การบ้านอริยสัจ (16/2563) [31]

631129 การบ้านอริยสัจ (16/2563)

นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 23 – 29 พฤศจิกายน 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)

สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านรวมทั้งหมด 31 ท่าน 31 เรื่อง

  1. สำรวม แก้วแกมจันทร์
  2. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์
  3. นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม
  4. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
  5. นส.พวงผกา โพธิ์กลาง (พรเพียรพุทธ)
  6. อภินันท์ อุ่นดีมะดัน
  7. อรวิภา กริฟฟิธส์
  8. นางจิราภรณะ ทองคู่
  9. พรพิทย์. สามสี
  10. จิตรา พรหมโคตร
  11. นาง โยธกา รือเซ็นแบรก์
  12. นปภา รัตนวงศา
  13. ชลิตา แลงค์
  14. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
  15. ศิริพร ไตรยสุทธิ์
  16. จงกช-ป้าย่านาง
  17. ณ้ฐพร คงประเสริฐ
  18. ประคอง เก็บนาค
  19. วรางคณา ไตรยสุทธิ์ (พุทธพรฟ้า)
  20. ปิ่น คำเพียงเพชร
  21. สมเพียร ลิ่มตระกูล
  22. ขวัญจิต เฟื่องฟู
  23. นางพรรณทิวา เกตุกลม
  24. นางสาวจาริยา จันทร์ภักดี
  25. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
  26. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้าน้อมศีล)
  27. ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
  28. นายรวม เกตุกลม
  29. ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
  30. นฤมล ยังแช่ม
  31. เสาวรี หวังประเสริฐ

Tags:

27 thoughts on “การบ้านอริยสัจ (16/2563) [31]”

  1. สำรวม แก้วแกมจันทร์

    เรื่อง “สงสัย!..ทำไม???..”

    เรื่องย่อ ตอนที่กำลังซื้อของอยู่ในตลาดนัดใกล้บ้าน ซึ่งเมื่อ 50 นาทีก่อนหน้านี้ ตัวเองโทรนัดพบเพื่อนที่ในตลาดนัด ผ่านไปประมาณ 30 นาที เพื่อนได้โทรมาบอกว่า “ไม่ได้เข้าไปในตลาดแล้วนะ” “ตอนนี้กำลังจอดรถ รออยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องแกง ตรงสามแยกไฟแดง” ซึ่งอยู่ใกล้ตลาดนัด ห่างกันประมาณ 200 เมตร ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ จึงรีบเดินไปอย่างเร็ว และมองไปเห็นแล้วว่า รถของเพื่อนจอดอยู่ เดินใกล้ถึงแล้ว คือ อีกประมาณ 50 เมตร เห็นรถของเพื่อนกำลังเคลื่อนออกไปพอดี ก็เกิดความสงสัย!? ถามตัวเองในใจว่า ทำไม? เกิดอะไร? ??? เป็นงง!

    ทุกข์ : มีความสงสัยว่า ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? เข้าใจผิดหรือเปล่า? หรือ…

    สมุทัย : เพื่อนโทรนัดแล้ว แล้วเกิดความสงสัยว่า ทำไม ไม่รอพบกันก่อน

    นิโรธ : วางใจว่า “ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง” สบายใจ เป็นปกติ

    มรรค : ใช้ปัญญาในการพิจารณา ใคร่ครวญหาเหตุผล ไม่ต้องเอ๊ะๆๆๆ ทำไมๆๆ “ทำมา ทำมา ทำมา” วางใจ!ๆๆ จะเกิดความแววไวเป็นอัตโนมัต ด้วยการนำบทบทวนธรรมมาใช้ได้ทันที โดย “ไม่เพ่งโทษ” เพราะว่า….
    “โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์”
    “ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างไม่เที่ยง”
    “ต้องพร้อมรับ พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน”

    ไม่ต้องสงสัยอะไรๆ บอกตัวเองได้อย่างเบิกบานว่า “ทำทุกข์ ทำทำไม”
    “ทุกข์แล้วโง่ ทุกข์ทำไม”
    “ไม่โง่เท่าที่ไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เท่าที่ไม่โง่”
    สบายใจจริง

  2. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์

    ถึงเวลาทานอาหาร ไม่ได้ทานอย่างต่อเนื่องอย่างสบายใจไม่รีบเร่ง

    เนื่องจากอยู่ประจำสวนป่านาบุญ3 กิจวัตรประจำวันที่อยู่ศูนย์ ในวันที่ไม่ได้ไปเรียน อยู่ที่ร้านค้ากองบุญ มีผู้มาเยือนร้านค้ากองบุญทุกวัน และมากเป็นพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ ช่วงตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง บ่าย 2 โมง มีพี่จิตอาสาอีกท่านที่ช่วยผลัดกัน ขายผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้ากองบุญ แต่ถ้าวันที่พี่จิตอาสาไปเรียน ก็จะอยู่คนเดียว

    ทุกข์ : ไม่ได้ทานอาหารอย่างอย่างสบายใจแม้วันที่อยู่ศูนย์ (เร่งรีบทานวันไปเรียน) เมื่อมีผู้มาเยือนร้านค้ากองบุญอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สายๆ ถึง บ่ายต้นแทบทุกวัน และใช้เวลานานสำหรับผู้ไม่เคยเข้าค่ายสุขภาพ และขอความรู้ยาเก้าเม็ด บางท่านเป็นชั่วโมงหรือครึ่งวันก็มี

    สมุทัย : ทุกข์ใจเมื่อถึงเวลาทานอาหารก็ไม่ได้ทาน หงุดหงิดแม้ช่วงทำการบ้านวิชชารามทุกครั้งก็จะถูกขัดจังหวะจากผู้มาซื้อของ สุขใจถ้าได้ทานอาหารตามเวลาไม่รีบเร่งอย่างต่อเนื่องไม่ถูกขัดจังหวะ

    นิโรธ : สุขใจแม้ไม่ได้ทานอาหารตามเวลา รีบเร่ง ไม่ต่อเนื่อง ไม่ทุกข์ใจแม้ทานอาหารผิดเวลาเท่าใด ก็ตาม เมี่อพิจารณาดีๆแล้วว่าเราก็เคยทำเช่นนี้มาก่อนที่ไปขัดจังหวะผู้อื่นระหว่างที่เค้าทานอาหารขอให้มาขายสินค้าหรือบริการให้กับเรา ฝึกวางใจว่าทานเมื่อไรก็ได้ ใจสบายผ่อนคลาย ลืมความหิว เมื่อได้บำเพ็ญให้ความรู้การใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลตัวเอง ได้ทบทวนการบรรยายยาเก้าเม็ดทุกวันยกเว้นวันที่ไปเรียน โดยเฉพาะการให้กำลังใจยาเม็ดที่8 ที่ไม่ได้เน้นขายสินค้า เพราะช่วงโควิดที่ผู็คนตกงานและพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายไม่มีเงินรักษาทั้งตกใจ กลัว กังวล ไม่มีโอกาสเข้าค่ายสุขภาพ จึงให้ยาเม็ดเลิศที่ไม่ต้องใช้เงิน รักษาศีล5 ตามฐาน จนผู้มาเยือนคลายกังวล ยิ้มได้ เข้าใจการปฏิบัติดูแลตัวเองแค่ทำใจให้สบาย ทานอาหารพืชผักผลไม้ไร้สารพิษ และเอาพิษออกด้วยอุปกรณ์ที่เรียบง่ายไม่แพงตามแต่ที่จะมีงบในช่วงเศรษกืจไม่ดีเช่นนี้ ทำให้ผู้เขียนลืมความหิวและอิ่มทิพย์ วางใจได้วาจะได้ทานอาหารเมื่อใดก็ได้

    มรรค : หนทางดับทุกข์ พิจารณาเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่าเคยทำมา จึงมีฉันทะในการต้อนรับผู้มาเยือนได้ทุกเมื่อ เกิดปิติที่ได้ช่วยเหลือผู้คนทุกวัน ได้ทบทวนการบรรยายยาเก้าเม็ดอย่างต่อเนื่องแม้ไม่มีการจัดค่าย อีกทั้งได้บรรยายธรรมยาเม็ดที่แปดตามฐานของแต่ละสายของการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นธรรมกาย ยุวพุทธ เป็นต้น ทำให้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกท่านล้วน หาหนทางดับทุกข์ ทุกท่านล้วนพร้อมที่จะบรรลุธรรม จึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้ปรโตโฆษะ ฟังความจากผู้อื่นบ้าง ทำให้ได้ประมวลจึงกฎของไตรลักณษ์ และ วิปปลาสสี่ เป็นอุทาหรณ์ให้เดินทางตามพุทธที่ถูกตรงตามอาจารย์หมอเขียว และพ่อครูสมณโพธิรักษ์ ว่าจริงๆแล้วนิพพานเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เมื่อใจกระทบผัสสะตามรู้ตามดูทุกขณะจิต หมั่นอ่านอาการกิเลสรู้ทันบริหารขันธ์5 อายตนะทั้ง6 กระทบผัสสะเข้าแล้วคิด พูด การกระทำ แบบพุทธะด้วยมรรคมีองค์8 โดนมีสัมมาทิฐิกำกับเดินมรรคอื่นๆทั้ง7 ในชีวิตประจำวัน ก็จะสุขใจได้กับทุกสถานการณ์

    ชอบคุณอาจารย์และพี่น้องหมู่กลุ่มที่ให้โอกาส มาบำเพ็ญณ. แดนบุญแห่งนี้

  3. นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม

    ระวัง !จักรยานมา!

