631018 การบ้านอริยสัจ (10/2563)
นักศึกษาสถาบันวิชชารามส่งการบ้าน อริยสัจ 4 ประจำวันที่ 12-18 ตุลาคม 2563 (อ่านที่มาและรายละเอียดเพิ่มเติมของการบ้าน)
สรุปสัปดาห์นี้มีผู้ส่งการบ้านรวม 33 ท่าน ( 41 เรื่อง)
- สุนิตา มอนิทเซอร์
- ใจถึงศีล โพธิ์คำ
- อรวิภา กริฟฟิธส์
- จรัญ บุญมี
- พรพรรณ เอ็ทสเลอร์
- พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์
- นางจิราภรณ์ ทองคู่
- จิตรา พรหมโคตร
- จงกช-ป้าย่านาง
- นางมัณฑนา บาเยิร์น ศีลประดับ
- ธัญมน หมวดเหมน
- บัณฑิตา โฟกท์
- นาง โยธกา รือเซ็นแบรก์
- นางสาวฐิติมา ใหม่สมเด็จ
- ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
- ศรีรวม มั่งมา
- ปิ่น คำเพียงเพชร
- สมบัติ วิคเตอร์
- พรพิทย์ สามสี
- นางนงลักษณ์ สุวรรณคีรี
- นปภา รัตนวงศา (แก้วมั่นศีล)
- ตรงพุทธ ทองไพบูลย์
- นฤมล ยังแช่ม
- ณ้ฐพร คงประเสริฐ
- สำรวม แก้วแกมจันทร์
- ชลิตา แลงค์
- น.ส. ชรินรัตน์ ชุมจีด (น้ำน้อมศีล) 6112008004
- นางพรรณทิวา เกตุกลม
- ศิริพร ไตรยสุทธิ์
- นายรวม เกตุกลม
- นงลักษณ์ สมศรี(ลายใบไม้)
- ขวัญจิต เฟื่องฟู
- พลศักดิ์ สุขยิ่ง (เพชรแก่นพุทธ)



แนะนำบทความที่มีเนื้อหาใกล้เคียง
Post Views: 286
น้องสาวเป็นหนี้
รู้ว่าน้องสาวเป็นหนี้มาสองปีแล้ว และวันที่เราได้อยู่กันพร้อมหน้ากับครอบครัว พอดีเจ้าหนี้ก็แวะมาทวงหนี้ น้องสาวก็ไม่ยอมรับหน้ากับเจ้าหนี้ เราก็จึงไปรับหน้าแทนน้องสาวอีกครั้งนึง เราก็เลยได้ถามกับเจ้าหนี้ว่า หนี้อะไรยังไงเขาบอกว่าน้องสาวเป็นหนี้มานานแล้ว แอนก็เลยบอกเจ้าหนี้ว่าเราขอเวลาไปคุยกันน้องสาวก่อนได้มั้ยว่า จะช่วยกันได้เท่าไรอะไรยังไง หลังจากนั้นเจ้าหนี้เขาก็ยอมกลับไปแต่น้องไม่สามารถจะใช้หนี้คืนได้ รอให้น้องสาวแก้ปัญหาเอง เมื่อเจ้าหนี้มาตามทวงเงิน ทำให้แม่เป็นทุกข์ แต่ครั้งนี้เลยถามว่ามีหนี้เท่าไร จะได้ใช้หนี้คืนเขาไปให้หมด
ทุกข์ : กังวลที่น้องสาวไม่ยอมใช้หนี้
สมุทัย : เพราะน้องสาวจะไม่ยอมใช้หนี้เอง ใจเราก็เลยกังวลและกลัวว่าเราต้องมาใช้หนี้แทนน้องสาว เราก็เลยเป็นทุกข์
นิโรธ : (สภาพดับทุกข์ ) สุดท้ายแล้วเราจะใช้หนี้แทนน้องสาวก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ใจเราก็เป็นสุข เพราะเราก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
มรรค : ตั้งศีลว่าจะไม่โกรธน้อง จากเหตุการณ์นี้ เราก็อธิบายและให้สภาวธรรมกับครอบครัวไป และทุกคนก็รู้สึกดีไม่ทุกข์ ส่วนเราก็สบายใจมากขึ้น.
ทำให้ใจเราคลายความกังวลไปได้ เพราะเราก็เคยเป็นเช่นนั้นมามากกว่านั้น จึงสามารถช่วยให้ทุกคนในครอบครัว รวมถึงเจ้าหนี้สบายใจได้ทุกฝ่าย จะเห็นได้ว่าถ้าเราวางใจไม่โกรธ ปัญหาทุกปัญหาก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะบานปลายไปมากกว่านี้ คงต้องมีเรื่องราวทะเลาะกันมากกว่านี้ค่ะ
เรื่อง :- อุบัติเหตุที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย
อริยสัจ ๔ :-
1-ทุกข์ คือ สภาพหรือสถานการณ์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นสภาพของความ
ลำบากทั้งทางกายและทางใจ ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเศร้า
โศกเสียใจทั้งปวง นั้น เป็นความทุกข์ที่เกิดอุบัติเหตุจาการเดินเปลือยเท้า ทำให้ฝ่าเท้า
ได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่เกิดจากการถูกเศษแก้วพลาสติคบาดฝ่าเท้า เป็นสภาพการณ์ที่
ทำให้เดินไม่สะดวก ทำงานไม่ถนัดนัก ซึ่งเป็นเพียงความไม่สบาย เจ็บปวดทางร่างกาย
เท่านั้น
2- สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์นั้น ซึ่งความทุกข์ทั้งปวงมักเกิดจากความไม่รู้ ความไม่
เข้าใจในโลก ความอ่อนประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งความไม่รู้เหล่านี้เป็น
สาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
อุบัคิเหตุที่เกิดขึ้นนั้น เพราะตัวของเราทำเองไม่ใช้ความระมัดระวัง พินิจ พิจารณา
ให้ถ่องแท้ถึงสภาพทางเดินที่มีแสงสว่างไม่มากนัก และ รก ในห้องเก็บของและตู้เย็น
ซึ่งมีสิ่งของต่างๆวางเรียงรายอยู่มากมาย ทำให้บดบังเศษแก้วน้ำแตกตกอยู่บนพื้นทางเดิน
3- นิโรธ คือ ความไม่มีทุกข์ ซึ่งก็หมายถึงการเข้าใจในสมุทัย ความเข้าใจสาเหตุแห่ง
ทุกข์ ความเศร้ามัวหมองทั้งปวง
หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าแล้ว ก็เข้าเข้าใจได้ว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจาก
ความพลั้งเผลอไม่ พินิจ พิจารณา สังเกตุให้ดี ถึงสภาพทางเดินและบาดแผลที่ได้รับนั้น
เป็นอย่างไร มากน้อยเพียงใด จะทำการรักษาบาดแผลอย่างไร ใช้อะไร เช่น มีอุปกรณ์
อะไรบ้าง
4- มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มรรคมีองค์ 8 หรือ
วิธีการดับทุกข์ทั้งปวงนั้นมีอยู่ 8 ประการนั่นเอง
หนทางที่จะทำให้การเจ็บป่วย บาดแผลที่ฝ่าเท้าได้ทุเลาเบาบางลง จนกระทั่งหาย
เป็นปกติโดยเร็ววันนั้น ได้ใช้หลักทั้ง 8 ด้วยมรรค 8 กล่าวคือ :-
……….1. สัมมาทิฏฐิ คือ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่า การเห็นเหตุที่เกิดจากการไม่
ใช้ความระมัดระวังที่ดี จึงต้องทำให้ตัวของเราให้หายจากอาการบาดเจ็บ
……….2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น เพราะอาการ
เจ็บป่วย ก็ใช้วิธีการรักษาตามหลักการของแพทย์วิถีธรรม ใช้น้ำปัสสาวะเก่า
หมักเปลือกมังคุด ในการห้ามเลือด ระงับอาการอักเสบของบาดแผลที่ฝ่าเท้า
เพื่อให้การบาดเจ็บทุเลา เบาบางลง อย่างรวดเร็ว
……….3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง แม้จะเป็นการรำพึง รำพันกับตัวเองก็ตาม ต้อง
ไม่กระวน กระวายใจ หรือ บ่นพร่ำ รำพันกับตัวเองจนเกินเหตุ และป้องกันไม่ให้
อาการบาดเจ็บบานปลายไปจนถึงบาดเจ็บทางจิตใจ ด้วยอาการวิตก กังวลใจ
……….4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง ด้วยการรักษาอาการทางร่างกายให้บรรเทา
อาการบาดเจ็บ-บาดแผลที่ฝ่าเท้าให้ทุเลาโดยเร็ว
……….5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้องด้วยการใช้ชีวิตให้เป็นปกติ ดั่งเช่นที่ไม่มีอะไร
เกิดขึ้นด้วยการทำงานอื่นๆที่จะไม่ให้กระทบกระเทือนบาดแผลให้มากเกินไป)
……….6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง(พักผ่อน ผ่อนคลาย การทำงานบางอย่าง
อย่างรู้เพียร รู้พัก เพื่อไม่ให้อาการบาดเจ็บทางด้านร่างกายเพิ่มมากขึ้น)
……….7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง(ใช้สติในการใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้อง ด้วย
การปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า พ่อครู ท่านอาจารย์
……….8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง (ใช้สติตามหลักทบทวนธรรม ระงับอารมณ์ไม่
พลุ่งพล่าน กระวน กระวายใจ เพราะ “ตัวเราทำมาเอง” ให้มีเพียงบาดทางร่างกาย
เท่านั้น และ มิให้ระบาดจนกลายเป็นบาดเจ็บทางใจ
การปรับสภาวธรรม ด้วยการรักษาอาการบาดเจ็บทางกายให้เป็นไปตามสภาวปกติ เพื่อจะ
ไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บทางใจเพิ่มมากขึ้น ดั่งที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้บรรยายไว้ กล่าว
คือ บาดเจ็บทางร่างกาย เป็นเพียงอาการเท่ากับฝุ่นปลายเล็บเท่านั้น แต่หากปล่อยให้
อาการดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น อาจจะทำให้เป็นอาการเจ็บป่วยทางใจ ที่เป็นเจ็บป่วยทั้งแผ่นดิน
และใช้บทปลงกับอาการเจ็บป่วยด้วยคำว่า “ตัวของเรา ทำมาเอง” จึงทำให้อาการบาด
เจ็บที่ฝ่าเท้าได้ทุเลาเบาบางลงอย่างรวดเร็ว
ชังคนขายน้ำชา
เนื่องจากที่บ้าน พ่อบ้านเขาดื่มกาแฟ และทุกครั้งเวลาเขาจะดื่มกาแฟเขาจะถามเราว่าน้ำชา? น้ำชาในที่นี่ก็คือ น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นเพราะตัวเองไม่ดื่มกาแฟ พอเขาเอาถ้วยน้ำร้อนมาวางให้เราเขาจะพูดว่าน้ำชา เราก็กล่าวขอบคุณเป็นอัตโนมัติ แต่มีบางครั้งที่เรายุ่งอยู่ไม่ทันกล่าวขอบคุณ เขาจะไม่ไปไหนจะยื่นอยู่นั่นแหละ และก็พูด น้ำชา น้ำชา ๆๆๆ พูดซ้ำๆ จนเราต้องหยุดจากสิ่งที่เราทำอยู่ มองเขาแล้วถามว่าจะเอาอะไร คำขอบคุณใช่มั้ย เขาตอบว่าใช่ พอเรากล่าวขอบคุณ เขาจะยิ้มแล้วเดินไป เรารู้สึกเคืองในใจ รำคาญ ไม่พอใจพฤติกรรมเด็กๆ ของพ่อบ้าน และวันนี้ก็เกิดเหตุการณ์อันนี้ขึ้นมาอีก แต่วันนี้เราเห็นอาการกิเลสของเรา นี่มันเป็นกิเลสนี่ อาการชังพ่อบ้านเป็นกิเลส เรารีบสำนึกผิดและกล่าวขอโทษเขา และขอบคุณที่เขามาเตือนเรา เป็นกระจกส่องกิเลสให้เรา เราเคยเป็นเช่นนี้มาทำดีต้องมีสิ่งตอบแทน ทำดีต้องการความชื่นชม ทวงบุญคุณ ขี้โลภ ไม่จ่าย ชอบของฟรี แล้วยังมีหน้าไปชังเขาอีกมันชั่วเกินไปแล้วเรา ดีแล้วที่เขาทวงเราจะได้จ่ายไม่เป็นหนี้
ทุกข์ ไม่ชอบพฤติกรรมพูดซ้ำซาก ถ้าเขาหยุดจะสุขใจ ถ้าเขาไม่หยุดจะทุกข์ใจ
สมุทัย อยากให้พ่อบ้านหยุดพูดซ้ำซาก
นิโรธ เขาจะหยุดพฤติกรรมพูดซ้ำซากก็สุขใจ เขาไม่หยุดก็สุขใจ
มรรค เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งว่า เราเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มา เคยเป็นมา เคยส่งเสริมมา สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา สำนึกผิดและยินดีรับโทษ เต็มใจใช้หนี้ วิบากร้ายก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น ทำดีไม่ถือสาไปเรื่อยๆ เราไปชังเขาก็เป็นการสร้างทุกข์เพิ่ม เป็นวิบากไม่ดีเป็นแรงเหนี่ยวนำที่ไม่ดี
ทุกข์ ลูกสาวลูกเขยไม่ได้ดังใจ
สมุทัย อยากได้อยากเอาดีจากลูก
นิโรธ ลูกจะดีไม่ดี ก็ไม่ทุกข์
มรรค มองให้ดีลูก็ดีอยู่นะ เขาไม่เรียกร้องให้เราต้องรับผิดชอบอะไรเขามาก ลูกเขยแม้จะไม่ขยันเราก็ใช้ใจเราไปวัดเอง ข้อดีเราไม่ค่อยมองเขาไม่ติดเหล้า การพนันก็ดีมากแล้ว สิ่งที่ลูกทำให้ไม่ได้ สัจจะคือเราทำดีมาเท่านี้เราก็รับเท่านี้ก็ถูกแล้ว ที่ผ่านมาเราจะขโมยดี จะเอาเกินสัจจะ พิจจรณาไตรลักษ์ ให้เวลาคนหน่อยค่อยๆสอนไป ลูกก็ใช่จะเป็นอย่างเดิมตลอด ก็ทำดีเรื่อยไป ก็จะดีไปเรื่อย ใจเย็นข้ามชาติ สาธุ
เข้ากลุ่มทำการบ้านกับเพื่อน เสนอเพื่อนให้ทำตามความคิดของคนเอง เพื่อนก็ตอบว่าได้เราจะทำตามคำแนะนำ แต่เมื่อการบ้านเสร็จแล้ว พบว่าเพื่อนไม่ได้ทำอย่างที่ได้แนะนำไป เห็นใจตนเองเต้นเร็ว และร้อนวูบวาบไปทั้งตัว จึงพยายามตั้งสติ หายใจเข้าออกยาวๆ สักพักสติก็กลับมา เห็นตัวกิเลสตัวไม่พอใจเพื่อนอยากจะพูดและถามเพื่อนว่าทำไมไม่ทำตามคำแนะนำของตนเอง.
