631115 การบ้านอริยสัจ (14/2563)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 9 – 15 พฤศจิกายน 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านทั้งหมด 40 ท่าน 42 เรื่อง
- นวลนภา ยุคันตพรพงษ์
- นางจิราภรณ์ ทองคู่
- จุฬิญญา ชายสวัสดิ์
- ปริศนา อิรนพไพบูลย์
- จิตรา พรหมโคตร
- นส.พวงผกา โพธิ์กลาง (พรเพียรพุทธ)
- ธัญมน หมวดเหมน(มั่นแสงธรรม)
- เสาวรี หวังประเสริฐ
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม (๒)
- นางโยธกา รือเซ็นแบรก์
- ก้าน ใกล้พร ไตรยสุทธิ์
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- นางสาวสันทนา ประวงศ์
- ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
- Sunita Monitzer
- นปภา รัตนวงศา
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- ขวัญจิต เฟื่องฟู (๒)
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- ดินแสงธรรม กล้าจน
- ประคอง เก็บนาค
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- น.ส ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- พรพิทย์ สามสี
- อัญชลี พุ่มแย้ม. (เย็นแสงธรรม)
- ชลิตา แลงค์
- อภินันท์ อุ่นดีมะดัน
- นฤมล ยังแช่ม
- jariya janpakdee
- นางภัคเปมิกา อินหว่าง
- อัญชลี พุ่มแย้ม. (เย็นแสงธรรม)
- มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆลมฟ้า)
- จรรญา ชุมจัด (สร้างกลิ่นศีล)
- นายรวม เกตุกลม
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- ปิ่น คำเพียงเพชร
- วรางคณา ไตรยสุทธิ์ (พุทธพรฟ้า)
- ศิริพร ไตรยสุทธิ์



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 198
ทุกข์์ จากศีลข้อ4
ทุกเช้าช่วยกันทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด ต่างต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง เขียงและมีดที่ใช้อยู่ ปกติ จะช่วยกันทำอยู่ 2 คนที่อยู่ประจำ แต่ในเช้านี้เพิ่มป้าจืตอาสาอีดท่านที่มาร่วมบำเพ็ญเป็นคราวๆ ท่านมาใช้เขียงและมีดของพี่ที่อยุ๋ประจำ ใช้เสียงเข้มเอ็ดป้าว่าไปหาใช้เองท่านยังใช้งานไม่เสร็จ ผู้เขียนผิดศีลติงท่านว่าใช้อารมณ์ ท่านแย้งมาว่าเราคิดก็ทุกข์เอง
ทุกข์จากการที่พี่เค้าเสียบกลับมา
สมุทัย ทุกข์ใจที่พี่เค้าไม่ฟังเรา จะสุขใจถ้าพี่เค้าฟังเรายอมรับที่มีอารมณ์หงุดหงิด
นิโรธ สภาพดับทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำพูดท่าน ไม่ทุกข์ใจที่พี่เค้าจะแย้งมาอย่างไร อดทนไม่ทำตามใจกิเลสที่จะโมโหพี่เค้า
มรรค หนทางดับทุกข์ เห็นความไม่เที่ยงของคำพูดท่านว่าเป็นไตรลักษณ์ ปั้นอากาศคำพูดที่แทงจิตใจ เป็นวิปลาสที่เราสร้างเองว่าเป็นทุกข์ ทุกข์จากคำพูด สีหน้า ท่าทาง ลีลา ไม่มีอยู่จริง เสียใจ เว้าใจ แหว่งใจ ก็ไม่มีประโยชฯ์อะไร มัวปั้นอากาศให้เป็นตัวอยู่ได้
คิดได้ดังนั้น ก็คุยกับท่านตามปกติไม่ถือสาอย่างสุขใจ
อยู่แบบไม่ทนทุกข์ สุขได้กับทุกสถานการณ์ ด้วยใจไร้ทุกข์
(ส่งใหม่นะคะ)
เรื่อง หวงมะละกอห่าม
เนื้อเรื่อง มาบำเพ็ญที่ภูผาฟ้าน้ำ ตอนเช้าเข้าครัวช่วยแม่ครัวเตรียมอาหารและงานหลักที่ทำคือปอกเปลือกมะละกอและขูดเป็นเส้นไว้ให้อาจารย์และเพื่อนๆ รับประทาน แต่เรายึดว่ามะละกอห่ามควรเอาให้อาจารย์ จึงหวงแต่เพื่อนบางท่านชอบขอแต่เส้นมะละกอที่ห่าม เราก็จะบอกเพื่อนว่าเอาไว้ให้อาจารย์ ทั้งที่อาจารย์ท่านไม่มีกิเลสแล้ว ทำให้แบบไหนท่านก็ทานได้ พอเข้ากลุ่มหมู่มิตรดีปลูกปัญญาพาพ้นทุกข์เพื่อนๆได้พูดถึงความยึด การยึดทำให้ทุกข์ จึงทำให้เราคิดได้ว่าแล้วเราจะมัวยึดทำไม เพื่อนอยากได้มะละกอห่ามก็ให้ไป ถ้ากุศลออกฤทธิ์มันต้องมีเหลือไว้ให้อาจารย์ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแนวความคิดใหม่คือ ถ้ามีเพื่อนคนไหนมาขอมะละกอห่าม เราก็ให้ตามที่ขอ ที่เหลือค่อยขูดให้อาจารย์ ปรากฏว่าหลังจากเราไม่ยึดและอนุญาตให้เพื่อนเอาไปตามที่ต้องการ ก็ยังมีมะละกอห่ามเหลืออยู่และยังมีเพื่อนมาช่วยขูดมะละกอทำให้งานของเราเบาบางลงเราก็ไม่เหนื่อย
ทุกข์ ไม่อยากให้เพื่อนมาเอาเส้นมะละกอห่าม
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ถ้าได้เส้นมะละกอห่ามให้อาจารย์รับประทานจะสุขใจ แต่ถ้าเพื่อนมาเอาเส้นมะละกอห่ามไปและเหลือไม่พอกับที่จะให้อาจารย์จะทุกข์ใจ
นิโรธ สภาพดับทุกข์ เส้นมะละกอห่ามจะเหลือมากหรือน้อยก็สุขใจ ถ้าเส้นมะละกอห่ามมีน้อยก็เอาเส้นมะละกอดิบเพิ่มได้
มรรค เชื่อเรื่องกรรมและไม่ยึด พร้อมปล่อยวางว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขึ้นอยู่กับวิบากถ้าวิบากดีออกฤทธิ์ก็จะได้เส้นมะละกอห่ามให้อาจารย์ ตามที่ต้องการ แต่ถ้าวิบากร้ายออกฤทธิ์ก็จะไม่ได้ จิตก็โปร่งโล่งเบาสบาย
ชื่อเรื่อง อยากไปเร็วๆ
เนื้อเรื่อง รับปากน้องที่ป่วยด้วยโรคระบาดโควิต-19 ว่าจะเอาข้าวต้มถอนพิษและนัำมันเขียว ผงพอก น้ำสกัด ยาหม่องและไม้กัวซาไปให้ ใจนึกถึงอาหารเป็นหลักเพราะน้องเค้ากินอาหารไม่ค่อยได้มันขมปาก และตั้งใจว่าจะไปกัวซาให้น้องเขาด้วย จึงถอนพิษตัวเองก่อนแต่ระหว่างนั้นก็มีโทรศัพย์จากทางบ้านซึ่งนานๆจะคุยกันทีหนึ่งแต่จะคุยกันนานมาก ระหว่างคุยก็ทุกข์ใจว่าไม่กล้าวางสายจากทางบ้าน เพราะนานๆคุยกัน่ที พอวางสายจากทางบ้านพ่อบ้านก็มาคุยดัวยซึ่งพ่อบ้านก็เพิ่งจะมีเรื่องไม่สบายใจเมื่อวานนี้ วันนี้เขาดีขึ้นแล้วพร้อมที่จะคุยแล้ว เช้านี้เขาก็อยากคุยกับเราถึงเรื่องที่เขาไม่สบายใจ เราท่องไว้ว่าเอาคนไกล้ตัวก่อนมาตลอดแต่เวลาทำนี่มันก็อยากเนอะเพราะคนไกลเขาก็คงจะรอ หลังจากคุยกับพ่อบ้านก็ส่งข้อความบอกน้องเขาว่าพี่ไปช้ากว่าที่ตั้งใจนะ แล้วก็ปั่นจักรยานไปหาสมุนไพรหญ้าเอ็นยืด ระหว่างที่เอาจักรยานออกจากโรงเก็บพ่อบ้านก็โผล่หน้าจากหน้าต่างขั้นบนมาทักทายอย่างเบิกบานใจ แอบคิดในใจ”กูรีบบบ มาอารมณ์ดีอะไรตอนนี้ ผิดเวลาทุกที่สิ” แต่ก็วางใจว่าเราจะทำให้คนในบ้านสุขก่อนค่อยไปช่วยคนนอกบ้านอันนี้ตั้งไว้แบบนี้จึงทักทายล้อเล่นกับพ่อบ้านไป แต่ใจก็เบิกบานแค่แป๊บเดียว เมื่อปั่นจักรยานไป ตาก็สอดส่ายหาสมุนไพรข้างทางไปแต่ก็ไม่เจอจนต้องข้ามสะพานไปฝั่งกังหันซึ่งมีแน่ๆ ระหว่างนั้นอึดอัดใจมากว่าตัวเองสายเขารอ แต่อีกใจหนึ่งก็บอกเอาน่าวางใจเราทำเต็มที่แล้ว เรามีภาระกิจหลายอย่าง มันก็เป็นงี้แหละเวลาจะทำอะไรสำคัญๆก็จะมีอะไรที่สำคัญกว่ามาแทรก เราต้องวางใจและจัดลำดับความสำคัญสิ เมื่อได้หญ้าเอ็นยืนใบยาวแล้วก็วางใจว่า เอาหนะถึงเมื่อใหร่ก็เมื่อน้้น น้องเค้ามีวิบากแบบนี้และจริงๆเค้าเองก็อาจไม่ได้รอเราก็ได้อย่าคิดไปเอง จึงกลับมาบ้านทำข้าวต้มและล้างหญ้าเอ็นยืดไปส่งด้วยความเบิกบานใจ
ทุกข์ อยากไปเร็วๆตามนัด อัดอัดใจที่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นดั่งที่ตั้งใจและวางแผนไว้ในใจ อึดอัดใจที่มี
เหตุการณ์มาทำให้ช้ามาก
สมุทัย มีความยึดว่าต้องไปให้ทันเวลานัด ต้องไปเร็วๆเค้าถึงจะมีความสุข เค้าจะหายใข้
นิโรธ ไม่ทุกข์ เบิกบาน แจ่มใสอยู่เสมอ แม้เหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่วางแผน คาดหวังไว้
มรรค สอนตัวเองว่าจะไปถึงช้ามากหรือช้าน้อยก็ไปถึง ก็ได้ไปและแม้จะไม่ได้ไปวันนี้วันหน้าก็ยังมีช้าอีกวันก็ตามวิบากของเขาของเราสังเคราะห์กัน
เรื่อง : การฝึกฝนการกินหนึ่งมื้อให้ผาสุกได้อย่างแท้จริง
เนื้อเรื่อง : จากการที่เราได้ฝึกฝนการกินอาหาร 1 มื้อ เป็นเวลานานหลายปีพอสมควร เรายังมีเรื่อง ทุกข์ใจ กับเรื่องกินที่ยังไม่ลงตัวอยู่ เพราะยังไม่เข้าใจใน
นัยยะที่สำคัญซึ่งเป็นความจริงของการฝึกฝนการกินวันละ 1 มื้อ
เป้าหมายที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าที่ท่านชี้นำก็เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาได้ฝึกทำตนให้เป็นคนมักน้อย
สันโดษ ใจพอ มีชีวิตที่อาศัยปัจจัยที่จำเป็นสำหรับชีวิตแบบประโยชน์สูง – ประหยัดสุด และทำประโยชน์ตน – ประโยชน์ท่านฝึกฝนในระดับ ” ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ” ในขณะที่เรากำลังฝึกกิน 1 มื้อ ตอนที่มาอยู่ที่ภูผา จึงต้องมีการกินอาหารเพิ่มก่อนออกไปทำงาน ช่วงหนึ่งเราจึงตัดสินใจกิน 2 มื้อยาวไปเลย เพื่อ 1) มีกำลังในการทำงานในช่วงเช้าและ 2) เพื่อปรับน้ำหนักตัวที่ยังน้อยอยู่ให้เพิ่มขึ้น หลังจากที่กิน 2 มื้อได้ระยะยาวพอสมควร พบว่าร่างกายเริ่ม มีระบบการย่อยอาหารที่ผิดไป กินอาหารก็ไม่โอชะ และมีอาการง่วงเหงาหาวนอนหลังกินมื้อที่ 2 อย่างมาก สติ ปัญญาความแววไว
ลดลง จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นเพราะการกินได้ธาตุอาหารที่มากเกินจำเป็นแล้ว จึงได้ลองปรับใหม่โดยลดปริมาณการกินให้น้อยลง ปรากฏว่าระบบการย่อยดีขึ้น กินอาหารโอชะ อาการง่วงลดน้อยลง สติ ปัญญาแววไวเพิ่มขึ้น เมื่อปรับมากินมื้อเดียวบางครั้งก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายก็ต้องกินเพิ่ม พบว่าต้องทำกลับไปกลับมาในที่สุดก็เข้าใจว่าเราจะยึดมั่นถือมั่นอะไรไม่ได้เลย การประมาณณปัจจุบันในแต่ละขณะต่างหากคือสิ่งที่เหมาะควรที่สุด จุดสำคัญคือเราต้องมีความชัดเจนใน…
” ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ” โดยตั้ง1มื้อเป็นหลัก
การกินเพิ่มให้อ่านเวทนาของตัวเองให้ชัดเจนว่า กินเพิ่มเพราะ…
1)ร่างกายต้องการ
2)ทั้งร่างกายต้องการ & มีกิเลส
3)กิเลสล้วนๆ ก็ลองสู้ดู ถ้าสู้ได้ก็จบ ถ้าสู้ไม่ได้ก็ยอมรับว่าเรายังไม่สามารถ(ลดอัตตา)
เขียนเป็นอริยสัจ4ได้ว่า…
ทุกข์ : ไม่สบายใจเมื่อกิน มากกว่า1มื้อตามที่ได้ตั้งไว้
สมุทัย : ชอบ(สุข)ที่กินอาหารได้วันละ1มื้อ ชัง(ทุกข์)ที่กินอาหารได้วันละ2มื้อ
