631108 การบ้านอริยสัจ (13/2563)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 2 – 8 พฤศจิกายน 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปมีผู้ส่งการบ้านสัปดาห์นี้รวม 41 ท่าน 52 เรื่อง
- นางบัณฑิตา โฟกท์ แบม มุกแสงธรรม (2)
- นางจิราภรณ์ ทองคู่
- นส.กิรณา สุขสุดกุลธน
- นางก้าน ไตรยสุทธิ์
- ขวัญจิต เฟื่องฟู (2)
- นาง โยธกา รือเซ็นแบรก์ (2)
- นวลนภา ยุคันตพรพงษ์
- นางสาวสุพัชชญา ทองเปรม รหัสศึกษา6314009002
- ดินแสงธรรม กล้าจน
- ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล)
- นางสาวสันทนา ประวงศ์
- อภินันท์ อุ่นดีมะดัน
- นางสาวเสริมศรี ชวานิสากุล
- ชลิตา แลงค์ (3)
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- วิลาวัลย์ ลือเรือง
- นางมัณฑนา ชนัวร์ร เตี้ย ศีลประดับ
- นปภา รัตนวงศา
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
- มาลิน จุ้ยทรัพย์เปี่ยม (เมฆ ลม ฟ้า)
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- จรัญ บุญมี
- สมพงษ์ โขงรัมย์ (7)
- นางภัคเปมิกา อินหว่าง
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
- จงกช-ป้าย่านาง
- ประคอง เก็บนาค
- วรางคณา ไตรยสุทธิ์ (พุทธพรฟ้า)
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- จิตรา พรหมโคตร
- นายสมบัติ วรรณรส
- ปิ่น คำเพียงเพชร
- นส.พวงผกา โพธิ์กลาง
- นฤมล ยังแช่ม
- นายรวม เกตุกลม
- ศิริพร ไตรยสุทธิ์
- ทิวากร ชุมจีด (บ่าว สุขแสงพุทธ)
- ปริศนา อิรนพไพบูลย์ (ปางน้อม กล้าจน)



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 510
แอปเปิ้ลเจ้าประจำ
วันเสาร์ที่31ตุลาคม 2563 ข้าพเจ้าเดินทางกลับจากไปเก็บลูกเกาลัดกับน้องศีลประดับและจะเดินทางผ่านหมู่บ้านร้านขายแอปเปิ้ลเจ้าประจำจึงได้โทรถามว่าเปิดบ้านขายแอปเปิ้ลไหม?ถ้าบ้านเปิดเราจะแวะไป แต่ไม่มีคนรับสายจึงคิดว่าจะไม่แวะไป ตรวจใจก็รู้สึกเสียดายนิดๆที่จะไม่ได้แวะไปซื้อแอปเปิ้ลเจ้าประจำ
ทุกข์ : เสียดายนิดๆที่จะไม่ได้แวะไปซื้อแอปเปิ้ลเจ้าประจำ
สมุทัย : ถ้าได้แวะไปซื้อแอปเปิ้ลเจ้าประจำจะสุขใจถ้าไม่ได้แวะไปซื้อจะทุกข์ใจ
นิโรธ : จะได้แวะไปซื้อแอปเปิ้ลเจ้าประจำหรือไม่ได้แวะไปก็ไม่ทุกข์ใจ ,จะซื้อแอปเปิ้ลเจ้าไหนก็สุขใจได้
มรรค : เจริญสติและพิจารณาว่าเราไม่ควรไปยึดว่าจะต้องซื้อกับเจ้าประจำ เอาที่เราเดินทางไปซื้อสะดวกจะดีกว่าซื่งก็มีบ้านสวนอื่นๆให้เลือกซื้ออยู่เมื่อพิจารณาอย่างนี้ใจก็คลายความเสียดายลง95%และระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์หมอเขียวที่สอนว่า ” สุขใจให้ได้ในทุกสถานการณ์” จึงคิดได้ว่า เราจะได้ซื้อแอปเปิ้ลเจ้าประจำหรือไม่ได้ซื้อก็ไม่ทุกข์ใจแล้ว ใจก็คลายลง100%ภายในสามนาทีและ ก็มียินดีที่จะซื้อ แอปเปิ้ล กับเจ้าไหนก็ได้ ขณะนั้น ก็ได้ขับรถออกจากบ้านน้องศีลประดับ ผ่านหมู่บ้านหนึ่ง ทันใด นั้นตาก็มองเห็นป้าย หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่เขียนรายการขาย แอปเปิ้ล เราจึงๆได้แวะจอดซื้อกลับบ้านด้วย
สรุป : เมื่อวางใจได้จริงๆว่าจะซื้อแอปเปิ้ลเจ้าไหนก็ได้
ก็ทำให้เราได้มองเห็นป้ายหน้าบ้านขายแอปเปิ้ลนี้ ซึ่งทุกครั้งที่ขับรถผ่านเส้นทางนี้เราไม่เคยมองเห็นเลยว่าบ้านหลังนี้ก็ขายแอปเปิ้ลเหมือนกัน วันนี้จึงได้ แอปเปิ้ลเจ้าใหม่กลับบ้านด้วยใจเบิกบานและผาสุก และเมื่อถึงบ้านก็ลองชิมแอปเปิ้ลดูรสชาตก็ดีไม่แพ้เจ้าประจำเลย สาธุค่ะ
เรื่อง กลัวทากดูดเลือดกัด
เนื้อเรื่อง ช่วงสถานการณ์โควิด อาจารย์หมอเขียว ดร. ใจเพชร กล้าจน และพี่น้องจิตอาสาบางส่วนจึงต้องอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน เราเป็นจิตอาสาที่โชคดีคนหนึ่งที่ครอบครัวอนุญาตให้มาบำเพ็ญร่วมกันอาจารย์และหมู่มิตรดี ณ ที่แห่งนี้ แต่เนื่องจากที่นี่มีทากดูดเลือด เมื่อได้มาบำเพ็ญจนถึงบัดนี้ได้โดนทากกัดและดูดเลือดไปทั้งหมด 3 ตัว
ทุกข์ กลัวทากกัดและดูดเลือด
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ถ้าทากกัดจะทุกข์ใจ ถ้าทากไม่กัดจะสุขใจ
นิโรธ สภาพดับทุกข์ ทากจะกัดหรือไม่กัดก็สุขใจ
มรรค เชื่อเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เท่าที่นึกได้ในชาตินี้ เราก็ไปกินเลือดสัตว์อื่นมาเช่นกัน เช่น เลือดไก่ เลือดหมู ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ไก่ หรือหมูจะมากินเลือดเรา เป็นทากก็ได้ วิบากต้องรับ และรับด้วยความยินดี พอใจ รับแล้วก็หมดไป คิดได้เช่นนี้ได้ จิตก็ผาสุก เบิกบาน แจ่มใส ความกลัวก็หายไป
ทุกข์ เหม็นสีนำมัน
สมุทัย ชอบที่ไม่มีกลิ่นสี ชังที่มีกลิ่นสี
นิโรธ มีกลิ่นสีก็ได้ ไม่มีกลิ่นก็ได้สุขใจ
มรรค เชื่อเรื่องกรรมว่าเราเคยทำมาในอดีตเคยทำสีผมให้ผู้อื่นหรือใส่สารเคมีที่เป็นพิษให้ผู้อื่นมามาก จึงทำให้ได้รับกรรมจากสารเคมีไม่ว่ากลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม ยอมรับโทษตั้งจิตหยุดสิ่งไม่ดี โชคดีอีกแล้วร้ายหมดอีกแล้ว ด้วยใจที่เบิกบานสาธุ
วันที่.2.เรืองมาตารีเตือน
ทุกข์.วิบากกรรมทำให้เราเห็นตัวเองในเพือน.ทำอะไรผิดหมด
สมุทัย.สอนบอกคนอื่นเขาก็มายุ้งจัดการเราเห็นกระจกกรรม
นิโรธ.เขาจะว่าก็สุขใจ.เขาจะไม่ว่าก็สุขใจยังไม่ถึงเวลาสอนเราจึงรู้ว่ากิละมธะเขาคือเราๆ
มรรค.สละไปๆไม่พัวพันรู้จริงตามความเป็นจริงเราเคยเป็นเช่นนั่นมามากกลั่วนั้นคิดแบบสัมมาทิฎฐิใจไร้ทุกข์ไร้กังวน
อริยสัจ4
เรื่อง ขุ่นเคือง ไม่ชอบที่คุณแม่ย่าตัดพ้อ ต่อว่า
เมื่อวานคุยกับพ่อบ้านว่าเราไปเยี่ยมเเม่กันไหม ?เอาขนมเค้กไปกินกับเเม่ด้วย เดี๋ยวฉันเตรียมของไป
จากนั้นก็โทรไปถามแม่ย่า ถามเเม่ว่าเดี๋ยวพวกหนูจะไปหาเอาขนมเค้กไปกินกับเเม่ เเม่ตกลงไหม? ท่านบอกว่าเเม่เพิ่งกินผลไม้ไปเมื่อกี้นี้ ไม่ต้องเอาเค้กมา เเล้วก็เลยถามท่านว่าจะให้ไปหาไหม? ฟังเสียงเหมือนไม่อยากให้ไป ท่านก็บอกว่าไม่ต้องมาเธอพักผ่อนเถอะ
วันนี้โทรไปหาเเม่ย่า บอกท่านว่าช่วงนี้หนูว่าง4อาทิตย์ เเม่จะให้หนูนวดหรือทำอะไร ก็บอกเลยนะ
ท่านก็พูดเป็นเชิงตัดพ้อต่อว่า เมื่อวานฉันต้องการคนช่วยเหลือ ไม่มีใครมาดูเเลฉันเลย ฉันต้องทำอะไรตามลำพังเหนื่อยเเละยากมาก
ก็เลยบอกเเม่ว่าเมื่อวานหนูถามเเล้วเเม่ไม่อยากให้ไปนะ ทำไมเเม่ไม่บอก เห็นอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาในใจ
อริยสัจ 4
ทุกข์ ขุ่นเคืองที่เเม่ย่าว่าไม่ดูเเล
สมุทัย ขุ่นเคืองที่เเม่ย่าว่าตัดพ้อไม่ชอบที่ท่านพูดอย่างนั้น อยากให้ท่านพูดดี ๆ
นิโรธ ไม่ชอบ ไม่ชังที่ท่านจะพูดอะไร ใจไร้ทุกข์
มรรค ตั้งสติ ลงมือทำ เขียนอริยสัจ 4 เพื่อตรวจดูใจเราเเละตรวจว่าทำไมเราถึงมีความรู้สึกขุ่นเคือง
ก็เจอว่าเรายังมีความชอบ ชังที่เเม่ย่าเเละต้องการให้ท่านพูดกับเราดี ๆ ชังที่ท่านตัดพ้อ พอจับได้ตรงนี้ใจก็คลายลงในระดับหนึ่ง
ทบทวนดูการที่ย่าตัดพ้อตัวเราเองก็เคยทำมาเเละทำบ่อย วิบากกรรมส่งเเม่ย่ามาทำให้เห็น
เราก็ได้มาใช้วิบากนั้น ท่านอ.หมอเขียวเคยเทศน์ไว้ว่ารับเเล้วก็หมดไป เราทำอะไร เราก็ได้รับอย่างนั้น ใจก็เบาลงอีกระดับหนึ่ง
มานึกขึ้นได้ว่าเราก็เคยว่าเพื่อนมาไม่เคยช่วยอะไรเลย
เลยตั้งจิตขอโทษเเละขออโหสิกรรมต่อตนเอง เเม่ย่า เพื่อนที่เคยไปว่าเเละพูดล่วงเกินอย่างนั้น ต่อไปจะระวัง สำรวมกริยา วาจา ใจ ไม่พูดไม่ทำอย่างนั้นอีก
พอคิดได้อย่างนี้ ใจที่ขุ่นเคืองก็เบาสบายหายไป เเละจะหมั่นล้างตัวนี้บ่อย ๆ
เเก้ใหม่ จากสัปดาห์ที่ผ่ามา
อริยสัจ4
ชื่อเรื่อง กังวลใจที่ไปเก็บเเอปเปิ้ลข้างทาง
เนื้อเรื่อง
ไปปั่นจักรยานเเล้วเห็นเเอปเปิ้ลข้างทางเยอะมาก ก็เลยหยุดเก็บ ระหว่างเก็บก็มีรถขับผ่านเเล้วชะลอดู คันเเรกไม่เป็นไร คันที่สองเริ่มลังเลใจ เห็นความกังวลขึ้นมาในใจว่าเรากำลังทำผิดศีลอยู่หรือเปล่า?
ทุกข์ กังวลใจรู้สึกผิดที่ไปเก็บเเอปเปิ้ลข้างทาง
สมุทัย อยากเก็บเเอบเปิ้ล ชอบที่จะเก็บเเอปเปิ้ลเเล้วไม่รู้สึกผิด
ไม่ชอบที่เห็บเเอปเปิ้ลเเล้วทำให้เกิดความกังวลใจ ทุกข์ใจ
นิโรธ ไม่ชอบ ไม่ชัง จะเก็บเเอปเปิ้ลด้วยใจไร้กังวล
มรรค ตั้งสติทำอริยสัจ4 ตั้งจิตขอโทษขออภัย ถ้าเราได้ไปเก็บเเอปเปิ้ลมาโดยไม่รับอนุญาต ท่านอ.หมอเขียวเคยสอนไว้ถ้าเรารู้รู้ว่าผิด ให้ใช้ญาณ 7 พระโสดาบัน คือขอโทษขออภัย ยอมรับเเละสำนึกผิด เเละไม่ทำทุกข์ทับถมตัวเราเอง ให้รู้สึกเเย่ลงไป ใจก็รู้สึกเบาลง70%
เเละได้เเลกเปลี่ยนสภาวะธรรมกับพี่น้อง พี่น้องชี้เเนะทำให้ใจคลายทุกข์ลงไปอีก เเล้วก็คิดว่าถ้าเราไม่เก็บเเอปเปิ้ลที่อยู่ข้างทาง มันก็คงเน่าเสีย เเล้วก็พิจารณาว่าต้นเเอปเปิ้ลเป็นของสาธารณะสามารถเก็บได้ เราเก็บเอามากินเพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายดีกว่า เเละขอตั้งศีลว่าจะไม่หยิบของโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก ใจก็คลายหายทุกข์ค่ะ
2 พฤศจิกายน 2563
ชื่อเรื่อง ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน
เนื้อเรื่องย่อ คุยสภาวะธรรมกับพี่น้องหมู่กลุ่ม พี่น้องเมตตาชี้แนะเรื่องการพูดของเราก่อนจะพูดคิดก่อนเพราะถ้าพูดออกไปแล้วมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตอนคุยกับพี่น้องก็ไม่คิดอะไรมาก พอมาอยู่คนเดียวกลับมาทบทวน เห็นจริงตามที่น้องบอก แล้วรู้สึกผิดไม่น่าพูดเลยเรา .
ทุกข์:รู้สึกผิด ใจไม่แช่มชื่น
สมุทัย: ชอบ-ที่ใจแช่มชื่นไม่ห่อเหี่ยว ชังที่ใจไม่แช่มชื่นห่อเหี่ยว
นิโรธ : วางใจ เบิกบานใจไม่ชอบ ไม่ชัง คำพูดที่ผ่านไปแล้ว, จะพากเพียรปรับปรุงใจตัวเองใหม่ พูดน้อยฟังให้มาก
มรรค : ตั้งสติ เจริญภาวนา พุทโธ แต่ทำได้เป็นช่วงๆ เดี๋ยวเผลอแว๊บไปคิดอีก บอกตัวเองซ้ำๆว่าอดีตมันผ่านไปแล้วอยู่กับปัจจุบันดีกว่าแต่ก็วนกลับมาคิดอีก ไม่น่าพูดเลยเรา ทำทุกข์ทับถมตน หางานทำเพื่อให้มือไม่ว่างแต่ใจก็ยังอดคิดให้ตัวเองทุกข์อีก ต่อสู้กับกิเลสคนเดียวไม่ไหว แรงเดียวสู้กับกิเลสไม่ได้ จึงเข้าหาพี่น้องหมุ่กลุ่มขอคุยด้วย
พอได้เข้ามาสิ่งแรกคือพลังอบอุ่นจากพี่น้องใจมีพลังขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้คุยกัน
-พี่น้องถามบททบทวนธรรม พร่องก็ได้ พลาดก็ได้ สบายใจจริงได้ทำมั้ย (คิดไม่ออก)ให้อยู่กับปัจจุบันไม่หลงในสิ่งที่ผ่านมา และให้ตั้งจิตขออโหสิกรรมต่อตัวเอง .(ทำแล้ว)
-พี่น้องอีกท่านถามว่าเข้าใจ เชื่อเรื่องวิบากกรรมแค่ใหนถึงจิตถึงใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยัง ถ้าเข้าใจเรื่องวิบากกรรมถึงใจจริงจะไม่คิดมากมานั่งทุกข์อีก .(ทำอยู่แต่ยังคงจะเข้าไปถึงกระดองใจ)
-พี่น้องอีกท่าน ถามว่าทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน ทุกข์แล้วมันสุขมั้ย วิบากกรรมใหม่มันจะวนๆ เข้าใหม่เรื่อย ๆ และบอกให้จริงใจต่อตัวเอง ศรัทธาตัวเอง ศรัทธาในคุณงามความดีของเรา แม้จะสดุดขาตัวเองก็ไม่ทุกข์ ปรารถนาดี ทำดี วางดี จบเลย
ให้ตั้งศีลสู้ ศีลจะเป็นเกราะกำบังเราได้ ต้องผ่านให้ได้ทุกเรื่อง เพราะต้องเจออีกเยอะ .