ทุกข์ ไม่พอใจที่เพื่อนไม่ทำตามคำแนะนำของตัวเอง
สมุทัย ชอบที่เพื่อนทำตามคำแนะนำ แต่ไม่ชอบที่เพื่อนไม่ทำตามคำแนะนำของคัวเอง
นิโรธ ไม่ชอบไม่ชังที่เพื่อนจะไม่ทำตามคำแนะนำของตัวเอง
มรรค กลับมาพิจารณาที่ใจของตนเอง ว่าทำไมไม่พอใจเพื่อน ก็คิดขึ้นได้ว่าเพื่อนจะทำตามความคิดของเพื่อนก็ได้ไม่เห็นเสียหาย ขอให้การบ้านเสร็จและทันเวลาส่งก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของเราก็ได้ เห็นตัวเองในตัวเพื่อนเลย เพราะสมัยเรียนตัวเองก็ไม่ค่อยเชื่ออาจารย์ที่สอนเหมือนกัน ปากก็บอกกับอาจารย์ที่สอนว่า คะจะทำตามที่อาจารย์สอน แต่แล้วตัวเองก็ทำตามใจของตัวเอง ขอบคุณเพื่อนท่านนี้และเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองได้ใช้วิบาก และได้ล้างใจ เข้าใจเพื่อน และศรัทธาตัวเองมากขึ้น อาการที่ไม่ชอบใจเพื่อนก็หายไป มีอาการเบาสบายมาแทนที่คะ สาธุ
ชื่อเรื่อง ป่วยหนักยังไม่ทุกข์เท่าเจอเรื่องที่เราชัง
เนื้อเรื่อง
วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ ไปกินไอศครีมกับเพื่อนที่มาจากกรุงเทพฯ ตอนอยู่ในร้านไอศครีมเริ่มรู้สึกแล้วว่าไม่สบาย เพราะปลายนิ้วเย็นมากจนชาไปแล้ว พอกลับมาถึงบ้านก็ไข้ขึ้นสูงเลย ทีแรกก็พยายามลดไขด้วยผ้าชุบน้ำเย็น ปรากฎว่ายิ่งเช็ดไข้ก็เหมือนยิ่งสูง จึงเริ่มมีสติคิดได้ว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุร้อนเย็นพันกัน เพราะตัวร้อนหัวร้อนก็จริง แต่มือเท้าเย็นเจี๊ยบเลย จึงเปลี่ยนมาเช็ดตัวด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์ร้อนผสมกับฤทธิ์เย็น ซึ่งก็คือตะไคร้กับใบเตย พอแตะผ้าชุบน้ำสมุนไพรครั้งแรกเท่านั้นก็รู้เลยว่าถูกแล้ว เพราะมันโล่งไปเยอะ อาการปวดแบบบีบ ๆ ในหัวมันหายไปเลย จึงใช้แนวทางฤทธิ์ร้อนผสมฤทธิ์เย็นในการดูแลต่อมาตลอดจนหายดี
แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่อาการป่วยดีขึ้นมากแล้ว ไข้ลดลงแล้ว แต่ยังปวดหัวอยู่มาก ปวดรุนแรงจนนอนไม่หลับ แก้ยังไงก็ไม่หาย จึงมาคิดว่าอันนี้น่าจะเกิดจากวิบากกกรรมหรือไม่ก็กิเลส มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่กำลังปวดหัวอย่างรุนแรง ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งแล้วคิดพิจารณาว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่ ผมคิดไปเรื่อย ๆ นานเป็นชั่วโมง แต่เหมือนจะไม่เข้าเป้าเลยสักเรื่อง จนในที่สุด เวลาประมาณตีหนึ่ง ผมคิดถึงภาพหลอน ๆ ในหัวแว้บ ๆ ที่เป็นภาพคลิปวีดีโออะไรสักอย่าง ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ ภาพนี้ทำให้ผมเกิดความกลัวว่าตัวเองได้เผลอและหลงไปเป็นคนที่ติดดีเข้าให้แล้ว ก็ดูสิ ขนาดป่วยอย่างนี้แล้วก็ยังคิดเรื่องงานอยู่เลย ด้วยความกลัวเช่นนั้น ผมจึงรีบวางและติดอยู่กับความรู้สึกว่าไม่อยากเป็นคนติดดี พอพิจารณามาถึงตรงนี้เองที่เพิ่งจับได้ว่า นี่มันคือลีลาของกิเลสนี่นา มันหลอกให้เราคิดว่าเราจะไม่ติดดี แต่จริง ๆ แล้วเราได้ติดกับของความไม่อยากติดดีไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีใครมาว่าเราว่าติดดี เราจะเสียใจมาก พอคิดได้มาถึงตรงนี้ผมก็โล่งเลย เข้าใจเลยว่าทำไมเราจึงรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ก็เจ้ากิเลสซ่อนกลนี่เองที่มาลวงหลอกเราให้หลงชังการติดดี และกลัวเป็นคนติดดี ในขณะที่ความกลัวการติดดีนั้นกำลังหลอกหลอนผมอยู่หลัด ๆ แท้ ๆ
ทุกข์
กลัวการเป็นคนติดดี ถ้าใครมาว่าเราว่าเป็นคนติดดีเราจะเสียใจมาก เศร้าใจมาก
สมุทัย
มีความชังซ่อนแฝงอยู่ในจิต ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนติดดี ถ้าใครมาบอกว่าเราเป็นคนติดดีเราจะทุกข์ใจ ถ้าใครมาบอกว่าเราเป็นคนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เราจะสุขใจ
นิโรธ
สภาพที่ไม่ชอบไม่ชัง ใครจะว่าเราติดดีก็ได้ หรือว่าเราปล่อยวางก็ได้ เราจะไม่ทุกข์ใจไปกับคำพูดของคนอื่น
มรรค
พิจารณากรรมก่อน ถ้าเรามีการกระทำที่เกิดจากเจตนาที่ต้องการยึดดี แล้วมีคนมาว่าเราติดดี ก็แปลว่าเขาว่าได้ถูกต้อง เราก็ตรวจสอบทบทวนแล้วแก้ไขเสีย อย่ายึดมั่นถือมั่น เท่านั้นเรื่องก็จบ ไม่จำเป็นต้องทุกข์อะไร
อีกแง่หนึ่งคือพิจารณาลีลาของกิเลส ที่แอบซ่อนมาทำภาพหลอน ๆ ในหัวตอนที่เราป่วย แปลว่าเรามีความชอบชังอยู่ลึก ๆ เป็นช่องทางให้กิเลสแทรกซึมเข้ามาได้ แล้วมันก็ทำได้ผล ภาพที่มันทำมาหลอกทำให้เรากลัวจะถูกหาว่าเป็นคนติดดี รีบคิดปล่อยวาง รีบที่จะไม่เอาใจใส่เรื่องงานทันที กลัวมากว่าคนจะหาว่าเราติดดี นี่คือกิเลสที่เลวร้ายมาก มันทำให้เราหลงทาง ไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง ตกอยู่ใต้อำนาจครอบงำของกิเลส กลัวโดยไม่จำเป็น
พอพิจารณาจนเห็นตัวจริงของกิเลสแล้ว มันก็หายไปทันที ความกลัว กังวล และอาการเครียด ๆ ในหัว หายไปทันที ดีใจยิ่งกว่าลดไข้ได้สำเร็จเสียอีก
วันที่ 12 ตุลาคม 2563 กินอาหารไม่สมดุล กลางคืนเวลา 01.30 น.ของวันถัดมา เกิดอาการฝายลมบ่อยๆ พอรุ่งขึ้นตั้งแต่ 03.00 น. เริ่มถ่ายหนักและถ่ายไม่ปกติ มีลมแน่นแล้วปวดหนัก เป็นหลายครั้งจึงตั้งศีลกินมื้อเดียว และกินแต่ข้าวกับเกลือ ปรากฎว่าอาการดีขึ้นเรื่อยๆ และหายในวันเดียวกัน ทำให้รู้ว่าต่อไปต้องประมาณในการบริโภค. ทุกข์ ผายลมและปวดหนักบ่อย สมุทัย ถ้าไม่ผายลมและไม่มีอาการปวดหนักบ่อยจะสุขใจ แต่ถ้าเป็นบ่อยจะทุกข์ใจ. นิโรธ จะผายลมและปวดหนักบ่อยก็สุขใจ จะไม่ผายลมและไม่ปวดหนักบ่อยก็สุขใจ. มรรค เชื่อเรื่องกรรม ที่เราเป็นเพราะไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า คือไม่ประมาณในการบริโภคจึงทำให้มีอาการที่ไม่พึงประสงค์ และใช้ญาณเจ็ดพระโสดาบันคือขอโทษเต็มใจรับโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตั้งจิตทำสิ่งดี และช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ จิตก็ไร้ทุกข์ ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ
เรื่อง:ข้าวเกรียบทอด
เนื้อเรื่อง:น้องสะไภ้เรียกไปหา เมื่อไปถึงจึงรู้ว่าเรียกไปกินข้าวเกรียบเจทอด เห็นความกรอบรู้สึกอยากกินแต่ไม่กินเพราะไม่มีประโยชน์และตั้งศีลว่าวันนี้จะไม่กินข้าวเกรียบทอด ถ้าสู้ไม่ไหวจึงจะกิน
ทุกข์:เห็นข้าวเกรียบทอดแล้วอยากกิน
สมุทัย:(เหตุแห่งทุกข์)อยากกินข้าวเกรียบทอด
นิโรธ:(สภาพดับทุกข์)จะได้กินข้าวเกรียบทอดหรือไม่ได้กินก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค(วิธีปฏิบัติ)เมื่อจับอาการอยากกินข้าวเกรียบได้แล้วก็พิจารณาว่า
1.ความไม่เที่ยงของความอยากกิน(กิเลส)แม้ได้ไปกิน ก็อร่อยแว๊บเดียวก็หมด มันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนไม่มีสาระอะไร เราเคยกินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเก็บไม่ได้เลย เดี๋ยวก็อยาก เดี๋ยวก็เบื่อ มันไม่เที่ยงนะ ความอร่อยมันไม่มีจริง ต่อให้มีก็เก็บไม่ได้ สุขที่เก็บไม่ได้กับสุขที่เก็บได้ เราจะเอาอะไร เอาสุขที่เก็บได้ดีกว่าคือการไม่กินข้าวเกรียบทอด
2.พิจารณาความเป็นทุกข์ต่อไปว่า มันไม่ใช่สุขนะถึงแม้ว่าสุขก็จริงเพียงแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หมด ติดกิเลสมันคือทุกข์มันไม่ใช่สุข เวลาเราอยากก็ไม่สบายใจ พอได้กินสมใจก็ทุกข์ลดลงชั่วคราวหลงว่าเป็นสุข แล้วสุขนั้นก็สลายไป แล้วก็อยากใหม่อีกสร้างทุกข์ ลดทุกข์ ทุกข์ใหญ่ขึ้นลดลงนึดนึง ทุกข์ใหญ่ขึ้น แต่ละครั้งก็ยังมีวิบากร้ายไม่สิ้นสุด ใจที่เป็นพิษอีก70% แล้วยังพืษของข้าวเกรียบอีก 30% อยากมากๆก็ทำไม่ดีได้ทุกเรื่องเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำไม่ดีอีก เป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตามคนอื่นก็ต้องทุกข์กายทุกข์ใจเป็นวิบากร้าย
ผลปรากฏว่า:ในวันนั้นไม่ได้กินข้าวเกรียบทอดและไม่นึกอยากกิน
ผลของการล้างกามเรื่องข้าวเกรียบทอดจาก100% ล้างได้ 80%
การบ้านวิชชาราม(นางจงกช – ป้าย่านาง) รหัส นศ 5911001010
อริยสัจ 4 (ตอนที่ 4)
ทุกข์ : การไม่สามารถช่วยงานหมู่กลุ่มได้เท่าเดิม
สมุทัย : เพราะข้อมือซ้ายที่ไม่มีเรี่ยวแรงจากการหักเนื่องจากอุบัติเหตุ
นิโรจ : เราต้องวางใจว่า เราจะช่วยงานหมู่ได้ หรือไม่ได้ดีเท่าเดิม ก็ได้
มรรค : เมื่อตรวจใจว่า เรามีความตั้งใจในการจะไปช่วยงานหมู่ แต่เมื่อมือยังไม่สามารถใช้งานได้ดี ขณะช่วยงานหมู่ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวอย่างที่ควรเป็น ซึ่งจะเป็นผลต่อการทำให้งานหมู่ล่าช้ากว่าที่ควรเป็น เราก็ไม่สามารถจะทำให้ดีกว่านั้นได้เพราะต้องประมาณน้ำหนักของสิ่งที่เราต้องยก มีบางคราวที่ทำให้สิ่งนั้นล่วงจากมือ หมู่ก็ต้องพลอยพะวงและเป็นห่วงว่าเราจะไหวหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องมาปรับความยึดงานในขณะนั้นของเราโดยต้องถอยห่างออกมา มาช่วยหยิบถุงหรือทำอย่างอื่นที่เราสามารถทำได้โดยไม่ทำให้ข้อมือบาดเจ็บ จึงทำให้วันต่อมาเราต้องเปลี่ยนงานโดยหันมาช่วยงานในครัวซึ่งไม่ต้องใช้แรงเยอะ เมื่อเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจเราก็ไม่มีอะไรต้องทุกข์อีก