นิโรธ : จะกินอาหารวันละ1หรือ2มื้อก็เป็นสุข(ไม่ทุกข์)
มรรค : เมื่อได้พิจารณาเห็นถึงโทษของการยึดมั่น ถือมั่นไม่ว่าจะกินกี่มื้อก็เป็นทุกข์
เห็นประโยชน์จากการปล่อยวาง
ไม่ยึดมั่นแต่จะปรับดูตามความเหมาะสมในแต่ละเหตุปัจจัย และถ้าประมาณผิดพลาดก็พร้อมที่จะให้อภัยก้บตนเอง ถือว่าชีวิตคือการเรียนรู้
ผิด – ถูกคือความเป็นครู เมื่อมีกิเลสก็สู้ไปตามกำลัง สู้ได้ก็สู้
สู้ไม่ได้ ก็ยอม โดยให้ชัดในความรู้สึก(เวทนา)ของตนเอง ” อย่างรู้ความจริงตามความเป็นจริง ”
ผลเมื่อเข้าใจในเป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนการกิน1มื้อ
ว่าเมื่อทำได้อย่างเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงแล้วยามที่จะต้องการกิน 1 มื้อเราก็ทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก และถ้าต้องแบ่งมากินเป็น 2 มื้อก็วางใจและทำได้อย่างสบายใจ คือพร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยนตามเหตุปัจจัยตอนนี้จึงกินอย่างสบายใจ
เมื่อเข้าใจชัดในปัญญา
เรื่อง:อยากเก่ง
เนื้อเรื่อง:เมื่อได้อ่านสภาวะธรรมของน้องจิตอาสาท่านหนึ่งจบแล้ว ใจที่อยากวิเคราะห์เรื่องของน้องให้ได้ แต่เรายังวิเคราะห์ตัวเองไม่ได้เลย จะอยากไปวิเคราะห์คนอื่นซะแล้ว รู้สึกเครียดมีอาการไม่สบายขึ้นมาคือ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไปนึกโทษว่ากินน้ำพริกเห็ด ได้สติเมื่อมาทบทวนสาเหตุอาการป่วยในวันใหม่เวลาตี3 จับกิเลสได้ว่า”มันอยากเก่ง”
ทุกข์:กังวลในความไม่เก่ง
สมุทัย:(เหตุแห่งทุกข์)ชอบถ้าเราเก่ง ชังที่เราไม่เก่ง
นิโรธ:(สภาพดับทุกข์)จะเก่งหรือไม่เก่ง ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค:(วิธีดับทุกข์)พิจารณาว่า เรากำลังเกิดอาการชอบชังในความอยากเก่งอยู่นี่ เราอยากวิเคราะห์ผู้อื่น ทั้งๆที่ยังวิเคราะห์ไม่ได้ มันเป็นความใจร้อน ซึ่งความใจร้อนเกิดจากความโลภคือ อยากได้เร็วๆในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา มันผิดศีลข้อ2 มันเกินบารมีของเรา อาจารย์บอกว่าความอยากได้เกินตามความเป็นจริงที่เราทำได้เรียกว่า”อภิฌปา”คือตัณหาล้ำหน้าเกินความเป็นจริงที่ทำได้เบียดเบียนตนเองเป็นบาป วันนี้เราผิดศีลทั้งข้อ1และข้อ2เลยนะเนี่ย!ไม่เป็นไรเราจะพากเพียรปฏิบัติต่อไปด้วยความใจเย็น อดทน รอคอย ให้อภัย ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ ใจที่กังวลรู้สึกผ่อนคลายและได้ทบทวนซ้ำหลายครั้งก็ตรวจดูใจว่าใช่สบายใจ เบาใจ อิ่มเอิบเบิกบานแจ่มใสจริง
นส.พวงผกา โพธิ์กลาง ( พรเพียรพุทธ )
เรื่อง : เขียนคำผิด
เนื้อเรื่อง
ช่วงนี้มีโอกาสได้เขียนคอมเม้นท์ จากทางบ้านให้ท่านอาจารย์อ่าน ได้เขียนคำผิดไปหนึ่งคำ ซึ่งก่อนหน้านี้ คำนี้ก็เขียนถูกมาตลอด แต่พอไปเจอคำนี้ ที่พี่ท่านหนึ่งได้เขียนไว้แล้ว ก็เลยเปลี่ยนมาเขียนตามท่าน คิดว่าท่านคงเขียนถูกแล้ว เพราะผู้เขียนนี้ไม่เก่งภาษา และได้เขียนคำผิดนี้ประมาณ สิบวัน ท่านอาจารย์ได้เมตตาแจ้งให้ทราบว่าคำนี้เขียนไม่ถูกมาหลายวันแล้วนะ แก้ไขให้ถูกด้วยนะ เราก็รับทราบพร้อมที่จะแก้ไข ใจตอนนั้นไม่ทุกข์ เพราะได้คุยกับเทวดาไว้แล้วว่าลองทำดูผิดก็แก้ไข แต่พอมีพี่ท่านหนึ่งมาแนะนำรู้สึกไม่ชอบน้ำเสียงมันเหมือนมาตำหนิ ท่านพูดว่าทำไมเขียนคำผิดไปให้ท่านอาจารย์อ่าน ทีหลังถ้าไม่มั่นใจให้ไปถามใครก่อนแล้วค่อยนำไปให้อาจารย์อ่าน ตอนนั้นรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ข้างในจิต อึดอัด ไม่โปร่ง ไม่โล่งจากนั้น สักพักก็ออกมาทางวาจาพูดตอบไปว่า ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนถูกคำไหนผิด คำพูดนี้เป็นคำพูดของกิเลส รู้ว่าเป็นกิเลสแต่ควบคุมไม่ได้ พลังปัญญาไม่มากพอเลยแพ้กิเลส แต่ไม่นานค่ะพอสักพักอาการที่อึดอัด ไม่โปร่งไม่โล่งเขาก็ค่อย ๆ จางคลายหายไปค่ะ
ทุกข์ : เพราะไม่ชอบคำพูดน้ำเสียงแบบนี้
สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ : ถ้าท่านที่มาแนะนำพูดมีน้ำเสียงเหมือนตำหนิไม่ชอบ รู้สึกชัง
ถ้าท่านที่มาแนะนำพูดมีน้ำเสียงที่อ่อนน้อมกว่านี้จะชอบใจสุขใจ
นิโรธ : ท่านจะพูดเหมือนตำหนิหรือไม่ตำหนิใจก็ไม่หวั่นไหว พูดอ่อนน้อมก็ได้ไม่อ่อนน้อมก็ได้ใจเป็นสุขทุกสถานการณ์
มรรค
พิจารณา เข้าใจเรื่องกรรม เชื่อและชัดในเรื่องวิบากกรรม
ว่าสิ่งที่เราได้รับได้เจอนี้ ก็คือเรานั่นแหละที่เคย พูดไม่เพราะ พูดเสียงห้วน ๆ และยึดว่าต้องไม่พลาด ไม่พร่อง ต้องสมบูรณ์ และเราก็ไปทำแบบนี้กับคนอื่นมามากหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ วิบากดีก็ส่งมาตาลีมาเพื่อให้เราได้แก้ไขใน
ส่วนที่เราพร่อง ต้องขอบคุณท่านที่มาแนะนำ ท่านเมตตาเรามาก ทำให้เราได้เห็นกิเลสตัวนี้ชัดขึ้นและได้ล้างไปเป็นลำดับ ขอบคุณจริง ๆค่ะ
อริยสัจ 4 the four Noble truths
ชื่อเรื่อง ความเพียร
บางครั้งขี้เกียจส่งการบ้าน ใจรู้สึกเบื่อๆไม่มีฉันทะ
สมุทัย
เพราะเห็นว่างานอย่างอื่นเร่งด่วนแล้วก็สำคัญกว่าทำให้คิดว่างานส่งการบ้านเอาไว้ทีหลังก็ได้เพราะเห็นการร่วมทำกิจกรรมอย่างอื่นกับอาจารย์และพี่น้องหมู่กลุ่มเร่งด่วนและมีประโยชน์กว่า อย่างเช่นการลงฐานงานกสิกรรม ที่อาจารย์กำลังเร่งพาทำ
นิโรธ
เลิกกังวล สบายใจคิดว่าจะส่งหรือไม่ส่งการบ้านก็ได้ ไม่ยึดว่าต้องส่งการบ้าน หรือต้องไปทำงานร่วมกับหมู่กลุ่มก็ไม่ทุกข์
มรรค
เราจะทำตาม องค์ประกอบเหตุปัจจัยในขณะนั้น ว่าสมควรทำอะไร แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด ทำให้เราได้ฝึกอยู่กับปัจจุบัน เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของใคร จึงไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นกับอะไรแม้แต่งานที่เราเห็นว่าสำคัญ เพราะสุดท้ายการงานต่างๆก็เป็นแค่องค์ประกอบในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถึงงานจะล้มเหลวแต่ใจเราจะล้มเหลวไม่ได้
เรื่องส่งการบ้านไม่สำเร็จ
การบ้านรอบที่12 ทำเสร็จและส่งเวลา00.00น.และทำรอบที่13ต่อก็เข้าใจว่าตนเองส่งการบ้านสำเร็จทั้ง2รอบวันนี้มาตรวจรายชื่อไม่พบรายชื่อเสาวรี หวังประเสริฐ
ทุกข์ อยากเห็นรายชื่อตนเองว่าส่งการบ้านรอบ12และ13
สมุทัย ไม่ชอบที่ไม่มีรายชื่อว่าส่งการบ้าน2รอบที่ผ่านมาชอบที่จะมีรายชื่อว่าส่งการบ้าน
นิโรธ สภาพกับทุกข์ จะมีรายชื่อหรือไม่มีรายชื่อว่าส่งการบ้านก็ไม่ทุกข์ใจ ทำใจไร้ทุกข์ด้วยการทบทวนธรรมวิบากหมดอีกแล้วร้ายหมดอีกแล้วและตรวจสอบการส่งการบ้านเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่จึงไม่มีชื่อขึ้นในระบบ
มรรค หนทางดับทุกข์ไม่ยึดมั่นถือมั่นในการส่งการบ้าน จะส่งสำเร็จก็ดีไม่สำเร็จก็ดี ส่งสำเร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้นทำการบ้านรอบใหม่แล้วตรวจดูรายชื่อครั้งใหม่ด้วยใจที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล
ออกกำลังกายน่ะดี แต่อยากออกไปมากจนไม่ดูฝนฟ้าเลยนั้นไม่ดี
วันหนึ่ง ผมกับแม่บ้านขับรถไปที่เขื่อนใกล้ ๆ บ้าน เพื่อไปออกกำลังกายเดินเร็วรอบเขื่อนกัน แม้ว่าท้องฟ้าจะดูมืดครึ้มเหมือนฝนใกล้จะตก แต่ด้วยความที่เรามักจะไปเดินเร็วรอบเขื่อนอยู่ประจำจนเป็นนิสัย และช่วงนั้นเราไม่ได้ออกจากบ้านไปออกกำลังกายมาหลายวันแล้ว จึงมีความอยากออกกำลังกายมากกว่า ตอนนั้นเราคิดเอาเองว่าฝนคงจะยังไม่ตกเร็วนัก ถ้าเรารีบไปเดินรอบเขื่อนระยะสั้น ๆ เร็ว ๆ แล้วรีบกลับ อาจจะกลับมาที่รถทันก่อนที่ฝนจะตก แต่พอเราเริ่มเดินไปได้ไม่ถึงสิบนาที ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทางเดินรอบ ๆ เขื่อนก็ไม่มีที่ให้หลบฝนได้เลย เราจึงได้แต่วิ่งกลับมาที่รถด้วยความกระหืดกระหอบ เสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกโชกไปหมด และต้องขับรถกลับบ้านทั้ง ๆ ที่ตัวเปียกอย่างนั้น
ทุกข์ — รู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่เราประมาทเกินไป มีความทุกข์ในใจที่เราปล่อยให้ความอยากไปออกกำลังกายครอบงำเรามากเกินไป จนประเมินสภาพอากาศผิดพลาดไป ถ้าไม่มีความอยากที่จะออกกำลังกายแล้วล่ะก็ ด้วยสภาพท้องฟ้าแบบนั้นเราก็คงไม่อยากออกไปนอกบ้านเท่าไร
สมุทัย — ความอยากออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าได้ไปออกกำลังกายจะสุขใจ ถ้าไม่ได้ไปออกกำลังกายจะทุกข์ใจ
นิโรธ — ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ถ้ามีโอกาสได้ไปออกกำลังกายก็ดี เราก็จะได้ความสดชื่นมากขึ้น แต่ถ้าไม่ได้โอกาสที่จะไปออกกำลังกายก็ดี เราก็ไม่ทุกข์ใจ อยู่บ้านหรือออกกำลังกายในบ้านได้อย่างสุขใจเช่นกัน
มรรค — พิจารณาความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ว่า ความอยากไปออกกำลังกายที่มากจนกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นนั้นไม่ดี ความคิดที่ว่าถ้าได้ไปออกกำลังกายแล้วจะสุขใจ ถ้าไม่ได้ไปออกกำลังกายแล้วจะทุกข์ใจ ความคิดเช่นนี้เป็นตัณหา เป็นกิเลส มีแต่โทษ ทำให้เราเป็นทุกข์ ต่อให้ครั้งนี้ถ้าเราได้เดินออกกำลังกายจนเสร็จแล้วกลับมาขึ้นรถทันก่อนที่ฝนจะตก แล้วเราไปมีความยินดี ชอบที่ได้ดั่งใจอย่างนั้น ก็กลายเป็นการสั่งสมความพอใจที่ได้ดั่งใจ เท่ากับสั่งสมกิเลสความยึดมั่นถือมั่นไปด้วย พอได้ดั่งใจไปมาก ๆ เข้าก็ยิ่งเป็นความหลงผิด เป็นวิปลาส เห็นผิดไปว่าเราน่าจะขึ้นรถทันก่อนฝนจะตกไปทุกครั้ง เราน่าจะโชคดีเหมือนทุกครั้ง
แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครโชคดีได้ทุกครั้งเสมอไป วันใดวันหนึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เราก็ต้องวิ่งกลับมาที่รถไม่ทันบ้างแหละ แล้ววันนั้นเราก็จะต้องทุกข์มาก เพราะได้หลงผิดไปยึดมั่นถือมั่นเสียแล้วว่าจะต้องกลับมาทันทุกครั้งไป
