การบ้าน ความจริงและความลวง (12/2563) [27]

631115 การบ้าน ความจริงและความลวง (12/2563)

นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน ความจริงและความลวง ประจำวันที่ 9 – 15 พฤศจิกายน 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)

สรุปสัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้าน 27 ท่าน 28 เรื่อง

  1. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
  2. นางจิราภรณ์ ทองคู่
  3. ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
  4. ปริศนา อิรนพไพบูลย์
  5. จุฬิญญา ชายสวัสดิ์ (๒)
  6. เสาวรี หวังประเสริฐ
  7. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
  8. นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม
  9. อรวิภา กริฟฟิธส์
  10. ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
  11. ขวัญจิต เฟื่องฟู
  12. จิตรา พรหมโคตร
  13. นงลักษณ์ สมศรี(ลายใบไม้)
  14. สำรวม แก้วแกมจันทร์
  15. นปภา รัตนวงศา
  16. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์
  17. ณ้ฐพร คงประเสริฐ
  18. นธกานต์ สุวรรณ
  19. ป้าสม
  20. สมเพียร ลิ่มตระกูล
  21. มั่นศีลขวัญ. นางสนทยา กันทะมูล
  22. นางก้าน ไตรยสุทธิ์
  23. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆลมฟ้า)
  24. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
  25. นางภัคเปมิกา อินหว่าง
  26. ทิวากร ชุมจีด (บ่าว สุขแสงพุทธ)
  27. ศิริพร ไตรยสุทธิ์

Tags:

27 thoughts on “การบ้าน ความจริงและความลวง (12/2563) [27]”

  1. ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)

    ชื่อเรื่อง ความหลง(โมหะ)
    อยากหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อไว้ใช้ในยามที่เราเดือดร้อน เจ็บป่วยหรือคนในครอบครัวเจ็บป่วย เก็บสะสมไว้ใช้ในชีวิตตอนเราแก่ชราลงแล้วไม่สามารถที่จะทำงานได้อีก
    ความลวง
    การมีเงินมากๆสะสมเงินไว้มากๆจะเป็นความปลอดภัยและมั่นคงในชีวิต
    ความจริง
    การเสียเวลาแสวงหาสิ่งที่เกินกิน เกินใช้ เกินความจำเป็นต่อชีวิต เป็นการสร้างวิบากร้ายให้กับตนเองและผู้อื่น เพราะทำให้ผู้อื่นขาดแคลนเป็นการสร้างบาป โง่ชั่ว ทุกข์ให้แก่ตนเอง เพราะหลงในวิปลาส 4 เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นความไม่มีตัวตน ว่ามีตัวตน เห็นสิ่งไม่งาม ความไม่น่าได้ น่าเป็น น่ามี ว่าเป็นสิ่งที่งาม น่าได้ น่าเป็นน่ามี

  2. นางจิราภรณ์ ทองคู่

    เรื่อง หวงมะละกอห่าม

    เนื้อเรื่อง มาบำเพ็ญที่ภูผาฟ้าน้ำ ตอนเช้าเข้าครัวช่วยแม่ครัวเตรียมอาหารและงานหลักที่ทำคือปอกเปลือกมะละกอและขูดเป็นเส้นไว้ให้อาจารย์และเพื่อนๆ รับประทาน แต่เรายึดว่ามะละกอห่ามควรเอาให้อาจารย์ จึงหวงแต่เพื่อนบางท่านชอบขอแต่เส้นมะละกอที่ห่าม เราก็จะบอกเพื่อนว่าเอาไว้ให้อาจารย์ ทั้งที่อาจารย์ท่านไม่มีกิเลสแล้ว ทำให้แบบไหนท่านก็ทานได้ พอเข้ากลุ่มหมู่มิตรดีปลูกปัญญาพาพ้นทุกข์เพื่อนๆได้พูดถึงความยึด การยึดทำให้ทุกข์ จึงทำให้เราคิดได้ว่าแล้วเราจะมัวยึดทำไม เพื่อนอยากได้มะละกอห่ามก็ให้ไป ถ้าวิบากดีออกฤทธิ์มันต้องมีเหลือไว้ให้อาจารย์ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแนวความคิดใหม่คือ ถ้ามีเพื่อนคนไหนมาขอมะละกอห่าม เราก็ให้ตามที่ขอ ที่เหลือค่อยขูดให้อาจารย์ ปรากฏว่าหลังจากเราไม่ยึดและอนุญาตให้เพื่อนเอาไปตามที่ต้องการ แล้ว ก็ยังมีมะละกอห่ามเหลืออยู่และยังมีเพื่อนมาช่วยขูดมะละกอทำให้งานของเราเบาบางลงเราก็ไม่เหนื่อย ผัสสะ เพื่อนที่ชอบมะละกอห่าม

    ความลวง ถ้าได้เส้นมะละกอห่ามให้อาจารย์รับประทานจะสุขใจ แต่ถ้าเพื่อนมาเอาเส้นมะละกอห่ามไปและเหลือไม่พอกับที่จะให้อาจารย์จะทุกข์ใจ

    ความจริง ถ้าวิบากดีออกฤทธิ์ก็จะได้เส้นมะละกอห่ามให้อาจารย์ ตามที่ต้องการ แต่ถ้าวิบากร้ายออกฤทธิ์ก็จะไม่ได้

  3. ปริศนา อิรนพไพบูลย์

    เรื่อง : ไม่สบายใจที่เพื่อนไม่ชวน

    เนื้อเรื่อง : วันหนึ่งขณะที่เรานั่ง
    รับประทานอาหารพร้อมกับหมู่กลุ่มในวง
    ประชุมอปริหานิยธรรม เรานั่งอยู่ระหว่างเพื่อน ก.และ ข.สักพักหนึ่ง ก. ก็แบ่งอาหารชนิดที่1มาให้ ข.ต่อมาก็ยื่นอาหารชนิดที่ 2 มาให้ ข. อีกขณะนั้นเองเราก็สังเกตุเห็นจิตของตัวเองเริ่มหวั่นไหว อ่านอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจ
    ที่ ก. ไม่ได้เอ่ยชวนเราเลย เวลาผ่านไปไม่นานเราก็ได้สติว่า นี่เขาคือเราในอดีตที่เราเคยทำแบบนี้มาไงหละ ตอนนี้เรากำลังได้รับผลไงหละ เขาช่วยให้เราหมดวิบากร้ายนี้ไป เรายอมรับเท่าไหร่ก็หมดไปเท่านั้นและยิ่งเขาส่งต่อให้ค.และง.อีก ก็ยิ่งเป็นการย้ำให้เราเห็นชัดๆโต้งๆว่าเราทำมา และเมื่อเรายอมรับในวิบากนั้นแล้ว ทำให้อุปกิเลสที่จะเกิดตามมาถูกบล็อก (หากเราไม่ยอมรับวิบากร้ายนั้น จิตอันธพาลของเราก็จะแแตกตัวต่อไปเกิดเป็นกิเลสตัวที่ให้ทานใครแล้วหวังสิ่งตอบแทน(สาเปกโข) เรียกว่า ” ทวงบุญคุณ “ซึ่งเป็นการให้แบบมิจฉาทิฏฐิ เป็นการให้แล้วไม่มีผลช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เพราะให้ไปแล้วยังยืดว่าเป็นของๆเราอยู่
    ซึ่งการให้แบบหวังผล พอไม่ได้ตามที่หวังก็จะเกิดจิตที่ผูกโกรธว่า”วันข้างหน้าถ้ามีของอะไร เราจะไม่ให้เขาบ้างหล่ะ – ทีเราบ้าง(เอาคืน)

    จะเห็นว่าถ้าเราไม่ได้ดับไฟตั้งแต่ต้นลมคือไม่ได้เอาความเข้าใจที่ถูกตรงเรื่องกรรม+วิบากมาดับไฟที่กำลังเผาไหม้ใจเราอยู่ ไฟที่สุมอยู่ในใจก็จะลุกลามเกิดจิตเที่เลวร้าย(ลามก)ปรุงแต่งเป็นภพตามมาเป็นขบวนซึ่งเกิดเป็น
    ” ปฏิจจสมุปบาท “สายก่อทุกข์ให้กับตนเอง+ผู้อื่น(เบียดเบียนตน – เบียดเบียนท่าน)ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อที่1 ข้อที่2 คืออยากได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ให้(จิตขโมย)
    แล้วมารวมลงเป็นผิดศีลข้อที่5คือ
    อภิชฌา (โลภอยากได้เกินสิ่งที่เป็นไปได้จริง) พยาบาท (ชิงชัง รังเกียจ)
    มิจฉาทิฏฐิ (หลงเพราะไม่เข้าใจว่าว่าวิบากของกรรมดี กรรมชั่วมีอยู่) เมื่อได้พิจารณามาถึงตรงนี้จิตก็คลายจากความหลงยึดมั่นถือมั่นลง

    ในมุมกลับกันแทนที่เราจะโกรธ ขุ่นเคือง ก.กลับรู้สึกขอบคุณ ก.ที่ช่วยให้เราได้ลดวิบากร้ายลงไปได้ แล้วช่วยเปิดโอกาสให้วิบากดีเกิดได้ง่ายยิ่งขึ้น จิตตอนนี้หมดทุกข์ในเรื่องนี้แล้ว

    และเมื่อเราได้มาระลึกทบทวนอีกครั้งในอาหารที่หยิบยื่นให้กันนั้น แท้จริงเราก็มีอยู่แล้ว นั่นคือตัวเองก็มีมากพอแล้ว ถ้าเป็นกรณีที่ตัวเองขาดแคลนอาหารเหล่านั้นก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นกิเลสตัวนี้ของเราที่โผล่สลอนออกมาให้เห็นจึงไม่ใช่เรื่องของความโลภ “ด้านกาม “แต่แท้จริงมันคือ “ด้านอัตตา ” เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีต่างหาก

