640124การบ้าน อริยสัจ 4 (4/2564)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 18 – 24 มกราคม 2564 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปสัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านทั้งหมด 44 ท่าน 57 เรื่อง
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล) (2)
- น.ส จรรญา ชุมจีด (สร้างกลิ่นศีล)
- Suma chaichuay
- sirikwun saelim (3)
- SAYYAI ONKAEW (2)
- ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ (2)
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- นางจิราภรณ์ ทองคู่
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- ชัยวิทย์ เลิศทรัพย์สุรีย์
- นปภา รัตนวงศา (5)
- Sureenart. Ratchapan. สุรีนารถ ราชแป้น (2)
- นส.รจรินทร์ อักขะโคตร (กิ๊บ ขวัญชวนไพร)
- ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
- jariya junpukde จาริยา จันทร์ภักดี (3)
- สาคร รอดรัตน์(ป้าหนุ่ย)
- samruai nakanon สำรวย นาคะนนค์
- Mongkolwat Rattanachon
- วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์
- อภินันท์ อุ่นดีมะดัน
- ทิษฏยา โภชนา (ในสายธรรม)
- สมพงษ์ โขงรัมย์
- นางกานดา ศักดิ์ศรชัย
- Nalee vilaysack
- มัณฑนา ชนัวร์ร เตี้ย ศีลประดับ
- ชนกนันท์ ฉัตรทอง (น้อมแสงศีล) (2)
- ขวัญจิต เฟื่องฟู
- โยธกา รือเซ็นแบร์ก
- พรพิทย์ สามสี
- บัณฑิตา โฟกท์ มุกแสงธรรม
- เอมอร ศรีทองฉิม( เย็นน้ำคำ )
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- นฤมล ยังแช่ม
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- จิตรา พรหมโคตร
- นางจีรวัลย์ วัฒนสิน
- นายรวม เกตุกลม
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- ประคอง เก็บนาค
- ศิริพร คำวงษ์ศรี
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- เสาวรี หวังประเสริฐ



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 405
ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ
เรื่อง. ปวดขาโดยไม่มีสาเหตุ
ทุกข์. ทุกข์ใจกับอาการปวดที่มันปวดขึ้นมาเฉยๆโดยไม่มีสาเหตุ
สมุทัย.อยากได้สภาพดีๆชอบที่จะไม่ปวดชังถ้ามีอาการปวด
นิโรธ.วางใจ จะปวดก็สุขใจได้ใช้วิบากจะไม่ปวดก็สุขใจ
มรรค.ขณะกำลังปวดได้อ่านเวทนาความรู้สึกความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น แล้วพิจารณาทบทวนเหตุ ณ.ปัจจุบันเราทำอะไรผิดหรือปล่าว ทางรูปเราได้ออกกำลังกายผิดท่าหรือกล้ามเนื้ออักเสบหรือไม่ ก็เอาน้ำมันเขียวมาทา กัวซา แล้วก็พัก ทางนาม ตรวจใจดูว่าเรายังยึดกับความเจ็บปวดอีกมั้ย หรือเราไปผิดศีลมาหรือไม่ แล้วพิจารณาเรื่องกรรมว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ณ.ปัจจุบันเราไม่ได้ทำก็ระลึกอดีตก็จำได้ว่าตอนเด็กเราชอบกินขากบทอด แล้วตอนไปตลาดนัดเราชอบอยากซื้อขาไก่ทอดต่อให้สิ่งที่เราซื้อไม่ใช่ส่วนขา(เพราะมันแพงกว่าส่วนที่เราซื้อ)แต่ตาเราก็จ้องมองแล้วก็อยากกินขาไก่มาก ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าความอยากของเรามันจะเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นต้องอยากและซื้อตามเราอีกเท่าไหร่ แล้วตั้งจิตสำนึกผิดยอมรับผิด ขอโทษขออโหสิกรรม คิดว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา ได้รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น
พอตื่นมาอาการก็หายเป็นปกติค่ะ
เหตุการณ์ กำลังจะไปกรีดยางกันอล้วเราก็เตรียมถังเพื่อที่จะไปเก็บขี้ยางด้วยเพราะเมื่อวันก่อนก็คุยกันว่าจะเก็บวันนี้แต่น้องบอกว่าเก็บพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้เก็บที่สวนหลังบ้านแล้วจะใด้ไม่เหนื่อยมากแต่เราคิดว่าให้มันเหนื่อยวันเดียวเลยพรุ่งนี้จะใด้ไม่ต้ิงเก็บอีกแล้วถ้ารอเก็บอีกวันมันก็จะเยอะเวลาเก็บมันจะหนักและเหนี่อยมากโต้กันไปมาจนเรายอมแต่ตอนที่บอกว่ายอมใจมันยังขุ่นๆอยู่
ทุกข์ เพราะมีนไม่เป็นอย่างที่ใจเราคิด
สมุทัย ถ้าใด้ทำอย่างที่ใจเราคิดใว้เราจะสุขใจถ้าไม่ใก้ทำย่างที่ใจเราคิดเราจะทุกข์ใจ
นิโรธ จะใด้ทำหรือไม่ใด้ทำอย่างที่เราคิดใว้เราก็ต้องสุขใจให้ใด้
มรรค ต้องล้างความยึดมั่นถือมั่นความคิดแบบกิเลสว่าต้องทำอย่างที่เราคิดใว้จะดีกว่าคิดแบบไม่มีกิเลสอย่าคิดว่าสิ่งที่เราคิดจะดีที่สุดถ้าเรายึดว่าสิ่งที่เราคิดดีถ้าไม่ใด้อย่างที่เราคิดเราจะทุข์ใจแต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราคิดมันดีแต่จะทำก็ใด้ไม่ทำก็ใด้เราจะไม่ทุกข์ใจ
เรื่อง ทุกข์ใจการกินเนื้อนมไข่ของหลาน
ทุกข์ ลูกชายให้ลูกเขากินเนือนมไข่เยอะมาก
สมุทัย ชังกินเยอะ ชอบถ้ากินน้อยๆหรือไม่กินเลย
นิโรธ กินมากกินน้อยก็ไม่ต้องทุกข์
มรรค เธอเลี้ยงลูกมาเธอก็ให้กินแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ให้กินเยอะๆ กิน มากๆลูกจะได้รับสารอาหารเพียง จะได้ฉลาด จะได้มีภูมิค้มกัน ไม่ป่วยง่าย เขาทำตามแบบเธอทุกอย่าง แล้วไงก็เธอทำมาก่อนจะเดือดร้อนอะไรขนาดเธอกว่าจะลดละเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด อายุก็ปาเข้าไปปลายๆ58 แล้วเธอก็ได้ฟังธรรมมาก่อน เธอยังเลิกยากเลย นี่เขาไม่ได้ฟังธรรมเขาจะยอมให้ลูกเขากินเนื้อนมไข่น้อยลงหรือเลิกกินได้อย่างไรล่ะ คลายหมดเลยค่ะ
เรื่อง กลัวหน้าดำ
เรื่อง: กลัวหน้าดำ
เหตุการณ์; เมื่อปี 2556 ลดกิเลสใหม่ เลิกใช้ครีมทาผิว และกันแดดทั้งหมด และแล้วเพื่อนๆก็ทักว่า โห…ขวัญ ทำไมหน้าเธอด๊ำ….ดำ…..คนละคนเลย
ทุกข์:ถูกทักว่า โห…ขวัญ ทำไมหน้าเธอด๊ำ….ดำ…..คนละคนเลย
สมุทัย:ชังหน้าดำ แต่ก็ไม่ชอบให้หน้าขาว
นิโรธ :หน้าจะดำหรือไม่ดำ ก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค:มาคุยกับกิเลสกันค่ะ
มาร:โอ้ยๆๆ ตายหล่ะ หน้าดำทำไง โอ้ยๆ เราทำงานด้านผิวหนังด้วย หน้าต้องใส หน้าดำทำไง
เรา:ฟังกิเลสพล่ามก่อน ว่ามันจะพูดยังไง
มาร:คนโน้นก็ทักคนนี้ก็ทัก กลับไปใช้ครีมหน้าเด้ง กันแดดเหมือนเดิมเหอะไม่เป็นไรหรอก ลดตัวอื่นก็ได้ ตัวนี้เอาไว้ก่อน น่ะๆๆๆๆๆ(มารหลอก)
เรา: ไม่…เอางี้ ลองเทียบดูดิตอนหน้าใสเธอทุกข์ไหมมาร
มาร:ก็ทุกข์ ตอนทาครีมหน้าเด้งหน้าใส หน้าใสจริงแต่ฉี่เปรี้ยวก็กังวลว่าตับจะพัง แถมตอนออกแดดก็กลัวหน้าดำมีแต่กลัว พอเขาชมว่าหน้าใสก็ชื่นใจ แต่พอหน้าหมองนิดหน่อยคนทักอีกก็เหี่ยวใจ
เรา:เอ้า…ก็มี่แต่ทุกข์ แล้วจะกลับไปทำไม แล้วตอนหน้าดำมีอะไรต้องกลัวไหม นอกจากเขาทัก หน้าก็ไม่ต้องกลัวดำเพราะดำแล้ว 555 แถมอวัยวะตับไดตไส้พุงก็ไม่ต้องทำงานหนัก ขับสารเคมีออก ปัสสาวะก็รสดีไม่เปรี้ยว ใจก็เบาไม่ต้องแบกกิเลสที่แกกลัวมากับหน้าใส เบาไหม คิดดูดีๆดิ
มาร:เออ…จริง ด้วย เบาจริงด้วย
เรา:ไม่ใช่แค่นั้นนะมาร ไม่เคยทักใครว่าหน้าดำเหรอ
มาร: บ่อยเลย
เรา:นี่ไง ได้ใช้วิบาก เจ๋งไหม หน้าดำแต่ใจใส เบาสบาย วิบากก็หมด ใจก็สบาย กายก็เบา เอาไหมแบบนี้
มาร: โอ้โห…ขอบคุณ เออ จริงๆ ไม่ต้องแต่งอะไรให้หน้าใส แต่ใสในศีล แต่งศีล แต่งความดี ผาสุก ตกลง เอาหน้าดำดนี่แหละ …เย้…ๆๆๆ
…ว่าแล้วมารก็สลายเพราะได้ความจริงที่มันเถียงไม่ได้ ..ก็หยุดใช้ครีมต่างๆมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ
กราบคารวะท่านอาจารย์ หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน วิชชาธิการบดีสถาบันวิชชาราม แห่งประเทศไทย ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะที่เมตตา กรุณา สอนให้เรียนรู้อริยสัจสี่ที่เข้าใจง่าย เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันที่เป็นรูปธรรม ตามรอยบาทพระศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันตเจ้า และ ตามครูบาอาจารย์แต่ละท่านที่ได้ปฏิบัติสืบทอดเป็นมรดกธรรมมาจนถึงปัจจุบัน และกราบขอบพระคุณท่านคุรุสถาบันวิชชารามที่ได้มาชี้แนะเพิ่มเติมเรื่องรูปแบบการเขียนอริยสัจสี่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะจริงแต่ละท่านให้ตรงหัวข้อ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ตนแล้วยังเป็นประโยชน์ท่าน คือเมื่อมีการเผยแพร่การบ้านอริยสัจสี่ออกไป พี่น้องที่ได้เข้ามาอ่าน อาจจะตรงกับปัญหาที่ตรงตนเองประสบอยู่ก็จะรู้แนวทางในการแก้ปัญหานี้และได้ทำใจตามไปด้วยใจก็คลายทุกข์ไปด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่านี่คือวิธีการที่มีคุณค่ามากวิธีการหนึ่งในการบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ซึ่งข้าพเจ้าและพี่น้องหมู่กลุ่มที่คบคุ้นกันได้ตั้งใจส่งการบ้านอริยสัจสี่สม่ำเสมอมาพิสูจน์แล้วว่าทุกข์ใจเรื่องต่างๆลดลงได้จริงชีวิตมีความเบิกบานและผาสุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจริง สาธุ เชิญชวนพี่น้องส่งการบ้าน อริยสัจสี่ เข้ามาเยอะๆนะคะ
เรื่อง เจ็บคอเอาไหม?
เนื้อเรื่อง เมื่อวันที่. 12 มกราคม 64. ฝากน้องที่ทำงาน มอ.หาดใหญ่ซื้อเมล็ดทานตะวันมา 1 ห่อน่าจะประมาณ1/2 กิโล เมื่อได้เมล็ดทานตะวันมาแล้ว มีความคิคว่าจะเอามากินตอนนั่งดูโทรทัศน์ พอคิคได้แบบนั้น ใจก็สั่งว่าต้องเอามาไว้ใกล้ๆกับทีนั่งดูโทรทัศน์ จะได้ล้วงหยิบสะดวกหน่อย
( เมื่อครั้งก่อนก็สั่งมากินแล้ว 2 ห่อ แต่แบ่งไปให้คุณสร้างพร 1 ห่อ) กิเลสก็บอกว่า อร่อยดีเค็มๆมันๆ แต่มันมีอาการก็คือเจ็บคอผสมกับเสียงแห้งคล้ายกับคนเป็นหวัด แต่สภาพจริงๆแล้วไม่ได้เป็นหวัด ก็มีความคิคอยากจะพิสูจน์อีกครั้งว่าที่เราอาการเจ็บคอเสียงแห้งนั้นเกิดจากเรากินเมล็ดทานตะวันจริงไหม ครั้งนี้เมื่อกินเมล็ดทานตะวันอีกอาการก็เหมือนเดิมคือเจ็บคอเสียงแห้ง
ทุกข์ คือเจ็บคอและเสียงแห่ง
สมุทัย ชอบถ้าไม่เจ็บคอและเสียงแห้ง ไม่ชอบเจ็บคอและเสียงแห้ง
นิโรธ จะเจ็บคอและเสียงแห้งก็ได้ ไม่เจ็บคอและ้สียงแห้งก็ได้วางใจ
มรรค เราไม่โทษ เมล็ดทานตะวันหรอก แต่เรารู้ว่า
สาเหตุที่เราเจ็บคอและเสียงแห้งนั้นเกิดจากกิเลสเราเองที่เรากินเมล็ดทานตะวันมากเกิน เพราะใจสั่งว่ากินเถอะอร่อยดี กรอบๆมันๆเค็มๆ แต่สุดท้ายพอเราไม่ประมาณตัวเอง ทำให้เราเกิดอาการเจ็บคอและเสียงแห้งตาม ถึงตอนนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของอาจารย์หมอ ที่พูดว่าท่านมีอาการปวดฟันแล้วท่านพูดว่า ปวดฟันเอาไหม ปวดฟันไม่เอาโว้ย เราเลยถามตัวเองว่า เราเจ็บคอและเสียงแห้งเนี๊ยะ เราทรมานไหมคำตอบคือทรมาน แสงสว่างวาบเข้ามาในใจ บอกว่าเจ็บคอไม่อาแล้วโว้ยยยยย จึงขอตั้งศีลว่าต่อไปนี้จะไม่กินเมล็ดทานตะวันแล้ว (สำหรับเมล็ดทานตะวันทีาเรากินเหลือเราก็จัดการลงถังเรียบร้อย ตอนนี้(วันนี้ เราไม่กินเมล็ดทานตะวันเลย อาการเจ็บคอและเสียงแห้งดีขึ้นมาก)
อริยสัจ 4(the four Noble truth)
ชื่อเรื่อง:ความเชื่อมั่นยังไม่มั่นคงพอ
เนื้อหา:วันหนึ่งเกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมาเฉยๆ มันทำให้นึกถึงแต่ก่อนที่ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมยังอยู่ทางโลกข้างนอก จำได้ว่าเกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นบ่อยครั้ง แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นความเบื่อหน่ายความเหนื่อยที่เกิดจากการเห็นความไม่มี แก่นสาระของชีวิต มันเห็นแต่ความดิ้นรนกระเสือกกระสนที่จะทำสิ่งที่พร่องในชีวิตให้เต็มเท่านั้น ซึ่งทำเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็มมีแต่หนักและเหนื่อยไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งมันต่างจากความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นในที่ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ คือมันเป็นความเบื่อที่เกิดจากเราเห็นว่าชีวิตในแต่ละวันมันวนทำแต่สิ่งเดิมๆเห็นความซ้ำซากจำเจ จนทำให้เกิดความลังเลขึ้นมาในใจว่าการที่เราได้มาร่วมทำสิ่งดีกับสัตบุรุษ,หมู่มิตรดีที่นี่ มันได้ทำประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้อื่นได้จริงๆหรือ(อาจเป็นเพราะเราก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมทางด้านวัตถุเท่าไหร่) จึงได้เข้าไปขอให้อาจารย์และพี่น้องช่วยชี้แนะให้สัมมา ซึ่งท่านอาจารย์ก็เมตตาสอนว่าชีวิตคนเราก็มีอยู่แค่นี้แหละมีสงบกับวุ่นวาย เพราะสิ่งที่ทุกชีวิตทำมาก็มีแค่กุศลกับอกุศลเท่านั้น เมื่อใดที่กุศลออกฤทธิ์ชีวิตเราก็จะพบความสงบสุขแต่เมื่อใดที่อกุศลออกฤทธิ์เราก็จะพบความวุ่นวายในชีวิตก็มีอยู่แค่นั้น เราต้องมีปัญญาในการเอาประโยชน์ในทุกสถานการณ์ให้ได้ อย่าโง่ไปทำตัวเองให้ทุกข์ พอสงบก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆแต่พอวุ่นวายขึ้นมาก็จะรู้สึกรำคาญหงุดหงิด แล้วเราจะหาความสุขได้ตอนไหน เหตุการณ์ที่สงบสุขคือความดีที่ดีที่สุดคือสุขที่สุขที่สุดแล้ว อย่าโง่ไปทำให้ตัวเองมีทุกข์