ต้องเปลี่ยนความคิดแบบกิเลสมาเป็นพุทธะให้ได้ คือไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่า ถ้าได้ไปออกกำลังกายสมใจเท่านั้นถึงจะสุขใจ ต้องคิดใหม่ว่า ถ้าได้ไปออกกำลังกายก็ดี หรือถ้าไม่ได้ไปออกกำลังกายก็ดี เราก็สุขใจได้ตลอดเวลา สุขใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง คิดแบบนี้จะเป็นประโยชน์กว่า เป็นสุขที่ยั่งยืนกว่าความสุขที่ได้สมใจแบบกิเลส
โดนพ่อบ้านต่อว่า
ตื่นเช้าขึ้นมาพ่อบ้านก็มาบ่นกับเราว่าเขานอนไม่พอ วันนี้ได้นอนแค่ สี่ชั่วโมงเอง เราก็ตอบไปว่าได้ตั้งสี่ชั่วโมงก็ดีมากแล้ว แต่เขาก็มาแย้งว่าเขาควรจะนอนได้มากกว่านี้ ร่างกายยังเหนื่อยอยู่เลย เราก็บอกว่าอย่าไปอยากได้ในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ที่เหนื่อยก็เพราะอยากได้มากกว่าที่เป็นไปได้ไม่ใช่นอนไม่พอ เราก็เลยแนะนำเขาว่าลองงดทานกาแฟและอย่าทานอาหารก่อนนอนเพราะจะทำให้ร่างกายเขาทำงานหนักก็เป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับได้ เขากลับมาโทษว่าเราทำอาหารมาก เขาก็ต้องกินมาก เลยกลายเป็นความผิดของเรา เรารู้สึกโกรธไม่พอใจก็เลยพูดออกไปว่างั้นคุณก็ทำกินเองก็แล้วกัน เราผิดศีลข้อหนึ่งคือเบียดเบียนตนเองเพราะความโกรธไม่สำนึก ผิดศีลข้อสองต่ออีกไม่อยากแบ่งปันบอกพ่อบ้านให้ทำกับข้าวกินเอง เราผิดทั้งกายวาจาและใจเลย มิน่าล่ะจิตใจไม่เบิกบานยินดีเลย ก็รีบสำนึกผิดคิดทบทวนธรรม ขอโทษขออโหสิกรรมเต็มใจรับโทษเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่า เราก็เคยเป็นเช่นนั้นมาเคยส่งเสริมมา จำได้ว่าเราชอบว่าแม่ทำอาหารอร่อยให้เรากินพุงกาง ไม่เคยเห็นกิเลสความโลภมากของตัวเองเลย ตอนนี้ก็เลยได้มารับวิบากร้ายนั้นเอง รับแล้วก็หมดไป เต็มใจรับโทษ รับแล้วก็โชคดีขึ้น ที่จริงพ่อบ้านพูดขึ้นมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเราจะได้ประมาณการกระทำของเราให้เหมาะสมมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราทำไว้เกินพอ พ่อบ้านก็กลัวว่าเราจะเททิ้งก็เลยกินเกินที่ตัวเองต้องการ สรุปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เราจะทำอาหารน้อยลงเอาแค่พอกินเป็นมื้อ ๆ ไป ก็ทำให้เราประณีต ประหยัดยิ่งขึ้น
ทุกข์ ไม่ชอบใจที่โดนว่า
สมุทัย ไม่อยากให้พ่อบ้านต่อว่าเรา เพราะเรายึดว่าเราทำดีแล้ว
นิโรธ พ่อบ้านจะต่อว่าเราหรือไม่ต่อว่าเราก็ควรยินดีเบิกบานให้ได้ เราปราถนาให้เกิดสิ่งดี และทำดีด้วยใจเป็นสุข
มรรค พิจารณาและเชื่อเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่าที่เราได้รับเพราะเราทำมา ที่เราโดนว่าก็เพราะเราเคยต่อว่าแม่มาก่อนว่าเพราะแม่ทำอาหารอร่อยให้เรากินเราจึงกินจนพุงกางเลย ซึ่งเราไม่เคยเห็นความโลภของตัวเองเลย แล้วเราจะไปโกรธพ่อบ้านที่ต่อว่าเราเป็นการสร้างวิบากใหม่ เราก็ผิดศีลเราไม่สำนึกผิดก็ทำให้เราทำผิดศีลเกี่ยวเนื่องกันต่อไปอีกไม่จบไม่สิ้นจนเกิดการวิวาทกัน เกิดใจที่ไม่แช่มชื่นยินดี โชคดีที่เราได้พบสัตบุรุษได้พบธรรมะที่ถูกตรง ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา ก็เลยรีบสำนึกผิดเต็มใจรับโทษ หยุดการกระทำที่ไม่ดีอันนั้น พอพิจารณาเห็นอย่างนี้จิตใจก็มีความยินดีขึ้น ความโกรธพ่อบ้านก็ลดลงและหายไปในที่สุด ก็เลยตกลงกันว่าจะทำอาหารให้พอกินเป็นมื้อๆไป เราก็ได้ฝึกประณีตประหยัดยิ่งขึ้นชึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนที่เกี่ยวข้อง
อริยสัจสี่
สติ๊กเกอร์ส้มแก้วหายไป
ช่วงประมาณสามสัปดาห์ก่อน เราได้กดappsไลน์ผิดพลาดไปไลน์หายไปทำให้ต้องกู้ไลน์ใหม่และพอกู้มาได้ปรากฑว่าสติ๊กเกอร์ส้มแก้วที่เราซื้อไว้ในappsไลน์ได้หายไป ตรวจใจ รู้สึกเสียดายนิดๆที่สติ๊กเกอร์ส้มแก้วหายไป
ทุกข์ : หวั่นไหวเสียดายนิดๆที่สติ๊กเกอร์ส้มแก้วหายไป
สมุทัย : อยากให้มีสติ๊กเกอร์ส้มแก้วอยู่ในapps ไลน์ ถ้ามีสติ๊กเกอร์ส้มแก้วอยู่จะสุขใจ ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์ส้มแก้วอยู่จะทุกข์ใจ
นิโรธ : จะมีหรือไม่สติ๊กเกอร์ส้มแก้วอยู่ในไลน์ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : พิจารณาว่าเราไม่ควรไปยึดว่าจะต้องได้ใช้สติ๊กเกอร์ส้มแก้ว มีสติ๊กเกอร์อะไรก็ใช้ได้ เป็นเพราะเราชอบสติ๊กเกอร์ส้มแก้วมากจึงเป็นวิบากให้ได้รับการชอบมากก็เป็นกิเลสเหนี่ยวนำให้คนอื่นเป็นตาม จึงมีเหตุการณ์ที่ทำให้สติ๊กเกอร์หายไปและได้พิจารณาต่อไปว่าเราจะมีสติ๊กเกอร์ส้มแก้วหรือไม่มีสติ๊กเกอร์ส้มแก้วก็ไม่ทุกข์ใจ ใช้สติ๊กเกอร์ที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้วและได้สำนึกผิดขอโทษขออภัยตัวเองที่เผลอใจคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์แม้เล็กน้อยก็เป็นทุกข์เป็นวิบากได้ จึงรีบเจริญสติ ภาวนา และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น วางใจไม่ติดไม่ยึดในสติ๊กเกอร์ส้มแก้ว มีก็ได้ไม่มีก็ได้ สบายใจจัง ใจก็คลายลง เบิกบานใจได้ 100% ภายใน ห้านาที สาธุค่ะ
คลิปวิดิโอหาย
ช่วงบ่ายๆของวันพุธที่ 4 พ.ย 2563 ข้าพเจ้ากำลังฝึกหัดตัดต่อทำคลิปวิดิโอกสิกรรมไร้สารพิษเพื่อจะทำส่งการบ้านนักศึกษาวิชชารามประจำสัปดาห์ ขณะเดียวกันก็ตัดต่อวิดิโอที่ไปเก็บเกาลัดด้วย ขณะที่ตัดต่อคลิปกสิกรรมไร้สารพิษเสร็จจะบันทึกปรากฎว่าความจำในมือถือเต็ม จึงได้ลบวิดิโอบางวิดิโอออกไปและได้ลบวิดิโอที่ถ่ายตอนทำกสิกรรมไร้สารพิษออกไปด้วยเพราะคิดว่าได้ทำในโปรแกรมตัดต่อไว้แล้วแต่พอมาดูในโปรแกรมตัดต่อ พบว่าวิดิโอที่ตัดต่อไว้ก็หายไปด้วย ตรวจใจเห็นอาการหวั่นไหวรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่จะไม่ได้ส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอ
ทุกข์ : หวั่นไหวเสียดายเล็กน้อยที่จะไม่ได้ส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอ
สมุทัย : อยากจะส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอ ถ้าได้ส่งเป็นคลิปวิดิโอจะสุขใจ ถ้าไม่ได้ส่งเป็นคลิปวิดิโอจะทุกข์ใจ
นิโรธ : เบิกบานใจได้แม้ว่าจะไม่ได้ส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอ และไม่ว่าจะได้ส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอหรือไม่ได้ส่งเป็นคลิปวิดิโอก็สุขใจได้
มรรค : สงบใจระลึกถึงศีลที่ตั้งมาปฏิบัติ คือ จะเรียนรู้การตัดต่อวิดิโอด้วยใจที่เบิกบานแม้จะเจอปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม และพิจารณาโทษของการคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์แม้เล็กน้อย ก็เป็นโทษ คือเบียดเบียนตัวเอง ผิดศีลและเป็นวิบากกรรมใหม่เหนี่ยวนำให้คนอื่นเป็นตาม พอพิจารณาถึงตรงนี้ ใจก็คลายลง เบิกบานใจได้100% แม้เรา จะไม่ได้ส่งการบ้านเป็นคลิปวิดิโอก็ไม่ทุกข์ใจและรูปภาพที่ถ่ายไว้ก็พอจะส่งประกอบได้จึงได้ส่งการบ้านกสิกรรมไร้สารพิษ เป็นรูปภาพสองรูป ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว สาธุ
8 พฤศจิกายน2563
ชื่อเรื่อง ยังตัดไม่ขาด
เนื้อเรื่องย่อ( ขออนุญาตเล่าย้อนเพื่อให้เข้าใจง่าย )แม่มีโรคประจําตัวคือโรคลมจับกันเป็นก้อนในท้อง ภาษาบ้านเราคือท้องเป็นเถาเป็นดาน และแม่ก็ยอมรับว่าเป็นโรคเวรโรคกรรม เพราะไปหาหมอตรวจหลายโรงพยาบาลแต่หาสาเหตุไม่เจอ
ซึ่งเกิดจากความเครียดสะสม ซึ่งแม่ไม่รู้ตัวไม่เข้าใจ เครียดเป็นอย่างไรเพราะถามแม่ๆบอกไม่เครียดทุกครั้งที่มีอาการ วันก่อนโทรคุยกับแม่เล่าว่าท้องแม่จุกและแน่นใต้ลิ้นปี่ในท้องอีกแล้ว บอกกดตัวเองแม่บอกกดไม่ได้มันเจ็บ เห็นใจตัวเองว่าเราอยากช่วยแม่แต่จะแบบใหนดีน้อ แม่จะดีขึ้นถ้ามีคนโกยท้องให้ (แม่เคยไปเข้าค่ายหลายครั้ง)หลานสาวที่พอจะทำเป็นก็ไม่อยู่ น้องสาวที่อยู่ใกล้ก็ไม่เคยทำ หลานชายที่อยู่ด้วยทำไม่เป็นนอนคิดจะคุยกับตัวคนทำ หรือจะบอกให้หลานสาวกลับบ้านดี หรือเราจะฟังแล้วทำเฉยๆ แต่ใจไม่วางอยากช่วยแม่เพราะเราก็เคย เป็นเครียดลงกระเพาะหายใจออกเข้าใจอาการและความรู้สึกของแม่ แต่แม่ก็ไม่บอกน้องๆหลานๆที่บ้าน เมื่อเช้ายังตัดสินใจโทรบอกน้องสาว ๆ บอกเดี๋ยวไปดูแม่ให้ .
ทุกข์: เป็นห่วงแม่ที่ไม่สบาย จุก แน่นในท้อง
สมุทัย:ชอบ-ที่จะแม่สบายท้อง ไม่ชอบที่แม่ไม่สบายท้อง
นิโรธ: ไม่ชอบ ไม่ชัง แม้นว่าแม่จะไม่สบาย ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: สงบใจ พิจารณา ถามใจเราว่า ทำไมเรายังทุกข์ ยังตัดความห่วงใย จากคนรอบๆตัวเราไม่ขาดสักที ทั้งที่เรารู้วิบากกรรมของใครก็ของคนนั้น และแม่ก็เชื่อเรื่องวิบากกรรมดี ใครทำอะไรก็ต้องรับได้สิ่งนั้น .
เพราะวิบากของใครก็ของคนนั้น แบ่งกันไม่ได้ ก็รู้อยู่ ใจเบาลง70%พิจารณาไปอีกว่าเราก็ตัดได้มากอยู่และใจเย็นลงหันมาพิจารณาดูใจตัวเอง(ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่รอข้ามวันข้ามคืนต้องโทรจิกทุกคนทุกที่เกี่ยวข้อง)
จนเห็นว่าตัวเองยังมีความห่วงอยู่ 80%และน้องสาว หลานสาว น่าจะได้โอกาสบำเพ็ญกับแม่ กับยายด้วย จึงโทรบอกน้องสาว ใจก็ลงอีก 85% และรู้ว่าแม่สวดมนต์ท่องบทปลงสังขาร ทุกวัน ว่าการ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็น เรื่องธรรมดา ที่ทุกคนต้องเจอ ใจเบาลง90% และแม่โทรมาหาคุยกับเราๆถามว่า น้องสาวมานวดให้มั้ยแม่บอกมาแต่แม่เพิ่งกินข้าวอิ่มเลยไม่ให้นวดวันนี้เมื่อแม่ทนได้ ใจก็คลายเบาอีก95% ยังไม่หมด5%ที่เหลือ
ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกฝนตัดความห่วงใยให้ขาด .กราบสาธุค่ะ .