    จะเห็นว่าเรื่องนิดเดียวแต่ถ้ายังมีเชื้อของกิเลสอยู่ก็จะทำให้กิเลสแตกตัวไปได้อีกมากมาย ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ” ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย ” และ “กิเลสแม้น้อยก็เหม็นมาก ” ซึ่งผลที่ตามมาก็คือต้องได้รับวิบากร้ายทั้งหนัก มาก+ยาวนานเป็นเงาตามตัว

    เขียนเป็นอริยสัจ4ได้ดังนี้…

    ทุกข์ : น้อยใจ(ไม่สบายใจ)ที่เพื่อน ไม่
    ชวนเรา

    สมุทัย : ชอบ (สุข) ถ้าเขาชวน
    ชัง (ทุกข์) ถ้าเขาไม่ชวน

    นิโรธ : เขาจะชวนหรือไม่ เราก็ไม่
    ทุกข์ (เป็นสุข)

    มรรค : เมื่อได้พิจารณาเรื่องกรรม
    อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจนแล้ว สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
    ขอตั้งศีลว่าจะพยายาม “ให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้ ”
    เห็นโทษจาก”ความอยากได้ “ว่ามัน
    ไม่เที่ยง (อนิจจัง) + เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    เห็นประโยชน์ว่ามันไม่มีตัวตนจริง(อนัตตา) เห็นว่าความอยากหมดไปเราก็เป็นสุข
    เห็นจิตตนพ้นจาก ” วิปลาส 4 “นี้ได้ผลคือใจพ้นทุกข์ได้แล้ว100% เพราะได้เห็นความโง่ ของใจที่หลงไปยึดมั่นถือมั่นอย่างผิดๆนั่นเอง (/)

  4. จุฬิญญา ชายสวัสดิ์

    ชื่อเรื่อง โถนึกว่าแน่

    เนื้อเรื่อง เกิดโรคระบาดระรอกสอง โควิต-19ขึ้นอีกที่ยุโรป ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็เช่นกันมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้จำนวนมาก ด้วยระบบการรักษาของประเทศนี้คือถ้าอาการไม่หนักจริงๆจะไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน เมื่อตนได้รับแจ้งจากน้องที่รู้จักกันว่าเธอป่วยและมีอาการหนักมาก แสบคอ อ่อนเพลียไม่มีแรง หายใจไม่สุดและอาการอื่นๆครบที่เหมือนเป็นโควิต-19 (แต่ผลตรวจออกมาไม่พบเชื้อโรคโควิต-19) ตนจึงได้แนะนำให้เขาดูแลตัวเองด้วยวิธีของแพทย์วิถีธรรม แต่น้องเขาไม่มีน้ำมันเขียว ไม้กัวซา หรือน้ำสกัดย่านางและอื่นๆเลย น้องเขาบอกว่า “ตอนนั้นพี่บอกว่าจะมาเยี่ยมหนูแล้วพี่ไม่ได้มา” ในใจรู้สึกผิดมากที่ตนเองลืมว่าเราจะขอไปเยี่ยมน้องที่บ้านเมื่อกล้บมาฮอลแลนด์ แต่เมื่อกลับมาถึงเนเธอร์แลนด์ตนก็ลืมเสียสนิทว่าจะไปเยี่ยมน้องเค้า ด้วยความละอายใจตนจึงบอกน้องเขาว่าจะพี่จะเอาข้าวต้มและสิ่งของดังกล่าวไปให้นะค่ะ ในใจแอบคิดว่าจะไปกัวซาหลังให้น้องเขาด้วยเขาจะได้หายเพลียเพราะคิดว่าตนนั้นก็มีภูมิคุ้มกันแล้วเนื่องจากพ่อบ้านก็เคยป่วยด้วยโรคนี้ แต่พอตนบอกพ่อบ้านว่าจะไปเยี่ยมผู้ป่วย แต่พ่อบ้านคัดค้านตนจึงบอกพ่อบ้านว่าจะเอาของไปส่งและวางไว้ที่หน้าบ้านเท่านั้น (แต่ในใจคือไม่ต้องการให้พ่อบ้านไม่สบายใจ) และระหว่างทางได้คิดว่าจะพูดอะไรกับพ่อบ้านหรือลูกของน้องที่ป่วยบ้างเพราะน้องเขาบอกว่าเขาแยกห้องนอน แยกพื้นที่กับครอบครัว แต่เมื่อไปถึงคนที่มาเปิดประตูกลับเป็นน้องที่เป็นผู้ป่วยมาเปิดประตู เมื่อเห็นสภาพผู้ป่วยผมเผ้ารุงรัง ใส่หน้ากากปิดปากและจมูก ใส่เสื้อคลุมอยู่บ้านสีตุ่นๆปล่อยรุ่มร่ามไม่ผูกสายรัดเอ็ว ตนกลับรู้สึกรังเกียจอย่างแรงและโพล่งออกไปเสียงดังว่า “แฟนพี่ไม่อนุญาตให้เข้าบ้าน เอาภาชนะมาใส่อาหารด้วย” พูดแล้วก็สะดุ้งโหยงในใจ เสียงตะโกนในหัวคือ “เฮ้ยทำไมเราทำเสียงอย่างนี้วะ” “เฮ่ยนี่เรารังเกียจนี่หว่า” ในใจเริ่มสั่นหวั่นไหว อาย อายมากๆ น้องเขาก็รับของไปและเอาชามที่ใส่ชุดข้าวต้มถอนพิษ(แบ่งเป็นถุงๆ)เข้าไปในครัวหยิบออกและเอาชามเปล่ากลับมาคืน ตนเองรับชามมาแต่ในใจนั้นแอบรังเกียจ “มีเชื่อโรคหรือเปล่านะ ยี้ จับตรงใหนดีเราจะได้ไม่โดนเชื้อโรค” กระแสความอายก็ซัดเข้ามาอีกระรอก “ยัง ยัง ยังรังเกียจเขาอีกแนะ แกนี่มัน โห….จริงๆเลยนะ” เสียงใหนหัวตะโกนลัน ก็ได้บอกน้องเค้าว่าอะไรใข้อย่างไร้สั้นๆ คนป่วยบอกหนูไม่มีแรงยืนพี่ จึงบอกว่าจะส่งข้อความแนะนำแทน (น้องเขาเคยบอกว่าไม่มีแรงพูดต้องพิมพ์เอา) ระหว่างเดินกลับมาที่รถความรู้สึกละอายในใจรุนแรงชัดเจนมา จึงนั่งอยู่ในรถและส่งข้อความบอกน้องเขาว่าที่ให้ไปมีอะไรบ้างและใช้ทำอะไรก่อนขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจที่บอกไม่ถูก”มันอาย” ยิ่งตอนที่น้องเขาพิมพ์ขอบคุณในน้ำใจเรายิ่งอายเพราะเราไม่ได้จิตใจงดงามอย่างที่เขาชื่นชมเลย ภายนอกกับภายใจช่างต่างกันนัก

    ผัสสะ 1 เกิดความอายใจอย่างมากจำได้ว่าตนนั้นไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยตามที่ได้พูดไว้
    2 เกิดความละอายใจอย่างรุนแรงและสลดใจอย่างรุนแรงที่ตนแสดงท่าทีรังเกียจผู้ป่วย

    ความลวง 1 คิดว่าตัวเองไม่กลัวติดโรคเพราะคิดว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันแล้ว
    2 ทำเป็นคนจิตใจดีเอาอาหารและยาไปส่งผู้ป่วย อัตตาพาไปทำดีแก้ตัว
    3 แอบอยากในใจ อยากกัวซาให้คนป่วยโควิตที่อาการหนักแบบนี้อยากรู้ว่าจะได้ผลเช่นไรจะ
    ได้เอาไปอวดว่าวิชากัวซานั้นยอดเยี่ยมเพียงได จงมาฝึกมาเรียนกันให้มากๆเถอะ
    4 อัตตาพาไปเพราะตนอยากให้วิชาที่มีช่วยคน ได้ช่วยคนก็สมใจ ได้โออวดวิชาว่าเรียนง่าย
    ทำง่ายปฏิบัติง่ายอย่างไร ได้โฆษณา แพทย์วิถีธรรมว่าดีเลิสนักหนา จะได้ชวนมาเรียน
    เป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ อยากให้คนไทยในเนเธอร์แลนด์หันมาสนใจยาเก้าเม็ดจริงๆ
    จังๆ แยะๆ ตนจะได้มีหมู่มิตรดีสหายดีที่อยู่ประเทศเดียวกันหลายๆคน

    ความจริง 1 แท้จริงแล้วจิตใจนั้นเรานั้นยังหยาบอยู่มาก ขาดเมตตา ยังรังเกียจเดียจฉันโรคติดต่อและผู้
    เป็นโรคติดต่ออย่างมาก ความจริงคือเรายังรักตัวหวงตัวไม่ต้องการให้กายนี้ป่วยใข้นั่นเอง
    2 ความสำนึกผิดและอยากทำดีแก้ตัวคือเหตุผลที่เราที่แท้จริงที่เราจะเอาอาหารและยาไปให้
    ผู้ป่วย ความจริงคือเรายึดดีนั่นแหละจึงยินดีเบิกบานนักที่ได้ทำสิ่งนี้ยอมขับรถ 121กิโลเมตร
    ไปเพื่อทำดีแก้ตัว ล้างอาย
    3 ใครจะเรียนหรือไม่เรียนวิชากัวซาก็ได้ ใครจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์จากวิชานี้ก็ได้
    เราไม่ควรไปทุกข์ ไปอึดอัดที่คนไม่ได้ใช้ของดี ทุกคนมีวิบากดีร้ายต่างกัน
    4 ควาจริงคือจะมีใครใช้หรือไม่ใช้ยาเก้าเม็ดที่เนเธอร์แลนด์ก็ได้ จะได้ช่วยคนไมได้ช่วยคน
    ก็ได้ การอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีหมู่มิตรดีที่นี่เลยก็ควรจะสุขใจได้ เบิกบานได้ ควรจะเบิก
    บานใจได้ ใจผาสุกได้ ทำความผาสุกที่ตนให้บรรลุคืองานหลัก แก่นหลักที่ต้องทำให้ลุล่วง
    “ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน”

