย : ชอบที่จะได้พูดเวลาเข้าประชุมกับหมู่ ชังถ้าไม่ได้พูดกับหมู่เวลามีประชุม
นิโรธ : เวลาเข้าประชุมกับหมู่เราจะได้พูด หรือไม่ได้พูดก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาตรวจใจดูว่าเรากังวลอะไร
มาร : เวลาเข้าประชุมกับหมู่แบบนี้ อยากพูดจังเลย อยากเอาสภาวธรรมของเรา มาเล่าให้หมู่ฟัง หมู่จะได้รู้จักเรา จะได้ช่วยเราฆ่ากิเลส เหตุแห่งทุกข์ไง
เรา : 555 มารแกอยากรีบพูดกับหมู่ใช่ไหม แต่ฉันจะรีบพูดกับแกให้รู้เรื่องก่อน ถ้าแกอยากพ้นทุกข์จริง ก็ต้องรู้จักพอเพียงสิ อย่าโลภ จะไปพูดทุกครั้ง ต้องรู้จักให้โอกาสพี่น้องท่านอื่นๆ ได้พูดบ้าง
มาร : ก็เราอยู่รอบนอก ถ้าหมู่ไม่รู้จักเราดี เขาก็ไม่รู้วิธีจะช่วยเราออกจากทุกข์สิ
เรา : แล้วแกต้องการแบบไหนล่ะมาร จะเอาแบบพูดทุกครั้งที่ได้ร่วมประชุมกับหมู่งั้นรึ
มาร : แบบนั้นก็ไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเกินไป
เรา : ใช่ ต้องรู้จักประมาณการตามกาละอันควรสิ ถ้าแกอยากพูดมาก ช่วงนี้เราจะเบรกก่อน รอให้แกสงบก่อน พี่น้องจะปล่อยให้เราพูดเมื่อไหร่ค่อยขึ้นมาพูด
มาร : แฮ่ๆ เอาตามเธอว่านั่นแหละ สบายใจกว่า
สรุป พอมารมันยอม เราเบรกการพูดของตัวเองช่วงระยะหนึ่ง อยู่ๆ พี่จิตอาสาก็ให้โอกาสเราได้พูดเฉยเลย ตรงกับ บทธ ข้อที่ 77 ระวัง…กิเลสมักจะหลอกให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่สำคัญยิ่งๆ ขึ้นไป
เรื่อง : เกรงใจน้อง
เหตุการณ์ : เนื่องจากตนเองเขียนการบ้าน เป็นภาษาไทยไม่ถนัด แล้วน้องแพมทราบข่าว ก็เลยอาสาจะบำเพ็ญ ด้วยการช่วยพิมพ์การบ้านเป็นภาษาไทยให้เรา ในระหว่างนั้น กิเลสมันกลัวเราจะเอามันไปแฉให้หมู่ฆ่ามันน่ะดิ มันก็เลยอ้างว่าจะเป็นภาระให้น้องแพม
ทุกข์ : ขุ่นใจที่เราเอาการบ้านของเราไปเป็นภาระให้น้อง
สมุทัย : ชอบที่เราสามารถเขียนการบ้านเป็นภาษาไทยด้วยตนเอง ชังที่เราเอาการบ้านของตน ไปเป็นภาระให้น้อง
นิโรธ : เราจะยังไม่สามารถเขียนการบ้านเป็นภาษาไทยด้วยตนเองได้ และยังเป็นภาระให้น้อง เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาดูลีลามารพอมันคิดไม่ดี ขุ่นใจ จนง่วงนอน เพลียมาก เราเลยนอนคุยกับมาร
มาร : วันนี้เหนื่อยมาก จะไม่เข้าหมู่ล่ะ นอนพักดีกว่า
เรา : ทำไมล่ะ แกไม่เข้าหมู่ แต่ฉันจะเข้า มาเล่าให้หมู่ฟังเว้ย
มาร : ก็ๆ มันรู้สึกขุ่นใจ เรื่องการบ้านนะ อันที่จริงการเขียนการบ้าน มันก็ดีอยู่นะ แต่ทำไมเราต้องเอาการบ้านของเรา ไปเป็นภาระให้น้องเขาด้วยล่ะ
เรา : ฮั่นแน่! มาร แกมีข้ออ้างดีจังเลยเนาะ น้องเขาบอกหรือยัง ว่ามันเป็นภาระให้เขา เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีแต่มารนี่แหละ ที่เป็นภาระให้น้องเขาเต็มๆ เลย และยังเป็นภาระให้พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ หมู่มิตรดีด้วย
มาร : ก็เห็นๆ อยู่นี่ ว่าน้องแพมมีภารกิจที่ต้องไปสอนนักเรียน ทำภารกิจครอบครัว แล้วยังทำงานล้างกิเลสของเขาด้วย
เรา : แหม่! ตอนหน้าด้านๆ ไปเสพกิเลส ไม่เห็นจะเกรงใจน้องแพมเลย และไม่เกรงใจใครๆ ด้วย ทีจะมาฝึกทำสิ่งที่ดีงาม ก็อ้างเหตุผลว่าเกรงใจซะงั้น เรื่องภารกิจของน้องแพม มันเป็นเหตุการณ์ข้างนอก ถ้าน้องเขาไม่ไหว เขาจะบอกเราเอง และอย่าไปทายใจเขา มันผิดศีล ความจริงน้องเขามีฉันทะ ที่จะบำเพ็ญด้วย เขาได้พลัง และได้เหลี่ยมมุมในการล้างกิเลสของเรา ไปใช้ในการล้างกิเลสของเขาด้วย และหมู่กลุ่มก็เห็นดีด้วย ไม่มีใครคัดค้านอะไรเลย
มาร : เอ่อ! ที่คัดค้านอยู่นี่ มันทุกข์นะ ตอนนี้เข้าใจแล้ว จะเอาตามหมู่ดีกว่า สบายใจกว่า
สรุป พอเราเข้ามาคุยกับหมู่ มารก็ฟังด้วย พอมันฟังรู้เรื่อง มันก็ไปเลย เราก็สบายใจ ไร้กังวล ที่สำคัญเราก็ทำตามเหตุปัจจัย ที่มันพอลุยไปได้ เราลุยค่ะ ตรงกับ บทธ ข้อที่ 4 ต้องกล้าในการทำสิ่งที่ดี ละอายและเกรงกลัวในการทำสิ่งชั่ว ชีวิตจึงจะพ้นทุกข์ได้
เรื่อง ถามแต่เรื่องไม่พ้นทุกข์
เนื้อเรื่อง
เวลาทุกข์ใจเราก็จะปรึกษาหมู่
แต่เวลาปรึกษาเราก็จะถามแต่เรื่องไม่พ้นทุกข์ ถามแต่เรื่องคนอื่น คนนี้ทำไมเป็นแบบนี้ สนใจแต่เรื่องคนอื่นไม่หันกลับมาที่ใจตัวเองว่าที่ถามนั้นคือเรา จะเอาอะไรจากคนอื่น ทุกข์ใจไม่แม่นเป้าไม่ตรงจุด ไม่ตรงแก่น
ทุกข์ อึดอัดใจตัวเองถามไม่ตรงเป้า ไม่ตรงแก่นที่เราทุกข์ใจ
สมุทัย ชอบที่ถามแล้วตรงเป้าดับทุกข์ ชัง ที่ถามแต่เรื่องไม่พ้นทุกข์
นิโรธ
จะถามเรื่องที่พ้นทุกข์หรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจสบายใจไร้กังวล
มรรค
มารมันรีบถามมันถามแบบไม่คิด
มาร
ถามอะไรก็ถามไปเถอะรีบถาม รีบพูด พูดแบบไม่ต้องคิดจะได้ พูดจบ เร็วๆ
เรา
ก็ทุกข์ก็ต้องถามสิ ไม่ถามก็เดาใจกันสิ แล้วเมื่อไหร่จะพ้นทุกข์ มัวแต่อายก็มีแต่ทุกข์มีแต่โง่ ก็เป็นคนรู้น้อยก็ต้องถามมากถามเรื่องที่เราจะพ้นทุกข์
มาร
อายเขาถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้คนเขาหัวเราะเราอยู่นั่นเห็นไหม
เรา
ก็เพราะมีแกนี่แหละถึงถามไม่รู้เรื่องกระซิบอยู่นั่นแหละเสี้ยมสอนให้เราใจร้อน ให้เรารีบพูดให้เราพูดไม่คิดไอ้กิเลสมาแฝงอยู่ในใจ แล้วยังมาสั่งให้กูทำผิดศีล ทำชั่ว ทำทุกข์ มารโง่ เอ๋ย ก็มีแต่มึงนี่แหละหัวเราะ และว่ากูอยู่เนี่ย หมู่มิตรดีทุกท่านปรารถนาดีต่อเรา (ทุกคนปรารถนาดีตามภูมิตามศีลของแต่ละท่าน)
มาร
หัดเกรงใจ หมู่มิตรดี หรือคนอื่นหน่อยเราเป็นคนไม่ฉลาดเราก็ไม่ต้องถามเยอะ
เรา
ก็ที่ถามเยอะก็เพราะโง่นั่นแหละ ถ้าฉลาดบรรลุธรรมไปแล้วก็ไม่ต้องถามก็ไปช่วยงานครูบาอาจารย์ได้แล้ว แต่ตอนนี้มีมารมาเสี้ยม มาสอน มาพูด มาบ่น ยิ่งโง่กว่าเดิม ยิ่งทุกข์กว่าเดิม (ถามที่ลึกซึ้งมากกว่านี้คือถามด้วยการปฏิบัติตาม ทำงานร่วมด้วย ทำงานรับใช้ท่าน)
มาร อะไรวะ รู้จักเราอีกแล้วไปเอาความคิดนี้มาจากไหน
เรา
ตอนนี้ข้าฉลาดมากแล้วเพราะข้ามีหมู่มิตรดีมีองค์ประกอบที่ดี ก็พึ่งบารมีหมู่มีอะไรก็ปรึกษาหมู่ ไม่โง่เหมือนอดีตแล้ว ที่ฟังแต่มาร ตัดสินใจคนเดียว
พอจับมันได้มารก็ยอม มันก็สงบ ตรงกับทบทวนธรรม ข้อที่ 37 ปัญหาทั้งหมดในโลกเกิดจาก คน โง่ กว่ากิเลส
พอพิจารณาแบบนี้บ่อยๆ ก็ทำให้ความคิดผิด (ศีล) เปลี่ยนเป็นคิดถูก (ศีล) ได้มากขึ้น คือถ้าเราทุกข์เราก็ต้องถามตามหมู่มิตรดี (ไม่กล้า ถาม อายชั่วแล้ว) ถามเท่าที่มีเวลามีเหตุปัจจัยวิ่งชน พอพิจารณาว่าการเถียงมารเป็นสิ่งที่สมควรเถียงเป็นสิ่งที่สมควรพูด ทำให้ (มารเขามีปัญญาน้อย มีสุขน้อย อย่าไปแย่งเขา) ที่ตัวใหญ่ๆ ตอนนี้ตัวก็เล็กลงทำให้เราเถียงมารชนะมากขึ้นเพราะฝึกเถียงบ่อยๆ
เรื่อง : ช่างไฟไม่มา แต่ไฟปัญญามา