ทุกข์(the truth of suffering):ไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไรอยู่ๆก็รู้สึกเบื่อ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเท่าที่ควรตามความสามารถที่ตัวเองพอทำได้
สมุทัย(the truth of cause of suffering): ฟังธรรมจากอาจารย์และทำใจในใจพิจารณาตามทำให้เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดว่าคงเป็นเพราะเรายังมีตัวยึดมั่นถือมั่นที่ยังล้างไม่ได้ในบางแง่บางมุมอยู่ แล้วพออยู่ๆไปจิตเกิดไปตั้งสเปคกับอะไรกับเรื่องไหนขึ้น พอไม่เป็นไปตามสิ่งที่ตัวเองตั้งหรือคาดหวังไว้ก็เลยทำให้รู้สึกผิดหว้งเพราะไม่เป็นไปอย่างที่คิดก็เลยเกิดเป็นความเบื่อขึ้น
นิโรธ(the truth to end of suffering):ฟังธรรมจากอาจารย์และทำใจในใจพิจารณาตามให้มาก ทำใจให้เป็นสุขให้ได้ในทุกสถานการณ์ แม้จะทำไม่ได้ในทันทีแต่ก็จะทำให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
มรรค(the truth of the path to end of suffering):พอเกิดความเบื่อขึ้น ก็ขอสัมมาจากพี่น้องหมู่มิตรดีและอาจารย์แล้วนำมาคิดทบทวนในใจซ้ำๆและฟังธรรมะจากอาจารย์เพิ่มอยู่ทุกวัน จนทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความเบื่อขึ้นในใจ เพราะเราเกิดความลังเลสงสัย และรากเหง้าของความลังเลก็คือความเชื่อมั่น(ความศรัทธา)ของเรามันหวั่นไหวไม่มั่นคง มันทำให้เห็นและเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าที่เราคิดว่าตัวเองมีศรัทธาต่ออาจารย์และพระพุทธเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์แล้วนั้น แท้จริงแล้วเรายังศรัทธาท่านแค่ระดับเชื่อถือเท่านั้นยังไม่ถึงใจ(เชื่อว่าคำสอนและสิ่งที่ท่านนำพาเราทำนั้นถูกตรงและพ้นทุกข์ได้จริง)แต่เรายังไม่เชื่อฟังท่าน(ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนอย่างจริงจังตั้งมั่น)จนเกิดผลว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นถูกตรงจริงๆจนเกิดเป็นความเชื่อมั่นปักมั่นไม่หวั่นไหวจนไม่เหลือความลังเลสงสัยในมรรคผลอะไรอีก จึงจะชื่อว่าเป็นความศรัทธาที่เต็มบริบูรณ์จริงๆ พอรู้และเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจึงตั้งจิตขอขมาอาจารย์ในใจที่ลูกศิษย์ทำผิดศีลข้อ 4 มาตลอดและขอตั้งจิตว่าจะทำความศรัทธา(ความเชื่อมั่นอย่างถูกตรง)ของตัวเองให้มั่นคงและบริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไปโดยจะเชื่อฟังคำสอนของท่านแล้วน้อมนำไปปฏิบัติทั้งทางกาย วาจา ไปจนถึงใจอย่างจริงจังจนเห็นมรรคผลไปเป็นลำดับต่อไป
เรื่อง มีผักกาดก็ต้องมีหนอน
ช่วงต้นเดือนมกราคมผมได้ปลูกผักเพิ่มขึ้นอีกหลายกระบุง หลายกระถาง หลังจากเมล็ดผักงอกขึ้นมาและเริ่มมีใบ 3-4 ใบ ก็เริ่มมีหนอนมากินในบางต้น โดยเฉพาะผักจำพวกผักกาด คะน้า กวางตุ้ง คงเป็นหนอนผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ที่เขามาวางไข่ไว้ แก้ไขด้วยการจับหนอนไปปล่อยบ้าง หรือตัดใบที่ถูกหนอนกินไปทิ้งทั้งใบบ้าง แม้ว่าเราจะไม่คิดที่จะฆ่าหนอนให้ตาย แต่การจับมันไปปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีอาหารให้ สุดท้ายมันก็คงจะไม่มีชีวิตรอดจนเป็นดักแด้และผีเสื้ออยู่ดี
ทุกข์ — รู้สึกเสียใจบ้างที่ต้องเป็นเหตุให้หนอนตาย และอึดอัดใจเล็กน้อยที่ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ผีเสื้อมาวางไข่ที่ใบผักได้
สมุทัย — ไม่อยากเป็นเหตุให้หนอนตาย ไม่อยากกำจัดหนอน ไม่อยากให้ผีเสื้อมาวางไข่ที่ใบผักที่เราปลูก ยังมีความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าเราเป็นเหตุให้หนอนตายจะทุกข์ใจ
นิโรธ — ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แม้เราจะเป็นเหตุให้หนอนตายไปบ้างก็ไม่ต้องทำทุกข์มาทับถมตัวเองอีก ยอมรับวิบากที่จะตามมา สิ่งที่ทำลงไปแล้วเราก็ยอมรับ รอรับผลโดยไม่ทุกข์ใจ
มรรค — พิจารณาเรื่องวิบากกรรมให้แจ่มแจ้งว่า สถานการณ์ที่เราจำเป็นต้องกำจัดหนอนออกไปทั้ง ๆ ที่ไม่อยากทำนั้น เป็นความลำบากใจที่เราจำเป็นต้องรับ เป็นวิบากกรรมของเราเอง รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น และการนำหนอนไปปล่อยแล้วเป็นเหตุให้หนอนตายนั้น เราก็ต้องทำใจยอมรับผลที่จะตามมา ยินดี เต็มใจรับโทษ และจะพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก อาจจะยอมให้หนอนได้กินผักบางต้นโดยไม่ไปยุ่งกับเขา และรักษาผักที่เหลือไว้กินเอง หรือเลิกปลูกผักที่หนอนชอบกินไปเลยก็ได้
นอกจากนี้ก็พิจารณาปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นที่ใจ เรื่องที่ทำไปแล้วโดยประมาทคือไม่ทันได้คิดว่าแม้เราจะไม่ได้ฆ่าหนอน แต่การจับไปปล่อยมันก็ตายอยู่ดีนั้น เราได้ทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ยอมรับผิด ยอมรับโทษ ยอมรับผลที่จะตามมาด้วยความยินดี ไม่เอาเรื่องนี้มาทำทุกข์ทับถมตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก และตั้งจิตว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก ตั้งจิตทำความดีให้มาก ๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้มาก ๆ เพื่อจะให้วิบากดีชิงออกฤทธิ์แทนวิบากร้าย
ขอบคุณ มิตรดี
17 ม.ค. 64 ได้ไปร่วมในงานฌาปนกิจญาติผู้ใหญ่ ที่วัดใกล้บ้าน เสร็จพิธีการแล้ว เดินไปขึ้นรถกลับบ้าน เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง (เป็นลูกหลานเจ้าภาพ) ถือลอตเตอรี่ไว้ในมือซ้าย มือขวาดึงออกมา พอดีเพื่อนเดินผ่านตรงที่เขายืนถือลอตเตอรี่ เขา รีบดึงลอตเตอรี่ออกมา ยื่นส่งให้เพื่อน พร้อมถามว่า เอามั้ย?ๆ เพื่อนรีบรับไว้ทันที ตัวเองเดินมาติดๆ กำลังจะเดินผ่านไป เขาก็รีบส่งลอตเตอรี่ให้เราด้วย เรายิ้มให้ โบกมือสายหน้าไม่รับนะคะ ขอบคุณค่ะ แล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้น คิดคาดเดาเอาเองว่า เขาคงไม่แจกทุกคน แต่ยังสงสัยว่า ทำไมเขาแจกให้เราด้วย หรือเพราะเขาให้เกียรติ ที่เราเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขายืนงงๆ ที่เราปฏิเสธ ไม่รับลอตเตอรี่ ที่คนทั่วไปอยากได้ แต่สำหรับเรา รู้สึกเฉยๆ
ทุกข์ : ไม่ชอบ-ชัง แปลกใจ สงสัย ทำไม
สมุทัย : เขาแจกลอตเตอรี่เราไม่ชอบ –ชัง แปลกใจ สงสัย แต่ถ้าเขาไม่แจก เราก็จะพอใจ ชอบ -ไม่ชัง
นิโรธ : เขาจะแจกลอตเตอรี่หรือไม่แจก วางเฉย อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์
มรรค : ใคร่ครวญ ทบทวนแล้ว ทบทวนอีก หาสาเหตุแห่งทุกข์ด้วยตัวเองไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านไป 2 วัน แต่ยังหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ จึงได้ปรึกษามิตรดีผู้มีศีล ขอคำแนะนำให้ช่วยผ่าตัดกิเลสที่มันฝังลึกอยู่ในสันดาน จนเกิดปัญญา เกิดแสงสว่างขึ้นในใจ เห็นว่า ออ!ๆๆๆ ก็เพราะว่ามันมีตัวไม่ชอบ ตัวชัง ตัวกิเลส-ตัวมารร้าย ที่มันนอนซ่อนนิ่งๆ อยู่ลึกมาก จึงหายแปลกใจ ไม่สงสัยแล้ว ทำไมหรือ ก็เพราะเราทำมาๆๆ เคยทำมามากกว่านั้น เคยยัดเยียด เคยให้สิ่งของที่เขาไม่เต็มใจรับ ของที่เขาไม่ชอบ สิ่งที่เขาชัง เราเคยทำมามากแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งๆๆๆ การเคารพมิตรดี ผู้มีศีล ที่ช่วยให้นำแนะนำ ช่วยผ่าตัดกิเลส เป็นการผ่าตัดครั้งใหญ่ กระทุ้ง กระแทก งัด ขุด คุ้ย กว่าจะเอาตัวยึด ตัวชอบ ตัวชัง ออกมาได้ เพราะมันนิ่งเฉยมากไม่ดิ้นเลย พิจารณาซ้ำๆๆๆ จึงรู้ว่า “โง่เพราะไม่รู้” “โง่เพราะยึดดี” “โง่เพราะถือดี” ไม่โทษใครแล้ว เราทำมาทั้งนั้น เราผิดเอง สำนึกแล้ว รับเต็มๆ จะได้หมดเต็มๆ ขอบคุณมิตรดี ที่ช่วยผ่าตัดกิเลสให้ จนรู้สึกได้ว่า โล่ง เบา สบายใ ไม่ทุกข์แล้ว และเห็นว่ากระดาษแผ่นนั่นเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่งที่พิมพ์ให้มีตัวเลข เขาสมมติเรียกว่า “ลอตเตอรี่” ก็แค่นั้นเอง ขอบคุณมาตะลี ผู้หยิบยื่นลอตเตอรี่ให้ วิบากกรรมที่เราเคยพลาดทำมา ได้รับแล้วเต็มๆ รับแล้วจะได้หมดไป
เรื่อง โผล่มาจนได้
วันจันทร์กำลังเตรียมตัวไปเผาศพย่าเพื่อน พอดีได้รับแจ้งว่าญาติสนิทเสียชีวิต เกิดความคิดสองทางจะไม่ไปงานเผาศพก็นัดเพื่อนไว้แล้ว แต่ไม่ไปงานญาติก็กลัวญาติๆตำหนิ ตั้งสติพิจารณาซ้ำๆจึงปรับเปลี่ยนไปงานญาติก่อนแล้วไปเผาศพเสร็จแล้วกลับมางานญาติอีกที ในที่สุดลงตัวที่ใจไร้ทุกข์
ทุกข์:กลัว ญาติๆตำหนิ
สมุทัย:ยังหลงโลกธรรม ถ้าญาติไม่ตำหนิจะชอบ ถ้าญาติตำหนิไม่ชอบ ชัง
นิโรธ:ญาติจะตำหนิหรือไม่ก็ไม่ชอบ ไม่ชัง
มรรค:พิจารณาแล้วเห็นว่าตัวเองยังติดโลกธรรมตัวนี้อยู่ พอเข้าใจความจริงว่าในโลกมี ตำหนิ สรรเสริญ นินทา เป็นปกติ แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นให้ทุกข์ทำไม เพราะสิ่งนี้ไม่เคยหมดไปจากโลกแต่ทุกข์เท่านั้นที่หมดไปจากใจเราได้ สุดท้ายได้ไปร่วมงานด้วยใจเบิกบาน
เรื่อง ไม่อยากฟังผู้อื่น
เหตุการณ์:เมื่อครั้งมาปฏิบัติธรรมปี 2558 กิเลสจะฟังเฉพาะอาจารย์ พ่อครู มันตีทิ้งท่านอื่นๆ มันเพ่งโทษ
ทุกข์ : ขณะได้ยินท่านสมณะ หรือพี่น้องเรา แสดงธรรม มันไม่อยากฟัง เลยทำให้ปวดหัว มึน โง่
สมุทัย :ชัง ไม่อยากฟังผู้อื่น ชอบฟังอาจารย์ พ่อครู และสมณะผู้ใหญ่เท่านั้น
นิโรธ :ฟังได้ทุกท่านทุกชีวิตไม่ชอบไม่ชัง
มรรค: มาคุยกับกิเลสกันหน่อยค่ะ ว่ามันว่าไง
มาร:โอ้ย …ท่านแสดงธรรมอะไรก็ไม่รู้ไม่เหมือนพ่อครู อาจารย์เลย ไม่ได้สาระที่อยากฟังเลย
เรา:แอบฟังมันพล่ามก่อน …
มาร:ไว้ฟังอาจารย์ พ่อครูดีกว่า ที่ท่านอื่นแสดงเรารู้แล้ว เราทำได้แล้ว ไม่ต้องฟัง
เรา:เก่งแล้วเหรอ เก่งงั้นดิ ที่ไม่ฟังผู้อื่น พ้นทุกข์แล้วรึ แน่มากรึ ฟังมาเยอะกร่างรึ
มาร:ก็….ก็….ไปฟังพ่อครูอาจารย์ดีกว่ามั้ยท่านสอนเราได้ทุกอย่าง
เรา:แกจะทำแบบนั้นรึ ไม่…เราจะฟังท่านอื่น ฟังพี่น้องเรา ฟังท่านสมณะทุกรูปที่แกไม่อยากฟัง
มาร:อ้าว…ทำไม…สูงสุดคือพ่อครูและอาจารย์
เรา:เหรอ แล้วคิดแบบนี้ทุกข์ไหม เป็นไงหละ
มาร:ปวดหัว มึนตึ๊บ ทุกข์
เรา:แสดงว่าแกคิดผิดทางแล้วดิ ใช่ พ่อครู อาจารย์เราเคารพและฟังท่านแน่นอน ท่านสมณะ พี่น้องเรา หรือท่านอื่นๆ เราก็ต้องฟัง แต่ละท่านก็มาเพื่อมาแก้ไขตัวเอง ถ้าไม่ฟังก็พลาดแล้ว โง่แล้ว เลยโง่อยู่นี่ไง…..โง่อยู่นี่ไง….เพราะคิดแบบนี้ไง จม ดักดานอยู่นี่ไง
มาร:เอ่อ…ด่าขนาดนี้เลยเหรอ
เรา:เออ….นั่งลง ไม่ต้องไปไหน ฟัง และฟัง อ่าน ใครแสดงธรรมถ้ามีโอกาสต้องฟังท่าน ต้องฟัง ต้องอ่าน เข้าใจไหม นั่งลง ห้ามลุก
มาร:อึดอัดขัด ขุ่นๆ บ่นๆๆๆ บ่นๆๆๆ
…สักพักพอฟังท่านสมณะ และพี่น้องเรา โอ้โห พอปรับใจมาศรัทธาในทุกชีวิต ปัญญาที่ได้ฟังแต่ละท่านระเบิดออกมาเลยค่ะ อาการปวดหัวโปร่งโล่ง หายฉับพลันเลย และได้เอาใจไปฟังแต่ละท่านแบบสนุกมาก พลังเต็มบึ้มเลย ได้รู้แต่ละเหลี่ยมมุมที่แต่ละชีวิตสู้มาแต่ได้ปัญญาหลากหลายลีลา เจ๋งเลย
เรา:เป็นไง ฉลาดขึ้นไหม
มาร:แฮ่ๆๆๆๆยิ้มแบบอายๆ เขิน ..แฮ่ๆๆ โง่มาตั้งนานเลย
เรา:นี่ไง เราต้องศรัทธาทุกชีวิต ไม่มีอะไรไม่เป็นประโยชน์จำไว้นะมาร
จากนั้นมารก็ไม่อยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าท่านใดจะแสดงธรรมอะไร จะเขียนอะไรมา มีฉันทะในการฟัง การอ่าน แบบเบิกบานและน้อมใจไปยินดีกับแต่ละท่านที่ตั้งใจปฏิบัติเติมพลังให้กันและกันค่ะ
เรื่อง :ใจร้อน
เหตุการณ์: พาน้องมายด์ไปธนาคาร คิวยาวมากอีก23คิว แต่ละคิวนานมาก
ทุกข์ :รอนาน เมื่อไหรจะถึง
สมุทัย:ชอบถ้าไม่ต้องรอนาน ชังที่รอนาน
นิโรธ:รอนานหรือไม่นานก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค:กิเลสก็บ่น ไปฟังมันบ่นค่ะ
มาร:เฮ้ย…นานจัง ไปสาขาอื่นดีกว่า จะได้ไม่ต้องรอนาน
จะได้กลับบ้านเร็ว
เรา:รีบไปไหน ไม่มีไรสำคัญเท่า….