    เช้าวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ย 2563 ช่วงเวลา9:30-10:30น. เราไปเดินเร็วกับพ่อบ้าน ในเส้นทางที่มีจักรยานและคนเดินได้ ทุกครั้งที่เดิน ก็จะท่องคำบริกรรมอิติปิโสทั้งในใจและออกเสียงไปด้วยเพื่อเจริญสติ และ ช่วงใกล้จะถึงบ้าน พ่อบ้านบอกว่า ระวัง !จักรยานมา! จากที่เราเดินเคียงข้างกันอยู่ เราก็ได้เดินเลี่ยง มาเดินตามหลังพ่อบ้าน ทันทีที่ข้าพเจ้า เดินเลี่ยงมาข้างหลัง พ่อบ้านก็ผายลมเสียงดังมาก เราก็ยังไม่ get เพราะคุ้นเคยและไม่ได้ถือสาแล้ว ที่พ่อบ้านจะแกล้งเดินมาผายลมใส่เป็นประจำ แต่มาเอะใจ ตอนที่ท่านหัวเราะเยาะเย้ยหยันอ้าปากกว้างมาก เราจึงฉุกคิดและหันหลังกลับ มองทาง ไม่เห็นมีจักรยานมาสักคัน จึงรู้ว่า เราโดนพ่อบ้านหลอก เพื่อให้เราเดินเลี่ยงมาเดินตามหลังท่าน เพื่อท่านจะผายลมใส่เราตรงๆ เราก็คิดในใจว่า ความจริงไม่ต้องหลอกกันก็ได้ ปกติก็ผายลมใส่เราเป็นประจำอยู่แล้ว คุ้นชินแล้วไม่ถือสาหรอก เห็นใจตัวเอง ว่ารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกพ่อบ้านหลอก ตอนนี้ ลืมคำบริกรรมชั่วขณะ พอรู้ตัว มีสติ ก็ได้หัวเราะไปกับพ่อบ้าน เบิกบานใจได้

    ทุกข์ : ไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูก พ่อบ้านหลอก เพื่อจะผายลมใส่เรา

    สมุทัย : ไม่อยากให้พ่อบ้านหลอก ชอบที่พ่อบ้านจะไม่หลอก ชังที่พ่อบ้านหลอก

    นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชัง ให้อภัยไม่ถือสา/พ่อบ้านจะหลอกหรือไม่หลอกก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : สงบใจพิจารณา และ ตั้งจิตขอขมา ขอโทษ ขออโหสิกรรม ต่อตนเองและพ่อบ้าน ที่เผลอสติ ปล่อยให้ใจไหลไปตามความคิดความรู้สึกที่เป็นอกุศล นี่เรากำลังจะบาปนะนี่ มันเป็นวิบากกรรรมเรา เราก็เคย ผายลมใส่คนอื่นเป็นประจำ ผายลมใส่ตรงๆด้วย เป็นคนไม่มีมารยาทประจำเหมือนกันแหละ เหมาะสมแล้วที่จะโดน นี่ยังน้อยไป “เราแสบสุดๆ เราก็ต้องได้รับสุด ยินดีพอใจไร้กังวล ไม่โทษใคร ใจไร้ทุกข์ และ เต็มใจรับ “สิ่งที่เราได้รับ คือเราทำมา” สาระธรรม ของท่านอาจารย์หมอเขียว ก็ไหลมา ลอยมาในใจ แป๊บเดียว ใจเราก็เบิกบานได้ และก็ได้หัวเราะในความซื่อที่ตัวเองถูกหลอก “คำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวข้อนี้ก็เข้ามาในใจ “ใครหัวเราะในความพลาด ความพร่องของตัวเองได้ จะเอาทุกข์ มาแต่ไหน” จึงทำใจตามได้ ว่า จะถูกหลอก ก็ได้ ไม่ถูกหลอกก็ได้ สบายใจจัง ไม่ชอบไม่ชัง ให้อภัยไม่ถือสาพ่อบ้านได้ 100%ภายในหนึ่งนาที กราบพระคุณพ่อบ้านที่ทำให้เห็นกิเลส และฆ่ากิเลสได้

    กราบสาธุธรรมค่ะ

  4. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)

    อริยสัจ 4 (the Four Noble Truth)
    อยากเกิดเป็นผู้ชาย
    เห็นความพากเพียรบำเพ็ญอย่างไม่ลดละของอาจารย์ เห็นการที่ท่านนำพาทำงานตั้งแต่เช้ามืดตีสามตีสี่ จนฟ้ามืดจนต้องส่องไฟช่วยในเกือบทุกวันอย่างไม่สนใจว่าแดดจะกล้า ฟ้าจะครึ้มฝนจะตกหรืออากาศจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง ตั้งแต่ร้อนอบอ้าวหรือหนาวเย็นอย่างไร ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราเกิดเป็นผู้ชายคงช่วยแบ่งเบางานอาจารย์ได้มากกว่านี้ เป็นผู้หญิงจะทำอะไรก็ต้องสังวรณ์สำรวมมากว่าจะไม่เหมาะไม่ควรอยากช่วยงานอาจารย์ก็ทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ใจอยากทำ
    ทุกข์ (the truth of suffering)
    ไม่สบายใจ นึกสงสารอาจารย์ที่เห็นท่านทำงานหนักตลอดเวลา
    สมุทัย (the truth of the cause of suffering)
    ทุกข์ เพราะอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำได้ ไม่ยินดีพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
    นิโรธ (The truth of the end of suffering )
    ใจโล่ง เบาสบายขึ้น
    มรรค(the truth off the path to end suffering)
    วางใจคิดว่าสิ่งที่เราทำ เราได้ทำให้ดีที่สุดแล้ว ทำได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อาจารย์บอกว่าอย่าโง่ไปอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง นึกถึงบททบทวนธรรมของอาจารย์ว่า”เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัยก่อนที่ทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น”

  5. นส.พวงผกา โพธิ์กลาง (พรเพียรพุทธ)

    นส.พวงผกา โพธิ์กลาง ( พรเพียรพุทธ )

    ตามหาลูก

    ตอนเช้าพ่อบ้านบอกว่าจะพาลูกไปเตะบอลที่กรุงเทพ เราก็รับทราบแล้วก็ไปทำงานตามปกติ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องลูกแล้ว เวลาประมาณทุ่มกว่าพ่อบ้านโทรมาถามว่าลูกอยู่ไหน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเจ็บปวดที่ใจมาก ที่ได้ยินคำถามนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนบอกเองจะพาลูกไปเตะบอล ระหว่างที่ขับรถไปเพื่อที่จะไปตามหาลูก ในใจก็ก็คิดซ้ำ ๆ ว่าทำไม ทำไม ทำไมไม่โทรมาบอกตั้งแต่ตอนเช้า ทำไมมาบอกเอาตอนนี้ เพราะเป็นห่วงลูกไม่รู้ไปอยู่กับใครที่ไหน เห็นอาการในใจที่มันทุกข์แล้วก็คิดในใจว่าทำไม ทำไม ทำไม พอสักพักคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวที่เคยฟังในยูทูปก็ผุดขึ้นมาว่า ก็เธอทำมาไง ลีลาแบบนี้เธอทำมา เขาก็เลยมาทำคืนเพื่อให้เธอจะได้เข้าใจคนอื่น แค่นั้นแหละค่ะความทุกข์ที่มันอยู่ในใจ มันหายไปหมดเลยค่ะหรือแต่ความเบาสบายใจ และก็ไปตามหาลูกเจอแบบไม่ทุกข์ใจค่ะ

    ทุกข์ : เพราะไม่ชอบที่พ่อบ้านโทรมาถามว่าลูกอยู่ไหนทั้ง ๆ ที่เขาบอกจะพาลูกไปเตะบอลที่กรุงเทพ

    สมุทัย : พ่อบ้านทำไมโทรมาตอนนี้ ถ้าพ่อบ้านโทรมาบอกเร็วกว่านี้จะชอบใจ

    นิโรธ : พ่อบ้านจะโทรมาตอนไหน จะช้าหรือเร็วใจเราก็ไม่ทุกข์

    มรรค : เชื่อเรื่องวิบากกรรม ว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งไดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา รับแล้วหมดไป แล้วเราก็โชคดีขึ้นจริง ๆ ค่ะ

  6. อภินันท์ อุ่นดีมะดัน

    เรื่อง วิบากเข้า

    เรื่องย่อ เมื่อวานผมได้ทำงานกสิกรรมตั้งแต่เริ่มสว่างประมาณ 6 โมงเช้า ขุดหลุมเพอมาคัลเจอร์หลายหลุม ปลูกกะหล่ำ จนถึงเวลา 9นาฬิกา ผมได้ใช้แรงงานจนเหนื่อยและได้เวลาทำกับข้าวแล้ว(ปกติผมจะทำกับข้าวเอง ปกติจะตั้งศีลกินมื้อเดียวและทำกับข้าวเสร็จ ได้กินประมาณ 10:30 น ทุกวัน) กะว่าจะกลับศาลา ทำอาหารตามปกติ
    แต่จู่ๆ ก็มีงานเร่งด่วนไม่คาดฝัน มีแขกมา ต้องไปขนข้าวขึ้นรถ เพื่อนำไปนวดที่อื่น ผมก็ไปขนจนประมาณ 10นาฬิกา จึงขนเสร็จ แล้วคิดว่าจะกลับเข้าศาลาเพื่อเริ่มทำอาหาร
    แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันอีกครั้ง รถกระบะที่ขนข้าวติดหล่ม(ตอนขับไป รถเบา จึงไม่เป็นไร แต่ขา กลับ รถหนัก) จึงต้องเอารถไถไปลาก
    จากนั้นก็เกิดเหตุไม่คาดฝันอีก รถไถไปติดหล่มอีกคัน รวมเป็น 2 คัน ซึ่งการเอารถสองคันขึ้นจากหล่ม สภาพดินที่เละนั้น เป็นงานที่ยาก ใช้แรงมาก และใช้เวลามาก ในขณะที่ผมยังหิวข้าวและแรงหมดแล้วครับ

    ทุกข์ หิวข้าว เหนื่อย ไม่มีแรงทำงาน ร้อน หงุดหงิด เพลีย เครียด เพราะงานยากและเร่งด่วน

    สมุทัย ยึดว่าจะต้องกินข้าวตรงเวลา ยึดว่าจะต้องกินข้าววันละ 1 มื้อ ชอบที่จะกินข้าวตรงเวลา ชังที่จะต้องทำงานแบบเร่งด่วน

    นิโรธ กินข้าวไม่ตรงเวลาก็ไม่ทุกข์ ถ้าเหตุปัจจัยไม่อำนวยก็กินวันละหลายมื้อได้ พร้อมปรับเปลี่ยนเวลากินข้าว ตามเหตุปัจจัย และการทำงานที่บางครั้งต้องเร่งด่วน

    มรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นวิบากกรรมที่ผมเคยผิดศีล วิบากกรรมได้จัดสรรองค์ประกอบ
    – ให้ผมต้องทำงานเหนื่อย ตากแดด และทำตอนแรงหมด
    – ให้ผมกินข้าวไม่ตรงเวลา ให้ผมต้องตกมื้อ กินข้าวเร่งรีบ กินไม่อิ่มและไม่ต่อเนื่อง
    – ให้ผมต้องเครียดกับงาน ที่ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย งานยิ่งเพิ่ม ยิ่งทำยิ่งบานปลาย
    ซึ่งผมได้พิจารณา ความจริงตามความเป็นจริง ว่าไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิด แต่เหตุการณ์เกิดแล้ว ก็ควรยอมรับวิบากกรรม สิ่งใดที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเราต่อโลกสูงสุด อันไหนที่วางได้ก็วาง อันไหนที่ปรับเปลี่ยนได้ก็ปรับเปลี่ยน ไม่ยึดติด
    เช่น ผมได้ให้ข้อมูลกับผู้ร่วมงานว่า ขอไปกินข้าวก่อน แต่ว่าจะรีบกินเพื่อที่จะได้มีแรง เพื่อกลับมาแก้ปัญหา งานที่รีบเร่งต่อ
    แก้ปัญหาทีละจุด ใช้สติมากๆ เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง ยอมรับวิบากกรรมที่เราเคยทำมา ไม่โทษใคร ใจไร้ทุกข์ ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ
    สุดท้ายทำไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อย ก็สามารถเอารถขึ้นจากหล่มได้ทั้งสองคัน ซึ่งเหตุการณ์ร้ายนี้ก็ได้ดับลงไป ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ตลอด
    เราก็ได้ใช้วิบากกรรม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีถ้าเราเอาประโยชน์ได้ ไม่มีอะไรบังเอิญ เราได้มีประสบการณ์ เอารถขึ้นจากหล่ม ได้เข้าใจว่าดินแบบไหนที่รถจะติดหล่ม ได้มีผัสสะจริง ได้ปฏิบัติธรรม เห็นของจริง ผมขอขอบคุณ องค์ประกอบของหมู่มิตรดี ที่ทำให้ผมได้ ปฏิบัติธรรม ได้ลดกิเลส ได้เดินทางสู่ความพ้นทุกข์ครับ สาธุครับ

  7. อรวิภา กริฟฟิธส์

    บ้านสะอาดแต่ใจสกปรก

    วันนี้กลับจากทำงานมาบ้านรู้สึกไม่ชอบใจเห็นบ้านรก เราชอบบ้านสะอาด ลงมือเก็บกวาดบ้านไปด้วยใจหงุดหงิด บ่นพ่อบ้านไปว่าอยู่บ้านอย่างไรนะบ้านถึงได้รกจังเลย ถ้วยชามกินแล้วก็ไม่ล้าง อะไรใช้แล้วก็ไม่เก็บเข้าที่ พอเห็นเราบ่นท่านก็มาช่วยเก็บของ เห็นใจที่ไม่ยินดี งานนอกเราทำความสะอาดบ้าน แต่ใจเราเต็มไปด้วยขยะ บ้านสะอาดแต่ใจสกปรก ใจที่หลงโง่เพ่งโทษถือสาพ่อบ้าน ทำให้ตัวเองหงุดหงิดเสียพลัง แทนที่จะยินดีพอใจที่ได้บำเพ็ญ ได้ใช้วิบาก โดนกิเลสหรอกแล้วเรา

    ทุกข์ หงุดหงิดใจที่เห็นบ้านรก

    สมุทัย ไม่ชอบใจที่บ้านรก ชอบใจที่บ้านสะอาด

    นิโรธ บ้านสะอาดก็ได้ ไม่สะอาดก็ได้ ใจไม่ทุกข์ ตั้งใจทำดีที่ทำได้ด้วยใจที่ยินดี

    มรรค เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา เราเห็นว่าพ่อบ้านทำบ้านรกทำให้เราหงุดหงิดใจ แต่ความจริงแล้ว เป็นวิบากร้ายของเรามาเพื่อให้เราได้ชดใช้ ใช้แล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น แต่ก่อนเราก็เป็นเช่นนั้นมาเคยทำบ้านรกๆให้คนอื่นลำบากเพราะเรา อาจารย์หมอเขียวสอนว่าทำความสะอาดบ้านก็ให้ทำความสะอาดใจของเราด้วย บ้านคือใจของเรา ขยะคือความหลงโง่ไปเพ่งโทษถือสาพ่อบ้าน เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น บัานสะอาดแต่ใจสกปรกใช้ไม่ได้ เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้รู้สึกละอายใจจึงรีบสำนึกผิดขอโทษพ่อบ้าน ซึ่งพ่อบ้านก็ขอโทษเราตอบเหมือนกัน ท่านบอกว่าจะช่วยงานบ้านมากขึ้นขอให้บอกก็แล้วกัน

  8. นางจิราภรณะ ทองคู่

    เรื่อง กินอาหารนอกบ้าน เนื้อเรื่อง เนื่องจากมีญาติมาจากต่างจังหวัดจึงจำเป็นต้องพาญาติไปรับประทานอาหารกลางวันนอกบ้าน ถ้าจะทำอาหารไปด้วยก็คงไม่เหมาะ ได้เลือกทานแต่อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ถึงอย่างไรก็ตามหลังจากรับประทานเสร็จแล้วก็มีอาการคลื่นไส้เนื่องจากอาหารใส่สารปรุงแต่งที่เราไม่ใช้. ทุกข์ คลื่นไส้. สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) ถ้าอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วทำให้เราไม่คลื่นไส้เราจะสุขใจแต่ถ้าคลื่นไส้เราจะทุกข์ใจ นิโรธ(สภาพดับทุกข์)อาหารที่รับประทานเข้าไปจะทำให้เราคลื่นไส้หรือไม่คลื่นไส้เราก็สุขใจ. มรรค (วิธีดับทุกข์) ถือว่าเป็นวิบากของเราที่ได้ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ทานแล้วคลื่นไส้ ก็ไม่เป็นไร รับแล้วก็หมดไปแล้วจะโชคดีขึ้นและอีกอย่างการรับประทานอาหารที่ใส่เครื่องปรุงถือว่าเป็นวัคซีนกินเข้าไปร่างกายจะได้มีภูมิคุ้มกัน และแข็งแรง คิดได้เช่นนั้นจิตก็เบิกบานแจ่มใส ไร้กังวล

  9. พรพิทย์. สามสี

    เราได้ไปซื้อ N 70 มา 2 ถุงจาก ธ.ก.ส มาเพื่อทำน้ำยาเอนกประสงค์โดยใช้มะนาวที่บ้านที่ปลูกเองทำเป็นน้ำเปรี้ยวทำไว้ใช้ที่บ้านพอซื้อมาได้ 2-3 วันญาติก็มาบ้านมาเอามะนาวไปโดยเรามารู้ทีหลังว่าเอาไปขายพ่อบ้านเราบอกว่าเขาไม่ได้ขอเขาเอาเองเราก็ทำใจว่าไม่เป็นไรค่อยหาอื่นมาทำน้ำเปรี้ยว แต่อีกสัก 2 วัน ญาติที่เอามะนาวมาเจอกันกับเราเอาเงินฟาดให้เรา 100 บาทแบบเคืองๆเรางงมากเรายื่นเงินให้กลับ ทั้งที่เราไม่ติดใจอะไรแล้วเรื่องมะนาว ไม่โกรธด้วย วางใจแล้วด้วย
    ทุกข์ # อยู่ดีๆเรื่องก็มาหาเอง
    สมุทัย # ชอบที่จะให้ญาติไม่แสดงพฤติกรรมเอาเงินมาให้ 100บาทแต่ให้แบบเคืองๆชังมาก
    นิโรธ # เราไม่ติดใจจะได้น้ำมะนาวทำน้ำเปรี้ยวก็ได้ไม่ได้ทำก็ได้ ญาติหลายๆคนจะโกรธจะเกลียดเราก็ได้ไม่โกรธก็ได้ใจไร้ทุกข์ไร้กังวล
    มรรค # เราไม่ติดใจเรื่องมะนาวแต่พูดอธิบายว่าเราจะใช้ทำน้ำเปรี้ยวน้ำยาเอนกประสงค์ไม่เคืองใครด้วย ทั้งที่พฤติกรรมทางโลกเขาเอามะนาวบ้านเราโดยไม่ได้ขอเขาแหละผิด แต่ทางธรรมไม่ใช่นั่นคือเงาของเราเราทำมา เราต้องเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม รับเต็มๆ หมดเต็มๆ เจ็บก็ให้มันเจ็บ รับ้ท่าไหร่หมดเท่านั้น เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นของใคร จะทุกข์ใจไปทำไม ไม่มีอะไรต้องทุกข์ใจ
    เบิกบาน แจ่มใส ดีกว่า

  10. จิตรา พรหมโคตร

    อริยสัจ4

    เรื่องขี้เกียจเขียนการบ้าน

    เนื้อเรื่อง:เวลาข้าพเจ้าจะเขียนสภาวะธรรมให้เพื่อนจิตอาสาตรวจทานก่อนส่งการบ้านวิชชาราม รู้สึก กังวล คิดไปมาหลายรอบกว่าจะได้เขียน บางครั้งเมื่อยล้า เพลีย เขียนหลายเรื่องแต่ไม่ได้ส่งเพราะยึดว่าถ้าเขียนไม่ดีจะไม่ส่ง ถ้าเขียนดีถึงจะส่ง

    ทุกข์:ขี้เกียจเขียนการบ้าน

    สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์)ชอบถ้าไม่ได้เขียนการบ้านแล้วจะสุขใจ ชังถ้าได้เขียนการบ้านแล้วจะทุกข์ใจ

    นิโรธ:(สภาพดับทุกข์)จะได้เขียนการบ้านหรือไม่ได้เขียนการบ้าน ก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค:(สภาพดับทุกข์) พิจารณาว่าเหตุของความขี้เกียจเขียนการบ้านเป็นเรื่องของกรรมเคยเป็นครูสอนไปเพ่งโทษว่าเด็กที่ไม่ทำการบ้านมาส่งว่า”ขี้เกียจ เป็นผลทำให้เมื่อมาเรียน ลด ละ เลิกกิเลสของสถาบันวิชชาราม จึงขี้เกียจเขียนการบ้าน ไม่เป็นไร อาจารย์บอกว่า”กรรมในอดีตที่เคยทำมา ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่การทำความดีด้วยการ ลด ละ เลิกกิเลสในปัจจุบันจะช่วยดันวิบากร้ายออกไปได้ ดังนั้นจึงสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอรับโทษเต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งศีลจะขยันเขียนการบ้านเท่าที่จะทำได้ เพราะเห็นประโยชน์ของการเขียนว่าได้เห็นกิเลส จับกิเลสแต่ขาดปัญญาในการกำจัดกิเลส ซึ่งก็ให้หมู่กลุ่มช่วยสังเคราะห์ ทำให้เขียนสภาวะเข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยินดีที่จะเขียนการบ้านต่อไป