  5. จุฬิญญา ชายสวัสดิ์

    ชื่อเรื่อง ไปสาย

    ชื่อเรื่อง เมื่อนัดหมายเวลากับน้องที่ป่วยว่าจะเอาข้าวต้มถอนพิษ สมุนไพรและอุปกรณ์ถอนพิษไปให้ตอนสายของวัน แต่มีเหตุการณ์มาแทรกหลายอย่างจนทำให้ไปถึงบ้านน้องเขาเกือบเย็นแล้ว ระหว่างนั้นทุกข์ใจว่าไม่ได้ไปตามเวลานัดหมาย แม้จะส่งข้อความไปบอกเขาแล้ว เพราะกลัวเขารอ สงสารเขาที่ป่วยหนัก

    ความลวง ต้องไปทันเวลาตามนัด ต้องไปเร็วๆเขาถึงจะมีความสุขเราถึงจะมีความสุขสมใจ ดีต้องเกิดถึง
    จะสุขใจ ถ้าดีไม่เกิดก็ทุกข์ใจ สรุปการเอาแต่ใจคือความลวง

    ความจริง คือเวลานัดหมายนั้นมีได้แต่การไม่ได้ไปตามนัดหมายก็เกิดขึ้นได้ การยึดเอาเวลานัดหมายมาทุกข์นั้นเป็นเพราะเรานั้นติดดียึดดี ถ้าดีเกิดจึงจะสุขใจ ถ้าดีไม่เกิดก็ทุกข์ใจนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ควรละเสีย เหตุการณ์ที่มาแทรกนั้นมาเพื่อให้เราได้ฝึกลด ละ การยึดดี ติดดีนี่แหละ ชีวิตไม่มีอุปสรรค์มีแต่อุปกรณ์ให้เราได้ใช้ฝึกฝนเพื่อหัดรู้สภาพทุกข์ใ้ห้ชัดแจ้ง ให้ฝึกละเหตุแห่งทุกข์นั้นให้เร็ว ฝึกให้รู้แจ้งรู้ชัดถึงสภาพที่ทุกข์ดับไปมีความแจ่มใสเบิกบานเป็นเจ้าเรือนใจ ให้เราได้ฝึกเจริญมรรคเจริญปัญญาใช้ดับทุกข์ได้คล่องได้เร็ว

  6. เสาวรี หวังประเสริฐ

    เรื่อง งานที่รอวันสำเร็จ
    การทำงานโครงการต้องมีการสรุปผลงานส่งตามเวลาที่กำหนดซึ่งเราทำสรุปโดยย่อส่งไปเรียบร้อยการคืนเงินส่วนที่เหลือจากการใช้งบประมาณมอบให้เจ้าหน้าที่การเงินดำเนินการส่วนการสรุปรูปเล่มต้องรอทีมงานร่วมสรุปด้วยกัน
    ความลวง
    งานทั้งหมดต้องเสร็จภายในเวลาที่กำหนดจึงจะถูกต้อง จะสบายใจได้
    ความจริง
    งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นกับเหตุปัจจัย ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน
    ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน

  7. พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

    เรื่อง — ความผิดพลาดในงานไม่ใช่เรื่องแย่นักหรอก การโทษผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ๆ ต่างหากที่แย่ที่สุด

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ พ.ย. ๒๕๖๓ ผมได้ไปถ่ายวีดีโอสัมภาษณ์จิตอาสารุ่นพี่ท่านหนึ่ง สำหรับทำเป็นรายการ “ชีวิตที่เปลี่ยนไปของจิตอาสา” ในการถ่ายทำครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมสนทนาด้วยอีกท่านหนึ่ง เป็นเพื่อนของจิตอาสาที่ได้คบคุ้นกันพอสมควร และมีผมกับแม่บ้านเป็นผู้ดำเนินรายการ จึงมีผู้เข้าร่วมการพูดคุยในวีดีโอนี้ทั้งหมด ๔ คน

    ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันผมก็ได้สอบถามเจ้าของสถานที่ที่เราจะไปถ่ายทำแล้วว่าที่นั่นเงียบสงบดีหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าเงียบสงบดีเพราะเป็นวันอาทิตย์ และผมก็ได้ทดสอบไมโครโฟนทุกตัวที่จะนำไปใช้ในงานนี้แล้วด้วยว่าเสียงที่บันทึกออกมาใช้ได้ แต่พอถึงตอนที่ถ่ายทำอยู่ เกิดมีเสียงตัดเหล็กจากโรงงานข้าง ๆ ดังขึ้นมาเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่ช่วงที่เรารับประทานอาหารร่วมกันก่อนเริ่มงานมันก็เงียบสงบดีอยู่ แต่ผมก็ถ่ายทำต่อไปจนจบเพราะคิดว่าแม้เสียงตัดเหล็กจะดังรบกวนบ้างก็ไม่เป็นไร มันไม่น่าจะดังมากจนกลบเสียงพูดคุยในวีดีโอเพราะตอนถ่ายทำเรายังพอได้ยินเสียงพูดของแต่ละคนได้ไม่ลำบากนัก คือยังพอคุยกันได้รู้เรื่องดี

    แต่หลังจากถ่ายวีดีโอเสร็จแล้วนำไฟล์กลับมาเปิดดูในคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ปรากฏว่าเสียงตัดเหล็กที่แทรกเข้ามานั้นดังมากดังจนรบกวนโสตประสาทมากเกินไป และดังอยู่เป็นระยะ ๆ เกือบตลอดทั้งเทป ผมพยายามหาวิธีลดเสียงรบกวนด้วยโปรแกรมตัดต่อแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร สุดท้ายจึงต้องยอมแพ้และตัดสินใจยกเลิกงานชิ้นนี้ไป ระหว่างนั้นแม่บ้านได้ช่วยแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้จิตอาสารุ่นพี่ทราบและขอโอกาสท่านในการถ่ายทำงานนี้ใหม่ และผมได้ส่งคลิปตัวอย่างบางส่วนที่มีเสียงตัดเหล็กรบกวนให้ท่านดูด้วย ซึ่งท่านก็เข้าใจและยินดีให้ความร่วมมือใหม่ในโอกาสต่อไป

    ผัสสะ — ถ่ายวีดีโอมาแล้วใช้ไม่ได้ มีเสียงตัดเหล็กแทรกดังมาก

    ความลวง — เป็นความผิดของคนที่บอกเราว่าที่ตรงนั้นเงียบสงบดี และเป็นความผิดของไมโครโฟนที่มีความไวในการรับเสียงดีเกินไป รวมทั้งเป็นความผิดของตัวเราเองด้วยที่ประมาทคิดเอาเองว่าเสียงตัดเหล็กที่อยู่ห่างออกไปนั้นคงจะไม่ดังมากเท่าเสียงพูดที่อยู่ติด ๆ กับไมโครโฟน

    ความจริง — ความผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้ชดใช้วิบากกรรม และมันเป็นเรื่องดีที่สอนให้เราต้องรอบคอบมากขึ้นในการทำงานครั้งต่อไป นอกจากนี้ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้เห็นความร่วมมือร่วมใจและความไม่ถือสาของพี่น้องจิตอาสาด้วยกันเองในการทำงาน เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมา จิตอาสารุ่นพี่ท่านนี้ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเราแม้แต่น้อย มีแต่ความเข้าใจและยินดีที่จะสละเวลามาทำงานชิ้นนี้กันใหม่ในโอกาสหน้าด้วย

  8. นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม

    สีเขียวเป็นเหตุ

    วันนี้10 พ.ย 2563 ช่วงเวลาบ่ายสองโมง ข้าพเจ้าขับรถผ่านร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งมีเสื้อJacketสีเขียว แขวน อยู่ ตามองเห็นตรวจใจดู เห็นความหวั่นไหวชอบใจเสื้อสีเขียว เล็กน้อย อยากจะจอดรถดู จึงฉุกคิดได้ว่าตั้งศีลไว้ หน้าหนาวปีนี้จะไม่ซื้อเสื้อJacket ตัวใหม่

    ผัสสะ : เสื้อJacket สีเขียว รูปทรงสวยดูดี

    ความลวง : เสื้อJacketสีเขียวรูปทรงสวยดูดี สีเขียวเรายังไม่มี ถ้าเรามีก็คงจะดีเผื่อเอาไว้ใส่ เวลาไปเข้าค่าย

    ความจริง : เสื้อJacket มีมากเกินพอแล้ว มีสีดำ สีขาว สีเหลือง สีเทา สีฟ้า ไม่ควรจะไปยึดว่าจะต้องเป็นสีเขียวถึงจะใส่ไปค่าย สีอะไรก็ได้ที่เรามีอยู่ เมื่อตรึกตรองอย่างนี้ และระลึกถึงศีลที่ตั้งมาปฏิบัติ ว่าหน้าหนาวปีนี้ถึงแม้ว่าจะมีเสื้อJacketรูปทรงสวยดูดีแค่ไหนก็จะไม่ซื้อ เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้ ใจก็คลายลง ขับรถผ่านร้านขายเสื้อผ้าต่อไปด้วยใจที่เบิกบาน สาธุ