มาร:ก็นี่ไง กลับบ้านได้พักสำคัญ ไปๆสาขาอื่นดีกว่า
เรา:ไม่….ไม่รีบ
มาร:กระวนกระวาย ไม่ได้ดั่งใจ เดียวลุก…เดียวนั่ง
เรา:แอบดูมันซิค่ะ มันจะมาลีลาไหนอีก
มาร:ไปเถอะไปสาขาอื่น
เรา:ไม่อะ …ไม่รีบ ไปเองดิ ถ้ารีบ
มาร: อ้าว…จะไปได้ไง พูดมาได้ ไม่มีร่าง
เรา:แล้วไง อยากไปไปเองดิ ไม่ให้ยืมร่าง แกยืมร่างฉันรีบมานานมากแล้ว ตามใจแกมาก็แล้ว แกได้ดั่งใจมากแล้ว แล้วไง งานสำเร็จ แกพาพวกมาถล่มฉัน ดังนั้น ม้ายไรส้ำคัญเว้ย
มาร:ไรหว้า….ทุกทีสั่งก็ทำตาม ไรหว่า รู้ทันอีกแระ ตกลงไม่เอางานเออ
เรา:ไม่…ม้ายไร้สำคัญเท่า….จัดการแกเว้ย เรื่องไรจะทำตามแกเว้ย เสียใจด้วย ข้าเห็นเอ็งแล้ว อย่าเอางานมาหลอกข้าซะให้ยาก เสียใจนำเด้อ บ่เฮ็ดนำดอกจ้ากิเลส
….ว่าแล้วก็บายใจนานแค่ไหนก็รอได้ถ้าล้างกิเลสได้ค่ะ
เรื่อง คิดถึงญาติป่วยอยู่ที่บ้าน
ได้โทรหาหลานสาวถามถึงพ่อเขา ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน หลาน
บอกว่าวันนี้ค่าเลือดดีพอจะให้คีโมและฉายแสงต่อได้ เริ่มวันนี้เลย
ทุกข์ ว่าญาติจะทนไหวหรือให้ทั่งสองอย่างพร้อมกัน
สมุทัย ชังที่ต้องให้คีโมและฉายแสง ชอบที่เขามารักษาแบบพวธ
นิโรธ เขาจะรักษาแบบไหนก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค เราต้องยอมรับว่ามันก็ยากที่เขาจะทำตามได้ ก็ทำใจให้กำลังใจเขา วางใจว่า การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดังใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราและทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา แล้วเราจะไม่ทุกข์กับเรื่องของญาติคนนี้ ก็ดูแลกันไป อย่างใจร้ายทุกข์ ใจดีงาม รู้เพียรรู้พัก เบิกบานแจ่มใสใจไร้ทุกข์
เรื่อง หนาว
เนื้อเรื่อง วันที่ 18 มกราคม 2564 ฟังธรรมะในรายการโสเหล่โลกุตระ ถ่ายทอดสดจากราชธานีอโศก ช่วงไปร่วมฟังธรรมะไม่ได้เตรียมผ้าไปคลุมขาเพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยหนาวแต่พอฟังธรรมะไปเรื่อยๆ รู้สึกหนาวทรมานมาก แต่ก็อดทนจนจบรายการ
ทุกข์ หนาวมาก
สมุทัย ถ้าหนาว มากจะทุกข์ใจถ้าไม่หนาวจะสุขใจ
นิโรธ จะหนาวมากหรือหนาวน้อยก็สุขใจ
มรรค มันเป็นวิบากกรรมที่เราต้องรับเพราะเมื่อก่อนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ได้เอาสัตว์ต่าง ๆ แช่ในช่องฟรีสตู้เย็นบ่อยจึงต้องมารับวิบากกรรมในครั้งนี้ จึงบอกตัวเองว่ารับแล้วก็หมดไปจะได้โชคดีขึ้น ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ จิตก็เบิกบานแจ่มใส
อริยสัจ 4
เรื่อง อยากได้หิมะ
เมื่อวาน (17 มกราคม 2564) เป็นวันแรกของฤดูหนาวปีนี้ที่หิมะตก ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้เห็นหิมะ เพราะหิมะเขาจะนุ่ม เบา และเมื่อตกลงที่รถยนต์ แล้วก็จะสามารถปัดออกจากรถยนต์ได้ง่าย ซึ่งต่างจากเมื่อวันก่อน ไม่มีหิมะแต่ มีน้ำแข็งมาแทน ทำให้รถยนต์ของข้าพเจ้ามีแต่น้ำแข็งเกาะอยู่ ทำต้องขูดน้ำแข็งออก ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะสตาทร์ และเปิดเครื่องทำความร้อนในรถยนต์
ทุกข์ : ไม่พอใจที่เห็นน้ำแข็งเกาะอยู่โดยรอบของตัวรถยนต์
สมุทัย : ไม่อยากให้มีน้ำแข็งเกาะอยู่ที่รถยนต์ อยากได้หิมะมากกว่า เพราะหิมะเขาจะมีลักษณะที่เบา กวาดออกจากรถยนต์ง่ายกว่าน้ำแข็ง ชอบใจที่หิมะจะตกแทนน้ำแข็ง ไม่ชอบใจที่มีน้ำแข็งเกาะอยู่รอบ ๆ รถยนต์
นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชังที่มีน้ำแข็งเกาะอยู่รอบ ๆ ตัวรถยนต์แทนที่จะเป็นหิมะ จะเป็นอะไรก็ไม่มีปัญหา หน้าที่ของข้าพเจ้าคือ ขูดและกวาดน้ำแข็งออกจากรถยนต์ให้ได้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวข้าพเจ้าเองและพี่น้องร่วมท้องถนน
มรรค : เป็นธรรมดาของฤดูหนาวของทุกปี น้ำแข็งกับหิมะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบ ถึงแม้ว่าจะชอบหิมะมากกว่าก็ตาม แต่ที่ในสุดแล้วข้าพเจ้าก็ต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบอยู่ดี นี่แหละความชอบชังเป็นต้นตอสาเหตุแห่งทุกข์ เหมือนท่านอาจารย์หมอเขียวได้สอนไว้ หากข้าพเจ้าไม่มีความชังในน้ำแข็ง ข้าพเจ้าก็จะไม่ทุกข์ พอพิจารณาไปก็มีปัญญาว่า ทุกข์หรือไม่ทุกข์ ข้าพเจ้าก็ต้องขูดน้ำแข็งออกจากรถยนต์อยู่ดี แล้วจะทุกข์ไปทำไม เสียพลังงานไปเปล่า ๆ เลยไม่ทุกข์เลย อาการชังที่มีต่อน้ำแข็งก็สลายหายไปในทันที่ ขูดน้ำแข็งออกจากรถยนต์ไปด้วยใจที่เบิกบาน ค่ะ สาธุ
ส่งการบ้านสภาวะในขณะนั้น+เตวิชโช
เรื่อง ทำระบบไฟฟ้า ห้องสื่อ หมอเขียวทีวี รางวัลที่ได้ ตลับเมตรหาย คลอซอว์ ไม่คบ งานเสร็จ เหงือกบวม ปวดฟัน
หมู่มอบหมายให้ ทำไฟฟ้า ทั้งที่เลิกมา 10 กว่าปี ต้อง เตวิชโช ย้อนอดีตที่ ชอบ-ชัง
จากอดีต ตอนเรียนชอบคัดลายมือ เขียนลายเส้น เชื่อมโยง เรียนจบ ป.7 ซึ่งแม่และพี่สาวพร้อมส่งเรียนต่อ แต่ฐานะทางบ้านไม่เอื้อ ทั้งที่เราก็อยากเรียนรู้ สุดท้าย ลงภาคปฏิบัติ เริ่มจากหางานทำ ร้านขายยา..สำเพ็ง ขายผ้าดิบ.. โรงรับจำนำ..
ร้านขายเพชร บ้านหม้อ มาลงเอย ที่ร้าน ชัยชนะการไฟฟ้า วัดตึก คลองถม เป็นเด็กวางบิน ยกของโชว์ขายหน้าร้าน ซ่อมเตารีด พัดลม ช่างไฟประจำร้าน มาชวนอยู่นานให้ออก เพื่อฝึกงานไฟฟ้า เริ่มจากค่าแรง 15 บาท 30-45 และ 60 บาท เริ่มเป็นช่าง เรียนรู้กับลูกพี่ 6-7 ท่าน มีครอบครัว เริ่มรับเหมาเป็นเจ้าของร้านที่บางบัวทอง ก่อนปิดกิจการ ได้มีเวลา สอบวุฒิ ป.ว.ช จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเป็นผู้รับเหมาชองการไฟฟ้า วัดเลียบ เพื่อนร่วมรุ่น 35 ท่าน และเลิกทำ เมื่อปี40 เป็นจุดจบของโลกียใช้วิบากกรรมที่ทำมาด้วยความโง่..
ต้องมาใช้วิบากกรรมที่โง่ ตอนอยู่กับชาวอโศก นานเป็น 10 ปี โดยใช้แต่ศรัทธา ยังไม่เกิดปัญญา
ต้องมาเริ่มนับหนึ่งก็ยินดีถือว่า ตายในทางโลก เกิดใหม่ในทางธรรม เป็นนิมิตที่ดีที่ไม่ได้ดังใจ ก็เพียรพยายาม ยินดี พอใจ โชคดีอีกแล้ว ที่ได้ใช้วิบากที่ทำมา
เชื่อในกรรม ที่เราทำมา ตามสัตบุรุษ โพธิสัตย์ ชี้ทาง เราเป็นผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติอีก ถึงรอบจึง ได้เห็นทุกข์ด้วยความซื่อตรง ยินดี รับจึงเกิดปัญญา มานิดหนึ่ง เห็นแสงริบหรี่ ที๋ปลายอุโมงค์
เน็ตไม่เป็นใจ
ตอนนี้ยุคโควิท ต้องหยุดเชื้อเพื่อชาติ ทำให้ได้มีโอกาสฟังธรรมะเกือบทั้งวัน อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็น แต่มีปัญหาไฟดับหรือไฟตก กว่าจะกลับมาใช้ได้ต้องใช้เวลา ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
ทุกข์ อินเทอร์เน็ตช้า กว่าจะใช้งานได้
สมุทัย ถ้าอินเทอร์เน็ตเร็วจะชอบ อินเทอร์เน็ตช้าจะชัง
นิโรธ อินเทอร์เน็ตจะเร็วจะช้าก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค จะรีบไปไหน รีบไปทำอะไร รีบมาตลอดชีวิตแล้ว ที่ได้รับก็กี่โรคละ? ทุกข์ทรมานไม่พอใช่ไหม จะเอาอีกหลายโรคใช่ไหม? หรือยังทุกข์ใจไม่พอหรืออย่างไง?
ถ้าอยากรีบก็รีบไปคนเดียวเลย ฉันไม่รีบ
ฉันรีบมาตลอดชีวิตแล้ว ฉันโง่ ชั่ว ทุกข์มามากพอแล้ว ฉันเห็นเธอแล้ว อย่ามาวุ่นวายกับฉัน ฉันไม่รีบ อินเทอร์เน็ตจะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร มาก็ใช้ ไม่มาก็ไม่ใช้ ไปอ่านหนังสือก็ได้ ฟังธรรมะท่านอาจารย์จากวิทยุก็ได้ ออกไปปลูกผักก็ยังได้ ไม่ได้ทุกข์ใจ เบิกบานๆ
ใจที่เป็นสุข สุขที่สุดในโลก
ใจที่เป็นทุกข์ ทุกข์ที่สุดในโลก
ถ้าเราดับทุกข์ใจได้ ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่ดับไม่ได้…สาธุ
การบ้าน. อริยสัจ4
เรื่อง ถูกตำหนิ
เหตุการณ์: ในที่ทำงาน เวลาราชการ ตัวเองได้รัประทานอาหารเท่ียงตอนเวลา11.00 น พอดีเจอกับรองหัวหน้าที่ห้องรับประทานอาหารเขาได้ถามว่าวันนี้เธอพัก11เหรอ ตัวเองก็พยักหน้า แล้วเดี๋ยวเที่ยงเธอกลับไปให้อาหารพ่ออีกหรือเปล่า เขาถามต่อ ตัวเองตอบว่าวันนี้ไป รองหัวหน้าก็ทักขึ้นมาทันทีว่างั้นเธอก็พัก2ชั่วโมงซิ. ตัวเองก็ตอบไปว่า ไม่ได้พัก2ชั่วโมงนะ เดี๋ยวกินเสร็จก็กลับไปทำงานต่อเลย
ทุกข์: รู้สึกขุ่นใจ หมองใจ กับคำที่เพื่อนตำหนิ เพราะตัวเองไม่ได้ทิ้งงาน
สมุทัย: ไม่ชอบ ขุ่นใจ หมองใจถ้าโดนตำหนิ
ชอบ โล่ง สบายใจถ้าไม่โดนตำหนิ
นิโรธ: จะถูกตำหนิ หรือไม่ถูกตำหนิ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: พิจารณาความจริง ตามความเป็นจริง ตามเหตุการณ์ดังกล่าวตัวเองมีส่วนผิดจริง มัวแต่ไปเมาหมัดตามกิเลสตามข้ออ้างของกิเลสว่าต้องเอาเวลาที่ว่างไปทานอาหารก่อน เพราะถ้าไปรับประทานตอนเที่ยงทีเดียวจะไม่ทันเวลา แล้วยังไปโทษคนอื่นว่าไม่เห็นใจกันเลยเราอยู่ในภาวะที่ต้องดูแลพ่อที่กำลังป่วย ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องมาตำหนิด้วย แต่เมื่อเราได้พิจารณาตามเหตุตามปัจัยแล้ว ปัญหาของเรา เราต้องบริหารจัดการด้วยตัวเองไม่ให้กระทบต่องานและผู้อื่น ต้องขอบคุณเขาที่มาว่าเรา เราได้ใช้วิบากที่ทำไป ใช้แล้วก็หมดไป มาเริ่มทำดีที่เรา แก้ไขที่เรา ปรับปรุงใหม่ให้ถูกตรง เรา เราทำมา ไม่ต้องถามว่าทำไม และต้องโทษ ขออภัยที่นำเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นอีก ไม่ต้องไปขุ่นใจหมองใจ ทุกข์เท่าที่โง่ โง่เท่าที่ทุกข์จริงๆ ทำแล้วต้องรับ แล้วเราจะยังโง่มั้ย ทำไม. ทำมา. ทำใจไร้ทุกข์. เย้ๆๆไม่โง่แล้ว แจ่มใสดีกว่ากิเลสตาย
เรื่อง : คนละครึ่ง เป็นเหตุ
เมื่อคืน เตรียมตัวช่วยทำ “คนละครึ่ง” ให้กับพี่สาว
พี่สาว : กิ๊บ พาทำคนละครึ่งหน่อย
กิ๊บ : เตรียมพร้อมเลย โหลดเป๋าตัง และโหลดเวบธนาคาร มี ธ กสิกรไทย ใช่ไหม?
พี่ : ใช่
กิ๊บ : หาในกูเกิ้ล..น่าจะใช่ K+ plus นะ
พาพี่ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่เอ ไม่เห็นเหมือน ธ กรุงเทพ เลย แฮ่ๆ เราโหลดกันถูก
ไหมน้อ?
พี่ : กิ๊บพาพี่ทำอะไรก็ไม่รู้ ง่วงนอนมากแล้ว ยกเลิกให้เลยนะ เดี๋ยวมันคิดค่าบริการอีก
กิ๊บคิดในใจ ..
..พี่มาขอให้ช่วยทำ กูมาช่วยมันทำนะเนี่ย ยังจะว่ากูอีก..
ทุกข์
ทุกข์ที่พี่สาว ไม่เห็นเราเป็นผู้มีพระคุณ อุตส่าห์มาช่วยทำ
สมุทัย
-ชังพี่สาว ที่ไม่เห็นเราเป็นผู้มีพระคุณ เราอุตส่าห์ช่วยทำ
-ชอบพี่สาว ที่เห็นเราเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเราช่วยทำ
นิโรธ
พี่สาวจะเห็นเราเป็นผู้มีพระคุณ หรือไม่ ก็ได้ ยังไงเราก็ยิ้ม สบายใจ
มรรค
ทำใจในใจ ต่อสู้กับกิเลสค่ะ
กิเลส : กูคือผู้มีพระคุณต่อมึงนะ ไอ้พี่สาว กูมาช่วยทำ “คนละครึ่ง” ให้มึงเนี่ย มึงไม่สำนึก แล้วยังมาว่ากูอีก
กิ๊บ : ใช่ๆๆ ไม่สำนึกเล๊ย ไอ้พี่สาว
กิเลส : เออ บุญคุณนี้ ไม่สำนึกเล๊ย
กิ๊บ : เฮ้ย นี่มึงกำลังทวงบุญคุณในการช่วยพี่สาวรึ?
กิเลส : ใช่ กูช่วยเหลือพี่นี่นา กูก็ต้องเป็นผู้มีพระคุณของพี่สาวสิ จริงไหม?
กิ๊บ : โอ้โห ไอ้กิเลสชั่ว โง่แล้วยังอวดฉลาดอีก
กิเลส : โง่ตรงไหน อวดฉลาดตรงไหน กูพูดผิดตรงไหน?
กิ๊บ : ผิดทุกอย่างล่ะมึงเอ๊ย
กิเลส : ใช่หรือ?
กิ๊บ : เออสิ ก็มึงคิดดูนะ พี่สาวมาขอความช่วยเหลือ ก็แปลว่า พี่สาวกำลังหยิบยื่นโอกาสให้มึงได้ช่วยเหลือ ได้สร้างความดี ถ้าพี่ไม่ยื่นโอกาสมา มึงจะได้ทำความดีนี้ไหม?