เหตุการณ์ : แม่นัดช่างไฟฟ้ามาต่อไฟที่บ้านสวน รอตั้งแต่เช้าแล้วช่างไฟก็ยังไม่มา และแล้วมารก็เสนอหน้ามาก่อนช่างไฟค่ะ
ทุกข์ : ขุ่นใจอยากให้ช่างไฟฟ้ามาต่อไฟให้ตอนเช้า
สมุทัย : ชอบถ้าช่างไฟฟ้ามาต่อไฟให้ตอนเช้า ชังถ้าช่างไฟฟ้าไม่มาต่อไฟให้ตอนเช้า
นิโรธ : ช่างไฟฟ้าจะมาต่อไฟให้ตอนเช้า หรือตอนไหนๆ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : พอคิดแบบมารปุ๊บ ก็ทุกข์ปั๊บเลย กายมีอาการเสียพลัง หัวตื้อ ใจไม่โปร่งไม่โล่ง คิดอะไรไม่ออก จนไม่ได้ทำงานการอะไรเลย งั้นต้องมานั่งคุยกับมารให้รู้เรื่อง มาดูลีลามารกันค่ะ
มาร : เอ! เมื่อไหร่ช่างไฟจะมาต่อไฟให้สักทีนะ รอแล้วรออีก ไม่เป็นอันทำอะไร ถ้าจะไปทำก็เหมือนช่างไฟจะมา
เรา : ทำไมต้องรอด้วยเล่า ก็ไปทำอย่างอื่นก่อนสิ
มาร : ก็ต้องรอน่ะสิ เดี๋ยวช่างไฟมาไม่เห็นคนอยู่ ก็จะขี่รถกลับ อดต่อไฟกันพอดี
เรา : แล้วไง ไม่ได้ต่อไฟวันนี้แล้วจะเป็นอะไรเหรอ
มาร : อ้าว ไม่เห็นหรือไงว่าอากาศมันร้อน เมื่อเช้าแม่ยังบ่นๆ อยู่ว่าเมื่อคืนร้อนจังเลย ถ้าช่างไฟมาต่อให้วันนี้ก็น่าจะดีนะ
เรา : โธ่เอ่ย! มาร แค่นี้เธอก็ต้องมีเงื่อนไขให้ใจเป็นทุกข์เนาะ เสร่อไปใส่รองเท้าแม่ แม่จะร้อนก็เรื่องของแม่สิ ท่านก็จะมีวิธีที่ทำให้ท่านหายร้อนเองนั่นแหละ จะยุ่งทำไมเนี่ย จะเอาใจไปข้องทำไม ทุกข์ไหมล่ะ
มาร : ก็ทุกข์น่ะสิ แต่ท่านเป็นแม่เราไม่ใช่เหรอ อยากให้ท่านสบายไม่ใช่เหรอ
เรา : ก็ใช่ จะให้ทำยังไงล่ะ ช่างไฟไม่มาก็คือไม่มา ความจริงช่างไฟไม่มาก็เพราะเป็นวิบาก เขายังไม่ให้ได้อาศัยสิ่งนี้ จะไปรีบไปเร่งทำไม เป็นการขโมยผิดศีลข้อ 2 นะรู้ไหมมาร เรื่องแค่นี้เธอก็พาคิดไปโง่ แล้วก็ยังจะพาชั่ว ไปขโมยดีที่ยังไม่ใช่เวลาให้อาศัย และก็ลงท้ายด้วยทุกข์ตลอดเลย
มาร : อื้อฮือ! คิดแบบฉันมันโง่ มันชั่ว มันทุกข์ ขนาดนี้เลยเหรอ
เรา : ใช่ โง่ ชั่ว ทุกข์ มากมายเลย ไม่พ้นทุกข์แน่ ถ้ายังคิดแบบเธอ
มาร : ตกลง ไปเอาพุทธะดีกว่า
สรุป มารไปแล้วใจก็โปร่งโล่งสบาย อาการทางกายที่เสียพลัง หัวตื้อ ก็กลับมามีแรงและหายหัวตื้อ ทำให้เราคิดออกว่าจะต้องไปต่อระบบน้ำเพิ่ม และช่างได้โทรมาบอกว่าจะไปต่อไฟให้ในวันพรุ่งนี้นะ ตรงกับ บทธ ข้อ 125 อย่าปล่อยเวลาชีวิตให้สูญเปล่า ด้วยการไม่ลดกิเลส ขอบคุณช่างไฟที่ไม่มา งั้นเราคงไม่มีไฟปัญญามาจัดการกับกิเลส สาธุ
เรื่อง ใจร้อนรีบส่งการบ้าน
เนื้อเรื่อง ได้ส่งการบ้านที่ห้องวิชาราม เป็นประจำก็ไม่เคยผิดพลาด แต่วันนี้ใจร้อนและมีอาการทางกายมาเตือนมาบอกอยู่เป็นระยะๆ
ทุกข์ อยากส่งการบ้านให้เสร็จเร็วๆ
สมุทัย ชอบที่ตรวจการบ้านก่อนส่ง ชังที่ส่งการบ้านมั่วๆ
นิโรธ ได้พยายามทำการส่งการบ้านอย่างดีที่สุด และปรารถนาดีที่สุดแล้ว ก็สุขได้แล้วไม่มีอะไรคาใจ
มรรค มารมาช่วยส่งการบ้านส่งเลยๆไม่ต้องตรวจสอบหรอกหมู่ที่ห้องอื่นๆไม่เห็นว่าอะไรเลย
มาร การบ้านเราดีแน่ๆส่งไปเลยคนอื่นจะได้อ่านเร็วๆ
เรา มีอาการสะดุดๆๆ ใจเรารีบร้อนไปนะเอ สงสัยๆ
มาร ช้าจังเลยส่งเถอะ
เรา จะดีรึ
มาร จะได้รีบไปฟังธรรมะมากๆ
เรา ว่าแล้วส่งการบ้านมั่วจริงด้วยตั้ง3เรื่องเพราะส่งไปตรวจที่ห้องตรวจอีกห้องหนึ่งก่อน แต่ส่งให้หมู่อ่านไม่ผิด (ห้องโรงเรียนของหนู)
ต่อไปจะไม่เชื่อมาร (มาเป็นผีหลอก) เสร็จแล้วก็มาบอกให้เราทุกข์ใจอีก เราก็หลงโง่กว่ากิเลส ต่อไปจะได้รู้แล้วแก้ไข ขอสำนึกผิดกับหมู่มิตรดี ตรงกับ บทธข้อที่22ถ้าใครมีปัญหา หรือความเจ็บป่วยในชีวิตให้ทำความดี4อย่างนี้ ด้วยความยินดีจริงใจ จะช่วยให้ปัญหาหรือความเจ็บป่วยลดลงได้เร็ว
1) สำนึกผิดหรือยอมรับผิด
2) ขอรับโทษเต็มใจรับโทษ
หรือขออโหสิกรรม
3) ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้น
4) ตั้งจิตทำความดีให้มากๆ คือลดกิเลสให้มากๆ
เกื้อกูลของชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ
ผลของการใจร้อนเป็นไงล่ะ
มารหลอกให้ขี้เกียจทำงาน
เรื่องย่อ ช่วงนี้มารเข้ามาหลอกหลายอย่าง ให้ผมขี้เกียจทำงาน ไม่อยากทำงาน กลัวป่วย กลัวไม่สบาย แรงไม่ค่อยมี แรงตกเพราะ เข้าหน้าร้อนอากาศร้อนขึ้น กลัวแดด แค่ไปยืนตากแดดเฉยๆก็เหนื่อย ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนจะตายให้ได้ มารมีเงื่อนไขมาก ที่ไม่อยากให้เราทำงาน อยากให้เราเสียเวลา ให้เราเนิ่นช้า ในการบำเพ็ญในหมู่มิตรดีครับ
ทุกข์ ไม่อยากทำงาน อยากพัก อยากนอน
สมุทัย ชอบที่ได้พักสบายๆ ชังที่ทำงานเหนื่อย
นิโรธ ทำงานเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยก็ไม่ทุกข์
มรรค พิจารณาว่า การได้อยู่ในหมู่มิตรดี ได้ทำงานให้ส่วนกลาง เป็นความโชคดีมาก เราควรจะใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ พิจารณาตามคำสอนของอาจารย์ว่า คนจะแข็งแรง ต้องออกแรง นักกีฬาจะแข็งแรงได้ต้องผ่านความลำบาก ต้องฝืน ต้องอดทน และผมได้ทดสอบทำใจตอนทำงาน ได้ทำใจไปด้วยและทำงานไปด้วย ก็ได้เห็นความจริงว่า อาการปวดเมื่อย อาการไม่มีแรง เหมือนกับว่าจะแย่แล้ว มักจะเป็นตอนเริ่มทำงาน (คล้ายๆกิเลสหลอกตอนที่จะตื่นนอน ให้เราทรมาน ให้เราทุกข์ไม่อยากตื่น แต่พอตื่นจริงๆแล้วก็ไม่ง่วงนอน)และอาจารย์บอกว่า ถ้าเราลดความชอบชัง ลดกิเลสได้เราจะได้พลังเพิ่ม ผมก็ฝึกทำใจ เห็นประโยชน์จากการทำงาน ก็รู้สึกว่ามีสภาวะ เบาขึ้น และมีพลังเพิ่มจริงๆครับ
พอพิจารณา เห็นมาร รู้จักมาร ฆ่ามารได้บ้างแล้ว ตอนนี้ก็รู้สึกว่าได้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น ว่าเมื่อก่อนเราโดนมารหลอกมาตลอด ว่าอู้งานสิคือความฉลาด ยิ่งใช้แรงมากคือความเสียเปรียบ ร่างกายจะสึกหรอไว พังเร็วขึ้น ยิ่งใช้แรงมากยิ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ทำงานเบาๆปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ฯลฯ มารหลอกให้เราขี้เกียจทำงาน ให้เราไม่อยากออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายของเราอ่อนแอลงๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ความแข็งแรงต้องคู่กับความลำบาก(ในจุดพอดี) ร่างกายลำบากแต่เรามีวิชาทำใจให้เบาสบายก็ไม่มีปัญหา ในทางกลับกัน ถ้าร่างกายเราสบายเมื่อไหร่ ความแข็งแรงก็จะลดลงๆกล้ามเนื้อฝ่อลงๆ เราต้องฝึกฝืน ต้องฝึกตั้งตนบนความลำบากตามที่อาจารย์พาทำ ในทุกๆวัน จึงจะเจริญครับ
สรุป พิจารณาแล้วชังที่จะทำงานลดลง มีฉันทะมากขึ้น ใจเบาขึ้นครับ สาธุครับ
เรื่อง หินล้างกิเลส
เนื้อเรื่อง พี่ชายพ่อบ้านได้เลิกกิจการขายหินแกรนิตที่ใช้จัดสวน หินแต่ละแผ่นใหญ่และหนักมาก ท่านยกหินทั้งหมดให้พ่อบ้าน แต่ต้องว่าจ้างขนย้ายของด้วยตัวเอง