  9. อรวิภา กริฟฟิธส์

    อย่าอยากได้เกินกว่าที่ตัวเองทำได้

    วันนี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเข้าสวนเก็บผักมาทำกับข้าวแล้วก็มีความคิดว่าอยากขุดสวนทำแปลงผักและก็อยากใส่ปุ๋ย อยากทำร้านให้ฝักกับมะระ แล้วใจก็ไปคิดว่าถ้าพ่อบ้านช่วยเราบ้างก็จะทำให้งานเร็วขึ้น เห็นใจที่มีความโลภอยากได้มากกว่าที่ตัวเองทำได้เริ่มมีความไม่ยินดีเพ่งโทษพ่อบ้านว่าไม่เอาภาระ

    ผัสสะ อยากทำงานให้ได้มากกว่าที่ตัวเองทำได้

    ความลวง ถ้าได้งานมาก ๆ อย่างที่ใจต้องการเป็นสุข

    ความจริง งานจะเสร็จอย่างที่ใจเรามุ่งหมายทั้งหมดก็ได้ไม่ได้ทั้งหมดก็ได้ แต่ใจเราจะยินดีตามความเป็นจริงที่เราทำได้ ไม่ไปคาดหวังให้คนอื่นมาช่วยทำตามที่เราต้องการ ถ้าเขามาช่วย งานเสร็จเร็วตามที่เราต้องการก็ดี เป็นวิบากดีของเราและเขาให้ได้อาศัย แต่ถ้าไม่ได้เราก็ยินดีเท่าที่เราทำได้ ไม่โลภมาก ควรยินดีพอใจเท่าที่เราทำได้ ความโลภเป็นกิเลส เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดีนำทุกข์มาให้ไม่มีวันสิ้นสุด เรามีหน้าที่ทำแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้ดีที่สุดให้โลกและเราได้อาศัยก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น

  10. ขวัญจิต เฟื่องฟู

    ความจริง ความลวง

    ขื่อเรื่อง ถอนฟัน ถอนกิเลส

    มีฟันกรามซี่หนึ่งที่หมอฟันบอกให้ถอนออกตั้งนานเเล้ว เพื่อที่จะได้รักษาซี่ต่อไปได้ง่าย ควรถอนออก ด้วยความกลัวก็ผลัดมาเรื่อยๆ จนที่รัฐบาลสั่งปิดร้านเนื่องจากโควิดระบาดรอบสอง ก็เลยตัดสินใจที่จะถอนฟันออกเพราะมีเวลารักษาเเผล
    พอถึงเวลาถอนฟันจริง หมอทายาชาเเละฉีดยาชาให้ ถอนฟันไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ เห็นทุกกระบวนการทุกอย่างที่เกิดขึ้น เเผลที่เป็นอยู่ก็ใช้รักษาเเบบเเพทย์วิถีธรรม น้ำหมักมักมังคุด อมน้ำปัสสาวะ น้ำมันเขียว อาการปรับสมดุล วางใจ
    วันนี้วันที่สามไม่มีอาการปวดหรือบวมเลย เเต่ก็จะดูเเลรักษาเเบบเเพทย์วิถีธรรม ไปเรื่อยๆจนกว่าเเผลจะหาย

    ผัสสะ หมอฟันเเนะนำให้ถอนฟันกรามออกหนึ่งซี่เพื่อที่ง่ายต่อการรักษาฟันซี่ถัดไปง่าย

    ความลวง คิดปรุวเเต่งให้ตัวเองกลัวรอ จะเจ็บจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้

    ความมจริง ถอนเเป๊บเดียว ไม่เจ็บเหมือนที่คิด
    ได้สภาวะธรรมตรงที่ว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน รักษาตามอาการที่เป็น กิเลสมันหลอกให้เรากลัวอยู่ตั้งนาน ถอนฟันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ถอนครั้งนี้ ถอนกิเลสความกลัวได้สำเร็จ ใจรู้สึกมีพลังขึ้นมาเยอะ ที่เอาชนะความกลัวตัวนี้ได้ สาธุ

  11. จิตรา พรหมโคตร

    เรื่อง:แผลแห่งกุศล

    เนื้อเรื่อง:เมื่อเห็นขาทั้งสองข้างของพ่อบ้านเป็นแผลสะเก็ดหนังแข็งแตกแยะมีเลือดและน้ำเหลืองไหล มีกลิ่นเหม็นคาวมาก เรารู้สึกรังเกียจกลิ่นเหม็นและกลัวจะติดเชื้อโรค

    ผัสสะ:เห็นแผลแล้วรู้สึกรังเกียจ

    ความลวง:แผลที่แตกแยะมีน้ำเหลืองไหล น่ารังเกียจมีเชื้อโรค

    ความจริง:แผลที่พ่อบ้านเป็นนั้นเกิดจากภาวะร้อนเกิน แต่ใจเราที่ไปรังเกียจและกลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อ เป็นใจที่มีภาวะร้อนเกิน เราต้องปรับสมดุลใจของเราโดยการทำใจให้รู้ว่าความกลัวและความรังเกียจเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าเชื้อโรคอีก เพราะนำมาซึ่งทุกข์ใจที่เป็นทุกข์ทั้งแผ่นดิน เราควรจะยินดีเป็นโอกาสดีของเราแล้วได้ทำกุศล เราไปหาสมุนไพรฤทธิ์เย็นใกล้ตัวเช่น หยวกกล้วย ย่านาง ใบเตยมาต้มแช่มือแช่เท้า และปรุงยา5*100 ให้กับพ่อบ้านทำด้วยใจยินดีปราถนาดี ทำดีที่ทำได้แล้วก็ปล่อยวาง

  12. นงลักษณ์ สมศรี(ลายใบไม้)

    ฟันผุ แต่ใจเกือบพัง

    ช่วงนี้ กินแป้งเยอะ ไม่ค่อยใส่ใจกับอาหารเท่าที่ควร ร่างกายไม่สมดุล สังเกตุว่าฟันน่าจะผุ จึงนัดหมอฟัน คิดว่าก่อนกลับไทย น่าจะทำให้เรียบร้อยก่อน หมอเชคแล้ว ใช้น้ำยาเย็นๆ จิ้มมาที่ฟัน ซี่ที่ผุ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย หมอถามว่าเสียวฟันมั้ย หมอถามตั้งสามครั้ง เราไม่รู้สึกอะไรเลย
    หมอดูภาพเอ็กซเรย์ และบอกว่าคงต้องรักษารากฟันแล้ว นึกในใจว่า งานนี้ยาวแน่ๆ จึงแจ้งหมอว่าจะกลับไทย หมอก็เชคคิวเลื่อนคิวอื่นให้ และทำใบนัดให้กลับไปรักษารากฟัน ก่อนกลับไทยสองวัน หมอก็อุดฟันสำรองมาให้ พอออกจากคลีนิก ก็มีอาการไม่แช่มชื่น มึนๆ คลื่นไส้ กลับถึงบ้านก็ คิดว่าหิวหรือเปล่า ก็กินผักนึ่ง แต่อาการก็หนักขึ้น ถึงขั้นจะซึมเศร้า ไม่ยินดี ไม่อยากทำอะไร พรุ่งนี้ก็พาลไม่อยากเข้าห้องเรียน แต่เท้าดันพาเดิน มานั่งหน้าคอมเพื่อทำงานกลุ่ม แค่มองจอมองตัวหนังสือไม่ชัด ปวดหัว อยากเกเรมากกว่า พอได้ฟังพี่น้องในกลุ่มเพชรฮึกเหิม สนุกสนานกับการทำภาพ เลยขอตัวไปล้างพิษ เสร็จแล้วก็กลับมาทำงานต่อ อาการทางกายก็ค่อยๆเบาลงไป

    ผัสสะ : ไม่แช่มชื่น เบิกบาน

    ความลวง : กิเลสหลอกว่า เรากำลังเศร้า ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเข้าหมู่ มันพาให้ปรุงไปเรื่อย

    ความจริง : แค่ผลของยาเคมีและรังสี X ที่มีผล แค่เพียงร่างกาย พอครั้งนี้ไม่ไปตามใจกิเลสที่จะคิดให้ทุกข์ ทำตรงกันข้ามคือพิจารณา ว่าอาการทางกาย มันไม่เที่ยง
    ระลึกคำของอาจารย์ว่าพุทธะ ที่แท้จริง จะไม่เศร้า ยอมรับวิบาก ว่าเราเคยมึน เคยเมาเพราะไปผิดศีลมาตั้งหลายครั้งหลายหน ล้างกิเลส ล้างใจ ตั้งอธิศีล สังวรณ์ ระวัง ในศีลข้อ 5 เพิ่มอย่างละเอียดขึ้น รวมไปถึงอาหาร จากนั้นก็ได้เข้ามาสานพลัง กลุ่มกับพี่น้องก็รู้สึกค่อยๆเบากาย เบาใจ ไปจนกระทั่งรู้สึกเบิกบาน มีฉันทะ เพิ่มขึ้น ด้วยความวางใจว่า แม้กายป่วยแต่ใจไม่ป่วยตาม งานจะเสร็จก็ได้ ไม่เสร็จก็ได้เช่นกัน