พอเข้ามาในกล่มได้พลังใจจากพี่น้องช่วยกัน ใจที่ไม่แช่มชื่นห่อเหี่ยวหายไปมีแต่ความสดชื่นแช่มชื่นใจ
ข้าพเจ้า ตั้งศีลเพิ่มจะพยายามฟังให้มากกว่าพูด และไม่ทำทุกข์ทับถมตน
กราบขอบพระคุณพี่น้องหมู่มิตรดีที่ช่วยชี้แนะทำให้ความทุกข์หายไปเลย
ขอบคุณตัวเองที่รีบเข้ามาหาหมู่กลุ่มถ้ารอข้ามคืนคงโดนกิเลสลากไปไกลกว่านี้อีก
กราบสาธุธรรมค่ะ
หงุดหงิด เมื่อมีผู้มาใหม่มาเยือน
ที่สวนป่านาบุญ3 โดยทั่วไปมีจิตอาสาเพียงสามท่านที่อยู่ประจำ มีบรรยากาศที่สงบเงียบเรียบง่าย ต่างก็ทราบหน้าที่บำเพ็ญในชีวิตประจำวัน มองหน้าก็รู้ใจ ไม่ต้องสื่อสารยีดยาว ทำให้ได้ดังใจ ชีวิตราบรื่นเกินไป กระทบผัสสะกันจนรู้จุดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสัปปายะไม่เกิดสภาพวิวาทะ และหมั่นอปริหานิยธรรมช่วงเย็นทุกวัน(ตอนที่อาบน้ำคุยกันข้ามผนังห้องน้ำเป็นเวลาที่ว่างที่สุด)
แต่นับเป็นการดีที่มีผู้มาเยือนร้านค้ากองบุญสวนป่านาบุญ3ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นผู้มาซื้อผลืตภัณฑ์ดูแลสุขภาพใช้เวลาเพียง1นาที จนกระทั่งผู้ไม่เคยผ่านค่ายขอคำแนะนำเกี่ยวกับยา9เม็ดใช้เวลา1-2 ชั่วโมงซึ่งส่วนใหญ่จะมาช่วงทานข้าว(บางครั้งทานข้าวเสร็จบ่าย3โมง ก็ยืนดีถือเป็นการฝึกให้สุขในทุกสถานการณ์)
แต่ที่จะเป็นการขัดเกลาและกระทบผัสสะที่แท้จริงก็คือผู้บำเพ็ญหรือจิตอาสาที่มาร่วมบำเพ็ญทั้งระยะสั้นครึ่งวัน,1วัน,ค้าง1คืน,1อาทิตย์หรือเป็นเดือน ย่อมเป็นการขัดเกลาที่ดีที่จะฝึกให้สุขให้ได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ยึดถือมั่นหรือเอาแต่ใจตัวเอง
ทุกข์ : เพราะอาจสื่อสารสั้นเกินไปทำให้ผู้มาเยือนร่วมบำเพ็ญปฎิบัติไม่ตรงกับภารกิจเรามอบหมายให้ทำ
สมุหทัย : อารมณ์พลุ่งพล่านแทบทุกครั้งที่พบความผืดพลาดจนแสดงทุจริต3ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่ได้รักษาน้ำใจของหมู๋มิตรดี เห็นความสำเร็จของงานมากกว่าความสำเร็จของใจ เหนื่อยเสียพลังไปกับการกล่าวขอโทษกับการเอาแต่ใจของตัวเอง ยึดมั่นถือในความสมบูรณ์แบบจนไม่รักษาน้ำใจพี่น้องผองเพื่อน เช่น เผลอหลุดปากว่าพี่ที่ช่วยขูดมะละกอแล้วเทถ้วยมะเขือเทศ(ที่เราหั่นเป็นชื่นเล็กๆไว้ในถ้วยใบเล็กเพื่อวางลงบนมะละกอที่ขูดเสร็จแล้วทั้งถ้วยเพื่อไม้ให้น้ำมะเขือเทศลงไปปนบนเส้นมะละกอเพื่อเหลือจะได้เก็บไว้ทานวันต่อไปได้)ปนลงกับเส้นมะละกอ ทุกข์ใจที่พี่เค้าไม่ได้ทำตามที่เราต้องการ
นิโรธ : สุขใจที่เห็นว่าพี่เค้าเทมะเขือเทศปนลงบนเส้นมะละกอ ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเส้นมะละกอที่จะเก็บไว้ทานต่อไปได้หรือไม่ก็ได้ สำนึกผิดที่ผิดศีลต่อว่าพี่เค้าว่า” บ้า ” จึงขอโทษพี่เค้า ยอมรับรูปแบบที่พี่เทมะเขือเทศลาดบนเส้นมะละกอก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเปลืองภาชนะและน้ำมะเขือเทศจะได้เข้ากับเส้นมะละกอพร้อมทานสำหรับทุกท่านที่มาตักทาน
มรรค : หนทางดับทุกข์ พิจารณาถึงศีลที่ตั้งไว้ คือสุขได้กับทุกสถานการณ์ทำให้รู้ตัวเมื่อหงุดหงิดแล้วแสดงวาจาทุจริตออกมาทำให้เห็นภาพตัวเราเองก็เคยถูกกระทำมาก่อน ก็เห็นใจกลัวพี่เค้าจะเสียใจ จนรู้สึกละอายและเกรงกลัวต่อบาปจึงสำนึกผิดและขอโทษได้เร็วณ.ขณะนั้นทันที ทำให้โล่งใจที่ไม่ได้ก่อวิบากกับพี่เค้ามากไปกว่านี้ ไม่ยึดติดในรูปแบบเดิมๆ ทำให้สงบได้อย่างเร็วและสุขใจ รู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุข
เรื่อง งานและเวลา
เนื่องจาก ปัจจุบันรับงานจิตอาสาทางธรรม จ.น่านและงานสาธารณสุข (อสม.ที่บ้านเกิดพนัสนิคม ชลบุรี) เข้าชั้นเรียนบุคคลากรในสายธรรม ออนไลน์และประชุมธรรม ณ ศูนน์กลางวารินชำราบ/กทม.
จึงทำให้จัดสรรเวลา กับการเข้าร่วมบำเพ็ญปฏิบัติกับ พวธ. ได้ค่อนข้างยาก เช่นเวลาเข้าฟังzoom ของวิชชราม ตรงกันกับชั้นเรียนพระสูตรมหายาน มีข่วงเวลาเช้า ตี4 ที่จะได้เรียนพระไตรปิฎก กับ อาจารย์ที่สะดวกที่สุด
ทุกข์ : จัดสรรเรื่องเวลา/ทำงาน ทบทวนสาระความรู้ทางธรรมและทำการบ้านได้ไม่เต็มที่
สมุทัย : ใจ.วางกับประโยขน์ และโอกาสที่เบื้องบนเมตตาส่งมาให้ ( โลภไปนะเรา )
นิโรธ : ใช้น้อย กินน้อย และ จัดเวลาในเรื่องส่วนตัวให้น้อยค่ะ
มรรค : ลด ละ เลิกกิเลส..ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ในทุกสิ่งที่เข้ามา ( ใจวาง..แต่กายยังทำให้ดีที่สุด )
ได้เท่าไหร่..ยินดีตามนั้นค่ะ
น้้้้
เรื่อง ปากกับใจไม่ตรงกัน
พวกเราช่วยกันยกข้าวที่ตากมาเก็บในศาลา ท่านหนึ่งบอกว่า กองนี้เอาไว้ตรงนี้ก่อน (ยังไม่ถึงที่เก็บ) เดี๋ยวเอาอีกกองหนึ่งเข้าก่อน เผื่อที่เก็บจะไม่พอ เราตอบรับเสียงเรียบว่า..แล้วแต่ค่ะ พอดีอาจารย์ได้ยินพวกเราคุยกัน ท่านแซวว่า ความจริงจะเอากองหลังเข้าก่อนก็ได้ หรือจะเอากองนี้เข้าก่อนก็ได้ เราฟังอาจารย์พูด…. กิเลสก็ฟังอาจารย์พูดพร้อมกับเรานี่แหละ….พออาจารย์พูดจบ มันมีอาการไม่ชอบขึ้นมาเลย ทั้ง ๆ ที่วินาทีที่แล้วไม่มีอาการอะไร แบบนี้เหมือนกิเลสมันกบดานอยู่ พอดีทำงานอยู่ต่อหน้าอาจารย์ด้วย กิเลสมันค่อนข้างจะเรียบร้อย แต่ตรวจได้ว่าใจจริงมันไม่เรียบร้อยเหมือนปากพูดหรอก ก็ตอนที่อาจารย์พูดคำว่า …หรือจะเอากองนี้เข้าก่อนก็ได้…คำนี้แหละใช่เลย…คำนี้มันตรงกับใจจริงของมัน ต้องกองนี้เข้าก่อน ไม่ใช่กองไหนเข้าก่อนก็ได้ตามปากพูด 555 เจอกิเลสแล้ว ใช่..ปากบอกว่า “แล้วแต่ค่ะ” แต่ใจจริง ๆ คือ ต้องเอากองนี้เข้าก่อนซิ แต่ก็ได้ “ข่มใจ” อย่างรวดเร็วว่า “ยอม” ตามท่านดีกว่า เอาล่ะ…เอาอีกกองเข้าก่อนก็ได้ ตามท่านเลย…
เหตุการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่าการกดข่มไม่ได้ทำให้กิเลสตายค่ะ กิเลสไม่ได้หายไปไหนค่ะ มันรอวันระเบิดได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องทำงานด้วยกันต่อ เมื่อมีการกระทบกันอีกมันก็ออกอาการอีกแน่นอน …และแล้วในเวลาไม่กี่วินาทีต่อมา ก็เจอเข้าไปอีกช๊อตนึง เพราะเราไม่ได้ล้างกิเลสครั้งก่อนออก ครั้งนี้พอกระทบอีก มันก็ออกอาการอีกจริงด้วย คราวนี้อาการมันแรงขึ้นด้วยนะ พอท่านบอกว่า…เธอไปเอากองโน้น กองนี้คนพอแล้ว…เราก็ฟังท่าน เข้าใจที่ท่านพูดนะ แต่ในใจมันมีอาการตึง ๆ น่ะ ทั้ง ๆ ที่เรายอมเดินไปยกกองโน้นตามที่ท่านบอก..เพราะกองนี้คนเยอะแล้วจริง ๆ ส่วนอีกกองคนไม่พอจริง ๆ ก็ถูกแล้วไง…แต่ทำไมใจไม่แล้ว ใจมันตึง ๆ เอ…เพราะอะไรนะ… ตรวจซิ ๆ
อ๋อ…ก็ตอนที่ท่านพูดคำว่า …เธอไปกองโน้น… เราได้ยิน กิเลสมันก็ได้ยินเหมือนกัน แล้วกิเลสมันก็บอกว่า ไม่ชอบๆ…เออ..ไม่ชอบอะไรเหรอ ไม่รู้ซิ คิดไม่ออก….ก็เราทำมาไง ใช่….รู้แล้วว่าเราทำมา แต่เราทำอะไรมาล่ะ เออ..แล้วเราทำอะไรมาล่ะ (รู้แค่เราทำมามันไม่ลงนะ)…ก็ค้นหาคำตอบต่อไปซิ จากนั้น…….ใจเราก็นิ่ง กิเลสก็นิ่งไปพักนึง (ขณะกำลังยกข้าวอยู่)…ระหว่างที่เผลอไปหน่อย ๆ ….กิเลสมันก็พูดก้องอยู่ในใจว่า “ไม่ชอบที่ท่านสั่งเราอ่ะ” อ๋อ…แบบนี้เหรอที่เธอไม่ชอบ จับได้แล้ว 555 แค่นี้เอง ล้างกิเลสออกน่าก็หายนะ เพราะเรื่องนี้เราเจอมาบ่อยแล้ว จากนั้นก็เริ่มคิดพิจารณาล้างกิเลส หาเหตุแห่งทุกข์
ทุกข์ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ
สมุทัย ตัณหาที่ซ่อนอยู่ภายใจอาการทุกข์ จริงแล้วเราไม่ชอบที่ท่านสั่ง ถ้าท่านสั่งเรา เราจะทุกข์ใจ ไม่ชอบใจ แต่ถ้าท่านหารือกันก่อน ไม่บังคับกัน เราจะสุขใจ ชอบใจ เออ…หนอ ก็ทุกข์ทั้ง 2 ด้านนั่นแหละ
นิโรธ สุขให้ได้ทั้ง 2 ด้านซิ ท่านจะสั่งก็ได้ หรือท่านจะหารือก็ได้ ท่านจะบังคับก็ได้ หรือท่านจะไม่บังคับก็ได้ สุขสบายใจให้ได้นะ
มรรค พิจารณาว่า เราทำมา เราเคยสั่งคนอื่นมาก่อน เราเคยตัดสินใจเอง เราเคยไม่หารือใคร เราเคยบังคบคนอื่นมาก่อน เออ…แต่ใจจริงท่านอาจจะไม่ได้มีกิเลสจะสั่งหรือจะบังคับเราก็ได้นะ แต่ท่านมีเสียงแข็ง ๆ ทำให้เราคิดว่าท่านสั่ง เราก็คิดไปเองเนาะ ไปเดาใจ มีวิบากอีก ความจริงก็คือ เราก็เคยเสียงแข็งกับคนอื่นมามากกว่านี้
ผลจากการพิจารณาแบบนี้ในครั้งนี้ ทำให้กิเลสตัวที่ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ แล้วออกอาการตึง ๆ อยู่เมื่อกี้นี้ลดลงไปมาก แต่ก็ยังไม่เกลี้ยงหมด ยังตึงนิด ๆ แปลว่า เรายังไม่ได้ล้างเหลี่ยมมุมอื่นที่ยังล้างไม่ได้ ก็เลยไปเล่าให้เพื่อนอีกท่านหนึ่งฟัง ก็ได้พิจารณาเพิ่มอีกว่า โชคดีอีกแล้ว ร้ายหมดไปอีกแล้ว รับเต็ม ๆ หมดเต็ม ๆ เราแสบสุด ๆ มันก็ต้องรับสุด ๆ มันจะได้หมดไปสุด ๆ มันจะได้เป็นสุขสุด ๆ ปรากฏว่า กิเลสที่มันเป็นของไม่เที่ยงมันก็หายไปเกลี้ยงเลย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสตัวนี้เป็นรูปภพที่ยังค่อยข้างใหญ่อยู่ มันไม่ออกอาการทางกาย และทางวาจาแล้ว แต่มีอาการที่อยู่ในใจที่ยังเอาลงยาก ๆ หน่อย ต้องล้างอีกหลายร้อยหลายพันหลายล้านครั้ง เห็นเลยว่าพลังของเราไม่พอหรอก ล้างกิเลสคนเดียวมันไม่ลง ต้องอาศัยพลังของหมู่มิตรดีช่วยจึงลง และลงเร็วกว่าล้างคนเดียว แล้วจากนี้ …เราจะต้องคอยระมัดระวังกิเลสตัวไม่ชอบคนสั่ง ไม่ชอบคนบังคับนี้ต่อไป เพราะรู้สึกได้ว่ามันมีฤทธิ์เหนือเราอยู่ ด้วยการตั้งศีลว่า …จะอ่านกิเลสตัวนี้ให้ทัน …รู้ให้เร็ว ๆ ว่าเราเคยทำมา แล้วพากเพียรล้างกิเลสตัวนี้ให้ทันในปัจจุบันที่เกิดด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ วิปลาส 4 วิบากกรรม และแรงเหนี่ยวนำ โดยทำใจในใจไปด้วยเสมอว่า เราจะพากเพียรทำเหตุให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ผลจะได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทำดีสุดแล้วก็สุขที่สุดได้แล้ว สาธุ…
ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ
เรื่อง. มือดำเล็บดำ
ทุกข์. ไม่ชอบที่มือดำชอบให้มือเล็บขาวสะอาดเวลาทำกับข้าว เนื่องจากตัวเองรับหน้าที่บำเพ็ญไปเก็บผักตัดหยวกกล้วยมาทำกับข้าวทุกวันและตอนที่ตัดหยวกกล้วยมือทำให้มือโดนยางกล้วยทำให้มือและเล็บดำ
สมุทัย.ถ้ามือดูขาวสะอาดตอนทำกับข้าวเราจะชอบใจสุขใจ ถ้ามือเล็บสีดำดูสกปรกจะไม่ชอบใจทุกข์ใจ
นิโรธ. วางใจว่ามือจะดำหรือไม่ดำเราก็ไม่ทุกข์ใจเข้าใจชัดเรื่องกรรมวิบากกรรมอย่างแจ่มแจ้ง
มรรค. พิจารณากรรมและเข้าใจชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่เราได้รับอยู่คือสิ่งที่เราทำมาเพราะเมื่อก่อนตัวเองชอบมองคนอื่นเวลาเจอใครหรือว่าใครจะทำกับข้าวเราจะชอบมองมือมองเล็บเค้าว่าเล็บดำมั้ยสะอาดมั้ยขนาดว่าก่อนมาเจออาจารย์ถ้าผู้ชายจะมาชอบเราสิ่งแรกที่จะมองคือมือค่ะตอนนี้ก็เหมือนว่าเราได้รับวิบากอยู่ ต่อให้ไม่มีใครมาทักแต่เราก็ยังรู้สึก จึงพิจารณาโทษของการการเพ่งโทษผู้อืนเต็มใจรับ รับแล้วก็หมดไปเราจะโชคดีขึ้น พิจารณาประโยชน์ทีเล็บดำทำให้เราได้ล้างโลกธรรมตัวที่เรายังเหลือยังติดอยู่ เล็บมีสีดำแต่เราล้างสะอาดต่อให้มีสีดำแต่ใจเราต้องไม่ดำไม่หม่นหมองตาม ตั้งจิตสำนึกผิดหรือยอมรับผิด ขอโทษขอเต็มใจรับโทษหรือขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งไม่ดีอันนั้นตั้งจิตทำความดีให้มากๆเกื้อกูลผองชนช่วยเหลือผู้อื่นให้มากๆ
สาธุค่ะ.