กิเลส : ก็ไม่ได้ทำความดีนี้น่ะสิ แล้วไงต่อ
กิ๊บ : โง่อีกแล้วมึง ก็พี่สาวหยิบยื่นโอกาสให้มึงได้ช่วยเหลือ ก็แปลว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณ ให้เราได้มีโอกาสบำเพ็ญความดีน่ะสิ เท่านี้ก็คิดไม่ได้
กิเลส : เออ จริงด้วย ถ้าพี่สาวไม่ให้โอกาส กูก็ไม่ได้ช่วยเหลือท่าน กูก็อดทำความดีน่ะสิ
กิเลสเริ่มคล้อยตามเรา เสร็จเราล่ะ
กิ๊บ : แล้วมึงยังคิดว่า “มึงต้องทวงบุญคุณ กับพี่สาวอีกไหม” ใครคือผู้มีพระคุณกันแน่
กิเลส : ไม่ทวงแล้วจ้า จะทวงได้ไง เพราะพี่สาวท่านเมตตาเรา ให้โอกาสเราได้ทำความดี แบบนี้เราต้องขอบคุณพี่สาวมาก ถึงจะถูกน้อ เพราะท่าน คือผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง
กิ๊บ : ใช่เลย ขอบคุณพี่ที่ยื่นโอกาสให้เราได้ทำความดีน้อ
และแล้วกิ๊บก็ยิ้ม สบายใจ ไอ้หน้าบูด หน้าบึ้ง มันก็จางหายไปเลย 55 สนุกจังเลย
เก็บของทิ้ง
ร้านที่เช่าอยู่ ผู้ให้เช่าไม่ต่อสัญญา ต้องคืนร้านใน 2 เดือนข้างหน้า ก็ได้เตรียมเก็บของออกจากร้าน เก็บไปก็รู้สึกว่ามีแต่ของที่ไม่ได้ใช้เยอะมาก เป็นขยะก็เยอะ บางส่วนก็สามารถนำไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าได้ ส่วนตัวอะไรที่เก็บมานานไม่ได้ใช้หากขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็ทิ้งหรือบริจาคไป แต่ของก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวมีส่วนของพ่อด้วย ซึ่งพ่อจะเก็บไว้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราก็มองว่าของมันเก็บมานาน บางอย่างเป็น 10 ปีก็เก็บอยู่อย่างนั้นไม่ได้เอามาทำประโยชน์อะไร เก็บไว้ก็ต้องหาที่เก็บอีก
ทุกข์ : หน่ายใจ ที่เห็นเขายึดในสิ่งของ วัตถุ
สมุทัย : อยากให้เกิดดีดั่งใจตนเอง ดีคือไม่สะสมในสิ่งที่เกินจำเป็น ดีคือรู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ไม่ได้ใช้แล้ว
นิโรธ : ก่อนจะให้คนอื่นวาง เราก็ควรจะวางใจเราให้ได้ก่อน ไม่ว่าเขาจะยึดสิ่งใด ไม่ยึดสิ่งใดเป็นเรื่องของคนอื่น เราก็ไม่ควรทุกข์ ทำดีเต็มที่ โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
มรรค : เราทำดีในส่วนของเราเป็นหลัก ส่วนของเราที่จัดการได้ก็ทำไป ส่วนของคนอื่นเราก็ทำได้แค่ให้ข้อมูล ส่วนเขาจะเอาไม่เอาก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราคือเสนอดี สลายอัตตา สามัคคี ของจะเก็บก็ปล่อยเขาเก็บไป เขาไม่ได้เรียนรู้การสละออกจะไปให้เขาได้ดั่งใจเราจึงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่คิดตอนแรกนั้นละผิด คือเราว่าเขายึด เราต่างหากที่ยึด แถมยึดมากกว่าด้วยไปอยากให้เกิดดีเกินที่จะเป็นไปได้
พอคิดได้อย่างนี้ก็คลาย เปลี่ยนความคิด คิดถูกมันต้องไม่ทุกข์สิ ทำดี แล้วก็ต้องวางดีให้ได้ เก็บของต่อด้วยความสบายใจ
ส่งการบ้านอริยสัจ๔
น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี
รหัสน.ศ.6012007003
มีน้องข้างร้านเขาใช้ไฟฟ้าร่วมกับเรา เขาจ่ายค่าไฟให้เรา แต่จ่ายน้อยกว่าหน่วยที่ใช้ทำให้เราจะมีผลต้องรับภาระค่าหน่วยไฟฟ้าที่เราไม่ใช้ส่วนนั้นแทนเขา แต่คนร้านข้างร้านอีกคนว่าเราทำไมดูแต่ดูที่หม้อไฟทำไมหนักหนาเลยตอบเขาไป ว่าเราไม่ได้ใช้ไฟเยอะแต่ต้องจ่ายส่วนเกิน
เรื่อง :หน่วยไฟฟ้าเกิน
ทุกข์ : ที่จ่ายค่าไฟฟ้าส่วนเกินแทน
สมุทัย : ยึดอยากให้น้องใช้ไฟน้อยลง
ชังถ้าน้องเขาใช้ไฟมาก ชอบถ้าน้องเขาลดการใช้ไฟลง
นิโรธ : วางใจได้น้องเขาจะลดการใช้ไฟได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ทำให้ทุกข์
มรรค : วางใจได้โดยพิจรณาว่า เราทำชาติใดชาติหนึ่งชดแล้วก็หมดไปส่วนที่เขาทำก็คือผลของเขาไม่เกี่ยวกับเราในเมื่อเรามาชาติหนึ่งชาติเรารับแล้วหมดไปทำดีถูกว่าให้ได้ใจก็ไม่โกรธตอนน้องเขาไม่อยู่ที่ร้านก็ยังช่วยขายของให้เขาโดยใจไม่ทุกข์ได้ ฟังที่อจ.สอนจะดึงคนผู้อื่นให้สูงได้ต้องทำที่เราก่อนจะได้เป็นแรงเหนื่ยวนำเราทำดีที่เราก่อนแล้วค่อยไปสอนคนอี่น ทำดีที่ตนช่วยเหลือคนที่ศัทธา ทำดีเรื่อยไป ใจเย็น ข้ามชาติสาธุ
ส่งการบ้านอริยสัจ๔
น.ส.จาริยา จันทร์ภักดีี
รหัสน.ศ.6012007003
เรื่อง:วันหยุด
ตื่นขึ้นมาได้ฟ้งอจ.ไม่นานก็สว่างรีบเข้าทำแปลงผ้กและขุดร่องมันต่อด้วยขุดหน่อกล้วยปลูกไปด้วยตามปกติ นึกอยู่ในใจว่าวันหยุด จะได้พัก แต่กลับมาทำงานเต็มที่เร่งขุดดินทำแปลง เที่ยงแล้ว ก็ไม่ยอมพัก เลยได้แผลหนามสละอินโดตำตอนยกจอบเต็มแรง มีเลือดไหล
ทุกข์ : เจ็บแผลที่หนามตำในวันหยุด
สมุทัย : เจ็บแผลที่มองเห็นเลือดไหลชังที่เลือดไหล ชอบถ้าเลือกไม่ไหลจะได้ทำงานได้ต่อ
นิโรธ : เลือดจะไหลหรือไม่ไหลก็จะไม่ทุกข์
มรรค : วางใจถอดเสื้อแขนยาว ดูแผล ในใจ คิดถ้าเราไม่กลัวแผลนั้นก็จะไม่เจ็บเลือดก็หยุดไหลเร็วโดย ไม่ทุกข์แต่ก็ไม่ประมาทเอามือจับแผลเช็คดู ว่าจะมีหนามติดที่แผลอีกหรือไม่แล้ววางมือ ได้หยุดเพื่อรู้เพียรแล้วรู้พักเก็บกำลังไว้ตอนร่างกายพร้อมเมื่อฟ้าให้ทำค่ะ ทำดีเต็มที่ทุกวันก็สุขใจเเด็มที่ได้ทุกวันสาธุค่ะ
พ่อพุทธะ
เหตุเกิดจากพ่อเริ่มหลงลืม เดินเข้าสวนกลับบ้านไม่ถูก มีเดินออกจากบ้านโชคดีที่มีคนมาส่งที่บ้าน เลยพาท่านไปหาหมอสมองเพื่อตรวจอัลไซเมอร์
พรุ่งนี้ถึงนัดครั้งที่2 ที่หมอนัดฟังผลเลือด
“พ่อไม่ไป มันเป็นโรคคนแก่ ที่หลงลืมเป็นธรรมดา”
ใจมันทุกข์นิดหนึ่ง
ทุกข์ พ่อไม่ไปหาหมอตามนัด
สมุทัย ชอบถ้าพ่อไปตามหมอนัด ชังถ้าไม่ไปตามหมอนัด
นิโรธ ท่านจะไปหรือไม่ไปหาหมอตามนัดก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค หันไปมองหน้ากิเลสตัวนี้ ทำไมมันกลับไปกลับมานะ ก็ต้องการให้พ่อมาทางแพทย์ทางเลือกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ที่เป็นถุงลมโป่งพอง ความดันโลหิตสูงก็เยอะพอแล้ว ยังจะหาโรคอื่นๆมาเพิ่ม มันควรจะดีใจที่พ่อไม่ไปทางนั้นถึงจะถูก ยิ่งช่วงนี้โควิทกำลังระบาดหนัก รพ.น่าไปเสียที่ไหนละ ที่ๆไม่สมควรไปที่สุดเลย ยังจะโง่พาพ่อไปอีกนี่อะไรทำไมถึงโง่ ถึงชั่ว ถึงทุกข์ไม่สิ้นสุดนะ ยังจะคิดอีกว่าทำไมคิดกลับไปกลับมาเพราะใจร้อนไง อยากให้หมดเร็วๆ มันเลยไม่หมดสักที ใจเย็นๆอย่าอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่สมบัติของเรา
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว
ความสุขแท้ คือไม่ทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ในสถานการณ์ใด
ขอบคุณพ่อที่ทำให้เห็นกิเลสตัวนี้ เบิกบาน แจ่มใสค่ะ….สาธุ
การบ้าน สาคร รอดรัตน์(ป้าหนุ่ย)
สังกัดสวนป่านาบุญ2
เรื่อง : หาแว่นตาไม่เจอ
เหตุการณ์:วันอังคารที่๑๒ ก่อนการนัดประชุมอริยสัจขจัดมาร รีบขึ้นจากสวนเพราะเย็นๆจะเพลินกับงาน จึงรีบอาบน้ำ ถอดหมวก แว่นตา เคียวหญ้าวางไว้ที่เดี่ยวกันมุมโต๊ะครัวสวน๒ ถึงวลาจะเปิดมือถือเข้าร่วมประชุม วิบากเข้าหาแว่นตาไม่เจอเดินหาทั่วแล้ว ไม่เจอวาง ขุนใจขาดสมาธิ พอรีบๆวิบากบอกยังไม่ถึงเวลาค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ คิดน่าจะตกอยู่แถวริมสระไม่เป็นไร พอเสร็จประชุมเจอ ตกอยู่ที่พื้นลุงเดินสดุดเจอ ออยังไม่ใช่เวลาของเรา
ทุกข์ : หาแว่นตาไม่เจอ
สมุทัย : ชอบถ้าหาแว่นเจอ ชังหาแว่นตาไม่เจอ
นิโรธ : หาแว่นตาเจอก็ได้ หาแว่นตาไม่เจอก็ได้วาง ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค: หาแว่นตาไม่เจอก็ได้ ไม่ได้ส่งการบ้านวันนี้ ก็ส่งวันหน้าได้ ใจไม่ทุกข์ ไร้กังวล ไม่ยึด ขจงฝึกอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ อย่างผาสุก ใจเบาโล่ง โปร่ง เบิกบาน
ใจวาง กายไม่วาง
7ม.ค64วลา2ทุ่ม_4ทุ่มเขียนและพิมพ์ไลน์งานร้านค้ากองบุญเพื่อส่งก่อนประชุม รู้สึกปวดเมื่อย ตึงคอ หลัง หนักเนื้อหนักตัว ปกติทำบัญชีร้านค้าตอนกลางคืนก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ ดูใจก็เบิกบานไม่กังวล พอ4ทุ่มกว่าก็นอนโดยไม่ได้เคลียร่างกายก่อน ปกติถ้าอาการแบบนี้จะกดจุด กัวซาก่อน หลับไปมาตื่นอีกทีปวดตึงขมับซีกซ้ายมาก กดเบาๆก็เจ็บ คิดว่าเพราะนอนทับนาน พิจารณาดูตอนตื่นนอนหงายไม่ตะแคงทับ หล้งก็ปวดตึง แก้ด้วยการกำมือใช้ข้อมือกัวซาขมับเบาๆเพราะเจ็บ ขณะกัวซาเรอและมีลมเคลื่อนลงลำไส้ตลอดเวลาก็นึกว่าแบบนี้เองที่พิษสระสมที่ลำไส้ อาการเจ็บดีขึ้น กดสบัก กดหลัง ใจก็คิดว่าเพราอะไร สาเหตุก็ทะลุพรวดขึ้นมาไม่ใช่เพราะเขียนหรือพิมพ์ไลน์ เป็นเพราะเราทุกข์ เครียดตอนกลางวันทำให้เสียพลังมีผลกับร่างกาย ใจไม่ทุกข์แล้วแต่กายยังไม่ปล่อยยังปวดตึงอยู่ ทันใดนั้นบททบทวนธรรมทะลักเข้ามาน้บไม่ทันว่ากี่บท แถมยังมีคำด่ากิเลสของน้องขวัญแทรกเข้ามาด้วย บทสุดท้ายก่อนหลับ โง่เท่าที่ทุกข์ ทุกข์เท่าที่โง่
ทุกข์ ชังที่มือาการปวด ทำให้เสียเวลานอน
สมุทัย ถ้าได้นอนหลับไม่ต้องตื้นขึ้นมาดูแลร่างกายจะสุขใจ
นิโรธ จะปวดหรือเสียเวลานอนก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ดีแล้วที่ตื่นขึ้นมารู้ว่าร่างกายอยู่ในอันตราย ถ้าไม่ตื่นเส้นเลือดในสมองอาจตันหรือแตกก็ได้ คำอาจารย์ก็เข้ามา ร้ายแค่ไหนก็แพ้วิบากดี แค่นี้ก็สุขใจ
การบ้านอริยสัจ
เรื่อง.ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมวันครูกับเพื่อนจิตอาสา
ทุกข์:รู้สึกพร่องหมองใจที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมZOOMกับจิตอาสา
สมุทัย:ยึดว่าจะได้ร่วมกิจกรรมสำคัญของจิตอาสาทุกกิจกรรม
นิโรธ:ได้ร่วมกิจกรรมก็สุขไม่ได้ร่วมกิจกรรมก็สุข
มรรค:ทุกสิ่งที่เราได้รับเป็นผลที่เราทำมา
เก่งแค่ไหน แน่แค่ไหนก็แพ้วิบากร้าย
ร้ายแค่ไหนก็แพ้วิบากดี
วิบากดีที่ดีที่สุดคือใจไร้ทุกข์ ใจไร้กังวล ใจดีงาม
ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ
จบคาถา3บทกิเลสก็ค่อยสงบสลายไปใจโล่งได้เห็นกิเลสอีกมุมของที่ยังยึดอยู่ขอบคุณเหตุที่พร่องครับ
เรื่อง เจ็บหัวเข่าด้านขวา
เหตุการณ์ มีว่า ปี พ.ศ 2553 พี่ไปทำเอกสารงานจ้างเหมากับการไฟฟ้าสิงหนคร และในขณะที่เอาเอกสารไปถ่ายเอกสารอีกฝั่งของถนน กำลังยืนอยู่ข้างถนน (หน้าสำนักงานไฟฟ้าสิงหนคร) ยังไม่ทันได้ข้ามถนน ก็มีรถจักรยานยนต์ขี่แข่งกันมา. 2 คัน และอีกคันเสียหลักวิ่งตรงมาทางที่พี่ยืนอยู่และชนพี่ พี่เคยสงสัยคำพูดของคนที่พูดว่า ล้มทั้งยืนเป็นแบบไหนพอโดนเข้าคัวเองจึงได้รู้สึกว่า โคตรทรมาน พอเกิดเหตุการณ์ก็มีคนนำส่งโรงพยาบาลสงขลา( ทั้งตัวพี่และคนที่ซ้อนท้ายจักรยานที่ชนพี่) หมอบอกว่าเข่าพี่ผังผืดขาด ถ้าจะให้เป็นปกติก็ต้องเข้าเผือกสัก 6 เดือนแต่พี่ก็ไม่ได้เข้าเผือก พี่ใช้เวลารักษาตัวอยู่ประมาณ 2 ปี(หมอบ้าน) ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อาการเจ็บหัวเข่าก็หายไป แต่พอมาระยะหลังของปีพ.ศ. 63. พี่ก็เริ่มเดินออกกำลังกายทุกเช้า ความรู้สึกเหมือนว่าอาการเจ็บหัวเข่าจะกลับมาอีก จะเจ็บเวลานั่งแล้วลุกขึ้น แต่เวลานอนไม่เจ็บ
ทุกข์ เจ็บหัวเข่า
สมุทัย ชอบถ้าไม่เจ็บหัวเข่าไม่ชอบถ้าเจ็บหัวเข่า
นิโรธ เจ็บหัวเข่าก็ได้ ไม่เจ็บหัวเข่าก็ได้ ไปตามวิบาก
มรรค รู้ดีว่า เคยหักขาตั๊กแตนตำข้าว เวลาเราเกี่ยวข้าว(สมัยก่อน) และเคยจับแมงกะชอนเอามาทำเหยื่อตกปลา เวลาจะเกี่ยวเบ็ดต้องหักขาและแขนทิ้ง วิบากคงตามทันแล้ว พอเรานึกว่าเราเคยทำกับเค้ามาเราก็ขออโหสิกรรม แต่มาคิดอีกสาเหตุหนึ่ง เป็นเพราะน้ำหนักตัวเราเยอะด้วยเลยทำให้ข้อเข่าเสื่อมก็ได้ แต่ก็ยังเดินออกกำลังกายอยู่ทุกเช้าเพราะว่าเวลาเดินไม่เจ็บ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา รับแล้วก็หมดไป โชคดีอีกแล้ว ก็รับวิบากอย่างไม่กังวล และไม่เครียดน่ะ เค้าหายตอนเป็นก็ได้ หรือจะหายไปพร้อมๆๆกับเราก็ได้
ส่งการบ้านทุกข์อริยสัจ
เรื่อง. กินวุ้นเส้นได้เห็นกิเลส
เนื่องจากไปซื้อผักรวมมาทำต้มจืด พี่สาวเป็นคนทำกับข้าว ขณะจะตักต้มจืดใช้ทัพพีตักขึ้นมาก็เห็นวุ้นเส้นอยู่ด้วย จึงถามพี่ว่าใส่วุ้นเส้นไปด้วยหรือ เราก็คิดในใจว่าพี่คงไม่เห็นมั้งว่ามีวุ้นเส้นรวมอยู่ด้วย แต่ถ้าเมื่อก่อนเราจะเพ่งโทษพี่สาวว่าทำไมต้องใส่ไปด้วยทำไมไม่ดูก่อนจะต้องโทษคนอื่นไว้ก่อนตลอดแต่ครั้งนี้รู้สึกว่าวางได้เยอะมาก(ที่พูดถึงวุ้นเส้นเพราะพวกเราตั้งศีลไม่กินเส้นมา2ปีแล้วนะค่ะ)
ทุกข์.ทุกข์ใจที่กินวุ้นเส้นกลัวผิดศีล
สมุทัย.ถ้ากินวุ้นเส้นแล้วรู้สึกว่าตัวเองจะผิดศีลจึงไม่ชอบใจถ้าไม่กินวุ้นเส้นแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดศีลจึงชอบใจสุขใจ
นิโรธ.วางใจว่าเราจะกินวุ้นเส้นหรือไม่กินวุ้นเส้นก็สุขใจไม่ชอบไม่ชัง
