631018 การบ้าน ความจริงและความลวง (8/2563)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน ความจริงและความลวง ประจำวันที่ 12-18 ตุลาคม 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปมีผู้ส่งการบ้านสัปดาห์นี้ทั้งหมด 19 ท่าน (22 เรื่อง)
631018 การบ้าน ความจริงและความลวง (8/2563)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน ความจริงและความลวง ประจำวันที่ 12-18 ตุลาคม 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปมีผู้ส่งการบ้านสัปดาห์นี้ทั้งหมด 19 ท่าน (22 เรื่อง)
พูดไม่จริง
เวลาคุยกับเพื่อน แล้วรู้ว่าเพื่อนพูดไม่จริง จึงรู้สึกผิดหวัง เพราะเพื่อนน่าจะมีวุฒิภาวะ ทั้งทางโลกและทางธรรมมากกว่าเรา คาดหวังว่าเพื่อนจะเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเรา
ผัสสะ : รู้สึกผิดหวังเสียใจ
ความลวง : เชื่อคนง่าย จากคำพูดและวัยวุฒิ
ความจริง : เราไม่ควรไปยึด ไปทุกข์ ในลีลาคำพุดของคนนั้นคนนี้ ไม่ว่าเพื่อนจะพูดจริงหรือโกหก ก็ตาม ปล่อยให้วิบากดีร้ายสังเคราะห์เขาเอง เราควรทำที่ตน เชื่อมั่นในศีล มีความละอายต่อบาปปฎิบัติให้ถูกต้องตรง ตามหลักธรรมคำสอน
ชื่อเรื่อง กลัวเสื้อผ้าชุดพวธเปื้อนหรือสกปรก
เนื้อเรื่อง เวลาอยู่ที่บ้านเมื่อจะทำงานกสิกรรมหรืองานครัว(ล้างผักเสื้อมักจะเปียด)ก็จะกลัวเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อพวธและกางเกงขาก๋วยที่ใส่เปื้อน หรือเลอะเทอะ ก่อนจะไปทำกสิกรรมก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเอาเสื้อผ้าเก่าๆมาใส่ทำงานจะได้ไม่ต้องกลัวเลอะ กลัวเปื้อน เสื้อผ้าพวธสำหรับเราคือชุดพิเศษ ใส่สบาย สวยงาม ก็ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดจนกระทั่งเริ่มรำคาญที่จะต้องคอยเปลี่ยนชุดหรือไม่ได้ทำงานกสิกรรมเล็กๆน้อยๆ(แต่เลอะเทอะ)เพราะขี้เกียจไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ จะรอรวมงานให้ได้มากๆและลุยทำครั้งเดียวไปเลย ทำให้งานสะสมและบางครั้งก็ไม่เสร็จตามที่ตั้งใจเนื่องจากฝนตกบ้าง เวลาไม่พอบ้าง แรงไม่พอบ้าง
อยู่มาวันหนึ่งสะดุดใจว่าเวลาเราอยู่ที่ค่ายเราก็ใส่ชุดพวธตลอดเวลา ทำงานทุกอย่างไม่กลัวเลอะไม่กลัวเปื้อน ไม่กลัวเปียก ชุดเดียวทั้งวันจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “เราเป็นอะไรถึงหวงชุดพวธ” “เรากำลังยึดใช่ใหม” “เราสำอางค์สำรวยไปไหม” “ชุดนี้เป็นชุดลุย ชุดทำงาน ไหงเรามาใส่กรีดกรายอยู่บ้านแบบนี้เล่า” กิเลสอธิบายว่าสภาพแวดล้อมต่างกันที่ค่ายเรากินกลางดินนอนกลางทรายเป็นปรกติ แต่ที่นี้ที่บ้านที่ต่างประเทศสภาพความเป็นอยู่ไม่เหมือนกันในบ้านสะอาดสะอ้านเราไม่ควรทำให้บ้านสกรปรกเพราะดินหรืออะไรๆจากสวน แต่ก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริงๆแล้วเรายึดอะไรใหม? “เรายึดความเป็นพวธ ตั้งไว้สูงส่ง” ถ้าอย่างนั้นเราต้องปลดล๊อค แต่ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มใส่เสื้อผ้าพวธ ทำงาน่ในสวนอย่างไม่กลัวเปื้อนกลัวเลอะและใส่ชุดนั้นทั้งวันโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้รุงรัง แค่ปัดๆเสื้อผ้าให้สะอาดจากดินโคลนก่อนเข้าบ้านและเปลี่ยนถุงเท้าทีเปื้อนดินมาใส่ถุงเท้าสะอาดชีวิตก็ง่ายขึ้น