การบ้านอริยสัจ ๔
เรื่อง : ปีศาจหมี่ผัด
เหตุเกิดเมื่อออกมาจากเต็นท์ ตาไปเห็น (ตากระทบรูปกับ) หมี่ผัดสีน้ำตาล เส้นหมี่ในชามของหมู่พี่น้องเต็นท์ข้างๆ สัญญาเก่าปรุงแต่งเลย เวทนาความรู้สึกอร่อยที่เคยกินผุดขึ้นมา อยากกินขึ้นมาทันที มีหมี่ผัดด้วย อยากกิน อยากกิน กิเลสทำงานทันที เฮ้ย…กิเลสมาแล้ว
ทุกข์ : ไม่ได้กินหมี่ผัดแล้วทุกข์ใจ อึดอัดใจ ไม่สบายใจ
สมุทัย : ตัณหาความอยาก ดิ้นรน ซัดส่ายหาหมี่ผัดมากิน มีไหม…อยู่ไหน…
นิโรธ : ได้กินหมี่ผัดหรือไม่ได้กินหมี่ผัด ก็สุขใจ สบายใจได้ เป็นอิสระ เป็นไทจากความอยากกินหมี่ผัดได้ด้วยใจที่สงบ เบิกบาน ผาสุก แจ่มใส ยิ้มได้
มรรค : พิจารณาไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของกิเลสความอยากกินหมี่ผัด กิเลสเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอยู่ตลอดกาล ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน แล้วเราจะไปยึดอะไรกับความไม่เที่ยงนั้นให้โง่ ให้ทุกข์ จะไปเอาแก่นสาระอะไรกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไปยึดว่าได้กินแล้วจะสุขใจ สมใจอยาก แท้จริงแล้วความสุขสมใจอยากนั้นไม่มี และก็ไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเหมือนเดิมมีแต่การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ใจเราเปลี่ยนทุกวัน
พิจารณาโทษของการมีกิเลส มีตัณหาความอยาก เท่ากับเรากำลังบ้ากาม อยากเสพกาม น่าเกียดชัง มีกิเลสความอยากแล้วทุกข์ใจ อึดอัดใจ ซัดส่ายต้องเดินไปหามากินมาเสพ บอกกิเลสตัวเอง โอเธอเป็นคนตัณหากลับ (ตัณหาเยอะ ตัณหามาก) เป็นคนบ้ากาม ไอ้โอบ้ากาม ไอ้โอบ้ากาม มีกิเลสมีแต่โง่ มีแต่ทุกข์ ไม่มีกิเลสสบายกว่า ไม่โง่ ไม่ทุกข์ ไม่ต้องมาอึดอัดใจ ไม่ต้องมาวุ่นวายเดือดร้อนทุกข์ใจ กับการต้องหามากินมาเสพให้สมใจอยากตามคำสั่งของกิเลส สงบ สบาย เบิกบาน แจ่มใสกว่า ดีที่สุด ยอดที่สุด
พิจารณาเรื่องกรรม (สันนิทานสูตร) เป็นพลังแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่น ๆ ทำตาม เป็นตามเราถ้าเรายังมีกิเลส เป็นวิบากร้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ เหนี่ยวนำให้เขาเกิดความอยาก เกิดความทุกข์ใจ เอาไหม ทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์น่ะ กิเลสบอกไม่เอาๆ
พอถึงเวลามานั่งกินข้าวกลางวัน มานั่งใกล้หมู่พี่น้อง ท่านหนึ่งมีหมี่ผัด ท่านแบ่งมาให้กินด้วย ตอนนี้ละได้กินได้ตรวจเลยว่ายังชอบอะไร ยังติดอะไรอยู่ ยังชอบรสชาติ หวาน เค็ม เปรี้ยว เหนี่ยวนุ่มของเส้นที่ผัดเข้ากันพอดี ๆ อ๋อยังชอบอยู่ อ๊ะแต่ไม่เหมือนก่อนแล้วน่ะ ไม่มากเหมือนเดิมแล้ว กินแล้วรู้ว่าชอบแล้วหยุดได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องตักเพิ่มอีก กินเพิ่มอีกเยอะๆ จนสมใจอยากเลยละ ยินดี เย่ๆ ที่ได้เห็นกิเลสลดลงแล้ว เจริญแล้วตามกำลังน่ะโอ จะเพียรต่อไป สาธุค่ะ ๖๓๑๑๐๔
ชื่อเรื่อง : เบื่อหน้าหนาว
เนื้อเรื่องย่อ : ช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว ตอนเช้าอากาศหนาวทำให้ทรมานไม่อยากตื่น ตอนเย็นจะมืดเร็ว 5 โมงก็เริ่มมืดแล้วทำให้ทำงานกสิกรรมกลางแจ้งไม่ต่อเนื่อง ต้องรีบกลับศาลาไม่เหมือนหน้าฝนที่พระอาทิตย์ตกช้ากว่าประมาณ 6 โมงจึงเริ่มมืดครับ
ทุกข์ : หน้าหนาวตอนเช้า ไม่อยากตื่นเช้า กลัวไม่สบาย กลัวเป็นหวัด และขี้เกียจตื่น ส่วนตอนเย็น เบื่อพระอาทิตย์ตกเร็วทำงานไม่ต่อเนื่อง
สมุทัย : อยากให้อากาศหนาวพอดีๆในตอนเช้าและอยากให้พระอาทิตย์ตกช้าขึ้น เหมือนกับหน้าฝนที่ผ่านมา
นิโรธ : อากาศหนาวกี่องศาเราก็ควรตื่น ตอนเย็นค่ำแล้วก็กลับศาลาไม่ยึดไม่ติดว่าจะต้องลงงานกสิกรรม
มรรค : พิจารณาความจริงว่า โลกนี้เราควบคุมไม่ได้ เราแก้ได้ที่ตัวเรา ตอนเช้าถ้าเราหนาว เราก็หาเสื้อกันหนาวมาใส่หรือออกกำลังกาย ให้ร่างกายร้อนขึ้น ไม่หลงกิเลส ขี้เกียจอยากนอนต่อ แต่อ้างว่ากลัวไม่สบาย ทุกวินาทีมีค่า เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่นอนเสพกิเลสให้เวลาผ่านไปเฉยๆ และเป็นการเหนี่ยวนำคนอื่น ทำให้เกิดเป็นวิบากใหม่ กรรมใหม่ขึ้น ส่วนตอนเย็น ถ้าพระอาทิตย์ตกแล้ว ก็กลับศาลา หางานอื่นทำก็ได้ เช่น เพาะเมล็ดพันธ์ ทำงานสื่อ ทำการบ้านวิชชาราม เราสามารถบำเพ็ญได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องทำงานที่เราอยากทำ แต่ควรทำงานที่เป็นประโยชน์และตรงกับกาละที่อันควรครับ สาธุครับ
เรื่อง ทำไมถึงทำอย่างนี้อ่ะ
ตั้งใจจะนั่งอ่านหนังสือในเต้นท์ ได้ยินเสียงผู้ชายเข้ามาในเขตที่พักหญิง ความหงุดหงิดเริ่มเกิดขึ้นมากจนไม่สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ จนต้องออกไปหาหมู่มิตรดีให้ช่วยล้างกิเลส
ทุกข์ : ทุกข์ที่ไปคาดหวังว่าท่านน่าจะรู้การปฏิบัติตัวที่เหมาะควร
สมทัย : ท่านเข้ามาในเขตที่พักหญิงเราจึงทุกข์ใจ ถ้าท่านไม่เข้ามาในเขตที่พักหญิงเราจะสุขใจ
นิโรธ : ท่านจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาในเขตที่พักหญิงเราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เพื่อนบอกว่า “ชังไม่ดี เป็นกิเลส เป็นทุกข์ จะมีวิบากร้ายทั้งมวล” กิเลสก็ไม่ลง
เพื่อนอีกท่านหนึ่งบอกว่า “ฐานจิตท่านยังต้องอาศัยแบบนี้อยู่” ประเด็นนี้แหละที่ทำให้กิเลสเริ่มชะงัก เราจึงได้สติเปิดโอกาสให้พุทธะได้เติมปัญญาในช่องว่าง “เออ…ใช่ ความดีของท่านตั้งมากตั้งมาย ละทิ้งบ้าน ลดละโลกธรรมต่าง ๆ กิเลสอื่น ๆ ได้มากมาย ท่านเพียงแค่อาศัยฐานนี้อยู่กับหมู่มิตรดีเพื่อการปฏิบัติธรรมลดละกิเลสด้านอื่น ๆ เท่านี้ก็หาได้ยากแล้วในหมู่คนทั่วไป แล้วจึงหันกลับมามองตนเอง แล้วเราล่ะ กิเลสบางอย่างที่เรารู้ว่าไม่ดีแต่ยังออกไม่ได้ก็มีอยู่มิใช่หรือ มากหลายด้วย บางอย่างที่เรายังต้องอาศัยก็มี เราเช่นใดคนอื่นก็เช่นกัน
การที่อาจารย์ให้พวกเรามารวมกัน คือการให้โอกาสทุกชีวิตมารวมบารมีกันเพื่อบำเพ็ญบุญ กุศล ดังนั้นเป้าหมายของทุกท่านจึงเป็นไปในทางเดียวกัน คือ สามารถสร้างความผาสุกที่ตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ แล้วเราจะมานั่งทุกข์อยู่ทำไม มาพากันให้พ้นทุกข์ดีกว่า เมื่อได้ไตร่ตรองความคิดตามนี้ความทุกข์ก็ค่อย ๆ จางคลายลงจนโล่งโปร่งสบาย เกิดความปีติที่ได้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง เปลี่่ยนกิเลสมาเป็นพุทธะได้ จนสามารถนั่งอมยิ้มได้ เมื่อวางใจได้ปุ๊บผลที่ปรากฏคือ ท่านนั้นเดินออกมาจากเขตที่พักหญิงทันที
เรื่องทำการบ้าน PS ep 1
ข้าพเจ้าได้ทำการบ้านจากห้องเรียนสาระธรรม คือการทำรูปภาพประกอบคำคมกับเพื่อนในกลุ่มท่านหนึ่ง โดยคำคมนี้ผ่านมติหมู่กลุ่มมา ด้วยความที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเห็นชอบกับคำคมนี้เท่าไหร่เลยทำให้คิดไอเดียไม่ออก แต่งภาพยังไงก็ไม่สวย เปลี่ยนรูปแบบแล้วเปลี่ยนอีก เสนอให้เพื่อนช่วยพิจรณาด้วย ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ใช่อยู่ดี เราสองคนใช้เวลาทำการบ้านด้วยกันเป็นชั่วโมงยังสรุปไม่ได้ ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกใจร้อนอยากให้งานเสร็จ พอใจร้อนก็ยิ่งคิดไม่ออก ทำออกมาไม่ใช่ ไม่ลงตัวสักอย่าง ข้าพเจ้า ลังเล ไม่มั่นใจในงานที่ตัวเองทำ เพื่อนของข้าพเจ้าก็ได้บอกว่าให้ทำตามสบาย เป็นตัวของตัวเอง ทำอย่างมั่นใจไปเลย เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่น้องจะช่วยกันพิจารณาเอง เพื่อนของข้าพเจ้าก็พูดเชียร์ให้กำลังใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ช่วยให้ข้าพเจ้าทำงานได้ดีขึ้นเลย สรุปว่าเราทำการบ้านกันไม่เสร็จตกลงแยกย้ายกันไป
ทุกข์ : ไม่ถูกใจคำคม
สมุทัย : คำคมไม่ถูกใจ อยากได้คำคมที่ถูกใจ ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องดีอย่างใจหมาย
นิโรธ : ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่ว่าจะได้คำคมไหนมา ทำงานได้ความยินดี เต็มใจ วางดี ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้
มรรค : ขณะที่เจอผัสสะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีไอเดียในการทำงานเลย คิดว่าถึงเราไม่เห็นชอบกับคำคมนี้เท่าไหร่ก็ไม่น่ายากอะไร มีคำคมพร้อม รูปภาพพร้อม แต่ไม่สามารถทำงานออกมาได้ จนได้มาพูดคุยกับพี่น้องหมู่กลุ่มพลังศีลที่คบคุ้น ถึงได้รู้ว่าเพราะข้าพเจ้ามีความชอบชัง จิตใจไม่เป็นกลาง ผิดศีล ยึดมั่นถือมั่นจะเอาดีดั่งใจ เบียดเบียนตัวเอง จึงได้รับวิบากไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ ดังบททบทวนธรรมที่ท่านอจ.หมอเขียว ได้กล่าวไว้ว่า ยินดีในความชอบ-ชัง เสียพลังสุดๆ ยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ได้พลังสุดๆ ” กราบขอบพระคุณพี่น้องหมู่กลุ่มที่เมตตาชี้ขุมทรัพย์ ข้าพเจ้าจะพากเพียรเจริญสติให้มีใจเป็นกลางไม่ชอบไม่ชังในสิ่งใดให้ได้ กราบสาธุค่ะ
เรื่องทำการบ้าน PS ep 2
ข้าพเจ้าได้ทำการบ้านจากเรียนสาระธรรมกับคือการทำรูปภาพประกอบคำคมกับเพื่อนในกลุ่มท่านหนึ่ง โดยคำคมนี้ผ่านมติหมู่กลุ่มมา ด้วยความที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเห็นชอบกับคำคมนี้เท่าไหร่เลยทำให้คิดไอเดียไม่ออก แต่งภาพยังไงก็ไม่สวย เปลี่ยนรูปแบบแล้วเปลี่ยนอีก เสนอให้เพื่อนช่วยพิจรณา ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ใช่อยู่ดี เราใช้เวลาทำการบ้านด้วยกันเป็นชั่วโมงยังสรุปไม่ได้ ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกใจร้อนอยากให้งานเสร็จ พอใจร้อนก็ยิ่งคิดไม่ออก ทำออกมาไม่ดี ไม่ลงตัวสักอย่าง ข้าพเจ้า ลังเล ไม่มั่นใจในงานที่ตัวเองทำ เพื่อนของข้าพเจ้าก็ได้บอกว่าให้ทำตามสบาย เป็นตัวของตัวเอง ทำอย่างมั่นใจไปเลย เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่น้องจะช่วยกันพิจารณาเอง เพื่อนของข้าพเจ้าได้พูดเชียร์ให้กำลังใจอยู่หลายครั้ง แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกไม่พอใจที่เพื่อนบอกว่าข้าพเจ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ชอบอาการความไม่มั่นใจของตังเองอยู่ เลยไม่ชอบที่ท่านมาชี้จุดนี้อีก แต่ขณะเจอผัสสะข้าพเจ้าไม่ได้พูดบอกเพื่อนไป และไม่ได้ล้างกิเลส สรุปว่าเราทำการบ้านกันไม่เสร็จตกลงแยกย้ายกันไป
ทุกข์ :ไม่ชอบใจคำพูดเพื่อนที่ชี้จุดอ่อนของเรา
สมุทัย : ไม่อยากให้เพื่อนชี้จุดอ่อนของเรา ชังที่เพื่อนชี้จุดอ่อน ชอบที่เพื่อนไม่มาชี้จุดอ่อน
นิโรธ : เพื่อนจะพูดชี้จุดอ่อนหรือจุดแข็ง หรือเพื่อนชี้แนะอะไรก็น้อมรับด้วยความสุขใจได้
มรรค : ตั้งสติ ทบทวนถึงเจตนาดีของเพื่อน คำพูดทั้งหมดที่ท่านพูดมีแต่หวังดีให้กำลังใจ ข้าพเจ้ากลับมองไม่เห็นสิ่งนี้ กลับไม่พอใจท่าน เพราะคิดว่าความไม่มั่นใจในตัวเองเป็นจุดอ่อนของเราเลยไม่อยากให้ใครมาจี้จุดอ่อน ขณะเจอผัสสะข้าพเจ้าไม่ได้ล้างใจกับเพื่อนเก็บความไม่พอไว้ พิจารณาล้างอยู่คนเดียวแต่ไม่สามารถล้างได้ ข้าพเจ้าได้พูดคุยสภาวะธรรมนี้กับพี่น้องหมู่กลุ่มพลังศีลที่คบคุ้นกัน พี่น้องได้ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่เรารู้สึกค้านแย้งเวลาพี่น้องแสดงความคิดเห็นหรือชี้แนะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม แสดงว่าเรามีอัตตาไม่ยอมรับความจริง มันจะทำให้มีปัญญาดับไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ อีกอย่างก็เป็นการเพ่งโทษเพื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้มีวิบากร้าย และการที่เราไม่ยอมพูดคุยกับเพื่อนให้เข้าใจเก็บกิเลสความไม่พอใจนั้นไว้ไม่สามารถล้างออกได้ พอบ่อยครั้งเข้าความไม่พอใจจะยิ่งพอกทวีขึ้นทุกวัน กลายเป็นความบาดหมาง สุดท้ายก็ต้องเลิกคบกันไปในที่สุด ต่อไปหากมีอะไรที่ขัดแย้งเห็นต่างก็ต้องพูดคุยกันทั้งงานนอก และงานใน ล้างใจกันไปให้เร็วที่สุด จากการพูดคุยกับพี่น้องหมู่กลุ่มทำให้ข้าพเจ้าเกิดปัญญาเห็นกิเลสเห็นอัตตาของตัวเองละเอียดมากขึ้น ข้าพเจ้ากราบขอโทษขออภัยตนเองที่ได้ทำผิดศีล เบียดเบียนตนเอง กราบขอโทษขออภัยเพื่อนของข้าพเจ้าที่ไปเพ่งโทษท่านโดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าได้รับวิบากร้ายในครั้งนี้คือปัญญาทึบทำให้ทำงานไม่สำเร็จทั้งงานนอกและงานใน ข้าพเจ้าขอตั้งศีลว่าจะระมัดระวังไม่เบียดเบียนตนเองด้วยการทุกข์ใจ จะพยายามเจริญสติให้รู้ทันความคิดลบ แล้วรีบล้างให้เร็ว และหากมีความเห็นแย้งกับพี่น้องจะพูดคุยกับทันทีที่โอกาส กราบสาธุค่ะ
การบ้าน PS ep3
ข้าพเจ้าทำการบ้าน PS ทำรูปภาพประกอบคำคมซึ่งมีเวลาไม่นานในการทำงาน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่มีไอเดียในการทำงานคิดไม่ออกว่าจะทำในรูปแบบไหน ทดลองทำแบบนั้น แบบนี้ก็ยังไม่ใช่ ไม่สวยอยู่ดี ถึงแม้วันนั้นมีจะมีเพื่อนในกลุ่มของข้าเจ้าท่านหนึ่งมาช่วยในการออกไอเดีย ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าทำงานไม่รื่นไหล ใช้เวลานานเป็นชั่วโมงในการทำ 1 คำคม พอยิ่งใช้เวลานานก็เห็นความรู้สึกใจร้อนของตัวเองอยากให้งานเสร็จไวๆ พอใจร้อนก็ยิ่งคิดไม่ออก ในที่สุดก็ต้องเลิกทำแยกย้ายกันไป
ทุกข์ : ใจร้อนอยากให้งานเสร็จเร็วๆ
สมุทัย : อยากให้งานเสร็จไวๆ ชังที่งานเสร็จช้า ชอบที่งานเสร็จไว
นิโรธ : งานจะเสร็จไว เสร็จช้า หรือไม่เสร็จเลยก็เป็นสุขใจได้
มรรค : ตั้งสติเห็นความใจร้อน ผิดศีล เบียดเบียนตนเอง พิจราณาธรรมะที่ได้เรียนมาว่า งานนอกจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับกุศลและอกุศลของเราและของหมู่กลุ่ม ณ เวลานั้นที่จะออกฤทธิ์จัดสรรทุกอย่าง เราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไร จะไปเอาเป็นเอาตายอะไรกับงานนอก เราจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เป็นไรปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิบากกรรมเมื่อเราทำเต็มที่แล้ว ยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ไม่วิวาทหรือทำร้ายตนเองด้วยความใจร้อน ท่านอาจารย์หมอเขียวได้บรรยายธรรมไว้เมื่อวันที่ 631030 ว่า ใจร้อน แปลว่า โลภ โลภอยากได้มากกว่าที่ได้ตามความเป็นจริง เราต้องยินดีเท่าที่ได้ ตามกุศล และอกุศลของเรา ณ เวลานั้น จึงจะเป็นสุขได้ ครั้งนี้ขณะเจอผัสสะถึงแม้จะเห็นความใจร้อนแต่ไม่สามารถล้างได้ ลูกขอสำนึกผิด ขอโทษขออโหสิกรรมต่อตนเอง และจะน้อมนำคำสอนของท่านอาจารย์มาเป็นกรรมฐานในการพากเพียรล้างกิเลสต่อไป กราบสาธุค่ะ
เหนื่อยกับการเทปูน
เทปูนทางเดินในพื้นที่บ้าน วันหนึ่ง ๆ ก็เทไปได้ประมาณ 2 เมตร จะกำลังดี ถ้า 3 เมตรจะเริ่มหนัก ๆ เมื่อย ๆ แต่เมื่อวานนี้ 2 เมตรเหมือนเดิมแต่รู้สึกว่าหนัก ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะนอนดึกด้วย จึงทำให้รู้สึกเหนื่อยใจกับการเทปูนขึ้นมา
ทุกข์ : ความเหนื่อยใจท้อแท้ใจ
สมุทัย : ไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องทำ และต้องทำให้เสร็จภายในวันนั้นวันนี้ ฝันไกลเกินความจริงแล้วดันมาเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ยังไปได้วันละนิดวันละหน่อย สรุป ยึด + โลภ
นิโรธ : จะเสร็จเมื่อไหร่ก็ได้ เทปูนเนี่ย มันกำหนดเสร็จไม่ได้ แต่กำหนดใจจะง่ายกว่า มันเสร็จไวเท่าที่ทำใจได้
มรรค : ทำไปตรวจใจไป พอใจในระยะการเทในปัจจุบัน ได้วันละนิดละหน่อยสะสมไป วันละ 2 เมตร นี่ก็ทำมาไกลแล้ว เหลืออีกไกลแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เพราะเราจะพากเพียรทำไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จของงานคือทุก ๆ ตารางเมตรที่สำเร็จไป ความสำเร็จของใจคือทุก ๆ วินาทีที่ใจผาสุก ถ้าเบาใจ งานปูนจะเบาไปด้วย ถ้าหนักใจ งานปูนจะยิ่งหนักมากขึ้น เราก็ฉลาดเลือกงานเบาสิ จะไปทำแบบหนัก ๆ ทำไม ก็เอาใจที่เบาสบายเป็นอยู่ผาสุกไปทำงาน งานจะได้ไม่หนัก…ใจ
เหม็นกลิ่นคาวเนื้อ