**แก้ไข**
เรื่องวิบากเก่า
เนื้อเรื่องทุกข์.ปวดขาเจ็บมากสองวัน
สมุทัย.คิดถึงกรรมชัดเคยไปจับเขียดกับพี่ชายเขาส่งให้เราหักขาและตอนเช้าเราเอามาทำกับข้าวเราต้มนํ้าเดีอดก็เอาเขาเทลงนํ้าร้อนเขาคงทุกข์มาก
นิโรธ.ยอมแล้วๆรับเต็มๆใจไร่ทุกข์เจ็บแค่ไหนก็ไม่ทุกข์ใจเลยคิดได้ว่าจะไปทำลูกประคบดีขึ่นภายในวันนั้นเลย
มรรค.สำนึกผิด.ยอมรับผิด.ขอโทษ เต็มใจรับโทษ หรือขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดีอันนั้น ตั้งจิตทำความดีให้มากๆ คือลดกิเลสให้มาก เกื่อกูลผองชนและหมู่สัตว์ให้มากๆ
เรืองวิบากเก่า
เนื้อเรื่องทุกข์.เจ็บปวดขามากสองวันคิดถึงกรรมเก่า
สมุทัยเหตุแห่งทุก.เคยไปจับเขียดกับพีชายมาตาลีส่งมาให้เราหักขาเขาและเอามาทำกินเช้าต้มนําเดือดๆเอาเทลงร้อนๆเขาคงทุกมากเราจึงยอมรับกรรมนั้นดว้ยใจไร้กังวน
นิโรธเลยหาสมุนไพรมาทำลูกประคบดีขึ่นในวันนั้น
มรรค สำนึกผิดยอมรับผิดขอรับโทษขออโหสิกรรมยอมแล้วใจไม่ทุกข์ส
เรื่องวิบากเก่า
เนื้อเรื่องทุกข์.เจ็บปวดขามากสองวัน
สมุทัย.เหตุแห่งทุกข์เคยไปจับเขียดกับพี่ชาย.มาตาลีส่งเขียดมาใหเราหักขาทุกตัวไส่ค้องแล้วเอามาขังไส่โอ่งไว่เช้ามาเอามาทำกินต้มนํ้าร้อนเดือดๆแล้วเอาเขามาเทลงเขาคงร้อนๆเขาคงทุกข์ทอรมาร มากๆเราคิดถึงเขาจึงสำนึกผิดยอมๆแล้ว
นิโรธ ใจยอมรับว่าเคยทำมาวันสามเลยเอาสมุนไพรมาทำลูกประคบดีขึ่นวันนั้นเลย
มรรค.สำนึกผิด ยอมรับผิด.ขอโทษขออโหสิ.กรรมตั้งจิตทำความดีให้มากๆ.คือลดกิเลสให้มากๆ.เกื่อลูกผองชนและหมู่สัตว์ให้มากสุขใจไร้ทุกข์จ้าสาธุ
การบ้านอริยสัจ ๔
เรื่อง : ยึดดีดังใจหมาย
ยึดจะเอาดี งานบทความวิชาการก็จะส่ง วิชาบาลีก็จะทำ เพื่อนทำกันอยู่กลัวไม่ทันเพื่อน เกิดความกระวนกระวาน กังวล หวั่นไหว ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องส่งงานบทความวิชาการให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถึงจะไปทำวิชาบาลี ยึดจะทำให้เสร็จไปที่ละเรื่องๆ เพราะแค่ส่งไลน์ให้พระอาจารย์ก็เสร็จแล้ว แค่นี้เอง ง่ายนิดเดียว พอเรายึดปุ๊บ ไม่ได้ปั๊บ เครื่องคอมพิวเตอร์ดับ ๓-๔ ครั้ง ในระหว่างทำงาน อ้าวทุกข์
ทุกข์ : กลัว กระวนกระวาย กังวล หวั่นไหว
สมุทัย : อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ให้เกิดดีดังใจเราหมาย คือ ยึดต้องทำ ยึดต้องส่งงานทางไลน์ให้เสร็จก่อน
นิโรธ : ชอบยึด ก็ให้ยึดแบบไม่ทุกข์ แบบไม่ยึดมั่นถือมั่น ส่งได้ก็ได้ ส่งไม่ได้ก็ได้ เราไม่ทุกข์ใจ สุขใจได้ตลอดเวลา
มรรค : พิจารณาอยากได้อะไร ไม่ได้สิ่งนั้นนั้นก็เป็นทุกข์ อยากได้ อยากส่งงานในไลน์ให้สำเร็จก่อน ส่งไม่ได้ทุกข์ใจทันทีนั้นเป็นกองทุกข์ทั้งมวล ไม่อยากได้ไม่ยึดจะไม่ทุกข์ อยากเป็นแบบไหนเลือกเอาเลยโอ ทุกข์เป็นวิบากร้ายทำร้ายตนเอง และเหนี่ยวนำผู้อื่นให้เป็นตามทำตามอีก วิบากนั้นเธอต้องรับด้วย เอาไหมละ เห็นไหมคิดว่าแค่เรื่องง่ายๆ คลิกส่งก็เสร็จ เวลาวิบากเข้าก็ไม่ง่าย ยึดอะไรไม่ได้จริง
พิจารณาไตรลักษณ์ ถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ตลอดกาล ไม่เที่ยง เห็นว่าง่ายๆ ยังไม่ง่ายเลย แล้วเราจะไปยึดเอาอะไรกับความไม่เที่ยงนั้น ให้โง่ ให้ทุกข์น่ะ วิบากดี-ร้าย เหตุการณ์เราควบคุมไม่ได้ แต่เราคิดควบคุมใจเราได้ ฝึกคิดไม่ให้ทุกข์ได้
พิจารณาโทษของการยึด มียึด อึดอัดขัดเครืองใจ กลัว กระวนกระวาน กังวล หวั่นไหว เป็นอาการที่ไม่สบายตัวไม่สบายใจ ไม่ควรให้มี ให้เกิดขึ้นในตัวเรา ไม่ยึดสบายกว่าน่ะ อะไรจะเกิดก็ได้ สุขสบายใจได้ ยอมรับได้ เมื่อเราได้ทำดีเต็มทีแล้ว ที่เหลือเป็นวิบากดี-ร้ายจะสั่งเคราะห์ให้เราได้รับ ได้เรียนรู้ว่าจะให้เราเรียนรู้ในด้านไหน ก็เก็บเอาประโยชน์ให้ได้ในทุกด้าน ทุกเหตุการณ์
พิจารณาเชื่อหลักเลข ๓ ถ้า ๓ ครั้งขึ้นไป ถ้ามีอาการฝืดฝีนจนไปต่อไม่ได้ให้หยุด วางก่อนแล้วไปทำอย่างอื่น แสดงว่านั้นยังไม่ใช่เวลาที่จะทำ ทำไปอาจจะเสียหายมากก็ได้ ให้ทำในสิ่งที่ทำได้ง่าย ได้สะดวก ไม่มีอะไรติดขัด ขัดขวาง ดูอัตตกิลมถะ ความไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อนตนเอง ไม่บีบคั้นทรมานตนให้เดือดร้อนกายใจก่อน
ตนเองรู้สึกยินดีที่ได้เห็นกิเลสความยึด ความกลัวในตัวเรา เรายังกลัวกังวล ระแวงหวั่นไหวอยู่เยอะด้วย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน สัตว์เสือกคลานมาหลายภพชาติ ขอบคุณครูบาอาจารย์และหมู่มิตรดี จะพรากเพียรพยายามล้างไปด้วยใจเบิกบาน ผาสุก
การพิจารณานี้ ได้กลับมาทบทวนอีกหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว เพราะไม่ทันกิเลสความยึดหลอกเอาในตอนนั้น สาธุค่ะ ๖๓๑๑๑๒
ขออนุญาต แก้ไขคำผิด พากเพียร
การบ้านอริยสัจ ๔
เรื่อง : ยึดดีดังใจหมาย
ยึดจะเอาดี งานบทความวิชาการก็จะส่ง วิชาบาลีก็จะทำ เพื่อนทำกันอยู่กลัวไม่ทันเพื่อน เกิดความกระวนกระวาน กังวล หวั่นไหว ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องส่งงานบทความวิชาการให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถึงจะไปทำวิชาบาลี ยึดจะทำให้เสร็จไปที่ละเรื่องๆ เพราะแค่ส่งไลน์ให้พระอาจารย์ก็เสร็จแล้ว แค่นี้เอง ง่ายนิดเดียว พอเรายึดปุ๊บ ไม่ได้ปั๊บ เครื่องคอมพิวเตอร์ดับ ๓-๔ ครั้ง ในระหว่างทำงาน อ้าวทุกข์
ทุกข์ : กลัว กระวนกระวาย กังวล หวั่นไหว
สมุทัย : อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ให้เกิดดีดังใจเราหมาย คือ ยึดต้องทำ ยึดต้องส่งงานทางไลน์ให้เสร็จก่อน
นิโรธ : ชอบยึด ก็ให้ยึดแบบไม่ทุกข์ แบบไม่ยึดมั่นถือมั่น ส่งได้ก็ได้ ส่งไม่ได้ก็ได้ เราไม่ทุกข์ใจ สุขใจได้ตลอดเวลา
มรรค : พิจารณาอยากได้อะไร ไม่ได้สิ่งนั้นนั้นก็เป็นทุกข์ อยากได้ อยากส่งงานในไลน์ให้สำเร็จก่อน ส่งไม่ได้ทุกข์ใจทันทีนั้นเป็นกองทุกข์ทั้งมวล ไม่อยากได้ไม่ยึดจะไม่ทุกข์ อยากเป็นแบบไหนเลือกเอาเลยโอ ทุกข์เป็นวิบากร้ายทำร้ายตนเอง และเหนี่ยวนำผู้อื่นให้เป็นตามทำตามอีก วิบากนั้นเธอต้องรับด้วย เอาไหมละ เห็นไหมคิดว่าแค่เรื่องง่ายๆ คลิกส่งก็เสร็จ เวลาวิบากเข้าก็ไม่ง่าย ยึดอะไรไม่ได้จริง
พิจารณาไตรลักษณ์ ถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ตลอดกาล ไม่เที่ยง เห็นว่าง่ายๆ ยังไม่ง่ายเลย แล้วเราจะไปยึดเอาอะไรกับความไม่เที่ยงนั้น ให้โง่ ให้ทุกข์น่ะ วิบากดี-ร้าย เหตุการณ์เราควบคุมไม่ได้ แต่เราคิดควบคุมใจเราได้ ฝึกคิดไม่ให้ทุกข์ได้
พิจารณาโทษของการยึด มียึด อึดอัดขัดเครืองใจ กลัว กระวนกระวาน กังวล หวั่นไหว เป็นอาการที่ไม่สบายตัวไม่สบายใจ ไม่ควรให้มี ให้เกิดขึ้นในตัวเรา ไม่ยึดสบายกว่าน่ะ อะไรจะเกิดก็ได้ สุขสบายใจได้ ยอมรับได้ เมื่อเราได้ทำดีเต็มทีแล้ว ที่เหลือเป็นวิบากดี-ร้ายจะสั่งเคราะห์ให้เราได้รับ ได้เรียนรู้ว่าจะให้เราเรียนรู้ในด้านไหน ก็เก็บเอาประโยชน์ให้ได้ในทุกด้าน ทุกเหตุการณ์
พิจารณาเชื่อหลักเลข ๓ ถ้า ๓ ครั้งขึ้นไป ถ้ามีอาการฝืดฝีนจนไปต่อไม่ได้ให้หยุด วางก่อนแล้วไปทำอย่างอื่น แสดงว่านั้นยังไม่ใช่เวลาที่จะทำ ทำไปอาจจะเสียหายมากก็ได้ ให้ทำในสิ่งที่ทำได้ง่าย ได้สะดวก ไม่มีอะไรติดขัด ขัดขวาง ดูอัตตกิลมถะ ความไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อนตนเอง ไม่บีบคั้นทรมานตนให้เดือดร้อนกายใจก่อน
ตนเองรู้สึกยินดีที่ได้เห็นกิเลสความยึด ความกลัวในตัวเรา เรายังกลัวกังวล ระแวงหวั่นไหวอยู่เยอะด้วย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน สัตว์เสือกคลานมาหลายภพชาติ ขอบคุณครูบาอาจารย์และหมู่มิตรดี จะพากเพียรพยายามล้างไปด้วยใจเบิกบาน ผาสุก
การพิจารณานี้ ได้กลับมาทบทวนอีกหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว เพราะไม่ทันกิเลสความยึดหลอกเอาในตอนนั้น สาธุค่ะ ๖๓๑๑๑๒
เรื่อง:คันหัวใจที่ส่งการบ้านแล้วผิดพลาดถึงสี่ครั้ง
เรื่องมีอยู่ว่า หนูชอบมาเขียนการบ้าน ในห้องนี้เพราะมีความรู้สึกว่า ตัวเองเขียนได้ง่าย เรียบเรียงได้ง่ายกว่าห้องอื่น ครั้งที่1เขียนเเสร็จ เรียบเรียงเสร็จ ก็เลื่อนลงไปกด Post Comment แล้วก็ไปทำงานต่อ 4ชั่วโมงผ่านไป พอเลิกงานก็เลยเข้ามาดู ว่าตัวเองการบ้านที่ตัวเองส่ง ขึ้นเหมือนของพี่น้องท่านอื่นไม ปรากฏว่าไม่เห็น ตัวเองก็งงอยู่พักนึง ตรวจไปตรวจมาปรากฏว่า ตัวเองลืมเปิดเน็ตโทรศัพท์ค่ะ คิดบอกตัวเองว่าโอเคร วางใจได้ แล้วคิดว่ายังไม่ถึงรอบที่จะส่ง มาอาทิตย์นี้ เมื่อวันพุธก็ เข้ามาเขียนการบ้านเรื่องเดิมอีก เข้ามาเขียนในห้องนี้อีก ก็เขียนจนจบ เสร็จเรียบร้อยดี พอจะส่ง กิเลสมันมากระซิบ ข้างหูว่า ออกไปดูตารางรถไฟดิ ฉันว่าแกพลาดรถไฟแล้ว ไปทำงานสายแน่เลย หนูก็ดันไปเชื่อกิเลส กดออกไปจริงๆ สติไปแล้วค่ะ พอกดออกไปดู ปรากฏว่า เวลายังมีอีกตั้ง20 นาที พอกลับเข้ามาห้องการบ้านที่เขียนไว้ลบหายหมดเลย OMG ต้องมาเขียนใหม่อีกแล้วเหรอ อาการคันหัวใจ เริ่มเข้ามาเพิ่มมากขึ้นค่ะ แต่ทันใดนั้นจิตที่คิดดี ก็บอกว่าเอาประโยชน์ซิ เขียนเรื่องใหม่เรื่องเดิมที่เขียนนั้นวางไว้ก่่อน มาเขียนเรื่องคันหัวใจที่ส่งผิดพลาดนี้แหละ ได้กำไรแล้วเห็นไหมละ จิตที่คิดดีก็บอกว่าเออจริงซินะ จากนั้นพลังในการที่จะเขียนการบ้าน ส่งอีกก็มาเต็มร้อย ความกังวลใจก็หายไป พอเย็นวันพุธเลิกงานทำธุระกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็มาเขียนใหม่อีกรอบ เป็นครั้งที่สี่ เข้ามาเขียนเสร็จเรียบเรียงเสร็จ จิตก็บอกว่า กดแค็บหน้าจอ แล้วยกไปฝากเพื่อนไว้ก่อนแล้วค่อยกดส่ง ว่าแล้วก็ทำตามกิเลสอีกรอบค่ะ พอเอาไปวางที่ LINE ของเพื่อนปรากว่า แค็บหน้าจอผิดอีกค่ะ กลับเข้ามาที่ห้องการบ้าน ปรากฏว่าการบ้านที่เขียนไว้ลบหายไปอีกทั้งหมดเลยค่ะ โอพระเจ้า รอบที่สี่เห็นค่ะว่าความทุกอยากจะส่งการบ้านให้สำเร็จนั้นมาเพิ่มมากขึ้นเลยค่ะ เห็นค่ะว่ากิเลสตัวยึดดีเริ่มมา เลยต้องรีบพิจารณาถึง ประโยชน์ที่ได้ในการทำการบ้าน ถึงสี่ครั้งทันทีก่อนที่กิเลสตัวทุกข์มันจะครอบงำแล้งล้างลำบาก นี้เป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว เป็นการทบทวน อริยสัจสี่ เพิ่มมากขึ้น ได้ทบทวบ ในการเขียนหนังสือเพิ่มมากขึ้นและฯ ได้ล้างความยึดดีถือดี เราทำดีที่สุดแล้ว ทำไม่ถึงไม่ได้ดี เพราะเราทำดียังไม่มากพอ จิตก็โล่เบาสบายเลยค่ะ