  11. นาง โยธกา รือเซ็นแบรก์

    ชื่อเรื่อง สู้กิเลสไม่ได้

    เนื้อเรื่องย่อ พี่น้องมิตรดี มีความรู้เรื่องการทำตัดต่อVideo/รูปภาพ ในมือถือได้มีเมตตาแบ่งปันความรู้มาแนะนำต่อพี่น้องในซูมข้าพเจ้าและน้องสาวอยู่ด้วยกันก็ได้เข้าไปร่วมฟังและเรียนด้วย ก่อนเข้าไปเรียนก็ไม่เป็นอะไร สักครู่ก็มีอาการเริ่มปวดหัว และหาวๆติดกัน หาวเป็นโรคประจำตัว จะหาวติดๆกันนานมาก หาวจนน้ำตาไหลแล้วจะค่อยๆหายไปเอง แต่ครั้งนี้ปวดหัวก่อนอาการ หาวตามมา ในใจก็คิดว่านี่เป็นวิบากขวางกั้นไม่อยากให้เราได้เข้าร่วมเรียนกันหมู่กลุ่มใช่มั้ยพูดกับกิเลสไม่ยอมแพ้หรอกนะแม้จะเบลอไม่เต็มที่ก็นั่งฟังอยู่แถวนี้ ตลอดเวลา1ชั่วโมงแรกอาการหาวหายไปแต่ปวดหัวมากยิ่งขึ้น ชั่วโมงที่2จึงคิดพิจารณาเราคงจะเบียดเบียนตัวเองเกินไปถึงแม้จะเป็นโอกาสดีๆที่เราจะมารวมกลุ่มเรียน ให้พี่น้องที่มีความรู้ได้บำเพ็ญคิดว่าคงพอสมควรสำหรับวันนี้จึงบอกน้องจะกลับบ้าน หลายครั้งแต่ก็ยังไม่กลับ เพราะเห็นใจตัวเองว่าร้อนรนจะกลับบ้านท่าเดียว ฟังไม่รุ้เรื่องปวดหัวมากไปดื่มน้ำก็ไม่เบาลงเลย จึงบอกตัวเองพอแล้วกลับบ้านไปนอนดีกว่าถึงบ้านก็นอนแต่หัวค่ำอาการปวดหัวก็ยังอยู่จนหลับไป

    ทุกข์ : ใจกระสับกระส่ายอยากจะกลับบ้าน

    สมุทัย : ใจ กระสับกระส่าย ร้อนรน กิเลสดิ้นๆขัดใจเมื่อไหร่จะพากลับไม่อยากอยู่ต่อจนจบ ชอบ-ที่ได้กลับบ้าน ชังที่ไม่ได้กลับบ้าน

    นิโรธ : ฟ้าเปิดให้ได้เรียนรู้เท่านี้ทางโลก ทางใจเราก็พยายามสู้กับกิเลสเต็มที่แล้ว แม้วันนี้จะแพ้ แต่ก็พยายามจะสู้ต่อไป ไม่บีบบังคับตัวเอง ไม่เร่งที่จะทำให้ได้เร็วๆใจเย็น รอคอยด้วยใจเป็นสุข.

    มรรค : พิจารณาขณะที่เขียนอริยสัจ สี่ นึกถึงเมื่อวานตอนเช้า
    ฟังธรรมะจากท่านอาจารย์หมอเขียว ทุกชีวิตมีวิบากไล่ล่าตลอดเวลา ทำไม่ดีมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ พยายามหนีแต่ก็หนีไม่ไม่พ้น ถ้าเรามีความดีมากพอ ก็จะได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังสัจธรรมก็จะพ้นทุกข์ได้เร็วขึ้น ตั้งศีลสู้กับกิเลส สิ่งที่มีค่า คือใจไร้ทุกข์ ควรจะคว้าให้ได้ประโยชน์ชีวิตเกิดมาเอาดีให้ได้ ดีนี่แหละพุทธะ ฟังธรรม,สนทนาธรรม,ทบทวนธรรมแล้วนำไปปฏิบัติจะมีปัญญาสู้กับกิเลสได้ ต่อให้ล้มเหลวแต่ไม่ทุกข์ วิบากร้ายเบาลงแล้ว.
    ดีที่สุด มีศีล กับมิตรดี
    ถ้าไม่มีศีล ไม่มีมิตรดี จะล้มเหลว
    เอาศีลนำ ในทุกกิจกรรมการงาน
    **มีศีล มีมิตรดี **ศีล สมาธิ ปัญญา ยอดเยี่ยมที่สุด.
    และย้อนกลับมามองดูใจตัวเองเห็นผลทันใจ แค่ข้ามวัน วิบากไล่ล่าเพราะทำไม่ดีมา หาที่ต้นที่สุ ดไม่ได้วิบากมาทดสอบว่าจะเชื่อชัดเรื่องวิบากกรรมจริงมั้ย
    กราบขอบคุณวิบากร้ายที่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าตัวเองมีศีลและทำความดียังไม่มากพอ แม้จะนั่งอยู่รายล้อมในหมู่มิตรดี พร้อมช่วยเหลือก็ยังโดนกิเลสหลอกพยายามให้ออกจากออกจากกลุ่ม ทำให้มีอาการทางกายปวดหัว หาว และใจกระสับกระส่ายดิ้น ๆพอแล้ว กลับบ้านดีกว่า
    และจะไม่ทำทุกข์ทับถมตน ยอมรับว่าแพ้กิเลส และจะพยายามพากเพียรต่อไป.
    กราบขอบพระคุณคุรุน้องน้อยที่เมตตแบ่งปันความรู้ และอนุโมทนาสาธุกับการบําเพ็ญบุญ
    กราบสาธุค่ะ.

  12. นปภา รัตนวงศา

    เมื่อไหร่จะเลิก
    สืบเนื่องมาจากกิเลสตัวซื้อของ ไม่เคยฝึกลดมาก่อนหรือฝึกมาแค่เล็กน้อย ทำให้การตั้งศีลล้มไม่เป็นท่า ครั้งหลังสุด ได้สั่งหม้อหุงข้าวและเตารีด โดยให้เหตุผลว่า หม้อหุงข้าวตัวเก่าจะเอาไปให้ที่บ้านพ่อเพราะกำลังทำกระโจมสำหรับอบตัว ส่วนเตารีดถ้ารีดผ้าขาวจะมีรอยดำติดผ้า ให้เลิกใช้ ทั้งที่ทั้ง 2อย่างก็ยังพอใช้ได้อยู่ถึงแม้นว่า ตัวล็อคหม้อจะเสียและยังมีใบเล็กที่พอใช้ได้ ส่วนเตารีดผ้าขาวจริงๆช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ก็ซื้อมาจนได้
    ทุกข์ ซื้อของมาเกินความจำเป็น ทำให้โลกขาดแคลน
    สมุทัย ตอนสั่งของได้ของมาจะสุขใจ ไม่ได้ของมาจะทุกข์ใจ
    นิโรธ จะได้ซื้อของหรือไม่ได้ซื้อของก็สุขใจ
    ของที่ซื้อมาแล้วทำใจรับวิบากที่จะได้รับด้วยใจที่เป็นสุขให้ได้
    มรรค ทำใจยอมรับวิบากที่จะตามมาจากที่ มีของเกินทำให้โลกขาดแคลน เดือดร้อน มีมากเกินความจำเป็น ที่มีอยู่ก็เยอะเกินไปยังจะเอา จะเอา เพิ่มอีก และยอมรับในพลังสันนิทานที่จะได้รับด้วยใจที่เป็นสุข ทำให้คนที่อยากได้ของต้องหาเงิน ต้องเข่นฆ่า ต้องปล้นเพื่อจะได้ของนั้นมา ไม่ทำทุกข์ทับถมตน ยอมรับว่าทำไม่ได้ สู้ไม่ได้ ไม่ค่อยจะได้สู้จริงๆจังๆ จะตั้งสติคิดไตร่ตรองต่อรอง พูดคุยกับกิเลสให้มากกว่านี้
    ตั้งศีลเพิ่ม จะไม่ซื้อของที่เกินความจำเป็น

  13. ชลิตา แลงค์

    เรื่อง จะเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า

    วันที่ 19/11/63 รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ท้องอึด ปวดหลัง ลองบำบัดตัวเองด้วยการดีทอกซ์ และปรับอาหารแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้นึกถึงอาการที่เคยป่วย เคยเป็นหนักถึงขนาดจนเกือบขยับตัวไม่ได้ เห็นใจตัวเองรู้สึกกลัวอาการป่วยจะกลับมาเป็นอีก

    ทุกข์ : กังวล หวั่นไหว ที่บำบัดอาการ ไม่สบายของตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น(อาการครั่นเนื้อครั่นตัว ท้องอืด ปวดหลัง)

    สมุทัย : กลัวที่จะมีอาการเจ็บป่วยหนักแบบเก่า ถ้ามีอาการเจ็บหนักแบบเก่าจะทุกข์ใจ ถ้าไมีอาการเจ็บหนักแบบเก่าจะสุขใจ

    นิโรธ :วางใจได้ เมื่อได้บำบัดตัวเองเต็มที่แล้ว จะมีอาการเจ็บหนักแบบเก่า หรือไม่มีก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : ตั้งสติพิจารณาทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้น แล้วนำธรรมะที่ท่านอจ.หมอเขียว เคยบรรยายเอาไว้ว่า ชีวิตคนเราเกิดมามีวิบากรรมจึงต้องประสบกับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ กับทุกข์ที่เลี่ยงได้เป็นธรรมดา ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้คือทุกข์ทางกายต่างๆ แต่ทุกข์ที่เลี่ยงได้คือทุกข์ใจ พอพิจารณาว่าเราทำวิบากกรรมที่ทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเจอเรื่องร้ายและความเจ็บป่วยต่างๆ เมื่อยอมรับแล้วก็หมดไป ทำการบำบัดตัวเองไปเท่าที่ทำได้ ไม่ใจร้อนว่าเค้าจะหายตอนไหน เห็นความกลัวในใจคลายลงจนเกือบหมด แล้วทำภารกิจของตัวเองไปโดยไม่ได้มาคิดเรื่องการเจ็บป่วยเลย เวลาผ่านไป 6-7 ชม.อาการทางกายก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้าพเจ้านึกถึงธรรมะที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้บรรยายเอาไว้ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ความกลัวเป็นทุกข์ที่ทุกข์ที่สุด” ข้าพเจ้าได้พิจารณาตามดับความกลัวที่อยู่ในใจก่อน และเห็นผลคือกายก็ดีขึ้นตามมา น้อมกราบสาธุธรรมท่านอาจารย์เจ้าค่ะ สาธุค่ะ

  14. พรพรรณ เอ็ทสเลอร์

    อริยสัจ 4

    เรื่อง เกือบแพ้กิเลส..ซะแล้วสิเรา

    วันนี้พอมีเวลาตอนเย็น ข้าพเจ้าเลยนึกอยากจะเข้าไปดูสินค้าที่ลดราคาทางอินเตอร์เนต ” คิดว่าจะไปดูเฉยจะไม่ซื้อเลยจริง ๆ สัญญา” (กิเลสพูด)
    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เผลอแป้บเดียว เห็นของในรถเข็นช้อบปิ้งปาเข้าไปแล้วเกือบ 10 ชิ้น โอ้ ! ทำไมมาจากไหนละนี่ ? ข้าพเจ้าเลยบอกกับตัวเองว่า เลิกดูดีกว่า แต่พอจะออกจากจอคอมพิวเตอร์ ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นของในรถเข็นช้อบปิ้ง 10 ชิ้น เอ้…ราคาก็ลดตั้งเยอะนะ ซิ้อแล้วก็ไม่น่าจะแพงมาก ถ้าเทียบกับถ้าเราซื้อราคาเต็ม พอคิดจบมารู้สึกตัวอีกที ข้าพเจ้าก็มาอยู่ตรงจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เอ้…! มาได้อย่างไรนี่ ไม่ได้แล้วข้าพเจ้าบอกตัวเอง จากนั้นก็ลุกออกจากจอคอม. ทันที่ ฮ้า ๆ ซะใจ ! ข้าพเจ้าชนะกิเลสรอดตัวแล้วเรา สาธุ…กราบขอบพระคุณตัวเอง วันนี้เราชนะกิเลสครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่.!