ผัสสะ มีความไม่อยากให้เสื้อผ้าเปื้อนแต่ก็มีความไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้า อึดอัดเมื่อต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อึดอัดเมื่องานไม่เสร็จหรือไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้เพราะไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับชุดทำงาน
ความลวง เสื้อผ้าพวธสำหรับเราคือชุดพิเศษ ใส่สบาย สวยงาม “เรายึดความเป็นพวธ ตั้งไว้สูงส่ง” อยากใส่เสื้อผ้าสะอาดๆ ดูดีๆเวลาอยู่บ้านหรือไปใหนมาใหน
ความจริง เสื้อผ้ามีไว้สวมใส่ให้เหมาะสมกับงานกับสภาพอากาศ มีไว้เพื่อป้องกันความหนาว ป้องกันร่างกายจากการขีดข่วน จากแมลง แต่ไม่ได้มีไว้ให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้มีใว้ให้ใส่เพื่อเพิ่มอัตตา
ตะไคร้โดนตัด
เช้าวานนี้ออกไปสวนรดน้ำผักและพบว่ากอต้นตะไคร้ที่ปลูกไว้โดนตัด ซึ่งปกติตะไคร้ที่เมืองหนาวปลูกยาก ดูแลยาก เพิ่งผ่านหน้าหนาวมาตะไคร้ที่เราปลูกไว้ก็กำลังงอกออกมาใหม่ แต่เมื่อบ่ายวันก่อนพ่อบ้านตัดหญ้า เราก็ไม่ได้ออกมาดูทำงานอยู่ในบ้าน พอเช้าวานนี้เข้าสวนจึงพบว่าตะไคร้โดนตัดเสียแล้ว อ่านเข้าไปในจิตเห็นอาการจิตที่ไม่ยินดีและคิดโกรธพ่อบ้านที่ตัดหญ้าไม่ระวัง พอเห็นอาการนี้จึงบอกกับตัวเองว่า เราทำมา และได้คิดทบทวนธรรม สิ่งเราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา พ่อบ้านตัดต้นตะไคร้ แต่เราตัดใจที่ยินดีของเราเองจึงทำให้เกิดใจที่ไม่ยินดีขึ้นพ่อบ้านไม่ใช่คนทำ เราทำตัวเราเอง ไปโกรธคนอื่นก็เป็นการสร้างโง่ชั่วทุกข์ใหม่เป็นการสร้างวิบากร้ายไม่มีวันสิ้นสุด พอพิจารณาอย่างนี้รู้สึกโล่งและเกิดความยินดี เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธต่อพ่อบ้านแต่อย่างใด
ผัสสะ เห็นตะไคร้โดนตัด เกิดใจไม่ยินดี ไม่ชอบใจ
ความลวง เพราะพ่อบ้านตัดหญ้าไม่ระวังเลยตัดต้นตะไคร้ของเรา
ความจริง เราทำมา เราตัดใจที่ยินดีของเราเอง ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา รับผลดีร้ายจากการกระทำแล้วผลนั้นก็จบดับไป จึงไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องทุกข์กับอะไร ยินดีเบิกบานแจ่มใสดีกว่า
ชื่อเรื่อง รักโลกจริงหรือ
เนื้อเรื่อง ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์มีการแยกขยะอย่างจริงจังและมีกฏระเบียบที่เข้มงวด เราเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องดีและพยายามแยกขยะให้ตรงกับชนิดของขยะอย่างมีความสุขบางครั้งก็หงุดหงิดที่พ่อบ้านเห็นต่างและไม่ให้ความร่วมมือเช่น เอากระดาษทิชชูหรือกระดาษที่เปื่อนไปใส่ในถังกระดาษซึ่งจะนำไปรีไซเคิลได้ แต่ตามความรู้ของเราคือกระดาษแบบนี้นต้องไปทิ้งถังขยะที่นำกลับมารีไซเคิลไมได้ เราคิดตำหนิพ่อบ้านที่ไม่ให้ความร่วมมื ซึ่งเดิมที่ก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือและค่อนขอดเราเมื่อเราจู้จี้กับการไม่ประหยัดขยะ ไม่รักษ์โลกของเขา ตอนนี้รัฐจัดให้มีการแยกขยะที่ขัดเจนมากขึ้น มีถึงแยกหลายใบหลายชนิดเขาก็ทำตามกฏ แต่ก็ทำตามความเข้าใจของเขา ส่วนตัวเราก็หลงภูมิใจว่าเรานี้รักษ์โลก ดูแลโลก