วันนี้ทำงานที่ไฮท์แคร์ยูนิต เขาเปิดทีวีรายการแข่งขันย่างบาบีคิวเนื้อชิ้นใหญ่ๆเราเห็นแล้วรู้สึกสลดใจเลยไม่ดู พอถึงตอนเวลาป้อนอาหารในอาหารก็มีเนื้อสัตว์อยู่ด้วยซึ่งก็มีอยู่เป็นประจำ แต่ทำไมวันนี้กลิ่นมันเหม็นคาวแรงจัง ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์คงจะดี ไม่อยากป้อนอาหารเลย เห็นใจที่ทุกข์ขึ้นมาเพราะยังมีความชิงชังรังเกียจในเนื้อสัตว์ ใจที่ไม่แช่มชื่นยินดี นี่เรากำลังสร้างวิบากใหม่สร้างเงื่อนไขให้ใจเป็นทุกข์ แต่ก่อนเราก็เคยอาศัยสิ่งเหล่านี้มา จนกระทั้งเราได้มาพบสัตบุรุษเราจึงรู้สัจจะธรรม จึงเลิกออกมาได้แต่พี่น้องเหล่านี้ท่านไม่รู้ท่านยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ เราควรมีความเมตตาและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด พอคิดอย่างนี้ใจก็คลาย แล้วเราก็หน้าที่ป้อนอาหารด้วยใจที่ยินดี
ทุกข์ เหม็นกลิ่นคาวเนื้อในอาหาร
สมุทัย อยากให้อาหารไม่มีเนื้อสัตว์จะชอบใจสุขใจ ถ้ามีเนื้อสัตว์ในอาหารจะไม่ชอบใจทุกข์ใจ
นิโรธ ในอาหารจะมีหรือไม่มีเนื้อสัตว์ก็ได้ เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เราควรทำหน้าที่ของเราด้วยใจที่ยินดี
มรรค พิจารณาเรื่องกรรมว่าแต่ก่อนเราก็เป็นเช่นนั้น เคยกินมา เคยอาศัยมา เคยส่งเสริมมา จนเราได้มาพบสัตบุรุษได้ฟังสัจจะธรรมจึงเข้าใจและเลิกมาได้ เราไม่ควรไปชิงชังรังเกียจเข้าใจความจริงว่าท่านเหล่านี้ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ เราควรมีความเมตตาปราถนาดีแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เรามีหน้าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่วิบากดีร้ายของเราและคนที่เกี่ยวข้องจะให้เป็นไปได้ ณ เวลานั้น ในวันนั้นตัวเองเลือกป้อนอาหารในส่วนที่เป็นผักก่อนแต่ท่านคงจะหิวในที่สุดก็ป้อนทุกอย่างที่มีอยู่ในจานด้วยใจที่เบิกบานยินดี ยินดีที่เราได้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ว
ชื่อเรื่อง : ไข่เจียวฮ้อม หอม
เนื้อเรื่อง : ตอนเช้าหลานบอกว่า น้าเจียวไข่ให้หน่อยนะ เราก็ไปเจียวไข่ให้หลาน หยิบไข่มากระเทาะเปลือกออกตีไข่ใส่ซีอิ้วขาว ทุบกระเทียมนิดหน่อย ตั้งกะทะเทน้ำมันใส่เปิดไฟ แล้วนำกระเทียมลงไปเจียวพอเหลืองแล้วใส่ไข่ลงไป เสียงไข่โดนน้ำมันร้อนๆซ่าๆ ไข่เจียวเริ่มมีกลิ่นหอมของไข่ที่สุกผสมกับกลิ่นกระเทียมเจียวมันฮ้อม หอม หอมมากๆ เห็นอาการของจิตที่จากเดิมลงมือเจียวไข่ไม่มีอาการอะไรเลยปกติธรรมดาๆ แต่พอไข่ที่ปรุงสุกแล้วทำไมมันหอมๆๆมากๆเลย เป็นผัสสะกระทบเป็นปัจจุบัน มีอาการอยากกินไข่เจียวขึ้นมาเลยทันที มันดิ้นอยู่ข้างใน เรางี้ยิ้มเลยว่า เฮ้ยมันยังมีอาการทางใจอยู่นี่ จากที่เราตั้งใจที่จะเลิกกินไข่ ทั้งกาย วาจา และใจ ตอนนี้ทางกายเราไม่กินแต่ยังมีสัมผัสทำให้คนในครอบครัวอยู่ วาจาก็พูดไม่กิน แต่ตอนนี้ทางใจมันอยากกิน อยากเสพอยู่เลย ขอบคุณมากๆนะหลานที่ให้น้าเจียวไข่ให้และทำให้น้าได้เห็นว่าน้ายังมีอาการทางใจในการอยากเสพใข่เจียวอยู่เลย และยังให้น้าต้องพากเพียรฝึกฝนที่จะเลิกกินไข่เจียวให้ได้ทั้งกายวาจาใจ ซึ่งมันก็ดับไปเมื่อเราระลึกถึงศีลที่ตั้งไว้ และทำให้ศีลเราบริสุทธิ์ขึ้นไปทีละนิดๆ จึงไม่ส่งผลให้เราลงมือหยิบไข่เจียวใส่ปาก สิ่งสำคัญคือเรามีปัญญาเร็วขึ้นจับอาการของกิเลส(ตัวอยากกินไข่เจียว) ในใจเราได้ และจัดการดับมันได้ด้วยศีลที่ตั้งไว้ด้วยใจที่เป็นสุข เกิดอาการเบาโล่ง โปร่ง สบายบรรยากาศรอบๆข้างหลานกินไข่เจียวอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าเราก็ไม่มีอาการอยากกินตามหลานเลย ในใจเรากลับสงบว่างโล่งเลย ณ เวลานั้น
ทุกข์ : เห็นอาการทางใจยังมีความอยากกินไข่เจียว
สมุทัย : มีผัสสะเป็นปัจจุบัน ตาเห็นไข่เจียวสีเหลืองสวยน่ากิน กลิ่นไข่เจียวผสมกับกลิ่นกระเทียมมาการะทบจมูกห้อมหอม
นิโรธ : เห็นอาการดับของกิเลส (ความอยากกินไข่เจียว)เมื่อระลึกถึงศีลที่ตั้งไว้แล้วเกิดอาการเบา โล่ง โปร่ง และภายในใจสงบว่างจากความอยากกินไข่เจียว แม้เห็นหลานกินให้เห็นต่อหน้าก็ไม่กระเทือนเลย
มรรค : การตั้งจิตที่จะเลิกกินไข่ด้วยกายวาจาใจ นั้นมีผลทำให้เรามีหิริโอตัปปะ และเกิดปัญญาเห็นว่า เรายังมีอาการอยากกินไข่เจียวทางใจอยู่เลย และกำจัดอาการอยากกินด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ของกิเลสว่ามันไม่เที่ยง มันลดลงได้ มันเป็นทุกข์เมื่อเราไม่ได้เสพ แต่มันก็ไม่มีตัวตนของการอยากกินไข่เจียวเมื่อระลึกถึงศีลที่ตั้งไว้ ทำให้เราไม่ลงมือทำการหยิบไข่เจียวใส่ปากเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่ดี และนีเป็นการทำบุญอย่างถูกต้องเป็นปัจจุบันขณะ ดับกิเลสได้ด้วยใจที่ตั้งมั่นเกิดความโล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่างจากกิเลสตัวนี้ได้ ขอบพระคุณค่ะ สาธุ
มั่นคงในศีลดีกว่า
ข้าพเจ้าตั้งศีลงดกินเห็ดและจะไม่เก็บเห็ด ปฏิบัติมาได้ประมาณหกเดือน ช่วงเดือนปลายตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายนที่เยอรมนีแถบภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ จะมีเห็ดชนิดหนึ่งออก ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเก็บและเคยชอบกิน ประมาณสี่ห้าวันที่ผ่านมาข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีเห็ดชนิดนี้เกิดขึ้นในสวนข้าพเจ้าสองกลุ่ม ซึ่งเห็ดชนิดนี้เขาจะออกเป็นกลุ่มๆ และวันนี้(3/11/2563)เขาโตขึ้นดอกกำลังบาน เห็นความหวั่นไหวเล็กๆเกิดขึ้น ว่า” หรือเราจะลาศีลเก็บและนำมาประกอบอาหารกิน” เห็นความคิดของกิเลสกับพุทธะสู้กัน “เก็บ ไม่เก็บ ,กินไม่กิน จิตพุทธะก็ตะโกนในใจว่า”ไม่ได้เก็บและไม่ได้กินก็ได้ตายหรอก” ” มั่นคงในศีลดีกว่า”
ทุกข์ : หวั่นไหว เล็กๆ ที่ตัวเองจะลาศีลเพื่อเก็บและกินเห็ดที่เกิดในสวน
สมุทัย : ไม่อยากผิดศีล ชอบที่ตัวเองจะมั่นคงในศีล ชังที่ตัวเองจะลาศีล
นิโรธ : ตั้งมั่นในศีลด้วยใจที่เบิกบาน ไม่ตีตัวเองซ้ำแม้ใจจะหวั่นไหวไปบ้างก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : สงบใจพิจารณาประโยชน์และโทษของเห็ด”ความจริง เราก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า เห็ดมีประโยชน์น้อยเป็นโปรตีนชั้นเลว มีเพียงรสอร่อยที่เราหลงไปติดเท่านั้นเอง สาระจริงๆไม่มี(หมาหอบแดด) และนี่เราก็ปฏิบัติศีลอยู่ ให้กำลังใจตัวเองดีกว่า จงมั่นคงในศีลดีกว่า ระลึกถึงคำสอนท่านพ่อครู “อย่าผิดศีลเพราะเห็นแก่กิน” ใจเราก็สะดุ้ง และก็น้อมจิตตามว่า ใช่ๆเราไม่ได้เก็บและไม่ได้กินเห็ดก็ไม่ตายหรอก เห็ดเขาก็เกิดขึ้นของเขาตามธรรมชาติ ก็เป็น”เรื่องเห็ด”ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย แต่ใจเรานั้นไปปรุงแต่งเอง เอาใจเข้าไเกาะเกี่ยวเองเป็นทุกข์เอง พิจารณาอย่างซ้ำๆประมาณหนึ่งชั่วโมงใจก็คลายความอยากที่จะลาศีลเพื่อเก็บและกินเห็ดลงได้90%และได้คุยสภาวะกับพี่น้องหมู่กลุ่มพลังศีล พี่น้องบอกว่าถ้าไม่กินก็ไม่ต้องเก็บหรอกเสียเวลามาล้างกิเลสอีก ใจข้าพเจ้าก็น้อมตาม และได้ระลึกถึงคำสอนท่านอาจารย์หมอเขียว “ขี้ล้างแล้ว ก็โง่เอาขี้มาใหม่ ล้างแล้วล้างล้างอีกไม่เด็ดขาด” เราจึงตัดใจเด็ดขาดทำตามคำสอนนี้ ไม่เก็บและไม่กิน ปล่อยให้เป็นเรื่องของเห็ดที่จะเกิดในสวนหรือเกิดนอกสวนก็จะไม่เก็บและไม่กิน เห็นใจตัวเองคลายลงกลับมาตั้งมั่นในศีลด้วยใจที่เบิกบาน 100%ภายในสามชั่วโมง
กราบขอบพระคุณพี่น้องหมู่กลุ่มพลังศีลที่ชี้แนะและเตือนสติค่ะ สาธุ
คิดไปเอง
วันนี้ไปทำงาน มีภาพหน้ากากอนามัยทำเครื่องหมายกากบาท. ติดไว้ที่หน้าประตูบ้านเจ้านาย ก็รู้สึกสงสัยว่า
เจ้านายติดไว้บอกเราหรือเปล่า และก็คิดไปว่า ทำไมไม่บอกเราตรงๆ แต่ก็ทำงานไปและก็บอกกับตัวเองว่าทำตามนะคๅะแต่ขอใส่หน้ากากเวลาทำความสะอาดห้องน้ำนะคะ เพราะแพ้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด
ความคิดหนึ่งก็นึกกังวลว่าเจ้านายจะเห็นเพราะที่บ้านเจ้านายมีกล้อง แต่ก็พร้อมที่จะอธิบาย มีฟุ้งไปอีกถ้าเจ้านายไม่อนุญาตก็พร้อมที่จะลาออก
ทำงานไปจนถึงสามชั่วโมงกว่าๆ ได้ยินเจ้านายเข้าบ้านมาและทักทาย ข้าพเจ้าก็เดินมาหาและถามเจ้านายว่าฉันเห็นคุณติดรูปไว้ เพื่อบอกฉันใช่ไหมคะ เจ้านายก็ร้อง “อ้อ… ไม่ใช่สำหรับเธอ ฉันติดไว้สำหรับคนที่มาส่งของหรือติดต่อกับสามีฉัน ฉันขอโทษ ที่ไม่ได้บอกเธอ สำหรับเธอไม่เป็นไรเพราะเราคบคุ้นกัน ” พอคุยกับเจ้านายเสร็จก็รู้สึกโล่งใจ รู้สึกผิดที่เราคิดไปเอง
ทุกข์ : ไม่พอใจที่เจ้านาย ทำไมไม่บอกเราตรงๆ
สมุทัย : สงสัยว่าทำไมเจ้านายไม่บอกเราตรงๆ
ชอบที่เจ้านายจะบอกตรงๆ
ไม่ชอบที่เจ้านายไม่บอกตรงๆ
นิโรธ : วางใจ เบิกบานใจได้ แม้เจ้านายจะบอกเราตรงๆหรือไม่บอกก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เราก็ปฏิบัติตาม แต่ขอใส่หน้ากากในห้องน้ำ แต่ตอนนั้นเห็นใจตัวเองคลายลง70% ทำงานไปสามชั่วโมงจนเจ้านายกลับบ้าน ก็ได้ถามเจ้านายพอได้ยินเจ้านายตอบก็รู้สึกโล่งใจและคลายทุกข์ได้100% ระลึกนึกถึงบทธรรม สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่เหมือนที่เราเห็น
สรุปสภาวะครั้งนี้ใจคลายได้เพราะ ได้คุยกับเจ้านายตรงๆซึ่งไม่ได้ตรงกับนิโรธที่ตั้งไว้
ได้นำเรื่องนี้มาคุยกับพี่น้องหมู่กลุ่ม พี่น้องได้ชี้ให้เห็นว่า ข้าพเจ้าได้มีการเพ่งโทษเจ้านายด้วย
ข้าพเจ้าจึงได้สำนึก ขอโทษ ขออภัย ขออโหสิกรรมเจ้านายทันทีที่พี่น้องแนะนำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ สอนให้ข้าพเจ้าจะสำรวมในการระมัดระวัง ในการเพ่งโทษผู้อื่น ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องหมู่กลุ่มที่ช่วยชี้แนะสาธุค่ะ
ขอบคุณเหตุการครั้งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้า จะเพียรพยายามในการเจริญสติ เพิ่มศีล ให้เพิ่มยิ่งๆขึ้นไป ในการที่มีเหตุการณ์หรือผัสสะเกิดขึ้นจะได้มีสติปัญญาได้ทันไม่หลงไปตามกิเลส เผื่อที่จะไม่ให้เกิดวิบากกรรมเพิ่ม กราบสาธุค่ะ
แกไขใหม่คะ ชื่อผิด
คิดไปเอง
วันนี้ไปทำงาน มีภาพหน้ากากอนามัยทำเครื่องหมายกากบาท. ติดไว้ที่หน้าประตูบ้านเจ้านาย ก็รู้สึกสงสัยว่า
เจ้านายติดไว้บอกเราหรือเปล่า และก็คิดไปว่า ทำไมไม่บอกเราตรงๆ แต่ก็ทำงานไปและก็บอกกับตัวเองว่าทำตามนะคๅะแต่ขอใส่หน้ากากเวลาทำความสะอาดห้องน้ำนะคะ เพราะแพ้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด
ความคิดหนึ่งก็นึกกังวลว่าเจ้านายจะเห็นเพราะที่บ้านเจ้านายมีกล้อง แต่ก็พร้อมที่จะอธิบาย มีฟุ้งไปอีกถ้าเจ้านายไม่อนุญาตก็พร้อมที่จะลาออก
ทำงานไปจนถึงสามชั่วโมงกว่าๆ ได้ยินเจ้านายเข้าบ้านมาและทักทาย ข้าพเจ้าก็เดินมาหาและถามเจ้านายว่าฉันเห็นคุณติดรูปไว้ เพื่อบอกฉันใช่ไหมคะ เจ้านายก็ร้อง “อ้อ… ไม่ใช่สำหรับเธอ ฉันติดไว้สำหรับคนที่มาส่งของหรือติดต่อกับสามีฉัน ฉันขอโทษ ที่ไม่ได้บอกเธอ สำหรับเธอไม่เป็นไรเพราะเราคบคุ้นกัน ” พอคุยกับเจ้านายเสร็จก็รู้สึกโล่งใจ รู้สึกผิดที่เราคิดไปเอง
ทุกข์ : ไม่พอใจที่เจ้านาย ทำไมไม่บอกเราตรงๆ
สมุทัย : สงสัยว่าทำไมเจ้านายไม่บอกเราตรงๆ
ชอบที่เจ้านายจะบอกตรงๆ
ไม่ชอบที่เจ้านายไม่บอกตรงๆ
นิโรธ : วางใจ เบิกบานใจได้ แม้เจ้านายจะบอกเราตรงๆหรือไม่บอกก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : เราก็ปฏิบัติตาม แต่ขอใส่หน้ากากในห้องน้ำ แต่ตอนนั้นเห็นใจตัวเองคลายลง70% ทำงานไปสามชั่วโมงจนเจ้านายกลับบ้าน ก็ได้ถามเจ้านายพอได้ยินเจ้านายตอบก็รู้สึกโล่งใจและคลายทุกข์ได้100% ระลึกนึกถึงบทธรรม สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่เหมือนที่เราเห็น
สรุปสภาวะครั้งนี้ใจคลายได้เพราะ ได้คุยกับเจ้านายตรงๆซึ่งไม่ได้ตรงกับนิโรธที่ตั้งไว้
ได้นำเรื่องนี้มาคุยกับพี่น้องหมู่กลุ่ม พี่น้องได้ชี้ให้เห็นว่า ข้าพเจ้าได้มีการเพ่งโทษเจ้านายด้วย
ข้าพเจ้าจึงได้สำนึก ขอโทษ ขออภัย ขออโหสิกรรมเจ้านายทันทีที่พี่น้องแนะนำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ สอนให้ข้าพเจ้าจะสำรวมในการระมัดระวัง ในการเพ่งโทษผู้อื่น ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องหมู่กลุ่มที่ช่วยชี้แนะสาธุค่ะ
ขอบคุณเหตุการครั้งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้า จะเพียรพยายามในการเจริญสติ เพิ่มศีล ให้เพิ่มยิ่งๆขึ้นไป ในการที่มีเหตุการณ์หรือผัสสะเกิดขึ้นจะได้มีสติปัญญาได้ทันไม่หลงไปตามกิเลส เผื่อที่จะไม่ให้เกิดวิบากกรรมเพิ่ม กราบสาธุค่ะ
วุ้นตาเสื่อม
เนื่องจากเป็นวุ้นตาเสื่อมมาประมาณ 3ปี มีเส้นดำๆลอยไปลอยมา ไปหาหมอตาไม่ได้รักษาแต่อย่างไร แต่แนะนำว่าถ้ามีปัญหาเหมือนฟ้าแลบให้รีบไปพบ แสดงว่าเส้นที่ลอยไปมาไปเกาะที่กระจกตา อาจทำให้ตาบอดได้ ก็ใช้น้ำฉี่สกัด และน้ำสกัดย่านางหยอดตามาเรื่อยๆ
ก่อนขึ้นไปภูผาฟ้าน้ำ 1อาทิตย์มีอาการฟ้าแลบที่ตาด้านขวามีอาการตลอดเวลา ได้ไปรักษากับหมอเฉพาะทางบอกเป็นวุ้นตาเสื่อมไม่ได้ให้ยารักษา และไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาล หมอแจ้งว่าวุ้นตาเสื่อมตามสภาพให้ยามาหยอดตา เช้า เย็น
ทุกข์ กังวลที่เป็นวุ้นตาเสื่อม
สมุทัย ถ้าตาไม่เป็นโรควุ้นตาเสื่อมจะสุขใจ แต่ถ้าเป็นโรควุ้นตาเสื่อมจะทุกข์ใจ
นิโรธ จะเป็นโรควุ้นตาเสื่อมหรือไม่เป็นโรควุ้นตาเสื่อมก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค สิ่งที่เราได้รับทุกสิ่งทุกอย่างเราทำมาทั้งนั้น ชอบใช้สายตาอ่านหนังสือในที่ๆมีแสงน้อย ใช้สายตาเล่นโทรศัพท์ที่เสี่ยงต่อแสง ชอบกินผลไม้รสหวานที่ทำให้มีน้ำตาลเยอะ เมื่อเป็นโรควุ้นตาเสื่อมก็ยอมรับด้วยความสุขใจว่า เราดูแลร่างกายเราไม่ดีพอ ยอมรับด้วยใจที่เป็นสุข รับแล้วก็หมดไปแล้วจะโชคดีขึ้น จะกลัวจะกังวลว่าตาจะบอดทำไม ถ้าจะตาบอดก็ยอมรับว่าเรายังทำดียังไม่มากพอ ตาบอดข้างหนึ่งก็ยังมีอีกข้างหนึ่ง ตาบอดก็ยังมีหูที่ยังมีโอกาสฟังธรรมะของอาจารย์ ของพ่อครูอยู่ ยังบำเพ็ญได้อยู่ ยังไม่ตายเสียหน่อยจะกลัวไปทำไม หลังจากคุยกับกิเลสจนเขายอมแล้วก็สุขใจ สบายใจขึ้นไปบำเพ็ญได้อย่างสุขใจ 2รอบๆละ20กว่าวัน ยาหยอดตาของรพ.ไม่ได้ใช้แต่ใช้ยา 9เม็ดของท่านอาจารย์หมอเขียว โดยเฉพาะเม็ดที่ 8 ที่ 9
เมื่อวันที่ 4 พย 63 ได้ไปพบหมอตามนัด หมอบอกว่าดีขึ้นมาก ไม่มีรูรั่วจากกระจกตา เป็นวุ้นตาเสื่อมปกติ อาการฟ้าแลบบางวันไม่เกิดขึ้น และนัดห่างไปอีก 3 เดือน รับประทานอาหารสูตร 1 กินผลไม้ลดลง ตั้งศีลลดน้ำตาลลง อาการดีขึ้นเรื่อยๆคะ
ชื่อเรื่อง — ง่วงบ้างก็ได้ แต่อย่าโง่ไปทุกข์กับความง่วงเลย
เรื่องย่อ — เพื่อให้มีเวลาสำหรับสะสางงานที่คั่งค้างเพิ่มขึ้น ช่วงนี้ผมจึงนอนดึกกว่าปกตินิดหน่อย คือเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่ยังตื่นเช้าเหมือนเดิม คือประมาณตีสาม ผลก็คือพอถึงช่วงสายหรือบ่ายจะง่วง บางครั้งก็นั่งสัปหงกหน้าคอมพิวเตอร์เลย
ทุกข์ — เวลานั่งสัปหงกหน้าคอมพิวเตอร์จะรู้สึกไม่แช่มชื่น ไม่พอใจที่ตัวเองมีอาการง่วงเหงาหาวนอน
สมุทัย — มีความยึดมั่นถือมั่นว่าเราต้องไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน ถ้ารู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน กระปรี้กระเปร่าได้ตลอดวันจะสุขใจ ถ้ามีอาการง่วงเหงาหาวนอนระหว่างวันจะทุกข์ใจ
นิโรธ — ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ถ้าแช่มชื่นเบิกบานได้ทั้งวันก็ดี ก็อาศัยพลังนั้นทำประโยชน์ไป แต่ถ้ามีอาการง่วงเหงาหาวนอนก็ยอมรับได้ เข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงง่วง โดยไม่ทุกข์ใจ
มรรค — พิจารณาตัณหา หรือความอยากแบบยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องได้ความรู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน กระปรี้กระเปร่าเท่านั้นจึงจะสุขใจ ถ้าไม่ได้อย่างนั้นแล้วจะทุกข์ใจ ความคิดแบบนี้มันเป็นความคิดของกิเลส คิดแต่จะเอาสิ่งดี ๆ อย่างเดียว พอไม่ได้สมใจมันก็ทุกข์เท่านั้นเอง ต้องเปลี่ยนจิตมาคิดแบบพุทธะให้ได้ว่า ถ้าวันไหนได้ความกระปรี้กระเปร่า มีพลังในการทำงานก็ดี ก็ได้อาศัยทำประโยชน์ไป แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ความกระปรี้กระเปร่า แรงตก ง่วงเหงาหาวนอนเพราะนอนไม่พอ ก็ยอมรับความจริงตามความเป็นจริงได้ ก็หาวิธีแก้ง่วงไป หรือถ้าพยายามแก้แล้วไม่สำเร็จ ยังง่วงอยู่ ก็ยอมรับแล้วไปนอนซะ แค่นั้นเอง จะมามัวทุกข์อยู่ทำไม
เรื่อง อยากรู้ว่ากินอะไร?