    ทุกข์ : อาลัยอาวรณ์กับสินค้าลดราคา

    สมุทัย : อยากจะซื้อสินค้าที่ลดราคา เพราะมันลดราคาตั้งเกือบ 60% ซื้อเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เผื่อโอกาสข้างหน้าเราจะได้ใช้หรือเอาไปฝากเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักก็ได้ ของมันก็ไม่บูดไม่เน่าด้วย ถ้าไม่ซื้อไว้ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอช่วงโอกาสทองแบบนี้อีกเมื่อไหร่ คงเสียดายแย่เลย เรา ! เพราะถ้าจะให้ซื้อราคาเต็มข้าพเจ้าก็คงไม่ซื้อแน่ ๆ ไม่อยากซื้อสินค้าราคาเต็ม อยากซื้อสินค้าลดราคามากกว่า

    นิโรธ : ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์กับสินค้าที่เราอยากได้หรอกมันก็แค่สินค้า เป็นของนอกกายเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็เสียหาย ผุพัง และเก่า ซื้อมาใหม่ก็สวยอยู่หรอกแต่พออยู่ไป ๆ ก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว รอไปอีกสักระยะ เผื่อบริษัทเขาลดราคาลงอีก ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกันนะ ( ข้าพเจ้าพูดกับกิเลส) สินค้าที่ลดราคาเหล่านั้น จะได้ซื้อหรือไม่ได้ซื้อข้าพเจ้าก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่อาลัยอาวรณ์ แล้วค่ะ

    มรรค : สินค้าที่เขานำมาลดราคาก็คือสินค้าที่ตกรุ่น หรือเป็นสินค้าที่บริษัทต้องการขายให้หมด ๆ ไปเพื่อจะได้นำสินค้าตัวใหม่มาขายแทน ซึ่งคุณภาพอาจจะไม่ดีเหมือนที่ข้าพเจ้าคิดไว้ก็ได้ และสินค้าที่ข้าพเจ้าอาลัยอารณ์นั้น ก็ถึอว่าเป็นสินค้าสิ้นเปลือง ไม่มีประโยชน์ ซื้อมาก็รกบ้าน เปลืองเงิน เปลืองทรัพยากรโลก และไร้สาระ ข้าพเจ้าเลยถามตัวเองว่า “เธอบอกว่าเธอ จะมาฝึกกินน้อย ใช้น้อย อยู่แบบพอเพียง ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น อย่างไรละ จำไม่ได้แล้วเหรอ คำสอน
    ของท่านอาจารย์ นะ ! ” หลังจากนั้น สติของข้าพเจ้าก็กลับมา มือที่กำลังจะกดจ่ายเงินก็ชักกลับทันที เย้ ! เย้ ! จากนั้นก็ลุกออกจากจอคอม. ทันที่ ฮ้า ๆ ซะใจ ! ข้าพเจ้าชนะกิเลสรอดตัวแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้าสูกับกิเลสตัวอาลัยอาวรณ์ฝนสินค้าลดราคาอยู่ไม่นาน เพียงเสี้ยววินาที ข้าพเจ้าก็
    ล้างกิเลสตัวนี้ได้ แต่ในอนาคตข้าพเจ้า ไม่สามารถบอกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่กลัวแล้ว เพราะข้าพเจ้ารู้วิธีที่จะสู้กับกิเลสตัวนี้แล้ว สาธุ…กราบขอบพระคุณตัวเองอย่างสุดหัวใจในความอาจหาญและเข้มแข็งกับการสู้กิเลสในครั้งนี้ค่ะ วันนี้ข้าพเจ้าชนะกิเลส วันหน้าไม่รู้แต่ข้าพเจ้าจะสู้ไม่ถอย (ค่อยว่ากันใหม่) สาธุ

  15. ศิริพร ไตรยสุทธิ์

    ชื่อเรื่อง แบบนี้อีกแล้ว

    ญาติแวะมาคุยด้วย โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า และก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว คือ ท่านใส่รองเท้าเข้าบ้านเรา แม้มีรองเท้าให้เปลี่ยน ก็ไม่เปลี่ยน เราก็นั่งคุยไป และมีบ้างที่มองรองเท้า ก็ดูตัวเองไปว่าครั้งนี้ ความรู้สึกนี้จะเป็นอย่างไร อยู่กับเรานานแค่ไหน

    ทุกข์ คือ อยากให้ท่านเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าบ้าน
    สมุทัย คือ ไม่ชอบที่ท่านใส่รองเท้าเข้าบ้าน ทั้งที่มีรองเท้าให้เปลี่ยน ท่านและรองเท้าคู่นั้นเดินไปไหนมาบ้างก็ไม่รู้ เหยียบอะไรบ้างน้อ สกปรกแน่เลย แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม
    นิโรธ คือ ท่านจะใส่รองเท้าหรือเปลี่ยนรองเท้า ก่อนเข้าบ้านเรา ก็เป็นเรื่องของท่าน ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น วางใจก็จะสบายใจขึ้น
    มรรค คือ รองเท้าคู่นั้นสกปรก อาจจะมีเศษดิน เศษฝุ่น เศษขี้หมาแห้งติดมา บางที มีเชื้อโรค เช่น โควิท19 ติดมาด้วย เชื้อคงติดทั่วบ้าน ในจุดที่ท่านเดินไปเดินมาและเราอาจจะป่วยได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ถือว่าเป็นวิบากกรรมของเราแล้วที่จะเจอ ก็ไม่เป็นไร วางใจ และคิดหาวิธีแก้ไข ก็คือ พอท่านกลับเราก็ทำความสะอาดสิ ไม่ได้ยากอะไรเลย มีความสกปรกบ้างก็ถือว่า เป็นการสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายไปในตัว อาหารแพทย์วิถีธรรมเป็นวัคซีนอย่างดี ป้องกันได้ทุกโรค แล้วจะกลัวอะไร
    มัวแต่กลัวนั้นกลัวนี้ ไม่เป็นอันทำอะไรพอดี อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด จะทุกข์ใจไปทำไม แล้วก็ยิ้มได้ คุยกับท่านไปได้อย่างปกติ ไม่ติดอะไรในใจอีก

  16. จงกช-ป้าย่านาง

    การบ้านอริยสัจ (ตอนที่ 16/2563) โดย นางจงกช-ป้าย่านาง (รหัส นศ 5911001010)

    เรื่อง : ความมักง่ายในการเลือกอาหาร
    เนื้อเรื่อง : ช่วงเที่ยงเมื่อถึงเวลาอาหาร ก็ให้ลูกชายขับรถพาไปหาร้านอาหารตามสั่ง ปกติจะหิ้วปิ่นโตมาจากบ้าน แต่วันนี้ไม่ได้ทำอาหารมาทานเองเพราะเวลาไม่พอดี รถผ่านร้านอาหารที่เขาขายข้าวแกงสำเร็จรูปที่ใกล้ๆสวนก่อน ก็ให้ลูกจอดเพื่อขอลงไปดูเมนูผักผัดง่ายๆทาน จะได้ไม่เสียเวลานาน ปรากฏว่าถามแม่ค้าว่ามีเมนูผัดผักที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์ที่คนทานเจพอทานได้ มีบ้างไหม แม่ค้าก็บอกด้วยความจริงว่า ไม่มี ทุกเมนูมีเนื้อสัตว์ทั้งหมด ลูกชายก็เป็นห่วงกลัวแม่จะหิว ก็ลองขอให้แม่ครัวผัดเฉพาะผัก ใส่แต่เกลืออย่างเดียว จะได้ไหม เขาก็ขอโทษที่ทำให้ไม่ได้เพราะไม่ได้เตรียมวัสดุ ลูกชายก็แสดงความคิดเห็นว่า หรือแม่จะลองทานแบบเจเขี่ยดู ให้เลือกที่รสชาดไม่จัดมาก
    ผัสสะ : เมื่อได้ยินเสียงลูกชายบอกอย่างนั้น ก็กลับมาสังเคราะห์ดูว่า 1. ก็น่าจะดีเพราะแถวนั้นก็ไม่ค่อยมีร้านอาหารให้เลือกมากนัก 2. ไม่ต้องขับรถไปหาอีก ยังไม่ทราบว่าจะไปอีกไกลไหม เปลืองน้ำมันรถด้วย จะได้รีบกลับมาทำสวนต่อ 3. นานๆทานทีก็ไม่น่าจะมีผลกับร่างกายเท่าไร 4. เราก็ไม่ต้องรบกวนให้ลูกต้องขับหาร้านให้ยุ่งยาก ก็แต่มื้อเดียว เมื่อเดินมองไปทั่วทุกหม้อ ชิ้นเนื้อที่มองเห็นโดดเด่นในหม้อ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เอ้ะ เราจะมักง่ายไปไหม?