วันนี้ได้เอาขยะกระดาษแผ่นพับและนามบัตรของตัวเองไปทิ้งเนื่องจากเลิกกิจการมานานแล้ว ด้วยความเคยชินก็ทิ้งลงถังไปโดยไม่ได้ดูว่าถังเก็บกระดาษกับถังเก็บพลาสติกวางสลับกัน จนได้เอากล่องกระดาษไปทิ้งจึงนึกได้ว่าถังอยู่ผิดตำแหน่งเมื่อเปิดดูถึงใส่พลาสติก มีกระดาษของเราอยู่ก้นถัง จึงจะก้มลงไปเก็บนั่นคือต้องเอาหัวมุดเข้าไปในถังซึ่งไม่สะอาด และเข้าไปเกือบครึ่งตัวถึงจะหยิบได้ แว๊บแรกคิด “เออช่างมันเถอะ” “แว๊บต่อมาไมได้ กระดาษนั่นมีที่อยู่เรา ชื่อบริษัทเรา ถ้าเขาตรวจเจอโดนค่าปรับแน่” จึงไปค้นหาที่คีบด้ามยาวๆมาคืบกระดาษออก ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ก้นถัง ระหว่างที่คีบออก คีบออก แรกๆก็สนุกดีเอออุปกรณ์นี่ดีจังคีบติดมือมาหมดเลย แต่ด้วยกระดาษชิ้นเล็กและจำนวนมากจึงเริ่มปวดมือ เมื่อยมือที่บีบตัวคีบ การคีบด้วยความอยากลำบากเริ่มปวดมือก็เริ่มบ่นในใจว่า อุปกรณ์นี้เขาเอาไว้ให้คนสูงอายุใช้ คนสูงอายุที่ใหนจะมีแรงใช้มันต้องออกแรงบีบมากๆเลยกว่าจะคีบออกได้ อ้อเขาเอาไว้ให้หยิบของที่อยู่สูงๆหรืออยู่ทีๆเอื้อมไม่ถึง ไม่ใช่เฉพาะคนแก่ “เออ อะไรกันเราลำบากแค่นี้ก็บ่น” ทันไดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “นี่เรารักษ์โลกจริงหรือ ? นี่ถ้าไม่มีค่าปรับเราก็จะปล่อยเลยตามเลยไปแล้สินะ ไม่มาคีบให้ลำบากอยู่อย่างนี้” “ใหนหละจิตสำนึกรักษ์โลกของเรา?” พอให้ลำบากหน่อยเราก็ไม่เอาละ โอนี่เรายังไม่ได้รักษ์โลกอย่างแท้จริงหรอกหรือ ความละอายใจแผ่ซ่านไปหมด รู้สึกอายตัวเองอย่างมาก
ผัสสะ มีความรังเกียจไม่อยากเอาตัวมุดเข้าไปในถังขยะ มีความไม่ขอบใจขณะที่คีบกระดาษออกไปใส่ถึงที่ถูกต้อง
ความลวง หลงภาคภูมิใจว่าตนนั้นรักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการสร้างขยะและมลพิษ
ความจริง เรายังไม่รักษ์โลก เรายังไมเสียสละมากพอ จิตใจเรานั้นยังหยาบอยู่มาก ยังตำหนิผู้อื่นทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไมได้ทำได้จากจิตวิญญาณ
เข้ากลุ่มทำการบ้านกับเพื่อน ข้าพเจ้าได้แนะนำเพื่อนให้ทำการบ้าน และเพื่อนก็ตอบว่าจะทำตามที่ข้าพเจ้าแนะนำ แต่หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ปรากฏว่าเพื่อนไม่ได้ทำตามคำแนะนำของตัวเอง เห็นใจเต้นตุบตับ และรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ข้าพเจ้าจึงหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อตั้งสติให้กลับมา สักพักก็เริ่มเห็นกิเลสตัวที่ไม่พอใจเพื่อน
เรื่อง เพื่อนไม่ตามใจ
ผัสสะ อยากให้เพื่อนทำการบ้านตามคำแนะนำของตัวเอง
ความลวง เพื่อนควรจะทำการบ้านตามคำแนะนำตัวเองเพื่อให้ทันเวลาส่ง
ความจริง การบ้านจะเสร็จทันเวลาและไม่ทันเวลาก็ได้ถึงแม้นเพื่อนจะทำการบ้านตามความคิดของเพื่อนไม่ได้ทำตามคำแนะนำตัวเองก็ไม่เป็นไรเพราะการบ้านยังงัยก็ได้ส่งอยู่แล้ว