ใจมันขุ่นๆ หนักเนื้อหนักตัว เอามาทำไมเป็นภาระ รับรู้ว่าของมีราคาแต่ถ้าเอามาโดยไม่รู้ว่า จะเอามาทำอะไร ตอนไหน เวลาไหน
ทุกข์ ขุ่นใจพ่อบ้านเอาหินมาให้รกบ้าน
สมุทัย ชอบถ้าพ่อบ้านไม่เอาหิน ชังที่พ่อบ้านเอาหิน
นิโรธ พ่อบ้านจะเอาหินหรือไม่เอาหินก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค มาดูลีลามารที่ทำให้ทุกข์ใจ
มาร :เอามาทำไมเนี่ย รกบ้านแถมไปแกะกะที่ทำงานน้องอีก เสียค่าขนย้ายอีก
เรา :ก็ของมันต้องขนย้ายออกเพราะเลิกกิจการ จะขายบ้านด้วย อย่างไงก็ต้องขนย้ายช่วยพี่เขาเถอะ
มาร :เอามาทำไม ได้ใช้ตอนไหนเนี่ย
เรา :จะได้ใช้ตอนไหนหรือไม่ได้ใช้ ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันเห็นแกแล้ว ไอ้ชั่วกังวลทำไมน้องเขาก็อนุญาตให้วางหินได้ พ่อบ้านท่านก็เต็มใจที่จะจ่ายค่าขนย้าย มีแต่แกนี่ละที่ทุกข์ใจ กลุ่มใจ ว้าวุ่นใจ จะบ้าหรือ คิดบ้าอยู่คนเดียว อิทถีภาวะจริงๆ ถ่วงศาสนา ถ่วงครูบาอาจารย์ ตัวแกไม่เคยเอาของ หรือซื้อของมาบ้างเลยใช่ไหม?
มาร :(ยิ้มแบบอายๆ) บ่อยไป บ่อยมากด้วย โดยเฉพาะเสื้อผ้า บางตัวซื้อมาไม่เคยได้ใส่ บางชิ้นซื้อมาทุกสีก็มี เต็ม4-5ตู้
เรา :นั่นไง นั่นมันตัวแกชัดๆ พ่อบ้านที่ไหนละ มาเรามาขอโทษพ่อบ้านกันที่ไปเพ่งโทษท่าน และสำนึกผิดด้วยนะ
มาร :ได้ๆ ทำไมตอนนี้รู้ทันเร็วจัง
ใช้บททบทวนธรรมข้อที่ 21 การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่าที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
สรุป หลังพิจารณาใจไร้ทุกข์ เบิกบาน อาการหนักเนื้อหนักตัวหายไป ต้องขอบคุณพ่อบ้านที่ช่วยกระทุ้งกิเลสตัวนี้ให้ออกมาได้ล้าง พุทธะนี้สดชื่น สดใสจริงๆ..สาธุ
การบ้านอริยสัจ4
ชื่อ สุรีนารถ ราชแป้น จิตอาสาสวนป่านาบุญ2 จังหวัดนครศรีธรรมราช
◦ ชื่อเรื่อง:ถูกจอดรถขวาง
◦ เหตุการณ์: ไปจอดรถที่ลานจอดรถในตลาดซึ่งมีที่ว่างให้จอดพอสมควร แต่พอซื้อของเสร็จกลับมาที่รถปรากฏว่ามีรถจอดขวางทั้งสี่ด้านไม่สามารถออกได้ณ.ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร และก็เดินไปที่เวที ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เขาประกาศเลื่อนรถให้และกลับไปรอที่รถ สักพักใหญ่ๆก็ยังไม่มีใครมาเลื่อนให้
◦ ทุกข์: รู้สึกขุ่นใจที่รอนาน ไม่คนมาเลื่อนรถให้
◦ สมุทัย:ชอบที่ไม่ต้องรอนาน ชังที่ต้องรอนาน ทำให้กลับบ้านช้า
◦ นิโรธ: จะต้องรอนานหรือไม่ต้องรอจะได้กลับบ้านเร็วหรือกลับบ้านช้าใจไร้ทุกข์
◦ มรรค:มาดูที่ใจตอนที่มาเจอรถถูกขวางไม่สามารถออกได้ยังรู้สึกเฉยๆแล้วก็ทำใจว่ารอก็ต้องรอแต่ในขณะเดียวกันก็ไปให้เขาประชาสัมพันธ์เลื่อนรถให้แล้วก็กลับมานั่งรอที่รถด้วยความใจเย็นแต่พอรอไปสักพักใหญ่ๆยังไม่เห็นมีใครมาเลื่อนรถ มารก็เริ่มปฏิบัติการทันทีว่าเราก็รอนานแล้วทำไมยังไม่มีใครมาในใจมันก็ขุ่นๆว่าเขาประกาศให้หรือยังและประกาศให้แล้วทำไมเขายังไม่มาเลื่อนรถเราก็รอนานแล้วนะเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาทันทีแต่พอรู้ตัวว่ามารเริ่มทำงานใจเราเริ่มหงุดหงิดเริ่มขุ่นมัวถ้าเราเต้นไปตามมารเราก็จะยิ่งทุกข์ ก็เลยปรับใจใหม่บอกกับมารว่าไม่เป็นไรเราก็เคยทำเช่นนี้มามากเราก็เคยขวางคนอื่นมาตั้งเยอะเราถูกขวางบ้างก็ดีแล้วเราได้ใช้วิบากไปจะหงุดหงิดขุ่นใจไปทำไมมันไม่ได้ช่วยให้เราได้กลับบ้านเร็วขึ้น นั่งรอใจเย็นๆนะเดี๋ยวก็มีคนมาเลื่อนเองแหละ การที่มีคนขวางเราก็ดีแล้วนอกจากจะได้ใช้วิบากเรายังได้เห็นกิเลสตัวความใจร้อนความไม่ได้ดั่งใจเรา ได้ล้างกิเลสจึง ใช้บททบทวนทำบทที่ “21 การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเราไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่าทำให้ได้ฝึกล้างกิเลสคือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา “เมื่อได้พิจารณาดังนี้กิเลสหรือมารก็สลายไปนั่งรอด้วยความเบิกบานใจอาการขุ่นใจก็จะหายไป
◦
3 เมษายน 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญคบคุ้น สวนป่านาบุญ
เรื่อง ไม่ชอบคนมายุ่งชีวิตเรา
เพื่อนที่สนิท พอรู้ว่าเราฝึกกินมื้อเดียว เท่านั้นเอง ก็พูดปรามเชิงสอนเราเสียงดังในที่ทำงานว่า 2 มื้อก็เหมาะสมแล้วขอร้อง มื้อเช้าสำคัญไม่ควรงด เดี๋ยวจะผอมเกิน ไม่ดีหรอกแล้วก็จะไม่สบายเอาอีก อย่ากินเลยมื้อเดียวมันตึงไป มารได้ยินอย่างนั้น มันฉุนขึ้นมาทันที
ทุกข์ ไม่ชอบคนมาค้านการ กระทำของเรา
สมุทัย ชอบ คนไม่ค้านการ กระทำของเรา
ชัง คนมาค้านการกระทำของเรา
นิโรธ ใครจะค้าน หรือไม่ค้านการกระทำของเราก็ได้ ไม่ทุกข์ใจ
มรรค มารฉุนจัด ที่มีคนมาค้านเรื่องกินมื้อเดียว มันตะโกน (ในใจ) เสียงดังว่า “อย่ามายุ่ง ตัวเองจะรู้อะไร นี่กว่าจะสู้กับกิเลสตัวเองผ่านมาได้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ยังจะต้องมาสู้กับกิเลสคนอื่นอีก อย่ามายุ่ง ไม่ชอบ”
เห็นมารฉุนเฉียวขนาดนี้แล้ว จึงพิจารณาว่า ” มาร ใจเย็น ที่เขาพูดนั้น เขาหวังดี เขาเป็นห่วงเพราะเราเคยป่วย แต่ที่มารบอกว่า สู้กับกิเลสคนอื่นนั้นไม่ใช่ สู้กับกิเลสตัวเองนี่แหละ ไม่เคยทำรึงัย ชอบไปสอนไปบงการชีวิตคนอื่นจนทำให้เขาทุกข์ ลีลาตัวเองชัด ๆ เคยทำมาแล้วทั้งนั้น มากด้วย
มารคิดตาม และยอมจำนนว่า เคยทำแบบนี้กับคนอื่นไว้มากจริง ๆ ทำมานานแล้วด้วย พอมารยอม อาการโกรธ ความฉุนเฉียว จึงสงบลง
บททบทวนธรรม ข้อที่ 46 เกิดอะไร จงท่องไว้ “กู -เรา-ฉัน” ทำมา
เรื่อง ทำผิดศีล
เนื้อหา:ในช่วงที่ขึ้นไปบำเพ็ญที่ภูพาฟ้าน้ำ ไม่ได้ส่งการบ้านเลย ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเคยตั้งศีลว่า จะทำการบ้านส่งทุกอาทิตย์
ทุกข์: ไม่สบายใจ
สมุทัย: ยึดมั่นถือมั่นว่า ชอบถ้าได้ส่งการบ้าน ชังที่ไม่ได้ส่งการบ้าน
นิโรธ: จะได้ส่งการบ้านหรือไม่ เราก็จะไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นแล้วตั้งศีลสู้ใหม่ ด้วยบททบทวนธรรมข้อ 50 ที่ว่า “อดีตที่ผิดพลาดให้สำนึก ปัจจุบันที่ผิดพลาดจากกิเลส หรือจากการประมาณที่ไม่พอเหมาะ ให้แก้ไข” ควบคู่กับข้อ 52 “เก่งอริยศีลเป็นสุข ไม่เก่งอริยศีลเป็นทุกข์ อยากเป็นสุข จงติเตียนการผิดอริยศีล จงยกย่องการถูกอริยศีล”และข้อ ข้อ 55 “อย่าดื้อต่อศีล ดื้อต่อศีล ทำให้ทุกข์หนัก ทุกข์หนักมาก ทุกข์หนักที่สุด”จริงด้วยที่เราไปสบายใจเนื่องจากไม่ได้ทำการบ้านส่งตามที่ตั้งศีลไว้
สรุปหลังจากพิจารณาแล้วความไม่สบายใจก็หายไป ใจกลับมาโปร่ง โล่ง เบาสบายดังเดิม
1 เมษายน 2564
ชื่อ นางสาวิตรี มโนวรณ์
ผู้บำเพ็ญ้คบคุ้นสวนป่านาบุญ 2