  13. สำรวม แก้วแกมจันทร์

    ขนมข้าวพอง..น่ากิน

    เมื่อวาน พวกเราจิตอาสาสวน 2 ต่างก็ทยอยกันมาถึงศูนย์ฯ ตามที่ได้นัดหมายและตกลงกันว่า “วันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2563” เราจะมีการนัดพบกันเพื่อประชุมเกี่ยวกับรายละเอียดของกิจกรรมความเคลื่อนไหว ตามนโยบาย ของแพทย์วิถีธรรม ที่อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน นำพาทำ ไปพร้อมกันทั่วประเทศและทั่วโลก คือ “สื่อสารการพึ่งคน และช่วยคนให้พ้นทุกข์” ซึ่งแต่ละคนก็ได้นำพาของกิน-ของใช้ต่างๆ มากมาย ถือติดไม้ติดดมือกันมาเยอะแยะ โดยเฉพาะของกิน เช่น ขนม ต่างๆ เป็นต้น

    ผัสสะ : เพื่อนคนหนึ่งหยิบเอาขนมข้าวพองมาวางไว้บนโต๊ะ ตรงหน้าเราพอดี พอเห็นปุ๊บ ตาก็จ้องปั้บ มองดูแล้วใจก็เริ่มปรุงด้วยความตั้งใจ เกิดความอยากจะลองหยิบมากินทันที หูก็ได้ยินเพื่อนอธิบายรายละเอียดความเป็นมาของขนมข้าวพองถุงนี้

    ความลวง : พอตาเห็น จิตคิดปรุง ใจก็เกิดความอยากกินขึ้นมาทันที ระหว่างนั้น จิตก็สั่งให้ว่า รีบเอื้อมมือไปหยิบถุงขนม แล้วเปิดถุงขนมกินเลย จิตสั่งต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ทันที เราไม่รู้เลยว่า ความเป็นมาและที่มาของขนมนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ความอยากกิน คือ กิเลส มันจะกินเพื่อความอร่อยอย่างเดียว เหตุผลอื่น ไม่มี ไม่เกี่ยวทั้งสิ้น

    ความจริง : ขนมข้าวพองทำมาจากข้าวเหนียว ผ่านกระบวนการ กรมสิธีการทำตามขั้นตอน การทำให้ขนมอร่อยชวนน่ากินตามลำดับ อย่างพิถีพิถัน ของคนปรุงอน่างสุดฝีมือ ต้องใข้ข้าวเหนียว ชนิดนั้นชนิดนี้ ใช้น้ำมันอะไรทอดให้อร่อย ทำอย่างไรให้กรอบหวานอร่อย เพื่อให้คนกินต้อวการ ชอบติดใจในรสชาติ จะได้ขายดีมีรายได้เยอะ จริงๆ แล้ว ถ้าจะกินข้าวเหนียวก็หุงกินทำกินแบบง่ายๆ ธรรมดาไม่ต้องปรุงแต่งมาก ถ้าปรุงมากเมื่อไหร นั้นแหละคือความต้องการของกิเลส (อาจารย์หมอบอกว่า “กิเลสล้วนๆ)

    ในที่สุด ครั้งนี้กิเลสมาร ตัวอยากกินขนมข้าวพอง ก็เงียบสงบได้ง่ายดาย เพราะว่า ได้เกิดปัญญาก่อนที่จะไปคว้า..แล้วหยิบเข้าปากเคี้ยว… ด้วยสาเหตุเพราะได้ยินเพื่อนพูดอธิบายเล่าความเป็นมาของขนมว่า เป็นขนมเก่านานแล้ว มีกลิ่นเหม็นสาบของน้ำมันที่ใช้ทอด จะเก็บเอามาทำปุ๋ยที่สวน2แต่ก็ยังกรอบอยู่ (ที่ผ่านมา..ทำแบบนั้นบ่อยครั้ง เพราะไม่ทันกิเลส กิเลสเร็วมาก)

    อาหารเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ ถ้าเรามีเหตุผลในการกิน และรู้จักประมาณในการกิน เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริง จึงเข้าใจความจริง-ความลวง คือการใช้ยาเม็ดเลิศ” ในชีวิตประจำวันที่ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดี ในการ “พึ่งตนเองได้และช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้” นั้นคือ ใจสำคัญที่สุด เพราะว่า “ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง”

  14. นปภา รัตนวงศา

    ทำไมผอมจัง

    สภาวะเกิดจากที่ต้องเดินทางออกจากบ้านไปกรุงเทพ งานรับปริญญาลูกชายที่ต้องเจอคนที่เราไม่คุ้นเคย ที่อยู่ในแวดวงคนร่ำรวย คนมีหน้ามีตา คนไฮโซ ทำให้ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอ อยากไปเช่าโรงแรมที่ไม่ต้องเจอ แต่เราจะหนีจากสังคมแบบนั้นไม่ได้
    ความลวง ทำไมพี่พอมากินมังสวิรัติแล้ว ถึงได้ผอมมาก แห้ง เหี่ยว ดำ ดูไม่ได้เลย อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี่ยวขาดสารอาหาร ขาดธาตุอาหารแน่ๆเลย แบบนี้ต้องมากินปลา อย่างน้อยก็กินนมกินไข่บ้างนะ
    ความจริง ผอมแล้วเป็นไง ผอมแต่แข็งแรง อ้วนแล้วมีแต่โรคจะเอาไหม ผอมแบบนี้ดีแล้ว ตัวเบา สบาย เดินเหินไปไหนก็คล่องแคล่วว่องไว ดีจะตาย แถมยังวิ่งได้ด้วย จะเอาเดินก็ไม่ได้วิ่งก็ไม่ได้อีกใช่ไหม ไม่เอาอีกแล้ว ถึงจะผอมลงไปมากกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่าพันเท่าแต่ถ้าแข็งแรง สบาย เบากาย มีกำลังก็เอาทั้งนั้น ฉะนั้นไม่ต้องมาหลอกกันอีกเลยนะ ไปให้ไกลๆเลย
    ครั้งนี้วางใจได้จริงๆ ใครจะมองอย่างไงก็ไม่ได้ใส่ใจ ตั้งใจทำที่ตัอเองจริงๆในการกินอาหารมังสวิรัติไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน ที่มหาวิทยาลัย ที่บริษัท ที่สนามบิน นับ1ที่เราจริงๆ

  15. นวลนภา ยุคันตพรพงษ์

    กลัวการใช้์Notebook

    เนื่องจากเรียนต่อป.เอก ต้องทำการบ้านต้องส่งทุกสัปดาห์ จากที่อาจารย์เอื้อให้เขียนด้วยมือ จนกระทั่งหลีกเลี่ยงใม่ใด้ต้องพิมพ์ส่งทั้งข้อสอบปลายภาคที่ผ่านมา บทความและสาระนิพนธ์จนถึงดุษฎีนิพนธ์ที่ต้องเตรียมทำโครงร่างบทที่1 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้Notebookอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ความลวง : คุ้นชินกับการใช้เสียงพูดจากมือถือ ไม่ถนัดการพิมพ์ที่ห่างเหินมานานจากการเรียนป.โทเมื่อกว่า30ปีที่แล้วจากอเมริกา โดยดฉพาะไม่ถนัดการพิมพ์ภาษาไทย รวมถึงเครื่องที่ไม่ชำนาญไม่ทราบวิธีการใช้ ช่วงแรกยังเบิกกุศลมีเพื่อนมาช่วยพิมพ์ให้ แค่หาข้อมูล จึงส่งการบ้านเทอมแรกได้อย่างสบายใจ และหวังลมๆแล้งๆว่าจะจบป.เอกได้ด้วยการยืมจมูกผู้อื่นหายใจเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

    ความจริง : เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ เพื่อนที่เก่งและชำนาญการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ว่างกระทันหันระยะยาวจะไม่ได้ไปมาหาสู่อีกแล้ว จึงต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ต้นเทอม2อยู่กับNotebook ทั้งวันทั้งคืน หอบไปเรียนด้วย เบิกกุศลดีที่มีน้องๆที่เคยผ่านค่ายสุขภาพมาร่วมบำเพ็ญที่สวนสามช่วงเสาร์อาทิตย์ช่วยสอน รวมทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียนป.เอกที่เก่งเรื่องรูปการทำวิทยานิพนธ์ที่มจร.ช่วยสอนอย่างใจเย็น จนทำให้คิดว่าตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน โชคดีแล้วที่เพื่อนที่เคยช่วยพิมพ์งานให้ติดภารกิจส่วนตัวเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้เขียนต้องขวนขวาย ขจัดความกลัวเครื่อง หัดพิมพ์งานด้วยตัวเองแม้จะช้า แต่ก็ภูมิใจที่มีการบ้านที่สำเร็จได้ด้วยตนเอง เป็นการทบทวนบทเรียนเพิ่มจากการหาข้อมูลช่วยให้การพรีเซ้นต์งานได้อย่างราบรื่นและยัง ได้ทบทวนพระไตรปิฎกในพระสูตรต่างๆที่นำมาใช้อ้างอิงใน การบ้าน บทความ สาระนิพนธ์ต่างๆ

    ผัสสะ : เกิดโลกธรรมที่ทุกคนคาดว่าผู้เขียนที่จบป.โทจากUSA. น่าจะต้องเก่งไอที ที่ไหนได้ไม่มีความรู้เลย เพราะแม้การทำสื่อที่โพ้สต์เฟสบุ้ค ไลน์ทุกวันก็จากการฝึกฝนการใช้มือถือที่มาเรัยนรู้จากสื่อจิตอาสาสวนสามเมี่อสามปีที่แล้ว จนชำนาญในปัจจุบัน แต่การใช้เครื่องNotebook ไม่เคยจับถูกเลย จึงรุ้สึกอาย เสียหน้าทุกครั้งที่น้องๆสอนและเพื่อนสอนก็ไม่จำเสียที ช้าไม่ทันใจโดยเฉพาะเพื่อนร่วมชั้นป.เอกด้วยกันที่ใจร้อนและจะบ่นว่าเสียเวลา ผู้เขียนก็ทำใจว่าเคยเป็นเช่นนั้นมาก่อนที่เคยรำคาญผู้อื่นที่ตามไม่ทันเพราะหัวช้าหรือไม่ได้มีบารมีในด้านนั้น