ผัสสะ อาหาร ความจริง การไม่ประมาณในการบริโภคจะทำให้ร่างกายไม่สมดุลจึงมีปัญหาการผายลมและถ่ายหนัก และต้องรับวิบากกรรม ความลวง ถ้าผายลมและถ่ายหนักปกติจะสุขใจแต่ถ้ามีอาการผิดปกติจะทุกข์ใจ
ชื่อเรื่อง เป็นห่วงตัวเองหรือเป็นห่วงเขากันแน่
เนื้อเรื่อง
ที่ผ่านมาเราชอบอ้างว่าเป็นห่วงแม่บ้านเรื่องนั้นเรื่องนี้ เช่น อย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวคนเขาจะคิดว่าเธอเป็นคนอย่างนั้น หรือพูดให้ช้าลงหน่อย จะได้ไม่เหนื่อยมาก เป็นต้น แต่หลังจากที่ได้ตรวจสอบตัวเองมาระยะนึง จึงพบว่าอันที่จริงเราเป็นห่วงตัวเองมากกว่า บางครั้งก็ทั้งห่วงตัวเองและห่วงแม่บ้านไปพร้อม ๆ กัน แต่ประเด็นที่แท้จริงก็คือเราจะห่วงตัวเองก่อน เป็นแบบนั้นมาตลอด
จนกระทั่งถึงวันที่เราค่อย ๆ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของแม่บ้านลงได้ ค่อย ๆ ลดความรู้สึกอยากให้เขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จนกระทั่งตอนนี้เรายอมให้เขาทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำถ้าไม่ใช่เรื่องผิดศีลที่หยาบเกินไป ซึ่งเขาก็ไม่ทำอยู่แล้ว เพราะได้ปฏิบัติธรรมมาระดับหนึ่งแล้ว พอปล่อยวางได้มากขึ้น เรากลับรู้สึกว่ามีความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อเขามากขึ้น เราจึงให้อิสระเสรีภาพแก่เขาเต็มที่ในการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร
ผัสสะ
แม่บ้านคุยกับเพื่อนประสาผู้หญิง เรามีความรู้สึกว่าพวกผู้หญิงเจอกันเมื่อไรก็จะพูดมาก เสียงดัง พูดถึงเรื่องของผู้อื่นเยอะ เป็นเรื่องที่เราชัง ๆ ทั้งนั้น ส่วนใหญ่เราก็จะอดทนเอา แต่เมื่อเราได้ลดความยึดมั่นถือมั่นลงแล้ว เราจะรู้สึกรับฟังได้ง่ายขึ้น หรือทนฟังได้ง่ายขึ้น เข้าใจและเห็นอกเห็นใจแม่บ้านกับเพื่อนของเธอได้มากขึ้น
ความลวง
บางครั้งแม่บ้านทำให้เราอึดอัดใจ ไม่สบายใจ เหนื่อยหรือหงุดหงิดใจ เพราะแม่บ้านพูด ทำพฤติกรรม หรือมีกิริยาที่ไม่เหมาะควร
ความจริง
เรานั่นแหละที่ทำให้เราอึดอัดใจ ไม่สบายใจ เหนื่อยหรือหงุดหงิดใจเอง เพราะทุกอย่างที่แม่บ้านทำเป็นเรื่องที่เราเคยทำมาก่อนทั้งนั้น และแม่บ้านก็ไม่เคยมีเจตนาจะทำให้เราอึดอัดใจเลย เราเองนั่นแหละที่เอาใจไปยึดมั่นถือมั่นเอง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ ก็จะอยู่กับแม่บ้านไปได้อย่างเป็นสุข
เรื่อง:ข้าวเกรียบทอด
เนื้อเรื่อง:น้องสะไภ้เรียกไปหา เมื่อไปถึงจึงรู้ว่าเรียกไปกินข้าวเกรียบเจทอด เห็นความกรอบรู้สึกอยากกินแต่ไม่กินเพราะไม่มีประโยชน์และตั้งศีลว่าวันนี้จะไม่กินข้าวเกรียบทอด ถ้าสู้ไม่ไหวจึงจะกิน
ผัสสะ:เห็นความกรอบของข้าวเกรียบทอดแล้วรู้สึกว่า”กรอบน่ากิน”
ความลวง:ความกรอบจากการทอดน้ำมันกรอบน่ากิน อยากเอามากืน กินแล้วน่าอร่อย