น้องที่ทำงาน ปกติทุกเที่ยงจะคอยมาชะโงกดูปิ่นโตว่าเรากินอะไร มีอะไรบ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์เนี่ย คืออะไร ทำแบบนี้เกือบทุกวัน จนกระทั่งวันนี้ ก็มีอาการไหวๆที่ใจ แต่ทำเป็นหัวเราะและโชว์ปิ่นโตให้น้องดู จับอาการได้ว่ามี ตัวไรๆ บางๆ พอตอนกินข้าวเสร็จ เลยตัดสินใจ ให้น้องคนนั้น ชิมอาหารแบบนี้ไปเลย น้องบอกว่า น้ำพริกหนุ่ม รสดี อร่อย ส่วนผัดน้ำ จืด แบบทำหน้าเบ้เลย
ทุกข์ หงุดหงิดรำคาญใจ ทำไมต้องมาถาม มาดูว่าเรากินอะไร ทำเหมือนเราแตกต่างจากคนอื่น ทำเหมือนเราเป็นตัวประหลาด
สมุทัย อยากให้เขาเข้าใจเรา ให้ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ยอมรับว่าอาหารเราไม่ได้แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร
นิโรธ เขาจะมาดูหรือไม่ ก็ไม่ทุกข์ใจ เขาจะเข้าใจเราหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ใช้บททบทวนธรรม ยอมให้คนเข้าใจผิดให้ได้ และพิจารณาว่าการที่น้องเขามาดู แสดงว่าเขาสนใจ ดีนะ แสดงว่าเราเหนี่ยวนำให้เขาสนใจสิ่งดีๆ สนใจอาหารมังสวิรัติ เพราะน้องเขาพื้นฐานกินรสจัด ชอบกินเนื้อสัตว์ ถ้าเขาสนใจ แสดงว่าใช้ได้เลย และก็จริงน้องคนนี้ เชื่อเรามากเวลาบอกอะไรก็สนใจทำตามบ้างบางครั้ง
อริยสัจ 4
เรื่อง พื้นที่ไม่พอในการบันทึกข้อมูล
เช้าวันอังคารที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้อัดคลิป
” เปิดใจ 50 ปีทองของท่านพ่อครูงานมหาปวารณาออนไลน์” เพื่อบูชาพระคุณของท่านพ่อครู ข้าพเจ้าไม่ได้อัดรายการร่วมกับพี่น้องกลู่มใหญ่เพราะเวลาไม่สะดวก จึงต้องอัดคลิปคนเดียว ” โอ้…โฮ้ ดีใจจังอีดคลิปเพียง 4 นาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แถมอัดรอบเดียวอีกต่างหาก”
อาการลิงโลดของกิเลสค่ะ จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ส่ง วีดีโอนี้ให้พี่น้องกลุ่มพลังศีลได้ฟังเพื่อร่วมกันวิพากษ์ก่อนที่จะส่งต่อไปยังกลุ่มผาสุกในแดนไกลต่อไป หลังจากพี่น้องฟังแล้วทุกท่านก็ลงความเห็นว่า ข้าพเจ้าสามารถส่งต่อไปได้เลย ข้าพเจ้าก็ส่งเข้าไป หมือนกับว่างานของข้าพเจ้าได้บรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว ตกมาช่วงบ่ายวันเดียวกันมีพี่น้องส่งข้อความมาในไลน์ว่า ” พี่พรค่ะวีดีโอพี่พร เปิดดูได้เพียงสิบวินาทีเองค่ะ” เลยเข้าไปดู ก็เป็นเหมือนพี่น้องว่าจริง ๆ ข้าพเจ้าพยายามแก้ไข เพื่อจะกู้วีดีโอให้คืนมาเป็นปกติ แต่ก็ไม่สำเร็จ ลองอัดวีดีโอ อีกประมาณ 5 รอบก็ยังบันทึกไม่ได้ โชคดีไปเห็นข้อความบนหน้าจอมือถึอบอกว่า ” พื้นที่ในการบันทึกข้อมูลไม่พอ” จึงพยายามจะลบข้อมูลออก ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร สภาวะ ณ เวลานั้น บอกตัวเองว่าถ้ายังไม่ได้อีก จะตัดรอบแล้วฟ้าคงไม่เปิดให้เราได้ร่วมบำเพ็ญเพื่อบูชาท่านพ่อครูแน่ ๆ ก็ไม่เป็นไร ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าวิธีแก้ไขการลบข้อมูลในมือถึอว่าทำได้อย่างไร และพอวางใจได้เท่านั้นนะค่ะ วีดีโอที่ กำลังบันทึกอยู่ก็ เด้งขึ้นมา เสร็จเรียบร้อยพอดีเลยค่ะ และได้ส่งคลิปนี้ให้พี่น้องเราได้ทันเวลา
ทุกข์ : ตกใจเมื่อเห็นข้อความพี่น้องในไลน์บอกว่า ” พี่พรค่ะ วีดีโอเปิดดูได้เพียงสิบวินาทีเองค่ะ”
สมุทัย : อยากให้วีดีโอส่งไปได้โดยสมบูรณ์ครบถ้วนไม่มีปัญหา ไม่ชอบที่วีดีโอส่งไปไม่ได้มีปัญหา
นิโรธ : คลิปวีดีโอจะส่งไปได้โดยสมบูรณ์ หรือไม่สมบูรณ์ก็จะสุขใจได้
มรรค : หลังจากได้พยามเต็มที่แล้ว เลยวางใจนึกไปถึงคำพูดของท่านอาจารย์ว่า ” เกิดปัญหาอะไรกับเราให้เราดับทุกข์ใจให้ได้เสียก่อน ส่วนทุกข์อื่นก็เป็นปัญหาแค่ฝุ่นปลายเล็บเท่านั้นเอง” เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นประสบการณ์และบทเรียน สอนให้ข้าพเจ้าให้ได้รู้ว่า การที่ข้าพเจ้า วางใจกับเหตุการณ์นี้ได้จริง ๆ ไม่เบียดเบียนตนเอง ตัดรอบในการทำงาน ไม่ยึดมั่นถึอมั่นว่าเราคือคนสำคัญ ทำเต็มที่แล้วก็วางไม่ยึดมั่นถึอมั่นว่างานต้องสำเร็จ และยอมรับวิบากกรรมที่เราได้รับ เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับข้าพเจ้าแล้วค่ะ กราบขอบพระคุณ ท่านพ่อครู ท่านอาจารย์หมอเขียวและพี่น้องทุกท่านที่ ได้ให้โจทย์การบ้านแก่ข้าพเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าขอให้คะแนนตัวเองต่อโจทย์ครั้งนี้ 10 คะแนะเต็มค่ะ สาธุ
เรื่อง นักรบพ่อลูกอ่อน
ตอนที่ 1 ถอดห่วงได้เป็นสุขของเรา
พ่ออายุ 47 ปี ลูก 2 ล้านอีก 1 เมียตายทุกข์:(ความไม่สบายกายไม่สบายใจ) ห่วงความรู้สึกของลูกที่ขาดแม่ ก่อนที่มีแม่อยู่เขาสนิทกับแม่มากได้อ้อนแม่ต่างๆได้เข้าใจสมใจจากแม่มาก
สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) ความติดยึดสิ่งที่รักไม่อยาก ให้คนที่เรารักมีทุกข์
นิโรธ(สภาพดับทุกข์)ดูแลตามหน้าที่ได้ดีแล้วก็สุขสุดแล้วพอแล้ว
มรรค (ทางดับทุกข์) ลูกก็มีวิบากของลูก เราก็มีวิบากของเรา ต่างทำมาก็รับกันไป รับก็ดีแล้ววิบากจะได้ลดไป เราจะห่วงให้ตายทุกข์ให้ตายลูกก็ต้องรับวิบากของเขาอยู่ดี เราจะโง่เอาเรื่องหลอกๆของมารมาแบกตัวกูลูกของกูไปถึงไหน จริงๆของกูไม่มี ได้ทำหน้าที่ใช้กรรมได้สร้างบารมี ได้เข้าใจเรื่องกรรมก็โชคดีมากแล้วก็สุขพอแล้ว สาธุ
ชื่อเรื่อง ทุกข์ใจแมลงกินผัก
เนื้อเรื่อง ปลูกผักต้นเล็กๆแมลงจะกัดกิน ทำให้ต้องกางมุ้งให้ผัก และทำให้ผักไม่ได้รับแสงแดดเต็มที่ โตช้า
ทุกข์ เห็นยอดผักหายไปตกใจตัวอะไรมากินผักแลัว!!!!
สมุทัย ชอบที่ผักงามแมลงไม่กิน ชังที่ผักไม่งามและมีแมลงมากัดกินทำให้พืชผักเสียหาย
นิโรธ ไม่ชอบชังผักจะงามก็ได้ ไม่งามก็ได้
มรรค ไตรลักษณ์ทุกอย่างเกิดขี้น ตั้งอยู่ดับไป ครั้งนี้แมลงกินผัก ครั้งต่อไปอาจจะฝนตกไส่ก็เสียหายได้ ยึดอะไรไม่ได้ ในพื้นที่สวนป่านาบุญ4มีของกินอีกมากมาย ทำไมเราไม่ฝึกกินผักที่ขี้นเอง กินเอาธาตุอาหารไปเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ถ้าเราไม่ยึดติดที่รสชาติของผักชนิดต่างๆ
ชื่อเรื่อง โลภอยากได้งานเยอะๆ
เนื้อเรื่อง เกลียดชัง.ตนเองที่ทำงานได้น้อย นี่ขนาดไม่มีใครมาทำงานด้วย กิเลสยังดิ้นขนาดนี้ เราทำไมโลภ โกรธ หลงเยอะจัง
ทุกข์ เหนื่อยใจกับความโลภของตนเอง
สมุทัย ชอบที่ทำงานได้ดั่งใจตนเอง ชังตนเองที่ทำงานช้า
นิโรธ จะทำงานได้มากได้น้อยก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ก็เรามีแรงกาย แรงใจ แรงปัญญาแค่นี้เข้าใจเรื่องกรรม เราก็มาฝึกกินน้อยใช้น้อยและไม่ได้ขี้เกียจ ต้องแบ่งเวลามาทำงานในจับกิเลส ตัวใจร้อนจะเอาแต่ใจ นี่ขนาดทำงานคนเดียวยังไม่ได้ดั่งใจเลย กิเลสวิ่งนำหน้าเราตลอด ตรงกับทบทวนธรรม แย่ๆๆ ซวยแน่เราเอาแต่ใจ ต้องขอบคุณหมู่มิตรที่ทำให้เห็นกิเลสได้องค์ประกอบดีๆล้างกิเลสได้ประมาณ2%ถึงแม้จะได้น้อยก็ถูกแล้วเพราะกิเลสล้างได้ยาก
6 พฤศจิกายน 2563
ชื่อเรื่อง ยึดก็ได้วางก็ได้สบายใจจริง
เนื้อเรื่องย่อ ฟังคลิปท่านอาจารย์หมอเขียวที่ข้าพเจ้าและพี่น้องหมู่กลุ่มเมตตาช่วยหามาให้ หลายคลิป เพื่อจะหาคำคม แต่ฟังเท่าไหร่ๆก็ยังหาไม่ได้ พอคิดว่าน่าจะใช่ เขียนจดไว้แล้วก็หาบทสรุปไม่ลงเพราะใจยึดมั่นถือมั่นต้องหาให้ได้ ยิ่งมีความอยากได้ยิ่งไม่ได้ ทำให้สมองเบลอคิดไม่ออก จึงพักก่อนและถามใจตัวนี่เราจะมาเอาอะไรมันใช่เหรอมาเอาเป็นเอาตายกับการหา และจะลดอัตตาตัวเองและบอกกับหมุ่กลุ่มได้มั้ยว่าเราหาไม่ได้ อัตตาตัวยึดดี ต่อสู้ไม่ยอม พักพอแล้วก็กลับไปหาใหม่ ทำแบบนั้นอยู่สองรอบ ใจจึง”ยอมวางจริงๆ”เขียนบอกพี่น้องหมุ่กลุ่มว่าเรา หาไม่ได้ พอเขียนบอก พี่น้อง สมองโล่งใจก็เบาสบาย
เขกกบาลตัวเอง หลงโง่แบกทุกข์อยู่หลายชั่วโมง .
ทุกข์: เพราะ ขัดเคืองใจที่ไม่ปล่อย ไม่วาง
สมุทัย:ยึดดี แล้ววางดีไม่ได้ ชอบ-ที่จะหาคำคมได้ ไม่ชอบที่จะหาคำคมไม่ได้
นิโรธ: วางใจ เบิกบานใจ แม้จะหาได้หรือหาไม่ได้ก็ไม่ทุกข์
มรรค: พิจารณา ถามใจตัวเองนี่เราจะมาเอาอะไร หมกหมุ่นแต่เรื่องงาน จนลืมดูใจเราเลย.
ขอโทษขออภัยตัวเองที่เบียดเบียนตัวเอง .
ระลึกถึงคำของท่านคุรุบอกตั้งแต่แรกแล้ว การเรียนไม่ได้เน้นงาน งานเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หลักสำคัญคือพี่น้องหมู่กลุ่มสานพลังรวมใจและช่วยกันขัดเกลากิเลสซึ่งกันและกัน
และท่านอาจารย์หมอเขียว ก็เทศน์ อยู่บ่อยๆยิ่งยึดยิ่งไม่ได้ อยากได้ต้องไม่ยึด ยึดทำให้ใจเป็นทุกข์
ไม่ยึดทำให้ใจเป็นสุข ข้าพเจ้าคิดได้หลังจากรับวิบากหลาย ช.ม พอวางความยึดดีได้ใจก็คลายเบา สบาย สมองโล่ง.(แต่ก็ดีแล้วเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม) กราบขอบคุณความทุกข์
กราบสาธุธรรมค่ะ
เจริญธรรมสำนึกดีค่ะ
##บอกตัวเองใครได้ประโยชน์ เราทำเพื่อใคร ประโยชน์ผู้อื่นแม้มากแต่พรากประโยชน์ตนอย่าลืม
ใครแบกทุกข์อยู่ก็โง่อยู่ เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม##
เรื่อง ไก่เขี่ยแปลงผัก
ได้ทำแปลงผักเตรียมดินพร้อมปลูก ยกร่อง 4ร่อง
มีไก่มาเขี่ยทำลายร่องแปลงจนเละเทะ
ทุกข์ ขุ่นใจ
สมุทัย เรายึดมั่นถือมั่นว่าแปลงผักต้องสมบูรณ์สวยงามดี เรา
จะสบายใจ แต่มีไก่มาเขี่ยแปลงผักจนเละ เราจึง
ขุ่นใจ
นิโรธ ไก่จะเขี่ยหรือไม่เขี่ย เราก็สบายใจไม่ขุ่นใจ
มรรค สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา วิบากร้ายของเราไป
ดลใจไก่ให้มาเขี่ยแปลงผักของเรา เมื่อเรารับแล้วก็
หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น แล้วเราจะขุ่นใจไปทำไม
เราก็หาวิธีป้องกันไก่ไม่ให้มาเขี่ยแปลงผัก โดยเราหา
ตาข่ายมากั้นและยกแปลงผักใหม่ เราก็ได้แปลงผักที่
ดีสมบูรณ์และได้กินผักตามใจหมาย
ชื่อเรื่อง พูดไร้สาระ
เนื้อเรื่อง พอมาฟังธรรมะก็พอจะรู้บ้าง แต่หลงตัวรู้มากยังปฏิบัติไม่ได้มากก็เลยฟุ้งซ่าน อยากบอกคนอื่นๆ แต่ทำยังไม่ได้จริง ก็จะหลงภาษาจำมาพูดแต่ก็ทุกข์ใจอยู่นะ ตอนนั้นหมู่ก็บอกแต่ผมไม่เข้าใจ เพราะประสพความสำเร็จทางโลกมา พอมาอยู่ทางธรรมะ ไม่เหมือนกันกับทางโลก เรามาอยู่ใหม่ๆก็ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวทำให้ติดพูดเยอะ หรือสภาพหลงตัวเอง
ทุกข์ อยากออกจากการพูดไม่เป็นประโยชน์เร็วๆ
สมุทัย ไม่ชอบไม่ชังเพราะทำมาเยอะก็ต้องยอมรับความจริงต้องโดนแน่ๆในสิ่งที่เคยพูด เคยทำแต่ใจไม่ทุกข์
มรรค เราพูดเยอะเพราะคิดว่าจะได้ช่วยคนให้พ้นทุกข์เร็วๆ พอมาพิจารณาดูเราผิดแล้ว หลงไปตั้งนานเข้าใจกรรมและผลของกรรมมากขึ้น ตอนนี้ฝึกถามหมู่ก่อน จะพูดอะไร เพราะการพูดเยอะคือแก่งแย่งเวลาคนอื่นบางคนเขามีงานด่วนสำคัญกว่า เอาเวลาที่เสียไปกับคำพูดไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ทำให้ผัสสะน้อยลง แต่ยังทำได้ไม่มากประมาณ4%จากเดิม100% ตอนนี้ต้องรับกรรมที่ทำมาเยอะ ยิ้มรับคำพูดทั้งแรงทั้งเบาได้บ้างเพราะบททบทวนธรรมเห็นอตีดตัวเองเหมือนที่เราเคยทำมา เข็ดหลาบ มันทุกข์เหลือเกิน ยอมแล้ว ยอมแพ้หมู่ โดยการให้โอกาสตนเองไม่ทำผิดอีก ที่ผมทำได้เพราะมีหมู่มิตรดีและองค์ประกอบดีของหมู่ที่ให้โอกาส ให้เวลาผม7ปีด้วยการพิงเชือกอยู่กับหมู่
นิโรธ ไม่ชอบไม่ชังดูเป็นเรื่องๆว่าเรื่องใหนควรพูดก็จะพูดให้น้อยเท่าที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ตามกาละและโอกาส
เรื่อง ไร้สาระจริงๆ
ระหว่างสัปดาห์นี้ได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลคนในหมู่ในวงสนทนาใหญ่พอควร(ขณะรอพิธีกรรม)ช่วงแรกๆคุยกันครื้นเครงดีถามทุกข์สุขแก่กันและกันพอสมาชิกเพิ่มขึ้น ความรู้สึกอึดอัดเริ่มเกิดขึ้นในใจเพราะแต่ละคนคุยกันแต่เรื่องที่ไม่มีสาระประโยชน์อะไรเลย(ตามความเห็นตัวเอง)มีแต่เสริมกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง อบายมุขและผิดศีลทั้งนั้นรวมถึงเรื่องลามก ไสรยศาตร์ทุกเรื่องไม่ได้พากันพ้นทุกข์แม้แต่น้อย
ทุกข์:อึดอัดใจ ที่ได้ยินคนในวงสนทนาคุยกันเรื่องไม่มีสาระ
สมุทัย:มีความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเราว่า เขาพูดเรื่องดี มีสาระ เราจะชอบใจ แต่เขาพูดกันไม่ดี ไม่มีสาระ จึงอึดอัดใจ
นิโรธ:เขาจะพูดเรื่องดี มีสาระ ไม่ผิดศีลหรือไม่ เราก็ไม่อึดอัดใจ
มรรค:ในขณะที่เรารู้สึกอึดอัดใจ มีจิตดีแทรกขึ้นมาว่า อ้าว นี่เรากำลังจะเอาดีจากคนอื่นแล้วนะ อยากได้ยินคำพูดดีๆมีสาระไม่ผิดศีลจากเขา ในเมื่อเราไม่สามารถแก้ที่เขาได้ หันมาแก้ที่เราดีกว่า เอาประโยชน์จากวงสนทนามาล้างความยึดมั่นถือมั่นให้ได้ดั่งใจเราดีกว่า ในที่สุดก็อยู่ในวงสนทนาได้ด้วยความผาสุก ได้สอดคล้องกับบททบทวนธรรมที่ว่า”การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจเรา เป็นเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส คือ ความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา”
เรื่อง “กินเกิน..จึงทุกข์”
เรื่องย่อ กินอาหารหลักในมื้ออิ่มพอดีแล้ว แต่ใจอยากกินขนมปังไส้เผือกเพิ่มอีก หลังจากที่ได้ต่อสู้กันระหว่างกิน-ไม่กินๆๆๆ นานถึงครึ่งขั่วโมง ในที่สุดก็กินขนมปัง หลังจากกินเสร็จ จึงเกิดทุกข์ทันที คือรู้สึกหนักเนื้อ หนักตัว และง่วงนอนมากๆ
ทุกข์ : หนักเนื้อ หนักตัว และง่วงนอนมาก