ทุกข์:ทุกข์ที่ตัวเองทำการบ้าน แล้วผิดพลาดในการส่งถึง4ครั้ง
สมุทัย:คือ ชอบที่เราส่งการบ้านโดยที่ไม่ผิดพลาดในการส่งถึง4ครั้ง เราก็จะสุขใจ
ชังที่เราส่งการบ้าน แล้วผิดพลาดในการส่ง ได้ไงถึง4ครั้ง
นิโรธ:ไม่ว่าเราจะส่งการบ้านได้หรือไม่ได้ เราก็จะสุขใจ ไม่ว่าเราจะต้องเขียนการบ้าน แล้วผิดพลาดในการส่ง อีกสักกี่ครั้งเราก็สุขใจ
มรรค:ได้พิจารณาถึงประโยชน์ ในการที่เราได้ทำการบ้าน แล้วผิดพลาดในการส่งได้ถึง4ครั้งนี้ คงไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ,เราได้ทบทวนถึงสภาวะธรรมของเราเพิ่มมากขึ้น เราได้ล้างความยึดดีถือดีของเรา,เราก็รู้และเห็นได้ชัดเลยค่ะว่าทุกอย่างไม่เที่ยง พร้อมรับ พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา แล้วทำไมเราทำดีแล้วยังไม่ได้ดี ก็เพราะว่าเราทำดียังไม่มาก็พอ จากนั้นใจก็โล่งเบาสบาย เบิกบานใจ มีกำลังใจที่จะเขียนการบ้านส่งคุรุ เป็นครั้งที่5นี้ค่ะ
กราบสาธุธรรม ค่ะ
ไม่อยากเจอใคร
เนื่องจากช่วงนี้ลูกชายคนโตเตรียมรับปริญญาบัตร เมื่อวันที่ 1 พย.63 วันซ้อมรับที่ชุมพรยังไม่มีปัญหาอะไรเพราะไม่เจอคนนอกครอบครัว แต่ในวันที่ 10 ที่จะถึงนี้เป็นวันรับจริง ต้องเดินทางขึ้นกรุงเทพไปนอนพักบ้านน้องสะใภ้และยังต้องเจอหลานๆ และคนอื่นๆที่ทำงานลูก ก็มีอาการไม่อยากเจอคนอื่นๆ ให้เขาเห็นความผอม ความแห้ง ความเหี่ยว ความแก่ของตนเอง ถึงกับโทรถามลูกชาย ลูกอายไหมที่แม่ไม่สวย ผอมแห้ง ดูไม่ดีไม่เหมือนอาและคนทางโลกๆ ที่ดูดีเหมือนไฮโซแต่แม่คนทำสวนธรรมดาๆ แล้วยังแต่งตัวธรรมดาอีก ใส่แต่กางเกงยีนส์เสื้อผ้าธรรมดาอีกต่างหาก
ทุกข์ กลัวคนอื่นมองว่าผอม เหี่ยว ดูไม่ดี
สมุทัย คนมองว่าดูดีก็สุขใจ คนมองว่าดูไม่ดีก็ทุกข์ใจ
นิโรธ คนจะมองว่าผอม แก่ เหี่ยว หรือจะมองว่าดูดีก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ให้เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราก็เคยไปว่าคนปฎิบัติธรรมที่เขาไม่กินเนื้อสัตว์มา เราจึงได้รับสิ่งนั้น และจะกลัวไปทำไมท่านอาจารย์และพี่ๆจิตอาสาที่เริ่มปฎิบัติก็เคยผอม น้ำหนักลด แบบนี้ทุกคน พอปรับสมดุลย์ร้อนเย็นได้ดี ปฎิบัติได้ดีก็ค่อยๆดูดีขึ้นเรื่อยๆ จะไปอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเราณ.เวลานั้นก็ทุกข์แล้ว จะทุกข์ใจไปทำไมเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำมาว่าดีที่สุดแล้ว จะไม่ไปเอาร่างกายที่อ้วนแต่เต็มไปด้วยโรคอีกเด็ดขาด จะไม่ไปนอนโอดโอยอีก ตอนนี้ร่างกายเบา สบาย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เอาแบบนี้ใครจะมองมาอย่างไงก็ไม่กังวลเลย
ลูกชายบอกว่าเขาไม่มีความอายเลย แม่สุขภาพดีลูกดีใจสุดแล้ว
และได้มีโอกาสทำให้เขาเห็นการกินอาหารมังสวิรัติที่ทำอยู่ ถึงจะกินที่บ้าน ที่ร้านอาหารหรือที่ไหนก็สามารถทำได้อยู่ที่ความตั้งใจของเราเท่านั้น เขาจะบันทึกในจิตวิญญาณของเขาเอง จะเอาตอนไหนก็แล้วแต่เขา นับ1ที่เราก็พอ
เรื่อว หญ้ารก “ไม่ได้ดั่งใจ”
เรื่องย่อ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ได้เตรียมพื้นที่ข้างบ้านปลูกผักไว้หลายชนิด เช่น ถั่วเขียว ถั่วฝักยาว ถั่วพูแตงกวา บวบ ฟักทอง ฟักเขียว พริก มะเขือ ข้าวโพด เป็นต้น ปลูกเสร็จแล้ว ก็ได้เดินทางไปร่วมบำเพ็ญกิจกรรมในคายฑระไตรปิฎกครั้งที่ 30 ที่ภูผาฟ้าน้ำ จังหวัดเชียงใหม่ เสร็จค่ายฯ แล้ว ก็ยังอยู่บำเพ็ญต่ออีก นานประมาณหนึ่งเดือน กลับมาถึงบ้าน เห็นหญ้าในแปลงผักที่ปลูกไว้ รกมากๆ ผักก็เจริญงอกงามดี แต่อยู่ใต้หญ้าที่รกมากๆ เพราะหญ้าซึ่งเป็นวัชพืชที่เราไม่ต้องการ โตเร็วมาก จึงเกิดความทุกข์ขึ้น
ทุกข์ : มีความไม่ได้ดั่งใจ เพราะหญ้ารก
สมุทัย : เกิดจากการมีผัสสะ เพราะตาที่ได้เห็นหญ้ารก และจากการคาดหวังว่า ผักที่ปลูกไว้ค้องเจริญงอกงามอย่างดีและสวยงาม จะต้องไม่มีหญ้าที่รกมากมาย เพราะเกิดความไม่ได้ดั่งใจขึ้น ทุกข์เพราะ “ความไม่ได้ดั่งใจ”
นิโรธ: การ “วางใจ” ว่า หญ้าจะรกหรือไม่รก ก็ไม่เห็นเป็นไร เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเช่นนี้เองแหละ
มรรค : ฝึกการมีสคิ ตั้งศีลเพิ่ม จึงเกิดปัญญา พิจารณาได้ว่า ความเป็นจริงของธรรรมชาติเป็นเรื่องธรรมดา เข่นนี้เอง การเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด เป็นไปตามธรรมชาติ ในเมื่อมีเหตุป้จจัยลงตัว มีสิ่งแวดล้อมดี มีดินดี น้ำดี ดินฟ้าอากาศเหมาะสม สิ่งที่มีชีวิต คือ สิ่งที่เป็นพืชทุกชนิด ย่อมเจริญงอกงามตามฤดูกาลตามธรรมชาติ พืชผักที่เราตั้งใจปลูกหรือวัชพืชที่เราไม่ต้องการ ที่มันมาแย่งอาหารของพืชผักของเรา แต่แท้จริงแล้ว อาจารย์หมอเขียวย้ำสอนเราว่า “หญ้าเป็นเพื่อนพืช” ของเรา ถ้าเรามีการจัดการที่ดี ที่ถูกควร หญ้า/วัชพืชเหล่านั้น คือ “ปุ๋ยที่ดีทีสุด” สำหรับพืชผักของเรา ไม่ต้องไปซื้อ-ไปหาที่ไหนๆ ให้ลำบากอีกแล้ว จึงถึงบางอ้อ!ว่า “ไม่ต้องทุกข์กับอะไร” หญ้าจะรกหรือไม่รก ก็มีความสบายใจเบิกบานได้ทุกสถานการณ์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะเกิดปัญญา จึงได้เห็นกิเลสมาร ตัวที่ทำให้ทุกข์ นั้นคือ ตัว “ความไม่ได้ดั่งใจ” แล้วจะเลี้ยงมันเอาไว้ “ทำทุกข์” อีกทำไม ต้องเพียรพยายาม ฝึกฝน “ฆ่ามาร” ตัว “เอาแต่ใจ” (ออกไปๆๆๆๆ) จนทุกข์ๆๆๆๆๆ “ทุกช์ แล้วโง่” ทุกข์ทำไม? ว่ะ!!! รู้แล้วๆๆๆ
“ไม่ทุกข์ เท่าที่ไม่โง่”
เย่ ๆ ๆ เบาสบายใจจริง เย่!
อริยสัจ 4
ชื่อเรื่อง เก็บเห็ด
เนื้อเรื่อง
พี่สาวส่งรูปเพื่อนพร้อมกับเห็ดเต็มตะกร้า ใจก็บอกโอ้โห!เห็นใจที่อยากไปเก็บเห็ด
เมื่อเช้านั่งรถไปถอนฟันที่เเถวใกล้บ้านเพื่อนพี่สาว ใจก็คิดถึงพี่คนนี้อยู่(คิดถึงเห็ดด้วย)
พอตอนเย็นมาพี่สาวพี่สาวส่งรูปมา ใจมันดิ้นอยากไป
ทุกข์:ใจดิ้นมาก เมื่อเห็นรูปเห็ดเต็มตะกร้าของเพื่อนพี่สาว
สมุทัย:อยากไปเก็บเห็ด ชอบใจที่จะได้ไปเก็บเห็ด ไม่ชอบใจที่จะไม่ได้ไปเก็บเห็ด
นิโรธ:เบิกบานใจได้ เเม้จะได้ไปเก็บเห็ดหรือไม่ได้ไปเก็บเห็ดก็ตามก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค:พิจารณาดูวันนี้เราเพิ่งไปถอนฟันมา มันคงจะสมบุก สมบันเกินไปที่เราต้องขับรถไปต้องไปเดินขึ้นเขา เเล้วมันก็ไกลด้วย อีกทั้งต้องตื่นเเต่เช้า คิดได้ตรงนี้ ใจมันก็วางลงได้ 80 %
ท่านอ.หมอเขียวเคยเทศน์ไว้ ต้องขัดเกลากิเลสลงบ้าง ถ้าเราไปเเสดงว่าเราส่งเสริมกิเลส!งั้นเราไม่ไป เเล้วก็เขียนไปบอกพี่ว่าน้องไม่ไปค่ะ
พี่ตอบมาว่าพี่ก็ไม่ไป ทุกข์หายไปเล้วค่ะ
อริยสัจ 4
เรื่อง ผิดศีลข้อ 4
เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้คุยแลกเปลี่ยนสภาวะธรรมกับพี่น้องกลุ่มพลังศีล และได้ปรึกษาหารือกันเรื่องจะเชิญพี่น้องเข้ามาร่วมฝึกเรียนการเขียนการบ้านอริยสัจ 4 ร่วมกัน ข้าพเจ้าจึงได้ถามพี่น้องท่านหนึ่งว่า ” พี่สะดวกที่จะเชิญพี่น้องเข้ามาในกลุ่ม ไลน์ไหมค่ะ เพราะตอนนี้พี่กำลังมาแรง” พี่น้องท่านนั้นก็ตอบว่า ” พี่เชิญไม่เป็นค่ะเชิญพี่น้องท่านอื่นเชิญเลยค่ะ” และพี่น้องท่านเดียวกันก็ได้ถามข้าพเจ้าว่า”ที่น้องบอกว่า พี่กำลังมาแรงนั้นหมายความว่าอย่างไร” ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ” ก็หมายความว่าตอนนี้พี่กำลังเป็นที่รู้จักของพี่น้อง ค่ะ” แล้วพี่น้องท่านเดิมก็บอกว่า ไม่หรอกให้พี่น้องท่านอื่นเชิญไปเลย เวลาผ่านไป จนถึงตอนเย็นของวันอาทิตย์ พวกเราก็มาคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการทำการบ้านอีกครั้ง พี่น้องท่านเดิม ได้ถามข้าพเจ้าว่า ” พี่ขอถามหน่อยว่าที่น้องว่า…พี่กำลังเป็นที่รู้จักของพี่น้องนั้น น้องหมายความว่าอย่างไร?..” พอข้าพเจ้าได้ยินคำว่า..พี่ขอถามหน่อย..ก็ทำให้รู้ว่าพี่น้องท่านนี้จะถามว่าอะไร เป็นจริงอย่างที่ข้าพเจ้ากำลังคิดค่ะ. ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า เพราะพี่เป็นคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม เลยให้เกียรติพี่ที่จะเชิญ และพี่ก็เพิ่งได้รับวิบากกรรมซึ่งทำให้พี่น้องได้รู้จักพี่ และพี่ก็สามารถผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ด้วยการล้างทุกข์นั่นด้วย อริยสัจ 4 ค่ะ นี่คือที่มาของคำพูดที่น้องได้พูด ค่ะ. พี่ท่านก็บอกว่าตกลงเข้าใจ แล้วก็มีพี่น้องอีกท่านเสริมมาว่าท่านได้สภาวะว่าที่ ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น เพราะ ท่านเข้าใจว่าพี่น้องท่านนั่น ท่านสามารถดับทุกข์ใจด้วย อริยสัจ 4 ได้ ก็เลยพูดถามอย่างนั้นไป ค่ะ.