    ต้องขอบตุณน้องๆที่ขอบำเพ็ญสอนทุกเมื่อที่ติดปัญหาด้วยการถามทางไลน์แม้น้องๆจะอยู่ที่ทำงานก็จะรีบช่วยตอบไขข้อข้องใจทันที จึงขอฝึกฝนการพิมพ์ด้วยNotebookในการทำการบ้านวิชชชารามทุกครั้ง ที่เดิมผู้เขียนจะใช้มือถิอระบบเสียงอ่านที่จะส่งการบ้านได้เร็วกว่า แตก็ไม่ใช้ ปัจจุบันรู้สึกดีคลายความกลัว ผัสสะต่างๆที่กระทบเข้ามาก็ยอมความจริงตามความเป็นจริง และถ้ามีความอดทน ขยันหมั่นเพียร ฝึกฝนเรียนรู้มุ่งมั่นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จำไปทีละน้อยจนเคยชิน ก็ย่อมพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ เพื่อให้จบป.เอกอย่างสมศักดิ์ศรี

  16. ณ้ฐพร คงประเสริฐ

    ชื่อเรื่อง: เสื้อผ้าเต็มตู้

    เนื้อเรื่องย่อ: ตรวจดูความหลงยึดของเราที่ผ่านมา แล้ว มาวันนี้รู้สึกขำไม่ออกได้แค่ มีเสียง ฮึ ฮึ กับตัวเอง เช่น หลงไปตามแฟชั่น เสื้อผ้า หน้าผม ว่าต้องแต่งหน้าแต่งตา แต่งตัว เวลาไปทำงาน ไปงานสังคมต่าง ๆ ต้องเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ เป็นผู้ตามแฟชั่น โชคดีที่ยังไม่มีความคิดว่าจะเป็นผู้นำแฟชั่น เพราะแค่ตามก็เหนื่อยมากแล้ว เข้าใจเลยว่าพอตั้งธงผิดปุ๊บ ทุกอย่างก็เพี้ยนไปหมด ทุกวันนี้นั่งมองอยู่เสมอกับกองเสื้อผ้าที่สะสมและระบายออกไปเรื่อย ๆ และสู้รบปรบมือกับการแก้คืนไม่หวนกลับ มันช่างสนุกไม่น้อย เพราะมันยึดเอาการอยู่ แต่ละเรื่องราวนิทานแห่งความหลงและพลาดทำมา หรือยังมีทำอยู่ ที่กำลัง ลด ละ เลิกตามลำดับก็ตาม

    ผัสสะ: บ่อยครั้งที่ตากผ้า นั่งพับผ้า ก็จะพิจารณา เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ประจำ มีไม่กี่ชุด หวนนึกถึงเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวและรกบ้านแล้ว รู้สึกหัวตื้อ ๆ คิดไม่ค่อยออกว่าจะจัดอย่างไรกับตัวยึด ตัวผูกพัน กับข้าวของเหล่านี้ให้จบสิ้น อย่างน้อยก็ไม่ตกเป็นภาระให้ใครอีก ก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป

    ความลวง:เสื้อผ้าพวกชุดไปงานกลางคืน หรือชุดอื่น ๆ นี้ที่อยู่นี่เก็บเอาไว้ก่อนเถอะ เผื่อว่า วันนึงจำเป็นต้องใช้ จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อใหม่ ตัดใหม่ มีครบ ๆ ไว้ก่อน เผื่ออ้วนขึ้นผอมลง จะได้หยิบมาใช้ได้เลย บริจาคไปหลายชุดแล้ว ชุดที่ไม่จำเป็นก็มีน้อยลงแล้วไง เถอะน่า ที่เก็บไว้นี่ก็ชอบ ๆ ทั้งนั้นนะ

    ส่วนอีกโหมดนึงก็จะมาในรูปรอยว่า เธอก็รีบ ๆ เคลียร์ ให้หมดซะที รกบ้านมาก ตู้ก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าข้าวของที่ไม่ได้ใช้มาเป็นปี ๆ พอกไว้อยู่นั่นแหละ ต้องมาเสียเวลาทำความสะอาดอยู่นั่นแหละ… ดูเค้าเหวี่ยงหยั่งกับคนป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์เลย

    ความจริง: คน สัตว์ สิ่งของ ล้วนต่างก็ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปเป็นธรรมดา ยิ่งข้าวของที่เอามาเก็บเกินจำเป็น มันเป็นความซวย เป็นบาป

    การที่เราเกิดได้มาพบสัตบุรุษแล้ว ได้เห็น ได้เรียนรู้สัทธรรม อยู่ตรงหน้าแล้ว ฝึกพากเพียรต่อไป เพราะ เส้นทางการปฏิบัตินี่สิ ยากยิ่ง เริ่มจากหยาบ กลาง ละเอียด ไปเรื่อย ๆ อย่าตัณหาล้ำหน้า ถ้าเรารักษาศีลให้มั่นคง และอธิศีลยิ่งขึ้น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องเสื้อผ้าข้าวของนี้ ร่วมกับการสำรวมกาย วาจา ใจ ในเรื่อง กิน อยู่ หลับนอนไป เราเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะค่อย ๆเป็นไป ในทิศทางที่ดีที่ควรจะเป็น จะทำให้คิดวิธีการจัดการออกทีละเล็ก ละน้อย และได้พลังมาต่อสู้กับตัวติดยึดในแต่ละเรื่อง ๆ ที่เราหลงพลาดทำมา ขจัดออก ไม่เอาเพิ่ม ทำไปเท่าที่จะทำได้ พิจารณาไปเรื่อย ๆ ว่ามันเสียเวลา และอีกหลาย ๆ เสีย การที่เราเห็นต่างจากเมื่อก่อนได้ เรียกว่ากลับทิศกันเลยทีเดียว มันดีมากแล้ว จากนี้ก็ทำดีต่อไป ใจเย็นข้ามชาติ ชาตินี้ไม่หมดก็ไม่เป็นไร ทำเต็มที่ ส่วนจะหมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ต้องไปหลงกำหนดว่าผลจะเป็นอย่างไรให้เหนื่อยใจซ้ำเปล่าอีก

    ทำทันที ว่าแล้วก็พับผ้า และจัดเตรียมข้าวของส่วนที่จะนำไปบริจาคที่ต่าง ๆ เช่น ที่สันติอโศก ร่วมกับข้าวของอื่น ๆ เตรียมไว้ให้พร้อม เวลาที่มีโอกาสเหมาะควร ของก็พร้อมนำบริจาคทันที แค่นี้ก็ใจสบาย หัวก็หายตื้อแล้ว

  17. นธกานต์ สุวรรณ

    เรื่อง ลูกไม่ได้ดั่งใจ
    เรื่องย่อ ลูกมีครอบครัวเมื่อยังไม่พร้อม

    ทุกข์ : ไม่สบายใจ
    สมุทัย:ไม่ได้ดั่งใจ เพราะยึดดี
    นิโรธ:วางใจ แต่งก็ได้ไม่แต่งก็ได้แล้วไม่ต้องทุกข์
    มรรค:วางใจ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา รับแล้วก็ได้หมดไป

  18. เรื่อง ชวนเพื่อนทำการบ้าน เพื่อนไม่มาสักคน!!!!!
    ผ้สสะ : เดินไปชวนเพื่อนในครัว “มาทำการบ้านกันเถอะ”
    เพื่อนหลายคนตอบว่า “เขาเรียนจบกันหมด เหลือป้าเรียนอ่อน ยังไม่จบ!”

    ความลวง : แลต่ะมันไม่มาสักคน!!!! ไอ้พวกนั้นเรียนปริญญาตรี แต่เราเรียนญาโทแล้ว
    ความจริง: กูทำมา และนี่คือสมบัติกู เพื่อนเคยชวนแต่เราก็ไม่ไป สมน้ำหน้ากิเลส แล้วเราก็เบิกบานบ

  19. สมเพียร ลิ่มตระกูล

    เรื่อง ชวนเพื่อนทำการบ้าน เพื่อนไม่มาสักคน!!!!!
    ผ้สสะ : เดินไปชวนเพื่อนในครัว “มาทำการบ้านกันเถอะ”
    เพื่อนหลายคนตอบว่า “เขาเรียนจบกันหมด เหลือป้าเรียนอ่อน ยังไม่จบ!”