มรรค.เราก็มาพิจารณาว่าทำไม่เราถึงไม่อยากกินวุ้นเส้นที่ไม่อยากกินเพราะเรากลัวผิดศีล เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าตั้งศีลแล้วต้องไม่พร่องศีลต้องไม่กิน แต่เราคิดผิด เพราะเรากินวุ้นเส้นเราไม่ได้ผิดศีลแต่ที่เราผิดศีลเพราะเราไปชอบไปชังในตัววุ้นเส้นต่างหาก โชคดีที่เราได้เห็นกิเลส ที่จริงเราจะกินก็ได้ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น คิดว่ากินกันหิว กินกันตาย กินใช้วิบาก และได้เห็นกิเลสตัวติดตัวยึด ว่ามันชั่งร้ายกว่ากินวุ้นเส้นเยอะเลย เราก็ได้ล้างตัวยึดมั่นถือมั่นไปได้ แล้วก็กินแบบไม่ชอบไม่ชัง(แต่ถ้ามีกับข้าวให้เลือกกินก็เลือกที่จะไม่กินต้มจืดที่ใส่วุ้นเส้นค่ะ
การบ้าน วิภาภรณ์ (เอ ใจพอแล้ว)
ทุกข์จากการสั่งสินค้าเข้าร้าน
หลายวันก่อนเช็คจำนวนสินค้า เห็นว่าสินค้าตัวหนึ่งเหลือน้อย จึงไลน์สั่งของไป ปรากฎว่าผ่านไป 1 วัน คนขายก็ไม่อ่านไลน์ จึงไลน์ไปหาผู้ช่วยคนขายอีกคนว่าจะสั่งของ เหตุการณ์เดียวกันก็คือ ทั้งสองคนไม่อ่านไลน์ เราก็วางใจว่าเค้าคงยุ่ง เรารอได้ ปรากฎว่าผ่านไป อีก 6 วัน เราก็มาเช็คอีกที ทั้งสองคนก็ยังไม่อ่านไลน์ เราก็เลยตัดสินใจ ไลน์ไปอีกทีว่าขอยกเลิกการสั่งของ เพราะใจว่าคิดว่า เราไปสั่งจากอีกเจ้าละกัน แต่พอเราไลน์ไปว่าขอยกเลิก คนขายก็อ่านไลน์ทันที และไลน์ตอบกลับมาว่าอย่าเพิ่งยกเลิก ซักพักเค้าก็บอกว่า เราสั่งจำนวนน้อยเกินไป ไม่คุ้มค่าคนรถขับไปส่งให้ที่ขนส่ง ของที่เราสั่งไป 2 อย่างก็มีแค่อย่างเดียว อีกอย่างของหมด เราก็เลยบอกว่าขอยกเลิกละกัน คนขายก็ตื้ออยู่ซักพัก จนสุดท้ายคนขายยอมเลิกตื้อแล้วจบไป
ทุกข์ : อยากให้คนขายอ่านไลน์และมีของพร้อมส่งได้ทันที ไม่ใช่อ่านก็ช้า แถมของไม่มีพร้อมส่ง แล้วยังก็อิดออดไม่ยอมส่งให้ บอกให้เราสั่งเพิ่มของอื่นที่เราไม่อยากได้
สมุทัย : ความอยากได้ดั่งใจหวัง พอไม่ได้ก็ชัง ชอบถ้าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่หวัง ชังเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง
นิโรธ : คนขายจะทำหรือไม่ทำตามที่เราหวังไว้ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือกระจกสะท้อนตัวเราสมัยก่อนตอนยังทำงานบริษัท เราก็ไปเร่งให้คนอื่นส่งงาน ตอนตรวจงานให้ผ่านไม่ผ่านเพื่อประเมินเงินเดือน เราก็ไปบังคับให้เค้าส่งงานตามแบบที่เรากำหนด เราเองก็ไปสร้างความทุกข์ใจให้กับคนหลายร้อยคนมาตั้ง 8 ปี โดนแค่นี้ยังน้อยเกินไป รับแล้วก็หมดไป จะมาหงุดหงิดหรือทุกข์ใจทำไม เมื่อก่อนเราเคยโง่แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ควรจะกลับไปโง่อีก เราเคยทำมา เราก็รับ ไม่ต้องไปทุกข์ให้โง่
เรื่องย่อ: ทุกข์ใจ ตั้งศีลปีใหม่หลายอย่างแต่ล้มหมด
ทุกข์: ไม่สบายใจ ไม่แช่มชื่น
สมุทัย: ยึดว่าต้องทำตามที่ตั้งศีลไว้จะสุขใจ ถ้าไม่ได้ตามที่ตั้งศีลไว้จะทุกข์ใจ
นิโรธ: ทำได้ตามที่ตั้งศีลหรือทำไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ใช้ปัญญาพิจารณาตามที่ได้เรียนมา ว่ากิเลส ร้ายมาก มีหลายตัวซ้อนกัน พันกัน เกี่ยวเนื่องกัน และทำงานตลอดเวลา ไม่สามารถเอาชนะได้รวดเดียวหมด ต้องสะสมพลัง ปัญญา พลังบารมี หลายภพหลายชาติ กว่าจะล้างออกได้ทีละนิดละนิด
และเราได้เคยทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ทำให้มีวิบากมาขัดขวาง การที่เราได้ตั้งศีล ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะเราได้รู้ว่าเรายังติดอะไร ได้เห็นศัตรู ได้ประมาณการต่อสู้ ประมาณกำลังของเรา
เรายังมีโอกาสตั้งศีลใหม่ได้ ในเมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถทำตามศีลที่ตั้งไว้ได้ เราก็จะได้รับวิบากจากการผิดศีล ได้เรียนรู้เพิ่ม แล้วเราก็จะชัดเจน มีปัญญามากขึ้น ที่เราได้เห็นทุกข์ เห็นผลของการทำผิดศีล และเราก็ยังสามารถใช้ปัญญาที่เราได้เห็นของจริงนี้ จัดการกิเลสในรอบต่อไปได้ครับ
ผมขอขอบคุณอาจารย์และหมู่มิตรดีที่ทำให้ผมได้มาปฏิบัติธรรม ทำกุศล ล้างกิเลส ได้เดินทางสู่ความพ้นทุกข์ครับ สาธุครับ
ยุงกวนใจ
ช่วงนี้ได้หยุดอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ จึงได้ฝึกตามค่าย ตั้งแต่ ธรรมะปลุก มาชชิ่ง โยคะกายบริหาร ขณะโยคะก็จะมีปัญหากับยุง ที่มากวน ตอม กัด รู้สึกขุ่นใจ รำคาญ
ทุกข์ รำคาญยุงที่มากวน ตอม กัด
สมุทัย ชอบถ้าไม่มียุงมากวน ชังที่มียุงมากวน
นิโรธ จะมียุงมากวนหรือไม่มากวนก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่เคยเกิดมาเป็นยุงหรือไง เกิดมาเป็นยุงไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ก็เคยไปกัด ไปกวน ไปขอเลือดเขามาเหมือนกัน พอยุงมาขอบ้าง มากวนบ้าง ก็รำคาญ จะโง่ไปถึงไหน ตัวก็โตเสียเปล่าให้เลือดกับตัวยุงนิดเดียวก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่กัดก็ดีจะเป็นวิบากใหม่ไปอีกและเบียดเบียนตัวเองด้วย ถ้ายังลดความรำคาญนี้ไม่ได้ ก็เตรียมตัวรับไปเถอะ รับไปจนหมดความรำคาญนั่นแหละ ยิ่งตอนเป็นคนทำความรำคาญให้คนรอบข้างไม่จบไม่สิ้น ขอสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
เอาหมดเร็วหรือช้า จะเอาแบบไหนดีละ
เร็ว
ถ้าอยากได้เร็วก็ต้องไม่มีขุ่นใจ รำคาญใจสิ
ขอบคุณยุงนะที่มาช่วยกระทุ้งกิเลสตัวนี้ให้ได้ล้าง
หลังจากพิจารณาแล้วก็ไม่รู้สึกขุ่นใจ ทำโยคะไปด้วยใจที่เบิกบาน แจ่มใส ยุงจะกัดจะตอมก็ตามสบายค่ะ
สักพักยุงก็หายไป จะหายเพราะเราวางใจได้ หรือกินเลือดจนอิ่มไม่แน่ใจคะ…สาธุ
ชื่อเรื่อง : น้องไม่ยอมช่วยประคบยาให้
เนื้อเรื่อง : มีอาการปวดต้นคอ บ่า ไหล่ เนื่องจากการนอนตกหมอน ตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะเอี้ยวตัวไม่ได้ ขยับตัวยาก จะลุกจะนั่งลำบากมาก จึงบอกน้องให้มาช่วยประคบหลังให้ แต่น้องไม่ยอมมาสักที ทำให้รู้สึกน้อยใจที่ว่าเราปวดมาก แต่ทำไมเขาไม่รีบมาช่วย
ทุกข์ : น้อยใจ หงุดหงิดที่น้องมาช้า ไม่ได้ดังใจ
สมุทัย: อยากให้เขามาช่วยเราเร็วๆ กิเลสที่มีความใจร้อน อยากได้จากคนอื่น อยากให้เขาตอบสนองเราให้เร็วที่สุด
นิโรธ: น้องจะมาช้า มาเร็วก็ได้ มาช่วยหรือไม่มาช่วยก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค: น้องเขาก็มีเรื่องที่เขาต้องทำ เขาอาจจะทำภารกิจที่ยังไม่เสร็จ หรือหากเขาไม่อยากมาช่วยเราจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขา เราไปล่วงละเมิดไม่ได้ น้องไม่ช่วยก็ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นที่เขายินดีจะช่วยก็มีมากมาย ใช้บททบทวนธรรม ข้อที่ 5 “สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับคือสิ่งที่เราไม่เคยทำมา” พิจารณาเพื่อดับทุกข์ ยอมรับวิบากของกรรมว่าเราก็เคยทำแบบนี้มาก่อน
เรื่อง
มีความอยากสวดมนต์บ้างแบบพร้อมเพียงกันเป็นหมู่จะได้ออกจากเต็นใครจากถำ้จากภพบ้าง
ทุกข์มีแต่อยากได้
สมุทัยชอบที่หมู่ทำตามที่เราอยากให้ดีเกิดชังที่หมู่ไม่ทำตามที่เราอยาก
นิโรธไม่ชอบไม่ชังหมู่จะสวดมนต์ก็ได้ ไม่สวดมนต์ก็ได้ ้เบาสบายใจ ใจไร้ทุกข์
มรรคพิจารณาใครทำใครได้แต่กิเลสก็มากระซิบให้ผิดศีลอยู่เรื่อยๆอยากได้แต่กับคนอื่นถ้าเชื่อมารเราก็เสียเวลาคิดได้แบบนี้ก็เบาใจได้เห็นหน้ามันก็ดีแล้ว
ส่งการบ้านอริยสัจ๔
น.ส.จาริยา จันทร์ภักดี
รหัสน.ศ.6012007003
มีการประชุมอ.ส.ม.วันนี้ ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซเขาคิดค่าโดยสารแพงระยะทาง10ก.ม.คิด80-แถมยังขับเร็วกังวลเรื่องความปลอดภัย
เรื่องมอเตอร์ไซขับเร็ว
ทุกข์ : กังวลความปลอดภัย
สมุทัย : อยากให้เค้าขับรถช้าลงเพราะเราจ่ายค่าโดยสารแพ
งแล้วขับช้าลงน่าจะไม่กระทบรายได้มากชังที่เขาขับรถเร็ว
ชอบ ถ้าเขาขับรถช้าลง
นิโรธ : เขาจะขับรถช้าหรือเร็วก็ไม่กังวลเพราะเขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน
มรรค : สงบใจโดยช่วยมองข้างหลังคอยบอกทางว่ามีรถหลังตามมาไกล้บอกว่าอย่าพึ่งข้ามฝั่งเลยถึงที่หมาย การที่เราดับทุกข์ใจได้ ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่เราดับไม่ได้สาธุค่ะ
ขยะในใจ
เหตุจากเทศบาลขาดคนที่มาเก็บค่าน้ำ ค่าขยะมา 4เดือนแล้ว วันนี้ทางเทศบาลมีจุดบริการมารับจ่ายข้างบ้าน จึงออกไปจ่ายแทนลูก
มาจ่ายค่าน้ำคะ ชื่อ นปภา รัตนวงศา คะ
ใช้ชื่ออื่นหรือเปล่า
ใช้ชื่อนี้ค่ะ บ้านติดชื่อพี่ค่ะ
ตอนขอมาตรเรื่องน้ำใช้ชื่อใคร
มันเริ่มขุ่น มองหน้าน้อง เริ่มไม่พอใจ
ทุกข์ ไม่ค่อยพอใจพนักงานที่พูดไม่เพราะ
สมุทัย ชอบถ้าพนักงานพูดเพราะ ชังถ้าพูดไม่เพราะ
นิโรธ พนักงานจะพูดเพราะหรือไม่เพราะก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค ดีจังได้ล้างกิเลสตัวคำพูดนี้แต่เช้าเลย โชคดีที่มาแทนลูกชาย ขอบคุณน้องพนักงานที่คุ้ยกิเลสตัวนี้ออกมาอีก นี่ไง เรา เรา เรา ใช่เลยเราเลย พูดห้วนๆ ขาดๆ ชักสีหน้า มองด้วยสายตาดูถูก ทำมามาก กี่ภพกี่ชาติละ ชาติก่อนๆไม่รู้แต่ชาตินี้ เยอะมากตั้งแต่จำความได้ ทำมาตลอด แถมมากขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งจะมาดีขึ้นก็ตอนมาเจอท่านอาจารย์หมอเขียวนี่เอง ถึงแม้จะล้างมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่หมด อยากได้สิ่งใดจงคิดสิ่งนั้นกับผู้อื่น น้องเขาก็พูดดีอยู่นะ คนที่ไม่ดีก็แกนั่นแหละ ฉะนั้นรับไป รับไปจนกว่าจะล้างได้หมด รับเต็มๆ หมดเต็มๆ จะได้โชคดีขึ้น
โจทย์ทุกโจทย์ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ เป็นเครื่องมือฝึกจิตของเราให้เป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม
เจอผัสสะไม่ดีได้โชค 3ชั้น ได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ และได้ใช้วิบาก รับแล้วก็หมดไปก็จะโชคดีขึ้น
เจอ นามสกุล ใช้ชื่อของพ่อบ้าน ก็จ่ายเงินเสร็จเดินทางกลับบ้านด้วยใจที่เป็นสุข..สาธุ
ชื่อเรื่อง ไม่ชอบถูกถาม
เนื้อเรื่อง เตรียมตัวอยู่บ้านช่วงเย็น เพื่ออัดรายการตอบปัญหากับพี่น้องจิตอาสา ได้นำปิ่นโตอาหารมาเก็บตู้เย็นบ้านด้วย เมื่อทราบว่าวันนี้รายการงดเลื่อนไปก่อน จึงบอกพ่อบ้านว่าจะกลับออกไปตามปกติด้วย พ่อบ้านพูดขึ้นว่า เห็นเตรียมอาหารมาเพื่อจะกินมื้อเย็นแล้วนี่ (ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าแล้วทำไมจึงกลับ) จึงได้พูดขึ้นว่าปิ่นโตจะนำมาเก็บได้บอกก่อนหน้านี้แล้วนี่ พ่อบ้านก็ยังพูดอย่างเดิม เหมือนไม่ได้ยินที่บอก ผัสสะก็เริ่มทำงานรู้สึกไม่ชอบใจที่บอกแล้วยังไม่รู้และยังถามซ้ำๆอีก และก็ได้ตอบไปว่า บอกหลายครั้งแล้วว่าเอามาเก็บ ภาษาที่สื่อทางวาจาและกาย แสดงถึงความไม่พอใจด้วยใจที่ไม่ชอบในตอนนั้น เป็นเหตุพ่อบ้านโกรธ มาถึงตอนนี้เริ่มรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุ จะเกิดวิวาทะ จึงเงียบ สำนึกผิด บอกขอโทษในใจ แต่ไม่เปล่งเสียงพูดออกมา วางใจ เปลี่ยนเรื่องพูดได้เป็นปกติ เหตุการณ์เป็นปกติไม่เกิดการทะเลาะกัน
ทุกข์อริยสัจ ไม่ชอบที่ถูกถามเรื่องที่บอกไปแล้ว
สมุทัย ยึดว่าเมื่อบอกสิ่งใดออกไปเขาจะรู้เรื่อง จะเข้าใจ จึงพอใจสุขใจที่ไม่ถูกถามซ้ำ ไม่พอใจ ทุกข์ใจที่ถูกถามคำถามเดิม
ซ้ำ ๆ
นิโรธ เมื่อพูดออกไปแล้วไม่ยึดว่าคนฟังจะต้องเข้าใจ จะไม่ถามซ้ำอีก ผู้ฟังเข้าใจก็เป็นสุขได้ ไม่เข้าใจ ถามใหม่ก็เป็นสุขได้
มรรค เรื่องราวที่นำมาแบ่งปัน ครั้งนี้เป็นผัสสะที่เกิดขึ้นรายวัน ที่มาแห่งทุกข์ ถ้าไม่รู้วิธีล้างทุกข์ ทุกข์ก็จะทับถมไปเรื่อยๆ ชีวิตเมื่อสูงวัยขึ้นแทนที่จะมีความสุข ก็จะมีแต่ทุกข์ นับเป็นความโชคดีที่ได้มาพบแพทย์วิถีธรรม อาจารย์หมอเขียได้ให้ความรู้
ที่เหมือนเราได้พบเส้นทางที่นำพาแสงสว่างและความสุขมาสู่ชีวิตในบั้นปลาย แมัวิบากที่เคยสั่งสมไว้ ยังติดตามมาให้ได้ใช้หนี้ เช่นเรื่องตัวอย่างที่ได้นำมาเล่าเบื้องต้น จึงไม่เป็นการยากที่จะเดินมรรค เริ่มด้วยจับอาการกิเลสได้ ก็จะเริ่มพิจารณาจากที่ได้
เรียนรู้มาด้วยการยอมรับอย่างไม่มีข้อสงสัยเรื่องผลของกรรม วางใจยอมรับว่าเป็นวิบากร้ายของตนออกฤทธิ์ มองเห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราทำมา เราไปส่งเสริมมา ซึ่งนับครั้งไม่หมด มีใจยินดีที่ได้รับรู้ได้เข้าใจถึงกิเลสที่เกิดขึ้น และปล่อยวางไปได้เป็นลำดับลำดับโดยไม่ยากนัก ผิดกับก่อนรู้จักการจับกิเลสมาล้าง ที่เหตุการณ์มักลงเอยด้วยทุกข์ เกิดการโต้เถียง มากบ้างน้อยบ้าง บางทีขุ่นเคืองใจไปหลายวันและยังพาลไปหาเรื่องคนอื่น ๆ ได้อีก คิดแล้วก็น่าละอาย น่าสงสารตัวเองที่ต้องทุกข์ เพียงเพราะขาดปัญญาพาพ้นทุกข์ ต่างจากปัจจุบันที่ได้เรียนรู้และได้ปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญามาบ้าง จะฝึกฝนตนและทำความพากเพียรต่อไป จะได้ไม่สร้างทุกข์ใจเอามาเก็บไว้ นี่เป็นเพราะได้พบสัตบุรุษ ได้พบหมู่มิตรดี ได้ทำสิ่งที่ดีๆร่วมกับมิตรดี เช่นการได้ร่วมกลุ่มทบทวนธรรม ได้ฟังประวัติของพระอรหันต์การบำเพ็ญของแต่ละพระองค์ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาแบบเรา ยังมีวิบากร้ายจากเคยทำชั่วมานับไม่ถ้วน ชั่วที่ได้กระทำมานั้นรอรับผล รอล้างอีกมากมาย ทำใจให้รู้สึกว่าโชคดี ที่ได้เรียนรู้เห็นกิเลสตัวเอง และจะตั้งใจพากเพียรล้างออกไปตามกำลังสติปัญญา ด้วยใจที่เบิกบาน สาธุค่ะ