“Suffering will not able to effect your spirit if you know how to change your mind to the better situation”
ความจริงความลวง (ตอนที่ 4)
“มหัศจรรย์ (impossible) ” เป็นคำลวงหรือความลวง เพราะสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มาจากธรรมชาติที่สังเคราะห์กันตามเหตุตามปัจจัยที่สามารถมองเห็นและไม่สามารถมองเห็นได้ ที่เราเรียกว่า”กาย”ซึ่งมาจากรูปและนาม (สิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็จึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็มีไม่ได้) ไม่มีอะไรที่มหัศจรรย์ถ้าเรามี”ปัญญา”เข้าถึงสิ่งนั้นได้เฉกเช่น พพจ (ผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง)
“ความเป็นไปได้หรือ พอเป็นพอไป(possible)” เป็นคำจริงหรือความจริงที่จะเป็นไปได้ เช่น เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ต้องมีความทุกข์ ถ้ายังไม่รู้วิธีดับทุกข์ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ จนชาติใดชาติหนึ่งที่เข้าใจสภาวะไม่มีตัวตนหรือถึงนิพพานในทุกเรื่อง ดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ก็สามารถเลือกปรินิพพาน คือสูญไป ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกได้
ชื่อเรื่อง : สงสารเพื่อน
เนื้อเรื่อง : มีเพื่อนท่านหนึ่งโทรศัพท์มาเล่าความรู้สึกว่าอยากกลับประเทศไทยและกล่าวให้ร้ายรัฐบาลและท่านนายกฯต่างๆที่ทำให้กลับประเทศยุ่งยากลำบาก
เพื่อนท่านนี้ได้เคยระบายเรื่องนี้กับข้าพเจ้าหลายครั้งและ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงได้เมตตาปราถนาดีชี้แจงอธิบายรายละเอียดความจรืงตามภูมิและตามข้อมูลที่ได้รับรู้มาเพื่อเตือนสติชี้ความเป็นเป็นจริงให้เพื่อนท่านนี้พิจารณาแต่คำพูดและเสียงที่ข้าพเจ้าเปล่งออกไปรู้สึกว่าดังและทำให้เพื่อนท่านนี้ขอหยุดการคุยเรื่องนี้ไปก่อน ข้าพเจ้าได้ตรวจที่ใจเห็นกังวลความหวั่นไหวในใจเล็กๆตนเองนึกสงสารเพื่อนที่ตนเองได้พูดเสียงดังไปหรือเปล่าทำให้เพื่อนท่านนี้ไม่พอใจจึงขอให้เราหยุดพูด และเปลี่ยนเรื่องคุย
จึงน้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ :มีกังวลหวั่นไหวใจไม่แช่มชื่น สงสารเพื่อน ที่เพื่อนให้หยุดพูดและไม่คุยต่อ
สมุทัย :1. กลัวเพื่อนจะไม่พอใจกับน้ำเสียงและคำพูดของเรา คือ ชอบที่เพื่อนจะรับฟังและคุยต่อ ชังที่เพื่อนไม่รับฟังและไม่คุยต่อ
2.กลัวเพื่อนจะไม่เข้าใจในความปรารถนาดี คือชอบที่เพื่อนจะเข้าใจและชังที่เพื่อนจะไม่เข้าใจในความปราถนาดี
นิโรธ : ไม่ชอบไม่ชังที่เพื่อนจะรับฟังและคุยต่อ หรือเพื่อนจะไม่รับฟังและไม่คุยต่อ/เบิกบานใจได้แม้เพื่อนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในความปราถนาดีของเรา
มรรค : สงบใจพิจารณาว่าเรามีความปราถนาดีที่บริสุทธิ์ก็ดีแล้วทำเต็มที่แล้ว เราจะเอาอะไรจากเพื่อนอีก เพื่อนจะรับฟังต่อหรือไม่รับฟังต่อก็ได้ เพื่อนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในความปราถนาดีเราก็ได้ ปล่อยวางผลเท่าที่ดีจะเกิด เมตตาต่อตนเองก่อนคือหยุดความคิดที่ปรุงไปคิดกลัวต่างๆเพราะเรากำลังจะเบียดเบียนตนเองกำลังจะผิดศีล เมื่อระลึกได้ดังนี้ความรู้เนื้อรู้ตัวก็กลับคืนมาสำนึกผิดขอโทษขออโหสิกรรมต่อตนเองและต่อเพื่อน ความกังวลหวั่นไหวคลายลง90-100% ใจเบิกบานแช่มชื่นเป็นปกติภายในสิบนาที กราบขอบพระคุณเพื่อนที่ทำให้เห็นกิเลสและได้ล้างกิเลส สาธุ
อริยสัจ 4 the four noble truth
บำเพ็ญอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำเข้าเดือนที่หก แม่ก็เริ่มโทรมาถามว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้านแม่เริ่มไม่ไหวแล้วนะถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้าได้ยินแม่ทำเสียงแบบนี้เราจะทุกข์ใจแรงเพราะห่วงท่านมาก กลัวสารพัด กลัวท่านไม่สบาย กลัวท่านตาย แต่ถึงตอนนี้รู้สึกว่าใจเรานิ่งขึ้นเห็นความกังวล ร้อนรน กระวนกระวายใจที่อยากจะรีบกลับบ้านทันทีเพราะเป็นห่วงแม่มากๆเหมือนแต่ก่อนลดลงไม่ใช่ไม่รักแม่เท่าเดิม แต่มันเหมือนเรามองเห็นความจริงตามความเป็นจริงบางอย่างที่ทำให้ความทุกข์ใจเราน้อยลง
The truth of suffering
ทุกข์ใจแรง(เมื่อก่อน)กลัว กังวล กระวนกระวายใจ ไม่มีความสุข
The truth of cause of suffering
เป็นห่วงแม่ กลัวแม่ตายกลัวสูญเสียท่านเพราะเรารักท่านมาก
The truth of the end of suffering
ใจหนักแน่นมั่นคงขึ้น ความหวั่นไหว ความกลัวที่จะพลัดพรากหรือเสียสิ่งที่รักคนที่รักน้อยลง ความทุกข์ในใจลดลง
The truth of the path to end of suffering
เข้าใจและยอมรับความจริงตามความเป็นจริงได้มากขึ้นว่าชีวิตทุกชีวิตมีเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา ทุกอย่างไม่เที่ยงอย่ายึดมั่นถือมั่น และเชื่อที่อ.หมอบอกว่าคนทุกคนมีกรรมเป็นของๆตนและชีวิตทุกชีวิตจะพ้นทุกข์ได้ทั้งหมดไม่ชาตินี้ก็ชาติอื่นๆสืบไปเพราะฉะนั้นเราไม่ต้องห่วงใคร
ชื่อเรื่อง : ห่วงใยพี่น้องที่กินเห็ดป่า
เนื้อเรื่องย่อ : มีพี่น้องท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าไปเก็บเห็ดป่ามา เป็นเห็ดที่ไม่คุ้นเคยแต่มีพี่น้องที่ไปเก็บด้วยกันบอกว่ากินได้ และ ท่านก็กำลังจะทำแกงเป็นอาหารขณะที่เล่า ข้าพเจ้าตรวจใจเห็นความกังวลหวั่นไหวห่วงใยว่าจะเป็นเห็ดมีพิษทานแล้วจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะ มีสํญญาเก่ามีเพื่อนท่านหนึ่งกินเห็ดป่ามีพิษแล้วมีอาการอาเจียนและท้องเสียต้องส่งโรงพยาบาล ..เมื่อตรวจเจอว่าใจไม่แช่มชื่นกังวลหวั่น จึงได้น้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ : มีความกังวล หวั่นไหวห่วงใยพี่น้องกินเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย
สมุทัย : 1.กลัวพี่น้องจะเป็นอันตรายจากเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย คือชอบที่พี่น้องจะกินเห็ดป่าที่กินได้และคุ้นเคย ชังที่พี่น้องกินเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย
นิโรธ :1. ไม่ชอบชังที่พี่น้องจะกินเห็ดป่าที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
2.วางใจได้กับวิบากของพี่น้องแต่ละท่าน
มรรค : ตั้งสติพิจารณาโทษที่เราคิดแบบนี้ ว่าเป็นความคิดที่เป็นโทษเบียดเบียนตนเอง ผิดศีลจึงรีบสำนึกผิดขอขมา ขอโทษขออโหสิกรรมต่อตนเองและต่อพี่น้องที่เราเผลอสติปรุงแต่งคิดให้ใจเป็นทุกข์ ฝึกวางใจและเข้าใจวิบากกรรมของแต่ละชีวิต เจริญสติรู้เนื้อรู้ตัว ใจก็คลายความกังวลหวั่นไหวคลายความห่วงใยพี่น้องลง90%และได้เล่าสภาวะให้พี่น้องฟังว่าเรารู้สึกกังวลหวั่นไหวเป็นห่วงว่าจะกินเห็ดมีพิษพี่น้องก็ได้บอกว่าเห็ดชนิดนี้มีพี่น้องอีกท่านบอกว่ากินได้ ไม่ต้องห่วง ใจเราก็คลายลง95% จึงพิจารณาต่อเข้าใจให้ชัดๆเรื่องวิบากกรรม ใจก็คลายลงเบิกบานใจได้100% ไม่ชอบไม่ชังที่พี่น้องจะกินเห็ดป่าหรือไม่กิน วางใจได้เข้าใจเรื่องกรรมของแต่ละชีวิต กราบสาธุธรรมค่ะ
สรุป: ตอนเช้าในวันรุ่งขึ้นพี่น้องที่ทานเห็ดทั้งสองท่านปลอดภัยดี สาธุค่ะ
ทุกข์อริยสัจ๔
ทุกข์เพราะนั่งนิ่งๆไม่ได้ ,,หัวเราะไม่รู้จักาลเทศะ
สมุทัย:เป็นคนทำอะไรเร็วๆ และลืมตัวบ่อยมาก เห็นอะไรก็หัวเราะไปหมด บางเรื่องไม่น่าหัวเราะก็หัวเราะจนไม่รู้ว่าเรื่องใหนจริงเรื่องใหนเล่น ไม่ชอบที่ตัวเองเหมือนคนบ้า ชอบที่จะตัวเองนิ่งๆ
นิโรธ:ไม่ชอบไม่ชัง นิ่งก็ได้ไม่นิ่งก็ได้ /หัวเราะก็ได้ไม่หัวเราะก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ระลึกถึงบทททบทวนธรรม ข้อที่4 สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา เพราะเราเคยทำมาก่อนคิดไม่ดีกับคนที่ หัวเราะง่าย คิดว่าเขาว่าไม่เต็มบาทไม่เห็นน่าหัวเราะเลย ตอนนี้เราเป็นบ้ากว่าเขาอีก .
และว่าลูกชายด้วยบ่อยๆ ทำไมไม่นิ่ง อยู่เฉยบ้างได้มั้ยทำอะไรเร็วเกินไปว่าแต่เขาตัวเราเป็นเอง .
และอีกครั้งมี่เพื่อนฝรั่ง ซี้ปึกสนิทคุยกันได้ทุกเรื่อง และก็ชอบหัวเราะร่วนเหมือนเราแบบไม่ต้องหาเหตุผล วันหนึ่งญาติสามีเพื่อนเสียชีวิต เราก็ปลอบใจกันพูดว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ เกิดมาต้องตายเราก็เช่นกัน. พูดแล้วก็ยึ้ม เพื่อนท่านนั้นเลิกคบกับเราเลยตั้งแต่วันนั้น นี่คือผลเสียที่ไม่ดู เวลาเขาเศร้า เราไประรื่น ทั้งหมดทั้งสิ้น คือเราทำมาเอง แต่เราก็พยายามปรับปรุงตัวเองมาตลอดแต่ยังทำไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าเดิมอีก .
กราบขอโทษ ขออภัยตัวเองที่พลาดทำมา .
กราบขอโทษ ขออโหสิกรรม ผู้เราเคยคิดไม่ดี ,ลูกชาย ,เพื่อน ,ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ข้าพเจ้ารู้แล้ววิบากกรรมมีจริง ขอชดใช้ที่ ข้าพเจ้าทำมา.