    ทุกข์ : ความมักง่ายในการเลือกอาหารโดยใช้วิธี เจเขี่ย
    สมุทัย : การเลือกวิธีนี้ เป็นวิธีเดียวที่เราควรทำไหม?
    นิโรธ : เราจะเลือกวืธีเจเขี่ยเพื่อทานเฉพาะมื้อนี้ก็ได้ หรือไม่ทานที่ร้านนี้ก็ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    มรรค : เมื่อคิดถึงโทษและความไม่เหมาะควร คือ 1. รู้สึกเกิด หิริโอตัปปะ ในการไปรับเอากลิ่นของเนื้อสัตว์เข้าร่างกายทั้งๆที่เคยตั้งศีลว่าจะไม่ไปกินเขาอีก หรือจะเข้ากับคำพังเพยที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง 2. นึกถึงคำพูดของพ่อครู(ท่านสมณะโพธิรักษ์) ที่เคยสอนว่า เราสามารถก้าวผ่านช่วงการไม่เสพเนื้อสัตว์มาแล้ว ถึงแม้แค่กลิ่น ถ้าคิดว่าหลีกเลี่ยงได้ ก็น่าจะลองใช้วิธีอื่นดู 3. จากประสพการณ์ที่ผ่านมา เวลาเราเข้าไปลองใช้เจเขี่ย เลือกกินแต่ผัก ร่างกายก็ไม่รับ บางครั้งอาจทำให้อยากอาเจียน เวลาฉี่จะมีกลิ่นฉุนกว่าปกติ 4. เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็นถึงความมักง่าย เอาแต่สะดวกโดยยังไม่ขวนขวายหาวิธีอื่นที่ดีกว่า 5. เราและลูกก็ไม่ได้หิวมากจนจะไปหาร้านที่เหมาะกว่านี้ไม่ได้
    เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว เพื่อแลกกับการผิดศีล ก็ทำให้เอาตัวขึ้นรถเพื่อขับไปหาร้านอื่นต่อไป

    ผลของการตัดสินใจด้วยการเปลี่ยนร้านนั้น ก็ทำให้เราได้เจอร้านอาหารตามสั่งที่เราได้ทานอาหารเจสำเร็จด้วยความเบิกบานที่ไม่ใช่ความรู้สึกมักง่ายของเราในที่สุด

  17. ณ้ฐพร คงประเสริฐ

    ของหาย แต่ใจไม่หาย

    หาของใช้ส่วนตัวที่คิดว่าจะใช้ประโยชน์ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไม่ได้เร่งรีบจะต้องใช้ แต่ใจก็ว้าวุ่น หวั่นไหว ไม่ปกติ เลยต้องรวบรวมพลังกายใจให้พร้อมและตรวจดูใจแบบประคับประคองกันไป เพื่อไม่ให้อาการนั้นมากขึ้น ทำใจในใจให้ยอมรับ อดทน รอคอย พิจารณาเรื่องกรรม.. ทำภารกิจที่ดี ที่ควรทำไปเรื่อย ๆเท่าที่ทำได้ แล้ววางเท่าที่วางได้ ประมาณว่า ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ ฝึกตั้งสถานการณ์ในใจว่าหากเกิดแบบนั้น แบบนี้ ควรฝึกทำใจในใจประมาณไหน แล้วทำใจแบบไหนใจผาสุกขึ้น ก็เอาแบบนั้น

    ทุกข์: ใจว้าวุ่น หวั่นไหวกับการตามหาสิ่งของที่จะต้องใช้ภายในสิ้นปีนี้ยังไม่เจอ

    สมุทัย: ชังสภาพความจริงที่เกิดในปัจจุบัน ที่ยังหาของไม่เจอทั้ง ๆที่ยังไม่ต้องใช้ของตอนนี้ก็ได้ พบว่าความชังเกิดจากความยึดว่าจะต้องหาให้เจอให้ได้ และใจไม่ยอมรับวิธีการทดแทนอื่น ที่เราก็พบว่า มีทางออกอื่นอีกถ้าหาไม่พบจริง ๆ ชังสภาพที่นึกไม่ออกว่าย้ายที่ไปไว้ที่ไหน

    นิโรธ: จะหาของที่จะต้องใช้ในอนาคตเจอ หรือไม่เจอ ก็วางใจ สุขใจได้ และหาวิธีการอื่น ๆ มาใช้แทน ทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ด้วยใจผาสุก วางใจได้ ก็สำเร็จแล้ว ส่วนวัตถุ ข้าวของ แม้แต่ชีวิต ก็ไม่มีอะไรเที่ยง เกิดแล้วดับ ๆ สิ่งนี้จากเราไปก็มีสิ่งอื่นมาทดแทนกันได้เสมอ

    มรรค: .จากวันที่เราเริ่มเตรียมของที่จะต้องใช้ก่อนสิ้นปีนี้ แต่หาของนั้นไม่เจอ ทำให้เห็นอาการของใจที่ไม่ปกติ เห็นอาการหวั่นไหว เมื่อหาของสิ่งนั้นยังไม่เจอ อยากเจอเร็ว ๆ มันต้องเจอสิ มันไม่หายไปไหนหรอก เราจัดโต๊ะทำงานใหม่ จำไม่ได้ว่าย้ายที่ไว้ตรงไหน นานนับอาทิตย์ได้ ระหว่างนั้น เราก็พยามยามเดินมรรค ไปเรื่อย ๆ ทำใจในใจไปตามลำดับ เพราะหาเหตุพบ ความยึดว่า ของที่ใช้อยู่แม้จะใช้ไม่บ่อยจะไม่หายไปไหน ยึดติดว่าต้องหาเจอในวิธีการนี้เท่านั้น ความที่ใจไปยึดว่าต้องเจอ จึงไม่ยอมรับสภาพการหาของไม่เจอ หรือตามไม่ทันกิเลส มันเป็นอาการไม่ปกติแบบนี้ เห็นใจที่หวั่นไหวจากความยึดลีลานี้ได้ชัดเจน จึงเริ่มเข้าใจว่าต้องเอาบททบทวนธรรมบทไหนมาใช้เป็นอาวุธ มาสู้มาหักล้างเขาได้เท่าที่ได้ กว่าจะวางใจได้ ลำดับแรกก็ต้องพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง พักยก วางใจใส่ลิ้นชักไว้ก่อน วันนี้ได้แค่นี้ ต้องไปทำสิ่งอื่นก็วางได้เท่าที่วางได้ พากเพียรไปเรื่อย ๆ แล้ววันใดวันหนึ่ง เราก็จะทำสำเร็จแบบที่ควรจะเป็น แบบใดก็ได้ ไม่ยึดติดรูปแบบว่าต้องแบบนั้นแบบนี้เท่านั้น จะพบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะไม่พบก็ไม่ทุกข์ใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราหรือชีวิตใคร ก็ล้วนแต่ผ่านแล้ว ผ่านเลย ๆ จะไปยึดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ตามกิเลสให้โง่ทำไม ฝึกฝนล้างไปซ้ำ ๆ ไป ให้ทุกเหลี่ยมทุกมุมที่หลงไปติดยึดมา หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะชาตินี้หรือไม่ก็ชาติหน้า หรือชาติอื่น ๆ สืบไป เมื่อพิจารณาแบบนี้ทุกวัน ๆ ไปพร้อมกับการหาข้อมูล หาวิธีอื่นที่เป็นทางเลือก ทำให้เราพิจารณาข้อเท็จจริง ตามความเป็นจริง ที่ได้มาเพิ่มแล้วพิจารณาปัจจุบันขณะไป ใจก็เบาขึ้น เบาขึ้น เรื่อย ๆ จนไม่หวั่นไหว วางใจได้ ยินดี พอใจกับสภาพปัจจุบัน เท่าที่ทำได้ พอวางใจได้ ก็กลับสู่ใจที่เป็นปกติ ค่อย ๆ นึกทบทวนไปเรื่อย ๆ เท่าที่ได้ พอวิบากร้ายหมด ก็ได้เจอสิ่งของที่หาอยู่จนได้ อย่างง่ายดาย เย้!วิบากหมด กิเลสตาย ได้กุศล

  18. ประคอง เก็บนาค

    เรื่อง : พูดความจริงดีไหมนี่

    เนื้อเรื่อง : มีงานชิ้นหนึ่งที่มอบหมายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ในที่ทำงาน เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากการของบประมาณในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ต้องเริ่มนับ 1 จากงานนี้เสมอ โดยตั้งแต่มอบหมายงานนี้ไป (ล่วงหน้ามาแล้ว 3 เดือน) ก็คอยติดตามถามตลอดว่าใกล้จะครบกำหนดส่งงานแล้วนะ ดำเนินการไปถึงไหน อย่างไร ติดขัดขั้นตอนไหน ก็จะได้รับคำตอบว่า รอหน่วยงานนั้นนี้ส่งข้อมูลมาให้ รอหาข้อมูลในโซเชียล รอราคา ฯลฯ จนกระทั่งก่อนถึงกำหนดที่จะต้องส่งงานในอีก 3 วันข้างหน้า เขาจึงรีบลนลานนำเอกสารที่ไม่พร้อมสักเรื่องมาปรึกษาเราว่า จะทำอย่างไรดี…แม้เราจะประมาณแล้วเห็นว่าข้อมูลเท่านี้ไม่น่าจะทำให้งานเสร็จออกมาสมบูรณ์ได้และอาจส่งไม่ทันกำหนดแน่นอน แต่ก็ได้บอกแนวทางการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมและแนวทางแก้ไขไป โดยครั้งนี้ไม่ลงมือแก้ไขปัญหาให้เหมือนทุกครั้ง เขาก็ทำหน้าผิดหวังและไม่พอใจเล็กน้อย..ต่อมามีลูกน้องอีกคนมาพูดให้ฟังว่า คนนั้นเขาพูดถึงเรากับคนอื่น ๆ ว่า เราไม่ยอมช่วยเหลือ แนะนำ แก้ไขงานอะไรให้เลย ปล่อยให้เขาไปต้องทุกข์และเครียดเรื่องงานจนร่างกายไม่สบาย…

    ทุกข์ : รู้สึกขัดใจที่ลูกน้องพูดถึงเราในทางที่ไม่ดี

    สมุทัย : ยึดว่าลูกน้องควรจะพูดถึงเราในทางที่ดี พูดแต่ความจริงที่เกิดขึ้น

    นิโรธ : ลูกน้องจะพูดถึงเราในทางที่ดีหรือไม่ดี พูดจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่ทุกข์ใจ

    มรรค : พิจารณาว่าเราเองนี่แหละที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เพราะเราเองไม่ใช่หรือที่พอลูกน้องมีปัญหาอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องงาน เราจะเข้าไปช่วยเหลือ ลงมือทำแก้ไขงานนั้น ๆ ให้ถูกต้องและสำเร็จลุล่วงทุกครั้ง เราเองนั่นเแหละที่ยึดความสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถทนห็นความผิด ความพร่องของงานได้ …เมื่อเขามีปัญหาเขาจะตั้งคำถาม และมีเราที่ตอบให้เขาได้ทุกเรื่อง ทำให้เขาคุ้นชินกับการแก้ไขปัญหาแบบง่าย ๆ ไม่ต้องดิ้นรน ขนขวาย หรือฝึกฝนในการสืบค้นข้อมูลหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เอง…ครั้งนี้เมื่อเราไม่ยอมให้คำตอบหรือลงมือแก้ไขปัญหาให้ เขาจึงมีพฤติกรรมแบบนั้น เขาอาจะแค่พูดให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่น หรือเพียงเอาตัวรอดในปัญหาครั้งนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นธรรมดาของคนทางโลก..แต่เราสิ เราเป็นนักปฏิบัติธรรมนะ เราจะมาคิดถึงแค่เปลือกภายนอกที่ต้องการแต่เพียงคำชื่นชม คำสรรเสริญเท่านั้นเองหรือ โง่แล้วนะนี่ ..เจ้ากิเลสตัวนี้อย่ามาหลอกเราเลย 555…ไม่เป็นไรน่า งานไม่สำเร็จ แต่ใจของเราสำเร็จละนะ สำเร็จที่เราจะเริ่มฝึกฝนให้ลูกน้องพึ่งตน เพียรพยายามค้นคว้าหาข้อมูลเอง ลงมือทำเองได้แล้ว สักวันหนึ่งแม้ไม่มีเราอยู่ เขาก็สามารถทำงานได้เอง สำเร็จได้ด้วยตัวเขาเอง เย้ ๆๆ…