เรื่อง เห็นกิเลสคนอื่น แต่ไม่เห็นกิเลสตัวเอง
มีพี่ที่ทำงานเดียวกันเดินเข้ามาถามหาน้องอีกคนในกลุ่ม เราตอบคำถามไป แต่คนฟังสีหน้าไม่ค่อยพอใจเมื่อได้รับคำตอบ มารมาปรากฏตัวทันที
ทุกข์ ไม่ชอบใจ กิริยาอาการของคนอื่น
สมุทัย ชอบ ถ้าเขาแสดงกิริยาอาการที่เราถูกใจ ชัง เขาแสดงอาการที่เราไม่ชอบ
นิโรธ เขาจะแสดงอาการอย่างไรก็ได้ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค เห็นมารปรากฏตัวแล้ว ได้คุยกับมาร…
มาร : ดูออกเลยแบบนี้งอแง ต้องการให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตัวเอง
เรา : เห็นกิเลสคนอื่น แล้วเห็นกิเลสตัวเองมั้ยมาร
มาร : ชะงักไปชั่วครู่แล้วบ่นต่อ นิสัยไม่ดี ไม่ชอบเลย
เรา : ตัวเองไม่เคยเป็นรึงัย เมื่อเช้านี้ก็ยังเป็นแบบเขาอยู่เลย คนอื่นเป็นแล้วไม่ชอบ แล้วเวลา ตัวเองเป็นละว่างัย
มาร : อึ้ง แต่ไม่ตอบอะไร
เรา : ไม่ชอบที่เขาเป็น แล้วตัวเองพ้นทุกข์มั้ย
มาร : ก็จริงนะ เห็นกิเลสคนอื่น เราก็ชั่วเปล่า ๆ ตกลง ๆ ยอม ๆ
ตกลงเหตุการณ์นี้ ได้คุยกับมารทันทีที่เกิดเหตุการณ์ มารยอมแต่โดยดี สำรวจใจแล้ว ไม่มีอาการเพ่งโทษหรือไม่ชอบใจเหลืออยู่ แต่กลับรู้สึกโล่งเพราะกิเลสตัวนี้ถูกล้างออกไปแล้ว
บททบทวนธรรมข้อที่ 9 ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่า เรายังไม่เข้าใจตนเอง
เรื่อง ไม่ได้ถอนฟัน
เหตุการณ์ : ไปพบหมอฟันเพื่อถอนฟัน ไปวันแรกหมอลางาน วันที่ 2 คิวเต็ม เจ้าหน้าที่บอกว่าแต่ละวันให้คิวได้ 8 คนเราไปช้ากว่าคนที่ 8 แค่ 2 นาทีจึงบอกเจ้าหน้าที่ว่า งั้นค่อยมาพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่บอกกลับมาว่า หมอติดประชุม มารเข้ามาทันที นี่ อะไรกันนักหนาพลาดทุกที
ทุกข์ : ไม่พอใจ ที่ไม่ได้ถอนฟัน
สมุทัย : ชอบถ้าได้ถอนฟัน ชังที่ไม่ได้ถอนฟัน
นิโรธ : จะได้ถอนฟันหรือไม่ ก็สุขใจ ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค : พอรู้ตัวว่าไม่พอใจแล้ว รีบหันกลับมาดูใจตัวเองว่าอะไรทำให้เจอแบบนี้ นึกได้ว่า ช่วงนี้เราทำผิดศีลบ่อยมาก เคยตั้งศีลว่าจะส่งการบ้านทุกอาทิตย์แต่ไม่ได้ส่งหลายรอบแล้วก็สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม เต็มใจ และยินดีรับโทษ แล้วปรับใจด้วยบททบทวนธรรมข้อ 12 ที่ว่า”วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไร เกิดจากการกระทำของเราทั้งหมด เจอเรื่องดีเพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดีเพราะทำไม่ดีมา ทั้งในอดีตและปัจจุบันสังเคราะห์กันอย่างละ 1 ส่วน”
สรุป เมื่อพิจารณาจึงเชื่อชัดเรื่องวิบากกรรมแล้ว สำนึกผิด ยอมรับผิด ยินดี เต็มใจรับโทษ จากนั้นความไม่พอใจจางหายไป ใจกลับมาโปร่ง โล่ง สบาย
ชื่อเรื่อง ใจที่เพ่งโทษ
เนื้อหา เมื่อวานได้ขอราวเหล็กตากผ้าจากอาผู้ชายที่ท่านทำงานอยู่ในห้องช่างเพื่อย้ายที่แขวนผ้าออกจากทางเดินซึ่งเป็นทางผ่านเพื่อเข้าไปเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าของช่าง เพราะท่านต้องลอดผ่านที่แขวนตากถุงมือถุงเท้าของเรา แต่พอไม่นานราวเหล็กหายไปจากที่เราตั้งไว้ โดยมีหมวก เป้ใส่น้ำดื่มและที่แขวนตากถุงมือถุงเท้าถูกรวบไปอยู่ที่เดียวกัน ก็เกิดอารมณ์อย่างหนึ่งวูบขึ้นมามันเป็นอารมณ์ฉุนปนอาการน้อยใจนิดๆ นึกในใจว่าใครน้อช่างกล้าทำ เห็นว่ามีสิ่งของแขวนอยู่แท้ๆก็ยังมาเอาของเราออกแล้วเอาราวไปได้(เห็นความน้อยใจโผล่ขึ้นมา คิดในใจว่าเราไม่มีสิทธิ์ใช้หรือไงน้อ) พอดีเดินไปเจอราวตั้งอยู่ข้าง
เต๊นท์อาท่านหนึ่งจึงถามท่านๆก็ไม่ทราบว่าใครยกมาแต่จะช่วยสอบถามให้ และท่านก็พูดว่าการทำแบบนี้ ถือว่าคนที่ทำก็ถือวิสาสะนะที่หยิบสิ่งของผู้อื่นโดยไม่สอบถามก่อน คำพูดของอาท่านนั้นทำให้เราสะดุดใจเหมือนมีบางอย่างเตือนให้เรามีสติขึ้น คิดในใจว่าเอ้ หรือว่าเราเป็นคนไปเอาของคนอื่นมาหรือเปล่านะ ถ้าอย่างนั้นคนที่ถือวิสาสะหยิบของผู้อื่นก็คือเรานะสิ เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็รีบปรับใจที่กำลังเพ่งโทษนั้นทันที นึกขออโหสิกรรมในใจ
ทุกข์:รู้สึกขัดเคืองใจ น้อยใจ
สมุทัย:หลงไปโทษผู้อื่น เพราะยังไม่ได้รู้ข้อมูลหรือคุยกัน
นิโรธ:ตั้งจิตขอโทษท่านที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคือโคร และไม่รู้ว่าสิ่งที่ท่านทำไปท่านมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า การรู้สึกสำนึกผิดทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น ความขุ่นเคืองในใจก็คลายไป เปลี่ยนเป็นความสำรวมระวังความคิดตัวเองแทน
มรรค พอได้ฟังคำพูดคุณอาท่านนั้นก็ทำให้เรามีสติบอกกับตัวเองว่าใจเย็นๆ ก่อนจะตัดสินหรือเพ่งโทษใครควรสอบถามกันให้รู้เรื่องก่อน จะได้ไม่สร้างวิบากร้ายให้ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น พอรู้ตัวคนที่เอาไป ท่านบอกว่าท่านได้นำราวเหล็กนั้นไปให้ช่างซ่อมให้และมีคนมาแจ้งท่านว่าเสร็จแล้ว ท่านจึงไปนำราวของท่านกลับและหยิบสิ่งของที่เราแขวนไว้ออกและบอกเราว่าถ้าได้ใช้ประโยชน์ก็ให้นำไปใช้ได้เลยเพราะท่านยังมีใช้อยู่ ทำให้เรารู้สึกละอายใจที่เกือบจะหลงโกรธโทษท่านไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีสติยั้งทันเพราะมีหมู่มิตรดีคอยเป็นผัสสะและชี้สัมมาทิฏฐิให้
เรื่อง : อยากกินนอกมื้อ
เหตุการณ์ : ตั้งศีลกินมื้อเดียวมานานแล้ว แต่ยังไม่เด็ดขาด เพราะกิเลสกินแรงเรา
ทุกข์ : กระวนกระวายอยากกินผลไม้นอกมื้อ
สมุทัย : ชอบถ้าได้กินผลไม้เพิ่ม ชังที่ไม่ได้กินผลไม้เพิ่ม
นิโรธ : จะได้กินผลไม้ หรือไม่ได้กินผลไม้ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค : มาดูลีลามาร ขี้อ้อน จะกินผลไม้ พอเราไม่ทำตามมัน ก็ดิ้นๆ จนหมดแรง ง่วงนอน เราก็ยอมไปนอนคุยกับมาร
มาร : อุ๊ย! มะละกอ ลูกใหญ่จัง ผ่ากินเถอะ
เรา : ไม่ๆ วันนี้จะยังไม่ผ่ามะละกอลูกนี้ ไว้ผ่ากินพรุ่งนี้ เพราะตอนนี้ใครๆ ก็อิ่มหมดแล้ว
มาร : คนอื่นอิ่ม แต่เรายังอยากกินน่ะ ขอกินหน่อยเถอะ สักชิ้นก็ยังดี นะ นะ นะ
เรา : ฮั่นแน่! มาร แกจะโลภอีกแล้ว ฉันไม่ทำตามแกหรอก เพราะช่วงนี้ ฉันจะกินมื้อเดียว ให้ได้แบบเด็ดขาด และเย็นวันนี้ก็ไม่ได้รู้สึกหิวด้วย ถ้าผ่าแล้วกินไม่หมดมันจะเสียของ (อยู่ไปสักพัก มารหาลีลาใหม่มา)
มาร : เอ๊ะ! ตอนนี้รู้สึกหิวอ่ะ ถ้าไม่ผ่ามะละกอ ก็เอาแตงมากิน 1 ลูกก็ได้ แตงลูกเล็กเอง กินคนเดียวหมดแน่
เรา : เฮ้ย มาร แกอย่ากินตะกละตะกลามจริงๆ เลยน่า นั้นไม่ใช่หิว แต่มันเป็นความอยากของแกต่างหาก
มาร : ทำไมล่ะ ที่ผ่านมาก็กินข้าว 1 มื้อ เป็นมื้อหลัก นอกนั้นก็ยังกินผักสด ผลไม้ เสริมมาตลอดไม่ใช่รึ