ความจริง:พื้นฐานของความกรอบเกิดจากการนำมันม่วงบดมาผสมน้ำทำเป็นแผ่นตากแดด ตอนกินต้องนำมาทอดในน้ำมันให้กรอบ ความกรอบเป็นสัญญาว่าเคยกินแล้วมันอร่อยซึ่ง”ความกรอบนี้ก็ไม่เที่ยง แว๊บเดียวก็หายไป ความรู้สึกว่าความกรอบอร่อยก็ไม่เที่ยง สักพักก็หายไป เราไปกินเพราะหลงว่ามันอร่อย เราไม่ควรกินข้าวเกรียบทอดเพราะกินไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ เมื่อกินก็เกิดอาการเป็นเริมและคันหู และทำให้ผู้อื่นต้องเหน็ดเหนื่อยในการทำเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นทำตามทำเกิดวิบากร้าย เกิดสิ่งไม่ดีกับตนเอง
การรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ในการไปเรียนหนังสือ ที่มจรก็เตรียมอาหารจากที่ศูนย์ ไปทาน เป็นปกติทุกครั้ง ที่ไปเรียน พอถึงเวลาเที่ยง ก็ทานอาหารพร้อมกับเพื่อนเพื่อนก็จะเตรียมอาหารเป็นมังสวิรัติ เป็นอาหาร ทอดมันเจ ส่วนของเรา ก็ทานอาหารตามลำดับที่เราเตรียมไป เริ่มต้นจาก ผักผลไม้ฤทธิ์เย็นและส้มตำ โรยเกลือ ทานข้าวกับกับข้าวและถั่วต้ม พอเพื่อนทานเสร็จมีทอดมันเจเหลือ 2 ชิ้น เพื่อน ก็ถามว่าทานไหม เราก็เห็นแล้วว่า อาหาร ที่ปรุงแต่งทอดมันเจ มันมีโทษแน่นอน แต่เราก็ต้องยอมรับว่าในบางครั้ง อินทรีย์พละ ก็สู้ไม่ไหวแต่ไม่ถึงกับ อยากมาก มีความรู้สึก แค่อยากชิมว่ามันจะทุกข์ทรมานเหมือนเดิมไหม แต่ผลที่ได้ มันทำให้เรา แน่ชัดกับโทษทุกข์ภัยมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้เรา สั่งสมการเห็นโทษของของปรุงแต่งมากขึ้น เพราะมันทำให้เรามีอาการที่เด่นชัดคือท้องเสีย และนอนไม่หลับ เพราะเห็นโทษที่มากขึ้นก็จะบันทึกไว้ถ้ากระทบอีก เราก็ค่อย สู้กันอีกครั้งหนึ่ง
เรื่อง ที่จอดรถของฉัน…
ผัสสะ ทุกๆวันศุกร์ จะมาทำงานเช้าประมาณ 7 โมง พอมาถึงที่ทำงาน ทุกครั้งก็จะจอดรถในที่ๆเราเคยจอด ซึ่งเป็นที่จอดรถในร่ม มีหลังคา ปลอดภัยไม่เสี่ยงโดนเฉี่ยวและชน แต่วันนี้มาถึง ก็ชะล่าใจ เลยยังไม่ได้จอดในจุดนั้น แต่จอดข้างๆกัน มานึกได้อีกทีประมาณ 8.30 น. มีคนมาแย่งที่จอดรถไปแล้ว ที่สำคัญคนที่แย่งจอด เป็นคนที่เราไม่ค่อยชอบซะด้วย
ความลวง ไอ้อ้วน(กิเลสบอก) แย่งที่จอดรถเรา ที่จอดก็ไม่ได้ คนที่แย่งทีจอด ก็ไม่ชอบอีก ผสมโรงกันเลย
ความจริง สิ่งที่เราได้ คือ สมบัติของเรา ที่จอดรถที่เราเคยจอดทุกวัน แต่วันนี้มันไม่ใช่ของเรา มันไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างลงตัว เวลาเหมาะเจาะ คือ เราไม่ได้จอดในที่ที่เคยได้จอด
ส่วนไอ้อ้วนนั้น ถ้าจะมีพฤติกรรมยังไง ขี้โมขนาดไหน มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เรานี่โง่ ไปห่วงกิเลสเขา วิบากเขา ทำนาคนอื่น ไม่ทำนาตัวเองโง่จริงๆ
บัตได้ไปหาซื้อเสื้อผ้าใส่ในฤดูหนาวเพราะว่าบัตไม่ได้อยู่ที่นี่ในช่วงฤดูหนาวมากกว่า10ปี. ขณะที่เดินหาซื้ออยู่ก็พบเสื้อตัวหนึ่งถูกใจมากค่ะ. แต่เราก็เกิดคำถามในใจพุดขึ้นมาว่าของราคานี้แบบนี้เราจะใช้จริงหรือเพราะกิเลสความชอบของเรา. สุดท้ายก็ตกลงกับใจว่าเราโดนกิเลสความลวงที่เราชอบให้เราคิดจะซื้อ. ความจริงที่ได้คือเราไม่ความจำเป็นต้องใช้เราก็พอมีอยู่บ้างแม้ซื้อมาก็คงใช้ประโยชน์ได้น้อยไม่คุ้มค่าที่เราต้องจ่ายเงินไป. จึงกลับมาด้วยความสุขใจไม่เสียใจที่ไม่ซื้อเสื้อตัวนั้นชนะกิเลสที่ลวงเราได้ค่ะ.