ข้าพเจ้าขอตั้งศีลละ ลดเรื่องการหัวเราะพูดเล่นให้น้อยลง ทำอะไรให้ช้าลง โดยเฉพาะ (ใจ) ให้อยู่ปัจจุบันให้มากๆ .และขอพยายามพากเพียรปฎิบัติต่อไป. กราบสาธุค่ะ .
ทุกข์ จากการนอนไม่หลับ
สมุทัย เพราะทาน ทอดมันเจ
นิโรธ หลับตอนไหนก็ได้
มรรค พิจารณาโทษของการ ทาน ของ เจที่ปรุงแต่ง
วันที่ 14 ตุลาคม 63 ข้าพเจ้าทำอาหารใส่ปิ่นโตไปทาน ที่ มจร พอถึงเวลาเที่ยง ก็ทานอาหารกลางวันพร้อมกับเพื่อน เราก็ ทาน ของเราตามลำดับ เพื่อน ก็ทานของเพื่อน เพื่อนทานเสร็จก่อน มีกับข้าวเหลือ คือทอดมันเจ เพื่อนก็ถามว่าทานไหม เราก็เห็น ว่า เป็นของปรุงแต่ง แต่ ความ มีอาการ ที่ยังไม่จบกับเรื่อง การเสพ ของปรุงแต่ง ยังเห็นว่ายังมีอยู่ แต่เราก็รู้ว่ามันมีโทษ แต่ก็ยังทำ ซ้ำอีก ผลที่ได้ คือมีอาการท้องเสีย ตอนนอน ก็นอนไม่หลับ ทำให้ กังวล ก็นึกย้อนว่าทำอะไร ก็ทราบเหตุผลว่าเป็นที่อาหาร ทอดมันเจออกฤทธิ์แน่นอน ก็ใครใจ ว่าหลับตอนไหนก็ได้แต่ก็ได้เห็นโทษของอาหารเจ ที่ปรุงแต่ง แน่ชัดขึ้น ก็พยายาม จะพักเพียร ต่อสู้กับกิเลสตัวนี้ต่อไป ตามอินทรีย์พละ ที่ได้กระทบผัสสะณเวลานั้น
การเรียนป.โทมสธ.คณะเกษตรศาสตร์ พร้อมกับทำงานไปด้วย ลง2ชุดวิชาพร้อมกันและรายงานต้องเขียนด้วยลายมือและมีหลายฉบับ เราต้องตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือสรุปรายงานยังไม่มีเวลาไปเก็บข้อมาทำรายงานอีกฉบับ แล้วยังมีงานราษฏร์งานหลวงทำให้จิตใจกังวล ขาดความสงบทางใจไปหลายส่วน
เหตุแห่งทุกข์ ความไม่สบายใจ วิตกกังวลกลัวการบ้านไม่ทัน
สภาพดับทุกข์ พยายามเรียงลำดับงานและค่อยๆทำไปทีละอย่าง
วิธีดับทุกข์ พยายามทำเต็มที่แล้วก็วางใจ บางคนเขาทำช้ากว่าเราก็มีได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น
มรรค หนทางดับทุกข์ ใช้ยาเม็ดหลักขัอ9 รู้เพียรรู้พักตามเหุตปัจจัย
ทุกข์. ในใจคือ เราได้สร้างภาระคือซื้อรถไว้ใช้ที่เมืองไทย. ตอนนี้คุณแม่จากไปจึงต้องให้หลานดูแลและรถเกิดแบตเตอรี่เกิดหมดอายุ. ใช้งานไม่ได้ แต่ไม่แจ้งให้เราทราบเกือบ3 สัปดาห์แล้วค่ะ. สมุทัยคือกลัวว่ารถจะเสียหาย เพราะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม. นิโรธที่ได้คือต้องใช้ให้หลานอีกคนไปทำงานที่เราทำเองไม่ได้. จึงเกิดมรรคขึ้นโดยหลานซื้อของใหม่มาเปลี่ยนให้ไหม่ . ทำให้เราไม่ต้องทุกข์เพราะการที่เราสร้างภาระเองค่ะ.
ไปค่ายพระไตรปีฏกรุ่น ความสำเร็จของงานไม่ใช่ความสำเร็จของงาน ความสำเร็จของใจคือความสำเร็จของงาน
ก่อนไปเราก็ได้ตัดผมสั้นเรียบร้อยแต่พออยู่ในค่ายเราก็ตัดอีกตัดผมในค่ายไม่มีกระจกเหมือนร้านทั่วไปของเราตัดกลางคืนด้วยโดยใช้ไฟแดดส่อง ก่อนตัดทำไมเราปากหนักไม่บอกช่างว่าไม่ตัดให้สั้นมากนักเราไม่คุ้นชินกับผมสั้นโดยกิเลสมันบอกว่าเราอวบอยู่แล้วและหน้าเราก็ไม่สวยถ้าตัดสั้นมันจะดูอวบขึ้นพอตัดออกมาเสร็จเราได้ดูจากกล้องโทรศัพท์โอ๊ยตายทำไมเราดูน่าเกลียดขนาดนี้ข้างหลังก็เป็นทรงแบบผู้ชาย สั้นก็สั้นมาก
(ที่จริงพี่น้องที่ตัดให้ท่านปราถณาดีท่านจะตัดให้ดูดีนั่นแหละ)
แต่กิเลสของเรายังรับไม่ได้ในตอนนั้น
ทุกข์ # ตัดผมสั้นมากไปดูเหมือนผู้ชาย
สมุทัย # ชอบที่จะให้ตัดไม่สั้นมากชังที่ตัดมาแล้วข้างหลังเหมือนทรงผู้ชาย
นิโรธ # ก่อนตัดเราก็ปากหนักอ้าปากไม่ออกที่จะบอกช่างว่าตัดตรงนั้นนิดเดียวนะ ชาติหนึ่งชาติใดเราก็คงเคยแกล้งตัดผมให้คนอื่นเสียหายมาแล้ว โชคดีอีกแล้วได้ใช้วิบาก
จะตัดสั้นก็ได้ไม่สั้นก็ได้จะตัดดูสวยก็ได้ไม่สวยก็ได้ ใจไร้ทุกข์
มรรค # ทั้งที่ผมเราก็สั้นอยู่แล้วแต่ทำไมเราต้องไปตัดอีก เราจะให้สวยอีกกิเลสเราเขาบอกอย่างนั้นแต่ดีเหมือนกันการตัดผมคราวนี้ที่ไม่ถูกใจเราทำใจให้เราฝึกล้างกิเลส
การได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเรา
เป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า ที่ทำให้ได้ฝึกล้างกิเลส
คือความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่นถือมั่นในใจเรา
และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
พระพุทธเจ้าก่อนออกบวชท่านยังปลงผมให้สั้นเลย
เราต้องฝึกล้างออกให้ได้แค่ผมไม่สวยยังล้างไม่ได้ บอกกับตนเองว่าผมสั้นมันสบาย อีกไม่นานผมก็จะยาว เราต้องฝึกล้างยินดีในความไม่ชอบไม่ชัง ตอนนี้ล้างได้แค่ 80% ที่เหลือค่อยเพิ่มศีลล้างต่อไป ใจไร้ทุกข์ ไร้กังวล
ชังงาน
จากภาระงานที่เราได้รับมอบหมายเป็นงานที่เราไม่ชอบ ต้องเร่งรีบในการทำให้ทันเวลาตามที่กำหนดประกอบกับทำงานนี้แล้วจะเกิดอาการทางกายด้วยจะปวดเมื่อยมากเพราะต้องอยู่หน้าคอมฯ
ทุกข์: ไม่ชอบ(ชัง)งานที่ไ้ด้รับมอบหมาย
สมุทัย : อยากให้หน้าที่นี้ออกไปจากภาระงานเสียที
นิผโรธ: ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
มรรค : พิจารณาถึงกฏแห่งกรรมให้ชัดว่า ไม่มีสิ่งใดที่เราโดยที่เราไม่ได้ทำมา ดีที่เราได้รับคือเมื่อชดใช้แล้วก็หมดไปหากยังไม่หมดนั่นแสดงว่าวิบากร้ายยังไม่หมด ยินดี พอใจ เต็มใจ สักวันก็จะหมดไปเอง
เรียน คุรุ แอดมิน ฝากคุรุลบอันเก่าให้ด้วยค่ะเอาอันใหม่นี้ ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ชื่อเรื่อง : หัวเราะเกินงาม
เนื้อเรื่องย่อ : พี่น้องหมู่กลุ่มทักว่าข้าพเจ้าหัวเราะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ และเกินงาม ข้าพเจ้าน้อมรับความเมตตาจากพี่น้องและกำลังฝึกฝนที่จะสำรวมการหัวเราะให้พองามตรงกับสถานการณ์ แต่ก็ยังทำไม่คอยได้ดั่งใจ ยังไม่นิ่งพอ มีความอยากให้ตนเองนิ่งกว่านี้ เห็นกเลสว่าใจร้อนอยากให้ตัวเองนิ่งๆหัวเราะให้ถูกกาลเทศะกว่านี้ จึงน้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ : ใจร้อนเร่งตัวเองให้สงบนิ่งและไม่หัวเราะแต่ยังทำไม่ได้ดั่งใจหมาย
สมุทัย : อยากเป็นคนสงบๆนิ่งหัวเราะแต่พองาม ชังที่ตัวเองหัวเราะเกินงาม ไม่ถูกกาลเทศะชอบที่จะตัวเองนิ่งๆ หัวเราะพองาม
นิโรธ:ไม่ชอบไม่ชัง นิ่งก็ได้ไม่นิ่งก็ได้ /หัวเราะก็ได้ไม่หัวเราะก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ระลึกถึงบทททบทวนธรรม ข้อที่4 สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา เพราะเราเคยทำมาก่อนคิดไม่ดีกับคนที่ หัวเราะง่าย คิดว่าเขาว่าไม่เต็มบาทไม่เห็นน่าหัวเราะเลย ตอนนี้เราเป็นบ้ากว่าเขาอีก .
และว่าลูกชายด้วยบ่อยๆ ทำไมไม่นิ่ง อยู่เฉยบ้างได้มั้ยทำอะไรเร็วเกินไปว่าแต่เขาตัวเราเป็นเอง .
และอีกครั้งมี่เพื่อนฝรั่ง ซี้ปึกสนิทคุยกันได้ทุกเรื่อง และก็ชอบหัวเราะร่วนเหมือนเราแบบไม่ต้องหาเหตุผล วันหนึ่งญาติสามีเพื่อนเสียชีวิต เราก็ปลอบใจกันพูดว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ เกิดมาต้องตายเราก็เช่นกัน. พูดแล้วก็ยึ้ม เพื่อนท่านนั้นเลิกคบกับเราเลยตั้งแต่วันนั้น นี่คือผลเสียที่ไม่ดู เวลาเขาเศร้า เราไประรื่น ทั้งหมดทั้งสิ้น คือเราทำมาเอง แต่เราก็พยายามปรับปรุงตัวเองมาตลอดแต่ยังทำไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าเดิมอีก .
กราบขอโทษ ขออภัยตัวเองที่พลาดทำมา .
กราบขอโทษ ขออโหสิกรรม ผู้เราเคยคิดไม่ดี ,ลูกชาย ,เพื่อน ,ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ข้าพเจ้ารู้แล้ววิบากกรรมมีจริง ขอชดใช้ที่ ข้าพเจ้าทำมา.
ข้าพเจ้าขอตั้งศีลละ ลดเรื่องการหัวเราะพูดเล่นให้น้อยลง ทำอะไรให้ช้าลง โดยเฉพาะ (ใจ) ให้อยู่ปัจจุบันให้มากๆ .และขอพยายามพากเพียรปฎิบัติต่อไป. กราบสาธุค่ะ .