เรา : ใช่…ฉันฝึกกินมื้อเดียว มาจนจะครบ 1 ปีแล้ว ที่ฉันทำยังไม่ได้ แบบเด็ดขาดนี้ก็เพราะแกนี่แหละที่กินพลังฉันไป แถมบางวัน แกยังไปกินแบบตะกละตะกลาม กินผลไม้ทั้งวัน พอตกเย็นแกก็นอนตายจนพุงจะแตก
มาร : งั้นถ้าไม่ได้กินแตง ก็ไปนอนเถอะ วันนี้รู้สึกเพลียๆ มึนหัว ง่วงนอนมากเลย ไม่ต้องเข้าหมู่แล้ว รีบนอนเลย พักเอาแรงดีกว่า
เรา : 555 มาร วันนี้ฉันจะทำตรงกันข้ามกับแกทุกเรื่องเลย ฉันกินข้าวไปแล้ว 1 มื้อ แล้ววันนี้ฉันก็จะไม่กินพืชผัก ผลไม้ อะไรเพิ่มอีกทั้งนั้น แกไม่ต้องน้อยใจน่า ฉันยังมีน้ำเปล่า กับน้ำปัสสาวะให้แกดื่ม และวันนี้ฉันจะไม่รีบนอน ฉันจะรอเอาความคิดชั่วๆ ของแก เข้าไปแฉให้หมู่ฟังด้วย ถ้าไม่งั้นฉันจะตกเป็นทาสรับใช้แกแบบนี้ไปตลอด สงครามระหว่างแกกับฉันวันนี้ ต้องมีใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช้ำเลือดช้ำหนองแน่นอนแหละ วันนี้ฉันเอาจริงนะเว้ย
มาร : ฮือฮือ…ดุเดือด ขนาดนี้เลยเหรอวันนี้เอาจริงเหรอ งั้นมารก็หมด ที่เกาะอ่ะดิ อยู่ไม่ได้แล้วไปดีกว่า ดุเดือดมากๆ
สรุป พอเรานั่งคุยกับมารไม่ไหวเราก็ยอมไปนอนคุยกับมาร ในที่สุดมารตายเราก็เข้ามาคุยกับหมู่ด้วยความเบิกบานแจ่มใส อาการ เพลีย มึนหัว ก็หายไป หลังจากเข้าหมู่เสร็จก็มาอ่านหนังสือต่อเพราะยังไม่ง่วงนอน ตรงกับ บทธ ข้อ 38 กิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่คนโง่ คนชั่ว คนทุกข์ คนบ้า หวงแหนที่สุดในโลก เมื่อก่อนเรามักจะหวงแหนกิเลสตัวนี้ที่สุด แต่ตอนนี้สละออกแล้ว ไม่หวงอีกแล้ว สาธุค่ะ
เรื่อง : กังวลกับการรอคอย
นัดผู้ป่วยที่เป็นชาวต่างชาติรักษาตัวตั้งเต่ช่วงโควิทระบาดใหม่จนตอนนี้จึงสนิทกันเตรีบมพืชผักผลไม้อาหารสุขภาพไว้แบ่งปัน
ทุกข์ : กังวลเฝ้ารอตั้งแต่เช้ายันเย็น
สมุทัย : สุขใจถ้าท่านมาพบตามเวลาที่ใจหมาย ทุกข์ใจเมื่อท่านไม่มา คิดไปต่างๆว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับท่านหรือเปล่า
นิโรธ : สุขใจแม้ท่านจะมาหรือไม่ก็ตาม เมื่อวางใจว่าทุกอย่างไมเที่ยงทำดีเท่าที่ได้เมื่อฟ้าไม่เปิดไม่ได้ตามใจหมายจีงตรวจสอบข้อมูลไลน์ที่แจ้งมาเป็นภาษาอังกฤษว่าจะแจ้งว่าตะมาได้หรือไม่ ไมใช่ว่าจะมา โถ…สัญญาวิปลาสจิตคิดไปเองทำให้ลดโอกาสดีๆต่อผู้มาเยือนท่านอื่นที่เรามัวแต่จะเก็บการแบ่งปันไว้ให้ท่านจนตอนเย็นก็สายเสียแล้วตัดใจว่ากุศลที่เบิกได้มีเพียงเท่านี้
มรรค : ดับทุกข์ด้วยการไม่ผิดศีล ด้วยความแช่มชื่นไม่โกรธไม่โทษใครผิดที่ตัวเราแปลงสารน์ผิด จึงพิจารณาไตรลักษณ์และวิบากกรรมที่ให้เราล้างความทุกข์กังวลจากกรรอคอยที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
สำคัญท่สุดคือรักษาใจให้ไร้ทุกข์ รักษาศีลยิ่งกว่าชัวิต
หมายเหต: กินอาหารปั่นมื้อเดียววันที่29พลังเต็มแข็งแรงทั้งกายและใจ
เรื่อง : ผจญความร้อนในวันเขงเม้ง
ประเพณีไหว้บรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีนเวียนมาอีกปีท่ามกลางอากาศร้อนมลภาวะเป็นพิษทั้งอากาศอารมณ์อาหารอีกทั้งยังต้องป้องกันตัวเองจากเชื้อโควิท-19เพื่อความไม่ประมาทด้วยหน้ากากแว่นตาหมวกกันได้ทั้งฝุ่นละอองที่จะมีการเผากระดาษแสงแดดอันแรงกล้าเวลาใกล้เที่ยง เตรียมปรับสมดุลกายใจด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นและน้ำมันเขียว
ทุกข์ : ความร้อนรอบด้านจากอารมณ์ อาหารอากาศแสงแดดยามสายใกล้เที่ยง กลางแจ้งปราศจากสายลม ณ.ฮวงซุ้ยแถวสระบุรั หินกอง ต้นเดือนเมษายน
สมุทัย : ทุกข์จากอากาศร้อน เสียง กลิ่นละอองควันพิษความรู้สึกเร่งรีบวุ่วายจากหมู่ญาติทางสายเลือด รีบไปไหว้ รีบรับประทานอาหารกลางวัน รีบเก็บข้าวของ รีบกลับหนีความร้อนจากแสงแดด สุขใจถ้าได้สภาพอากาศดีของลมพัดเย็นสบายมีเมฆบังแดดปราศจากกลิ่นควันพิษจากการเผากระดาษเซ่นไหว้และจุดประทัดที่ลอยมาเป็นระยะๆไม่ต้องเร่งรีบจัดไหว้ รับประทานอาหารพูดคุยกับญาติที่นานๆจะพบกันทีด้วยความไม่เร่งรีบหนีความร้อน
นิโรธ : สุขใจได้ไม่ว่าอากาศจะร้อนขนาดไหนและความเร่งรีบอารมณ์ร้อนจากหมู่ญาติปรับความสมดุลทางกายด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นทั้งแบบสดและสกัดผสมผงถ่านเติมพลังเต็มด้วยน้ำผักผลไม้ปั่นทั้งสดและสุกเต็มอิมได้มื้อเดียวก่อนที่พี่ชายจะมารับตอนสายๆพร้อมที่จะวางการกินอาหารมื้อเดียวเมื่อพี่สาวคนโตนำผักสดสลัดและกล้วยหักมุกปิ้งที่หสานสาวเตรียมฝากมาให้รับประทานก็พร้อมปฏิบัติรวมทั้งอาหารที่มาไหว้ที่พี่สะใภ้ผัดหมี่ปราศจากเนื้อสัตว์ แป้งผสมเผือกทอดหัวไชเท้าทอด ซาลาเปาไส้เผือกจากร้านดัง ก็รับประทานทั้งที่รู้ว่าเกินความต้องการของร่างกายและล้วนเป็นฤทธิร้อนทำตามประเพณีเป็นช่วงเวลาที่ได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไม่ร้อนใจตาม เมื่อต้องรีบเก็บของแยกย้ายเนื่องจากเหลนแฝดเริ่มงอแงทนความร้อนจากแสงอาทิตย์ก่อนเที่ยงไม่ไหว
มรรค : หนทางดับทุกข์ทางกายด้วยสมุนไพรอาหารที่เติมเติมไว้ก่อนออกจากศูนย์แล้ว ไม่ติดใจในรสชาดของทอดและขนม เพียงกินให้พี่สบายใจเพิ่มมื้อได้อย่างไม่ยึดติด หยุดปริมาณอาหารฤทธิ์ร้อนที่เกินพอดี ได้อย่างไม่ขอบไม่ชัง แก้อาการจุกเสียดแน่นท้องด้วยน้ำผงถ่านที่พกไปด้วย ดับความร้อนทางอารมณ์ความรู้สึกของพี่ๆด้วยการรับฟังไม่คัดค้าน แต่ค่อยแทรกซีมธรรมะไปทีละเล็กทีละน้อยด้วยการเกริ่นนำเรื่องของสุขภาพอาหารเป็นหลักและการแก้ปัญหาความเจ็บป่วยจากอายุที่มากขึ้นและสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ใช้พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาวาง ได้อย่างสุขสบายใจไร้กังวลไม่ว่าพี่ๆจะฟังและทำตามหรือไม่และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงคือพี่ชายที่มารับและส่ง ดื่มน้ำสมุนไพรแบบสดตาม ก็ขับถ่ายสบายท้องในตอนเที่ยง และแก้อาการกรดไหลย้อนด้วยน้ำผงก่านผสมสกัดย่านางและน้ำมันเขียว ทำให้ท่านตามมาซื้อผลิตภ้ณฑ์ที่ร้านค้ากองบุญรวมทั้งพูดคุยวิธีดูแลตัวเองก่อนจากไปอย่างไม่รีบร้อน
ขอบคุณประเพณีเชงเม้ง ที่เป็นกุศโลบายเขื่อมร้อยให้เกิดพบปะกันของหมู่ญาติทางสายเลือดให้มีโอกาสบำเพ็ญตอบแทนพระคุณพี่ๆที่เลี้ยงดูน้องเล็กสุดท้องคนนี้รวมทั้งได้ระลึกถึงปู่ย่าบิดามารดาที่ล่วลับไปแล้วได้ให้กำลังใจในข่วงวิกฤติโควิด-19เช่นนี้ ได้เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ดีให้พี่ๆดูแลสุขภาพทั้งกาบและใจคลายความกลัวกังวลทุกข์แปรเป็นความสุขสบายใจไร้กังวล
หมายเหตุ : กินน้ำผักผลไม้ปั่นวันที่30แต่เพิ่มเป็น2 มื้อ