ทุกข์ : เสียใจที่คำพูดของตนเองทำให้เพื่อนต้องทุกข์ใจอยู่ตั้ง 1 วันเต็ม ๆ
สมุทัย : อยากให้เพื่อนเข้าใจในคำพูดของเรา ไม่อยากที่จะให้เพื่อนเข้าใจผิดคิดไม่ดีกับเรา ชอบที่จะให้เพื่อนเข้าใจและเชื่อใจกับคำพูดของเราว่าเราปรารถดีกับเพื่อน ไม่ชอบที่เพื่อนไม่เข้าใจและไม่เชื่อใจกับคำพูดและความปรารถนาดีของเรา
นิโรธ : ใจไร้ทุกข์ เบิกบานได้ หากเพื่อนจะยังเข้าใจหรือไม่เข้าใจกับคำพูดหรือการกระทำของเรา
มรรค : คิดว่าสิ่งที่เราได้รับก็คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา เราเองต่างหากที่เป็นแรงเหนี่ยวนำ สิ่งที่ไม่ดีวิบากกรรมของเราเองไปเหนี่ยวนำให้เราได้ทำสิ่งนี้ออกไป พูดออกไป และเราเองที่ยังทำดีไม่มากพอ ถ้าทำดีมากกว่านี้ ไม่ผิดศีลข้อ 4 สำรวมระวังในศีลเราก็จะไม่พูดอย่างนี้ออกไป เพราะแต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน ถ้าข้าพเจ้าอธิบายเหตุผลที่กระทำให้เพื่อนได้กระจ่างก่อน เพื่อนก็อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ และไม่ทุกข์ข้ามวันข้ามคืนอย่างนี้ ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดและยอมรับผิดแล้วกับสิ่งทีข้าพเจ้าได้กระทำลงไป และขอโทษขออโหสิกรรมกับตัวเอง พี่น้องท่านนั้น และท่านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ต่อไปข้าพเจ้าจะอธิบาย ถึงเหตุผล และ จะสำรวมระวังในศีลให้มากกว่าเดิม ขอบพระคุณเหตุการณ์นี้ที่ได้เป็นกระจกส่องทางให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงข้อบกพร่องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะนำเหตุการณ์มาเป็นอุทาหรณ์ จะระวังการกระทำและคำพูดให้มากกว่านี้ หลังจากที่ได้พิจารณาจนถึงจิตวิญญาณ แล้ว ใจก็ไร้ทุกข์ เบิกบานได้ แม้นหากเพื่อนจะยังเข้าใจหรือไม่เข้าใจกับคำพูดหรือการกระทำของข้าพเจ้าก็ตาม จากความรู้สึกที่เสียใจอยู่นั้นก็หายไป เป็นปกติคีดังเดิม 100 % ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมในเหตุการณ์ ได้รับวิบาก และล้างวิบากมาด้วยกัน เย้ ! ร้ายหมดอีกแล้ว รับแล้วก็จะหมดไปแล้วข้าพเจ้าก็จะได้โชคดีขึ้น สาธุ
เรื่อง ….เห็นอาการคล้าย ๆ แบบนี้บ่อย แต่ไม่ค่อยล้างในปัจจุบัน
เมื่อก่อนที่เราเห็นตัวเองทำไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ขำแบบไม่สำนึกผิด ก็เป็นความโง่อย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นตัวเองทำไม่ดีแล้วก็ยังขำ แต่เป็นขำแบบสำนึกผิดว่า เป็นกิเลสที่ต้องแก้ ต้องตั้งศีลนับแต่เห็นพฤติกรรมไม่ดีนั้นของตัวเอง
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2563) กินข้าวเสร็จแล้ว ออกไปอ่านหนังสือทำการบ้าน (ป.เอก) สักพักเกิดอาการหิวน้ำ ไม่ได้พิจารณาอะไรทั้งนั้นเดินไปในครัว (บ้านพี่หม่วย) เปิดตู้เย็นหาน้ำเย็น (เผลอทำ ปกติไม่เคยทำ) นี่ก็ทำแบบไม่รู้ตัว มารู้ตอนที่เปิดตู้เย็นแล้วไม่เห็นน้ำเย็น แต่ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าฟุ้งซ่าน แค่รู้ตัวแต่ไม่ได้ทำอะไรต่อเลย (ความจริงต้องอ่านใจก่อนว่า….มีกิเลสอะไร) ต่อมาก็ปิดตู้เย็นชั้นธรรมดา เพราะไม่ได้สมใจ แต่ก็ไม่ได้พิจารณาอีกว่า จะต้องทำอะไรกับอาการกิเลสนั้นไหม แถมยังไปเปิดชั้นช่องแช่แข็งอีก เพราะเคยเห็นว่ามีน้ำแข็งแช่อยู่ในนั้น คงจะพอหายอยากกินน้ำเย็น ก็เลยหยิบน้ำแข็งมา 2 ก้อน ใส่ปาก พร้อมด้วยน้ำธรรมดา 1 แก้ว แล้วเดินมาที่ทำงาน….ทั้งหมดที่เล่ามา ได้เห็นตัวเองทุกขั้นตอน แต่…ไม่มีกำลังในการจัดการกับกิเลสสักขั้นตอนเดียวเลย
ต่อมาได้สติตอนเจอวิบาก จึงคิดได้ว่า อ๋อ….มีกิเลส อยากกินน้ำเย็น แต่พอน้ำเย็นไม่มี ก็เลยไปกินน้ำแข็ง โดยพิจารณาแค่ว่าอยากกินน้ำเย็น ๆ แต่ไม่ได้อ่านว่าเป็นกิเลส การพิจารณาอย่างลวก ๆ แบบนี้ก็มีวิบากนะคะ ตอนที่น้ำแข็งยังอยู่ในปาก และกำลังจะอ่านงาน ปรากฎว่าหาไฟล์งานไม่เจอ หาโฟลเดอร์โน้นโฟลเดอร์นี้ก็ไม่เจอ แต่พอมีสติสัมปชัญญะ สำนึกผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรมะ ก็หาเจอเลย
จึงได้พิจารณาล้างกิเลสอย่างจริงจัง ระหว่างมที่คิดทบทวน เกิดความยินดีแว้บเข้ามาว่า ดีจังเลยที่เห็นตัวเองทำพฤติกรรมแย่ ๆ แบบนี้ แล้วต่อมาไม่นานก็มีสติที่จะพิจารณาล้างกิเลส จึงเห็นว่าในการกระทำนั้นมีกิเลสหลายตัว
1.ทุกข์ : อยากกินน้ำเย็น
ยึด (สมุทัย) : อยากแก้กระหายด้วยน้ำเย็น ถ้าได้กินน้ำเย็นจะสุขใจ ชอบใจ ถ้าไม้ได้กินน้ำเย็นจะทุกข์ใจ ไม่ชอบใจ (แบบนี้คิดผิด)
ไม่ยึด (นิโรธ) : ไม่กินน้ำเย็นอย่างเป็นสุขใจให้ได้ หรือจะกินน้ำเย็นเพราะอะไรก็ต้องพิจารณากันก่อนว่าเป็นกิเลสไหมอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ต่อรองกันได้หรือปล่าว จะได้รู้แพ้รู้ชนะ ไม่ใช่ทำไปก่อนพิจารณา (แบบนี้คิดถูก)
2.ทุกข์ : กลัวคนเห็นเรากินน้ำแข็ง
ยึด (สมุทัย) : แอบกินตอนไม่มีใครอยู่ในครัว กลัวใครเห็น ถ้าไม่มีใครเห็นเรากินน้ำแข็งจะสุขใจ ชอบใจ ถ้ามีใครเห็นเรากินน้ำแข็งจะทุกข์ใจ ไม่ชอบใจ (แบบนี้คิดผิด)
ไม่ยึด (นิโรธ) : มีใครเห็นหรือไม่มีใครเห็นเรากินน้ำแข็งก็สุขใจ ชอบใจ ถ้าได้พิจารณาดีแล้วว่า ควรกินหรือไม่ควรกินน้ำแข็งเพราะอะไร แต่นี่เป็นเพราะเราไม่ได้พิจารณาให้ชัดเจนว่าเรากินน้ำแข็งเพราะอะไร (แบบนี้คิดถูก) เมื่อเราไม่ชัดเจน กิเลสก็รู้ว่าเราไม่ชัดเจนด้วย กิเลสก็เลยทำให้เราทุกข์ได้อยู่ ทั้งลุกรี้ลุกรนและเกิดอาการแอบ ๆ ลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนโจรกำลังลักขโมยของ สันหลังหวะเหมือนวัวกลัวความผิด
มรรค : พอได้รับวิบาก็ได้สติ มาตลีมาเตือนแล้ว ต่อไปจะทำอีกไหม? ถามตัวเอง ก็ตอบตัวเองว่า… ต่อไปจะพิจารณาก่อนทำ ครั้งนี้พิจารณาช้าไป ปาเข้าไปตั้ง 2 ยึด (ที่เห็นได้ชัด แต่ที่ไม่เห็นก็อาจจะมีอีก ก็ค่อยว่ากันที่หลัง) ทำไปแบบไม่รู้ตัวเลยเจอวิบาก พอกลับไปงาน หางานไม่เจอเลยรู้ตัวว่า อ้าว…เจอวิบากเข้าแล้ว วันนี้เลยได้โชค 3 ชั้นคือ ได้ใช้วิบาก ได้เห็นกิเลส และได้ล้างกิเลสค่ะ
พอเอาเข้าจริง ๆ ถามว่าติดน้ำแข็งมากอยู่ไหม ตรวจใจดู….ตอบตามตรงว่าก็ไม่นะ ไม่ได้ติดน้ำแข็ง แต่ติดน้ำเย็น ตอนน้ำแข็งอยู่ในปากทรมานมาก แต่กิเลสติดน้ำเย็นที่เราไม่ได้พิจารณาก่อนทำนั่นแหละที่บงการให้เราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทั้ง ๆ ที่กิเลสไม่ได้ตัวใหญ่มากเท่าเก่าแล้ว (เหลือรูปภพ อรูปภพ) ถ้าพิจารณาทันในปัจจุบัน ก็คิดว่าจะไม่ดิ้นมาก ไม่ได้ทรมานอะไร เอาลงได้ง่าย ๆ อยู่ เพราะเคยพิจารณาทันแล้วไม่กินมาหลายรอบแล้ว ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญอีกบทหนึ่ง ที่ต้องรอให้วิบากมาบอก เราถึงจะตระหนักว่า “อ่านใจก่อนกินน้ำเย็น” ก็จะตั้งศีลมาปฏิบัติ ก่อนเจอวิบากดีกว่า ว่าจะพากเพียรอ่านจิตอ่านใจก่อนคิด พูด ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้แววไวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่อง : เฝ้าไข้คนป่วยในโรงพยาบาล
เนื้อเรื่อง : หลายวันก่อน มีญาติผู้ใหญ่ท่านนึงติดต่อมา ว่าตอนนี้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาล มีภาวะเรื่องเส้นเลือดในสมองตีบ หากไม่มีญาติมาดูแลทางโรงพยาบาลจะไม่อนุญาติให้ไปพักในห้องพักฟื้นสำหรับคนไข้ห้องเดี่ยวได้ ท่านจึงต้องอยู่กับพยาบาลในห้องคนไข้วิกฤต (ไอซียู) เลยจะขอให้เราไปเยี่ยมและช่วยยืนยันว่ามีญาติมาดูแล …ตอนที่ได้ไปเฝ้าไข้ในห้องพักฟื้นพิเศษเดี่ยวนั้น ผู้ป่วยท่านสามารถลุกเดินไปมาได้ สามารถช่วยเหลือตัวเอง ดูแลตัวเองได้หมด หมอมาตรวจแล้วให้งดของเค็ม งดเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของโซเดียมทั้งหมด แต่ท่านก็ไม่ได้เชื่อฟังยังโทรศัพท์ติดต่อคนที่รู้จักซื้ออาหารปรุงสำเร็จในร้านสะดวกซื้อไปส่งให้ถึงห้องพักฟื้น และท่านยังไม่ค่อยจะยอมช่วยเหลือตนเอง แต่จะใช้ให้เราทำนั่นนี่ให้ แม้เราจะคอยบอกว่าควรจำทำเองนะ เพราะออกจากโรงพยาบาลไปก็ต้องทำเองเนื่องจากท่านอยู่คนเดียว ไม่มีญาติคนอื่นมาดูแล
ทุกข์ : รู้สึกขัดใจที่ท่านไม่ยอมช่วยเหลือตนเองทั้งที่สามารถทำได้และแม้ป่วยก็ยังหาอาหารที่เป็นพิษมารับประทานอีก
สมุทัย : ยึดว่าคนเรานั้นควรจะพึ่งตน ควรจะทำอะไรได้ด้วยตนเอง และไม่ควรทานอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย
นิโรธ : ท่านจะดูแลและช่วยหลือตนเองหรือจะไม่ดูแล ไม่ช่วยเหลือตนเอง หรือจะรับประทานอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค :การกระทำของคนเรามีเหตุผลในการกระทำกว่าล้านเหตุผล การที่ท่านไม่ยอมช่วยเหลือตนเอง หรือดูแลตนเอง หรือยังหาอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายของตนเองมารับประทานอีก ท่านก็คงมีความคิดมีเหตุผลของท่าน สุดท้ายท่านก็จะได้รับวิบากนั้นเอง ความอยากทานอาหารที่คิดแค่ว่ามีรสอร่อยตามสัญญาเดิมที่เคยได้รับประทานนั้น เราเองก่อนที่จะเริ่มมาฝึกปฏิบัติธรรม มาเรียนรู้หลักการแพทย์วิถีธรรม เราก็เคยทานแบบนั้นมา…แล้วตอนนี้เราจะมาคาดหวัง จะมาเอาอะไร คิดสิตอนนี้เรามาทำอะไร เรากำลังมาสร้างกุศลที่มีโอกาสมาดูแลท่าน ทำปัจจุบัน ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ดีที่สุดสิ ..วิบากเราเขาให้เราได้รับเท่านี้ เราก็ควรจะยอมรับเท่านี้สิ เราควรน้อมใจเห็นใจ สงสารท่านมากกว่านะที่ท่านยังคงหลง ยังคงเมาในรสชาติของอาหาร เมาในสุขที่ได้เสพแม้จะรู้ว่าอาหารนั้นจะเป็นพิษต่อร่างกาย…มองเห็นความขัดใจ ขุ่นใจ ไม่พอใจ ที่เกิดขึ้นแล้วก็คิดได้ว่า นี่เราท่าจะบ้าไปแล้วคิดแบบนั้นมันทุกข์นี่นา..ใจเริ่มคลายลง ๆ และยิ้มออกมาได้อีกครั้ง…
เรื่อง เสื้อผ้าล้นตู้
เนื้อเรื่อง: เก็บผ้าเข้าตู้ แต่เสื้อผ้าเต็ม เข้าไม่หมด ต้องเคลียร์พื้นที่ตู้อยู่บ่อยครั้ง
ทุกข์ : เก็บเสื้อผ้าที่ซักตากแห้งแล้วมาพับเก็บเข้าตู้ แต่ตู้เต็มล้น รู้สึกเหนื่อยใจ อยากจัดการเสื้อผ้าออกไปมากกว่านี้
สมุทัย:ยึดอยากให้ดีเกิดเร็ว กว่าที่ควรจะเป็น อยากให้ตู้โล่ง ๆ เสื้อผ้าในบ้านที่เป็นส่วนเกินพอดีนั้น ออกไปจากบ้านให้หมด ๆซะที
นิโรธ: การพากเพียรไม่เอาเข้ามาเพิ่ม บริจาคออกไปเรื่อย ๆ เสื้อผ้าส่วนเกินพอดี จะหมดจากบ้านเร็วหรือช้า ใจก็ผาสุกได้
อริยมรรค: ตั้งอธิศีล เรื่องการไม่เอาเสื้อผ้าเข้ามาเพิ่ม และบริจาคเสื้อผ้าทุกครั้งที่มีโอกาสเห็นสมควรทุก ๆ เดือนได้ยิ่งดี พากเพียรเรื่อยไปด้วยใจไม่เร่งผล ไม่กังวล เพราะการที่เราพากเพียรขจัดออกไปเรื่อย ๆเดี๋ยววันใดวันหนึ่งก็จะหมดไปเอง ก็เหมือนตอนที่เราค่อย ๆ สะสมมา ก็ค่อย ๆ มาทีละหน่อย ๆ จนเต็มตู้ ล้นตู้ ให้เห็น ถ้าเราพากเพียรไปในแนวทางเอาออกนี้เรื่อยไปแบบใจเย็นข้ามชาติ หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น คิดดังนี้ใจก็ผาสุกขึ้น และค่อย ๆ ทำที่ละส่วน ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยไม่เร่งผลว่าเสื้อผ้าส่วนที่เกินจะหมดไปจากบ้านเมื่อไหร่ แค่บริจาคไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวตู้ก็โล่งเอง
ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ4
เรื่อง. เครื่องตัดหญ้าเสีย
ทุกข์. สตาทร์เครื่องตัดหญ้าไม่ได้หลายครั้งไม่ติดเพราะเรายึดว่าถ้าติดได้ตัดหญ้าที่ได้รับมอบหมายให้ตัดให้เสร็จภายในวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะได้ตัดอีกที่นึง
สมุทัย.ถ้าเครื่องตัดหญ้าไม่เสียได้ตัดหญ้าวันนี้เราจะสุขใจ เครื่องตัดหญ้าเสียไม่ได้ตัดวันนี้จึงไม่ได้ดั่งใจทุกข์ใจ
นิโนธ.วางใจวางความยึดมั่นถือมั่น เครื่องตัดหญ้าจะเสียหรือไม่เสีย จะได้ตัดวันนี้หรือไม่ได้ตัดวันนี้ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค.ล้างความยึดมั่นถือมั่นของความที่ใจอยากให้เป็นดั่งใจหมาย เมื่อเราวางใจได้ว่าไม่ได้ตัดหญ้าก็ได้แล้วไปทำงานเอาประโยชน์ที่มากกว่า จึงได้ไปช่วยพี่น้องจิตอาสาถอนถั่วลายเสือเพราะถั่วแปลงที่ปลูกเป็นดินที่แข็งมาก เมื่อเราได้ไปช่วยพี่น้องได้แล้วจึงทำให้ได้ทุ่นแรงพี่น้อลได้อีกแรงนึงและได้มีถั่วให้พี่่น้องได้ต้มกินกันวันพรุ่งนีี้
ผัสสะ ทอดไข่เจียวให้พ่อบ้านรู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที
ความลวง ตอนที่เรายังกินเนื้อสัตว์อยู่เรายังจำกลิ่นหอมของไข่เจียวเขาหอมชวนให้น่ากินกินกับข้าวไข่เจียวกับข้าวร้อนๆมีซีอิวเยาะไปหน่อยก็อร่อยไม่รู้จบแล้ว
ความจริง ตอนนี้เราออกจากไข่มาแล้วชีวิตที่ผ่านมาเราอยู่กับครัวครอบครอบครัวอยู่กับคนคู่มันทุกข์ขนาดไหน จะไปไหนโดยเฉพาะไปค่ายหมอเขียวจะขอไปแต่ละครั้งมันแสนยากอ้าปากไม่ออกแล้วยิ่งโดยเฉพาะคนคู่ที่คุยกันไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจกันมันก็ยิ่งยากเหมือนเราที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แม้นเราจะชอบกินไข่เจียวกับข้าวร้อนๆแต่เมื่อเราเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์กว่าเราต้องเลือกสิ่งที่ดีกว่า กินข้าวร้อนๆกับผัดทอดก็ได้มีประโยชน์กว่า
อริยสัจ 4
คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการตามหลักตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
มี 4 ประการคือ
1.ทุกข์ (คือความจริงที่เกิดขึ้น)
2.สมุทัย (คือสาเหตุของทุกข์)
3.นิโรธ (คือการดับทุกข์)
4.มรรค (คือหนทางดับทุกข์)
เรื่อง. อาการปวดฟันตลอดเวลา
เนื้อเรื่อง. มีอาการปวดฟันตลอดเวลาแม้จะไปหาคุณหมอ. ทำฟันมาแล้ว คุณหมอท่านบอกว่าสองสามวันก็จะหายปวด แต่หลายวันอาการปวดฟันก็ไม่มีลดลง กลับไปหาคุณหมอท่านก็บอกว่าไม่มีอะไรทุกอย่างปกติ เราก็รู้สึกทุกข์กับอาการปวดฟันยิ่งเวลารับประทานอาหารจะรู้สึกปวดมากขึ้น.