  19. สมเพียร ลิ่มตระกูล

    “ไม่ได้ไปภูผาฟ้าน้ำ”

    เรื่องย่อ ตั้งแต่รู้ว่ามีค่ายพตฏ. ครั้งที่ 31 ที่ภูผา 6-12 ธ.ค.63 มีความตั้งใจไว้ว่า จะต้องไปเข้าค่ายพตฏ.ให้ได้เหมือนทุกๆ ครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ ลูกได้ลางานกลับมาหาแม่ที่บ้าน เพื่อมาทำธุระสำคัญด้วยกัน จึงไปภูผาไม่ได้

    ทุกข์ : ทุกข์ที่ไม่ได้ไปภูผาฟ้าน้ำ

    สทุทัย : มีธุระสำคัญกับลูก จึงไม่ได้ไป ทุกข์ที่ไม่ได้ไป ถ้าได้ไปจะไม่ทุกข์ ไม่ได้ดั่งใจ จึงทุกข์

    นิโรธ : วางใจว่า ได้ไปก็ได้ ไม่ได้ไปก็ได้ ไม่ได้ไปก็ไม่ทุกข์ สบายใจ

    มรรค : ตั้งสติ ใชัปัญญา พิจารณาความจำเป็น ความสำคัญ ไหนสำคัญกว่า ใช้บททบทวนธรรม
    “ทุกเสี้ยววินาที่ ไม่เที่ยง”
    “ต้องพร้อมรับ พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน”
    เย่ๆๆ ดีใจจังไม่ได้ดั่งใจ เย้!

  20. ขวัญจิต เฟื่องฟู

    อริยสัจ 4

    เรื่อง อยากจัดงานคริสต์มาส

    คุยกับเเม่ย่าเรื่องจัดงานวันคริต์มาส ว่าจะเอาย่างไร เพราะช่วงนี้รัฐบาลแนะนำกันว่า ไม่ควรเจอกันเกิน 10 คน ไม่ควรเกิน 2 ครอบครัว
    ก็ได้บอกย่าว่า เราจะทำเเบบปีที่เเล้วดีไหม มีครอบครัวพี่สาว 3 คน ครอบครัวย่า 1 คนครอบครัวของข้าพเจ้า 2 คน ครอบครัวเเม่ย่าเพื่อน 1 คน เเละเพื่อน 1 คน รวมเป็น 5 ครอบครัว คนมา 8 คน ซึ่งก็นับให้แม่ย่าฟัง ย่าก็ตอบมาว่ามันเสี่ยงเกินไป ที่คนหลายคนจะมาเจอกัน ขอตัวไม่มาร่วมด้วยนะ เห็นใจที่มีอาการคันหัวใจหยิกๆเกิดขึ้น

    ทุกข์ : มีอาการคันหัวใจที่ เเม่ย่าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเรา

    สมุทัย : ไม่ได้ดั่งใจที่คิดไว้ เลยมีอาการคันหัวใจ ใจมันต้าน มันอยากให้เป็นไปตามที่คิดไว้ จะเอา!

    นิโรธ : ปล่อยวาง ว่าย่าจะว่า คิด อย่างไร เราจะไม่มีอาการคันหัวใจ จะไม่เอาของที่ไม่ใช่ของ ของเรา

    มรรค : ทบทวน ตรวจใจดูว่าทำไมมันมีอาการคันใจเรา ก็เจอตรงที่ว่า เราอยากให้เหมือนปีที่เเล้ว สนุก ไม่เหงา ซึ่งปีนี้ไม่เหมือนปีที่เเล้ว ตรงที่มีโควิดเข้ามา ทำให้ไม่สามารถเจอกันหลายคนได้ ใจก็วางลงได้ 50%
    ตรวจมาอีกก็เจอว่า เราจะเอาตามที่เราคิดตาม ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะเราต้องดูตามเหตุ ปัจจัยในเวลานั้นๆ เจอว่าเรายึดอีก ว่าเป็นนี้จะดี ถ้าไม่เป็นเเบบนี้จะไม่เอา ไม่ดี คำที่ท่าน อ.เคยเทศน์ไว้ก็ลอยมา ยึดก็ได้ วางก็ได้ สบายใจจริง ก็ใช่จริงๆ ยึดก็หนัก วางก็เบา เห็นใจเบาลง อีก 30%
    มาคิดถึงว่าย่าท่านก็เเก่เเล้ว ถ้าท่านติดเชื้อขึ้นมา ท่านคงอาจจะเเย่ ทางที่ดีเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน ก็ไม่สมควรมาเจอกันจะดีกว่า ใจที่ยึดดีว่าเราจะต้องเจอกัน เเละที่มีอาการคันใจอยู่กับเเม่ย่า ก็หายไปค่ะ เดี๋ยวจะเขียนไปบอกพี่สาวเเละเพื่อนว่า ปีนี้ฉลองวันคริสต์มาสบ้านใคร บ้านเราก็เเล้วกัน สาธุค่ะ

  21. นางพรรณทิวา เกตุกลม

    เรื่อง ถุงนอน
    วานเพื่อนสั่งซื้อถุงนอน ด้วยการแจ้งเพื่อนว่าต้องการถุงนอนขนาดเล็กๆที่สามารถพกพาได้สะดวก สีเรียบร้อยเป็นสีเขียวก็ดี รออยู่หลายวันก็ยังไม่ได้รับของ จึงติดตามจากเพื่อนอีกครั้ง เพื่อนบอกว่ายังหาขนาดที่เราต้องการไม่ได้ ตัดสินใจบอกเพื่อนว่า เอาแบบที่เพื่อนหาได้แล้วกัน พร้อมทั้งปรับใจ วางใจว่าจะได้แบบไหน สีอะไรก็ยินดี จากนั้นอีกสามสี่วันก็ได้รับของ พอเห็นถุงนอนใจยังแว๊ปขึ้นมาว่า ถ้าได้สีเขียวก็ดีนะ

    ทุกข์:ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ยังคาใจอยู่

    สมุทัย:เพราะเรายึดว่าต้องได้แบบที่เราต้องการ เราถึงชอบแล้วสุขใจ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการจึงรู้สึก คาใจ ไม่โปร่ง ไม่โล่ง

    นิโรธ:ต้องไม่ชอบ ไม่ชังให้ได้ ไม่ว่าจะได้ถุงนอนแบบไหน สีอะไร ก็ไม่ทุกข์ใจ สุขใจกับสิ่งที่ได้รับ

    มรรค:ยอมรับความจริง ได้แบบไหน สีอะไรก็ได้ ถุงนอนใช้ประโยชน์ได้ก็ดีที่สุดแล้ว เราจะยึดติดกับสีนั้นสีนี้ทำไม อีกอย่างต้องเบียดเบียนเพื่อนที่เป็นธุระหาให้ด้วย พร้อมใช้บททบทวนธรรมที่ว่า”ความสุขของชีวิตอยู่ที่ความพอ สุขอยู่ที่พอ พออยู่ที่ใจ มาพิจารณาในที่สุดก็คลายใจ โปร่ง โล่ง ทันที

  22. นางสาวจาริยา จันทร์ภักดี

    เรื่อง ผิดนัดคัดกรอง

    เพื่อนนัดไว้ว่าจะไปทำหน้าที่คัดกรองโควิด-19 คืนก่อนวันเผาอีกครั้งหนึ่ง นัดกันดีๆใกล้ถึงเวลาเพื่อนกลับบอกยกเลิก

    ทุกข์:อยากให้เพื่อนมารับตามนัดจะได้ทำหน้าที่

    สมุทัย:ไม่อยากให้เพื่อนผิดนัดเสียโอกาสที่คัดคนที่เขาไปงานได้

    นิโรธ:เพื่อนจะมารับตามนัดหรือไม่มารับก็ไม่เป็นอะไรเพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ

    มรรค:วางใจ ค่อยไปคัดกรองกลางวัน วันเผาก็ดีเพราะคนมามาก จะเริ่มเดินตอนเช้าไปวัดไม่ต้องรอรถมารับ สุขใจที่ได้มองสองข้างทางก่อนถึงวัดอย่างเบิกบาน แจ่มใส ด้วยระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ทำให้ได้กำลังมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

  23. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    เรื่อง — ถูกคนอื่นหลอกได้แต่อย่าถูกกิเลสหลอก

    เรื่องย่อ — วันหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตลาด มีคนแปลกหน้าเข้ามาหลอกขอเงิน บอกว่าจะเอาไปซื้อข้าวกิน โดยอ้างว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด นัดกับลูกสาวไว้แต่ยังไม่เจอกัน เงินที่นำติดตัวมาก็หมดแล้ว จึงยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน เราไม่ได้ให้เงินเขา แต่พาเขาไปรับอาหารที่ร้านอาหารเจร้านหนึ่งใกล้ ๆ บริเวณนั้น ปรากฏว่าเจ้าของร้านอาหารเจบอกว่าเขาให้คนนี้กินฟรีเป็นประจำอยู่แล้ว เจ้าของร้านจึงไม่ยอมรับเงินจากเรา แต่บอกให้เราเอาเงินใส่ตู้รับบริจาคเข้ามูลนิธิแทน ส่วนคนที่มาหลอกขอเงินเรานั้น พอได้ข้าวห่อที่ร้านอาหารเจก็รีบเดินจากไป… นึกว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้ มันช่างประจวบเหมาะจริง ๆ ตอนเรากลับมาจากตลาดกำลังเดินไปขึ้นรถ เห็นเขาคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้ามาพอดี แถมยิ้มให้เราอีกด้วย เราก็แค่นึกในใจว่า ต่อไปเขาคงไม่อยากจะเจอหน้าเราอีกแล้วล่ะ