เรื่อง :- การสูญเสียสิ่งอันเป็นมงคลและเป็นที่รักเคารพสูงสุดของชีวิต
อริยสัจ ๔ และ มรรค ๘ :-
1-ทุกข์ คือ ความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของผู้อันเป็นที่รักเคารพสูงสุดของชีวิต
ได้จากไปสู่แดนอันไกลโพ้น อย่างไม่วันหวนทวนกลับคืนมาตลอดกาล ใน
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2563 เมื่อเวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา
2. สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ผู้อันเป็นมงคลที่รักเคารพสูงสุดของชีวิตจากไป
ทำให้ สภาวของจิตใจหดหู่ เศร้าสลดเสียใจ อย่างฉํบพลันที่ไม่มีโอกาส
ได้อยู่ใกล้ๆต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แม้จะได้วางจิตใจไว้แล้ว
ว่า จะต้องมีวันนี้ วันที่ต้องสูญเสียผู้เป็นมงคล เป็นที่รักเคารพสูงสุดของ
ชีวิต อย่างแน่นอนของทุกๆชีวิต แม้กระทั่งตัวของเราเอง ก็ต้องมีวันนี้
3. นิโรธ คือ ความไม่มีทุกข์ ความเศร้ามัวหมองทั้งปวง และที่ตัวเรายังโชคดีสุดๆ ที่เรียน
รู้ ศึกษาธรรมะอย่างแท้จริงตามแนวทางของพระพุทธเจ้า พ่อครู ท่านอาจารย์
หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน ให้เราได้ซึมซับในบทสวดมนต์ที่ว่า “จะล่วงพ้น
ความแก่ไปไม่ได้ จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
เราจะละเว้นเป็นไปต่างๆ , คือว่าเราจะต้องพลัดพราก จากของรักของเจริญใจ
ทั้งหลายทั้งปวง เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ ให้ดีๆ
จึงทำให้ตัวของเราได้คลายความความเศร้าโศกเสียใจในครั้งนี้ได้อย่าง
รวดเร็ว และไม่ควรที่จะเศร้าโศกเสียใจให้เวลาล่วงเลยไปมากนัก เพราะทำให้
ตัวของเราที่หากมัวแต่เสียเวลาเศร้าโศกที่ได้สูญเสียคั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ท่านก็ไม่
อาจหวนกลับตืนมามีชีวิตในช่วงที่ชราภาพมากแล้ว อีกต่อไปได้ และเมื่อรู้แล้วจึง
ต้องดับทุกข์อันยิ่งใหญ่นี้ที่ใจของเรา อันเป็นทุกข์ทั้งแผ่นดิน ซึ่งอาจะทำให้สภาวะ
ของตัวเราเองตีกลับมาเป็น ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ซึ้งผู้ศึกษา เรียนรู้ธรรมะ ต้อง
ควรปฏิบัติเป็นอย่างดียิ่ง และ อย่างแท้จริง
4. มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ใจ ทุกข์ทั้งแผ่นดิน ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มรรคมี
องค์ 8 หรือ วิธีการดับทุกข์ทั้งปวงนั้นมีอยู่ 8 ประการนั่นเอง
มรรค 8 ประกอบด้วย :-
……….1. สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกต้อง คือ การได้พิจารณาบทอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
เป็นประจำ ซึ่งต้องปฏิบัติให้เป็นประจำ ก็จะทำให้เรานำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว
……….2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้องในบทอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ เป็นประจำ
ต่อเนื่องเป็นเนืองนิจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราหรือกับผู้อื่น ที่เราจะเห็น
อยู่บ่อยครั้ง ที่ไม่อาจระงับยังยั้งความเศร้าโศกเสียใจในการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของ
ชีวิต
……….3. สัมมาวาจา คือการพูดจาที่สมควร ไม่กล่าวคำใดๆให้มากความ เพราะเป็นความ
สูญเสียของเราเอง ไม่ใช่ของใครอื่นเลย แต่ก็ควรจะกล่าวเพียงเล็กน้อย หากต้อง
การมีส่วนร่วมในการรับรู้
……….4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำที่ถูกต้องและสมควรแก่ฐานะของตัวเอง ที่ต้อง
พิจารณาในการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านและต้องไม่เป็นการรบกวนผู้อื่นอย่าง
เด็ดขาด เพราะเป็นเพียงภาระหน้าที่ของเราเองเท่านั้น
……….5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพที่ถูกต้อง เพราะหากตัวของเรา เศร้าโศกเสียใจต่อการ
จากไปฯ ก็อาจจะทำให้เราสูญเสียเวลาที่ควรจะต้องกระทำในการเลี้ยงดูตัวเอง ดู
และ บำรุง รักษาชีวิตของตัวเราต่อไป เพราะมิใช่ว่า กระทำตัวดั่งตัวเราเองจะต้อง
ติดตามท่านไปด้วย
……….6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรที่ถูกต้อง ในการพิจารณาบททบทวนธรรม บท
อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ ให้เป็นประจำ ที่จะทำตัวของเราสุขใจไม่ทุกข์กายทุกข์ใจ
อีกทั้งตัวของเราเองก็จะได้แรงบันดาลใจให้กับตัวเองอย่างมหาศาล
……….7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจที่ถูกต้อง ในการพิจารณาบททบทวนธรรม บท
อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ อย่างมีสติ ก็จะทำให้ตัวของเราตั้งตัวได้ในช่วงเวลา
สั้นๆและรวดเร็ว โดยปริยายและอัตโนมัติ ซึ่งเป็นไปตามสภาวธรรมของตัวเราเอง
อย่างเยี่ยมยอดที่สุด
……….8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นที่ถูกต้อง ในการพิจารณาบททบทวนธรรม บท
อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ อย่างมีจิตใจที่ตั้งมั่น มั่นคง ไม่เรรวน ปรวนแปรไปตาม
สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัว หรือในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่จะทำให้เราสงบ
ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่พร่าเพ้อ เพ้อเจ้อ ต่อการสูญเสียในครั้งนี้
การปรับสภาวธรรม ตัวของเราโชคดียิ่งนักที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้แนะนำ นำสวดถึงการ
พิจารณาบททบทวนธรรม บทอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ ในช่วงเวลที่เข้าค่ายสุขภาพแพทย์
วิถีธรรมในตอนเช้าซึ่งทำให้ตัวของเรา น้อมนำมาสวดและปฏิบัติตัวอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้
ตัวของเราตั้งขึ้นได้เร็วในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มัวแต่เสียเวลาไปกับการเศร้าโศกเสียใจต่อการ
จากไปของท่าน อีกทั้งทำให้ตัวของเราเป็นสุขใจ อิ่มเอิบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นเข่นนี้มาก่อน
จึงทำให้ได้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพ่อครูและท่านอาจารย์หมอเขียวนั้น เป็น
จริง ใช้ได้จริง และถูกตรง อันเป็นมงคลของชีวิตอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรแท้จริง ถูกตรง ยิ่ง
กว่านี้อีกแล้ว
จริงอยู่สภาวการณ์โดยทั่วๆไป ต่อเหตุการณ์ที่เกิดอย่างฉับพลันนี้ ก็เป็นเหตุให้
ร่างกายของเรามีอาการทรุดลงอย่างพิจารณาและอย่างเด่นชัดว่าตัวของเราก็มีอาการที่
ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆที่ต้องเกิดการสูญเลียที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต แม้มิได้เศร้าโศกเสียใจที่
เหมือนคนอื่น แต่ในสภาวการณ์ของเรานั้น แม้ไม่แสดงออกให้คนอื่นๆเห็นก็จริง แต่ตัว
ของเราเองเห็นได้ชัดเจนมากๆว่าทุกสิ่งทุกอย่างไหลกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเราเอง
อย่างปฏิเสธไม่ได้ ที่เป็นเหตุให้ร่างกายของเราเพียงทรุดลงเท่านั้น แต่ไม่มากมาย
แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ ตัวของเราสามารถเรียกพลังชีวิตให้กลับคืนมาในช่วงเวลา
อันรวดเร็ว ไม่เสียเวลาหรือคล้อยตามไปกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จนทำให้พลังชีวิต
สูญเสียตามเหตุการณ์นั้นๆไปด้วย
ในกาลนี้ เราควร “พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
เราพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ เราพึงพิจารณาเนืองๆ
ว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุ
แล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อเขินใน
กาลภายหลัง”
เจริญธรรม สำนึกดี ไม่โ?ใคร มีใจไร้ทุกข์ สาธุ
ส่งการบ้านทุกข์อริยสัจ
เมื่อเช้าของวันที่ 8 ตุลาคม 63ขณะนั่งฟังธรรมของท่านอาจารย์หมอเขียว มีอาการง่วงนอน ขยับท่านั่งไปมาก็แล้ว ใช้น้ำปัสสาวะกลั่นทาหน้าก็แล้ว หยอดตาด้วยน้ำสกัดย่านางก็แล้ว ยังง่วงนอนอยู่ก็เลยใช้น้ำมันเขียวทาจมูกทาคอ อีกส่วนเอามาป้ายตา วิบากเข้าคะน้ำมันเขียวส่วนหนึ่งไหลเข้าตาด้านขวา เริ่มแสบมากลืมตาไม่ได้ น้ำตาไหลตลอด มองเห็นอาจารย์ได้ฝ้าฟางมืด ปวดแสบมาก ก็ใช้น้ำย่านางสกัดใส่ตาบ่อยๆ สรุปวันนั้นทั้งวัน ลืมตาไม่ได้เหมือนมีเม็ดทรายอยู่ในตา หรือเหมือนกระจกตาฉีกขาดตาบวมแดงปวด ต้องใช้เม็ดที่9ของอาจารย์ทั้งวัน นอนพักตลอด ค่อยๆเอาน้ำสมุนไพรสกัดหยอดใส่ตาไปเรื่อยๆ และหลับตานิ่งๆ อาการค่อยๆดีขึ้น
ทุกข์ ปวดตา ตาบวมลืมตาไม่ขึ้น
สมุทัย สุขใจที่ตาปกติ ไม่สุขใจที่ตาไม่ปกติ
นิโรธ ตาจะปกติหรือไม่ปกติก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทุกคนจะได้รับตามวิบากดีวิบากร้ายที่เราทำมา สิ่งที่เราได้รับยังน้อยกว่าที่เราทำมาอีกเพราะมีวิบากดีที่ทำมาช่วยเหลือเราไว้ รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น โชคดีอีกแล้วร้ายหมดไปอีกแล้ว รับเต็มไป หมดเต็มไป แต่ก่อนก็ชอบใช้สายตาจิก เล่ ดูถูกคนอื่นมามาก จึงต้องใช้วิบากไป ตานี่เหลาะที่ไปชอบอยากได้โน้น อยากได้นี่เพื่อเอามาพอกกิเลส โดยเฉพาะเสื้อผ้า มีมากจนไม่มีที่เก็บล้นออกมา
นอกตู้ กว่าจะล้างได้มันยากจริงๆเพราะทำมาเยอะค่อยไปลดไปคะ เราก็จะโชคดีขึ้น
ชื่อเรื่อง เข้าประชุมไม่ตรงเวลา
เนื้อเรื่องหรือเรื่องย่อ ได้อ่านไลน์กลุ่มทำให้ทราบว่ามีนัดประชุมทาง Zoom วันเสาร์เวลา 18.00 – 20.00 น.แต่พอถึงวันประชุมจริงกลับเข้าใจผิดคิดว่าประชุมเวลา 19.00 – 20.00 น. จึงได้บอกให้พ่อบ้านและลูกช่วยบอกว่าถ้าถึงเวลา 18.30 น.บอกแม่ด้วยนะ วันนี้แม่มีประชุมเวลา 19.00-20.00 น. จะเข้าก่อนเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม พอถึงเวลา 18.30 น. ก็ได้เข้าร่วมประชุมปรากฎว่าใช้ iPhone ก็เข้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป็น ipad ก็เข้าไม่ได้ ใจชักขุ่น ๆ แต่ก็ยังมีตัวเลือกเหลืออีกคือ notebook ปรากฎว่าเข้าร่วมประชุมได้แต่พอดูเวลาแล้วปรากฎว่าเวลาล่วงไปเป็น 19.06 น. แล้ว ปกติเราเป็นคนตรงต่อเวลาจึงยึด
ทุกข์ เข้าร่วมประชุมช้า
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ เมื่อเข้าร่วมประชุมช้ากิเลสก็บอกว่า ถ้าเข้าตรงเวลาจะสุขใจ แต่ถ้าไม่ตรงเวลาจะทุกข์ใจ
นิโรธ สภาพดับทุกข์ ได้บอกกิเลสไปว่านี่นะฉันรู้ทันเธอแล้วจะเข้าร่วมประชุมตรงเวลาหรือไม่ตรงเวลาก็สุขใจ
มรรค วิธีดับทุกข์ เชื่อเรื่องกรรมว่าเราต้องเคยไปทำให้ใครหลงมึนเมามาก่อนเราจึงจำเวลาประชุมผิดหรือไม่ก็ต้องไปขัดขวางคนดีที่เขาจะทำกิจอันดีให้เขาเสียเวลา เราจึงต้องมาเจอในครั้งนี้ ยินดีรับยินดีให้หมดไปจะได้โชคดีขึ้นพร้อมกับใช้ญาณเจ็ดพระโสดาบันข้อที่ 4 คือรีบสำนึกผิด พอสำนึกผิดจิตก็ปลอดโปร่ง โล่งเบาสบาย ได้ถึง 100 %
แก้ไขใหม่
ชื่อเรื่อง : หัวเราะเกินงาม
เนื้อเรื่องย่อ : พี่น้องหมู่กลุ่มทักว่าข้าพเจ้าหัวเราะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ และเกินงาม ข้าพเจ้าน้อมรับความเมตตาจากพี่น้องและกำลังฝึกฝนที่จะสำรวมการหัวเราะให้พองามตรงกับสถานการณ์ แต่ก็ยังทำไม่คอยได้ดั่งใจ ยังไม่นิ่งพอ มีความอยากให้ตนเองนิ่งกว่านี้ เห็นกิเลสว่าใจร้อนอยากให้ตัวเองนิ่งๆหัวเราะให้ถูกกาลเทศะกว่านี้ จึงน้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ : ใจร้อนเร่งตัวเองให้สงบนิ่งและไม่หัวเราะแต่ยังทำไม่ได้ดั่งใจหมาย
สมุทัย : อยากเป็นคนสงบๆนิ่งหัวเราะแต่พองาม ชังที่ตัวเองหัวเราะเกินงาม ไม่ถูกกาลเทศะชอบที่จะตัวเองนิ่งๆ หัวเราะพองาม
นิโรธ:ไม่ชอบไม่ชัง นิ่งก็ได้ไม่นิ่งก็ได้ /หัวเราะก็ได้ไม่หัวเราะก็ได้ ก็ไม่ทุกข์ใจ
มรรค: ระลึกถึงบทททบทวนธรรม ข้อที่4 สิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับ โดยที่เราไม่เคยทำมา เพราะเราเคยทำมาก่อนคิดไม่ดีกับคนที่ หัวเราะง่าย คิดว่าเขาว่าไม่เต็มบาทไม่เห็นน่าหัวเราะเลย ตอนนี้เราเป็นบ้ากว่าเขาอีก .