เรื่อง : ไม่แช่มชี่นกับกรรม 3 ของผู้อื่น
เพื่อนจิตอาสาป.เอกต่างสถาบันมาร่วมรับประทานอาหาร แม้กินน้ำผักผลไม้ปั่นไปแล้วแต่พอเพื่อนมีอาหารปรุงที่เป็นน้ำพริกเห็ด วูปแรกไม่ตักชิมแต่พอเพื่อนบอกว่าเป็นเห็ดที่แม่ค้าเพาะเองไร้สารพิษเลยลองทดสอบเช็คดูว่ามีผลกับร่างกายหรือไม่
ทุกข์ : คันจากการกินเห็ดและสติไม่ดีคิดขุ่นใจที่เพื่อนรุ่นพี่ให้ความร่วมมือกิจกรรมของเพื่อนต่างสถาบันการศีกษามากกว่าสถาบันตัวเอง
สมุทัย : ไม่เกิดอาการคันจากเห็ดจะสุขใจ เกิดอากาคันจากเห็ดจะทุกข์ใจ และถ้าเพื่อนรุ่นพี่ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมสถาบันตัวเองจะสุขใจ ไม่ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของสถาบัน ตัวเองจะทุกข์ใจ ทำให้คิดผิดศีลที่พี่เค้ากระตือรือร้นในการช่วยเหลือกิจกรรมของเพื่อนต่างสถาบันการศีกษาราวกับเป็นผู้เรียนเอง แต่ตรงกันข้ามกับที่เคยคิดวางแผนในการช่วยเหบือกิจกรรมของสถายันตัวเองแต่เมื่อถึงเวลาก็ยกเลิกทั้งหมด
นิโรธ : เมื่อกินเห็ดเกิดอาการคันก็สุขใจถือเป็นการชดใช้วิบากได้รู้ว่าร่างกายไม่ต้องการรับอาหารเกินแล้ว นอกจากปริมาณเกินเแล้วยังป็นการผิดศีลกินเพราะกิเลสอยากกินอาหารปรุงบ้าง ทำให้คิดผิดไม่แช่มชื่นที่พี่เค้าอาสาช่วยเหลือเพื่อนต่างสถาบันอย่างกระตือรือร้น เมื่อคิดใหม่แบบพุทธะว่าควรเกิดมุทิตาจิตยินดีไปกับพี่เค้าว่า เป็นการช่วยเหลือร่วมบำเพ็ญไม่ว่าที่ใดเกิดกุศลทั้งนั้น จีงระงับการตัดพ้อต่อว่าของตัวเองเพียงแค่คิดก็รู้โทษภัยว่าไม่แช่มชื่นเป็นความโกรธเบื้องต้นเมื่อปรับความคิดใหม่จีงสบายใจขึ้นเพราะเรายังยึดติดขโมยความเอาใจใส่ของพี่เค้าให้มีต่อเราบ้างขณะที่พี่เค้าไม่รู้เรื่องสุขใจกัยการช่วยเหลือไปทั่ว แค่คิดจะทำความดีก็ได้กุศลจึงเลิกน้อยใจยินดีไปกับพี่ๆและเพื่อนๆ อาการคันทุเลาลงอย่างฉับพลัน
มรรค : หนทางดับทุกข์ แก้อาการความคันทางกายด้วยน้ำผงถ่านและสมุนไพรฤทธิ์เย็นแก้อาการคันหัวใจที่น้อยใจด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ความไม่เที่ยงว่าความเป็นจริงอาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แผนมีไว้ให้วางพร้อมรับพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลาเมื่อถีงเวลาจริงพี่เค้าก็แปรเปลี่ยนไม่ได้ให้ความร่วมมือเหมือนที่เคยวาดฝันไว้กับที่จะเคยร่วมกิจกรรมของสถาบันตัวเองที่สุดท้ายไม่ไปร่วมเลยแค่ส่งปัจจัย ปรัยความคิดด้วยสัมมาทิฐิกำกับความสุขใจในปัจจุบันยินดีไปกับพี่เค้าไม่ว่าจะบำเพ็ญให้ใครหรือที่ใดล้วนเป็นบุญกุศลทั้งนั้นตัดความยึดติดแบ่งพรรคแบ่งพวกร่วมยินดีในเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างสุขสบายใจไร้กังวล อาการคันหมดไปด้วยการปรับความอย่างไม่น่าเขื่อแสดงว่าจิตใจมีผลต่อร่างกายก่อพิษทำให้เกิดอาการไม่สบายได้แม้ได้รับพิษจากอาหารก็สามารถหายได้จากการแค่ปรับความคิดไปสู่สัมมาแบบพุทธะ
จะไม่ประพฤติตัวเป็นขโมยแย่งเอาความเอาใจใส่จากคนรอบข้างหรือบุคคลสำคัญเมื่อถึงเวลาบุญกุศลถึงรอบ ฟ้าเปิดธรรมะจัดสรรเองตามเหตุและปัจจัยวิบากร่วมที่เรากอบก่อกันมา รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ความแช่มชื่นกลับคืนมาแทนความขุ่นมัว
หมายเหตุ : น้ำผักผลไม้ปั่นมื้อเดียววันที่31
#ไม่ได้ส่งการบ้าน
ปีนี้ผมตั้งศีลไว้ข้อหนึ่งไว้ว่า จะพยายามส่งการบ้านอริยสัจ 4 ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 เรื่อง แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยสภาพของร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวนเนื่องจากมีอาการแสบและเจ็บตาบวกกับเหตุปัจจัยอื่นๆ จึงทำให้ผมไม่ได้ส่งการบ้าน และจากการที่ไม่ได้ส่งการบ้านนี้เองจึงทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจจากการที่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตั้งศีลไว้ได้
ทุกข์ : รู้สึกทุกข์ใจจากการที่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตั้งศีลไว้ได้
สมุทัย : จะรู้สึกทุกข์ใจถ้าไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตั้งศีลไว้ได้แต่จะสุขใจถ้าสามารถทำตามสิ่งที่ตั้งศีลไว้ได้
นิโรธ : สามารถผาสุกใจได้ไม่ว่าจะสามารถทำตามสิ่งที่ตั้งศีลไว้ได้หรือไม่เมื่อได้พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้แล้ว
มรรค : นำเรื่องวิวาทะมาพิจารณาโดยผมพิจารณาว่า แม้การส่งการบ้านจะเป็นเรื่องที่ดีที่ควรทำแต่ในบางครั้งบางสถานการณ์ที่เหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวยกับการส่งการบ้าน และถ้ายังจะฝืนทำจะวิวาทะมากเกินไป ก็แสดงว่าในครั้งนั้นในสถานการณ์นั้นการส่งการบ้านยังไม่ใช่ความดีที่ผมควรทำ
และได้นำคำสอนที่ อ. หมอเขียว เคยสอนไว้ประมาณว่า “ทุกวินาทีทุกอย่างไม่เที่ยง ต้องพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา” มาร่วมพิจาราณา
ตลอดจนนำบททบทวนธรรมบางบทมาร่วมพิจารณาเช่น บทที่ 84 “ล้างความยึดมั่นถือมั่นของใจได้สำเร็จ คือ ความสำเร็จที่แท้จริง”
และจากการเดินมรรคด้วยวิธีดังกล่าวส่งผลให้ความรู้สึกทุกข์ใจลดลงไปมากกว่า 90% ครับ
เรื่อง อยากกินบะหมี่สำเร็จรูป
จากการนั่งดูทีวีเมื่อช่วงกลางวันมีโฆษณาบะหมีกึ่งสำเร็จรูปของประเทศเกาหลีดูแล้วเกิดกิเลสว่าถ้าได้กินคงอร่อยดีนะทั้งๆที่ปกติไม่กินมานานมากแล้วเพราะรู้ว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย
ทุกข์ : ชอบที่จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตามโฆษณา ไม่มีความสุขที่ไม่ได้กิน
สมุทัย : เหตุแห่งทุกข์คิดปรุงแต่งตามกิเลสว่าชอบที่ได้กินบะหมี่กินแล้วจะสุขใจถ้าไม่ได้กินจะทุกข์ใจ
นิโรธ : สภาพดับทุกข์ เมื่อเราได้กินหรือไม่ได้กินก็ไม่ทุกข์ใจถ้าจำเป็นต้องกินก็กินด้วยใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค:วิธีดับทุกข์พิจารณาถึงโทษของบะหมีปรุงสำเร็จที่มีโชเดียมสูงจะทำให้ร่างกายเราป่วย ตั้งศีลเลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อดูอาการของกิเลสว่าเราสามารถลดความอยากความชอบความชังได้มากน้อยแค่ไหน ล้างได้หมดหรือยังหลงเหลืออยู่และถ้าจำเป็นต้องกินตรวจดูสภาพใจเราว่าเป็นอย่างไร
เรื่อง : เข้าใจคนละแบบ