สมุทัย : กินอาหาร อิ่มแล้ว แต่อยากกินขนมปังไส้เผือก เป็นการกินเกินจึงทุกข์ มีอาการหนักเนื้อหนักตัวและง่วงนอนมาก
นิโรธ : วางใจว่า “ง่วงก็นอน จะได้พักผ่อน” สบายใจดี
มรรค : ใช้ปัญญา พิจารณาหาสาเหตุแห่งทุกข์ว่า ที่ง่วงนอนมาก ร่างกายหนักเนื้อหนักตัว เพราะใจเราแพ้กิเลส ตัว “อยาก” กิเลสได้ดั่งใจ คือ กินขนมปังสมใจอยากของกิเลส แต่ใจที่บริสุทธิ์ของเราแพ้ จึงทุกข์ วางใจว่า ครั้งนี้แพ้กิเลสแล้ว ยอมรับความจริง ไม่ซ้ำเติมตัวเอง ให้อภัยตัวเอง อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ทั้งขนมปังและเผือกมีฤทธิ์ร้อน แล้วเราเอาทากินตอนที่ร่างกายอิ่มแล้ว จึงเกิดทุกข์ขึ้น มีอาการดังกล่าว ดังนั้นจึง “รับผิด-ยอมรับผิด” รับแล้วจะได้หมดไป รู้แล้วว่าแพ้กิเลส ทุกข์อย่างไรบ้าง ต่อไปควรต้องเพิ่มอธิศีลเรื่อง “การกิน” การประมาณในการบริโภค” ให้สูงขึ้นๆตามลำดับ
การต่อสู้กับกิเลสเรื่อง “กามการกิน”(ซึ่งมีหลายตัวมาก) ต้องใช้เวลา ให้เป็นไปตามฐานของตัวเอง แบบไม่ต้องกดข่ม แต่ต้องใข้ความเพียร ฝึนฝน ชนะบ้างแพ้บ้าง ก็ไม่เป็นไร “การแพ้กิลส” จะทำให้ธรรมะเจริญขึ้น
ถกเถียงการเมือง
ดูรายการทีวีนำฝ่ายม็อบและฝ่ายเห็นต่างมาดีเบตกัน ซึ่งรายการก็ดูจะเอนเอียงไปทางม็อบเล็กน้อย ชงคำถามให้เข้าทางม็อบ ฝ่ายม็อบก็เตรียมตัวมาดีตอบคำถามดี มีข้อมูลดีระดับนึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อมูลจริง มีลีลาล่อหลอกฝ่ายตรงข้าม ส่วนฝ่ายต่อต้านก็มาด้วยความรักสถาบันกษัตริย์ รักชาติ รักบ้านเมือง ก็จะออกไปทางยึดมากไปนิดนึง บางทีก็มีอาการหลุด ๆ ไปตามที่เขายั่วมา คุมอารมณ์ไม่อยู่ เลยไปเข้าทางฝ่ายม็อบ สรุปการมาดีเบตกันก็มาเถียงกันไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ว่าเหตุผลตัวเองดี คนเชียร์ฝ่ายไหนก็จะว่าฝ่ายตนเองพูดดี ชนะ พร้อมลดค่าฝ่ายตรงข้าม เหยียดหยาม
ทุกข์ : อยากให้การพูดคุยเกิดประโยชน์มากกว่านี้
สมุทัย : มีความคาดหวังว่าการที่เขามาดีเบตจะได้ข้อมูลที่จริง และช่วยให้คนหมู่มากเห็นความจริง ความถูกต้อง
นิโรธ : ความจริงมีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องศึกษา ต้องใช้เวลาพิสูจน์เอา เราจะได้ความจริงแค่ไหนก็ได้ ไม่ได้ในเวลานี้ก็ได้ ประโยชน์เกิดขึ้นตามจริงของแต่ละคนที่จะได้รับ ไปเร่งให้เกิดเร็วหรือช้าไม่ได้ ทำใจให้สบายดีกว่าใครจะพูดกันรู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่ใช่เรื่องของเรา
มรรค : พิจารณาถึงสัจจะมีหนึ่งเดียว คนที่มาเถียงกันที่มีข้อมูลต่างกันย่อมไม่จบง่าย ๆ เถียงกันไปยิ่งทุกข์ อารมณ์ยิ่งขึ้น คนดูไปมีอารมณ์ร่วมอีกเอนเอียงไปเข้าข้างอีกไปกันใหญ่ ยึดมากก็ทุกข์มาก ในเมื่อความจริงมีอยู่ก็ศึกษากันไป ดูกันไปทางไหนถูกก็จะไม่ทุกข์ ทางไหนผิดก็ทุกข์ ไม่ต้องไปห่วงคนอื่นหรอก หากเขาเลือกผิดไปเชื่อฝ่ายผิดวันใดวันหนึ่งเขาทุกข์เขาก็จะเริ่มคิดทบทวนเอง เราดูที่ตัวเองเองดีกว่า ไม่ต้องไปอยากให้เกิดดีอะไร ไม่เร่งให้เกิดดีเร็ว ๆ ทุกคนมีวิบากร้ายไล่ล่าตลอดเวลา เมื่อเสพกิเลสมาก ๆ เอาแต่ใจมาก ๆ พอไม่ได้อย่างใจต้องการก็ต้องทุกข์เป็นธรรดา
จากเหตุการณ์นี้ก็ล้างใจได้ดูเขาดีเบตกันเป็นการศึกษาไปดูลีลาของกิเลสว่าเราขึ้นไหม พิจารณาแล้วใจก็ผาสุกดี ไม่มีทุกข์
การบ้านอริยสัจ (ตอนที่ 13/2563) โดย นางจงกช-ป้าย่านาง (รหัส นศ 5911001010)
เรื่อง : กลัวการติดเชื้อของโควิท 19
เนื้อเรื่อง : เนื่องจากต้องลงจากภูผาฟ้าน้ำเพื่อไปตรวจฟันที่กรุงเทพฯ ตามที่คุณหมอนัดเพื่อตรวจก่อนทำรากฟัน ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟที่มีผู้โดยสารหลากหลายปะปนอยู่ด้วย จึงต้องสัญญากับตัวเองและหมู่กลุ่มว่าจะสรวมผ้าปิดจมูกทุกครั้งขณะอยู่ในที่สาธารณะ
ทุกข์ : กลัวการติดเชื้อของโรคโควิท จากที่ต้องไปอยู่ในที่สาธารณะนอกค่าย
สมุทัย : รู้สึกกังวลและอึดอัดเวลาต้องสรวมผ้าปิดจมูก
นิโรธ : เมื่อสรวมผ้าปิดจมูกซึ่งเป็นการป้องกันการติดเชื้อที่ควรทำแล้ว จะติดหรือไม่ติดโควิท ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
มรรค : เมื่อเรามีทิฐิรู้ว่าความไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ดี เมื่อคิดดีแล้วก็ลงมือปฏิบัติด้วยเพื่อประโยชน์ต่อตัวเราเองและเพื่อความสบายใจของเพื่อนๆหากเราจะต้องกลับขึ้นมาใช้ชีวิตร่วมกับหมู่อีกครั้ง หมู่จะได้ไม่กังวล หรือแม้ผู้ร่วมทางภายนอกได้เห็นเราสรวมผ้าปิดจมูก เขาจะรู้สึกปลอดภัยไปด้วย เราทำด้วยความสบายใจ ก็ไม่มีอะไรต้องทุกข์ อาจมีความอึดอัดเนื่องจากตอนอยู่ค่ายเราไม่ได้สรวมบ่อยและนาน หากมีโอกาสที่อยู่ห่างไกลผู้คน อยู่ในที่ๆอากาศดีหน่อย ก็เปิดผ้าออกในบางครั้งเพื่อตักตวงอ๊อกซิเจนเข้าปอดด้วยการฝึกลมหายใจบ้าง ร่างกายเราก็จะมีปัญหาน้อย ยิ่งถ้าเราทำด้วยความไม่กังวล ไม่ทุกข์ เซลล์ก็จะปรับสมดุลให้เราได้เอง
ผลของการล้างความกลัวด้วยความไม่ประมาท มาเอาประโยชน์ที่ดีกว่า ก็ทำให้ใจสบายขึ้นค่ะ
เรื่อง : ลูกชายพูดจาไม่เพราะ
เนื้อเรื่อง : ลูกชายอายุ 16 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ปกติเขาจะเล่นเกมบ่อยมาก ติดโทรศัพท์มาก พ่อเขาก็สรรหามาให้ครบครันทั้งโน๊ตบุ๊ค (ตอนนี้ใช้เครื่องที่ 3 ละ) ทั้งโทรศัพท์มือถือ (ไม่นับแล้วว่าตอนนี้ใช้เป็นเครื่องที่เท่าไหร่) ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกชายออกจากบ้านไปเถลไถลที่ไหน ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ลูกชายไม่ออกไปไหนเลย อยู่ในห้องนอนทั้งวันคืน ออกมาเฉพาะเวลาไปโรงเรียน หาอะไรทานในครัว และเข้าห้องน้ำเท่านั้นจริง ๆ หากเราต้องการจะขอให้เขาช่วยทำอะไร ต้องไปเคาะประตูและเขาตอบรับเท่านั้นจึงจะเข้าห้องเขาได้และคุยกับได้ หากเราไม่สะดวกอยู่ไกลห้องเขา แล้วตะโกนคุยหรือบอกให้ช่วยทำอะไร เขาจะไม่ขานรับและไม่ออกมาหาเลย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เรามีเรื่องต้องถามแม่ของเราสักเรื่องนึง และแม่ก็อยู่ในสวนข้างบ้าน (ติดกับห้องนอนลูกชาย) ด้วยความรีบเราจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องของลูกชาย เพื่อจะไปคุยกับแม่ผ่านหน้าต่างห้องเขา มีอาการแว๊บนึงขึ้นมาว่า ลืมเคาะประตู ต้องโดนต่อว่าแน่ ๆ แต่มือก็ไปไวกว่าความคิด…และแล้วก็เป็นไปตามคาด ลูกชายลุกจากที่นอนมาตะคอกใส่เราเลยว่า “แม่ เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู” เสียงดังมากทั้งกิริยาที่แสดงออกมาว่าโกรธมาก ๆ …ตอนนั้นเราสตั้น นิ่งสนิท สบตาเขาแล้วปากก็บอกออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นเยือกว่า แม่ขอโทษครับ…แล้วหันหลังเดินออกมาจากห้อง ออกมานั่งที่เก้าอี้สงบจิตใจ (ยืนต่อไม่ไหว ตัวร้อนวูบ ๆ)
ทุกข์ : – ชังที่ลูกชายคะคอกใส่ และทำกริยาที่ไม่เหมาะสม
สมุทัย : ยึดว่าลูกชายต้องพูดดี ๆ เพราะ ๆ กับเราสิ เราเป็นแม่นะ เราเป็นผู้มีพระคุณกับเขานะ
นิโรธ : ลูกชายจะพูดกับเราดี หรือไม่ดี เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : สิ่งที่ลูกชายเราทำ มันเป็นเพราะเราเลี้ยงดูเขามาแบบนั้น เราสอนเขาเองนะว่าเวลาจะเข้าห้องใครหรือทำอะไรกับสิ่งของที่มีคนเป็นเจ้าของ เราต้องขออนุญาต หรือบอกให้เจ้าของเขาทราบก่อน…นี่ไง คือผลของการที่เราไม่ทำตามที่เราเคยพูด เคยสอน เคยบอกเขา อีกอย่างจิตของเราก็มาเตือนเราแล้วนะ ว่าจะต้องโดนแน่ ๆ ถ้าไม่เคาะประตู ด้วยความที่เราใจร้อน อยากคุยกับแม่ อยากถามแม่ให้ได้ดังใจเรา เป็นไงล่ะ…รู้หรือยังใครผิดใครถูกงานนี้ (โล่งเลย)…แต่กิเลสอีกตัวก็ผล่มาถามว่า อ้าวแล้วจะสอนลูกยังไงว่าไม่พอใจอะไรใครควรพูดดี ๆ ไม่ควรตะคอกหรือทำกิริยาที่แสดงความโกรธขนาดนั้น นี่ขนาดแม่ตัวเองยังทำได้ กับคนอื่น ๆ จะไม่ทำมากกว่านี้เหรอ เขาจะว่าลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ลูกรักเราแต่เป็นลูกชังเขา (ฟุ้งไปไกล)…พิจารณาต่อว่า เอ๋า กรรมของลูกชายไง เขาทำอะไรเดี๋ยวเขาก็ได้อย่างนั้น เหมือนกับเราตอนนี้ไง ไปทำแบบนี้กับคนอื่นมาไง จำได้ไหมเมื่อก่อนที่ทำกับลูกน้องที่ทำงาน แบบนี้เลยกี่ครั้งกี่คนแล้ว…เออใช่ จำได้แล้ว เตรียมตัวเตรียมใจเลยเราไม่ใช่ครั้งเดียวนี่หรอกนะ…คิดแล้วก็ยิ้มคนเดียวต่อไป..
ตรวจใจให้ดี
ขณะที่ตรวจการบ้านวิชชาราม พอถึงการบ้านตัวเอง เพื่อนบอกว่า “โอ๋ส่งการบ้านผิดเพราะลอกเนื้อหากับสภาวะมาจากการบ้านอีกหัวข้อหนึ่งแล้วไม่ได้เปลี่ยน” พอตรวจการบ้านเสร็จเพื่อนก็ถามอีกว่า “มีอะไรไหม ทำไม่ดูดรอป ๆ ไป (ไม่สดชื่นเต็มที่เหมือนปกติ)” เราก็ตอบไปว่า “มีนิดหนึ่ง” ตอนนั้นที่กำลังตรวจการบ้านนักศึกษาเราก็ตรวจใจตัวเองไปด้วยว่าเราทำทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ทั้งส่วนของการเขียนและสภาวะ ก็ยอมรับในความผิดพลาดนี้และรู้สาเหตุว่าเพราะอยากส่งการบ้านให้ทันเวลาจึงไม่ได้อ่านทวนซ้ำให้ดี
ทุกข์ : ไม่สดชื่น ไม่สบายใจ
สมุทัย : อยากทำการบ้านให้ดี
นิโรธ : ทำการบ้านออกมาดีหรือไม่ดีก็ได้ เราก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค : การอยากทำการบ้านให้ดีนั้นดีแล้ว แต่ความผิดพลาดและความพร่องก็เกิดขึ้นได้เสมอ หากเราพยายามพากเพียรทำให้ดีที่สุดแล้วก็วางใจได้แล้ว ผลออกมาอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าหากเรารู้ว่ายังพากเพียรไม่เต็มที่มากพอก็พยายามต่อไปอีกให้เต็มที่มากขึ้น ใส่ใจมากขึ้น หมั่นทบทวนให้มากขึ้นทั้งการเขียนและสภาวะ พิจารณาข้อดีและประโยชน์ของการส่งการบ้านที่ช่วยให้ได้ทบทวนสภาวะตัวเอง ได้บำเพ็ญถ่ายทอดสภาวะในการจับกิเลสและวิธีฆ่ากิเลสตามลำดับเท่าที่จะเป็นไปได้ พอพิจารณาแบบนี้ก็คลายจากความไม่สดชื่น ทำให้สบายใจ และมีพลังทำดีต่อไป
เรื่อง: ไม่ชอบเข้าเรียนสาย
เนื้อเรื่อง:ที่ทำงานบางแห่ง การมาสายเป็นเรื่องผิดมาก โดยเฉพาะเวลาประชุม บางครั้งต้องออกกฎปรับเงินกันเลยทีเดียว ถ้าการประชุมนั้นมีผู้มาสายสักคนจะทำให้บรรยากาศการทำงานร่วมกันดูตึงเครียดไปเลย
พฤหัสที่ผ่านมา เรามีนัดหมายเข้าห้องเรียน การทำภาพประกอบสาระธรรม คำคมเพชรจากใจเพชรผ่านทางออนไลน์กัน แต่เราติดภารกิจที่ต้องไปรับลูกหลังเลิกเรียนในตอนเย็น เวลาเลิกรู้แน่นอน แต่เวลาเลิกเรียนจริง ๆ มักเลยเวลาเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับวันนี้เราลืมกระเป๋าใส่สายชาร์จและแบตฯสำรองมา แบตมือถือมีเหลือน้อยด้วย ปกติถ้าวันไหนลูกเลิกช้า ระหว่างรอ เราสามารถเข้าร่วมชั้นเรียนผ่านมือถือได้ พอถึงบ้านก็มาใช้คอมฯแทน เพราะต้องแชร์ภาพประกอบของกลุ่มเพื่อนำเสนอ
ทุกข์: รู้สึกเกรงใจเพื่อน ในกลุ่มสาระธรรม ไม่ชอบการมาสายของตนเอง
สมุทัย: มีสัญญาเดิมที่เคยมีประสบการณ์ตอนทำงานมาก่อนแต่ยังไม่เคยเห็นว่าเป็นกิเลส แต่รู้ว่าไม่ชอบสภาพการมาสายแบบนี้ เมื่อมาศึกษาธรรมและได้รู้จักว่ามันเป็นกิเลสชอบชังที่นอนเนื่องอยู่ในใจเรา ยึดมั่นว่าต้องมาให้ทันเวลา เป็นการให้เกียรติเพื่อน ๆ เป็นโลกธรรม และดูใจที่ทุกข์ขณะเกิดผัสสะมากระทบ
นิโรธ: เราจะได้เข้าห้องเรียนช้า หรือ เร็ว หรือไม่ได้เข้าเลยก็ไม่ทุกข์ใจ ไม่ชอบไม่ชังได้ ใจผาสุกได้ ยอมรับสภาพที่เกิดด้วยใจผาสุก เห็นโลกธรรมที่เป็นความหลงว่าเรายึดความมีตัวมีตน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ต้องยกไว้ว่าไม่เที่ยง สิ่งที่เที่ยง คือ ความไม่มีตัวมีตน โลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นนิตย์
มรรค: อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเห็นความจริงตามความเป็นจริง และยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ ว่าเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราคงเคยเบียดเบียนเวลาท่านใดมา เราจึงได้รับสภาพแบบนี้ โชคดีอีกแล้ว ได้รับวิบากที่เราพลาดทำมา รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น การอยู่กับปัจจุบัน ที่อยู่ตรงหน้าด้วยการทำใจในใจไม่กังวล จะได้เข้าห้องเรียนเร็ว เข้าช้า หรือไม่ได้เข้าเรียนเลย ก็ไม่เป็นไร ใจก็ผาสุกได้ หมู่มิตรดีที่มาร่วมทำกิจกรรมบนเส้นทางเดียวกัน แต่ละท่าน ล้วนเข้าใจได้ ตามธรรมที่ท่านมีอยู่แล้ว ไม่มีใคร ไม่อยาก พัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เจริญ ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นหรอก การทำใจในปัจจุบันขณะให้ผาสุกได้ เป็นความเจริญของเรา ไม่ใช่การไปฝืดฝืน ไปโทษใครหรือแม้แต่โทษตัวเราเอง การไม่ยอมรับความจริง คือ การไม่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่ม แจ้ง ใจที่กังวล เป็นการเบียดเบียนตนเอง เป็นการผิดศีล การผิดศีลย่อมนำมาความทุกข์ทั้งปวงมาให้ ในส่วนที่เราเข้าไปหลงว่าต้องให้เกียรติเพื่อน ๆ ก็เป็นความหลงผิด เป็นความยึดติด ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ยังหลงเหลือ เมื่อเข้าใจชัด ใจก็สบาย และผาสุกได้ การเข้าห้องเรียนไม่ทัน ก็ยังมีท่านที่เอาภาระบันทึกไว้ลงข้อมูลซ้ำ ไปติดตามดูภายหลังได้ คิดได้ดังนี้ ความกังวลก็หายไป และมาเข้าห้องเรียนทันเวลาที่เป็นไปได้ ที่กลุ่มเรานำเสนองานกลุ่มสุดท้ายพอดี