และว่าลูกชายด้วยบ่อยๆ ทำไมไม่นิ่ง อยู่เฉยบ้างได้มั้ยทำอะไรเร็วเกินไปว่าแต่เขาตัวเราเป็นเอง .
และอีกครั้งมี่เพื่อนฝรั่ง ซี้ปึกสนิทคุยกันได้ทุกเรื่อง และก็ชอบหัวเราะร่วนเหมือนเราแบบไม่ต้องหาเหตุผล วันหนึ่งญาติสามีเพื่อนเสียชีวิต เราก็ปลอบใจกันพูดว่า เป็นธรรมดาของมนุษย์ เกิดมาต้องตายเราก็เช่นกัน. พูดแล้วก็ยึ้ม เพื่อนท่านนั้นเลิกคบกับเราเลยตั้งแต่วันนั้น นี่คือผลเสียที่ไม่ดู เวลาเขาเศร้า เราไประรื่น ทั้งหมดทั้งสิ้น คือเราทำมาเอง แต่เราก็พยายามปรับปรุงตัวเองมาตลอดแต่ยังทำไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าเดิมอีก .
กราบขอโทษ ขออภัยตัวเองที่พลาดทำมา .
กราบขอโทษ ขออโหสิกรรม ผู้เราเคยคิดไม่ดี ,ลูกชาย ,เพื่อน ,ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ข้าพเจ้ารู้แล้ววิบากกรรมมีจริง ขอชดใช้ที่ ข้าพเจ้าทำมา.
ข้าพเจ้าขอตั้งศีลละ ลดเรื่องการหัวเราะพูดเล่นให้น้อยลง ทำอะไรให้ช้าลง โดยเฉพาะ (ใจ) ให้อยู่ปัจจุบันให้มากๆ .และขอพยายามพากเพียรปฎิบัติต่อไป. กราบสาธุค่ะ .
ส่งการบ้านทุกข์อริยสัจ
ได้เดินทางกลับจากภูผาฟ้าน้ำถึงเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 เพราะพ่อนัดผ่าตัดตาในเช้าวันที่ 16 ตุลาคมหลังจากเลื่อนนัดไปครั้งหนึ่งจากอาการหอบหืดจากถุงลมโป่งพอง ก่อนเข้ารพ.ครั้งนี้ก็มีอาการ ไอมีเสมหะเยอะ หอบไม่มากแต่ก็ต้องลุกขึ้นมาพ่นยาตอนดึกๆทุกคืน จึงเป็นกังวลว่าจะไม่ได้ผ่าตัดอีก และถ้าหมอตรวจแล้วผ่าตัดได้ อาการที่ไอมีเสมหะมากๆจะมีผลต่อกระจกตาไหม ทุกข์ กังวลกลัวพ่อจะไม่ได้ผ่าตัด หลังผ่าตัดจะมีอาการกระทบกับเลนส์ตาหรือไม่
สมุทัย ถ้าได้ผ่าตัดจะสุขใจ ถ้าไม่มีผลข้างเคียงกับการผ่าตัดจะสุขใจ
ถ้าไม่ได้ผ่าตัด มีผลข้างเคียงกับการผ่าตัดจะทุกข์ใจ
นิโรธ พ่อจะได้ผ่าตัดหรือไม่ได้ผ่าตัดก็สุขใจ
จะมีอาการข้างเคียงหรือไม่มีอาการข้างเคียงก็สุขใจ
มรรค ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จแล้วจากใจ ก็แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของใครๆเกิดจากใจที่คิด พูด ทำดีหรือไม่ดีทั้งนั้น สั่งสมเป็นวิบากดีร้ายต่อชีวิตแต่ละชีวิต ถ้าพ่อทำวิบากดีมามากท่านก็จะได้ผ่าตัดตามที่ท่านตั้งใจ และจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆเกิดขึ้น แต่ถ้าทำวิบากร้ายมามากท่านก็จะไม่ได้ผ่าตัด และจะมีผลข้างเคียงตามมานั้นเอง จะทุกข์ใจไปทำไม เมื่อท่านคิดได้แบบนี้ทุกอย่างก็ราบรื่น การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี แผลผ่าตัดเรียบร้อยดีคะ
อ.พร่ำสอนให้เพิ่มศีลก็เพิ่มศีลอยู่คะ วันนี้กินอาหารสูตร1คะ จะทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ
ไข้ที่ใจ
วันเสาร์ที่ 17 ต.ค. ได้มีโอกาสไปพุทธสถานศาลีอโศก ชวนแม่ไปด้วย ก่อนชวนก็วางใจว่าแม่จะไปหรือไม่ไปก็ได้ ถ้าแม่ไปก็เป็นวิบากดีของแม่ แม่ก็ตกลงไปด้วย ในช่วงบ่ายมีโอกาสได้ช่วยงานที่ร้านใจฟ้า ก็ชวนแม่ไปด้วย เผื่อเขาจะมีงานอะไรให้เราทำ ไปช่วยติดสติ๊กเกอร์สินค้า ปุ้ยเป็นคนเขียนราคา ให้แม่ติดราคาสินค้า บอกแม่ว่าติดที่ตรงนี้นะ แม่ก็ถามก่อนทำ และถามหลายๆครั้ง ก็เห็นอาการของกิเลสที่มันจะมีตัวหงุดหงิดเริ่มทำงาน เริ่มจะเป็นไข้ใจแล้ว งานต่อมาป็นการแฟ็คน้ำยาล้างจานแบบกวนส่วนผสมเอง ซึ่งจะมีสิ่งที่ต้องใส่ลงในถุงเดียวกันทั้งหมด 5 อย่าง ซึ่ง 4 อย่างนั้นก็เรียงต่อกันอยู่แล้วหยิบอย่างละ 1 ชนิดลงในถุง ต่อๆกันมา แล้วสุดท้ายอย่างที่ 5 ปุ้ยจะเป็นคนหยิบเกลือ 3 ถุง พร้อมมัดยางขึ้นไปไว้บนชั้นสินค้า บอกแม่พร้อมทำตัวอย่างให้ดู1 ถุงในการทำแต่ละครั้งแม่ก็ถามแล้วถามอีก ใส่ไม่ถูก ไม่หยิบส่วนผสมตามลำดับ ข้ามไป ขาดสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง ซึ่งกิเลสเขาก็ทำหน้าที่ทันที อยากจะให้แม่หยิบส่วนผสมตามที่เราบอกให้ถูก แล้วส่ต่องมาให้เรา ให้แม่ดูตัวอย่างที่เราทำไว้ให้ดู ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ให้แม่ทำแล้ว สุดท้าย ก็เปลียนให้แม่ไปหยิบเกลือ 3 ถุงแล้วมัดยาง แต่แม่ก็หยิบเกลือ 1 ถุง บ้าง 2 ถุง บ้าง นางเวเทยิกาเริ่มจะออกอาการในใจบ้าง ไข้ใจเริ่มจะสูงขึ้นแล้วคะ เพราะความไม่ได้ดั่งใจ
ทุกข์ รำคราญ หงุดหงิดใจ ที่แม่ทำงานตามที่เราบอกไม่ได้
สมุทัย ถ้าแม่ทำงานตามที่เราบอกได้จะสุขใจ ถ้าแม่ทำงานไม่ได้ตามที่เราบอกจะทุกข์ใจ
นิโรธ แม่จะทำงานตามที่เราบอกได้หรือไม่ก็สุขใจ
มรรค พิจารณาว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราต้องเคยทำให้ใครต้องรำคราญหงุดหงิดใจมาก่อน เราจึงต้องมารับในสิ่งนี้ ยินดีรับ รับแล้วก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น ทุกคนก็อยากได้สภาพที่ดี สุข ไม่มีใครอยากได้สภาพที่ไม่ดีเป็นทุกข์ แต่เขายังทำไม่ได้ เขาจำไม่ได้ เขาจึงต้องถาม ต้องเมตตา อุเบกขาในส่วนที่เขาด้อย เราก็เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่ไปเปลี่ยนที่เขา แต่เราต้องเปลี่ยนที่ใจเราเอง
ชื่่อเรื่่อง นอนไม่หลับ
เนื้อเรื่่อง
ในวันที่อาจารย์หมอเขียวประกาศส่งข่าวถึงพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ให้มารวมพลกันร่วมกับพี่น้องกองทัพธรรม ที่บริเวณสะพานมัฑวานรังสรรค์ ในเวลาราวเที่ยงวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีเป็นประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รอเข้าเฝ้ารับ-ส่งเสด็จ ในหลวง รัชกาลที่ 10 เราได้มีโอกาสไปร่วมรวมตัวกัน ได้พบพี่น้องจำนวนนับหมื่นที่ตั้งแถวเรียงรายสองฝั่งถนนเป็นแนวยาวอย่างสงบทุกคนสวมเสื้อสีเหลืองกันมาอย่างพร้อมเพียง
ในเวิ้งฝั่งตรงข้าม UN ที่่พี่่น้องชาวกองทัพธรรมจากหลายพุทธสถานและชาวแพทย์วิถีธรรมทั่วทุกภาคมารวมตัวอยู่นั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นฉันท์พี่น้อง แต่ละท่านดูมีผาสุก ปิติ ที่ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในเวลาอันควร พี่น้องเรามีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจมาเต็มที่ แต่ละท่านนอกจากเอาตัวมาแล้วก็ยังหอบหิ้วอาหารการกินมาพร้อมนำมาแบ่งปันกัน เราเตรียมตัวเองด้วยการรับประทานอาหารไปเรียบร้อยในวันนั้น และก็ได้นำใบย่านางที่ปลูกที่บ้านไปแบ่งปันด้วยถุงใหญ่เท่าที่สามารถขนไปได้ และได้รับแบ่งปัน บะจ่าง 1อัน ติดตัวกลับบ้านมาด้วย
ทุกข์
มีอาการนอนไม่หลับ แน่นจุกหน้าอก ออกร้อนทั่วตัว กังวลว่าเจ็บแน่นหน้าอกแบบนี้จะเป็นอาการของเส้นเลือดหัวใจตีบไหมนี่ อาจจะตายคืนนี้ไหมเนี่ย
สมุหทัย
กลับมาถึงบ้านราวทุ่มเศษ ก็เคลียร์เก็บกระเป๋าข้าวของต่างๆที่นำไปด้วย พบบะจ่างที่พี่น้องแบ่งปันให้มาเราก็รับน้ำใจที่พี่น้องให้มาโดยมีความชอบบะจ่างแฝงตัวอยู่โดยไม่ทันได้พิจารณากิเลสความชอบนี้ เมื่อเดินทางแยกย้ายกลับหลังเสร็จภาระกิจแล้วกลับถึงบ้านพบบะจ่างเข้า ร่างกายไม่ได้มีความหิวเลย แต่เราแพ้กิเลสอยากเสพบะจ่างเพราะยังมีความชอบเหลืออยู่ แม้นาน ๆ จะได้ทานสักครั้ง นี่ก็จำไม่ได้ว่าทานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าจะมากกว่าครึ่งปีอยู่ ก็ทานบะจ่างอย่างเอร็ดอร่อย แต่มีตัวความชังปนอยู่ที่เห็นใบห่อบะจ่างเต็มไปด้วยน้ำมัน เมื่อรับประทานเสร็จได้สักสองสามชั่วโมงก็เริ่มมีอาการจุกแน่นหน้าอก พอไปนอนก็นอนไม่หลับ
นิโรธ
เรายินดีให้ได้ ที่ได้รับผลของวิบากกรรมที่เราพลาดทำมา จากการเสพความชอบชังในบะจ่าง ชังที่ร่างกายเจ็บป่วยส่งผลให้มีอาการไม่สบายของร่างกายเกิดขึ้น
มรรค
พิจารณาที่เหตุ จึงรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจเรานั้น เพราะเราทำเอง เรายังมีความชอบในความหลากรสของส่วนผสมในบะจ่าง ความหนึบ ๆ ของข้าวเหนียว ความมันของถั่ว ความหวานของเผือกกวนน้ำตาล ชังความมันของน้ำมันเยิ้ม ๆ เมื่อเราเห็นตัวชอบชังแล้ว มาพิจารณาดูว่ากว่าจะได้เมนูนี้มาต้องเสียเวลามากเลยในการเตรียม ส่วนประกอบ และกว่าจะห่อเสร็จ กว่าจะนึ่งเสร็จ เราจะไปเสพเพื่อส่งเสริมเหนี่ยวนำให้คนเสพอยู่ทำไม มันลำบากลำบนมาก ดังนั้นเมื่อเราไปเสพไปส่งเสริมมา เราก็ต้องกล้าที่จะรับผลกรรมที่ต้องได้รับผลของการกระทำที่ทำให้เกิดอาการที่่ร่างกายไม่สมดุล เราผิดพลาดเสพตามใจกิเลสก็สำนึกผิด ขอโทษที่ทำร้ายร่างกาย และจดจำไว้ว่ามันส่งผลเสียเกิดขึ้น และแก้ไขร่างกายตามที่เราทำได้ และทำใจในใจให้ ยินดีรับผลนั้นโดยไม่กังวลไม่ไปโง่ซ้ำเติมให้ใจเสีย ให้ร่างกายเสียพลัง ให้กิเลสตัวกังวลตัวกลัวตายมาเล่นงานอีก เมื่อพิจารณาแล้วใจก็สบายใจขึ้น ยินดีรับผลอย่างเต็มใจ ตายเป็นตายเป็นไงเป็นกัน ไม่ตายก็ไปทำดีต่อ ตายก็ไปเกิดใหม่มาทำดีต่อ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ จึงหลับได้และตื่นเช้ามาด้วยใจผาสุกแม้ร่างกายยังมีอาการจุกแน่นหน้าอกหลงเหลืออยู่บ้าง แต่พอออกเดินกำลังกายไปฟังธรรมะไป กดจุดลมปราณไป กายบริหารไป หายก็ได้ไม่หายก็ได้ก็สบายใจ พอทำเสร็จอาการต่างๆก็ค่อย ๆ คลาย จนหายไปเป็นปลิดทิ้ง