    ความลวง : แลต่ะมันไม่มาสักคน!!!! ไอ้พวกนั้นเรียนปริญญาตรี แต่เราเรียนญาโทแล้ว
    ความจริง: กูทำมา และนี่คือสมบัติกู เพื่อนเคยชวนแต่เราก็ไม่ไป สมน้ำหน้ากิเลส แล้วเราก็เบิกบาน

  20. มั่นศีลขวัญ. นางสนทยา กันทะมูล

    ลูกไม่ใส่กางเกงที่เราซื้อให้และไม่รู้ว่าหายไปไหน

    หลังจากสังเกตได้สักพัก ว่าลูกไม่ได้ใส่กางเกงที่เราซื้อให้ จึงถามไป ดูลูกไม่สนใจและก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้วด้วย
    ตรวจใจว่าต้องการอะไร ติดอะไร ทำไมมีคำถาม และมีความขุ่นใจ เกี่ยวกับกางเกงสองตั้วนี้น
    -เสียดายเงินที่ซื้อกางเกงนั้น
    -ไม่พอใจที่ลูกไม่ใส่กางเกงที่เราซื้อให้
    -ไม่พอใจที่ลูกไม่ทุกข์ใจ เรื่องกางเกงที่เราซื้อให้หายไป
    ขุ่นมัวไปหลายวัน จนมารู้สึกตัวว่า ที่เราจะมีความสุขเมื่อ ลูกชอบกางเกง 2 ตัวนั้น เราทุกข์เมื่อลูกไม่ได้ใส่ใจ
    ตกลงว่า นี่เราซื้อกางเกงให้ตัวเราเองนี่นา ขำมาก หลงโง่อยู่นานหลายวัน
    สุขลวง ที่ได้ซื้อกางเกงให้ลูกตามใจอยาก
    หวังว่าลูกจะพอใจ ไปกดดันให้ลูกใส่ ให้ลูกชอบตามใจเรา ยังต้องการคำตอบว่า แล้วกางเกงหายไปไหน
    ถ้ารู้ว่าตอนนี้กางเกง 2 ตัวนั้นอยู่ที่ไหน จะ สุขจรืง หรือไม่
    ถ้ารู้ว่า ติดไปกับกล่องบริจาค คราวที่แล้ว จะทุกข์เพิ่มขึ้นมั้ย
    จากการถามใจตัวเอง วนไปแบบนั้นยิ่งเข้าใจว่า นี่เราซื้อกางเกงให้ตัวเองนี่นา หลงคิดตั้งนาน ว่าซื้อกางเกงให้ลูก
    สุขจริงคือ ทันความลวง ที่หลอกให้เราคิดว่าเราซื้อกางเกงให้ลูก หวังอยากให้ลูกใส่ ลูกไม่ใส่จนหายไปไหนไม่รู้ก็ทุกข์
    สุขจริง เมื่อรู้ว่า ถ้าตัวเราซื้อให้ลูกจริง ก็ต้องจบตั้งแต่ซื้อแล้ว ไม่หวังอะไรต่อจากนั้นเเล้ว ลูกจะใส่ ลูกจะชอบ ลูกจะไม่ชอบ เป็นเรื่องของเขา
    ถ้าจะฉลาดกว่านั้น ก่อนซื้อก็คุยกับเขาก่อน น่าจะมีทางออก ที่ดีกว่าการซื้อกางเกงให้เขา
    จบจริง สุขจริง 😊😊😊

  21. นางก้าน ไตรยสุทธิ์

    การบ้านวิชาราม ความจริงความลวง.ความลวง เป็นทุกข์เวทนา มาพัก 1 วัน วันที่ 2 มากินจืดก็เย็น.พอมากินร้อนก็ทุกข์มารจะมาตลอดเวลามีแต่ทุกและทุกข์วิบากกรรมตามเราเหมือนเกีวยนตามรอยเท่าโคพ่อครูเทศไว้กรรมไม่ละหกไม่ละเหือดไม่หายไปไหน.เราควรทำดีชิงออกฤทธิ์แทนร้าย
    ความจริง.อ.หมอเขียวพูดว่าคนหลงเกิดมาแล้วต้องอดทนสุขไม่มีๆมีแต่ทุกข์ที่เบาลงนั้นและสุขเขาลดลงก็ดีแล้วเราทำเขาไว้ตั้งมากตั้งมายยังมีหน้ามาโกรธเกีอดเขาอีก.มันชั่วเกินไปแล้วเราจึงสุขใจไม่ชังเจ็บปวดเขาเลยชอบยอมรับความจริงตตามความเป็นจริใจยอมรู้เหตุแห่งทุกข์สุขทันที

  22. มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆลมฟ้า)

    ยอมให้เขาเข้าใจแบบนั้น
    เรื่อง การยอมให้คนเข้าใจว่าเราเป็นแบบนั้น

    ผัสสะ ความเข้าใจผิดที่เกิดจากทำงาน การเสนอความคิดเห็น การสื่อสารทางคำพูด
    กลัวคนจะเข้าใจเราผิด ปรากฏว่าโดนทุกดอก ทุกเหตุการณ์ในหนึ่งวัน

    ความลวงคือ กิเลสหลอกว่า มันจะแย่มาก มันจะดูไม่ดี เราต้องแก้ต่างตัวเอง อยู่เฉยๆ ไม่ได้
    ต้องชี้แจง บอกความจริงด้วยสัณชาติญาณคนตรง จะทำให้ใครเจ็บหรือกระทบจิตวิญญาณใครไม่สนใจ เพราะมันคือความจริง

    ความจริง การที่คนอื่น มองเราแบบนั้น เข้าใจผิดเราว่าเราเป็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องของเขา
    เรื่องของเราคือ เราเข้าใจตัวเอง เราชัดเจนในตัวเรา เช็คแล้วว่าผาสุกดี ไม่ทุกข์ เรื่องการเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นสิ่งปกติ สำคัญที่ใจเราไม่ทุกข์เท่านั้น
    เราต้องเข้าใจเรื่องวิบากกรรมว่ามันคือสมบัติของเรา ณ ตอนนั้น มันเป็นของๆเรา ที่จะได้รับความเข้าใจผิด อดีตเราก็เคยไปคาดเดาคนอื่นผิดเหมือนกัน แต่ละเหตุการณ์มีเหตุปัจจัยและวิบากสังเคราะห์กัน เราจะไปวิ่งอธิบายให้ทุกคนๆ เข้าใจเรานั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
    เราไม่สามารถคุมสภาพหรือเหตุปัจจัยอะไรได้เลย คุมได้แค่ใจเราที่ไม่ทุกข์ ถ้าคนอื่นจะเข้าใจเราแบบไหนก็ตาม

  23. อัญชลี พุ่มแย้ม. (เย็นแสงธรรม)

    ส่งการบ้าน

    วันที่ 15/11/2563

    เรื่อง. ความจริง – ความลวง

    ความจริง คือสิ่งที่เป็นแบบ พุทธะ (โลกุตระ)
    ความลวง คือสิ่งที่เป็นแบบ กิเลส แบบมาร (โลกียะ)
    ในแต่ละวันเราจะเจอกับความจริง ความลวง วันละหลายๆเรื่องราว หลายๆเหตุการณ์ แตกต่างกันไป

    เนื้อเรื่อง
    วันนี้เราคิดจะเข้าไปบำเพ็ญในครัวเพื่อเป็นผู้ช่วยแม่ฐานทำอาหารให้กับหมู่มิตรดีรับประทาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่เราห่างครัวไปนาน ทำให้เราไม่รู้ที่จะเริ่มต้นที่ตรงไหน จึงเดินไปถามแม่ฐาน ถามท่านว่าวันนี้มีอะไรให้ช่วยบ้างคะ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้เราตกใจ และรู้สึกโกรธ โมโห หงุดหงิดมาก ในใจเราก็คิดตำหนิแม่ฐานว่าเราเข้ามาช่วยบำเพ็ญนะ ทำไมถึงพูดแรงกับเราถึงขนาดนั้น ความที่เราตกใจควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ความคิดในใจเราคิดไม่ทันจึงทำให้เราคิดในความไม่ดีกับแม่ฐาน ซึ่งจริงๆแล้ว มันคือ ความจริง และความลวง ซึ่งเราตามไม่ทัน

    ความจริง คือ คำพูดที่แม่ฐานตำหนิเราใช้คำพูดไม่ดีกับเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น มันคือสิ่งที่เราเคยทำแบบนี้กับคนอื่นมาก่อน หาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ทั้งปัจจุบัน หรือชาติก่อนๆหาที่ต้นที่สุดไม่ได้
    ซึ่งเป็นวิบากที่เราต้องยอมรับว่าเราเคยทำมา ซึ่งเป็นการรับวิบาก เมื่อรับแล้วก็หมดไป (แบบพุทธะ)

    ความลวง คือ ในใจเรารู้สึกโกรธ โมโห คิดไม่ดีกับแม่ฐาน ทำให้ใจเราคิดตอบโต้ ทำให้เกิด วิวาทะขึ้น (ตอบโต้แม่ฐาน)
    เพราะในใจเราคิดว่าเราไม่ผิด เรามีเจตนาดีที่จะเข้ามาช่วยบำเพ็ญทำไมถึงต้องใช้วาจาว่าเราต่อว่าเรามากมายขนาดนั้น
    เราไม่บำเพ็ญก็ได้โดยไม่ได้คิดว่าเราเคยทำมา

  24. น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้าน้อมศีล)