ได้ร่วมบำเพ็ญฐานงานกสิกรรมกับพี่น้องเมื่อวาน แล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจที่เพื่อนขอเปิดทางระบายน้ำมาในแปลงที่ตัวเองทำอยู่เพื่อไม่ต้องเสียเวลาไปปิดทางต้นน้ำแต่เราคิดว่าถ้าปลูกผักเสร็จแล้วค่อยปล่อยน้ำเข้าจะดีกว่าเพราะเดินง่ายกว่าไม่ต้องจมโคลน
ผัสสะ
เพื่อนขอเปิดทางระบายน้ำมาใส่แปลงที่ตัวเองยังทำไม่เสร็จ
ความลวง
เพื่อนมาเบียดเบียนตัวเอง
ความจริง
เราขาดความเคารพในมติหมู่ เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองคิดน่าจะดีกว่า ยึดดีไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
1-ชื่อเรื่อง: การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
2-เนื้อเรื่อง: ความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของผู้อันเป็นที่รักเคารพสูงสุดของชีวิต
ได้จากไปสู่แดนอันไกลโพ้น อย่างไม่วันหวนทวนกลับคืนมาตลอดกาล ใน
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2563 เมื่อเวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา
ทำให้ สภาวของจิตใจหดหู่ เศร้าสลดเสียใจ อย่างฉํบพลันที่ไม่มีโอกาส
ได้อยู่ใกล้ๆต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แม้จะได้วางจิตใจไว้แล้ว
ว่า จะต้องมีวันนี้ วันที่ต้องสูญเสียผู้เป็นมงคล เป็นที่รักเคารพสูงสุดของ
ชีวิต อย่างแน่นอนของทุกๆชีวิต แม้กระทั่งตัวของเราเอง ก็ต้องมีวันนี้
3-ผัสสะ:
1.ผัสสะทางกาย การกระทบ การถูกต้อง การสัมผัส เป็นเพียงการสร้างความรู้สึก
ขึ้นมาเอง โดยมิได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองโดยตรงต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
2.การที่ตา หู จมูก ลิ้น และกายกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่รับรู้ได้ด้วย
กายสัมผัส หรือ ความสุขทางสัมผัส เป็นความรู้สึก นึกคิด ที่เราสร้างขึ้นมาเอง
และมิได้เกิดจากการที่ตัวของเราเข้าไปสัมผัสกับเหตุการณ์นั้นๆโดยตรงและจริงๆ
4-ความลวง: คือการตัวของเราได้คาดการณ์ คาดเดา สถานการณ์ เรื่องราวต่างๆที่เกิด
ขึ้นภายนอกรอบๆตัวของเราที่ตัวของเราสร้างความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ ขึ้นมาเอง
5-ความจริง: เรื่องจริงๆที่ตัวของเราได้รับ คือ การจากไปของผู้ที่เป็นมงคลกับตัวของเรา
อันเป็นที่รักเคารพสูงสุดของชีวิต
ตัวของเราสามารถพิจารณาเปรียบเทียบได้ คือ ตัวของเราโชคดียิ่งนัก ที่ท่าน
อาจารย์หมอเขียวได้แนะนำ นำสวดถึงการพิจารณาบททบทวนธรรม บทอภิณหปัจจ-
เวกขณปาฐะ ในช่วงเวลที่เข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมในตอนเช้าซึ่งทำให้ตัวของเรา
น้อมนำมาสวดและปฏิบัติตัวอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้ตัวของเราตั้งขึ้นได้เร็วในช่วงเวลา
สั้นๆ ไม่มัวแต่เสียเวลาไปกับการเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของท่าน อีกทั้งทำให้ตัว
ของเราเป็นสุขใจ อิ่มเอิบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นเข่นนี้มาก่อน จึงทำให้ได้รู้ว่าการปฏิบัติ
ธรรมตามแนวทางของพ่อครูและท่านอาจารย์หมอเขียวนั้น เป็นจริง ใช้ได้จริง และถูก
ตรง อันเป็นมงคลของชีวิตอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรแท้จริง ถูกตรง ยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
จริงอยู่สภาวการณ์โดยทั่วๆไป ต่อเหตุการณ์ที่เกิดอย่างฉับพลันนี้ ก็เป็นเหตุให้
ร่างกายของเรามีอาการทรุดลงอย่างพิจารณาและอย่างเด่นชัดว่าตัวของเราก็มีอาการที่
ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆที่ต้องเกิดการสูญเลียที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต แม้มิได้เศร้าโศกเสียใจที่