แก้ไขใหม่ ตามที่ทีมคุรุแนะนำค่ะ
ชื่อเรื่อง : สงสารเพื่อนที่พูดเสียงดังกับเพื่อน
เนื้อเรื่องย่อ : มีเพื่อนท่านหนึ่งโทรศัพท์มาเล่าความรู้สึกว่าอยากกลับประเทศไทยและกล่าวให้ร้ายรัฐบาลและท่านนายกฯต่างๆที่ทำให้กลับประเทศยุ่งยากลำบาก
เพื่อนท่านนี้ได้เคยระบายเรื่องนี้กับข้าพเจ้าหลายครั้งและ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงได้เมตตาปราถนาดีชี้แจงอธิบายรายละเอียดความจรืงตามภูมิและตามข้อมูลที่ได้รับรู้มาเพื่อเตือนสติชี้ความเป็นเป็นจริงให้เพื่อนท่านนี้พิจารณาแต่คำพูดและเสียงที่ข้าพเจ้าเปล่งออกไปรู้สึกว่าดังและทำให้เพื่อนท่านนี้ขอหยุดการคุยเรื่องนี้ไปก่อน ข้าพเจ้าได้ตรวจที่ใจเห็นกังวลความหวั่นไหวในใจเล็กๆตนเองนึกสงสารเพื่อนที่ตนเองได้พูดเสียงดังไปหรือเปล่าทำให้เพื่อนท่านนี้ไม่พอใจจึงขอให้เราหยุดพูด และเปลี่ยนเรื่องคุย
จึงน้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ :มีกังวลหวั่นไหวใจไม่แช่มชื่น สงสารเพื่อน ที่เพื่อนให้หยุดพูดและไม่คุยต่อ
สมุทัย : กลัวเพื่อนจะไม่พอใจกับน้ำเสียงและคำพูดของเรา
นิโรธ : เบิกบานใจได้แม้เพื่อนจะไม่รับฟังและไม่คุยต่อ
มรรค : สงบใจพิจารณาว่าเรามีความปราถนาดีที่บริสุทธิ์ก็ดีแล้วทำเต็มที่แล้ว เราจะเอาอะไรจากเพื่อนอีก เพื่อนจะรับฟังต่อหรือไม่รับฟังต่อก็ได้ เพื่อนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในความปราถนาดีเราก็ได้ ปล่อยวางผลเท่าที่ดีจะเกิด เมตตาต่อตนเองก่อนคือหยุดความคิดที่ปรุงไปคิดกลัวต่างๆเพราะเรากำลังจะเบียดเบียนตนเองกำลังจะผิดศีล เมื่อระลึกได้ดังนี้ความรู้เนื้อรู้ตัวก็กลับคืนมาสำนึกผิดขอโทษขออโหสิกรรมต่อตนเองและต่อเพื่อน ความกังวลหวั่นไหวคลายลง90-100% ใจเบิกบานแช่มชื่นเป็นปกติภายในสิบนาที กราบขอบพระคุณเพื่อนที่ทำให้เห็นกิเลสและได้ล้างกิเลส สาธุ
เรื่อง กังวลว่าส่งการบ้านไม่ทันเวลา
เรื่องย่อ สัปดาห์นี้ตัวเองยังคงบำเพ็ญอยู่ที่ภูผาฟ้าน้ำ มีงานบำเพ็ญหลายอย่างเริ่มตั้งแต่ เช้า-เข้านอน มีปัญหา/อุปสรรคในการจัดสรรแบ่งเวลาในการทำการบ้านไม่ได้ในแต่ละวัน ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาถึงวันนี้ จึงมีความกังวลว่าจะส่งการบ้านไม่ทันตามกำหนด
ทุกข์ : กังวลว่าส่งการบ้านไม่ทัน
สมุทัย: มีความกังวลว่า จะไม่ได้ส่งการบ้านตามกำหนด
นิโรธ : ไม่ต้องยึดว่าจะต้องส่งการบ้านให้ได้ ยอมวางใจว่า ได้ส่งการบ้านทันเวลาหรือไม่ได้ส่งการบ้านก็ได้ ใจก็ไม่ทุกข์ ไร้กังวล เบาสบาย
มรรค: รู้อยู่ว่าการยึดติดนั้น ทำให้เกิดความกังวล กังวลคือกิเลสตวร้าย ที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ บอกกับใจตัวเองว่า ยึดอยู่ทำไม่ ยึดแล้วทุกข์ๆๆๆ ยึดเท่าที่โง่โง่เท่าที่ทุกข์ ยิ่งยึดยิ่งโง่ๆๆๆ พิจารณาซ้ำๆๆๆๆ จนสลายกิเลสตัวยึดไปได้ พอวางใจได้ ตัวยอมได้เกิดทันที วางใจแล้วเบาใจ โล่ง โปร่งเบาสบายได้จริง
เมื่อรู้เท่าทันมายาของกิเลส ความกังวลนั้นหายทันที จึงมีเวลาทำการบ้านส่งได้ทันตามกำหนด
แก้ไขใหม่ตามที่ทีมคุรุแนะนำค่ะ
ชื่อเรื่อง : ห่วงใยพี่น้องที่กินเห็ดป่า
เนื้อเรื่องย่อ : มีพี่น้องท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าไปเก็บเห็ดป่ามา เป็นเห็ดที่ไม่คุ้นเคยแต่มีพี่น้องที่ไปเก็บด้วยกันบอกว่ากินได้ และ ท่านก็กำลังจะทำแกงเป็นอาหารขณะที่เล่า ข้าพเจ้าตรวจใจเห็นความกังวลหวั่นไหวห่วงใยว่าจะเป็นเห็ดมีพิษทานแล้วจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะ มีสํญญาเก่ามีเพื่อนท่านหนึ่งกินเห็ดป่ามีพิษแล้วมีอาการอาเจียนและท้องเสียต้องส่งโรงพยาบาล ..เมื่อตรวจเจอว่าใจไม่แช่มชื่นกังวลหวั่น จึงได้น้อมจิตปฏิบัติอริยสัจสี่ตามกระบวนการดังนี้
ทุกข์ : มีความกังวล หวั่นไหวห่วงใยพี่น้องกินเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย
สมุทัย : .กลัวพี่น้องจะเป็นอันตรายจากเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย คือชอบที่พี่น้องจะกินเห็ดป่าที่กินได้และคุ้นเคย ชังที่พี่น้องกินเห็ดป่าที่ไม่คุ้นเคย
นิโรธ :ไม่ว่าพี่น้องจะกินเห็ดป่าที่คุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยก็วางใจได้ตามวิบากของพี่น้องแต่ละท่าน
มรรค : ตั้งสติพิจารณาโทษที่เราคิดแบบนี้ ว่าเป็นความคิดที่เป็นโทษเบียดเบียนตนเอง ผิดศีลจึงรีบสำนึกผิดขอขมา ขอโทษขออโหสิกรรมต่อตนเองและต่อพี่น้องที่เราเผลอสติปรุงแต่งคิดให้ใจเป็นทุกข์ ฝึกวางใจและเข้าใจวิบากกรรมของแต่ละชีวิต เจริญสติรู้เนื้อรู้ตัว ใจก็คลายความกังวลหวั่นไหวคลายความห่วงใยพี่น้องลง90%และได้เล่าสภาวะให้พี่น้องฟังว่าเรารู้สึกกังวลหวั่นไหวเป็นห่วงว่าจะกินเห็ดมีพิษพี่น้องก็ได้บอกว่าเห็ดชนิดนี้มีพี่น้องอีกท่านบอกว่ากินได้ ไม่ต้องห่วง ใจเราก็คลายลง95% จึงพิจารณาต่อเข้าใจให้ชัดๆเรื่องวิบากกรรม ใจก็คลายลงเบิกบานใจได้100% ไม่ชอบไม่ชังที่พี่น้องจะกินเห็ดป่าหรือไม่กิน วางใจได้เข้าใจเรื่องกรรมของแต่ละชีวิต กราบสาธุธรรมค่ะ
ตอนเช้าในวันรุ่งขึ้นพี่น้องที่ทานเห็ดทั้งสองท่านปลอดภัยดี สาธุค่ะ
เรื่อง อัดคลิปวีดีโอ
ตั้งกล้องถ่ายวีดีโอที่บ้านมองเห็นฉากหลังมีของวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ ดูรกๆพยายามตั้งกล้องหามุมที่ดูดีหลายรอบ เห็นใจตัวเองไม่สบาย ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ทุกข์ : หงุดหงิดรำคาญใจที่เห็นฉากหลังในการถ่ายคลิปวีดีโอไม่เรียบร้อย
สมุทัย : อยากให้ ฉากหลัง ถ่ายคลิปวีดีโอ เรียบร้อย สวยงาม คือชอบที่จะมีฉากหลังที่เรียบร้อยสวยงาม ชังที่มีฉากหลังไม่เรียบร้อยไม่สวยงาม
นิโรธ : ฉากวีดีโอสวยหรือไม่สวย ก็สุขใจได้
มรรค : ตั้งสติพิจารณาว่าเรากำลังนำเสนอสาระในวีดีโอไม่ใช่โชว์ฉากหลังวีดีโอ แต่ใจก็ยังอยากได้ฉากหลังสวยๆอยู่ดี ไม่สามารถล้างกิเลสที่ชอบความสวยงาม เป็นระเบียบได้ จึงได้พูดคุยกับพี่น้องหมู่มิตรดี พี่น้องได้ชี้ขุมทรัพย์ว่าเราเคยสร้างภพอะไรไว้รึเปล่า เรายึดดีว่าถ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยถึงจะดี ไม่เป็นระเบียบก็ไม่ดีและพยายามสร้างภาพให้ดูดี นั่นไม่ใช่ความจริงใจ มันคือการหลอกลวง ใจก็คลายลงไปกว่า 60 % จากนั้นนำธรรมะที่ท่านอจ.หมอเขียวได้บรรยายเมื่อ วันที่ 631012 มาทบทวนเรื่อง ล้างความชิงชังความไม่เรียบร้อย ความเรียบร้อยภายนอกมันไม่เที่ยงไปตลอด ต้องเข้าใจเรื่องกรรมให้แจ่มแจ้งว่า คราวกุศลมามันก็เรียบร้อย คราวอกุศลมามันก็ไม่เรียบร้อย แต่ภายในเราต้องเรียบร้อย คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น พิจารณาโทษของความยึดมั่นถือมั่นมันทำให้ไม่สบาย ไม่สดชื่น พอทบทวนแล้วความทุกข์ลดลงเหลือ 10% ข้าพเจ้าจะพากเพียรต่อไป กราบสาธุค่ะ
ส่งการบ้าน ทุกข์อริยสัจ
ทุกข์. ไม่ชอบใจที่พี่จิตอาสาท่านหนึ่งไม่รับฟังมติหมู่กลุ่มแล้วทำกิริยาเหมือนไม่พอใจเรา
สมุทัย.ถ้าเค้ารับฟังแล้วทำท่าทางดีๆเราจะชอบใจถ้าเค้าไม่ฟังและทำท่าทางไม่ดีเราก็ไม่ชอบใจ
นิโรธ.ถ้าเค้ารับฟังแล้วทำท่าทางดีๆเราจะชอบใจสุขใจถ้าเค้าไม่ฟังและทำท่าท่างไม่ดีเราก็สุขใจปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นให้เค้าทำอย่างที่เราอยากให้เป็น
มรรค.ขอโทษขออโหสิกรรมทำให้เราได้เห็นตัวเองเหมือนเป็นกระจกส่องกรรมและพิจารณาว่าสิ่งใดที่เราได้รับล้วนเกิดมาจากการกระทำของเราเท่านั้นเราได้รับแล้ววิบากก็จะหมดไปเราก็จะโชคดีขึ้นเราก็ทำดีต่อไปไม่มีถือสาไปเรื่อยๆพิจารณาว่าสิ่งที่เราเห็นว่าสิ่งที่พี่เค้าทำมันเป็นอัตตาของเค้าที่แท้มันเป็นอัตตาของเราที่ไปยึดให้เค้าเป็นให้เค้าทำอย่างใจเราต้องการเราจึงล้างกิเบสตัวที่เรายังติดอยู่แล้วได้ล้างไปได้
เรื่อง ขับรถหวาดเสียว
ในการเดินทางไปไหนมาไหน คนขับรถทำให้รู้สึกหวาดเสียวได้เสมอเช่น ขับรถเร็ว ตกหลุม ชิดขอบถนนจนเกินไป ขับรถเลยทางเลี้ยวบ่อยครั้งพอจะกลับรถจึงกลับกระทันหัน และอย่างอื่นๆจึงไม่ค่อยสบายใจนักเวลาต้องเดินทาง
ทุกข์:ไม่สบายใจ
สมุทัย:เรายึดมั่นว่า คนขับรถต้องขับรถดีๆตามที่ใจเรามุ่งหวัง
นิโรธ:คนขับรถจะขับรถหวาดเสียวหรือไม่กวาดเสียวก็ได้เราก็สบายใจ