เรื่อง:ขนมบัวลอย
เนื้อเรื่อง:ขณะเดินออกกำลังกายหน้าบ้าน เห็นน้าพ่อบ้านถือถุงขนมบัวลอยมีรูปร่างเป็นก้อนกลมสีม่วงลอยอยู่ในน้ำกะทิ แว๊บหนึ่งรู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที อาการที่กำลังสดชื่นเบิกบานแจ่มใสในการออกกำลังหายไป เริ่มไม่มีสมาธิเกิดความกลัว
ทุกข์:กลัวไม่ได้กินขนมบัวลอย
สมุทัย:(เหตุแห่งทุกข์)อยากกินขนมบัวลอย
นิโรธ:(สภาพดับทุกข์)จะได้กินขนมบัวลอยหรือไม่ได้กินก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค(วิธีปฏิบัติ)1.พิจารณาความไม่เที่ยงของความอยากกินขนมบัวลอยว่า ต่อให้ไปกินก็อร่อยแว๊บเดียวความอร่อยก็หายไป เราเคยกินมาไม่รู้กี่ทีแล้วความอร่อยเก็บไม่ได้เลย เดี๋ยวก็อยาก เดี๋ยวก็เบื่อ มันไม่เที่ยงนะ ความอร่อยไม่มีจริง ต่อให้มีก็เก็บไม่ได้ ไปบ้าๆบอๆกับความไม่เที่ยงทำไม สุขที่เก็บไม่ได้กับสุขที่เก็บได้ เราจะเอาอะไร เอาสุขที่เก็บได้ดีกว่า คือ สุขจากการไม่กินขนมบัวลอยสุขกว่า
2.พิจารณาความเป็นทุกข์ต่อไปว่า มันไม่ใช่สุขนะถึงแม้ว่าสุขก็จริงแต่สุขเพียงแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หมด ติดกิเลสมันคือทุกข์ มันไม่ใช่สุขเวลาเราอยากก็ไม่สบายใจ พอได้กินสมใจก็ลดลงชั่วคราวหลงว่าเป็นสุข แล้วสุขนั้นก็สลายไป แล้วก็อยากใหม่อีก สร้างทุกข์ลดทุกข์ ทุกข์ใหญ่ขึ้น ลดลงนิดนึง ทุกข์ใหญ่ขึ้น แต่ละครั้งที่กินก็ยังมีวิบาก30% อยากมากๆ ก็ทำไม่ดีได้ทุกเรื่องเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นทำไม่ดีอีก เป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตามคนอื่นก็ต้องทุกข์กายทุกข์ใจเป็นวิบากร้าย เดินออกกำลังกายและพิจารณาไปด้วยซ้ำๆไปซ้ำมาหลายรอบจนความอยากกินขนมบัวลอยหายไป รู้สึกแปลกใจว่ามันง่ายอย่างนี้เหรอ
ชื่อเรื่อง : ติดดี
เรื่องย่อ : วันพฤหัสบดี ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา ได้ออกให้บริการตรวจรักษาจ่ายยาผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในชุมชน ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ปรากฎว่า ผู้ป่วยตรวจวัดความดัน เจาะหาระดับน้ำตาลในเลือดเสร็จแล้วก็เดินทางกลับ โดยไม่รอรับยา ซึ่งปกติต้องรอพบหมอ (พยาบาล) ก่อน เพื่อแจ้งผลการตรวจและพูดคุย รวมทั้งทำกิจกรรมเช่น การทบทวนธรรม การทำมาร์ชชิ่ง การรับประทานอาหารที่เราเตรียมมา (ข้าวหุงแพทย์วิถีธรรม) ซึ่งเราตั้งใจลุกขึ้นมาเตรียมตั้งแต่เช้า ทำไมรอไม่ได้ กินยามาหลายปี อาการของโรคที่แค่ทรงกับทรุด เรามีทางเลือกมาให้ทำไมไม่เอา อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้ามาเตรียมอาหาร
ทุกข์ : อยากให้คนไข้รอทำกิจกรรมกับเราก่อน เพราะเราตั้งใจที่จะดูแลตามแนวทางที่เราคิดว่าดี
สมุทัย : ชอบที่จะให้คนไข้อยู่ร่วมกิจกรรมเราจะได้ดูแลเขาดั่งที่ตั้งใจ ถ้าเขาไม่อยู่ก็จะไม่ชอบ ไม่พอใจ
นิโรธ : ผู้ป่วยจะอยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้
มรรค : ใช้บททบทวนธรรม “การกระทำเดียวกันมีเหตุผลในการกระทำกว่าล้าน เหตุผล” สอบถาม อสม.แล้ว พบว่าผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีภาระที่ต้องไปเกี่ยวข้าว ก็เลยไม่อยู่ร่วมกิจกรรม เรานี่โง่เนาะ ยังไม่รู้ ยังไม่ถามอะไรก็ทุกข์ไปก่อน สุดท้ายก็เลยโล่ง นั่งยิ้มไป จ่ายยาคุยกับคนไข้ที่อยู่รอรับยาไป
จะยึดให้ทุกข์ทำไม
เนื่องจากการทำงานกลุ่มห้องสาระธรรมหมวดการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่พี่น้องต่างช่วยกันส่งคำคมเข้ามากันหลายๆคำแล้ว และคำคมที่ส่งเข้ามาโดนใจพี่น้องทุกคำ และมั่นใจและไว้ใจในตัวคนทำ พี่น้องก็เลยมีมติว่า ให้ผู้ทำรูปเลือกคำคมและรูปเองได้เลย และพี่น้องก็แจ้งว่าเจอกันในห้องเรียนทีเดียว …
ทุกข์ : ขัดใจเบาๆ อยากให้หมู่มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มมากกว่านี้
สมุทัย : ยึดว่างานกลุ่ม ก็ควรจะมีบรรยากาศของการทำงานร่วมกันของหมู่ให้มากกว่านี้
นิโรธ : การที่หมู่แต่ละท่านต่างก็มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มได้อย่างเต็มที่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากบางครั้งไม่สามารถเป็นได้ ด้วยเหตุปัจจัยใด ๆ ก็แล้วแต่ เราก็ไม่ควรทุกข์ใจ
มรรค: คือพอหาเหตุแห่ทุกข์เจอ ว่ากำลังยึดอยู่ ก็สลายตัวความยึดนั้นได้ทันทีเลย… ก็วางใจต่อว่า หมู่จะมีส่วนร่วมมากก็ได้มีส่วนร่วมน้อยก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละรอบแต่ละครั้งสิ เราก็ทำหน้าที่เราไปให้ดีที่สุดสุดเท่าที่เป็นไปได้จริงก็พอแล้ว จะไปยึดให้ทุกข์ทำไมล่ะ
สรุปก็คือใจคลายจากความยึดนั้นได้ทันที หายทุกข์ทันทีเลยเมื่อรู้ว่ากำลังยึดอยู่
ชื่อเรื่อง อยากฟังธรรมะเรื่องใหม่ๆ
เนื้อเรื่อง ช่วงนี้ฟังธรรมะ ฟังแต่เรื่องเก่าๆ ใจก็ยึดอยากติดตามธรรมะหัวข้อใหม่ ก็สงสัยฟังเรื่องเก่าแต่ได้สภาวะธรรมใหม่ หลงใจร้อนอยู่ตั้งหลายปี
ทุกข์ เพราะยึด เพราะยากรู้ธรรมะมากๆ
สมุทัย การฟังธรรมะมากดีชอบมากๆ ชังที่ได้ฟังธรรมะน้อย
นิโรธ จะได้ฟังธรรมะมากก็ดีเอาประโยชน์ให้ได้ ฟังธรรมะน้อยก็ดีเอาเวลามาปฎิบัติมากๆเอาประโยชน์ได้ทุกเรื่อง
มรรรค นับ1เริ่มต้นต้องฟังธรรมก่อน แต่ต่อมา2ปฎิบัติดูด้วยทำได้จริงกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วตั้งศีลสู้แล้วตัดขาดจากสิ่งที่ติดยึด แม้ ทำได้แล้วยังกลับไปคิดปรุงแต่งอีก กิเลสล้างง่ายซะที่ใหน เราจะมายึดฟังฟังธรรรมะไม่ไปไม่มา ทำให้ถึงภาคปฏิบัติคือการเลื่อนฐานเพิ่มขึ้นๆ ฟังมากได้แค่รู้มาก ล้างกิเลสให้ถึงจิต ให้ได้ก่อนทำเป็น1เรื่องแล้วเอาวิธีการนี้ ไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ถึงจะเรียกว่าฟังธรรมะเป็นแม้จะฟังน้อยแต่ทำได้เยอะ ได้ประโยชน์จริง ต้องขอบคุณครูบาอาจารย์และพี่น้องจิตอาสาที่ให้โอกาสผมได้บำเพ็ญ
ชื่อเรื่อง ชังคนพูดเล่น
เนื้อเรื่อง เห็นพี่น้องคนหนึ่งพูดเล่นๆเราก็รำคราญ อึดอัดใจไม่กล้าบอก นึกถึงบททบทวนธรรมเราโง่ไปรำคราญคนอื่นที่ใหน เรารำคราญตนเองนี่ว่าหลงคิดผิดอีกแล้ว
ทุกข์ ร่างกายร้อน ปวด มึนหัว ทางใจอึดอัดคิดอะไรไม่ออก เวลาชังคน
สมุทัย ชังคนพูดเล่น ชอบคนพูดดีก็เรื่องของท่าน เราจะเอาประโยชน์จากท่านซิ
นิโรธ ใครจะพูดดี พูดไม่ดี เราก็ไม่ชอบไม่ชัง
มรรค การมาอยู่กับหมู่มิตรดี การชังย่อมเกิดขี้นได้เพราะต้องขัดเกลากัน เป็นผัสสะให้ซึ่งกันแหละกันเพื่อจะเกิดความเจริญ เราต้องเห็นใจกันลดกิเลสง่ายซะที่ใหน คนที่ท่านติดพูดเล่นต้องให้เวลาและโอกาสตนและคนอื่นด้วยซิ ลองแก้ไขตนเองดูซิ มันทุกข์เหลือเกิน เข็ดหลาบ หลาบจำแล้ว ขนาดตัวเราเองแก้ไขได้ง่าย ได้จริงยังไม่ตั้งใจแก้ไขเลย แล้วจะมาชังคนติดพูดเล่น ให้โง่อีกหรือ เราจะกลับไปเป็นในสิ่งที่ชัง คือพูดเล่น เพื่อจะได้เข้าใจท่าน เพราะเราไม่ให้อภัยคนอื่น อยู่กับหมู่ให้สังวรศีล และมีหิริ โอตัสปะกลัวบาปในหมู่มิตรดี อ่านกิเลสตนเองไว้ก่อน
ชื่อเรื่อง ได้โน๊ดบุ๊คตัวใหม่มาทำการบ้าน
เนื้อเรื่อง มีโน๊ดบุ๊คแล้วมีน้องที่สวนป่านาบุญ4ช้วยสอน ทำให้ผมไดัฝึกใช้ ฝีกพิมพ์เพื่อส่งการบัานวิชชาราม ได้ฝึกอ่านกิเลสของหมู่มิตรดี ที่เสียสละไปเรียนมา ผมไม่ต้องไปเรียนเอง แค่ฟังหมู่พูดก็ได้ประโยชน์
ทุกข์ แล้วเราจะใช้โน๊ดบุ๊คยังไง ไม่เคยทำ กลัว
สมุทัย ชอบที่ได้ส่งการบ้าน ชังที่ไม่ได้ส่งการบ้านด้วยโน๊ดบุ๊ค
นิโรธ ไม่ชอบไม่ชัง จะส่งการบ้านด้วยโน๊ดบุ๊คก็ได้
มรรค การส่งการบ้านวิชชารามเป็นประโยชน์ ทำให้ได้ฝีกอ่านกิเลส ได้เห็นวิธีการล้างใจของหมู่ที่ไปต่อสู้กับกิเลสมา กว่าจะผ่านได้แต่ละตัว มันยากมากๆ เราก็จะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับหมู่ ได้เห็นกิเลสเรา เห็นใจหมู่มิตรดี เกิดความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จับมือฆ่ากิเลส ผลของการส่งการบ้านวิชชารามคือได้ล้างกิเลส
การบ้านวิชชาราม อริยสัจ 4
เรื่อง เขียนคำผิด
เนื้อเรื่อง พอดีช่วงนี้มีโอกาสได้เขียนคอมเม้นท์จากทางบ้าน ให้ท่านอาจารย์หมอเขียวอ่าน และได้เขียนคำผิดไปหนึ่งคำ ซึ่งก่อนหน้านี้คำนี้ก็เขียนถูกมาตลอด พอมาวันหนึ่งได้ไปเจอคำนี้เขียนไม่เหมือนที่เราเคยเขียน และเป็นรุ่นพี่ที่ทำมาก่อนเรา ก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา ก็เลยบอกกับตัวเองว่าเราลองเขียนแบบนี้ไปก่อนนะ ถ้าเขียนไม่ถูกท่านอาจารย์คงแจ้งมา เป็นเวลาประมาณ 10 กว่าวันท่านอาจารย์ก็คงประมาณแล้วละ ว่าเราคงไม่เปลี่ยนท่านเลยเมตตาแจ้งมาให้ทราบ ตอนนั้นได้ฟังก็รับทราบและพร้อมที่จะปรับปรุง ใจไม่ทุกข์เพราะเราได้เตรียมใจและได้คุยกับเทวดาไว้แล้ว แต่พอมีท่านที่หวังดีท่านหนึ่งมาแนะนำเพิ่ม เป็นเหต
ทุกข์ เพราะไม่ชอบคำแนะนำที่มีเสียงห้วน ๆ ไม่มีศีลปะในการแนะนำ
สมุทัยเหตุแห่งทุกข์
ไม่ชอบคำพูดน้ำเสียงเหมือนตำหนิ ของท่านที่มาบอกว่าทำไมถึงเขียนคำผิดออกไป คราวหน้าไม่รู้ให้ถามใครก่อนแล้วค่อยนำไปใช้ ทำให้อาการข้างในจิตมันเริ่มมีอาการผิดปกติ จากนั้นก็อยากอธิบายเหตุผล และก็ได้พูดออกไปว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วจะรู้ได้ไงว่าคำนี้เขียนผิด และในใจก็คิดต่อไปว่าไม่มีใครอยากทำผิดหรอก ไม่มีใครที่อยากพร่อง ความคิดนี้เป็นความคิดของกิเลส ตอนนั้นยังไม่มีปัญญาบอกกิเลส ก็เลยต้องรับวิบากด้วยการ พูดตอบโต้ออกไป แต่ในขณะที่พูดก็เห็นและรู้ว่ากำลังพูด แต่ไม่สามารถหยุดได้ในทันที แต่สามารถควบคุมไม่ให้พูดต่อได้ และทำให้อาการที่ขุ่นในใจค่อย ๆ จางหายไป
นิโรธ
เขาจะพูดตำหนิเราหรือไม่ตำหนิเราใจก็ไม่หวั่นไหว ใจเป็นสุขทุกสถานการณ์
มรรค
เข้าใจเรื่องกรรม เชื่อและชัดในวิบากกรรม
สิ่งที่เราได้รับได้เจอนี้ ก็คือเรานั่นแหละที่เคยยึดว่าต้องไม่พลาด ไม่พร่อง ต้องสมบูรณ์ และเราก็ไปทำแบบนี้กับคนอื่นมามากหาที่ต้นที่สุดไม่ได้วิบากดีก็ส่งมาตาลีมาเพื่อให้เราได้แก้ไขใน
ส่วนที่เราพร่อง ต้องขอบคุณท่านที่มาบอก ท่านเมตตาเรามาก ทำให้เราได้เห็นกิเลสตัวนี้ชัดขึ้นและได้ล้างไปเป็นลำดับ ๆขอบคุณจริง ๆ
การบ้านวิชชาราม อริยสัจ 4
631020
เรื่อง เขียนคำผิด
เนื้อเรื่อง ช่วงนี้มีโอกาสได้เขียนคอมเม้นท์จากทางบ้านให้ท่านอาจารย์อ่าน ได้เขียนคำผิดไปหนึ่งคำ ซึ่งก่อนหน้านี้คำนี้ก็เขียนถูกมาตลอด แต่พอไปเจอคำนี้ ที่พี่ท่านหนึ่งได้เขียนไว้แล้ว ก็เลยเปลี่ยนมาเขียนตามท่าน คิดว่าท่านคงเขียนถูกแล้ว เพราะผู้เขียนนี้ไม่เก่งภาษา ได้เขียนคำนี้ประมาณ 10 วัน ท่านอาจารย์ได้เมตตาแจ้งให้ทราบว่าคำนี้เขียนไม่ถูกมาหลายวันแล้วนะ แก้ไขให้ถูกด้วยนะ เราก็รับทราบพร้อมที่จะแก้ไข ใจตอนนั้นไม่ทุกข์ เพราะได้คุยกับเทวดาไว้แล้วว่าลองทำดูผิดก็แก้ไข แต่พอมีพี่ท่านหนึ่งมาแนะนำรู้สึกไม่ชอบน้ำเสียงมันเหมือนมาตำหนิ ท่านพูดว่าทำไมเขียนคำผิดไปให้ท่านอาจารย์อ่าน ทีหลังถ้าไม่มั่นใจให้ไปถามใครก่อนแล้วค่อยนำไปให้อาจารย์อ่าน ตอนนั้นรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ข้างในจิต อึดอัด ไม่โปร่ง ไม่โล่งจากนั้น สักพักก็ออกมาทางวาจาพูดไปว่า ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนถูกคำไหนผิด คำพูดนี้เป็นคำพูดของกิเลสรู้ว่าเป็นกิเลสแต่ควบคุมไม่ได้ พลังปัญญาไม่มากพอเลยแพ้กิเลส แต่ไม่นานค่ะพอสักพักอาการที่อึดอัด ไม่โปร่งไม่โล่งเขาก็ค่อย ๆ จางคลายหายไปค่ะ
ทุกข์
เพราะไม่ชอบคำพูดน้ำเสียงแบบนี้
สมุทัยเหตุแห่งทุกข์
ถ้าท่านที่มาแนะนำพูดมีน้ำเสียงเหมือนตำหนิไม่ชอบ รู้สึกชัง
ถ้าท่านที่มาแนะนำพูดมีน้ำเสียงที่อ่อนน้อมกว่านี้จะชอบใจสุขใจ
นิโรธ
ท่านจะพูดเหมือนตำหนิหรือไม่ตำหนิใจก็ไม่หวั่นไหว พูดอ่อนน้อมก็ได้ไม่อ่อนน้อมก็ได้ใจเป็นสุขทุกสถานการณ์
มรรค
เข้าใจเรื่องกรรม เชื่อและชัดเื่องวิบากกรรม
สิ่งที่เราได้รับได้เจอนี้ ก็คือเรานั่นแหละที่เคยทำมา เคยพูดไม่เพราะ ไม่มีศีลปะในการพูด เสียงห้วน ๆ ยึดว่าต้องไม่พลาด ไม่พร่อง ต้องสมบูรณ์ และเราก็ไปทำแบบนี้กับคนอื่นมามากหาที่ต้นที่สุดไม่ได้วิบากดีก็ส่งมาตาลีมาเพื่อให้เราได้แก้ไขใน
ส่วนที่เราพร่อง ต้องขอบคุณท่านที่มาแนะนำ ท่านเมตตาเรามาก ทำให้เราได้เห็นกิเลสตัวนี้ชัดขึ้นและได้ล้างไปเป็นลำดับ ๆขอบคุณจริง ๆค่ะ
ชื่อเรื่อง อยากให้หมู่มิตรดีมีอธิศีลเราจะได้เจริญไปพร้อมกัน
เนื้อเรื่อง เวลาอยู่กับพี่น้องหมู่มิตรดี มีความโลภอยากพ้นทุกข์เร็วๆ โดยการพูดจาว่านล้อม บีบ บังคับ แล้วท่านก็ไม่ทำตามที่ผมตั้งภพไว้ ปากบ่น ในใจว่า ไม่รู้จักเคร่งศีลเลย เขาๆๆ ทำไมๆเป็นแบบนี้ไม่รู็จักถามหรือปรึกษาหัวข้อธรรมะ จะได้เอาภาระสังคมเอาภาระตนเอง
ทุกข์ อาการทางใจอึดอัดใจที่เห็นอาท่านนี้ มาออกที่อาการทางกายหน้าแดง หน้าดำ เศร้าหมอง
สมุทัย ตัณหา คืออยากให้หมู่มิตรดีได้อธิศีลเร็วๆ ชังที่ท่านไม่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มศีล ลุ้นๆอยู่ใจเมื่อไหร่หนอท่านจะทำตามที่เราตั้งภพไว้
นิโรธ หมู่มิตรดีเพิ่มศีลเราจะสูขใจ หมู่มิตรดีไม่เพิ่มศีลเราจะไม่ทุกข์ใจ