มีพี่ท่านหนึ่งเป็นญาติใกล้ชิด มีอะไรเขาจะคุยส่วนมากคุยทางไลน์ เรามีความรู้สึกว่า เรื่องที่พี่เขาคุย ทำให้เรารู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง พอเราคุยไปบ้างพี่เขาก็เข้าใจไปอีกแบบ เขาจะโกรธเราอยู่เสมอ ตอนระยะหลังๆมาเราพยายามคุยให้น้อยที่สุด แต่ไม่วายพี่เขาก็จะมาเดาใจเรา ให้พี่เขาคิดให้เสียพลัง เรารักและสงสารพี่เขามาก เราอยากให้พี่เขามาเจอธรรมะที่ถูกต้อง ถูกตรง แบบแพทย์วิถีธรรม แต่ยังพูดไม่ได้ตอนนี้ ฟ้ายังไม่ให้พูดตอนนี้ เคยโยนหินถามทางไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ไปไม่มา
ทุกข์ : อยากให้พี่เขามาเดินแบบแพทย์วิถีธรรม
สมุทัย : ชอบที่จะให้พี่เขาพบธรรมมะที่ถูกต้อง ถูกตรง ชังที่พี่เขาชอบทายใจผิดๆอยู่เรื่อย
นิโรธ : ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง พี่เขาจะคิดได้วันนี้ก็ได้ คิดไม่ได้ก็ได้
มรรค : มาร : พี่เขาก็ปฎิบ้ติธรรม แต่ทำไมพูดกันไม่รู้เรื่อง ตัวอัตราเขาเยอะ เขาเป็นมาหลายปีแล้ว แต่รู้สึกว่าไม่ไปไม่มาเลย เรารู้สึกหดหู่นิดๆที่พาเขาออกจากตรงนั่นไม่ได้
เรา : เราก็ไม่ดี เอาตาดำไปดูคนอื่น มันต้องทำที่เรา ทำตัวอย่างที่ดีให้เขาเห็น เขามาเพื่อให้เราใช้วิบาก บทธบทวนธรรม ๑
เรื่องการเข้าใจผิดของเรากับผู้อื่น
เราต้องระลึกว่า มันคือวิบากกรรมเขา
วิบากกรรมเรา แก้ไขได้ด้วยการทำดี
ไม่มีถือสาไปเรื่อยๆ แล้ววันใดวันหนึ่งข้างหน้า
ในชาตืนี้ หรือชาติหน้า หรือชาติอื่นๆ สืบไป
ความเข้าใจผิดนั้น ก็จะหมดไปเอง
บท ๒ เราต้องรู้ว่า แต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจึงควรประมาณการกระทำ
ให้เหมาะสมกับฐานจิตของเรา
และฐานจิตของผู้อื่น
คิดดี พูดดี ทำดีไว้ก่อน ดีที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั่นคือเงาของเรา
เรื่อง สัญญาณอินเตอร์เน็ตขัดข้อง
3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ สัญญาณอินเตอร์เน็ตขัดข้องบ่อย เกิดความรำคาญที่ส่งการบ้านไม่ได้
ทุกข์ : รำคาญที่ส่งการบ้านไม่ได้
สมุทัย : ถ้าได้ส่งการบ้านจะพอใจ สุขใจ ไม่ได้ส่งการบ้านจึง รำคาญ ไม่พอใจ ทุกข์ใจ
นิโรธ : ได้ส่งการบ้านก็พอใจ สุขใจ ไม่ได้ส่งการบ้านก็พอใจ สุขใจ ไม่ทุกข์
มรรค : ตั้งใจส่งการบ้านให้ทันตามกำหนด แต่อยู่ในที่ ที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตอ่อนส่งไม่ได้
กิเลส มันรู้สึกรำคาญ ไม่พอใจ ที่ไม่ได้ส่งการบ้าน เพราะว่า กิเลสมันยึดว่าต้องส่งการบ้านให้ได้ ถ้ามันได้ดั่งใจ มันว่ามันจะพอใจ สุขใจ (สุขปลอม ทุกข์จริง)
พุทธะ : จึงใช้ปัญญา พิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ทำใจในใจ แล้วพูดคุยกับกิเลสดีๆ ว่า พร่องได้พลาดได้ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ทุกอย่าง ตรงกับบทททธ. ที่56 “ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง อย่ายึดมั่นถือมั่น ต้องพร้อมรับ พร้อมเปลี่ยน ตลอดเวลา” ยึดก็ได้ วางก็ได้ ด้วยใจที่ไร้กังวล เพราะว่า “ปัญหาและอุปสรรค ไม่เคยหมดไปจากโลก มีแต่ทุกข์ใจเท่านั้น ที่หมดไปจากใจเราได้”
พอได้ทบทวนซ้ำๆๆ ใจก็ค่อยๆ คลายทุกข์ลง ทุกข์เบาลงๆ เกิดสภาวะใหม่ คือ สามารถล้างความยึดมั่นถึอมั่นของใจได้ คือ ความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่อยู่ที่ได้ส่งการบ้านหรือไม่ได้ส่งการบ้าน ความรำคาญ ความไม่พอใจ ความไม่ได้ดั่งใจ ค่อยๆ เบาบางลงๆ ในเวลา ไม่นานก็เกิดความ เบิกบานก็เกิดขึ้นมาแทน รู้สึกได้ว่าโล่งๆ เบาๆ สบายๆ ใจหายทุกข์ได้แล้ว
เรื่องเล็ก ๆ
สมัยก่อนตอนเป็นเด็กจะชอบกินนมมาก ถ้ามีสอบจะบอกแม่ว่าซื้อนมให้หนูกินด้วย ถ้าไม่ซื้อมาให้กินแล้วสอบไม่ผ่านอย่ามาว่ากันนะ ตอนนี้โตแล้วไม่ได้กินนมแต่กินถั่วหลากหลายชนิดแทน ส่วนแม่เปลี่ยนมากินนมแทนตัวเราเอง เราเลยเลือกซื้อนมถั่วเหลืองที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย มาให้แม่กินแต่มีสิ่งหนึ่งที่มันขัดใจกิเลสมากคือเรื่อง กล่องนมที่กินแล้วแม่ไม่ทิ้งลงในถังขยะ
ทุกข์ หงุดหงิดใจที่แม่ไม่ทิ้งกล่องนมลงในถังขยะ
สมุทัย ชอบที่แม่จะนำกล่องนมทิ้งลงในถังขยะ ชังที่แม่ไม่ทิ้งกล่องนมลงในถังขยะ
นิโรธ แม่จะทิ้งกล่องนมลงในถังขยะก็สุขใจ แม่ไม่ทิ้งกล่องนมลงในถังขยะก็สุขใจได้
มรรรค พิจารณาว่าถ้าเรายังอยากได้ในสิ่งที่เราไม่ได้นี้เราก็จะเป็นทุกข์ เราได้รับอะไรก็เป็นสิ่งที่เราทำมา ต้องขอบคุณแม่ที่ทำให้เราเห็นกิเลสตัวนี้ ตัวยึดว่ากล่องนมจะต้องทิ้งลงขยะเท่านั้น ถ้าไม่ทิ้งก็คันหัวใจแบบนี้นั่นเอง กิเลสตัวไม่ได้ดั่งใจก็ออกมาปรากฏกายให้ได้เห็น ถ้าเราได้ดั่งใจตลอด เราก็ไม่เห็นกิเลสตัวยึดตัวนี้ รับแต่ของที่เขาให้ต้องการแต่ของที่เขาให้ไม่ประพฤติตนเป็นขโมยแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง วิบากให้ได้รับอะไรก็รับสิ่งนั้นด้วยใจเป็นสุข รับแล้วก็หมดไป รับทุกครั้งหมดทุกครั้ง
เรื่อง : หากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ
เนื้อเรื่อง : วันนี้มีเหตุต้องไปส่งคุณแม่ คุณยาย คุณป้าและน้าสาว เพื่อไปเยี่ยมน้าสาวอีกท่านหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเพิ่งได้รับการฉายแสงมา โดยบ้านท่านอยู่อีกตำบลระยะทางก็ไกลประมาณหนึ่ง จึงได้เริ่มนึกถึงใบอนุญาตขับรถยนต์ซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ โดยปกติก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรกับกระเป๋าสตางค์มากนัก เพราะในแต่ละวันจะไม่ค่อยได้ใช้จ่ายเงินอะไร พอเริ่มหากระเป๋าสตางค์กลับหาไม่เจอ พยายามนึกว่าลืมไว้ที่ไหนบ้าง กระเป๋าสำหรับใส่ของไปทำงาน ในรถหรือที่สำนักงานบ้าง สุดท้ายก็หาไม่เจอ เฮ้อ…
ทุกข์ : กังวล หากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ
สมุทัย : ชอบที่หากระเป๋าสตางค์เจอ ไม่ชอบที่หากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ
ค์นิโรธ : จะหากระเป๋าสตางค์เจอหรือไม่ เราก็ไม่ควรทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของเหตุการณ์ในชีวิตคนเรา ที่สามารถพบเจอเรื่องราวที่ไม่ดี ไม่พึงปรารถนาได้ตลอดเวลา เมื่อวานก่อนเรายังใช้กระเป๋าสตางค์ใบนั้นอยู่เลย มาวันนี้กระเป๋าสตางค์ใบเดียวกันนั้นเรากลับหาไม่เจอและไม่ได้ใช้เขาซะงั้น ทำให้นึกย้อนสำรวจกายใจของเราเอง รวมถึงศีลวัตรที่เราได้เคยตั้งจิตพากเพียรปฏิบัติ ว่าเราพลาด เราพร่อง เราพ่ายแพ้ยอมให้กับความต้องการของกิเลสอย่างไรบ้าง เผลอสติทำผิดศีลอะไร ข้อไหนบ้าง..เมื่อได้คำตอบจึงได้เกิดความซาบซึ้งใจ ยอมรับผลกรรมอันเกิดจากการพร่อง การผิดศีลนั้น ๆ ..เราประมาทที่คิดว่าไม่เป็นอะไรหรอก ทำแค่นิดเดียวเอง คงไม่มีผลอะไรมากหรอก แต่มาตาลีเทพสารถีท่านคงไม่ได้คิดเช่นนั้น จึงส่งเหตุการณ์ร้าย ๆ เรื่องร้าย ๆ ที่เราไม่อยากพบเจอมาเตือนให้เราได้รู้สึกตัว สำนึกในผลของการกระทำที่ชั่วของเรา..ยอมรับซะ แล้วตั้งจิตใหม่ ทำการกระทำที่ดี ๆ ใหม่ จดจำทุกข์ จดจำเรื่องราวนี้เพื่อเตือนสติตนเองในการตั้งมั่นในศีลต่อไป