เหตุการณ์: ตั้งแต่หนูมารู้จัก พวธ หนูปรารถนาที่จะไปเข้าค่ายและอยากจะคบคุ้นกับ พวธ เพี่อจะได้มีโอกาสได้เป็นจิตอาสาบ้างเพราะว่าการปฏิบัติธรรมอยู่รอบนอกคนเดียวมันไม่ไหว ไม่มีพลังมากพอที่จะสู้กับผัสสะข้างนอกค่ะวันๆเจอผัสสะทีไรก็เอาแต่อยากจะหนีท่าเดียวค่ะแต่พอมาถึงเดือนที่หนูสอบเสร็จคาดหมายไว้ว่าจะไปเข้าค่ายก็มีวิบากเข้ามาโควิดระบาดถูกล็อคดาวน์ไม่ได้ไปก็เลยต้องทำใจเป็นเวลาหลายเดือนจนในที่สุดใจสงบลงได้ค่ะ
เรื่อง:อยากไปเป็นจิตอาสา
ทุกข์:เพราะยึดว่าต้องได้ไปเข้าค่ายเร็วๆวิบากจริงจะเบาบาง(กิเลสไม่อยากรับวิบาก)
สมุทัย:ชอบถ้าได้ไปเข้าค่ายเร็วๆชังที่ยังไม่มีวีแววว่าจะมีโอกาสได้ไปเข้าค่าย
นิโรธ:เราจะได้ไปเข้าค่ายช้า หรือ ได้ไปเข้าค่ายเร็วก็ไม่ชอบไม่ชังเพราะมันเป็นสมบัติที่เราทำมา
มรรค:เวลาหนูกระทบกับผัสสะและทุกข์ใจมากๆเมื่อไหร่หนูก็จะรีบโทรปรึกษาขอคำชี้แนะจากพี่ขวัญก็ทำแบบนี้เป็นเวลาหลายเดือนเพราะกิเลสมันโวยวายไปโทษโควิดว่าเป็นเพราะโควิดระบาดจริงทำให้ไปบำเพ็ญกับหมู่ไม่ได้ที่นี้หนูก็มาชัดที่พี่ขวัญเอาบททบธรรมมาเสียบคอกิเลส(ไม่มีสิ่งไดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา)พี่ขวัญถามว่า:นาลีเคยไปกักขังคนอื่นสัตว์อื่นไหมหนูคิดออกทันทีเลยว่าหนูเคยไปหาเขียดได้มาเยอะๆก็หักขาเขียดเสร็จก็เอาไปขังไว้กินหลายวันค่ะหนูต้องขอบคุณที่วิบากมาไห้เราได้ชดใช้แค่นี้ถือว่าน้อยมากแล้วถ้าเทียบกับที่เราเคยทำมา(เต็มใจใช้วิบาก)อีกอย่างพี่ขวัญร้องเพลงท่านอาจารย์ให้หนูฟัง(คนที่เข้าศูนย์มีต้นทุนคือคุณความดี)
อ้อ หนูยังไม่มีความดีมากพองั้นหนูต้องรีบทำความดีให้มากๆเพิ่มศีลลดกิเลสเมื่อไหร่บารมีของเราเต็มรอบก็จะได้ไปเข้าศูนย์ค่ะตอนนี้เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกันเพราะเรามีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ค่ะ
พอหนูชัดเรื่องกรรมกิเลสก็สลายคลายลงไปตอนนี้ไม่ยึดแล้วว่าจะได้ไปเข้าค่ายตอนไหนปีนี้,ปีหน้า หรือ ชาตินี้,ชาติหน้าก็ได้ในที่สุดใจหนูคลายเบาสยายโล่งเลย สาธุค่ะ
อริสัจ 4
เรื่อง ลูกชาย
เวลาประมาณ 18. 30 กำลังนั่งเขียนการบ้าน เสียงมือถือก็ดังขึ้นและก็เป็นเสียงลูกชาย นายก็ถามขึ้นเลยว่าขอนอนบ้านเพื่อนได้ไหม เราก็ถามกลับไปว่าทำไมต้องนอน นายก็ตอบว่าถามครั้งไหนก็ไม่ให้นอน และก็ได้บอกลูกชายว่าพรุ่งนี้วันศุกร์จะไปโรงเรียนยังไง นายบอกว่าไม่มีเรียนพรุ่งนี้ เราก็เลยบอกว่าหนูไปถามพ่อก่อน ผ่านไป10นาที นายก็โทรมาจะให้นอนไหม? พ่อไม่ให้ แม่ก็ไม่ให้ น้ำเสียงนายก็ไม่พอใจ และก็ได้โต้แย้งกันพอประมาณ และก็ได้ถามนายไปว่า หนูถามแม่ แม่ตอบว่าไม่แต่หนูก็จะทำแล้วถามแม่ให้แม่ตอบทำไม หนูอายุเท่าไหร่ เวลานี้หนูต้องอยู่บ้านนะ นายก็พูดเหตุผลของนาย มนุษย์แม่กำลังทำงาน นายก็ตัดสายไป ใจหนึ่งก็ห่วง ใจหนึ่งก็ปล่อยเถอะ จะเกิดอะไรก็รับให้ได้นะ พอนั่งทำการบ้านไปสักพัก ใจที่ห่วงไม่ยอมลง เพราะนายได้บอกว่าไฟจักรยานมันเสีย ก็เลยโทรกลับไปหานายและถามว่าจะให้ไปรับไหม นายบอกไม่ต้องเพราะจะเอาจักรยานกลับยังไง ก็บอกนายแม่ไปรับได้นะ
ทุกข์:เป็นห่วงลูกชาย
สมุทัย:ไม่ชอบที่ลูกชายกลับบ้านเวลากลางคืนและช้า
นิโรธ:ลูกชายจะกลับช้าก็ไม่ทุกข์ใจ เรามีน่าที่ทำใจ จะเกิดอะไรกับใครก็ต้องยอมรับให้ได้
มรรค:พอได้คุยกับลูกชายจบก็พิจารณาทั้งเหตุและผล ห่วงเรื่องโรงเรียน รู้สึกเกรงใจครอบครัวของเพื่อนลูกชาย ก็ให้ไปหากันอยู่นะ และช่วงนี้เขาก็ห้ามให้เจอกัน น้ำเสียงอาจจะเข้มไปแต่บางครั้งก็ต้องพูด วิบากกรรมเรา วิบากกรรมลูก เราปราถณาดี ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วก็ต้องปล่อยวาง จะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องรับให้ได้ ถ้าไปห่วง ไปใช้หน้าที่มนุษย์แม่เยอะไปกว่านี้ จะไปสร้างวิบากกรรมใหม่กับลูก ระลึกนึกถึงบทธรรมของท่านอาจารย์หมอเขียว ถึงวิบากกรรมที่เกิดขึ้นแต่ละเรี่องแต่ละครั้งที่เราได้รับคือสิ่งที่เรามา ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา พิจารณาดูใจคลายความห่วงได้90% สาธุค่ะ
สรุป เมื่อเราปราถณาดีแล้ววาง พร้อมที่จะยอมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ข้าพเจ้าภาวนาเตรียมใจเตรียมจิตตัวเองเสมอว่า คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย มีพบก็ต้องมีจาก ไม่จากตอนเป็นก็จากตอนตาย
จะเกิดอะไรฝึกรับความเป็นจริงไว้ ถ้าวันนั้นมาถึง ถึงจะเจ็บก็เจ็บน้อย ถึงจะทุกข์ก็มรู้ทางออกจาก
ทุกข์ และนายก็ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยในเวลา 19 .45 น.สาธุค่ะ
ทุกข์..ใจที่ยังติดความหวานของขนมและน้ำตาล
สมุทัย..ชอบที่ได้กินขนมมีน้ำตาล ชังที่ไม่ได้กินขนมที่มีน้ำตาล
นิโรธ..ไม่ชอบ ไม่ชัง สภาพที่จะได้กินขนมที่มีความหวาน หรือ สภาพที่จะไม่ได้กินจนมที่มีความหวานได้
มรรค..พิจารณาโทษจากขนมหวานที่มีน้ำตาล จะทำให้เสียสุขภาพ ต่อไปในระยะยาวก็จะสะสมโรค และเป็นการเบียดเบียนตัวเอง และทำให้ผิดศีลข้อที่1 ได้ฟังธรรมจาก อ.จ ในการชี้แนวทาง พิจารณา ในการประมาณ พิจารณาบ่อยๆเราต้องฝึกผลัดพลาดจากของรักของชอบใจ (น้ำตาล)ตั้งศีลเพิ่มในการปฏิบัติต่อสู้กับกิเลสวันต่อวัน…สาธุ
อริยสัจ 4
อยากได้หลายอย่าง
วางเเผนไว้ว่าวันนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ ออกกำลังกายทำโยคะ ส่งการบ้านเเอดมิน เขียนอริยสัจ 4 ทำสวน ต้องโทรหาเเม่ ซึ่งเเต่ละเรื่องที่จะทำต้องใช้เวลาทั้งนั้นเลย เห็นตัวอยากได้ อยากทำหลายๆให้เสร็จ
ทุกข์ : ใจร้อน ใจจอยากทำหลายอย่างให้เสร็จตามเป้าหมาย
สมุทัย : เพราะยึดว่าเราต้องทำให้เสร็จทุกอย่างตามที่ตั้งไว้ ชอบที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จ ไม่ชอบที่งานจะไม่เสร็จตามเป้าหมาย
นิโรธ : ทำได้เเค่ไหนก็เเค่นั้น ไม่ยึดว่างานจะต้องเสร็จตามที่ตั้งไว้
งานจะเสร็จหรือไม่เสร็จก็ได้
มรรค : พิจารณาว่าเราจะเอาอะไรหนักหนา ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ใจที่ร้อนรน ใจโลภมันช่วยอะไรให้ดีขึ้น มีเเต่จะทำให้ทุกข์ ท่านอาจาร์ยหมอเขียวเทศน์ว่า ใจร้อนเป็นกิเลส เรายังไม่ยอมรับในสิ่งที่เราควรจะได้ ใจร้อนมีเเต่เสียหายเเละทุกข์ เพราะถ้าไม่ได้ตามที่คิด ใจก็คลายเบาลง ค่อยทำงานไปเรื่อยๆ สาธุคะ
เห็นแล้วอยาก
พี่น้องทำอาหารส่งการบ้าน เมนูถั่วเจียว จัดแต่งภาพสวยมากเห็นแล้วน้ำไหล อยากทานมากขอสูตรจะทำแต่วัตถุดิบตามสูตรไม่พร้อม คิดถึงเมนูไข่เจียวเคยชอบ วันรุ่งขึ้นคุยกับน้องสาวบอกน้องอยากทานเมนูนั้น น้องทำแล้ว อร่อยมาก บอกน้องของไม่ครบน้องสาวว่าทำง่ายมาก ใช้ กากถั่วเหลือง แป้ง อเนกประสงค์แทนก็ได้ เพิ่มความอยากขึ้นไปอีก จึงทำลองทำ แต่มันไม่เป็นถั่วเจียว ได้เมนู ผักคั่วแทน แต่ก็ไม่เป็นไร ทำเสร็จแล้วก็ออกไปทำสวน พอถึงเวลาทานกลับไม่อร่อยเลยไม่เหมือนตอนที่เห็นเมนูของพี่น้อง และน้องสาวบอก แต่ก็ทานแบบไม่อร่อยนั่นแหละอยากทานนักก็ได้ทานแล้วนี่ .
ทุกข์ : ใจดิ้นรน จะต้องทำทานให้ได้
สมุทัย : น้ำลายไหล อยากทานมากนะ ชอบที่จะได้ทานเดี๋ยวนั้นเลย ชังที่ไม่ได้ทานเดี๋ยวนั้น
นิโรธ : วางใจ ทานก็ได้ ไม่ทานก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณา เห็นความอยากมันไม่เที่ยง พอเราไม่ทำตามความอยากเดี๋ยวนั้นความอยากก็ค่อยๆลดลงๆ พอถึงเวลา (วันที่3)ทำเสร็จแล้ว ความอยากมันหายไปแล้ว ระลึกถึงคำพ่อครู ว่า รสอร่อยไม่มีในโลก ก็พอจะรู้อยู่แต่เวลาที่ใจเราไม่ทันกิเลส ตาเห็น หูได้ฟัง ใจก็ปรุง ทำให้ต้องดิ้นรนทำงานเพิ่มเพื่อสนองตัณหาความอยาก.
ข้าพเจ้าจะพยายาม ระวัง สำรวม ตา หู ใจ จะพิจารณาให้มากๆ จะได้ไม่ถูกกิเลสหลอกอีก .
กราบสาธุค่ะ
เรื่อง ตอนเช้าๆชอบเล่าเรื่องที่ทำให้เสียพลังใจให้ฟัง ญาติใกล้ชิดชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่าให้เราฟัง เล่าบ่อยครั้งเล่าทางลาย เราฟังแล้วรู้สึกรำคาญนิดๆ เพราะวันๆหนึ่งเราคิดบอกตัวเองว่าแต่ละวันเราอยากให้สมองเราโล่ง
แต่จริงนะที่ว่าเป็นแรงเหนี่ยวนำ นี้พิสูจน์กับตัวเองเจอแล้ว ถ้ารับฟังเรื่องไม่ดีใจก็เหี่ยวๆ ถ้ารับฟังเรื่องดีๆใจจะเบิกบาน
ทุกข์ # เมื่อไหร่จะหยุดเล่าทางลายในเรื่องที่ฟังแล้วชวนปวดหัว
สมุทัย # ชอบให้ญาตพูดน้อยๆ พูดในสาระ ชังที่คิดว่าเขาคิดถูกเขาไม่เอาอริยสัจ ๔ มาใช้เลย
นิโรธ # ยินดีพอใจไม่ว่าญาติจะมีความคิดเห็นอย่างไร จะพูดยังไง เอาสุขทุกสถานะการณ์ให้ได้ ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
มรรค # สิ่งที่เราเจอญาติเราเล่าเรื่องไร้สาระบ้างชอบเล่าแต่เรื่องทุกข์ๆใจบ้าง เห็นต่างบ้างเป็นชาวพุทธด้วยกันแต่เดินคนละทาง เราจะไม่ไปบีบคอใคร ให้เขายืนอยู่ในที่ของเขา สิ่งที่เราเจอนั้นคือเงาของเรา โชคดีอีกแล้วได้ใช้วิบาก แมัใจเราอยากให้เขามาเดินตามแนวทางของเราแพทย์วิถีธรรม แต่เรายังบอกเขาไม่ได้ฟ้ายังไม่ให้พูดตอนนี้ พูดแล้ววิวาทะ ดูเขาก็เป็นคนดีระดับหนี่ง แต่ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องถูกตรง ให้ไปตามฐานของแต่ละคนเถอะ เราเพ่งโทษเขาเราก็ผิดและเราก็จะไม่มีทางบรรลุธรรม
ตั้งศีลว่าจะขยันฝึกโยคะ ก่อนนอนให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ทุกวัน วันนี้ (22 ม.ค 2564) พอใกล้ ๆ จะถึงเวลาฝึก เห็นอาการขี้เกียจมากวน ๆ ใจ
ทุกข์ :เซ็งในอารมณ์ ขึ้เกียจ ๆ ของตัวเอง
สมุทัย : อยากจะมีอารมณ์ขยัน ๆ ฝึกโยคะมากกว่านี้ ถ้ามีอารมณ์ขยันฝึกมากกว่านี้จะสุขใจ และถ้ามีอารมณ์ขี้เกียจ ๆ จะทุกข์ใจ
นิโรธ : ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องมีอารมณ์ขยัน ๆ กว่านี้ จึงจะฝึกโยคะ แม้มีอารมณขี้เกียจ ๆ บ้าง ก็ฝึกโยคะได้ ฝึกไปเรื่อย ๆ อาการขี้เกียจ ๆ ก็จะหายได้ วางใจได้ ก็เบิกบานแจ่มใสได้
มรรค : สงบใจพิจารณาโทษของอารมณ์เซ็ง ๆ ความจริง อาการขี้เกียจ ๆ มันก็แย่อยู่แล้ว แล้วเรายังไปเซ็งมันมันอีก มันก็ยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่ จึงได้สติกลับใจใหม่เราจะเอาชนะความขี้เกียจด้วยความขยัน จึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สลัดอารมณ์เซ็งๆ ออกไปและตามด้วยอารมณ์ขี้เกียจ ๆ และด่ากิเลสทั้งสองว่า” อย่ามากวนใจให้เสียเวลาเลย ไม่ได้แอ้มหรอก !ไป ไป!ออกไปจากใจเราเดี๋ยวนี้! “พร้อมกันนั้นก็ลุกขึ้นมาบริหารร่างกาย โยคะ กดจุด สิบนาทีผ่านไปอารมณ์ขี้เกียจและอารมณ์เซ็งๆ ก็หายไป ได้อารมณ์เบิกบานแจ่มใส และผ่อนคลาย ร่างกายก็ยืดหยุ่นค่ะ วันนี้ก็ผ่านการฝึกโยคก่อนนอนไปด้วยดี สาธุ
ชื่อเรื่อง เบิกบานแจ่มใสดีกว่า
ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ
เรื่อง. แส่หานรก
ขณะยืนล้างจานรู้สึกว่ามันแน่นอึดอัดใจ เร่งรีบในการล้างจานให้หมดเร็วๆ ใจคิดว่ามีงานอื่นรออยู่เพียบ จะไปปลูกผักหวานบ้านที่แช่น้ำรอไว้ตั้งแต่ 2 วันแล้วยังไม่ได้ปลูก ลานบ้านก็ยังไม่ได้กวาดใบไม้หล่นเต็มไปหมด ห้องก็จะจัดให้เข้าที่ (ของวางระเกะระกะตอนขนของหนีน้ำท่วม)รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเวลาทำไมมันเร็วเหลือเกินในแต่ละวัน ทำงานได้นิดเดียวหมดเวลาค่ำแล้ว งานก็ต้องทำ สุขภาพก็ต้องดูแล อ้าว..คิดให้ทุกข์ทำไมเนี่ย..งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จช่างมัน เล่นมาบีบเค้นใจเอาๆมันทุกข์
น่าสงสารใจนะถูกบีบคั้นทุกวัน เมื่อก่อนไม่รู้ใจเอง
รู้แต่ว่างานต้องสำเร็จ รีบๆจนร้อนรนไปหมด โง่มา ตลอดยังจะโง่ต่ออีกเหรอ กิเลสขี่คออยู่มองไม่เห็น ยังทุกข์ไม่พอใช่ไหม พวกยึดดี ตัณหาล้ำหน้า ต้องให้เสร็จดั่งใจหมาย งานต้องเสร็จ ยึดอยู่นั่น ไม่ดูใจเลย มันโง่มาก ทำทีละเรื่องซี ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
ทุกข์. รู้สึกอึดอัดใจที่งานไม่สำเร็จ รีบร้อนงานให้สำเร็จ
สมุทัย.งานเสร็จจะชอบใจ งานไม่เสร็จจะทุกข์ใจ
นิโรธ.งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็สุขใจสบายใจไร้กังวล ยอมรับว่าทำได้เท่าทีจะทำได้ ณ.เวลานั้น