เหมือนคนอื่นๆ แต่ในสภาวการณ์ของเรานั้น แม้ไม่แสดงออกให้คนอื่นๆเห็นก็จริง แต่ตัว
ของเราเองเห็นได้ชัดเจนมากๆว่าทุกสิ่งทุกอย่างไหลกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเราเอง
อย่างปฏิเสธไม่ได้ ที่เป็นเหตุให้ร่างกายของเราเพียงทรุดลงเท่านั้น แต่ไม่มากมาย
แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ ตัวของเราสามารถเรียกพลังชีวิตให้กลับคืนมาในช่วงเวลา
อันรวดเร็ว ไม่เสียเวลาหรือคล้อยตามไปกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จนทำให้พลังชีวิต
สูญเสียตามเหตุการณ์นั้นๆไปด้วย
ในกาลนี้ เราควร “พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
เราพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ เราพึงพิจารณาเนืองๆ
ว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุ
แล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อเขินใน
กาลภายหลัง”
เจริญธรรม สำนึกดี ไม่โทษใคร มีใจไร้ทุกข์ สาธุครับ
ชื่อเรื่อง เข้าประชุมไม่ตรงเวลา
เนื้อเรื่องหรือเรื่องย่อ ได้อ่านไลน์กลุ่มทำให้ทราบว่ามีนัดประชุมทาง Zoom วันเสาร์เวลา 18.00 – 20.00 น.แต่พอถึงวันประชุมจริงกลับเข้าใจผิดคิดว่าประชุมเวลา 19.00 – 20.00 น. จึงได้บอกให้พ่อบ้านและลูกช่วยบอกว่าถ้าถึงเวลา 18.30 น.บอกแม่ด้วยนะ วันนี้แม่มีประชุมเวลา 19.00-20.00 น. จะเข้าก่อนเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม พอถึงเวลา 18.30 น. ก็ได้เข้าร่วมประชุมปรากฎว่าใช้ iPhone ก็เข้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป็น ipad ก็เข้าไม่ได้ ใจชักขุ่น ๆ แต่ก็ยังมีตัวเลือกเหลืออีกคือ notebook ปรากฎว่าเข้าร่วมประชุมได้แต่พอดูเวลาแล้วปรากฎว่าเวลาล่วงไปเป็น 19.06 น. แล้ว ปกติเราเป็นคนตรงต่อเวลาจึงยึด
ผัสสะ ขุ่นใจที่เข้าร่วมประชุมไม่ตรงเวลา เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้มีปัญหา ทำให้ล่าช้าและยังจำเวลาประชุมผิด
ความลวง เมื่อเข้าร่วมประชุมตรงเวลาจะสุขใจ แต่ถ้าไม่ตรงเวลาจะทุกข์ใจ
ความจริง เข้าร่วมประชุมตรงเวลาหรือไม่ตรงเวลาก็สุขใจได้
เรื่อง ตากผ้าช่วงหน้าฝน
ช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ยังเป็นช่วงหน้าฝนอยู่แม้จะมีลมหนาวมาบ้างแล้วทำให้เรารู้ว่าหน้าหนาวกำลังจะมาเยือน หน้าฝนกำลังจะจากไป และปีนี้กรุงเทพฯก็ไม่เจอน้ำท่วมใหญ่ ในกรุงเทพฝนตกเกือบทุกวัน เวลาฝนตกหนักแป๊บเดียว ขับรถบนถนนเส้นประจำที่ใช้เดินทางจะต้องฝ่ามวลน้ำที่รอระบายสูงไม่น้อย บางวันพายุเข้าพาฝนมาแต่เช้าถึงเย็น ซักผ้าแล้วตากก็ไม่ค่อยจะแห้ง แม้ จะมีลมพัดผ่านอยู่บ้างเล็กน้อยก็ตาม บางวันก็ไม่ได้ซักผ้าเลย
ผัสสะ
ตากผ้าไว้ ต้องคอยเก็บเข้าร่มเพราะฝนตก ผ้าจะแห้งช้าบางวันผ้าก็อับชื้น ไม่เหมือนหน้าร้อนที่ตากเช้าเก็บเย็นได้
ความลวง
กังวลใจว่าผ้าที่ตากจะไม่แห้ง อับชื้น แห้งไม่ทันเวลาที่เรารีดผ้าประจำอาทิตย์ละครั้ง
ความจริง
เป็นธรรมชาติที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในชีวิตเราก็ผ่านมาหลายฝนแล้วนะ แต่ความกังวลในใจในเรื่องผ้าที่ตากจะไม่แห้งทันใจยังคงอยู่ พอพิจารณาในใจ แล้วรู้ว่าเป็นกิเลสที่ปรากฏกายขึ้นมาให้เห็นแล้ว ก็พิจารณาต่อเพื่อล้างความยึดมั่นถือมั่นในใจที่โผล่มาในรูปรอยที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเรา ผ้าจะแห้งเท่าไหร่ก็รีดเท่าที่แห้ง หรือแห้งเมื่อไหร่ก็หาเวลารีดเท่าที่จำเป็นต้องใช้ พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนไปตามองค์ประกอบเหตุปัจจัย ใจก็คลายจากความกังวลใจทันที สุขสบายใจ ไร้กังวล