    ส่งการบ้าน ความจริงความลวง
    เรื่อง. ทำไม?
    ผัสสะ. เย็นวันนี้หลังจากที่เราเดินกลับมาจากปลูกผักมีป้าจิตอาสาท่านหนึ่งพูดกับเราว่า
    “เธอ ทำไม เธอเอากล้าผักไปปลูกหมดแล้วหรือฉันจะเอาไปลองปลูกซัก4-5ต้น”ท่านก็พูดต่อว่า ชั้นก็หวงไปอย่างนั้นแหละแต่ก็ไม่ทุกข์ใจแล้ว
    ความลวง.กิเลสเราก็บอกว่า โอ๊ย!แล้วจะหวงทำไมก็ตอนที่เราจะเอาไปปลูกก็ถามทุกท่านแล้วว่าจะปลูกกันรึยังหรือพอกันรึยังถ้ายังไม่ปลูกหนูจะเอาไปปลูกก่อนนะคะ ก็ตกลงกันเรียบร้อยก่อนจะเอาไปทำมามากกว่านั่นปลูก
    ความจริง. ก็เราปลูกเรียบร้อยแล้ว เสร็จแล้ว สิ่งที่ท่านพูดก็เป็นวิบากของเรา สิ่งที่เราได้รับล้วนเกิดจากวิบากจากการกระทำของเราเองทั้งนั้น
    ที่ท่านถามว่าทำไม ตอบ เพราะเราทำมามากกว่านั้น
    สิ่งที่ท่านพูดก็เป็นวิบากใหม่ของท่านเราได้รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้นและขอโทษขออโหสิกรรมตั้งจิตตั้งศีลจะไม่ทำสิ่งไม่ดีอันนั้นอีก และไม่ไปเพ่งโทษท่านขอบคุณท่านที่ท่านได้เป็นกระจกส่องกรรมให้เราได้เห็นตัวเองได้เห็นกิเลสตัวที่เรายังเหลือติ่งอยู่ ยังหลงติดหลงยึดอยู่และได้ล้างกิเลสตัวนั้นไป

  25. นางภัคเปมิกา อินหว่าง

    เรื่อง อาการไม่สบายของพ่อ

    พ่อเป็นคนไม่ชอบไปหาหมอ ไม่ชอบไปโรงพยาบาล มาวันหนึ่งพ่อพูดกีบเราขึ้นว่า เมื่อไหรว่างพาพ่อไปหาหมอหน่อย พ่อคันตามร่มผ้ารอบๆสะเอว ขาหนีบ พ่อบอกว่าเคยทายากินยาก็ไม่หายสักที มันเป็นๆหายๆมาร่วมปี(พ่อยังกินอาหารแบบทางโลก)เราไม่รู้ว่าจะอธิบายให้พ่อเข้าใจอย่างไรดี ทั้งๆที่เรารู้ว่าอาการคันไม่สบายของพ่อเกิดจากอะไร
    เมื่อพ่อพูดออกปากให้เราพาไปหาหมอ เราก็ต้องพาพ่อไปหาหมอ

    ผัสสะ :เราเว้าใจแหว่งใจเล็กๆว่า ถึงไปหาหมอหมอก็คงจัดยาแก้แพ้ และ ยูเรียครีมให้พ่อเป็นแน่ มันก็จริงตามที่เราคาดเดาไว้

    ความลวง:อาการคันไม่สบายของพ่อ พ่อเข้าใจว่าไปหาหมอ หมอน่าจะรู้ดีและให้ยามากินหรือทาพ่อคงหาย
    หากพ่อหายจากอาการไม่สบาย เราก็จะโล่งใจ ไม่ทุกข์ใจกับอาการทุกข์กายทุกข์ใจของพ่อ

    ความจริง:อาการคันไม่สบายของพ่อเกิดจากพิษที่สะสมมาเป็นเวลานาน พิษดันออกเป็นอาการผื่นคันเป็นขุย พ่อไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุแห่งทุกข์
    แต่เรารู้ดีว่าอาการคันของพ่ออาจเกิดจากพิษที่สะสมหรืออาจเกิดจากวิบากกรรม เราได้เอาน้ำมันเขียวและน้ำปัสสาวะหมักเปลือกมังคุดทาให้พ่อ พ่อบอกว่าดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
    เราก็เลยวางใจได้ว่าอาการคันของพ่อจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นเมื่อเราช่วยพ่อได้ตามฐานของเราและฐานของพ่อ หากดีขึ้นก็บอกถึงน้ำปัสสาวะกับน้ำมันเขียวถูกกันกับพ่อ หากไม่ดีขึ้นเราก็วางใจได้ว่าอาจเป็นวิบากกรรมของพ่อที่พ่อจะต้องชดใช้วิบากกรรมนั้นต่อไป เราก็จะเพิ่มทำความดีไปเรื่อยๆ สักวันพ่อคงถึงรอบและเข้าใจได้..

  26. ทิวาร ชุมจีด (บ่าวสุขแสงพุทธ)

    ชื่อเรื่อง : เป็นผู้ได้รับการขอ
    “ขอหน่อย” ให้แบบไม่รู้ความจริง โดนหลอก ไม่สบายใจ กับ ให้แบบรู้ความจริง สบายใจ ยินดีในกุศลจากภายในสู่ภายนอก วาจา การ
    กระทำที่ดี ประมาณในบุคคล

    เนื้อเรื่อง : ขณะพิจารณาอาหาร มีน้องที่คุ้นเคยกัน มักจะมานั่งเล่าสภาวะให้ฟังบ่อยๆ บางวันน้องจะมาพิจารณาอาหารใกล้กัน มาขออาหารในส่วนที่ผมกำลังพิจารณาอาหารอยู่ “ขอหน่อย” ผมตอบกลับไปว่า “เอาสิ เอาเลย จะใช้อะไร ก็ใช้ได้เลย ด้วยเสียง วาจาที่ได้ยิน เพราะปัจจุบันจิตไม่มีอุปทานส่วนเหลือ จึงไม่มีความอยากได้ใดๆเกินกุศล อกุศลของเรา และกุศลและอกุศลของเขา ผมเห็นชาติ สุข ทุกข์ ความต่างในจิต ด้วยความคิดกิเลส มีทั้งเคลื่อนสู่ วาจา การกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองทั้งวาจาและการกระทำ ด้วยความคิดที่ต่างกัน เพราะจิตที่มีอุปทาน จึงเคลื่อน ความอยากได้ วาจาที่สมใจ พฤติกรรม การกระทำที่สมใจ หรือมีอคติ หรือมีจิตหวัง จิตยึดมั่นถือมั่น จึงเกิดสภาพทุกข์ในภายใน สั่งสมเป็นวิบากร้าย หากเคลื่อนมาเป็น วจีกรรม คำพูด กายกรรม การกระทำก็เป็นทุจริตจากภายใน ส่วนภายนอกเกิด กุศลเพียงส่วนเสี้ยว ส่วนใจเป็นทุกข์เป็น อกุศล

    ผัสสะ : เหตุการณ์ วจีกรรม วาจา
    “ขอหน่อย” เสียงกระทบหู พฤติกรรม การ
    กระทำ

    ความลวง : ความคิดในอดีต
    1.เขาเหมือนไม่ค่อยเกรงใจ
    2.เขาควรจะใช้ช้อนกลาง
    3.ขอเยอะไป หลายอย่าง
    4.เอาไปแล้วกินก็ไม่หมด
    ฯลฯ ความคิดอยากได้ ชอบ อยากได้เกินจริง วาจา พฤติกรรม การกระทำที่สมดั่งใจ กิเลส คิดเหมือนจริง
    ความคิด ไม่ชอบ ไม่อยากได้ ชัง วาจา พฤติกรรม การกระทำนั้นๆ คิดเหมือนจริง
    ผลเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ ส่งผลต่อร่างกาย เหตุการณ์ที่ไม่สบายต่างๆ

    ความจริง : รู้เห็น กุศลที่เราได้อาศัยใจสบาย เป็นมหากุศล เป็นแบบอย่าง เป็นประโยชน์สูงสุด ได้ทำกุศุล ให้ในสิ่งที่ควรให้ เป็นกุศล สภาพ วาจา การกระทำที่เหมาะควรให้ได้อาศัย ในปัจจุบัน ในอัตถภาพอื่นๆสืบไป

    รู้เห็น ภพ ชาติ ในจิตที่มีกิเลส ชอบ ชัง เคลื่อนสู่ วาจา การกระะทำ เป็นผู้ขอ ผู้หวัง เมื่อได้สมใจ สุขใจ ไม่ได้สมใจทุกข์ใจ ไม่ชอบใจ

    มากกว่านั้น ย้อนรู้ความจริง ไม่ขอ ไม่บอก แอบ โขมย บังคับ แย่ง ชิง ทำร้าย เข่นฆ่า เอามาให้ได้สมใจ วิปลาส ทำมามากจริงๆนะชีวิตที่หลงมา

    รู้เห็น สภาพเป็นผู้ให้ ผู้ขอที่มีกิเลสส่วนเหลือ กับสภาพเป็นผู้ให้ ผู้ขอที่ไม่มีกิเลสส่วนเหลือ อาการความต่างในจิตภายใน ส่งผลสัมพันธ์กับร่างกาย เหตุการณ์ ให้ รู้ เห็น ชัด ในกรรมและผลของกรรม สาธุครับ

  27. ศิริพร ไตรยสุทธิ์

    ชื่อเรื่อง ตัดผมสั้น

    ตัดผมเองครั้งล่าสุดเดือนมกราคม ตอนนี้เดือนพฤศจิกายนแล้ว ผมยาวมากแล้ว ก็ควรแก่เวลาที่จะต้องตัดผม ครั้งนี้ให้ลูกชายช่วยตัดให้ จึงเสร็จเร็วกว่าตัดผมเอง หลังจากสระผมแล้วเป่าให้แห้ง ปรากฏว่า ผมสั้นกว่าที่ตั้งใจไว้ เพราะตอนที่ตัดผมนั้น ผมเปียกเล็กน้อย

    ผัสสะ คือ เห็นผมที่สั้นกว่าที่ตั้งใจไว้
    ความลวง คือ มีคนทักเราว่า ผมสั้นมากเกินไป ตอนนี้ฤดูหนาว ควรไว้ผมยาวปิดคอ จะได้อบอุ่น
    ความจริง คือ ผมสั้นดูแลง่าย แห้งเร็ว ประหยัดน้ำประหยัดไฟ แม้อากาศจะหนาวเย็น ใส่ผ้าพันคอก็ช่วยให้อบอุ่นได้

Comments are closed.