ทุกข์. คือ อาการปวดฟัน
สมุทัย. คือ เวลารับประทานอาหารถ้าเราไม่ปวดฟันก็จะสุขใจ
ถ้าปวดฟันจะทำให้เราทุกข์ใจ
นิโรธ. คือ ไม่รู้สึกหงุดหงิด กังวลใจกับอาการปวดฟัน จะปวด
ก็ได้ไม่ปวดก็ได้เราไม่ชอบไม่ชังกับอาการปวดหันนั้น
มรรค. คือ เชื่อในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่าในชาตินี้หรือชา
ชาติก่อนๆนั้นเราเคยทำมา ซึ่งในขาตินี้เราคิดได้ว่าเรา
ได้ใช้เบ็ดตกปลา ทำให้ปลาต้องเจ็บปวดที่ปากและที่
เหงือกทำให้เราต้องมารับวิบากกับอาการปวดฟันที่
หาสาเหตุไม่ได้ในตอนนี้เป็นการรับวิบาก และข้าพเจ้า
ขอโทษ สำนึกผิด ยอมรับผิด และเต็มใจรับโทษ ขอ
อโหสิกรรมต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระ ทำลงไป และต่อจาก
จากนี้ไปข้าพเจ้าจะกระทำแต่ความดี ปฎิบัติตามคำ
สอนของสัตบุรุษสืบไปค่ะ
เรื่อง รักษาระยะห่างหน่อย
ข้าพเจ้ากับคุณพ่อบ้านไปชื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ขณะที่คุณพ่อบ้านกำลังเลือกของอยู่ก็มีคนเดินเข้ามาเลือกของในบริเวณนั้นด้วย คุณพ่อบ้านของข้าพเจ้าก็เลือกของเข้าไปใกล้คนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทางว่าจะระมัดระวังรักษาระยะห่างเลย ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็เลยดึงท่านออกมาเบาๆถึงสองรอบ ท่านถึงถอยออกมา ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกถึงใจที่มันหนักๆเห็นความทุกข์เกิดขึ้น จึงได้พิจารณาล้างดังนี้
ทุกข์ : ไม่ชอบใจที่คุณพ่อบ้านไม่รักษาระยะห่างกับคนอื่น
สมุทัย : ชังที่คุณพ่อบ้านไม่รักษาระยะห่างกับคนอื่น ชอบที่คุณพ่อบ้านจะรักษาระยะห่างกับคนอื่น
นิโรธ :คุณพ่อบ้านจะรักษาระยะห่างกับคนอื่นหรือไม่ ก็ไม่ชอบไม่ชัง วางใจให้ท่านทำตัวตามสบายได้
มรรค : ตั้งสติพิจารณาดูอาการหนักที่ใจว่ากำลังเป็นทุกข์อยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้กลัวโควิดแต่กำลังชังพฤติกรรมของคุณพ่อบ้านที่ไม่รักษาระยะห่างกับคนอื่นแบบนี้เป็นประจำ ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงศีลที่ตั้งมาว่าจะพยายามล้างความชอบชัง ไม่ถือสาในพฤติกรรมต่างๆของคุณพ่อบ้านให้ได้ พอนึกได้ดังนั้นก็ได้ตั้งจิตขอโทษขออโหสิกรรมคุณพ่อบ้าน ที่ถือสาท่าน
ขอโทษขออโหสิกรรมตัวเองที่ทำผิดศีล ข้าพเจ้านึกถึงคำว่าเมตตาเค้าเมตตาเรา ปล่อยให้ท่านเป็นอิสระตามวิบากของท่าน ก็เห็นใจตัวเองค่อยๆเบาสบายลงถึง 100% ภายใน 10 นาที ข้าพเจ้ายิ้มกับตัวเองและคุณพ่อบ้านพูดคุยกันอย่างเบิกบานขณะทางเดินทางกลับบ้าน กราบสาธุค่ะ
ชื่อเรื่อง: ปวดข้อมือไม่หายสักที
เนื้อเรื่องย่อ: เนื่องจากผมได้ไปยกของหนัก โดยยกผิดวิธี ใช้หัวเข่าค้ำแขนแล้วใช้แขนเป็นคานงัดเพื่อยกของที่หนักมาก เพราะใจร้อนและคิดว่ายกระยะไม่ไกล แค่ขยับประมาณ 4-5 เซน เนื่องจากของหนักกว่าที่จะใช้แรงยก ตอนงัดแล้วมีเสียงแป๊กตรงข้อมือ ได้รับบาดเจ็บตรงข้อมือ ผ่านมาแล้วประมาณ 6 เดือน แต่ยังไม่หายจะมีอาการปวดตอนที่ยกของ แม้แต่กวาดบ้าน หรือตอนบิดมือ ก็ปวดข้อไม่หายสักทีครับ
ทุกข์: ปวดแขน กังวลว่าทำไมไม่หายสักที กลัวว่าจะต้องเป็นตลอดชีวิต เครียดเพราะยกของไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน
สมุทัย: อยากให้ยกของได้อย่างใจคิด อยากให้ข้อมือหายปวด
นิโรธ: ข้อมือจะหายปวดหรือไม่หายปวดก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่ชอบที่ข้อมือหายปวด ไม่ชังที่ข้อมือปวด
มรรค: พิจารณาว่า ข้อมือปวดเป็นวิบากกรรมของเรา เกิดจากที่เราเคยผิดศีล ทุกคนเคยทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ข้อมือปวดดีกว่าแขนขาด ดีกว่าปวดตลอดเวลา แต่เรายังสามารถใช้งานได้ปกติก็ดีมากแล้ว ทุกอย่างไม่มีอะไรบังเอิญ เกิดตามเหตุปัจจัย สุดท้ายชีวิตก็เอาอะไรไปไม่ได้ ต้องทิ้งทั้งหมด แต่ตอนนี้ เรายังสามารถทำกุศลได้อีกตั้งหลายอย่างมากมาย และได้ฝึกเรียนรู้ ได้มีผัสสะ ได้ฝึกอ่านเวทนา ได้เข้าใจว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เราต้องรีบทำความดี ไม่มีอะไรแน่นอน สาธุครับ
ลูกกุญแจหาย
วันเสาร์อาทิตย์นี้ ไม่มีงานค้างก็ไม่ต้องไปทำงาน คิดว่าจะไพศาลี แต่ลูกกุญแจไขโรงรถแม่เก็บไว้ไหนไม่รู้ หายังไม่เจอ ก็เลยคิดในใจว่าถ้าเจอก็จะไป แต่ถ้าไม่เจอก็ไม่ไป ตัดสินใจทำกล้วยต้มใส่มะพร้าวอ่อน ถ้าไม่ไปไพศาลี ก็จะนำไปใส่บาตรพระ สุดท้ายก็ไม่เจอ แต่พ่อใช้ค้อนดึงบานพับประตูโรงรถออกมา ทำให้ประตูเปิดได้ ได้ไปแล้วไพศาลี
ทุกข์ ทุกข์ใจที่หาลูกกุญแจไม่เจอ
สมุทัย ถ้าหาลูกกุญแจเจอก็จะสุขใจ ถ้าหาไม่เจอก็จะทุกข์ใจ
นิโรธ หาลูกกุญแจเจอหรือไม่เจอ ก็สุขใจได้
มรรค พิจารณาว่าถ้าเรามีกุศลที่จะได้ไป เราก็จะได้ไป แต่ถ้าอกุศลออกฤทธิ์ เราก็ไม่ได้ไป วางใจว่าไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ถ้าไม่ได้ไปเราก็จะนำอาหารที่ทำไว้แล้วไปใส่บาตรพระก็ได้
อริยสัจ 4
ชื่อเรื่อง คันหัวใจ
ข้าพเจ้าได้ร่วมทำการบ้านอริยสัจกับพี่น้องในห้องหนึ่ง ซึ่งเวลาพี่น้องท่านไหน ทำการบ้านเสร็จ ก็ส่งเข้ามาให้พี่น้องที่อยู่ในห้องช่วยตรวจทานเเละวิจารณ์
เมื่อวานก่อนข้าพเจ้าได้ทำการบ้านเสร็จ ก็ส่งให้พี่น้องตรวจ พี่น้องท่านหนึ่งเขียนตอบมาว่า มรรคกับนิโรธ สลับกัน พี่น้องอีกท่านหนึ่งเขียนมา เว้นวรรคด้วย เห็นอาการคันใจเเละสงสัย เกิดขึ้น มันสลับตรงไหนวะ ” งง ”
เเล้วเว้นวรรคน่ะมันเว้นตรงไหน ทำไมมันยุ่งยากจัง
ทุกข์ : รำคาญ ไม่อยากให้ยุ่งยาก
สมุทัย : ชอบ อยากที่จะเขียนการบ้านง่าย ไม่ชอบที่พี่น้องบอก
นิโรธ : ยินดี น้อมรับฟังปฎิบัติตามคำที่พี่น้องบอกด้วยใจที่ไร้ทุกข์
มรรค : ตรวจใจว่าทำไม มีแป๊บ มีปื้ด เราไม่ชอบอะไร ก็ได้เจอว่าใจมันรำคาญ อยากได้คำชม ไม่อยากให้พี่น้องมาจี้ ไม่ชอบให้ใครมาจี้ พอคิดมาถึงตรงนี้ มีความชอบ ความชังไม่ได้ดั่งใจตัวเอง ใช่ไหม ? ใจมันตอบว่า ” ใช่ ” พอจับได้ก็วางใจลงได้ 60 %
เราต้องล้างความชอบชัง ท่าน อ.หมอเขียวท่านสอน ความชอบชังเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง ต้องล้างมันออก เราจะล้างตรงนี้ยังไง ไม่ชอบที่พี่น้องบอก ก็ต้องยอมให้พี่น้องบอก ไม่ชอบเเก้ก็ต้องเเก้เเละทำตามคำเเนะนำที่พี่น้องเเนะนำ ใจก็เบาลงอีก 20 %
จริงๆเราต้อง ขอบกราบพระคุณท่าน ที่พี่น้องท่านสละเเรง เวลาที่พี่น้องมีมาช่วยกันขัดเกลาเรา เลยตั้งจิตขอโทษ ขอขมา จะน้อมนำไปปฎิบัติใหม่ โดยการรับฟังเเละทำตามที่พี่น้องบอก เเนะนำด้วยใจ ที่ผาสุข ด้วยความยินดีเเละเบิกบาน
ค่ะ ใจก็ลงหายเป็น 100 %
มาถึงตรงนี้ก็ลงมือตรวจทานตรงที่พี่น้องบอก หรือว่า เราเขียนหัวข้อ มรรคกับนิโรธสลับกัน ตอนตรวจทานดู ข้าพเจ้าก็ดูเเต่การเขียนไม่ได้ ดูหัวข้อ เเล้วก็เว้นวรรคใส่จุดตามที่พี่น้องบอก
ก็เห็นผิดจริงๆซึ่งก่อนนั้นหาเเล้วหาอีกไม่เห็น สาธุค่ะ
เรื่อง ไม่ได้บำเพ็ญกับหมู่กลุ่ม
เนื้อเรื่อง แม่อายุ 80 ปี เจ็บป่วยหลายโรค คือ เข่าเสื่อม เบาหวาน ความดันหัวใจ เป็นหน้าที่ของเราทีาต้องดูแลแม่ตลอด จึงไม่สะดวกในการไปบำเพ็ญกับหมู่กลุ่ม
ทุกข์ : อยากไปบำเพ็ญ แต่ไปไม่ได้
สทุทัย : แม่อายุมาก เจ็บป่วยหลายโรค ต้องทำหน้าที่ของลูกคือการดูแลแม่ จึงไม่สามารถทิ้งแม่ไปบำเพ็ญกับหมูกลุ่มได้
นิโรธ:ไปก็ได้ ไม่ไปก็ดี เพราะอยู่ที่ไหนก็บำเพ็ญได้
มรรค : ถ้าคิดอยากจะไปบำเพ็ญ ก็เตรียมความพร้อมจัดของกิน-ของใช้ ไว้ให้พี่สาวช่วยทำหน้าที่แทน แต่ทำได้บ้างเป็นบางครั้ง แล้วก็วางใจว่า ได้ไปก็ได้-ไม่ได้ไปก็ได้
ทุกข์จากที่จะไปบำเพ็ญกับพี่น้องพ.ว.ธ.