คำหยาบไม่สุภาพ
เมื่อเวลาพ่อบ้านโกรธข้าพเจ้ามักใช้คำพูด กู มึง รู้สึกไม่ชอบใจที่พ่อบ้านพูดพราะคิดว่าไม่สุภาพ
ทุกข์ : รู้สึกโมโห ไม่พอใจ กดข่ม ที่พ่อบ้านเวลาโกรธชอบพูดกูมึงกับข้าพเจ้า เพราะคิดว่าเป็นคำไม่สุภาพ
สมุทัย : อยากให้พ่อบ้านพูดคำสุภาพ ชอบถ้าพ่อบ้านพูดคำสุภาพแล้วจะสุขใจ ชังถ้าพ่อบ้านพูดคำไม่สุภาพก็ทุกข์ใจ
นิโรธ : พ่อบ้านจะพูดคำสุภาพหรือไม่สุภาพก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณากรรมและผลของกรรมว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา พฤติกรรมที่เราทำไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำที่ทำกับพ่อบ้านล้วนเกิดจากความคิดที่มีจิตชิงชังพ่อบ้านตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไร
เหมือนพฤติกรรมที่เราเคยเห็นแม่กับพ่อทะเลาะกันเพราะไม่ยอมกันต่างคนต่างจะเอาชนะซึ่งกันและกัน และสุดท้ายพ่อแม่ตายจากกันอย่างไม่เข้าใจกันและต้องไปเสียเวลารอชดใช้วิบากกรรมต่อไปอีก และเราละมีโอกาสพบพ่อครู อาจารย์หมอเขียวได้ฟังธรรมแล้วน้อมมาปฏิบัติตามฐานบารมีของตนเอง ซึ่งชีวิตของคนมีคู่ก็วิบากอยู่แล้ว คิดถึงตรงนี้ใจที่มีความความทุกข์ที่มีก็เบาลง 10% ที่เหลือจะขอพากเพียรต่อไป
ชื่อเรื่อง : ก็เตือนแล้วว่า “อย่าไปกินเผือก”
อาจารย์ได้เคยสอนไว้ว่า “เราจะช่วยเหลือเขา เมื่อเขาอนุญาตให้ช่วยเหลือเท่านั้น ไม่เ-ือก อย่าเ-ือก เรื่องของคนอื่น ถ้าเขาไม่อนุญาต (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ เห็นว่ามันทำให้เบรกตัวเองได้ดี และเข้าใจชัดดี) ต่อให้เขาอนุญาตให้ช่วย เราก็ช่วยได้แค่บอกทาง บอกวิธีเท่านั้น ไม่บังคับเขา แต่ให้เขามีอิสรเสรีในการบังคับตัวเขาเอง” ตอนแรกกิเลสตกใจที่ได้ยินอาจารย์ใช้คำพูดแรง แต่ก็รู้สึกคำสอนนี้โดนใจจริง ๆ อยากจะทำให้ได้นะ แต่พอถึงเวลากิเลสเข้า เพราะเราจะอยากมากเป็นพิเศษกับคนที่ยึดมั่นถือมั่นว่าอยากได้เขาดี คือ “คนเคยใกล้ชิด” ชอบลืมชอบโง่ทุกที ทั้ง ๆ ที่เพื่อนเคยเตือนแล้ว ว่าไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ไม่ต้องอยากช่วยเขา เขาไม่ได้ขอร้องอะไรเรา แต่ใจเรามันปักมั่นว่า เราทำสิ่งดี เราหวังดี เราเจอสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราแค่ปรารถนาให้เขาได้ดีเท่านั้น ไม่ได้หวังสิ่งใดทั้งนั้น ทั้ง ๆ “คนเคยใกล้ชิด” ท่านนั้นก็มีแสดงท่าทีไม่ค่อยชอบใจและอึดอัดทุกข์ใจกับการที่เราเข้าไปก้าวก่ายเส้นทางชีวิตของเขา แต่เราก็ยังดื้อ ยังไม่ยอมเข้าใจ ใจมันโลภเหลือเกิน
จนมาถึงวันที่ฟ้าเปิด เมฆไม่บดบังความจริง ให้เราได้ต้องได้เรียนรู้และชดใช้ เมื่อตนเองต้องได้เจอกับสถานการณ์ที่มี “ผู้หวังดี” ที่เราไม่ต้องการ เข้ามาทำให้เราจุกด้วยความปรารถนาดีเหลือเกินของเขาที่มีต่อเรา ในเรื่องความสัมพันธ์ของเราและเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ต่างก็มีแรงวิบากกรรมแรงอัตตาร่วมกันเยอะมาก “ผู้หวังดี” แสดงความเห็นใจต่อเรา และความหวังดีของเขาที่อยากจะเข้ามาช่วยในความสัมพันธ์นี้ “ผู้หวังดี”ท่านนี้เป็นคนดีมาก แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้รู้เหตุการณ์ที่ผ่านมาในความสัมพันธ์ของเราและเพื่อนในเชิงลึก เราจึงไม่ได้ต้องการการช่วยเหลือใด ๆ จาก “ผู้หวังดี” เพราะเราไม่คิดว่า “ผู้หวังดี” เป็นสัตบุรุษของเราที่จะสอนหรือช่วยเราได้ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งในคำสอนของอาจารย์หมอเขียว และความอึดอัดทุกข์ใจของ “คนเคยใกล้ชิด” ที่มีต่อเรา ว่ามันรู้สึกแบบนี้นี่เอง
ทุกข์ คือ หงุดหงิด และโกรธ “ผู้หวังดี” ที่นำความปรารถนาดีที่เราไม่ต้องการมาให้เรา ทั้งๆที่เรามีอัตตาอย่างมากในความสัมพันธ์กับเพื่อนของเรา “ผู้หวังดี” ไม่ประมาณการกระทำหรือถามว่าเราต้องการความเห็นใจความปรารถนา หรือคำปรึกษาจากเขาหรือไม่ เขาอยู่ดี ๆ อยากนำมาให้ ทั้ง ๆ เราไม่ได้ร้องขอ และเขาก็ไม่รู้เรื่องราวมากดีพอ
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) คือ ไม่อยากได้ความเห็นใจความปรารถนา หรือคำปรึกษาจาก “ผู้หวังดี” เพราะโลภไม่อยากได้ในสิ่งที่ต้องได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนี้ คือ “กรรมของเรา”
นิโรธ (สภาพดับทุกข์) คือ ยินดีที่ “ผู้หวังดี” ให้ความเห็นใจความปรารถนา หรือคำปรึกษากับเรา พอใจ ไม่ชอบไม่ชังในการกระทำของ “ผู้หวังดี” เขาจะมอบสิ่งใดให้เรา ก็น้อมรับด้วยใจเป็นสุข ไร้กังวลว่าเขาจะคิดกับเราถูกหรือผิดก็ได้ ปล่อยวางปล่อยไป เราควบคุมอะไรไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราทำกรรมนี้มาเยอะมาก ๆ ยิ้มรับกับทุกการกระทำที่ได้เจอ
มรรค (ทางเดินสู่ความพ้นทุกข์) คือ พิจารณาใคร่ครวญให้ดี ๆ จริงๆ แล้วเราได้รับสิ่งดีในเหตุการณ์นี้มากมาย “ผู้หวังดี” ท่านก็คงมีความปรารถนาดีจริง ๆ แต่จิตที่ชั่วมีวิบากกรรมบัง ทำให้หลงรู้สึกไม่ดี และเสียใจจากการผิดศีลของตัวเราเอง หาก “ผู้หวังดี” ไม่มามอบการกระทำนี้ให้เรา เราก็จะไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นที่เราเคยไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ขอ เพราะเขาก็มีความสุขดีอยู่แล้ว เราไม่ใช่สัตบุรุษของเขา เหตุการณ์นี้ทำให้ใจดื้อน้อยลง วางความติดดีได้มากขึ้น เข็ดกับการไปยุ่งกับชีวิตผู้อื่นที่เขาไม่ได้ต้องการ ตอนนี้ตั้งใจจะพากเพียรยุ่งกับการจัดการกายใจของตนเองดีกว่าที่จะไปจัดการชีวิตผู้อื่น มองให้ลึก คือ เราขี้เกียจจัดการใจกายของตนเอง เลยมัวไปยุ่งกับใจกายของผู้อื่น และหาข้ออ้างสวย ๆ ว่า “เราปรารถนาดี” โถ่…น่าสงสารตนเองเหลือเกิน ไม่เห็นคุณค่าตนเอง จนต้องไปพยายามเพิ่มคุณค่าให้ตนด้วยวิธีนี้ เหมือนการเอาความดีไปยัดเยียดใส่ปากผู้อื่น จนเขาสำลัก กลายเป็นของแสลง คดีพลิกจนเป็นการผลักไสคนที่เราหวังดีต่อเขา ให้ยิ่งห่างออกไปจากเส้นทางความดีมากขึ้น โง่! ไม่รู้จักประมาณ ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้คงไม่ยอมเลิกทำพฤติกรรมนี้ง่าย ๆ ต้องขอบคุณ “ผู้หวังดี” ที่นำบทเรียนราคาแพงที่แสนคุ้มค่ามาให้ ทำให้สามารถเพิ่มศีลได้ง่ายขึ้น และชัดเจนในคำสอนของครูบาอาจารย์ว่าเป็นจริง พิสูจน์ได้จริงเพียงใด จะได้เลิก “ขี้ขโมย ขี้โลภ” เสียที สาธุค่ะ
Comments are closed.