    ทุกข์ — มีความทุกข์นิดหน่อยตอนที่ยังลังเลใจว่าจะให้เงินเขาดีหรือไม่ รู้สึกอึดอึดใจอยู่บ้าง ถ้าเรื่องที่เขาบอกเป็นเรื่องจริงเราก็อยากจะให้เงินเขาอยู่ แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าจะโดนหลอก กลัวว่าเราจะไปส่งเสริมให้เขาทำบาปมากขึ้น

    สมุทัย — ความกลัวนั้นมีเหตุมาจากความไม่อยากถูกหลอก ไม่อยากส่งเสริมให้เขาทำบาป มีความชังคนที่มาหลอกลวงหากินง่าย ๆ แบบนี้อยู่ พอเราไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดมานั้นจริงหรือหลอก ความกลัวจึงเกิดขึ้น

    นิโรธ — ไม่กลัว ไม่กังวลว่าจะโดนหลอก ถ้าเขาหลอกเราได้สำเร็จเราก็ไม่ทุกข์ใจ คือเราจะโดนหลอกก็ได้ ไม่โดนหลอกก็ได้ แต่ไม่มีอะไรต้องทุกข์ใจ

    มรรค — ทำความเข้าใจเรื่องวิบากกรรมให้แจ่มแจ้ง ในแง่ที่ว่าถ้าเราโดนเขาหลอกจนสำเร็จก็แปลว่าเขาเคยเป็นเจ้าหนี้ (หนี้กรรม) ของเรามาก่อน เราจึงต้องมาชดใช้ให้เขา ถ้าเราไม่เคยเป็นหนี้เขามาก่อนเขาก็มาหลอกเราไม่สำเร็จหรอก ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลใจว่าจะโดนหลอก ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ว่า โดนหลอกหรือไม่โดนหลอกก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยคือวิบากกรรมของเราและของเขานั่นแหละ

    อีกเรื่องหนึ่ง คือพิจารณาความกลัวให้ชัดเจนว่ามันมีเหตุมาจากกิเลส คือความไม่อยากโดนหลอก มันเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง มีความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าโดนหลอกง่าย ๆ แล้วจะเสียเหลี่ยม เสียรู้ มีความชังอยู่ในใจ มันไม่อยากเสียเหลี่ยม ถ้าเสียเหลี่ยมแล้วจะเป็นทุกข์ ถ้ารู้เท่าทันคนหลอกลวงแล้วจะไม่ทุกข์ ความคิดแบบนี้มันเป็นความคิดของกิเลส มีอัตตามานะ ปล่อยไว้จะกลายเป็นเชื้อให้กิเลสนี้สั่งสมพอกพูนยิ่งขึ้น เป็นโทษภัยแก่ชีวิตเรา ต้องคิดแบบพุทธะให้ได้ว่า เราจะโดนหลอกบ้างก็ได้ หรือรู้ทันคนหลอกลวงบ้างก็ได้ ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าโดนหลอกก็เพราะเรายังมีวิบาก และไม่สามารถรู้ข้อมูลความจริงได้ ณ เวลานั้น เราต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย เราจะได้ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปในเรื่องโดนหลอกหรือไม่โดนหลอก สุขสบายใจไร้กังวลได้ตลอดเวลา

  24. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้าน้อมศีล)

    ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ
    เรื่อง. พายุเข้าที่บ้าน
    มีพายุเข้าที่บ้านพี่สาวโทรมาบอกว่าต้นไม้หักโค้นต้นมะละกอ กล้วย ทุเรียน และอีกหลายอย่างที่ปลูกไว้ล้มเกือบหมดฝนก็ตกลมก็พัดแรงมาก(เป็นอย่างนี้ทุกปี)เพราะทุกปีลมจะพัดแรงลมพัดกระเบื้องมุงหลังคาหล่นหลายแผ่น

    ทุกข์. เป็นห่วงกังวลว่าพี่สาวเค้าอยู่บ้านคนเดียวแล้วเค้าจะเป็นอย่างไรบ้างตอนมีพายุหนัก

    สมุทัย.ถ้าไม่มีพายุอยากให้เกิดสภาพดีๆกับพี่สาว เค้าอยู่ได้สบายดีเราจะสุขใจ ถ้ามีพายุหนักลมพัดแรงเพราะเรากลัวพี่สาวจะได้รับสภาพทีไม่ดีไอันตรายเราจึงทุกข์ใจ

    นิโรธ.วางใจ่า พี่สาวเค้าจะอยู่ในสภาพอย่างไรเราก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะเข้าใจเรื่องกรรมว่าแต่ละชีวิตก็ต้องมีวิบากต่างกรรมต่างวาระของแต่ละชีวิตโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง สภาพวัตถุภายนอกดินฟ้าอากาศ ไม่มีอะไรที่เราควยคุมได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์เราเท่านั้นที่เราควบคุมได้

    มรรค.ล้างความยึดมั่นถือมั่นความยึดให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องกัน
    เราปราถนาจะให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดกับเค้าได้แล้วพร้อมวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วเราลงมือทำในส่วนที่เรากำลังทำกำลังบำเพ็ญให้ดีเท่าทีทำได้ให้ดีที่สุด
    และเราเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของการกระทำกรรมดีของพวกเราพี่น้องที่เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนหรือปีก่อนๆเมื่อมีพายุจะโดนผบกระทบมากกว่านี้เยอะมากค่ะและทุกข์ใจก็ลดลงได้ตามดับ

  25. นายรวม เกตุกลม

    เรื่อง มันวุ่นจริงๆ
    ช่วงนี้กำลังช่วยกันตัดหญ้า กวาดหญ้าในสวน เพื่อคลุมโคนกล้วย มะละกอ ผลไม้ และพืชผักอื่นๆที่อยู่ในสวน เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับต้นไม้ ก่อนที่จะเดินทางไปเข้าค่ายพระไตรปิฎก งานเยอะมากจนรู้สึกกังวลใจ
    เกรงว่าจะทำไม่ทันก่อนเดินทาง แต่ก็ได้ทำเต็มที่ จะเสร็จทันหรือไม่ ก็ไม่กังวลใจ

    ทุกข์:กังวลใจ

    สมุทัย:ยึดว่า ต้องทำงานให้เสร็จ ก่อนที่จะเดินทางไปเข้าค่าย แต่งานเยอะมากจนรู้สึกกังวลใจ เพราะไม่แน่ใจว่างานจะเสร็จหรือเปล่า

    นิโรธ:งานจะเสร็จหรือไม่ เราก็ไม่กังวลใจ

    มรรค:ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด เมื่อได้ทำเต็มที่แล้ว งานจะสำเร็จหรือไม่ เราก็ไม่กังวล เพราะความสำเร็จของงาน ไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน ใจที่ไร้ทุกข์ ใจยินดี ใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อเราได้พยายามทำเต็มที่แล้ว เพราะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งแล้ว

  26. นฤมล ยังแช่ม

    เข้าใจครู

    วันหยุดไปศาลีอโศกคะ รวมพลังหมู่ อยู่คนเดียวสู้กิเลสไม่ไหวคะ มาช่วยอาติ๋วทำงานตัดต่อข่าวเพื่อส่งข่าวบอกเล่าอโศก แต่เนื่องจากอาติ๋วท่านยังไม่เคยทำมาก่อน ก็ต้องลองปฏิบัติงานจริงคู่กับการจดขั้นตอนการจัดทำไปด้วย ซึ่งก็ช้า ในความคิดของเรา(ความคิดมารคะ) มีทั้งหมดสี่ข่าวก็กะว่าเย็นวันอาทิย์งานเสร็จก็จะกลับบ้าน

    ทุถข์ ทุกข์ใจถ้างานยังไม่เสร็จ

    สมุทัย ถ้างานเสร็จเร็วจะสุขใจ ถ้างานเสร็จช้าจะทุกข์ใจ

    นิโรธ งานเสร็จเร็วก็สุขใจ งานเสร็จช้าก็สุขใจได้

    มรรค พิจารณาว่าความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจ คือความสำเร็จของงาน เราเก็เป็นเช่นนั้นมาก เคยช้ามาก่อน กว่าเราจะทำงานได้เราก็ช้าแบบนี้แหละ ต้องจดขั้นตอนการทำช้า ๆ เพื่อตอนที่ไม่มีคนสอนอยู่ เราก็จะสามารถทำได้ คนที่เคยสอนเราท่านก็ใจเย็นสอนเราจนเข้าใจได้ แล้วเราจะไม่ใจเย็นสอนอาติ๋วแบบใจเย็นไปที่ละขั้นอย่างที่เราได้รบมาหรือ ทำให้เราได้เห็นถึงความเพียรของท่าน ที่ท่านกระตื้อรือร้นในการจะเรียนรู้และยังเอาภาระงานด้านสื่อที่มีคนทำงานน้อย

  27. เสาวรี หวังประเสริฐ

    เรื่อง กิเลสในใจเรา
    หลังจากที่พากเพียรตั้งศีลและปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ทำได้ดีมาโดยตลอดลดความชิงชังรังเกลียดตั้งใจปฏิบัติศีล5
    ให้บริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจ แต่พอเจอเรื่องที่เราควบคุมสถาณการณ์ไม่ได้ก็เกิดความเครียด ความคิดที่ตั้งมั่นในการปฏิบัติก็ลดหย่อนลงไปพ่ายแพ้ ให้กับกิเลสอีกจนได้ ผลก็คือไม่สบายกายไม่สบายใจจากความวิตกกังวลเครียดเรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่การงานช่วงหัวหน้าลาเดือนนี้ ต้องรับผิดชอบงานแทนซึ่งเป็นช่วงที่โรงพยาบาลจัดทำแผนปีงบประมาณ2564
    หัวหน้าที่
    ทุกข์ : วิตกกังวล เครียดเรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน

    สมุทัย : เหตุแห่งทุกข์กลัว กังวลจะทำงานได้ไม่ดี อยากทำงานให้ได้ดี

    นิโรธ : วางใจว่า “โชคดีอีกแล้วร้ายหมดอีกแล้ว” ให้บททบทวนธรรม จงทำดีเต็มที่เหนื่อยเต็มที่ไม่มีอะไรคาใจ ไม่เอาอะไร
    เบิกบานแจ่มใสดีกว่า

    มรรค : ใช้ปัญญาในการพิจารณา ใคร่ครวญหาเหตุผล โดย ไม่เพ่งโทษคนอื่น ทำความเข้าใจเรื่องกรรมที่เราเคยพลาดทำ
    มาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ สังเกตตุอาการของกิเลสในใจเราในทุกขณะ ใช้ปัญญาแก้ปัญหาพร้อมรับ พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยน
    ตลอดเวลา ด้วยใจไร้ทุกข์ ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ เก่งศีลเป็นสุขไม่เก่งศีลเป็นทุกข์

Comments are closed.