เหตุแห่งทุกข์ต้องคอยดูแลแม่ที่อายุ80ปีมีโรคเบาและโรคเข่าเสื่อมเดินไม่สะดวก
นิโรธ อาการโรคของแม่ต้องดูแลใกล้ชิดเลยต้องดูแลกันไป
มรรค ดับทุกข์ได้โดยเตรียมของไว้ที่แม่ใช้ใกล้มือแล้วฝากพี่สาวเลยได้มาบำเพ็ญสาธุค่ะ
เรื่องไม้ฟืน
เราได้ตัดไม้ฟืนตั้งทิ้งไว้รอให้แห้งดีแล้วค่อยเก็บ แต่ยังไม่ได้เก็บเพราะฝนตกเกือบทุกวันฟืนยังไม่แห้ง มาวันนี้เราเดินไปดู อ้าว!ฟืนหายไปไหน “เราคิดว่าพ่อบ้านคงเก็บเข้าที่”
ถามพ่อบ้าน เขาบอกว่าเก็บไว้หลังบ้าน เราเดินหาไม่เจอ
ที่ไหนได้เขาขนไปทิ้งกองรวมกันกับเศษกิ่งไม้ใบไม้ในสวนหลังบ้าน
#ทุกข์ : ไม่ได้ดั่งใจ
#สมุทัย: เรายึดมั่นถืดมั่นว่าไม้ฟืนคือเชื้อเพลิงอย่างดีในการ
ใช้หุงต้มและเป็นการประหยัด เรียบง่าย ใช้กิ่งไม้ที่
เราตัดแต่งต้นไม้เก็บไว้เป็นฟืน แต่พ่อบ้านนำไปทิ้ง
ปนรวมกับเศษใบไม้กิ่งไม้ในสวนหลังบ้านเราจึงไม่
พอใจไม่ได้ดั่งใจหมาย
#นิโรจ :มันจะเป็นไม้ฟืนหรือเป็นปุ๋ยก็ได้ ในเมื่อพ่อบ้านนำไป
ทิ้งรวมปนกับเศษใบไม้กิ่งไม้ในสวน เป็นปุ๋ยก็ดีต้นไม้
จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตเขา เราก็ได้พึ่งพาอาศัยต้นไม้
ในการเลี้ยงชีพ
#มรรค :การไม่ได้ดั่งใจทีเราคาดหวังไว้ ว่าไม้ฟืนจะต้องเป็น
ไม้ฟืนเท่านั้น และพ่อบ้านก็ควรรู้ว่านี้คือไม้ฟืน เราก็
ล้างกิเลสได้ มันจะเป็นไม้ฟืนหรือเป็นปุ๋ยเราก็ไม่
ทุกข์ใจ เราก็สามารถเอาประโยชน์ได้
พ่อบ้านได้ดั่งใจเราหรือไม่ เราก็วางใจได้ ไม่ยึดมั่น
ถือมั่นว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมา
มากกว่านั้น เราแสบสุดๆเราก็ต้องรับสุดๆ ในโลกนี้
ไม่มีอะไรที่ไม่มีข้อดี มีข้อดีได้หมดมีประโยชน์ได้
หมด
มีสิ่งดีให้เราได้อาศัย มีอุปสรรคให้เราได้ฝึกฝน มี
อุปสรรคให้เราได้ใช้วิบาก มีอุปสรรคให้เราได้ล้าง
ทุกข์ สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา
ส่งการบ้าน
วันที่ 15/11/2563
เรื่อง. ความจริง – ความลวง
ความจริง คือสิ่งที่เป็นแบบ พุทธะ (โลกุตระ)
ความลวง คือสิ่งที่เป็นแบบ กิเลส แบบมาร (โลกียะ)
ในแต่ละวันเราจะเจอกับความจริง ความลวง วันละหลายๆเรื่องราว หลายๆเหตุการณ์ แตกต่างกันไป
เนื้อเรื่อง
วันนี้เราคิดจะเข้าไปบำเพ็ญในครัวเพื่อเป็นผู้ช่วยแม่ฐานทำอาหารให้กับหมู่มิตรดีรับประทาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่เราห่างครัวไปนาน ทำให้เราไม่รู้ที่จะเริ่มต้นที่ตรงไหน จึงเดินไปถามแม่ฐาน ถามท่านว่าวันนี้มีอะไรให้ช่วยบ้างคะ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้เราตกใจ และรู้สึกโกรธ โมโห หงุดหงิดมาก ในใจเราก็คิดตำหนิแม่ฐานว่าเราเข้ามาช่วยบำเพ็ญนะ ทำไมถึงพูดแรงกับเราถึงขนาดนั้น ความที่เราตกใจควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ความคิดในใจเราคิดไม่ทันจึงทำให้เราคิดในความไม่ดีกับแม่ฐาน ซึ่งจริงๆแล้ว มันคือ ความจริง และความลวง ซึ่งเราตามไม่ทัน
ความจริง คือ คำพูดที่แม่ฐานตำหนิเราใช้คำพูดไม่ดีกับเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น มันคือสิ่งที่เราเคยทำแบบนี้กับคนอื่นมาก่อน หาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ทั้งปัจจุบัน หรือชาติก่อนๆหาที่ต้นที่สุดไม่ได้
ซึ่งเป็นวิบากที่เราต้องยอมรับว่าเราเคยทำมา ซึ่งเป็นการรับวิบาก เมื่อรับแล้วก็หมดไป (แบบพุทธะ)
ความลวง คือ ในใจเรารู้สึกโกรธ โมโห คิดไม่ดีกับแม่ฐาน ทำให้ใจเราคิดตอบโต้ ทำให้เกิด วิวาทะขึ้น (ตอบโต้แม่ฐาน)
เพราะในใจเราคิดว่าเราไม่ผิด เรามีเจตนาดีที่จะเข้ามาช่วยบำเพ็ญทำไมถึงต้องใช้วาจาว่าเราต่อว่าเรามากมายขนาดนั้น
เราไม่บำเพ็ญก็ได้โดยไม่ได้คิดว่าเราเคยทำมา
ใจกับใจ
เนื้อเรื่อง ช่วงอาทิตย์นี้ ได้เจอะผัสสะที่ตัวเองยังไม่ผ่านคือ การที่คนอื่นเข้าใจเราผิด เข้าใจว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ มันไม่ใช่ มันผิดจากแบบที่ใจเราอยากให้เป็น กิเลส อยากให้เขาเข้าใจตรงกับใจเรา ถูกใจเรา ถ้าได้แบบนั้นแล้วจะสุขใจ ถ้าเป็นแต่ก่อน จะรีบชี้แจง รีบบอกความจริง แต่พอคิดไปคิดมา บางทีการชี้แจง อาจจะไม่จำเป็น ไม่มีประโยชน์และไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
ทุกข์ คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นแบบนั้น แบบนี้
สมุทัย อยากให้เขาเข้าใจเราถูก ถ้าเขาเข้าใจเราถูก (ถูกใจเรา) เราจะสุขใจ ถ้าเขาเข้าใจเราผิด ไม่เหมือนดังใจเรา เราจะทุกข์ใจ
นิโรธ เขาจะเข้าใจอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จะเข้าใจเราถูกหรือผิด ใจเราก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่หวั่นไหว
มรรค จากบททบทวนธรรม เหตุการณ์เดียวกัน มีหลายร้อยเหตุผล บวกวิบากกรรม บวกเหตุปัจจัยอื่นๆ เพื่อนอาจจะเข้าใจผิดหรือถูกก็ได้ กลับมาดูที่เราว่าเราผาสุกไหม หวั่นไหวไหมถ้าคนอื่นจะคิดแบบนั้นกับเรา
ทุกข์ ไม่ชอบที่ตัวเองเหม็นกลิ่นน้ำหอม
สมุทัย วาลาใด้กลิ่นน้ำหอมแล้วรู้สึกเหม็นแล้วทุกข์ใจ
ถ้าไม่รู้สึกเหม็นก็จะไม่ทุกข์ใจ
นิโรธ จะรู้สึกเหม็นหรือไม่เหม็นเวลาใด้ก็กลิ่นน้ำหอมเราก็ต้องสุขใจให้ใด้
มรรค เราต้องรู้วความไม่ชอบควมรู้สึกทุกข์ที่เราใด้ร้บคือสิ่งทีเาทำมาเราเคยทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ชอบและทุกข์มาและที่เราใด้รับเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราทำมาเท่านั้น
ยินดีที่ใด้ร้บที่ใด้ใช้วิบาก
เรื่อง นาแปลงเล็ก
ได้พากันทำนาแปลงเล็กในสวน2 โดยได้ตกลงกันว่าจะทำนาแปลงเล็ก แต่พอทำไปจนเสร็จกลายเป็นนาแปลงใหญ่ ทำให้เกิดความคิดแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าให้ทำนาแปลงใหญ่เลย อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าให้ทำนาแปลงเล็กเหมือนเดิม ซึ่งเป้าหมายหลักให้ทำนาแปลงเล็ก จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเล็กน้อย จนสุดท้ายก็ให้ใช้วิธีโหวต ปรากฎว่าเสียงส่วนใหญ่ให้ทำนาแปลงเล็กเหมือนเดิม
ทุกข์ ไม่พอใจเล็กน้อย
สมุทัย ยึดมั่นถือมั่นว่านาแปลงเล็ก จะต้องสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อมีเสียงคัดค้านไม่ให้ทำนาแปลงเเล็ก แต่ให้ทำนาแปลงใหญ่แทน จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ
นิโรธ นาแปลงเล็กจะเสร็จหรือไม่ เราก็จะพอใจ
มรรค เสนอดีสลายอัดตา พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่ยึดมั่นถือมั่น พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตลาดเวลา เมื่อมีองค์ประกอบใหม่ที่ดีกว่าเก่า ก็ให้อาศัยเสียงข้างมากของหมู่กลุ่มเป็นตัวตัดสิน แล้ววางใจปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมู่เป็นตัวตัดสิน ซึ่งสุดท้ายหมู่่ก็ได้มีมติให้ทำนาแปลงเล็กตามเป้าหมายเดิม
เรื่อง ยืนหน้าทีวี
หลังจากเสร็จภารกิจในแต่ละวันได้พักผ่อนคลายกันมีอย่างหนึ่งที่ใช้คือดูทีวี พ่อบ้านจะเป็นคนเปิดทีวีแต่เปิดแล้วจะยืนอยู่หน้าทีวีเป็นประจำ เป็นเหตุให้ตัวเองมองทีวีไมชัดบางครั้งบังมิดจนมองไม่เห็นเลยก็มี
ทุกข์:หงุดหงิด
สมุทัย:ชอบที่พ่อบ้านไม่ยืนหน้าทีวี ไม่ชอบที่
พ่อบ้านยืนหน้าทีวี
นิโรธ:พ่อบ้านจะยืนหน้าทีวีก็ได้หรือไม่ยืนก็
ได้ เราก็ไม่หงุดหงิด
มรรค:ทำใจ ยินดีรับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งถามกันตรงๆว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องยืนหน้าทีวีหลังเปิดทีวีแล้วทุกครั้งได้คำตอบว่า ถ้าอยู่ห่างมองไม่ชัดจึงเข้าใจ ซึ่งตรงกับบททบทวนธรรมที่ว่า”ยินดีในความไม่ชอบ ไม่ชัง ได้พลังสุดๆ ได้สุขสุดๆ ยินดีในความชอบชัง เสียพลังสุดๆ ได้ทุกข์สุดๆ”
ชื่อเรื่อง ออกร้อนที่หูและเท้า
ขณะทำงานเกิดอาการออกร้อนที่หูและเท้า ร่างกายรู้สึกปกติ ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ก็รีบล้างมือด้วยน้ำเย็น และดื่มน้ำเยอะกว่าปกติ อาการดีขึ้นเล็กน้อย ยังไม่หาย ทำงานต่อไป ก็เริ่มมีอาการร้อนที่เท้าเพิ่มขึ้น
ทุกข์ คือ อาการร้อนที่หูและเท้า ยื่น-เดินทำงานลำบาก
สมุทัย คือ กลัวว่าตัวเองจะไม่สบาย
นิโรธ คือ ถ้าอาการหนักขึ้นก็ต้องบอกเพื่อนร่วมงานและเจ้าของคลินิก ป่วยก็ต้องลางาน ไม่ยึดมั่นถือมั่น ลาป่วยบ้างก็ได้
มรรค คือ ขณะที่ทำงานนั้น จึงตัดสินใจถอดรองเท้า ใส่ถุงเท้าเดินทำงาน เตือนตัวเองให้ทำใจไร้กังวล และบอกตัวเองว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะเห็นว่าการไม่ใส่รองเท้าในที่ทำงานเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ดูไม่เรียบร้อบก็ตาม เราก็อธิบายให้เขาฟัง ว่า เรามีอาการอย่างไร
พื้นของคลินิกเป็นพื้นปู ค่อนข้างเย็น ช่วยดึงพิษร้อนจากเท้าของเราได้ ทำให้อาการดีขึ้น
(อาการร้อนที่เกิดขึ้น มาจากผู้ป่วยที่เราทำการรักษาบำบัด เรารับพิษมาจากเขา บางคนพิษเยอะ เราก็รับมาเยอะ ถอนพิษไม่ทัน จึงเกิดอาการร้อนวูบมาที่หูและเท้าของเรา พอถอนพิษได้ อาการร้อนก็ดีขึ้น)
Comments are closed.