มรรค:เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องวิบากดีร้ายของเราเองพร้อมทั้งเชื่อมั่นในฝีมือของคนขับรถยอมรับความจริงในปัจจุบันนั้นๆเพราะ”ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ ไม่มีอะไรที่เรากำหนดได้ นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้ ด้วย”ความสุขแท้ คือไม่ทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ในสถานการณ์ใด”จึงสบายใจในการเดินทาง
ชื่อเรื่อง ไม่อยากจ่ายเงิน
พรมในห้องนอนลูกชายและทางเดินกลางบ้าน มันเก่าแล้ว ได้คุยกับเจ้าของบ้านเช่าว่า ต้องการเปลี่ยนพรมใหม่ ซึ่งเพื่อนบ้านชั้นล่างก็มีความต้องการคล้ายกัน คือ เปลี่ยนพรมห้องรับแขกและทางเดินกลางบ้าน หลังจากนั้นก็ได้เลือกพรมที่ต้องการ ซึ่งราคาแตกต่างกันตาม สี ความหนา คุณสมมบัติกันน้ำ ในส่วนของตัวเองที่ได้เลือกนั้น ราคาค่อนข้างสูงนิดนึงเพราะต้องการให้สามารถใช้ได้นาน ๆ
เจ้าของบ้านเช่าได้แจ้งแล้วว่า จะต้องจ่ายเพิ่มเองบางส่วนที่เกินงบประมาณ(แต่ละบ้านจะมีงบในการซ่อมแซมเท่า ๆ กัน) เมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดีและเรียบร้อย ก็ได้รับเอกสารแจ้งว่า จะต้องจ่ายเพิ่มเอง เป็นจำนวนเงิน 400 ยูโร ก็เกิดความรู้สึกไม่อยากจ่าย เสียดายเงิน เริ่มคิดเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่ไม่ต่องจ่ายเพิ่มเลย
ทุกข์ คือ รู้สึกเสียดายเงินที่จะต้องจ่าย ก็รู้ว่าต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายเยอะเท่านี้
สมุทัย คือ ไม่อยากจ่ายเงินค่าพรม
นิโรธ คือ ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องจ่าย ยังไงก็ต้องจ่ายอยู่ดี
มรรค คือ บอกกับตัวเองว่า เราตัดสินใจถูกแล้ว ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จ่ายด้วยความยินดี เพราะเราเลือกพรมที่ดี ราคาจึงสูง สามารถใช้ได้นาน ทำความสะอาดง่าย ก็ต้องจ่ายเยอะเป็นธรรมดา
เรื่อง เอวเดี้ยง
เหตุเกิดจากการยกลังขวดน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัมซึ่งก่อนหน้านี้ยกของหนักกว่านี้ได้สบายๆแต่ครั้งนี้ในขณะยกเกิดอาการเอวดี้ยงปวดอย่างรุนแรงบริเวณเอวใกล้สะโพกทำให้เดินตัวตรงไม่ได้ ก้ม เงยไม่ได้ตามปกติ นั่งนอนแล้วรู้สึกเจ็บมาก ดูแลตัวเองด้วยยา 9 เม็ดประมาณ 7 วันอาการดีขึ้น
ทุกข์:ไม่สบายกาย กังวลใจ
สมุทัย:วิบากร้ายที่เคยทำมาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมทั้งการเพียรพักที่ไม่พอดี
นิโรธ:อาการปวดจะหายหรือไม่ ก็ไม่กังวลใจ
มรรค:สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา สำนึกผิดหรือยอมรับผิด ขอโทษหรือเต็มใจรับโทษเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับเรา เกิดจากวิบากดีร้ายของเราทั้งนั้น รับแล้วสิ่งเลวร้ายก็หมดไปพร้อมกับทำสมดุลร้อนเย็นให้ร่างกาย สิ่งดีๆก็เกิดขึ้นทำให้อาการไม่สบายค่อยๆดีขึ้นภายใน 7 วัน
แรงเหนี่ยวนำของหมู่มิตรดีมีผลจริง
ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องจิตอาสาในต่างประเทศผ่านซูม ด้วยการประสานงานผ่านแชทไลน์และประชุมกัน ทำคลิปวีดีโอ เรียนรู้การตัดต่อ รู้สึกมีใจเบิกบาน ขยันขึ้น มีแรงก็ทำ หมดแรงก็พัก คิดว่าทุกอย่างก็ลงตัวดีอยู่แล้ว พี่น้องส่วนใหญ่ก็สามัคคีกันดี ช่วยกันคิดช่วยกันทำบำเพ็ญด้วยใจบริสุทธิ์
แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา มันมีผลกระทบใจเราในระดับนึง โดยคิดว่าจะต้องแก้ปัญหาให้ได้ และสงสัยว่าเราอาจจะไม่ระมัดระวังคำพูดการกระทำของเราดีพอหรือเปล่า ก็ต้องหาที่ปรึกษาที่มีบารมีมากพอ แต่หากปัญญาเรายังไม่มากพอ ก็จับประเด็นไม่ชัดนักว่าจะเริ่มตรงไหนดี เวลาทุกข์มากๆมีผลต่อหัวใจที่บีบรัดและสมองก็เจ็บร้าวไปหมด
อาจารย์เคยบอกเสมอว่า มีหมู่มิตรดี พาเราพ้นทุกข์ได้ จึงต้องเปิดใจกับหมู่เล็กๆของเราด้วยดีกว่า จากการพูดคุยเปิดใจกัน จึงได้เห็นมุมมองเหลี่ยมมุมใหม่ๆ เพิ่มความเชื่อมั่นศรัทธาต่อตัวเองและหมู่กลุ่มขึ้นมาไม่น้อย
ทุกข์ : เมื่อเจอผัสสะก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองทำดีมากพอ
สมุทัย : เพราะคาดหวังว่าทำดีแล้ว ทุกคนจะเข้าใจเรา ไม่ถือสาเราเห็นใจเรา
นิโรธ : ทำดีแล้วก็ต้องวางดีให้ได้ ไม่กลัว หรือกังวลว่าใครจะเข้าใจผิดเรา พร่องก็ได้ ไม่พร่องก็ได้
มรรค : โทษของการยึดดีเกินไปทำให้เรากังวลใจว่าต้องทำให้ดีและถูกใจทุกคน ไปแก้ไขแต่เรื่องคนอื่น
ประโยชน์ของการทำงานกับหมู่เมื่อเจอผัสสะเจอทุกข์ก็จะได้พูดคุยกันมากขึ้น ได้รับคำแนะนำดีๆเพื่อปรับปรุงวิธีทำงานร่วมกัน มีวิธีคิด วิธีเจรจากับกิเลส พอเกิดปัญญามากขึ้นก็เรียนรู้วิธีดับทุกข์ได้ไวขึ้น ไม่ต้องสร้างวิบากใหม่เพิ่ม ด้วยการเริ่มต้นแก้ไขที่ใจเรา สำนึกผิดว่าเราเคยทำสิ่งเหล่านี้มาจึงได้สร้างแรงเหนี่ยวนำให้คนอื่นมาทำกับเรา ให้อภัยกัน ไม่ถือสากันต่อไป ทั้งยังให้โอกาสตัวเองพิสูจน์ความอดทน มีขันติ มากขึ้น ช่วยใครได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็วาง ทำความผาสุกที่ตน พึ่งคนที่ศรัทธา
อริยสัจ 4
เนื้อเรื่อง
ข้าพเจ้าเเละพี่น้องหมู่กลุ่มได้คุยปรึกษาเรื่องหนึ่งกัน โดยให้พี่น้องทุกท่านได้ออกความเห็นได้ ซึ่งพี่น้องท่านก็ได้ออกความเห็นไปเเล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายก็ได้พูดออกไป ระหว่างที่พูดยังไม่จบพี่น้องท่านหนึ่งก็พูดเเทรกขึ้นมา เห็นกิเลสของตัวเองความไม่ชอบใจเกิดขึ้น ชังที่พี่ท่านนั้นพูดเดาใจ เเละงงว่าท่านพูดอะไรของท่าน ก็ได้ถามว่าพี่คิดว่าน้องจะพูดอะไร ท่านก็ตอบว่าสร้างคงจะไม่ควรพูดอย่างนี้นะ? สร้างจะพูดอย่างนี้ใช่ไหม?ก็ตอบว่าไม่ใช่นะพี่ พี่กำลังเข้าใจผิดเเละกำลังเดาใจสร้างอยู่ พี่น้องท่านอื่นที่ฟังอยู่ก็ได้พูดว่าพี่ท่านปราณาดีต่อเรา ท่านหวังดีต่อเรา ไม่อยากให้เราพูดผิดพลาด พอพี่น้องท่านอื่นพูดมาอย่างนั้นใจก็ได้วางลง อาการกิเลสที่ชังที่พี่ท่านพูดเเทรกก็หายไป
เเต่มีตัวที่อยากเตือนเรื่องที่พี่ท่านนั้นเดาใจพี่น้องท่านอื่นเเละตัวเราหรือท่านเอาความปารณาดีของท่านเเละที่ท่านชอบเร่งให้พี่น้องท่านตัดสินใจเร็วๆก็เกิดขึ้นมาเเทน ก็ได้ตรวจใจตัเองดูว่ามันเป็นกิเลสไหม?
ที่อยากจะพูด ก็ได้คำตอบว่าไม่นะ เเต่หลังจากที่พูดจบก็ได้มาคิดว่า พูดเเรงเกินไปหรือเปล่า? พี่ท่านนั้นจะรับได้ไหม?
ทุกข์:พูดเเรงไป
สมุทัย:กลัวว่าพี่ท่านนั้นจะรับกับคำพูดจืงข้าพเจ้าไม่ได้
นิโรธ:ทำใจให้ไร้ทุกข์ ไม่ทำเกินหน้าที่
มรรค:ตั้งสติขอโทษขอขมาต่อตนเองเเละพี่น้องท่านนั้นเเล้วตรวจดูว่า เรากับพี่น้องท่านนั้นมีวิบากร่วมกันมาต่างฝ่ายต่างมาเป็นกระจกเงาของกันเเละกัน เเละยังมีนิสัยที่ชอบคิดรอเเละเดาใจคล้ายกัน ทำให้เห็น รู้ชัดว่าวิบากกรรมมีจริง ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้บอกกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามที่ทั้งสองฝ่ายได้ชี้ขุมทรัพย์ให้กันเเละกัน พี่ท่านเตือนก็ดีเเล้ว
พอคิดได้อย่างนี้ทุกข์ก็หายไปทันที สาธุค่ะ
ส่งการบ้านอริยสัจ4กับชีวิตประจำวัน
เมื่อสองสามวันก่อนเกิดทุกข์ ทุกข์คือคนข้างเคียงไม่เข้าใจกัน ไมพูดกันมาสองวันเเล้ว เพราะความเข้าใจผิดในคำพูด
สาเหตุเเห่งทุกข์ สมุทัย เกิดจากคำพูดของเราฟังเขาพูดไม่ได้ยินอย่างแจ่มแจ้งอาจจะเป็นเพราะว่าวัยสูงอายุหูอาจจะตึงและเรากำลังอยู่ในคอมพิวเตอร ทำงานอยู่จึงไม่ได้ฟังเขาพูดอะไร แต่เราได้ยินแว่วๆจึงสวนไปว่า เธอพูดไม่ถูก ไม่ใช่ แค่นั้นแหล่ะเธอก็สวนว่าฉันถูกทำไมต้องย้ำ และเธอเพ่งโทษฉันใช่ไหม อะไรอะไรก็เพ่งโทษฉัน เราก็วูบขึ้นมา เเต่พอนึกขึ้นมาได้ว่า เราต้องยอมรับผิดเพราะเป็นความผิดของเราเป็นวิบกกรรมของเรา เนื่องจากความเข้าใจผิด เเต่เธอไม่ยอม โกรธ ทั้งๆที่เราขอโทษแล้วสำนึกผิด
นิโรธ ทางดับทุกข์ เนื่องจากความเข้าใจผิดมันจึงเป็นวิบากกรรมของเราเราทำผิดต่อเขา เขาไม่ผิดต่อเรา ฉนั้นเราต้องยอมรับผิดอย่างเบิกบานเเจ่มใส เราจึงนิ่งไม่เถียงไม่ต่อยอด สงบต่อพายุร้ายนิ่งเฉย แต่เธอก็เงียบ ไม่พูดไม่จา เราก็เลยเขียนโน้ตทบทวนธรรมของอาจารย์บอกเขาไปว่าความเข้าใจผิดของเราต่อผู้อื่น มันคือวิบากกรรมเขาวิบากกรรมเราแก้ไขด้วยการทำดีไม่มีถือสาไปเรื่อยๆแล้ววันใดวันหนึ่งข้างหน้าความเข้าใจผิดนั้นก็จะหมดไป เราขอยอมรับผิดทุกอย่างอย่างเบิกบานเเจ่มใส
มรรค น้อมนำเอาบททบทวนธรรมมาใช้ ด้วยการคิดดี ทำดี ไม่มีถือสา ตรวจดูจิตใจของเราว่าสาเหตุที่เราก่อให้เกิดความไม่พอใจ เพราะเจ้าตัวกิเลส ปากเผลอพูดออกไปโดยไม่คิดว่าตัวเองพูดอะไรไป พอสำนึกผิดน้อมนำเอาบท ทบทวนธรรม มาใช้ เลยเบิกบาน สองวันต่อมาเธอก็เข้ามาพูดด้วยว่าเขาก็เข้าใจเราผิด ต่างคนต่างปรับปรุงจิตของตนโอนอ่อนเข้าหากัน แล้วรู้ทันกิเลสที่ดื้อเอาแต่ได้ จิตใจก็ผาสุกครอบครัวก็มีสุข ต่างคนต่างไม่เพ่งโทษกันใช้บททบทวนธรรมมาชะโลมจิตใจ
Comments are closed.