มรรค พิจารณาความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของกิเลสใครจะเพิ่มศีล ท่านจะมีจิตฉันทะยินดีเต็มใจ เพราะเห็นทุกข์จึงเห็นธรรมและเข้าใจกรรมอย่างแจ่มแจ้ง ไม่มีใครจะมาปฏิบัติแทนเราได้ฝึกจริงจะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นพลังงานสัญนิทานสูตร เหนี่ยวนำไปสู่คนอื่นอยากเพิ่มศีลตาม โดยการเปลี่ยนแปลงตนเอง นับ1ที่เราเริ่มต้นที่เรา เราจะเห็นว่าโลกใบนี้น่าอยู่มากขึ้น
พิจารณาโทษของการคิดไม่ดี ตัณหาอยากได้ๆคือการใจร้อน เห็นใครไม่รีบเร่งเพิ่มศีล จะไม่แช่มชื่นใจหนักใจ เขาๆทำไมๆเป็นแบบนี้ เป็นพลังงานชั่ว ใครชั่วใครทุกข์ก็แบ่งให้คนอื่นไม่ได้ เป็นตัวอย่างชั่ว ปล่อยให้ทุกข์สอน ยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเอง จนไม่เงยหน้ามาดูคนอื่นๆ ทีทำชั่วยังมีเวลาทำ ทีทำดีบอกไม่มีเวลาทำ มันชั่ว โง่เกินไปแล้วเรา
ถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์
ช่วงนี้พ่อไปทำงานไม่มีเวลาไปตลาดนัด ก่อนหน้านี้ปุ้ยจะเป็นคนซื้อของเข้าบ้านรวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย จนถึงช่วงหนึ่งมีความคิดว่าถ้าเราซื้อให้ท่านกินก็เป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี รวมทั้งส่งเสริมให้ท่านกินด้วย จะเป็นวิบากร้าย ก็เลยบอกพ่อว่าปุ้ยให้ตังค์พ่อไปซื้ออาหารเองนะ บางทีพ่อก็รับตังค์ บางทีพ่อก็ไมรับตังค์ จนเมื่อวันศุกร์ที่ พ.ย. พ่อก็บอกว่าให้เราไปซื้อเนื้อสัตว์ให้ด้วย เเดี๋ยวจะจดรายการและชื่อร้านให้ ตอนไดฟังครั้งแรกรุ้สึกใจมันต้านๆนะ ไม่อยากซื้อ ความอึดอัดเกิดขึ้นที เห็นว่าสภาพทุกข์เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีสภาพนี้ เป็นเพราะความคิดแบบนี้ ทำให้ทุกข์เกิด
ทุกข์ ทุกข์ใจที่ต้องไปซื้ออาหารเนื้อสัตว์
สมุทัย ชอบที่ไม่ซื้ออาหารเเนื้อสัตว์ ชังที่จะต้องไปซื้ออาหารเนื้อสัตว์
นิโรธ จะไปซื้อหรือไม่ไปซื้ออาหารเนื้อสัตว์ก็สุขใจ
มรรค พิจารณาว่านี้มันเป็นความคิดของมาร ไม่ใช่พุทธะ ถ้าคิดถูกมันก็ต้องไม่ทุกข์ซิ นี้มันทุกข์ แสดงว่าคิดผิดแล้ว ไปซื้อด้วยใจไม่ทุกข์ นี้เป็นโจทย์ใหม่ที่เราองฝึก ยินดีรับ ยินดีให้หมดไป ร้ายเกิดมาเพื่อให้ได้ชดใช้ รับแล้วร้ายก็หมดไป ดีก็เกิดขึ้นได้มาก ต้องขอบคุณมาตาลีเทพสารถีนะ ที่ท่านรู้ว่าเรายังมีกิลสตัวยึดอะไร คิดอะไรที่ยังทุกข์อยู่ ท่านก็เลยส่งโจทย์นั้นมาให้เราทำ จะได้เห็นกิเลส ได้ล้างกิเลส และเป็นวิบากเราทำมา เพราะสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น
เรื่อง ชังคนโกหก
เหตุเกิดวันทำออมทรัพย์ ได้บอกให้พี่ที่ทำงานในออมทรัพย์ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลที่ทำการ ภายหลังได้ทราบว่า พี่คนดังกล่าวไม่ได้ทำเลย
ทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นๆใจ ไม่อยากคบไม่อยากพูดด้วย เกิดสภาพไม่โปร่งไม่โล่งไม่สบายใจ
แต่เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเรา จึงได้รู้ว่าเราทำมา
วิบากร้ายของเรา ดลใจให้เขาไม่ทำหน้าที่ตามที่รับปากไว้ ต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้เราได้ชดใช้วิบากด้วยความเต็มใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่น เขาจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ เราได้ใช้วิบากเก่าที่ไม่ดี ทำวิบากใหม่ที่ดี ส่วนเขาจะได้รับวิบากดีหรือร้ายก็เป็นเรื่องของเขา เบิกบานแจ่มใสดีกว่า
ทุกข์ ขุ่่นใจ
สมุทัย ยึดมั่นถือมั่นว่า ถ้าเขาทำตามที่รับปากไว้ เราก็จะไม่ขุ่นใจ แต่ถ้าเขาไม่ทำ เราก็จะเกิดอาการขุ่นใจ ภายหลังเขาไม่ทำ เราจึงเกิดอาการขุ่นใจ
นิโรธ เขาจะทำตามที่รับปากหรือไม่ทำ เราก็จะไม่ขุ่นใจ
มรรค ไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราได้บอกไปแล้ว เขาจะทำหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่ทำใจวางใจ ไม่ชอบไม่ชัง ชอบใจถ้าเขาทำ ชังถ้าเขาไม่ทำ ต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้เราได้ชดใช้วิบาก ชาติใดชาติหนึ่งเราก็เคยทำมา ชาตินี้จึงต้องมาใช้วิบาก ถ้าไม่ใช่เขาเราก็ไม่ได้ใช้วิบาก เราจะไปขุ่นใจกับเขาทำไม สำนึกผิด เต็มใจรับโทษ หยุดชั่วทำดีทำจิตใจให้ผ่องใส จากนั้นเราก็บอกพี่เขาใหม่ ให้รู้ว่าที่รับปากไว้ยังไม่ได้ทำนะ พี่เขาก็รับปากว่าจะจัดการให้เรียบร้อย เมื่อเราได้บอกแล้วก็วางใจ ถ้าเขาทำถือว่าวิบากดีออกฤทธิ์ ถ้าไม่ทำถือว่าวิบากร้ายออกฤทธิ์ รับแล้ววิบากร้ายก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น สิ่งดีๆก็จะเข้ามาสู่ตัวเราเอง ทำให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง สาธุ
ชื่อเรื่อง ไฟเลี้ยงต้นไม้
ฤดูหนาวต้นไม้ได้รับแสงแดดธรรมชาติน้อย พื้นที่ริมหน้าต่างก็มีไม่มาก ต้นไม้เจริญเติบโตไม่ดี
ปี 2562 จึงทดลองซื้อไฟเลี้ยงต้นไม้ 1 อัน มาเปิดให้ผักอ่อมแซ่บ ใบเตย และอื่น ๆ ในช่วงเวลากลางคืน ได้ผลคือ ผักอ่อมแซ่บ รอด 80 % เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ที่เปอร์เซ็นต์การรอดแค่ 40-50 %
ปีนี้ 2563 ก็ได้ดำเนินการเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ปริมาณไฟเลี้ยงต้นไม้จาก 1 เป็น 4 อัน แสงไฟจึงจ้าขึ้นกว่าเดิม เพื่อนบ้านตรงข้าม 1 ครอบครัวเห็นเป็นแสงสีชมพูเข้มตลอดทั้งคืนจากหน้าต่างบ้านเรา และไม่พอใจ เขาได้มาเล่าให้เพื่อนบ้านเรา ที่ชั้นล่างของเราฟัง
ทุกข์ คือ กลัวว่าจำนวนเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านเรา ที่ไม่พอใจ จะเพิ่มจำนวนขึ้น
สมุทัย คือ เกรงใจเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านเรา
นิโรธ คือ ต้นไม้จะได้รับแสงตอนกลางคืนก็ได้ ไม่ได้รับก็ได้
มรรค คือ เราได้พยายามหาผ้าสีเข้มมาปิดหน้าต่างบานที่เราแขวนไฟเลี้ยงต้นไม้ไว้แล้ว(ช่วงเย็นจึงได้ลองไปยืนนอกบ้านดูว่า แสงไฟเป็นอย่างไร) แสงไฟที่สว่างทั่วห้องรับแขกตอนกลางคืน สามารถเห็นแสงจากหน้าต่างอีก 2 บานด้วย เราไม่มีผ้าสีเข้มเพียงพอที่จะเปิดหน้าต่างได้ทุกบาน คิดพิจารณาอยู่นาน เห็นว่า เราเบียดเบียนผู้อื่นแบบนี้ เรามันนิสัยไม่ดีเลย อยากได้ดั่งใจ เอาแต่ใจตัวเอง พอรู้อย่างแล้ว จึงตัดสินใจ ปิดไฟเลี้ยงต้นไม้ทันที ในเย็นวันนั้น
เมื่อก่อน ต้นไม้ได้รับแสงแดดธรรมชาติช่วงกลางวัน(แสงแดดริมหน้าต่าง ช่วง 14.00-16.00 น.) กลางคืนได้รับแสงจากไฟเลี้ยงต้นไม้
ปัจจุบันได้ปรับใหม่ เปิดไฟเลี้ยงต้นไม้เฉพาะเวลากลางวัน ตามเวลาของแสงแดดธรรมชาติ
และ วางใจ ว่า ต้นไม้จะรอดเท่าไรก็ตามวิบากดีร้ายของเราเอง สาธุ
1.) ชื่อเรื่อง : “ไม่ต้องใจร้อน” กับใจที่มีส่วนเหลือกับไม่มีส่วนเหลือของทุกข์ใจในภายใน
2.)เนื้อเรื่องหรือเรื่องย่อ : เมื่อเสียงที่
เคลื่อนเข้ามาว่า “ไม่ต้องใจร้อน” ค่อยๆทำไป หลังจากที่ผมได้เสนอภาระกิจ กุศลที่จะทำในวันนั้น ในระหว่างการหารือ การงาน (เป็นการเรียนรู้การประมาณ กุศลที่ควรทำ ประมาณความสำคัญในความสำคัญ) ร่วมกับพี่น้องหมู่มิตรดี ที่เป็นแนวทางการละ สลายตัวตนของ อัตตา (มานะ ทิฏฐิ) ไปเป็นลำดับๆ ด้วยหลัก คิดดี พูดดี ทำดี เสนอดี สลายอัตตา สามัคคี นี้ผาสุก เย้! ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้นำพาฝึกฝน ได้เห็นความต่างเมื่อผัสสะ ระหว่างทุกข์ใจ กับ ไร้ทุกข์ใจ ใจที่อิสระจาก มานะ อุทธัทจะ จากอวิชชา เพราะไม่มีตัณหา ไม่มีอัตตา ยึดความคิด ความเห็น วิธีการ ไม่ยึดในกุศล แล้วยึดอาศัยกุศลที่ควรทำ อย่างไม่วิวาทะกับ จิตในภายในของตัวเอง ไม่วิวาทกันมติหมู่มิตรดี….จึงรู้ เห็นความจริงของกุศล อกุศล ที่สร้างผลให้เห็นในผัสสะปัจจุบันขณะ มีวิชชา รู้เห็น อวิชชา 8 ในเหตุการณ์ ส่วนแห่งวาจา วจีกรรม เคลื่อนมาจาก มโนกรรม การกระทำในปัจจุบัน ความคิด ออกมาเป็นคำพูด กับ ความคิด ออกมาเป็น วาจา คำพูดที่ได้ยิน “ไม่ต้องใจร้อน”
3.) ทุกขอริยสัจ : ปัจจุบันไม่มี เคยมี อดีต เมื่อกระทบผัสสะ ระลึก อาการของจิตที่มีตัณหา ละสลายตัณหามาเป็นลำดับๆ เช่น ชังสภาพ คำพูดที่ได้ยิน อยากได้สภาพ คำพูดอีกอย่าง ส่งผลสัมพันธ์กับร่างกายและเหตุการณ์ รวมถึงการกระทำของเราสืบต่อไป
4.) ทุกขสมุทัย : ไม่มีความอยากได้สภาพดีๆ คำพูดดีๆ ความเข้าใจในความเห็น วิธีการ ในเหตุการณ์นั้นๆ
5.) ทุกขนิโรธ : ยิ่งอิสระ สบายใจ ใจสบายที่สบาย อิสระจากชอบชัง ดีจริงๆ
6.) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา : ยิ่งตั้งมั่นในความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่อยากได้อะไร สบายใจ เป็นประโยชน์ที่สุดต่อเราต่อทุกชีวิต รู้ธรรมชาติของกิเลสยิ่งขึ้น ประมาณการกระทำได้พอเหมาะขึ้น
พิจารณาเรื่องกรรม ยิ่งชัดใน วจีกรรม วาจา คำพูด ที่เราเคยพูด มาจากใจที่ตัดสินการกระทำ เดาใจผู้อื่น จากรูป วาจา การประมาณภายนอก ทำให้ผู้อื่นทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ไม่สามัคคีกับพุทธะ เป็นวิบากร้ายให้ตัวเราเอง สั่งสมความไม่อิสระ สั่มสมกรรมไม่ดี และได้รับในส่วนที่ทำมา สาธุครับ
เรื่อง : ไม่สบายใจที่เพื่อนไม่ชวน
เนื้อเรื่อง : วันหนึ่งขณะที่เรานั่ง
รับประทานอาหารพร้อมกับหมู่กลุ่มในวง
ประชุมอปริหานิยธรรม เรานั่งอยู่ระหว่างเพื่อน ก.และ ข.สักพักหนึ่ง ก. ก็แบ่งอาหารชนิดที่1มาให้ ข.ต่อมาก็ยื่นอาหารชนิดที่ 2 มาให้ ข. อีกขณะนั้นเองเราก็สังเกตุเห็นจิตของตัวเองเริ่มหวั่นไหว อ่านอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจ
ที่ ก. ไม่ได้เอ่ยชวนเราเลย เวลาผ่านไปไม่นานเราก็ได้สติว่า นี่เขาคือเราในอดีตที่เราเคยทำแบบนี้มาไงหละ ตอนนี้เรากำลังได้รับผลไงหละ เขาช่วยให้เราหมดวิบากร้ายนี้ไป เรายอมรับเท่าไหร่ก็หมดไปเท่านั้นและยิ่งเขาส่งต่อให้ค.และง.อีก ก็ยิ่งเป็นการย้ำให้เราเห็นชัดๆโต้งๆว่าเราทำมา และเมื่อเรายอมรับในวิบากนั้นแล้ว ทำให้อุปกิเลสที่จะเกิดตามมาถูกบล็อก (หากเราไม่ยอมรับวิบากร้ายนั้น จิตอันธพาลของเราก็จะแแตกตัวต่อไปเกิดเป็นกิเลสตัวที่ให้ทานใครแล้วหวังสิ่งตอบแทน(สาเปกโข) เรียกว่า ” ทวงบุญคุณ “ซึ่งเป็นการให้แบบมิจฉาทิฏฐิ เป็นการให้แล้วไม่มีผลช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เพราะให้ไปแล้วยังยืดว่าเป็นของๆเราอยู่
ซึ่งการให้แบบหวังผล พอไม่ได้ตามที่หวังก็จะเกิดจิตที่ผูกโกรธว่า”วันข้างหน้าถ้ามีของอะไร เราจะไม่ให้เขาบ้างหล่ะ – ทีเราบ้าง(เอาคืน)
จะเห็นว่าถ้าเราไม่ได้ดับไฟตั้งแต่ต้นลมคือไม่ได้เอาความเข้าใจที่ถูกตรงเรื่องกรรม+วิบากมาดับไฟที่กำลังเผาไหม้ใจเราอยู่ ไฟที่สุมอยู่ในใจก็จะลุกลามเกิดจิตเที่เลวร้าย(ลามก)ปรุงแต่งเป็นภพตามมาเป็นขบวนซึ่งเกิดเป็น
” ปฏิจจสมุปบาท “สายก่อทุกข์ให้กับตนเอง+ผู้อื่น(เบียดเบียนตน – เบียดเบียนท่าน)ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อที่1 ข้อที่2 คืออยากได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ให้(จิตขโมย)
แล้วมารวมลงเป็นผิดศีลข้อที่5คือ
อภิชฌา (โลภอยากได้เกินสิ่งที่เป็นไปได้จริง) พยาบาท (ชิงชัง รังเกียจ)
มิจฉาทิฏฐิ (หลงเพราะไม่เข้าใจว่าว่าวิบากของกรรมดี กรรมชั่วมีอยู่) เมื่อได้พิจารณามาถึงตรงนี้จิตก็คลายจากความหลงยึดมั่นถือมั่นลง
ในมุมกลับกันแทนที่เราจะโกรธ ขุ่นเคือง ก.กลับรู้สึกขอบคุณ ก.ที่ช่วยให้เราได้ลดวิบากร้ายลงไปได้ แล้วช่วยเปิดโอกาสให้วิบากดีเกิดได้ง่ายยิ่งขึ้น จิตตอนนี้หมดทุกข์ในเรื่องนี้แล้ว
และเมื่อเราได้มาระลึกทบทวนอีกครั้งในอาหารที่หยิบยื่นให้กันนั้น แท้จริงเราก็มีอยู่แล้ว นั่นคือตัวเองก็มีมากพอแล้ว ถ้าเป็นกรณีที่ตัวเองขาดแคลนอาหารเหล่านั้นก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นกิเลสตัวนี้ของเราที่โผล่สลอนออกมาให้เห็นจึงไม่ใช่เรื่องของความโลภ “ด้านกาม “แต่แท้จริงมันคือ “ด้านอัตตา ” เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีต่างหาก
จะเห็นว่าเรื่องนิดเดียวแต่ถ้ายังมีเชื้อของกิเลสอยู่ก็จะทำให้กิเลสแตกตัวไปได้อีกมากมาย ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ” ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย ” และ “กิเลสแม้น้อยก็เหม็นมาก ” ซึ่งผลที่ตามมาก็คือต้องได้รับวิบากร้ายทั้งหนัก มาก+ยาวนานเป็นเงาตามตัว
เขียนเป็นอริยสัจ4ได้ดังนี้…
ทุกข์ : น้อยใจ(ไม่สบายใจ)ที่เพื่อน ไม่
ชวนเรา
สมุทัย : ชอบ (สุข) ถ้าเขาชวน
ชัง (ทุกข์) ถ้าเขาไม่ชวน
นิโรธ : เขาจะชวนหรือไม่ เราก็ไม่
ทุกข์ (เป็นสุข)
มรรค : เมื่อได้พิจารณาเรื่องกรรม
อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจนแล้ว สำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษ ขออโหสิกรรม
ขอตั้งศีลว่าจะพยายาม “ให้แล้วคิดที่จะไม่เอาอะไรจากใครให้ได้ ”
เห็นโทษจาก”ความอยากได้ “ว่ามัน
ไม่เที่ยง (อนิจจัง) + เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
เห็นประโยชน์ว่ามันไม่มีตัวตนจริง(อนัตตา) เห็นว่าความอยากหมดไปเราก็เป็นสุข
เห็นจิตตนพ้นจาก ” วิปลาส 4 “นี้ได้ผลคือใจพ้นทุกข์ได้แล้ว100% เพราะได้เห็นความโง่ ของใจที่หลงไปยึดมั่นถือมั่นอย่างผิดๆนั่นเอง (/)
Comments are closed.