เป็นจริง ณ.เวลานี้
มรรค.ตั้งศีล ไม่ยึดมั่นว่างานจะสำเร็จดั่งใจหมาย
เมื่อเราทำเต็มที่แล้วก็สบายใจได้แล้ว ได้เท่านี้ก็พอใจแล้ว ฝึกอยู่กับความพร่องให้ได้อย่างผาสุก
ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับใจไร้ทุกข์
จริง ณ.เวลานี้ ฝึกอยู่กับความจริงที่พร่องอยู่เป็นนิตย์อย่างเป็นสุขให้ได้ ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน คือใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
ความลวงของกิเลสบอกว่างานสำเร็จจะดี เหมือนจริงแต่ไม่จริง คิดตามแล้วทุกข์ กังวล คิดผิด (มิจฉาสังกัปปะ)(คิดเบียดเบียน)คิดใหม่ต้องตามพุทธะดีกว่า รู้ความจริงตามความเป็นจริง เมื่อทำเต็มที่แล้วได้แค่นี้ก็สุขใจ ยึดให้มั่นแล้ววางให้เกลี้ยง
คิดแบบมิจฉาสังกัปปะ คิดผิด คิดเบียดเบียนตนทำให้ตนทุกข์ ส่งคลื่นนี้ไปเหนี่ยวนำให้คนที่มีพยาบาทธาตุรับคลื่นนี้ได้ คนจะทุกข์ อึดอัด เร่าร้อน เราเป็นต้นเหตุของการกระทำกรรมนี้ ต้องรับวิบาก
ความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จของกิจกรรมการงาน
คือความลวง ลวงให้ยึด ลวงให้ทุกข์ พ้นความยึดมั่นถือมั่นคือความจริง
ยึด=โง่ ซวย ทุกข์
ไม่ได้เข้าสวน
ปกติวันเสาร์จะได้เข้าสวน เพราะพ่อบ้านกลับมาจากต่างจังหวัด ปกติก็ตื่นตอน 3.30น. เพื่อเข้าค่ายที่บ้านตามพี่น้องที่ภูผาฟ้าน้ำ ทำงานบ้านเสร็จ พร้อมจะเข้าสวน
ขอไปชื้อของในเมืองก่อนนะ
ใจมันก็ขุ่นๆนะ ของไปชื้อตอนกลับจากสวนก็ได้ ไม่เห็นต้องเสียเวลาเป็นวัน …แนะ!ดูมัน
ทุกข์ ไม่ได้เข้าสวน
สมุทัย ถ้าได้เข้าสวนจะสุขใจ ไม่ได้เข้าสวนจะทุกข์ใจ
นิโรธ จะได้เข้าสวนหรือไม่ได้เข้าสวนก็สุขใจ
มรรค มาพิจารณาใจว่าจะไปทุกข์อะไร คนเรามีเรื่องให้โง่ ให้บ้า ให้ทุกข์ได้ตลอดเวลาจริงๆ เราต้องเอาประโยชน์ให้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ได้เข้าสวนก็ดีมากเลย จะได้ฟังธรรมะอาจารย์จนเสร็จ ได้ติดตามรายการสดทั้งของอาจารย์ และบุญนิยมได้เต็มที่ แถมได้พักผ่อน ได้อ่านหนังสืออีกโชคดีมากๆเลย
ท่านก็มีเหตุผลของท่าน อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะเที่ยงสม่ำเสมอ แบบเดิมตลอดเวลา ท่านทำงานมาตลอด และยังต้องเข้าสวนอีก ได้พักก็ดีอีก มีอะไรเสียบ้างเนี่ย มีแต่ประโยชน์ทั้งนั้น แถมเราก็เคยทำพฤติกรรมแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ต้องพร้อมรับพร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนด้วยใจที่เป็นสุข เย้ เย้ เย้ ดีใจจังไม่ได้อย่างใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีที่สุดแล้ว
ก็ทำกิจกรรมไปด้วยใจที่เป็นสุข เบิกบาน…สาธุ
ทุกข์..ใจที่ตัวเองสั่งของกินมาตุนในค่าย
สมุทัย..ชอบที่จะมีของกินเก็บไว้ ชังที่ไม่มีอะไรกิน
นิโรธ..ไม่ชอบ ไม่ชัง สั่งมาแล้วก็ให้รู้ถึงทุกข์ที่สั่งมา จะได้รู้ตัวตนของสถาพกิเลสให้ชัดขึ้น
มรรค..ถ้ากำลังสู้กิเลสไม่ไ้ม่ไหว ก็ให้ยอมไปก่อน การได้มาก็ทำให้เราได้ฝึก สละ ประโยชน์คือได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ ก็สละแบ่งปันให้พี่น้องในค่าย ฝึกเรียนรู้ในการประมาณ ตั้งศีลในการแบ่งบันกับของที่สั่งมากิน …สาธุ
เรื่อง โง่จริงๆ
วันจันทร์ที่ผ่านมา กำลังเตรียมตัวไปเผาศพย่าเพื่อนพอดีได้รับแจ้งว่าญาติสนิทเสียชีวิต เกิดความคิดสองทาง ไม่ไปเผาศพก็นัดเพื่อนไว้แล้ว ไม่ไปงานก็กลัวญาติๆตำหนิ ตั้งสติพิจารณาซ้ำๆจึงปรับเปลี่ยนไปงานศพญาติก่อนแล้วไปงานเผาศพเสร็จแล้วกลับมางานศพญาติอีกที ในที่สุดลงตัวด้วยใจไร้ทุกข์แล้วกลับมาทบทวนใจตัวเองใหม่พบว่า บ้าไปแล้วเราโง่จริงๆช่างปรุงนะกลัวไปก่อนหรือนี่ญาติๆยังไม่ได้ตำหนิเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับญาติๆสักนิดใจตัวเองแท้ๆที่ปรุงขึ้นให้ใจกลัว เป็นทุกข์
ทุกข์:ปรุงไปล่วงหน้าให้ตัวเองกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
สมุทัย:เกิดจากความโง่ของตัวเองที่ปรุงว่าถ้าญาติตำหนิจะทุกข์ ญาติไม่ตำหนิจะเป็นสุข
นิโรธ:เห็นอาการฟุ้งซ่านในใจที่ปรุงขึ้นมาแล้วดับอาการได้ ก็เบาใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์
มรรค:หันมาดูใจตัวเองพิจารณาด้วยบททบทวนธรรมข้อ 107 ที่ว่า กลัว ชั่ว ทุกข์ คือ โง่ เราจะโง่ไปถึงไหนบ้าจริงๆที่ปรุงเรื่องนี้ขึ้นมาให้ใจเป็นทุกข์ กลัว กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นยังไม่รู้เลยว่าญาติๆจะตำหนิหรือไม่ พอรู้ตัวรีบแก้ไขตัวเองหยุดปรุงทันทียอมรับความจริงว่าเป็นความโง่ของตัวเอง แล้วหันมาอยู่กับความจริงในเหตุการณ์ปัจจุบันด้วยใจเบิกบาน
ลังเลใจ
มีโอกาสปั่นน้ำผักผลไม้ให้พี่น้องที่สำนักงานได้กินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง วันหนึ่งได้ปั่นน้ำแอปเปิ้ลแล้วตัดด้วยเกลือซึ่งก็ชิมแล้วว่ารสพอดี มีพี่ท่านหนึ่งมาบอกกับเราว่าเค๊มเค็ม แต่เราก็บอกว่าตอนชิมไม่เค็มนะแล้วกิเลสก็ปรุงว่า นี้แหละอาจารย์ถึงสอนให้เขาพึ่งตนเอง ใครชอบกินรสไหน อย่างไร ก็ให้เขาทำกินเอง ถ้าเรายังทำให้อยู่เขาก็จะพึ่งตนเองไม่ได้ มันทำให้เรากลับมาทบวนตัวเองอีกครั้งว่าเราควรจะทำต่อไปดีไหม จริงๆแล้วเจตนาที่เราทำก็เพราะว่าการแบ่งปัน
ทุกข์ เกิดความไม่แน่ใจว่าควรจะปั่นน้ำผักผลไม้ต่อไปดีไหม
สมุทัย ถ้าเขาพึ่งตนได้จะสุขใจ ถ้าเขายังพึ่งตนไม่ได้ก็จะทุกข์ใจ
นิโรธ เขาจะพึ่งตนได้ก็สุขใจ เขาจะพึ่งตนไม่ได้ก็สุขใจได้
มรรค เมื่อเราได้ลงมือทำให้ดีที่สุดแล้ว ได้ทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็นแล้ว เขาจะนำไปทำต่อหรือไม่ก็เป็นไปตามวิบากดีร้ายของเราและเขา ณ เวลานั้น เขาอาจจะยังทำไม่ได้ในชาตินี้ ก็อาจจะเป็นชาติหน้า หรือชาติอื่นๆสืบไป เรามีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลความจริงออกไป ทำตัวอย่างที่ดีให้ดู
เริ่มเป็นดินพอกหางหมู
ช่วงนี้ผมมีงานคลิปวีดีโอคั่งค้างสะสมมาก มีคลิปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนยังไม่ได้ตัดต่อหลายรายการ ตั้งใจว่าจะสะสางให้หมดภายในเดือนมกราคมนี้ แต่ช่วงนี้ก็มีคลิปรายการใหม่ ๆ มาให้ทำเพิ่มอีก จึงต้องพยายามทำทั้งของเก่าและของใหม่ไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ ก็ยังต้องแบ่งเวลาไปดูแลพืชผักที่ปลูกไว้ และช่วยแม่บ้านทำงานในส่วนของร้านใจพอด้วย ก็อยู่ในสภาพมีงานให้ทำมากจนทำไม่ทัน แต่บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ยังคิดหาเรื่องใหม่ ๆ ที่อยากจะทำมาเก็บสะสมไว้ในใจอีก
ทุกข์ — อึดอัดใจที่มีงานคั่งค้างมาก กลัวว่าจะทำไม่ทัน
สมุทัย — ยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าทำงานเสร็จหมด ไม่มีงานคั่งค้างจะสุขใจ ถ้ามีงานคั่งค้างมากจะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ
นิโรธ — จะมีงานคั่งค้างมากหรือไม่มีงานให้ทำเลย ก็ไม่ทุกข์ใจ ทำเต็มที่ก็สุขเต็มที่ได้แล้ว
มรรค — พิจารณากิเลสความยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นโทษ มองให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า เราทำงานฟรีเพื่อประโยชน์ของคนจำนวนมาก ก็ต้องมีงานเยอะและทำไม่ค่อยทัน เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว หน้าที่เราก็แค่พากเพียรทำไปให้ดีที่สุด อย่างรู้เพียรรู้พัก พยายามตรวจสอบว่าเรายังมีเวลาว่างที่ทำสิ่งไร้สาระอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีก็เอาเวลานั้นมาสะสางงานที่คั่งค้างดีกว่า ได้เท่าไหร่ก็พอใจเท่านั้น ทำดีเต็มที่แล้ว ก็สุขเต็มที่ได้แล้ว ไม่ต้องทุกข์ใจอะไร
กังวลไม่มีการบ้าน
สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ยังจับทุกข์ไม่ได้เลย แล้วเราจะเขียนการบ้านอะไรดีน้อ เห็นอาการกังวลใจไม่มีการบ้านส่งอ้าวนี้เรากำลังโง่ โดนกิเลสหรอกแล้ว มันหรอกว่ามีการบ้านส่งจะสุขใจไม่มีการบ้านแล้วมันจะกังวล โง่ ๆ ฉันเห็นเธอแล้ว
ทุกข์ กังวลใจไม่มีเรื่องเขียนส่งกาบ้าน
สมุทัย ยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าได้ทำการบ้านส่งจะสุขใจ ถ้าไม่ได้ส่งจะทุกข์ใจ
นิโรธ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีการบ้านส่ง หรือไม่มีการส่งก็สุขใจ
มรรค พิจารณาเห็นความลวงของกิเลสหรอกให้ยึดมั่นถือมั่นว่าการทำการบ้านเป็นสิ่งดีต้องทำทุกสัปดาห์ ความจริงแล้วไม่มีการบ้านทำก็ได้ ใจที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์เป็นใจที่เบียดเบียน ใจที่ยึดคือใจยังโง่อยู่ จะมีการบ้านส่งหรือไม่มีการบ้านส่งก็ไม่ทุกข์ใจ แล้วเราจะไปโง่สร้างทุกข์ทำไม เพราะที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของใครทุกคนก็ต้องสูญเสียจากทั้งดีและร้ายไป จะทุกข์ใจไปทำไม เบิกบานแจ่มใสดีกว่า
ผลของการผิดศีล
วันที่ 21 มกราคม 2564 ข้าพเจ้ากับพ่อบ้านไปเตรียมดินปลูกผักบุ้งกว้าง 1 เมตร ยาว 6 เมตรครึ่ง ขอพ่อบ้านส่วนหนึ่งปลูกแบบอาจารย์หมอเขียวที่ไม่ต้องใช้มูลสัตว์ เมื่อขุดเสร็จใส่เศษกิ่งไม้ ใบไม้ เศษผัก รดด้วยน้ำปัสสาวะเรียบร้อย พ่อบ้านจะเอาขี้แพะมาใส่ให้ ข้าพเจ้าไม่ยอมเถียงกันเล็กน้อย พ่อบ้านโมโหว่าข้าพเจ้าดื้อรันไม่ยอมเชื่อฟังเขา ฟังแต่คนอื่น รู้สึกไม่สบายใจอยากให้พ่อบ้านเข้าใจ
ทุกข์:ไม่สบายใจที่พ่อบ้านไม่เข้าใจ
สมุทัย:อยากให้พ่อบ้านเข้าใจ ชอบถ้าพ่อบ้านเข้าใจแล้วจะสุขใจ ชังถ้าพ่อบ้านไม่เข้าใจก็ทุกข์ใจ
นิโรธ:พ่อบ้านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค:พิจารณากรรมและเข้าใจเรื่องกรรมว่าผิดศีลที่ตั้งไว้ แต่กิเลสเรามันดื้อมาก มันได้ดั่งใจมาตลอดสู้ยาก ขนาดมาตาลีเทพสารถีมาเตือนว่าผิดศีลแล้วน๊า!ยังโง่ถูกกิเลสหลอกได้อีก ซึ่งเหตุการณ์มีอยู่ว่า หลังจากทำให้พ่อบ้านโมโหแล้ว สักพักเราก็ถูกคีมตัดต้นไม้หนีบอุ้งมือซ้ายเป็นแผลลึกพอสมควร กิเลสมันบอกว่า”เธอโชคดีแล้วเพราะไม่ถือสาพ่อบ้านกลับไปช่วยทำงานทั้งๆที่เขาไม่ยอมให้ช่วยจึงได้แผลเป็นรางวัล” เมื่อรู้ว่าถูกหลอกก็บอกกับกิเลสว่า”รางวัลบ้าบออะไรกลับไปบ้านก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าฟังชาดกบททบทวนธรรม ไม่ต้องเปิดธรรมะพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวฟัง”เราไม่เชื่อเธอแล้วกิเลส” แล้วกลับมาพิจารณาทบทวนศีลที่ตั้งไว้ว่า”จะยอมพ่อบ้านทุกเรื่อง” วันรุ่งขึ้นเอาเมล็ดผักบุ้งที่แช่น้ำไปหว่านในแปลงและยอมปลูกผักบุ้งตามพ่อบ้าน ได้ระลึกถึงคำสอนของอาจารย์ว่า”วิธีการอย่างไรก็ได้ให้ได้ปลูกผักไร้สารพิษ” ในเมื่อฐานของเราต้องเริ่มปลูกจากใช้ขี้แพะ เราก็ยินดี เต็มใจรับ โชคดีอีกแล้วร้ายหมดไปอีกแล้ว เมื่อชัดในเรื่องผลของกรรม และสำนึกผิดยอมรับกรรมจากใจ100%จริงๆ รู้สึกโล่งใจ สบายใจ มีความผาสุกขึ้น พ่อบ้านก็ยอมให้ฟังธรรมและเข้าร่วมกิจกรรมกับหมู่กลุ่มได้
เรื่อง กลัวไปขายของสสน
ทุกวันศุกร์เช้าต้องไปขายของตลาดนัด เย็นวันพฤหัสฯตกลงกับพ่อบ้านว่าพรุ่งนี้ให้ไปส่งเวลา 06.00 น.แต่พอถึงเวลาพ่อบ้านตื่นสายจึงกลัวจะไปขายของสายเพราะลูกค้าเยอะช่วงเช้า
ทุกข์:กลัวจะไปขายของสาย
สมุทัย:ต้องการไปขายของให้ทันช่วงเช้า ชอบถ้าได้ขายของช่วงเช้า ชังถ้าต้องไปขายของช่วงสาย
นิโรธ:จะขายช่วงไหนก็ได้ เช้าหรือสายก็ได้ ไม่สุข ไม่ทุกข์
มรรค:ทำใจ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน พิจารณาด้วยบททบทวนธรรมข้อ 35 คือ ยึดอาศัย”ดี”ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้”นั้นดี”แต่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องเกิด”ดี”ดั่งใจหมายทั้งๆที่องค์ประกอบเหตุปัจจัย ณ เวลานั้น”ไม่สามารถทำให้ดีนั้นเกิดขึ้นได้จริง””นั้นไม่ดี”พอวางใจได้แล้วไปขายของด้วยใจเบิกบาน
เรื่อง ใจร้อนเร่งผล
เหตุการณ์:คือมีอาการไม่สบายตัว มีร้อย เย็น และร้อนเย็นเกิดพร้อมกัน ปวดตามกล้ามเนื้อ ออ่นเพลี่ยกำลังตก อาการดังกล่าวเกิดขึ้นติดต่อกันอยู่หลายวัน จึงได้ย้อนกลับมาตรวจดูร่างกายและจิตใจของเรา สาเหตุที่เราไม่สบายเกิดจากอะไร? สภาวะของจิตใจเป็นอย่างไร? ในส่วนของใจพบว่า เราใจร้อนเร่งผลให้งานเสร็จเร็วๆ ทำให้เพียรพักไม่พอดี ในส่วนร่างกายพบว่า เราทำงานกับเครื่องยนต์ ทำงานกลางแสงแดดจ้า ร่างกายได้รับความร้อนมาก ระบายความร้อนออกไม่ทัน ทำให้ร่างกายผลิตความเย็นออกมาช่วยระบาย สุดท้ายก็ป่วยทั้งร้อนทั้งเย็น แต่เมื่อได้ปรับใจใหม่ ไม่ใจร้อน ไม่ชอบไม่ชัง พร้อมกับปรับสมดุลของร่างกายได้ถูกตรง อาการไม่สบายก็ทุเลาลงและหายไปในเวลาไม่กี่วัน ด้วยใจที่เบิกบาน
ทุกข์:ป่วยกาย ทุกข์ใจ