ไม่เข้าใจกันก็เป็นทุกข์
การทำงานกับหมู่มิตรดีคือการสร้างแรงเหนี่ยวนำที่ดีต่อกันเคารพนับถือกัน จึงทำให้หลายอย่างเรียบง่าย ราบรื่น แต่หากไม่มีการคบคุ้นกันมาก่อน หลายๆสิ่งหลายๆอย่างก็จะเกิดการเพ่งโทษ ถือสากันไปจนถึงเกิดการเข้าใจผิดกันได้ บางครั้งถ้าคิดแต่จะแก้ปัญหาจากข้างนอก โดยไม่มีหมู่มิตรดีช่วยชี้ขุมทรัพย์ ช่วยกันสังเคราะห์ เราก็อาจจะไม่ได้เห็นประโยชน์จากผัสสะที่มากระทบกันจนเกิดแรงสนิทานได้ทั้งพลังบวกและไปในทางลบได้
ผัสสะ : พี่น้องเข้าใจผิดและเพ่งโทษแล้วเราไม่สบายใจ
ความลวง : กลัวว่าเมื่อมีคนมาเพ่งโทษและเข้าใจผิด ไปคิดแทนว่าเป็นเพราะเราทำให้ท่านไม่พอใจ
ความจริง : ไม่ว่าใครจะเข้าใจผิดหรือถูกก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปทุกข์ใจแทนเขา ก่อนจะไปแก้ไขใจคนอื่น ก็มาตรวจใจเรา ล้างกิเลสด้วยการตั้งอธิศีล คิด พูดและทำให้ถูกต้องก่อน ยอมรับและสำนึกผิดก่อนว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมาทั้งนั้น เมื่อเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้ ก็ต้องบำเพ็ญบุญสร้างกุศลดี สะสมไปในครั้งต่อไปเมื่อเจอปัญหาใดๆก็ตามเราจะยังยิ้มและหัวเราะได้ กับความพร่อง และข้อผิดพลาดโดยไม่ยึดมั่นว่าถ้าเข้าใจถูกนั้นดี เข้าใจผิดไม่ดี
ชื่อเรื่อง ชานมไข่มุก
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่ามมา ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่ต่างเมือง(เมืองไลป์ซิก Leipzig) ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ และได้ไปเดินตลาดขายพืชผัก ผลไม้ และไปเดินดูคนที่มากมาย
เพื่อนได้ชวนไปซื้อชานมไข่มุก เพื่อนชักชวนว่า มันอร่อยมาก ๆ คนต่อแถวซื้อนานเพราะเป็นที่นิยม รสชาติเหมือนที่เมืองไทยเลย โดยสวนตัวแล้วจะไม่ได้รู้สึกอยากดื่ม แต่เพื่อนและลูกชายอยากดื่ม จึงได้ไปต่อแถวซื้อ พอเห็นคนต่อแถวซื้อจำนวนมาก กิเลสบอกว่าเรา ต้องอร่อยแน่ ๆ เลย จึงได้ซื้อมาดื่มด้วย
ผัสสะ คือ ได้ยินเพื่อนบอกว่า มันอร่อยมาก เห็นคนต่อแถวซื้อเยอะ แสดงว่ามันต้องอร่อยจริง และความรู้สึกระลึกถึงตอนที่เคยดื่มที่เมืองไทยด้วย เกิดแรงเหนี่ยวนำอยากดื่มชาไข่มุก
ความลวง คือ ชามันหอม รสชาติหวานมัน ความหนึบหนับของไข่มุก มันอร่อยนะ
ความจริง คือ มันก็แค่ชาใส่นมและน้ำตาล ไข่มุกก็แค่แป้งเหนียว ๆ ลูกกลม ๆ ไม่มีประโยชน์เลย ที่คนต่อแถวเยอะ เพราะร้านพึ่งเปิดใหม่ คนก็อยากลองดื่ม
สุดท้ายแล้ว ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ดื่ม เพื่อนจึงได้ช่วยเรา จัดการดื่มจนหมด
ความจริงความลวง
ผัสสะคือเห็นของที่ชอบอยากกิน คือ Chipหรือที่เขาเรียกว่า แป้งข้าวโพดทอดกรอบ จิ้มน้ำซ้อท พริกของเม็กซิกัน ของชอบของโปรดเมื่อสมัยก่อน แต่ตอนหลังได่เลิกกินแล้ว วันนี้เดินผ่านทำไมน้ำลายมันเหนียวมันอยาก ใจมันคิดคงหอมกรอบมันเค็มจิ้มน้ำซอสเปรี้ยวเผิดมันเค็ม ถ้าได้ชิมคงดี
ความลวง มันล่อใจ คือกิเลส ความอยาก นึกถึงลิ้มรสรสชาติที่เคยกินถ้าได้กินสักชิ้นคงหวานมันกรอบอร่อยยิ่งจิ้มน้ำซอสพริกแล้วสุดยอด ความลวงเป็นอุปทานมันมาจากประสาททั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราไปสัมผัส
ความจริง มันเป็นอาหารว่าง กินเล่น อาหารที่ผ่านการสังเคราะห์ อาหารที่เป็นพิษ เพราะเอาแป้งข้าวโพดไปหมัก แลัวมาผ่านความร้อน อบให้แห้ง เติมเกลือ แล้วเอาไปทอดให้กรอบกับไขมันที่อิ่มตัว แล้วมาใส่สี บรรจุใส่ถุงล่อใจให้คนซื้อ พอเรานึกถึงความเป็นพิษของมัน เราเลยหมดความอยากเดินผ่านอย่างเฉยเมยไม่แลมัน เราทำได้แล้ว และเราจะทำต่อๆไป เราจะไม่ยอมโง่กว่ากิเลสอีกแล้ว
Comments are closed.