สมุทัย:ใจร้อนเร่งผล ถ้างานเสร็จเร็วก็จะสุขใจ ถ้างานเสร็จช้าก็จะทุกข์ใจ ทำให้เพียรพักไม่พอดี ร่างกายจึงเกิดอาการเสียสมดุลขึ้น จึงเกิดอาการป่วย
นิโรธ:งานจะเสร็จเร็วหรือช้า เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค:ยอมรับความจริง ที่มันเกิดจริงในปัจจุบัน ด้วยใจเบิกบาน เพราะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่า ความสำเร็จของงาน ไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจ คือความสำเร็งของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ ใจที่ยินดี ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้ว เพราะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง(ททธ.ข้อ76)กับปรับสมดุลร้อนเย็น พร้อมกับการเพียรการพักให้พอดี สภาพร่างกายก็ค่อยๆดีขึ้น และหายจากอาการป่วยในเวลาไม่นาน ด้วยใจที่เบิกบาน สาธุ
เห็นใจนางฟ้าน้อย
เดินทางไปต่างจังหวัด เพราะพี่สาวโทรมาขอความช่วยเหลือ ท่านดูแลคุณแม่ วัย 86 ปี อยู่ และคุณแม่ไม่สบายเข้าพักในโรงพยาบาล ให้เราไปนอนเฝ้า เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไปถึงค่ำ ๆ ก็ได้ช่วยดูแลท่านตามกำลังทั้งกัวซา กดจุด นวดเฟ้นตามที่ท่านต้องการ พอท่านเบาสบายตัวขึ้นและเราเริ่มนอนพัก จนกระทั่งน้องพยาบาลเวรดึกก็เข้ามาตรวจวัดความดัน ชีพจร และอุณหภูมิในร่างกาย ให้ เมื่อตรวจเสร็จแจ้งว่าปกติ คุณแม่ได้ร้องขอให้น้องพยาบาลช่วยดึงหมอนหนุนหลังออกให้หน่อย น้องพยาบาลไม่ได้ทำให้และกำลังเดินจะออกจากห้องไป เราจึงร้องขอบอกน้องพยาบาลแทนว่าช่วยทำให้คุณแม่หน่อยค่ะ น้องจึงเดินกลับไปทำให้ตามที่ร้องขอ แต่นำหมอนมาวางไว้ที่พื้นห้องเรารู้สึกตกใจกับการกระทำของน้องพยาบาลที่ทำแบบนี้
ทุกข์: ตาที่เห็นน้องพยาบาลวางหมอนที่พื้นรู้สึกตกใจ จากที่ร่างกายเริ่มเพลียง่วงกลับตื่นขึ้นทันที
สมุทัย: เห็นความยึดมั่นถือมั่นในใจ ที่คิดว่าพื้นห้องไม่ใช่ที่วางหมอนหนุนหลัง อยากให้น้องพยาบาลวางหมอนไว้ที่ที่เหมาะควร
นิโรธ: น้องพยาบาลจะวางหมอนหนุนหลังคุณแม่ ไว้ที่ใดก็ได้ พื้นห้องก็ได้ ใจก็ไม่ทุกข์ ใจก็ผาสุกได้
มรรค: การที่เราไม่พึ่งตนและเบียดเบียนผู้อื่นที่เขาไม่ยินดีทำให้เรา เท่ากับเราผิดศีลข้อ2 ขโมยเขามา ย่อมนำความทุกข์ใจ นำวิบากร้ายมาสู่ตน หรือการไม่สำรวมในตน ทำให้เราประมาท ประมาณการกระทำได้ ไม่ดี ไม่แววไว มุทุ ต่อการพร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน ตลอดเวลา ทำให้เราหลงกลกิเลสความยึดมั่นถือมั่นได้ เมื่อเราเชื่อและชัดในเรื่องวิบากกรรมแล้ว สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา เราขอตั้งอธิศีลเพิ่มในการสำรวม กาย วาจา ใจ ให้ดียิ่งขึ้น ๆ ต่อไป ขอบคุณน้องพยาบาลนางฟ้าตัวน้อย ที่มาทำให้เราได้เห็นกิเลสในตนเองชัดขึ้น ในเหลี่ยมมุมนี้ จะพากเพียรสู้กิเลสต่อไป สาธุ
สรุป เราก็ลุกไปหยิบหมอนขึ้นมาวางใหม่ตามที่เราเห็นควร และถามน้องพยาบาลด้วยความสงสัยและตกใจ พูดคุยกันอีกเล็กน้อย สุดท้ายน้องกล่าวขอโทษพี่ พี่กล่าวขอบคุณน้อง และจากกันด้วยใจผาสุก
เรื่อง : มาตลีเทพสารถีมาเตือนละนะ
เนื้อเรื่อง : ตอนเย็นหลังเลิกงาน เมื่อกลับถึงบ้านก็เข้าไปรดน้ำผักในสวนเป็นปกติ จนถึงเวลาประมาณ 18.00 น. ซึ่งทุกวันก็จะมีการประชุมทางออนไลน์กับพี่น้องจิตอาสากลุ่มต่าง ๆ เสมอ ๆ จึงหาโทรศัพท์เพื่อดูข้อความในห้องไลน์กลุ่มต่าง ๆ เพื่อดูว่าวันนี้มีการประชุมร่วมกับพี่น้องกลุ่มใดบ้าง แต่กลับหาโทรศัพท์ไม่เจอ จึงขอให้ลูกชายลองโทรไปที่เครื่องเรา เผื่อทำตกไว้ในรถหรือวางไว้แล้วลืมตำแหน่งที่วาง ปรากฏว่าโทรติดแต่ไม่มีเสียงอยู่ในบ้าน อ้าว ! นี่เราทำโทรศัพท์หายหรือนี่ หรือว่าจะลืมไว้ที่ทำงาน ความคิดแว๊บแรกที่ออกมา คือ อ้อ รู้แล้ว ช่วงบ่ายเราใช้โทรศัพท์ฟังเพลงลูกทุ่งทางโลก นั่นไง มาตลีเทพสารถีมาเตือนละนะ มัวเมาในความเนื้อร้อง ทำนองเพลงส่งเสริมกิเลส แถมยัังเหนี่ยวนำให้เพื่อนร่วมงานในสำนักงานมาฟังด้วยอีก เป็นไงล่ะ ซาบซึ้งหรือยังตอนนี้ สุดท้ายต้องกลับไปเอาโทรศัพท์ที่สำนักงานจนมืดค่ำ
ทุกข์ : รู้สึกกังวลที่หาโทรศัพท์ไม่เจอ
สมุทัย : ยึดว่าโทรศัพท์ต้องอยู่กับเรา ไม่ควรที่จะหล่นหายไป หรือหาไม่เจอ
นิโรธ : โทรศัพท์จะหล่นหาย จะหาเจอหรือไม่เจอ เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาถึงสาเหตุที่หาโทรศัพท์ไม่เจอ แล้วจึงพบว่าเป็นเพราะตัวเองทำผิดศีลเรื่อมัวเมาในอบายมุข ดูการละเล่น ร้องรำทำเพลง ปล่อยสติให้หลงไปกับกิเลสสุขลวงในเนื้อร้อง ทำนองเพลงทางโลกที่ส่งเสริมกิเลส และยังเหนี่ยวนำชักชวนให้เพื่อนร่วมงานที่ทำงานมาฟังด้วย แม้จะมีคนนึงถามเราว่า เราฟังเพลงแนวแบบนี้ด้วยเหรอ ปกติเห็นฟังแต่คลิปธรรมะ เพลงธรรมะ ก็ยังไม่ได้สติยั้งคิดทบทวนคำที่เขาถามมา แต่ยังฟังต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาเลิกงาน..รู้สึกซาบซึ้งกับเทพมาตลีเหลือเกิน ขอขอบพระคุณมากที่นำเหตุการณ์นี้มาเตือนเรา ต่อไปถ้ายังหลงสติ หลงกิเลสสุขลวงแบบนี้อีก เหตุการณ์ที่ได้รับคงไม่หนักเท่านี้แน่นอน คงจะต้องได้เจออะไร ๆ ที่หนักกว่านี้เป็นแน่ เข็ดได้แล้วนะเรา…
ชื่อเรื่อง : ขอทำหมดทุกอย่างได้ไหม? ไหวไหม?
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีงานนอกเข้ามาเยอะ ทั้งที่ตนเองเคยได้เข้าไปรับ และมีงานใหม่ที่พี่น้องหมู่มิตรหารือให้ลองช่วยกัน มีทั้งงานบทความ งานถ่ายทำตัดต่อคลิป ทำการบ้านของสถาบันวิชชาราม ประชุมหารือ งานที่อยากเข้าไปช่วยผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งยังมีงานหลักที่ต้องทำในบ้านทุกวัน คือ ทำกับข้าว ทำน้ำสมุนไพร ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บขยะของคนในครอบครัว แยกประเภทขยะ ล้างขยะ ตากขยะให้แห้ง เก็บจัดส่งแยกตามจุดที่เกิดประโยชน์ งานซ่อมแซมและติดตั้งอุปกรณ์ในบ้าน ฯลฯ ไหนจะต้องมีเวลาซ่อมแซมร่างกายตนเองด้วย ถ้าเผลอลงไปนั่งหรือพักนอน จะยาว ไม่อยากติดกิเลสขี้เกียจ เลยทำต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ต้องรู้เพียรรู้พัก นอนสลบเอาแรง น้องสาวบอกให้นอนไปเลย แต่ใจกังวลเพราะยังตัดคลิปไม่เสร็จ และพรุ่งนี้อยากไปหาผู้ป่วยมะเร็ง แต่ในขณะเดียวกันมีความคิดขึ้นมาว่า ยังไม่ได้ส่งการบ้านอริยสัจ ๔ ตอนแรกเลยคิดว่า นอนพักไปเลยแล้วกัน เห็นจิตใจมันแน่น มันเร่งรีบ มันจะอยากให้สำเร็จทุกอย่าง สุดท้ายก็มานั่งพิมพ์การบ้านส่งจนได้ เพราะใจแน่น ปวดหัว และตัดรอบว่าคงยังไม่ไปหาผู้ป่วยในวันรุ่งขึ้น
ทุกข์ คือ ปวดหัว ใจแน่น เครียด ใจเร่งรีบ รู้สึกเหนื่อยข้างใน
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) คือ อยากเห็นงานทุกอย่างสำเร็จสมบูรณ์ดั่งใจหมาย อยากมีส่วนร่วมมากเกินไป จนไม่ประมาณตนเองว่าเรียงลำดับความสำคัญอะไรก่อนหลัง ทุกอย่างสำคัญไปหมด
นิโรธ (สภาพดับทุกข์) คือ ใจเบาสบาย งานทุกงานที่รับมา จะสำเร็จก็ได้หรือไม่สำเร็จก็ได้ ยินดี พอใจ ไร้กังวลว่ามันจะไม่ดีพอ มีปัญญารู้ชัดว่า ทุกอย่างที่เราทำได้ดีที่สุดในเวลานั้นๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร มันก็ดีและเหมาะควรที่สุดแล้ว ได้เท่าไรเท่านั้น
มรรค (ทางเดินสู่ความพ้นทุกข์) คือ พิจารณากิเลสโลภติดดี ติดโลกธรรม กลัวไม่ได้มีส่วนรวมทำงานกับพี่น้องหมู่มิตรดี และยังกลัวว่าตนเองจะทำงานที่บ้านไม่ได้ดีด้วย กลัวๆๆๆไปหมด กังวลปวดหัว ขยันผิดที่ ขยันแต่งานนอก แต่งานในจิตวิญญาณนั้น ขี้เกียจเข้าไปดูไปรู้ไปเห็นอาการจิตที่มันทุกข์มันแน่นขนาดนี้ สร้างทุกข์ให้ตนเองเพื่ออะไร? อาจารย์หมอเขียวไม่เคยสอนแบบนี้ โง่กดดันตนเอง เบียดเบียนจิตวิญญาณและร่างกาย คือ ผิดศีลข้อ ๑ ถ้าช่วยตนเองให้ผาสุกไม่ได้ แล้วจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร? รู้ชัดว่ากำลังเราได้แค่ไหน อะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุดในเวลานั้นๆ ก็ประมาณให้ดีที่สุด และเอาใจให้ผาสุกก่อนทำ ไม่ใช่ทำไป กังวลไป ทำบาปสร้างปรงเหนี่ยวนำที่ไปไม่ดีให้กับโลก ทำให้ผู้คนเครียดตาม โง่จริงๆ ไปนอนแล้ว…
รู้เพียรรู้พัก
ก่อนหน้านี้สร้างห้องเก็บของ ต่อมาเลยสั่งปูน มาผสมเทรอบ ๆ ห้องเก็บของและพัฒนาพื้นที่ พอเทติดต่อกันหลายวันเข้า อาการปวดเมื่อยก็เริ่มเกิดบ่อยขึ้น เพราะงานเทปูน เป็นงานใช้แรง ใช้การยก ยกทราย ยกหิน ยกปูน ใช้พลังในการผสมปูน ด้วยร่างกายที่ไม่ได้ฝึกมาทำให้ทำงานได้ไม่ทนนัก
ทุกข์ : กระวนกระวายใจที่ทำงานไม่ได้ดังใจ
สมุทัย : อยากให้งานเสร็จ อยากเคลียปูนที่สั่งมาให้หมด ให้งานเรียบร้อย
นิโรธ : รู้เพียรรู้พักงานจึงเสร็จ ไม่รู้เพียรรู้พักงานไม่มีวันเสร็จ งานทางโลกไม่มีวันหมด รีบทำขนาดไหนก็ไม่หมด
มรรค : พอเริ่มมีอาการปวดเมื่อย ก็เริ่มรู้สึกว่าตึงเกิน ลำบากเกิน ก็เลยคิดจะพัก พอคิดจะพักใจมันก็กระวนกระวาย อยากทำให้มันจบ ๆ ไม่อยากปล่อยวันให้ผ่าน ๆ ไปโดยไม่ทำงานปูน เพราะงานปูนทำได้แค่วันละครั้ง (ใช้เวลานานกว่าจะจบงาน ทำได้แต่ช่วงเช้า – บ่าย ถ้าเริ่มบ่ายมักจะมืดก่อนจบงาน) พอรู้สึกว่าทุกข์เช่นนั้น ก็ตั้งใจสู้ คือพักมันเสียเลย 1 วัน ไปทำงานอื่น ไปทำงานเบา
สรุปว่าสูตรประมาณนี้ได้ผล รู้เพียรรู้พัก เทติดต่อกันสัก 2-3 วัน พักหนึ่งวัน ความปวดเมื่อยหายไป …จริง ๆ ก็หายไปตั้งแต่วันแรกที่พักแล้ว พอกลับมาเทต่อก็ไม่มีอาการปวดเมื่อย เพราะร่างกายได้พักบ้างแล้ว งานก็เดินต่อไปได้ดี ร่างกายก็สบาย ใจก็สบาย แค่ไม่เร่งผล ทำเท่าที่ทำได้ ให้เป็นสุขทั้งร่างกายและจิตใจ
เรื่อง ความสำเร็จของงาน
จากการทำงานประจำช่วงต้นปีงบประมาณ2564ต้องมีการจัดทำข้อมูลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยออกประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุแล้วคัดเลือกผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงนำข้อมูลบันทึกลงโปรแกรมเพื่อลงทะเบียนขอรับงบประมาณในการดูแลส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะทำงานไม่เสร็จตามเวลา
ทุกข์ อยากทำงานให้สำเร๋จทันเวลา
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ชอบที่จะทำงานให้สำเร็จทันเวลาชังที่งานไม่สำเร็จมีความยึดดีในการทำงานทำใก้เกิดทุกข์ลวงถูกกิเลสหลอก
นิโรธ สภาพดับทุกข์ เมื่อตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แล้วก็ไม่มีความทุกข์ใจไม่ว่างานจะสำเร็จทันเวลาหรือไม่ทันเวลา
มรรค วิธีดับทุกข์ พิจารณาว่าเรากังวลเพราะอะไรงานสำเร็จก็เกิดความพอใจแว๊บเดี๋ยว แล้วไม่ใช่สุขที่แท้จริงความสุขที่แท้จริงต้องเกิดจากใจพิจารณาซ้ำๆว่าความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงานแต่ความสำเร็จของงานที่แท้จริงคือความสำเร็จของใจ
เรื่อง: บอกแล้วไม่เชื่อ
เหตุการณ์: เกิดในหน่วยงาน เนื่องจากตนเองมีหน้าที่ดูแลคิวผ่าตัดในแต่ละวันโดยให้พนักงานเปลรับมารอที่ห้องผ่าตัดตามลำดับก่อนหลังแต่ครั้งนี้ตนเองประเมินแล้วว่าช่วงบ่ายของแพทย์ท่านหนึ่งไม่น่าจะทำได้ทันเวลากับจำนวนที่ลงคิวไว้ ตนเองจึงได้พูดกับแพทย์ท่านนั้นว่า อีกรายคงไม่ทันเวลา16.00น.แน พี่ยังไม่รับผู้ป่วยนะคะ. แต่แพทย์บอกว่าทันครับ สองรายนี้ผมทำแป้บเดียว ไปรับมาเลยครับในใจตนเองก็ยังคิดว่าไม่น่าจะทันนะ แต่ถ้าไม่รับตอนนี้ก็เดี๋ยวจะรับให้ไม่ทัน เลยให้รับมารอ สุดท้ายก็ทำไม่ทันเวลาเวรเช้าจริงๆ ต้องรอไปเวรบ่าย และมีผู้ป่วยฉุกเฉินมาแทรกอีก
ทุกข์: เครียด เพราะผู้ป่วยต้องรอนาน หรือไม่ก็ต้องส่งกลับตึกไปก่อน
สมุทัย:ยึดดี ยึดมั่นถือมั่นว่าตนเองทำงานต้องไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่อง จะชอบ ไม่ชอบถ้าถ้างานผิดพลาดหรือบกพร่อง
นิโรธ: ไม่ยึดดี ไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อทำเต็มที่แล้ว พลาดหรือไม่พลาด บกพร่องหรือไม่บกพร่อง ก็จะไม่ชอบไม่ชัง
มรรค:เมื่อเกิดอาการเครียดแว้บขึ้นมาในใจก็รีบแก้ไข ทีใจก่อนโดยใช้บททบทวนธรรมบทที่35 เรื่องยึดอาศัย ดี ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง นั้นดี แต่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเกิด ดี ดั่งใจหมาย ทั้งๆที่องค์ประกอบเหตุปัจจัย ณ เวลานั้น ไม่สามารถทำให้ดีนั้นเกิดได้จริง นั้นไม่ดี เมื่อพิรารณาดังนี้ใจก็โล่ง โปร่ง ไม่ต้องไปต่อว่าใครอีก เกิดปัญญาว่าเราต้องดำเนินการต่อโดยอธิบายให้ผูป่วยเข้า ใจถึงความจำเป็นที่ต้องรอ เย้ ดีใจจังตัวยึดดีไปแล้ว กลับบ้านได้ด้วยความเบิกบานแจ่มใส
Comments are closed.